19
ธันวา : นรกเปิด
"มึงเอาจริงหรอวะธัน” ไอ้วีถามเป็นรอบที่สิบ
“ก็อาจจะดีกว่านั่งเฉยๆ” ไอ้เสือมันมองไปข้างหน้าสามก้าวเสมอ
“จัดการไปยังวะไอ้วิว”
“เออ คราวนี้มันหลอนแน่”
“ทำอะไรหรอ” ไอ้ลิตเติ้ลยังใสๆ แต่รายนี้น่าจะช่วยได้บ้างในฐานะคนวงใน
“แล้วมึงล่ะ สิบโท จะช่วยกูป่ะ”
“กูจะช่วยไลท์” ผมรู้ว่ามันต้องตกลง “เพราะมึงคงยังดูแลไลท์ไม่ได้”
ผมเลือกที่จะไม่ต่อล้อต่อเถียง “ทางนี้ให้ไอ้วิวจัดการดูแลทุกอย่างไป ที่เหลือเตรียมตัวให้ดี บ่ายวันนี้เราจะไปบุกสโมฯ”
“ผมขออยู่เฝ้าไลท์นะ” คนนี้ก็ยอมให้ทำไปแล้วกัน เห็นว่าลาเรียนมาเลยนี่นะ พ้นช่วงสามวันไปนี้คงจะดีขึ้นบ้าง
“ยังไงก็ตาม เรื่องนี้ห้ามพลาด” ผมย้ำ “
เด็ดขาด”
ตามที่ผมบอกนั่นแหละ งานนี้ห้ามพลาดจริงๆ หากต้องการให้ไลท์ปลอดภัย เวลานี้ทำได้เพียงกันพวกนั้นให้อยู่ห่างตัวให้ไกลที่สุด แต่หากจะทำให้ไลท์ต้องปลอดภัยในระยะยาว ก็ต้องแน่ใจว่าพวกนั้นจะไม่เข้ามายุ่งอีก เพราะนี่เป็นปีสุดท้ายของผมแล้ว วันข้างหน้า จะให้คอยตามไม่ห่างคงจะยากหน่อย
นั่นเป็นเหตุให้ผมยืมฉายาของไอ้วิวมาใช้ แต่อย่าเข้าใจผิดนะครับ ฉายาที่หลายคนรู้จักของมันไม่ใช่ของจริง
‘เจ้าพ่อฮาเร็ม’ คือฉายาที่เพิ่งเกิดขึ้นหลังจากเรียนมหาลัยแล้ว ส่วนฉายาดั้งเดิมเกิดจากพื้นฐานทางครอบครัวยากูซ่าของมัน พ่อมันมีทั้งธุรกิจค้าไม้ โรงแรม รีสอร์ท โลจิสติก และอาหาร มีเส้นสายมากมายทั่วประเทศ ทั้งบนดินใต้ดิน เวลาไปติดต่อคุยงานทีก็ลากไอ้วิวไปด้วย ทักษะการรวบรวมคนและข่าวสารของมันจึงร้ายกาจมาก แม้ยังไม่เข้าขั้น แต่ก็ไร้ผู้ใดในรุ่นเดียวกันทาบติด ห้าปีที่อยู่ที่นี่ ไม่รู้ว่ามันขุดวางรากลงไปลึกแค่ไหนแล้ว
ครั้งนี้ผมจะขอชมฝีมือของนรกหมายเลขสองฉายา
‘ปีศาจแมงมุมดำ’ เป็นขวัญตาอีกสักครั้ง สิ่งที่ผมมอบหมายให้มันคือการสร้างความหวาดกลัวให้ศัตรูของไลท์ ทุกที่ๆพวกมันไป ที่ๆพวกมันอยู่ ที่ๆมันนอน แม้กระทั่งที่ๆพวกมันคิดว่าปลอดภัยที่สุด จะมีสิ่งที่คอยย้ำเตือนมันว่ามีคนจับตาดูอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นข้อความเตือน คำขู่ หรืออาจเป็นแค่คำทักทายใสๆในลิ้นชักโต๊ะ ของพวกนี้จะปรากฏในที่ๆแม้แต่พวกมันเองก็คิดไม่ถึง คราวนี้ถ้ายังกล้าลงมืออีกก็ถือว่ามันรนหาที่เองละกัน
อย่างที่ไอ้วิวว่า คราวนี้มันต้องหลอนแน่ๆ
ช่วงเช้าเป็นช่วงที่ทุกคนค่อนข้างยุ่ง ทว่ามีเหล่าคนที่แยกตัวออกไปแล้วคือไอ้เสือกับไอ้วี สองคนนี้ไม่ต่างจากคู่หูวิชามาร ฉายาไอ้วีแม้ไม่เป็นที่รู้จักแต่ก็ร้ายกาจ เหตุผลที่ฉายานี้ถูกสร้างขึ้นมาก็เพราะนิสัยไม่แสดงตัวของมันนั่นแหละ คนทั่วไปจะรู้จักมันในเรื่องของ
‘เจ้าแห่งวิชามาร’ เพราะมันมักจะทำสิ่งที่ไม่น่าสำเร็จให้สำเร็จได้ ครั้งนี้มันแท็กทีมกับไอ้เสือ ผู้ที่ผมแอบตั้งฉายามันตั้งแต่เด็กว่า
‘นรกตายซาก’ ทีมนี้รวมกันแล้วค่อนข้างมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ทีเดียวว่าจะสำเร็จตามแผน
เว้นไอ้สิบโท ไอ้นี่มันคนดีเกิน กลัวจริงๆว่ามันจะขัดแผนการของผมที่เน้นรุกรับใต้น้ำ ตัวมันที่เป็นคนเปิดเผยชัดเจนยอมมาร่วมวงก็เพราะน้องไลท์คนเดียว ไม่รู้จะดีใจดีหรือเปล่า
แล้วตัวผมทำหน้าที่อะไรน่ะหรอ...
ใช่แล้ว ผมคือปีศาจที่ถูกขังอยู่ในขุมนรก ตลอดเวลาผมถูกจองจำอย่างสงบมาโดยตลอด แต่ครั้งนี้ เมื่อมันเกี่ยวข้องกับไลท์ ปีศาจตนนี้จะขออาละวาดให้ถึงที่สุด
--------------------------------------------------------------------------
ผมอยู่กับไลท์และเพื่อนของเขาที่โรงอาหารในตอนกลางวัน กำชับทุกคนแล้วว่าไลท์ต้องไม่รู้เรื่อง ผมไม่อยากให้เขาต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็เหมือนไอ้สิบโท ไลท์เป็นคนอ่อนโยนเกินไป เขาต้องปฏิเสธแผนการของผมแน่ แต่เรื่องนั้นยังไม่น่ากังวลเท่าสายตาของคนที่มองเข้ามาในตอนนี้ เรื่องเมื่อคืนคงจะสะพัดไปแล้ว ดีหน่อยที่ส่วนใหญ่ยังคงเข้ามาถามอาการเพราะห่วงใย
“ไลท์เป็นไงบ้างเนี่ย” ยัยออมครับ เธอเป็นแฟนคลับไลท์ “ดูซิ เจ็บแย่เลย ทำไมถึงทำกับน้องพี่ขนาดนี้ก็ไม่รู้เนอะ ใจร้ายจัง”
“ไม่เป็นไรครับพี่ออม ผมเก่งซะอย่าง เดี๋ยวก็หายแล้ว ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วง” ไลท์นี่ก็ชอบหวานใส่ชาวบ้านเขาไปทั่ว ผมซึ่งนั่งประกบข้างเขาอยู่ขยี้หัวไปทีนึง
“หว่านเสน่ห์อยู่เรื่อยเลยนะเรา หื้มมม”
“พี่ธันน ไลท์ยังไม่ได้ทำอะไรเลย”
“แค่ยิ้มก็หว่านเสน่ห์แล้ว”
“พี่ธันไม่กินข้าวหรอ มา... ไลท์ป้อน” น่ารักที่สุด ผมงี้ยิ้มจนหุบไม่ลงเลย สรุปแล้วมื้อกลางวันของผม เราสองคนกินข้าวด้วยกัน น้องไลท์ดูจะยังเขินๆอยู่บ้าง ส่วนผม...ไม่รู้ตอนไหนเหมือนกันที่ทำให้ผมเลิกสนใจคนอื่นโดยสิ้นเชิง ใครจะมองว่ายังไงก็ไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว
“หวานกันจริงนะคู่เนี๊ยะ หมั่นไส้จริงเลย” ไอ้อะตอมตัดพ้อ นี่เพื่อนออม
“ซี่โครงมึงเป็นไงบ้างไลท์” น้องคนนี้ชื่ออุ้ม ผมชอบน้องคนนี้เพราะว่าเธอไม่เคยทิ้งไลท์เลย
“อืม ดีขึ้นบ้างแล้วล่ะ แต่คงยังทำอะไรหนักๆไม่ได้แน่ๆ”
“งั้นมึงก็ลาออกไปเหอะ งานแต่ละงาน กูยังไม่เห็นว่าจะมีอะไรไม่หนักเลย” พูดได้ตรงมากน้องอุ้ม ที่จริงผมควรจะขอบคุณเธอ สำหรับเรื่องไลท์
“เอ่อ...น้องอุ้มครับ พี่ขอบคุณมากเลยนะที่คอยช่วยไลท์น่ะ”
น้องดูอึ้งมาก ออกจะเขินๆด้วย พักหลังมานี่พอผมทำดีๆกับใครเป็นอันต้องตกใจทุกคนสิน่า มันเป็นเพราะอะไรวะ
“มึงเขินเชี่ยไรอุ้ม เดี๋ยวเหอะ” อันนี้ไลท์หึง ดีใจจัง หมั่นไส้ด้วย อยากแกล้ง.... แล้วผมก็แกล้งถอดแว่นของไลท์ออกมาลองใส่ดูบ้าง ไลท์ตอนไม่มีแว่นก็น่ารักไปอีกแบบ
“พี่ธัน ไลท์มองไม่เห็น”
“มองไม่เห็นอะไร ไม่ได้ตาบอดสักหน่อย...” ผมลองสวมแว่นไลท์ดู “โห?? อะไรเนี่ย ไลท์สั้นเท่าไหร่”
“ก็ เจ็ดร้อยกว่าๆเอง“ เจ็ดร้อย แม่เจ้า ตอนนี้ผมกำลังเป็นคนตาบอดหลังเลนส์ เห็นแต่ภาพอะไรไม่รู้ ไม่คุ้น
“น้องไลท์ใช่มั๊ยคะ” มีเสียงผู้หญิงมานั่งตรงข้ามไลท์ ผมคุ้นเสียงอยู่หรอก แต่มองผ่านแว่นแล้วไม่แน่ใจ น้องเองก็คงมองไม่ชัดเหมือนกัน
“ใครวะน่ะ เสียงคุ้นๆ” ผมถาม ไลท์ยังคงพยายามแย่งแว่นกลับ
“เชี่ยธัน กูสา” อ๋อ ฝ่ายสถานที่ของสโมฯ อันที่จริงสาเป็นผู้หญิงอินดี้ที่น่ารักนะ ทำไมตอนนี้ถึงได้บิดเบี้ยวพิกล
“เอามานี่เลย” ไลท์แย่งได้ในที่สุด
“มีไรวะ มาหากูถึงนี่ อยากให้ช่วยอะไร”
สาดูหนักใจมาก ผมดำมันที่ตัดฉียงเสมอแนวคางดูห้อยย้อย ต่างหูวงใหญ่แกว่งน้อยๆตามการเคลื่อนไหวของใบหน้าเรียบเฉย สาไม่ชอบทารองพื้นหรือแต่งหน้าจัด เพียงเขียนขอบตาคมๆเท่านั้น แต่ทุกคนก็จะฟันธงว่าเธอเป็นผู้หญิงสวยดุมีสมองทันทีที่ได้เห็น
“กูมีเรื่องอยากจะถาม”
“ว่ามาสิ”
“มึงเป็นคนขอให้ย้ายห้องประชุมเชียร์หรอวะ” อืม...จะว่ายังไงดี งานไอ้วีนี่ยังเร็วเหมือนเดิม เร็วกว่าที่ผมคาด
“ก็ห้องเก่ามันเล็ก เด็กมันอึดอัดแย่ จะทำกิจกรรมอะไรก็ยาก ถูกมั๊ย”
“มึง เหตุผลแค่นี้ไม่พอหรอกนะเว้ย ย้ายสถานที่มันงานใหญ่นะ ไหนจะต้องขอไปทางคณะบดี กว่าจะรอผล ทำความสะอาด จัดเวที นี่ก็เหลือแค่ไม่กี่วัน มันจะคุ้มหรอวะ”
“แล้วมึงรู้ได้ไงว่ามันไม่คุ้ม” ผมกำลังคิดว่าเข้าทางสาอีกทางน่าจะดี เธอมีเหตุผลและคุยได้ ที่เธอมาหาผมก่อนเพราะต้องการที่จะรับมือกับเรื่องที่จะเกิดขึ้นและถ้าผมคิดไม่ผิด เธอเองก็ดูจะไม่ค่อยชอบคณะจัดเชียร์ปีนี้เท่าไหร่นัก
“กูไม่ชอบคำว่า
น่าจะ.. เลยนะเว้ย มึงมั่นใจใช่มั๊ยว่ามันจะไม่เป็นปัญหา”
“ปัญหามันมีแล้ว มึงไม่ต้องกังวลหรอก คราวนี้กูลงมาช่วยพวกมึงโดยเฉพาะ ขอแค่พวกมึงเปลี่ยนชุดคนคุมเชียร์ให้หมดทุกคนก็พอ”
สาลังเล เธอชำเลืองมองไลท์แล้วถอนหายใจ หลายคนไม่แปลกใจแล้วที่ผมคบกับไลท์ คณะนี้ค่อนข้างเป็นตัวของตัวเอง ชีวิตใครชีวิตมันไม่เกี่ยวข้องกัน และงานที่ล้นมือล้นสมองก็ช่วยลดความเผือกของทุกคนลงไปได้กว่าครึ่งเลยทีเดียว
“เอาจริง กูก็ไม่ได้เห็นด้วยกับเรื่องนี้นะ ไม่นึกว่าไอ้ก๊อตมันจะกล้าทำ”
“สายตาดูคนของพวกมึงนี่...แย่ลงรึเปล่า” สามองผม เธอลังเลอะไร...รึว่า “--อย่าบอกนะว่าเด็กเส้นไอ้บอล”
เธอไม่ตอบ ก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนดี
“กูเบื่อจะต่อล้อต่อเถียงกับพวกแม่งแล้ว” เธอขยับนั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ยาว ท่าประจำเวลาเธอหงุดหงิดใจ “ถ้ามึงกลับไปช่วย อะไรมันก็คงง่ายขึ้นแหละมั้ง”
“กูบอกมึงแล้วว่าเหนื่อยๆ มึงก็ไม่ฟัง...” ผมไม่อยากรื้อปมทะเลาะเก่าแก่ “เอาเถอะ รอตอนบ่ายตอนที่พวกมึงประชุมกัน แล้วจะรู้เอง”
“....มึง...”
“อ้อ เอาไอ้เต้ไปด้วยนะ” ไอ้เต้เคยเป็นคนคิดกิจกรรมสนุกๆในคณะ หัวมันสร้างสรรค์ แต่มันสู้เหล่าประธานสโมฯหัวโบราณไม่ไหว
“ไอ้เต้หรอ....มันคงมาให้มึงแหละ”
“บอกว่ากูขอมาเอง”
วินาทีนี้ผมต้องสงบอารมณ์เพื่อเค้นสมองให้มากที่สุด ถึงผมจะมีอิทธิพลทางความคิดแต่ก็ไม่สามารถจัดกิจกรรมใหญ่แบบนี้ตามลำพังได้ ยังไงเสียกำลังคนก็ยังจำเป็น ทางที่เร็วที่สุดคือการยึดอำนาจ ตอนนี้ยังไปได้สวยอยู่ รอไปวัดผลกันจริงๆบนสโมฯอีกที
“มีเรื่องอะไรกัน พี่ธันจะมาคุมเชียร์หรอ” ไลท์ถาม ไม่ใช่คนโง่ด้วย พูดอ้อมๆเอาดีกว่า
“ก็คล้ายๆแบบนั้นแหละ ไหนๆก็ปีสุดท้ายแล้ว ขอทิ้งลายไว้หน่อยแล้วกันนะ”
“เป็นเพราะไลท์รึเปล่า” เขาทำเสียงได้รู้สึกแย่มากๆ
“ก็ส่วนหนึ่งพี่ก็ต้องดูแลไลท์ให้ปลอดภัยไง” ผมหอมกระหม่อมไลท์ คนอะไรหัวห๊อมหอม “เพื่อไลท์ พี่จะทำทุกอย่าง”
“หวานไปละ เกรงใจคนอื่นเขาบ้าง”
“ด้านได้อายอดนะครับ คนดี” ผมฉวยโอกาสตอนไลท์เผลอ จูบซอกคอน้องไปที ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่ไลท์เป็นคนที่ตัวหอมมากๆ ไม่ต้องใส่น้ำหอมก็หอมอยู่แล้ว แต่ก็ไม่รู้อะไรทำให้ไลท์หวงเนื้อหวงตัวขนาดนี้ได้นะ เล่นทุบผมซะหลายที
ไลท์หาว่าผมเป็นพวกชอบฉวยโอกาส
--------------------------------------------------------------------------
ตอนบ่าย ผมลอบออกมาจากห้องบรรยายพร้อมไอ้วี พอออกมาหน้าตึกก็เห็นคณะปฏิวัติของผมรออยู่แล้ว ประกอบด้วยสิบโท(ทำหน้าตายมาก) ไอ้วิวในชุดช็อป สา ไอ้เต้ และไอ้เสือ
“ไงเต้” ผมทักสมาชิกใหม่
“หวัดดีพี่ นึกไงเรียกผมมา”
“มีเรื่องให้ช่วยว่ะ” ผมยังไม่อยากอธิบายอะไรตอนนี้ “ไปกันเถอะ”
เราเจ็ดคนมุ่งตรงไปที่ตึกสโมสรคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์(ไม่ได้มาเป็นปีแล้ว) ห้องประชุมอยู่ชั้นสอง พอขึ้นไปถึง ทุกคนกระจายกำลังทันที ผมกอดคอไอ้เต้นั่งปักหลักอยู่หน้าประตู ไอ้สิบโทเดินอ้อมไปด้านข้างกลุ่มน้องๆปีสองปีสามราวสามสิบคนที่นั่งกันอยู่ที่พื้น ไอ้เสือและสาเข้าไปสมทบกับกลุ่มที่เป็นสตาฟหลัก ไอ้วีเป็นตัวสำคัญ มุ่งตรงไปยืนบริเวณด้านหน้าการประชุม ส่วนไอ้วิวนะหรือ โน่น พ่นควันอยู่นอกระเบียง
ทุกคนมีสีหน้างุนงงอย่างเห็นได้ชัด มากๆ
“พวกมึงมาทำอะไรที่นี่” เสียงนี้เป็นของประธานเชียร์
ไอ้บอล เด็กไอดี(ออกแบบอุตสาหกรรม)ที่ชอบโชว์กร่างในทุกกิจกรรมของคณะ ผมเห็นไอ้คนที่เป็นต้นเหตุให้ไลท์ต้องเจ็บตัวด้วย
ไอ้ก๊อต นั่งอยู่เลยด้านหลังไปหน่อย จากที่มันหน้าเสียอยู่แล้ว พอเห็นผมจ้องยิ่งหน้าซีดลงไปอีก น่าจะได้รับข้อความแล้ว และหน้าผมตอนนี้เป็นอีกหนึ่งข้อความ สื่อความหมายง่ายๆว่า
‘มึงล้ำเส้นกูก่อน’ “จากที่เจอกันครั้งก่อน มึงดูดีขึ้นมากนะ ในฐานะที่เป็นประธานเชียร์” ไอ้วีเดินเข้าไปหา “แล้ว...นี่คู่หูมึงไปไหน ไอ้อ๊อฟน่ะ” ไอ้อ๊อฟคือเพื่อนที่มันลากมาช่วยทำกิจกรรมตลอด ได้ยินว่าหลังๆชอบทะเลาะกันเพราะไอ้อ๊อฟเริ่มเด่นในสายตารุ่นพี่ ไอ้บอลมันทนไม่ได้ที่ถูกลดความสำคัญจึงเขี่ยไอ้อ๊อฟทิ้งไปจากสารบบ นี่ที่ไอ้วีมันสืบมานะ
“เรื่องเมื่อวานเป็นไงบ้าง ได้ข่าวว่ามีน้องปีหนึ่งถูกลูกน้องมึงรุมใช่มั๊ย น้องเขายังอยู่ดีรึเปล่า” ไอ้วีพูดออกมาเสียงดังจนคนหลายคนซุบซิบแลกข่าวกัน ไอ้บอลคงยังไม่ได้บอกรายระเอียดกับคนอื่นๆ “จัดการไปถึงไหนแล้วล่ะ”
“เรื่องนั้นพวกกูจัดการอยู่ และมันจบไปแล้ว”
“หรอ น่าเสียดายที่คนผิดไม่ได้รับโทษ” ไอ้วีกดดันอีกฝ่ายได้อยู่หมัดทีเดียว “กูเห็นว่าตัวการยังสบายดีอยู่เลย”
สายตาไอ้บอลกวาดตามองน้องๆทีมร้องเพลงลวกๆ หันไปหาไอ้ก๊อตที่หน้าเสียหลบอยู่ข้างหลัง จากนั้นมันมองหน้าผมแล้วพยักหน้าเรียกให้ไปคุยกันอีกห้องหนึ่ง พวกผมจึงตามไปพร้อมทีมงานทั้งหมด พอประตูปิดลงหลังจากสตาฟคนสุดท้ายเดินเข้ามา ไอ้บอลมันก็เกรี้ยวกราดทันที
“พวกมึงเอาเรื่องเชี่ยนี่ออกมาพูดอะไรตอนนี้ อยากให้มันวุ่นวายรึไง” มันเดินมาหาผม “กูอุตส่าห์ทำให้เรื่องเงียบ”
นี่มันไม่คิดจะรับผิดชอบหรือแม้กระทั่งรู้สึกผิด ส้นตีนจริงๆ “ที่คนอื่นไม่รู้เรื่องพวกนี้ เป็นเพราะมึงอยากจะเก็บความเหี้ยของพวกมึงไม่ให้ใครเห็นใช่มั๊ย รึกลัวว่าคนอื่นจะหาว่ามึงไร้น้ำยา ดูแลลูกน้องตัวเองไม่ได้”
“อย่าเอาความปากเก่งมาใช้กับกูนะไอ้ธัน กูไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน”
“อ้อเรื่องนั้นกูก็พอจะดูออกนะ” ผมกำลังจะยั่วให้มันเขว “มึงดูเหี้ยขึ้นกว่าตอนสุดท้ายที่เจอกันเสียอีก หน้าตัวเมียกว่าเดิมด้วย”
“ถ้ามึงจะมาเรื่องน้องรหัสมึงละก็ กลับไปซะ”
“อันที่จริง เพราะเรื่องนั้นแหละที่ทำให้กูต้องมาอยู่ตรงนี้ ...นี่กูควบคุมตัวเองแล้วนะ ไม่งั้นเลือดหัวไอ้ก๊อตมันได้ล้างตีนกูไปแล้ว”
“ที่กูได้ยินมาคือน้องมึงไปกวนตีนเขาก่อน ทำตัวมีปัญหา ไม่ใช่หรอ”
“แต่ที่กูเห็นมาคือไอ้ก๊อตกับพวกของมันกำลังกระทืบน้องแล้วก็ทำร้ายผู้หญิง” ไอ้เสือพูดแหวกอากาศขึ้นมา “มึงจะบอกว่าเรื่องนี้มึงสั่งการลงไปเองด้วยใช่มั๊ย”
“เหี้ย มันก็ไม่มีใครอยากให้เกิดป่ะวะ ก็แค่อารมณ์ชั่ววูบ ต่างฝ่ายต่างคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ก็แค่นั้น”
“แค่นั้นหรอ??” ไอ้สิบโทคงจะอารมณ์โกรธขึ้นหน้าเหมือนกัน ทว่าผมไม่สงบพอจะเปิดปากพูดด้วยเสียงปกติเหมือนมันได้ “ใช่ แค่ซี่โครงร้าวเอง บางทีถ้าตอนนี้กูกระทืบมึงให้จมตีนมันก็คงไม่มีอะไรใช่มั๊ย --แบบว่า...อารมณ์ชั่ววูบน่ะ”
“กูก็ยังเห็นมันมาเรียนได้ปกติ ไม่เห็นหนักหนาอะไร”
“ไอ้พี่บอลครับ ผมในฐานะผู้อยู่ในเหตุการณ์สามารถแจ้งความจับไอ้ก๊อตได้เลยนะ ถ้าน้องไลท์มันไม่ห้ามไว้” ไอ้เสือพูดออกมาลอยๆ ยืนแคะเล็บท่าทางผ่อนคลายไม่รู้สึกรู้สา
ตลอดเวลาที่พูดกันอยู่ ไอ้ก๊อตตัวต้นเหตุก็ยังยืนเฉยๆอยู่มุมห้อง หน้าตาที่เคร่งเครียดไม่รู้มาจากความกลัวรึความโกรธ อาจจะเป็นเพราะว่าพวกผมเป็นปีแก่กว่าทำให้มันไม่กล้าเล่นต่อหน้า ผมกำลังชั่งใจว่าจะบีบมันมากกว่านี้ดีไหม ในเมื่อตอนนี้คนชักใยกลับเป็นไอ้บอล คนอย่างไอ้ก๊อตที่คุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้นั้นจัดการไม่ยาก ไอ้บอลนี่แหละน่าปวดหัว ผมไม่อาจใช้กำลังบังคับให้มันวางมือได้
”ถ้าอย่างนั้นพวกมึงต้องการอะไร”
“ก็แค่ ขออำนาจสั่งการทั้งหมดในกิจกรรมเชียร์--” ไอ้วิวว่า “--จากมึงไงคร้าบ”
แล้วเมย์ก็แทรกขึ้นมา เธอเป็นคนคุมทีมเพลง “ตกลงพวกมึงมาเรื่องอะไรกันแน่ จะมาเคลียร์เรื่องน้อง หรือว่าจะมาไล่พวกกู”
“เฮ้ย! เปล่าเลยเมย์ พวกมึงก็ทำตัวปกติไปเหมือนเดิม กูกับไอ้ธันในฐานะคนกำหนดทิศทางจะไม่ขอออกหน้าเอาชื่อหรอก แค่ขอให้พวกมึงเห็นด้วยกับสิ่งที่พวกกูจะเข้ามาทำก็แค่นั้น” ไอ้วีอธิบาย
“ให้พวกกูเป็นหุ่นเชิดหรอ จะมากไปแล้วมั้ง” ไอ้บอลค้าน
“ก็ยังดีกว่าให้เรื่องนี้เผยแพร่ออกไปใช่มั๊ย”
ไอ้บอลมันยังไม่สะทกสะท้าน “คิดว่าเรื่องนี้จะทำให้กูกลัวหรอวะ พวกมึงจะดูถูกกูมากไปรึเปล่า”
ห้องเงียบกริบ ความเย็นเยียบเงียบขรึมสร้างบรรยากาศที่น่าอึดอัด สองฝ่ายมองหน้ากัน แววตาคั่งแค้นแสนสาหัสนัก แต่ไอ้วีเพียงยิ้มบางๆให้ ก่อนเดินเข้าไปชิดติดไอ้บอล ยื่นหน้าเข้าไป ผมซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด ได้ยินมันกระซิบข้างหู
“...แล้วถ้าเป็นเรื่องเมื่อสี่ปีที่แล้วล่ะ ครอบครัวมึงจะเป็นยังไงนะ ถ้ากูเปิดเผยออกมา ...เท่าไหร่นะ? สิบห้าล้านใช่มั๊ย”
“ไอ้...มึงรู้เรื่องนี้ได้ยังไง---“ ไอ้บอลมันหน้าซีดครับ ผมไม่รู้จริงๆว่าเรื่องนี้คือเรื่องอะไร
“ถ้านี่ยังไม่พอ งั้นก็เรื่อง....วันขึ้นปีใหม่ ที่โรงแรมเชอราตั้น อันนั้นกูมีคลิปด้วยนะเว้ย” ถ้าเป็นไปได้ ตอนนี้ไอ้บอลคงจะกลายเป็นวิญญาณไปแล้ว ตอนนี้สีหน้ามันไม่ต่างจากกระดาษเลยทีเดียว “นิสัยแบบนั้นของมึงก็ไม่ได้น่าเกลียดมากนะ แต่มึงประมาทไป เดี๋ยวนี้มันไม่มีอะไรไว้ใจได้ทั้งนั้นแหละ”
ไอ้วีมีชัยแล้ว มันหันไปบอกกับทุกคน “ถ้างั้นเอาตามนี้นะ เรากลับเข้าห้องประชุมกันดีกว่า”
“อะไรวะ ตกลงยังไง” เลขาไอ้บอล น้องปุยนุ่นถาม
“ก็ คงตกลงได้แล้ว ใช่มั๊ย” สาบอก ผมดูออกว่าเธองง แต่คงอยากให้เรื่องจบไวๆ
ไอ้วีช่วยอธิบายเพิ่ม “สรุปคือไอ้บอลอนุญาติแล้ว พวกกูจะมาช่วยทำเชียร์ แล้วก็ไม่ต้องแจ้งทางศิษย์เก่าหรอกนะ พวกพี่ๆลุงๆเขารู้กันหมดแล้ว”
เหล่าสตาฟที่กำลังงงอยู่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น มองมาทางไอ้บอล เมื่อมันไม่ตอบก็เข้าใจว่าเป็นไปตามที่ไอ้วีประกาศ ไอ้บอลยังคงยืนค้างหน้าซีดอยู่ที่เดิม ผมรอดูมันอยู่ที่ประตูจนกระทั่งทุกคนออกไปหมด ตอนนั้นเองที่ไอ้วีมันเดินเข้ามาอีกครั้ง “ไอ้บอล...ไปบอกลูกฝูงมึงซิ” มันมองไอ้วีแปลกๆ กึ่งทึ่งกึ่งอาฆาต “...แล้วก็อย่าคิดมาก กูยังมีเรื่องมึงกับครอบครัวอีกเยอะ แต่ไม่ต้องกลัว กูไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน ตราบใดที่มึงเลิกตอแยกับน้องไลท์และพวกกูอีก กูก็จะทำเป็นไม่รู้เรื่อง”
เหงื่อไอ้บอลมันแตกเป็นเม็ดเลยครับ ไม่รู้ว่าร้อนหรืออะไร ระหว่างที่มันเดินผ่านผมกับไอ้วี มันเอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง เป็นการขู่อย่างซึ่งหน้า...
“อย่าให้มึงพลาดบ้างแล้วกัน” หน้าไอ้บอลเอาจริงครับ
...แต่ไอ้วีเอาจริงกว่า แววตาดำมืดที่เหมือนไร้ก้นบึ้งนั่น แม้แต่ผมยังขวัญผวา
“
มึงจะทำอะไรก็ทำไป อยากล้างแค้นกูก็ไม่ว่า...แต่จำไว้ ถ้าจะเริ่มเล่นเกมกับกู มึงก็ต้องเป็นฝ่ายเริ่ม”
ฟังแล้วขนลุก ผมรู้เสมอว่าไอ้วีเกลียดการขู่ที่สุด เรื่องแบบนี้ที่มันตัดสินใจเข้าร่วม มันต้องเตรียมรับมือกับสถานการณ์เสี่ยงๆมาแล้วแน่ๆ แต่นี่เป็นเพียงทักษะอย่างหนึ่งของมันเท่านั้น เข้าใจว่าเวลาแค่นี้ไม่อาจทำให้มันแสดงฉายาที่แท้จริงออกมาได้ น่าเสียดายจริงๆ
ปรากฏว่าเหตุการณ์หลังจากนั้น ไอ้วีทำให้มันเป็นเรื่องง่ายมากๆ ทุกอย่างดูปกติ พวกผมในสายตาของทุกคนในทีมคือแขกผู้มีเกียรติที่มาช่วยสร้างสีสัน ไอ้วิวได้เป็นตำแหน่งคุมน้อง มันขนเอาเพื่อนและน้องที่มันสนิทมาด้วย(ในคณะถาปัตย์) ผมไม่รู้ว่ามันจะมาช่วยสร้างสีสันหรือความวุ่นวาย เพราะแค่มันเริ่มงาน ก็ประกาศว่าจะเลี้ยงใหญ่ให้ทีมเชียร์ทั้งหมดหลังวันอาทิตย์เสียแล้ว แบบนี้เรียกเอาขนมมาล่อ
ไอ้วีมันร้ายมาก เรื่องทุกเรื่องที่ต้องจัดการเสร็จสิ้นเรียบร้อยหมดภายในหนึ่งวัน เอกสารรับรองสถานที่ อุปกรณ์ประกอบฉาก แสงสีเสียง แม้กระทั่งกำหนดการสำหรับพวกพี่ๆที่จบไปแล้วก็อัพเดททุกอย่าง เรื่องที่ผมกับแก๊งจะเข้ามาช่วยคุมทีมปีนี้เป็นที่ล่วงรู้กันหมดด้วยเวลาอันรวดเร็วมากโดยที่ไม่มีใครค้านได้เลยสักคน ตอนนี้พวกผมอยากทำอะไรก็ได้โดยที่ไม่มีใครกล้าขัด ไอ้เต้เลยคิดกิจกรรมสนุกๆเพิ่มเข้าไปอีกสองสามอย่าง ผมเห็นแล้วก็...อืม จะอลังการไปไหน ส่งท้ายด้วยรายชื่อแขกผู้มีคุณวุฒิที่จะมาร่วมเชียร์ เป็นเซอร์ไพรส์ที่ทำให้ทุกคนรู้สึกเสียวสันหลังไม่น้อยเลย
ถึงเวลาเย็นย่ำพอดีที่พวกเราแยกย้ายขนของไปรอเหล่าปีหนึ่งกันอยู่ที่ห้องเชียร์ห้องใหม่ ทุกชั้นปีต่างพูดถึงกิจกรรมของวันนี้ราวกับเป็นเทศกาล ปีหนึ่งเองก็โดนเป่าหูจนตื่นเต้นไปหมด ส่วนผม ก่อนจะไปเข้าห้องเชียร์ก็ต้องตรงไปที่สตูฯปีหนึ่งก่อน ไลท์เลิกเรียนแล้ว กำลังจ้อไม่หยุดกับเพื่อนหลายคนที่ยืนล้อมเป็นกลุ่ม ผมเกิดความรู้สึกหงุดหงิด ทำไมต้องเป็นห่วงไลท์ขนาดนั้นด้วย
“ไลท์” ผมตะโกนเรียก ทุกคนตรงนั้นหันมาเห็นก็เริ่มซุบซิบกรี๊ดกร๊าดกันยกใหญ่ ไลท์เองก็หน้าแดง
“พี่ธัน มาทำไมเนี่ย”
“ไอ้ตะวันล่ะ” ผมไม่เห็นมัน ห่านี่ ไหนบอกจะเฝ้าไลท์ “มันไปไหน”
“เอ่อ มันมีธุระ ผมเลยให้มันกลับไปก่อน”
“แล้วทำไมไม่โทรหาพี่ พี่จะได้มาอยู่เป็นเพื่อน”
“บ้าหรอ ไลท์ก็เรียนอยู่ ไม่มีอะไรหรอกน่า”
ไลท์เป็นคนดื้อด้านจริงๆ พูดไม่เคยฟังเลย “ไม่รู้แหละ แค่ไม่เห็นหน้าก็เป็นห่วงแล้ว แล้วนี่...ดีขึ้นรึยัง”
“อืม ค่อยๆดีขึ้นแล้ว หายใจได้ ไม่เจ็บมากแล้วล่ะ” ไลท์สีหน้าดูดีขึ้นจริงๆ “ร่างกายไลท์แข็งแรงมาก แค่นี้ไม่นานก็หาย”
“อย่าซ่าให้มากนักนะ ไม่ใช่วูฟเวอรีน”
“ทำไมวันนี้มาซะเร็ว”
“ก็มารับไง จะมาพาไปห้องเชียร์”
“เอ้อ ใช่ ได้ยินว่าได้เข้าไปคุมเชียร์แทนแล้ว???”
“อืม”
น้องไลท์ทำหน้าสลด “นี่ต้องโหดกว่าเดิมแน่เลยอ่ะ ไม่เข้าได้ป่ะ”
“ไลท์ก็ไปกับพี่ไง วันนี้น่าจะสนุกนะ”
“เชื่อได้ป่ะเนี่ย”
ผมเอาแต่ขยี้หัวไลท์เล่นจนโดนชกแขนมาทีหนึ่ง ไลท์ดูผ่อนคลายลงมากแล้ว แต่แผลที่หน้ายังคงแดงและเริ่มตกสะเก็ด เห็นแล้วก็อดถอนใจไม่ได้ พ่อเด็กแว่นของผม
“แว่นมันไม่กดแผลหรอ” ผมคิดว่าแผลที่ดั้งไลท์ต้องเจ็บมากแน่ๆ จึงถอดแว่นออก “ทำไมไม่ใส่คอนแท็กเลนซ์มา”
“พี่ธัน ไลท์มองไม่ถนัด”
มือไลท์ไล่คว้าแว่นที่ผมไม่ยอมคืน อีกมือของผมก็พยายามแตะดูแผลและรอยช้ำบนแก้มกับคอ นิ้วผมค่อยๆไล้ไปตามริมฝีปากที่หายบวมแล้ว ใจจดจ่อแต่กับแววตาสดใสที่กำลังจ้องมอง
“มองไม่เห็นใช่ป่ะ”
“เออ....เอาแว่นคืนมาก่อน” ผมเก็บแว่นไลท์เข้ากระเป๋าในที่สุด แล้วจูงมือ
“ให้พี่พาไปเองแล้วกัน”********************************************************************************************
Mr.SCROMAN : สามนรกนิยมความรุนแรงทางความรู้สึกนะฮะ ประมาณว่าบีบให้อีกฝ่ายรู้สึกเครียด อับจนหนทาง หวาดผวา ระแวงตลอดเวลา เรียกได้วาซาดิสม์ หากหวังให้ใช้กำลังคงต้องไปปรึกษาวิวกับตะวัน และน้องไลท์
...แต่เป็นที่รู้กันว่าคนหลังสุดนี่ เละ
#เอาใจช่วยทีมสามนรกกับคนเขียนด้วยนะฮะ เจอกันตอนหน้า ตะวันจะมาให้ข้อคิด