บทที่ 26
ดวงจันทร์ดวงเดียวกัน
Book’ s talk
หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อะไรที่ผมไม่เคยเห็นก็ได้เห็นอย่างเช่นน้ำตาของไอ้เซย์และมารยาของผู้หญิง ผมยอมรับเลยว่าเกือบเขวให้กับคำพูดของคุณยายไอ้เซย์เมื่อก่อนหน้า แต่สิ่งที่ทำให้ผมได้สติก็คือคำพูดของไอ้เซย์ ถ้าผมเลิกก็เท่ากับว่าผมสนับสนุนอนาคตที่มันไม่ได้เลือกเอง ดังนั้นผมจะสู้เพื่อมันอย่างน้อยผมก็มีโอกาสได้ทำแม้ว่าผมมันจะออกมาอย่างไรก็ตาม
“อย่าลืมกินข้าวด้วย” ตอนนี้ผมกลับมานอนเล่นอยู่ที่ห้องของตัวเองพร้อมกับมองหน้าไอ้เซย์ผ่านวิดีโอคอล เพราะตอนนี้ไอ้เซย์มันต้องกลับไปอยู่บ้านชั่วคราว
(บอกตัวมึงนั่นแหละกินข้าวเยอะๆ อย่ามัวแต่เล่นเกม) ไอ้เซย์ยิ้มออกมาเล็กน้อย (อยากเจอมึงจังว่ะ)
“เดี๋ยวยายมึงก็แหกกูจนได้หรอก”
(พร้อมโดนแหกจะแย่ เออ มึงดูนี่) ไอ้เซย์ลุกขึ้นก่อนจะพาผมเดินไปที่ไหนสักที่ในห้องมัน ไอ้เซย์ตั้งโทรศัพท์ไว้กับชั้นหนังสือส่วนตัวมันนั่งอยู่บนเก้าอี้พร้อมกับค้นหาอะไรบางอย่างออกมาจากลิ้นชักโต๊ะ
“อะไรวะ”
(เงินเก็บกู ที่ถามว่ารวยขนาดนี้แล้วทำไมกูยังต้องทำงานพาร์ทไทม์) ผมขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจมองไอ้เซย์ที่เอาบัญชีเงินฝากแต่ละธนาคารออกมา
(บัญชีนี้สำหรับเงินที่กูได้จากไปแข่งบอลในแต่ละครั้งจากพวกสปอนเซอร์ที่เรียกว่าเงินอัดฉีด) ไอ้เซย์ยกบัญชีสีชมพูขึ้นมา
(อันนี้บัญชีที่กูรับแปล)
(อันนี้บัญชีเงินเก็บจากค่าขนม รวมๆ แล้วที่กูคำนวณก็น่าจะส่งกูเรียนจบโดยไม่ต้องขอเงินจากแม่ ถ้ากูจบแล้วก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเอาดีทางด้านฟุตบอลไปเลย อาจจะไปเล่นไทยหลีกก่อน อีกสักสองสามปีรอฝีมือดีๆ พอเทียบกับคนอื่นได้กูคงไปคัดทีมชาติ เงินเยอะแต่อาจจะไม่ค่อยมีเวลา) ผมนั่งอ้าปากค้างฟังไอ้เซย์พูดถึงอนาคตที่ผมไม่เคยคิดว่าจะได้ยินจากปากมัน นั่นเป็นเครื่องการันตีอย่างหนึ่งว่าไอ้เซย์มันจริงจังกับผม
“มึงคิดถึงขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
(ตอนแรกก็ไม่ แต่กูมาคิดจริงจังก็ตอนที่รู้ตัวว่าชอบมึง กูรู้ว่าปัญหานี้มันจะเกิดสักวันถ้ากูยังไม่ตัดใจจากมึง)
“ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
(อยากรู้หรอ?)
“สัด ไม่งั้นจะถามไหมล่ะ” ผมพยายามไม่ยิ้มออกมาและเก๊กท่าวางฟอร์มให้มากที่สุดก่อนจะตั้งใจฟังไอ้เซย์พูด
(กูชอบมึงก็ตั้งแต่ปีหนึ่ง....)
“เดี๋ยวๆ ตอแหลรึเปล่ามึงจะชอบกูได้ไงมึงชอบไอ้รวย” จากที่นอนอยู่ผมรีบลุกขึ้นนั่งทันทีเพื่อฟังไอ้เซย์พูดได้ถนัด
(จริงๆ ชอบความอวดดีของมึง ปากเก่ง ไม่ยอมใคร แต่ก็พอจะมองออกว่าลึกๆ มึงมีดีบางอย่าง แล้วไอ้ที่กูบอกว่าชอบมารวยก็เพราะ...โคตรงี่เง่าเลยว่ะกูอยากอยู่ในสายตามึงมั้ง)
“ปัญญาอ่อน”
(ด่ากูปัญญาอ่อนแล้วยิ้มทำไมครับ?)
“สัดเอ้ย!” ผมรีบโยนโทรศัพท์ไปที่อื่นพยายามตั้งสติเพื่อไม่ให้ความเขินเข้าครอบงำตัวเอง ผมรู้สึกไม่เป็นตัวเองก็ครั้งนี้นี่แหละ ขนตูดไม่ได้ลุกแต่มันก็ให้ความรู้สึกเขินๆ เหมือนกัน
(จะเขินก็เขินไม่เห็นต้องวางฟอร์มไรเลย) เสียงไอ้เซย์ที่เล็ดลอดออกจากโทรศัพท์ดังขึ้น เมื่อผมตั้งสติได้จึงค่อยๆ เลื่อนมือไปเอาโทรศัพท์ที่โยนไว้ขึ้นมาเหมือนเดิม หน้าไอ้เซย์ที่จ้องผมผ่านจอโทรศัพท์ยิ้มออกมาเล็กน้อย
“อย่าทำหน้าเหมือนเอ็นดูกู”
(ก็กูเอ็นดูจริงๆ ไม่ให้กูเอ็นดูจะให้กูดูเอ็นมึงรึไง?)
“เรื่องจัญไรนี่ให้บอกมึงเลย” ผมส่ายหัวเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย “ละอย่างไงต่อ”
(ก็...หาเรื่องมาอยู่ในสายตามึงบ่อยๆ ชวนทะเลาะบ้างอะไรบ้างให้หัวใจกูพอมีแรง จนกระทั่งเริ่มรู้ว่ามึงเองก็ชอบมารวยกูเลยพยายามที่จะเข้าแทรกกลางระหว่างมึงสองคน จนกระทั่งมารวยไปเป็นแฟนกับพี่ชายของมึง ยอมรับเลยว่าดีใจแต่ก็อดที่จะสงสารมึงไม่ได้) ผมย้อนคิดถึงเหตุการณ์ก่อนๆ ตามที่ไอ้เซย์บอกซึ่งมันสอดคล้องกับคำพูดของมันทุกอย่าง ที่ชวนผมทะเลาะแม้ว่าสาเหตุหลักๆ จะมาจากที่ตัวของผมหาเรื่องมันก่อนมากกว่าแต่ก็ยากที่คนอย่างผมจะยอมรับ
“แต่กูไม่มีดีอะไรเลย”
(มีดิ อย่างน้อยมึงก็ไม่ได้ทิ้งกูในวันที่กูต้องการมึง) แววตาของไอ้เซย์เป็นประกายอย่างประหลาด มีทั้งภูมิใจ ดีใจ ที่ส่งมาให้ผม
“อย่าร้องไห้นะมึง” ผมรีบดักมันก่อนที่ไอ้เซย์จะปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาด้วยความซาบซึ้งใจที่มีให้แฟนอย่างผม
(เออ ไม่ร้องแล้ว อยากฟังต่อไหม)
“ได้ทั้งคืน”
(ครับ เชื่อแล้ว) ไอ้เซย์ยิ้มออกมาอีกครั้งก่อนที่จะเล่าต่อ (ก็นั่นแหละจนกระทั่งหลอกมึงมาบอกว่าจะเป็นแค่เพื่อนนอน แต่จริงๆ แล้วไม่อยากเป็นเพื่อนกับมึงตั้งแต่แรกแต่อยากเป็นมากกว่านั้น เลยหาโอกาสดูแลมึงจนกว่ามึงจะยอมใจอ่อนให้กู)
“ถือว่ามีความพยายาม”
(แต่กูพูดจริงนะไอ้บุ๊คไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...กูมีแผนสำรองเสมอ และแผนสำรองของกูมีมึงอยู่ในนั้นทุกแผน อย่าพยายามผลักไสให้กูไปมีอนาคตที่ดีตามที่มึงคิดเลย เพราะถึงอนาคตกูจะดีแค่ไหนแต่ถ้าไม่มีมึง กูคงไม่มีความสุข อันนี้กูพูดจริงๆ นะ)
“เออ รู้แล้ว ก็แค่เขว”
(แต่กูเป๋เลยนะตอนที่มึงบอกกู ถ้าให้กูเลือก กูเลือกไม่ได้แต่ที่กูรู้คือกูจะไม่ปล่อยทั้งมึงและครอบครัวของกู ยอมเห็นแก่ตัวเป็นคนจับปลาสองมือมึงคงไม่ว่าอะไรกูหรอกใช่ไหม?)
“ไม่ว่าอะไรทั้งนั้นแหละสัด”
(ไม่ต้องห่วงเรื่องเงินนะกูว่าเงินเก็บกูมีมากพอให้ไปตั้งตัว ดังนั้นตอนนี้มึงไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว)
“ไม่กังวล” ผมทิ้งตัวลงนอนอีกครั้งโดยที่ตั้งโทรศัพท์ไว้ข้างๆ ส่วนไอ้เซย์เองก็กลับมาที่เตียงนอนของมัน ซึ่งผมสองคนพร้อมที่จะนอน และทิ้งเรื่องไม่สบายใจไว้ข้างหลัง
(ถ้าง่วงมึงนอนเลยนะ)
“แล้วมึงล่ะ?”
(ขอดูมึงนอนก่อนแล้วกูค่อยนอน...)
“ฝันดีนะเว้ย” ผมหลับตาลงปล่อยให้ไอ้เซย์นอนมองผมผ่านโทรศัพท์ แม้จะอยู่ห่างกันอย่างไรแต่ถ้าใจของพวกเราไม่ไปไหนก็ไม่ทำให้ความรักของพวกเราไกลกันเหมือนระยะทาง
(จุ๊บ....ฝันดีครับ) เซย์กดริมฝีปากลงบนหน้าจ่อที่เปรียบเสมือนช่องทางที่ส่งไปให้กับบุ๊คที่นอนหลับตาอยู่ตรงหน้า เขาขอบคุณเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้น เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้เขาเห็นอีกด้านที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นของบุ๊ค
น่ารักขนาดนี้จะไปหาจากที่ไหนได้
เช้าวันต่อมา
แม้ว่าเซย์จะต้องไปกลับไปอยู่ที่บ้านชั่วคราวแต่งานที่มาถึงในค่ำคืนนี้คือเฟชชี่ไนท์ ตลอดทั้งวันเขาไม่มีเวลาติดต่อใครเลยแม้กระทั่งบุ๊คเพราะงานที่รัดตัวบวกกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในหลายๆ ส่วนทำให้เซย์วุ่นเป็นพิเศษจนยกเลิกขึ้นร้องเพลงตามที่ตกลงกันเอาไว้กับวดนตรีของคณะ
ในด้านของบุ๊คเองได้โอกาสที่จะไปดีลคิวที่เซย์ยกเลิกและเปลี่ยนเพลงกะทันหันเพราะเขาตั้งใจจะร้องให้เซย์โดยเฉพาะ อย่างน้อยก็ได้ทำอะไรที่สื่อถึงความรักที่เขามีต่อเซย์บ้าง มันเปรียบเสมือนความรู้สึกที่อยู่ภายในใจ
“ให้ผมช่วยไหมพี่” ไอ้อาร์มเดินเข้ามาหาผมหลังจากที่ผมบังเอิญเจอมันที่คณะ ผมลืมบอกไปว่าผมกับมันเคลียร์กันแล้ว ถ้าอยากรู้ว่าเคลียร์กันอย่างไรก็ไปอ่านได้ที่ E-Book ไม่ได้ขายของนะแต่ไรท์บังคับให้ต้องขาย
“งั้นฟังกูว่าบอดหรือเพี้ยนไหม” ผมนั่งอยู่บนเก้าอี้ก่อนจะเริ่มเล่นกีตาร์ให้ไอ้อาร์มฟัง
“พี่ร้องด้วยเหรอ?”
“เออ อยากแทรกดิว่ะ” ผมด่าไอ้อาร์มที่อยู่ๆ มันก็พูดแทรกขณะที่ผมกำลังจะเริ่มร้องเพลง
“โทษๆ พี่” ผมเริ่มเล่นใหม่อีกครั้ง ครั้งนี้อาร์มไม่พูดแทรกผม มันเอาแต่นั่งมองนิ้วผมที่จับคอร์ดและคอยเช็กว่าผมควรจะปรับตรงไหนบ้าง บอกได้เลยว่าไม่ได้เพราะขนาดนั้นแต่ก็พยายามทำออกมาให้ดีที่สุด
“เอาตรงๆ นะพี่ยังค่อมบางจังหวะ เอางี้ไหมให้ผมขึ้นไปเล่นคีย์บอร์ดให้เอาป่าว น่าจะประคองจังหวะให้พี่ได้ยึดบ้าง อย่างน้อยก็จะได้ไม่อายมาก” หลังจากที่ผมเล่นจบไอ้อาร์มก็รีบเสนอตัวมาช่วยผมทันที
“มันแย่เหรอวะ?”
“ไม่มากพี่ แต่มันติดที่ว่าพี่อาจจะไม่ถนัดเวลาเล่นและร้องไปด้วย”
“เอางั้นก็ได้” ไอ้อาร์มพยักหน้าตอบรับส่วนผมเองก็ฝึกซ้อมอยู่สักพักเพราะกว่าจะเริ่มงานก็อีกหลายชั่วโมง ผมอยากเห็นตอนที่ไอ้เซย์มันเห็นว่าผมอยู่บนเวทีจัง หวังว่ามันคงจะประทับใจกับสิ่งที่ผมตั้งใจจะทำให้มัน
Say’ s talk
“เหลือเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงตรวจความเรียบร้อยด้วยนะ” ผมหันไปบอกรุ่นน้องและเพื่อนๆ หลังจากที่เตรียมงานมาตั้งแต่เช้า มีปัญหามากมายที่ต้องรีบแก้ไขเฉพาะหน้าทำให้ผมจำเป็นต้องยกเลิกคิวที่ขึ้นร้องเพลงเพื่อมาสแตนด์บายส่วนอื่นๆ
“โอเคครับพี่เซย์” มันไม่มีเวลาให้ผมต้องคิดมากเรื่องอื่นๆ เลย โดยเฉพาะเรื่องของไอ้บุ๊ค แม้ว่าใจอยากจะไปหามันแทบขาดแต่ผมก็ไม่สามารถที่จะทิ้งงานส่วนนี้ไปได้
“พี่เซย์คะข้าวค่ะ” ฝ่ายสวัสดิการเอาข้าวกล่องมาให้ผม ผมก้มมองนาฬิกาข้อมือเพื่อดูว่าพอจะมีเวลาที่ผมสามารถยัดข้าวลงกระเพาะไหม แต่ถ้าไม่กินตอนนี้ผมก็จะไม่ได้กินอีกจนกระทั่งจบงาน
ผมรีบกินข้าวก่อนจะหันไปทำงานส่วนอื่นที่คนไม่พอ เป็นหัวหน้าใช่ว่าจะมีสิทธิ์ออกคำสั่งอย่างเดียวเพราะงานหลักๆ คือซับพอร์ททุกส่วนๆ
เวลาผ่านไปจนกระทั่งถึงเวลาเปิดงาน ผมออกมายืนอยู่ตรงจุดควบคุมเวทีและคอยให้สัญญาพิธีกรดำเนินงานเมื่อถึงเวลา ในมือของผมมีสคริปต์เพื่อรันงานทุกอย่างผมจะต้องคอยควบคุมเวลาทั้งหมดจนกระทั่งให้สัญญาผ่านวิทยุกับคนคุมเวทีอีกที
“พี่เซย์เรียกเวทีครับ” ผมยกวิทยุขึ้นมาเพื่อเรียกน้องๆ ที่คุมเวทีที่อยู่ห่างจากผมออกไปไกลพอสมควร
(เวทีครับพี่เซย์) สัญญาณปลายสายตอบกลับมา
“อีกห้านาทีให้แบรนด์ขึ้นมาตั้งเครื่องดนตรีเลยนะ”
(รับทราบครับ) ผมกดวางก่อนจะมุ่งหน้าไปยังจุดต่างๆ เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้ายในเวลาห้านาทีก่อนที่แบรนด์จะขึ้นเตรียมเครื่องดนตรี
บรรยากาศภายในงานเริ่มมีคนเข้ามาเยอะพอสมควรเพราะนอกจากประกวดดาวเดือนของคณะยังมีกิจกรรมต่างๆ อีกมากมายที่หลอกล่อในนักศึกษาในคณะเข้ามาร่วมกิจกรรม อย่างน้อยก็มีอาหารฟรีที่ทางคณะกรรมการนักศึกษาอย่างพวกผมคอยจัดการ
“พี่เซย์ทางนี้เรียบร้อยไหมพี่” ผมกลับมายืนที่จุดประจำการหลังจากที่ตรวจสอบทุกอย่างเรียบร้อยตามที่วาง
“เรียบร้อยๆ” ผมยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดเหงื่อก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงกับเก้าอี้ นี่ผมไม่ได้นั่งมาเกือบครึ่งค่อนวันเลย ขอหลับตาพักสักพักปล่อยให้งานรันไปเรื่อยๆ
“และแล้วก็ถึงเวลาที่วงดนตรีของคณะจะมาบรรเลงเพลงเพราะๆ ให้ทุกคนได้ฟังในค่ำคืนนี้ ได้ข่าวว่ามีการแสดงพิเศษด้วยใช่ไหมคะ”
“ครับ ถ้าอยากรู้ก็ต้องไปรับชมและรับฟังกันเลย”
เวลานี้ที่ผมว่างผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมจะโทรหาไอ้บุ๊คแต่แล้วเสียงบนเวทีก็ทำให้ผมชะงักค้างก่อนจะอ้าปากออกมาเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่บนเวที.....
“สวัสดีครับ แปลกใจใช่ไหมที่ผมขึ้นมาร้องเพลง เอาจริงก็ไม่อยากจะขึ้นมานักหรอก แต่ว่า..ผมอยากมอบเพลงนี้ให้กับคนพิเศษของผม” สายตาของไอ้บุ๊คที่ยืนอยู่บนเวทีมองลงมาสบตาผมที่นั่งอยู่ด้านล่าง มันมองสบตาผมสักพักก่อนจะหันกลับไปจัดการกับเครื่องดนตรีที่มันเตรียมมา ยอมรับเลยว่าไม่ว่าไอ้บุ๊คจะขยับตัวไปทางไหนมันดึงดูดสายตาผมเอามากๆ โดยเฉพาะ
“เพลงนี้เก่าหน่อยนะครับ แต่ความหมายค่อนข้างดีเลย” ผมพยายามตั้งใจฟังว่าไอ้บุ๊คจะเล่นเพลงอะไร ถ้าหวังให้มันเล่นเพลงซึ้งๆ หวานๆ ผมว่าคงคิดผิด
จังหวะที่มันจับคอร์ดและค่อยๆ ดีดกีตาร์ผมยิ้มออกมาทันที
แม้ว่าไอ้บุ๊คจะไม่ได้ร้องขึ้นมาในช่วงอินโทรแต่มันพยายามตั้งใจเล่นกีตาร์ ตอนนี้มือของมันกำลังเกร็งบ่งบอกว่ามันกำลังกังวลว่าจะทำออกมาดีไหม จนกระทั่งมันหันไปหาไอ้อาร์มเพื่อบอกให้ไอ้อาร์มจะหยุดร้องเพื่อที่จะเข้าในจังหวะแรก
ฉันเฝ้าถามความสุขอยู่ที่ไหน ชายที่เขาเดินผ่านฉันเข้ามา
บอกกับฉันขอร่มสักคัน แต่ว่าที่มือเขาก็มีหนึ่งคัน
ก็แปลกใจ ท่ามกลางหยดฝนโปรยปราย
เขาก็ถามฉันว่าอยากสุขไหม ลองหุบร่มในมือสักพักหนึ่ง
และเงยหน้ามองวันเวลา มองหยดน้ำที่มันกระทบตา
ยังเปียกอยู่ใช่ไหม หรือไม่มีฝน
“กูถามตรงๆ นะกูไปทำอะไรให้มึงเกลียดนักหนาวะ”
“เกลียดมันไม่มีเหตุผล”
“เหมือนความรักที่รักแบบไม่มีเหตุผลอย่างนั้นดิ??”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้แต่แค่กูเกลียดไม่ใช่รักมึง”
ผมอมยิ้มให้กับบทสนทนาที่ผมกับมันเคยคุยกันตั้งแรกๆ ผมไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อนว่าไอ้บุ๊คมันจะยอมเป็นแฟนกับผม ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าทะเลาะกันรุนแรง ความคิดที่ผมกำลังคิดบวกกับเนื้อร้องและเสียงเพลงที่มันกำลังบรรเลง ผมบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร แต่ที่แน่ๆ ผมโคตรมีความสุขเลย
บนท้องฟ้าไม่มีอะไรแน่นอน ถ้ามองจากตรงนี้
เดี๋ยวก็มืด แล้วก็สว่าง
อาจจะมีฝนก่อเป็นพายุ หรือลมลอยปลิวอยู่แค่นั้น
สุขที่เคยเดินทางตามหามานาน
ไม่ได้ไกลที่ไหน อยู่แค่นี้เอง
ผมเองก็หวังว่าพายุที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้มันจะค่อยๆ ผ่านไป ไม่ว่าพายุมันจะรุนแรงแค่ไหนแต่ถ้าโครงสร้างของผมกับมันแข็งแรงพอเราทั้งคู่ก็จะสามารถผ่านพายุนี้ไปได้ไม่ยาก
เราสองคนสบตากัน สายตาของไอ้บุ๊คตอนนี้มันแสดงออกเต็มที่ว่ามันรู้สึกอย่างไรกับผม แม้จะไม่มีคำพูดหวานๆ หรือคำบอกรักแต่การกระทำที่ผมเห็นในวันนี้ มันโคตรชัดเจนและเป็นเครื่องยืนยันว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นไอ้บุ๊คมันไม่มีทางที่จะปล่อยมือผมไปไหนแน่นอน
ยิ้มฉันยิ้มมากกว่าทุกครั้ง
สุขที่ฉันตามหามาแสนนาน
อยู่ตรงนี้ แค่เพียงเข้าใจ อย่าไปยึด
ถือมันและกอดไว้ ก็แค่ร่มเท่านั้น เท่านั้น
ก็เท่านั้นแหละครับความรักของผมกับมัน ที่ไม่มีอะไรแน่นอนคาดเดาอะไรไม่ได้ แต่สิ่งที่มั่นใจอย่างเดียวก็คือ...ไม่มีอะไรที่สามารถแยกระหว่างเราจากนี้และตลอดไป
Book’ s talk
สายตาของไอ้เซย์ที่มองมันบ่งบอกว่ามันมั่นใจในตัวผมเอามากๆ เหมือนที่ผมมั่นใจในตัวของมันในทุกๆ เรื่อง หลังจากที่ร้องเพลงจบผมกับมันไม่มีโอกาสที่ได้อยู่ด้วยกันสองคนเพราะหน้าที่ของไอ้เซย์ที่รัดตัว ซึ่งอันนี้ผมเองก็เข้าใจ แม้ว่าจะรอมันจนจบงาน ผมก็ไม่สามารถพูดคุยอะไรกับมันได้มากเพราะ...คุณยายมันส่งขนขับรถมารับ และคำพูดที่มันพูดกับผมก่อนที่จะขึ้นรถไปยังคงตราตรึงอยู่ในใจของผมจนถึงตอนนี้
‘ไอ้บุ๊ค..สิ่งที่มึงทำทั้งวันนี้และที่ผ่านมากูเชื่อแล้วว่ามึงจะไม่ปล่อยมือกูไปไหน แต่ขออย่างเดียวอย่าไปหวั่นไหวเพราะการกระทำของคนอื่นโดยเฉพาะยายของกู ท่านก็แค่ขู่..ถ้าเราผ่านตรงนี้ไปได้ก็ไม่มีใครแยกเราสองคนออกจากกัน’
‘.....’
‘อดทนเพื่อกูนะ’
ถ้าผมไม่อดทนเพื่อมันจะให้ผมอดทนเพื่อใคร
ผมกลับมาที่ห้องด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง การที่แสดงความรู้สึกออกไปโดยที่ไม่แคร์สายตาของตัวเองและคนอื่นมันก็รู้สึกดีอย่างนี้นี่เอง
ผมกดโทรหาไอ้เซย์ทันทีที่ถึงห้อง ภาพที่เห็นตรงหน้าคือใบหน้าของไอ้เซย์ที่ยิ้มให้ผมเหมือนอย่างทุกที
(ขอบคุณนะมึง ได้คุยกับมึงแค่แปบเดียวเอง)
“เออ ดีกว่าไม่ได้คุย” ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงทั้งๆ ที่ยังไม่ได้อาบน้ำ
(ไปเอาเวลาที่ไหนไปฝึก ไหนบอกกูว่าเล่นกีตาร์ไม่เป็นไง) ไอ้เซย์คาดคั้นเอาคำตอบด้วยท่าทีไม่จริงจัง
“ก็เห็นมึงอยากให้กูเล่นก็เลยฝึก ก็ครั้งนั้นที่ทะเลาะกับมึงเพราะกูให้ไอ้อาร์มสอนนั่นแหละ เข้าใจกูหรือยังว่าทำไมต้องไปใกล้ไอ้อาร์ม”
(อืม แต่ทีหลังไม่เอาแล้วนะมึง ไม่อยากให้มึงไปใกล้ใครแล้วว่ะนอกจากกู)
“เลี่ยนฉิบหาย” ผมส่ายหน้ายิ้มๆ มองไอ้เซย์ที่กำลังเดินออกไปนอกห้องและยืนที่ระเบียง
(ไอ้บุ๊คออกมาตรงระเบียงเร็ว) ผมไม่ได้ถามว่าทำไมแต่ยอมเดินออกไปที่ระเบียงตามที่ไอ้เซย์ออก (ชูมือขวาขึ้นมาวางไว้ที่ขอบฟ้านะ)
“ทำอะไรวะ”
(ทำเถอะหนา) ผมยกมือขึ้นให้ขนาดกับท้องฟ้าตามที่ไอ้เซย์บอก
“แล้วไงต่อ” อยู่ๆ ไอ้เซย์ก็หมุนกล้องกลับหลังทำให้ผมเห็นมือของมันที่ทำเหมือนผมอยู่
(มึงเปลี่ยนกล้องเหมือนกู) ผมกดหมุนกล้องเหมือนไอ้เซย์ทำ (มึงเห็นดวงจันทร์ไหมไอ้บุ๊ค ตอนนี้เรากำลังจับดวงจันทร์ดวงเดียวกันอยู่) น้ำเสียงของไอ้เซย์ดูตื่นเต้นที่ได้ทำอะไรโรแมนติก แต่ผม....
“ไอ้เซย์คือว่าระเบียงห้องกูอยู่คนละฝั่งกับดวงจันทร์....”
(.........)
“แต่ถึงอย่างไงกูก็สัมผัสได้นะเว้ย”
ขอโทษนะ กูจะเปลี่ยนฝั่งห้องเพื่อมึงก็แล้วกัน
ปล. อยากเป็นคู่หมั้นพิเซย์จริงๆเล้ยยย
ประกาศ เรื่องของ #นนอาร์ม ไรท์จัด E-Book ไว้แล้วนะคะ ซื้อได้เลยราคา 50 บาทเท่านั้น!!
ทั้ง MEB และ FICTIONLOG
FICTIONLOG :
https://fictionlog.co/eb/5da71100c6da6a001ad1740dMEB :
https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMjE0MzkwNiI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjEwNjQ1NCI7fQ