In another life #หากชาติหน้า
“นี่รู้ไหม เขาว่ากันว่า รอยปานที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด จะบอกว่าชาติที่แล้วตายยังไง...”
“หา”
“อย่างถ้าเป็นปานเล็กๆ ก็อาจจะเป็นโดนเข็มฉีดยา รอยใหญ่ๆ ก็อาจจะโดนฟันอะไรงี้”
“อืม...”
“...ปานขนาดหัวแม่โป้งก็อาจจะถูกยิง”
“เหมือนที่หน้าอกนายใช่มั้ย”
“ใช่ ตลกดีเนอะ มันอยู่ตรงกลางหัวใจพอดีเลย”
เขาถอนหายใจ ส่ายหัวราวกับว่าผมพูดเรื่องไร้สาระ และมันคงจริง เพราะผมเองก็ส่งยิ้มขันให้เขาเหมือนกัน เหตุเพราะจู่ๆ ตัวอักษรที่เคยเจอในหนังสือก็ปรากฏเข้ามาในหัวทำให้ผมอยากเล่าสู่กันฟังให้เขารับรู้บ้าง
ผมขยับไปข้างตัวเขา ลูบไล้ใบหน้าแสนรัก ก่อนจะค่อยๆ ไล่นิ้วมือไปยังขมับข้างขวา เกลี่ยไล่เส้นผม เผยให้เห็นรอยปานขนาดเท่านิ้วโป้งประทับอยู่บนขมับของเขา
น่าแปลกที่รอยปานของเขากับของผมมีขนาดใกล้เคียงกันอย่างน่าตกใจ
“อย่างนายก็อาจจะโดนยิงหัว”
“ไม่ก็ฆ่าตัวตาย” เขาหัวเราะ “ตำแหน่งมันได้”
เขาทำมือเป็นรูปปืน จิ้มที่หัวตัวเองสองที ผมหัวเราะตามก่อนเอนตัวล้มลงซบบนตักเขา ขยับแขนไปโอบกอดเอวหนาไว้แน่น เขาลูบหัวผมกลับ เล่นกับปลายเส้นผมของผมราวกับมันเป็นเรื่องสนุกนักหนา
“เรามีความสุขจัง”
ผมบอก งึมงำอยู่กับหน้าท้องเขา ปล่อยให้เขาลูบหัวอย่างสบายใจเหมือนแมวเลี้ยงเชื่องๆ ตัวนึง
“เราก็มีความสุข”
ผมขยับยิ้ม กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น เบียดใบหน้าตัวเองให้ซุกซบลงไปบนหน้าขาของเขามากขึ้น ก่อนปล่อยตัวตามสบาย จัดท่าทางให้ผ่อนคลาย หลับตาพริ้มพร้อมกับมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า
เดือนหน้าเราจะแต่งงานกัน
งานแต่งงานของผมกับเขาจะเกิดขึ้นที่แคนาดา เพราะเป็นประเทศที่รองรับการแต่งงานของเพศเดียวกันอย่างถูกกฎหมาย และหลังจากนั้น เราจะได้อยู่กินกันฉันสามีภรรยา เช่นเดียวกับคู่รักคู่อื่นๆ
ขยับยิ้มอีกครั้ง
มีความสุขมากจริงๆ
.
ผมผล็อยหลับไป...และตื่นขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นชิน ไม่มีไออุ่นจากเขา เมื่อลืมตาได้เต็มตาแล้ว...ก็พบว่าไม่มีเขาด้วยซ้ำ ห้องร้างว่างเปล่าราวกับอยู่ในโกดังเก่าๆ ที่ไม่มีใครใช้งาน ผมขยับตัวลุกขึ้นนั่งเพื่อพบว่าเมื่อครู่ตัวเองนอนจมกองฟางเหี่ยวๆ ขยี้ตาอยู่สองสามทีพลันประตูโกดังก็เปิดออก
เป็นเขาที่ก้าวเข้ามา
ผมมองเห็นใบหน้าเขาไม่ชัดเพราะแสงจากข้างนอกย้อนเข้ามา ทำให้ใบหน้าเขาพร่าเบลอ แต่ไม่สำคัญอะไรเท่ากับผมรับรู้ได้ว่าเขาเป็นเขา คนรักของผม และคนที่ผมรักที่สุด
เขาเดินมานั่งข้างผมพร้อมถอนหายใจ
“มีอะไรหรือ?” ผมถามขึ้นเมื่อเห็นเขามีท่าทีไม่สบายใจ
“เราอยู่ที่นี่ได้ไม่นานแล้ว รีบออกไปก่อนที่จะมีคนมาเห็นเถอะ”
ผมไม่เข้าใจ แต่สุดท้ายก็ยอมลุกขึ้นตามแรงดึงของเขา เราเดินออกจากโกดังร้าง แหวกผ่านพงหญ้า กิ่งไม้และเถาวัลย์ น่าแปลกที่ผมย่ำเดินราวกับรู้จักสถานที่แห่งนี้ดี ทั้งๆ ที่มั่นใจว่าเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก สองมือของเราจับจูงกันมาตลอดทาง เขาพยายามนำทางให้ผม ปัดป่ายสิ่งกีดขวางให้ จนเราเดินมาถึงลานกว้างกลางป่า ไร้ซึ่งต้นไม้รกชัน
แล้วเขาก็ปล่อยมือผม
“นายไปก่อนเถอะ อีกสักพักฉันค่อยตามไป”
ผมไม่เข้าใจประโยคของเขาสักนิด แต่กลับพยักหน้าราวกับมันเป็นเรื่องปกติธรรมดาของเราที่จะต้องเป็นเช่นนี้ และผมก็ก้าวต่อไป มุดเข้าไปในป่ารกทึบอีกครั้งอย่างไม่เคยรู้จัก ทว่าสองขากลับก้าวเข้าไปอย่างคล่องแคล่ว คล้ายว่าเป็นเส้นทางที่ผมคุ้นเคยดี
ผมโผล่มาที่สนามหญ้าผืนใหญ่ มีเด็กๆ วิ่งเล่นกันประปราย ผมสิ่งยิ้มให้เด็กน้อยคนหนึ่งที่หันมาเห็นผม ก่อนเขาจะวิ่งจากไป ส่วนผมก็เดินต่อไปตามทาง อีกครั้งที่ผมสอดส่องสภาพแวดล้อมไปรอบๆ ตัว ไม่เคยรู้จักสถานที่พวกนี้ แต่ร่างกายกลับจดจำได้อย่างดี สองขาก้าวไปตามทางอย่างที่ผมไม่คิดจะหยุดเดิน ผ่านบ้านไม้หลังต่างๆ จนมาถึงบ้านไม้หลังหนึ่ง
ผมเปิดเข้าไปอย่างไม่ลังเล เจอผู้หญิงสูงวัยเดินผ่านไป หล่อนเอ่ยทักทายผมพร้อมกับบอกให้ไปทานข้าวได้เลย
ผมนั่งลงที่โต๊ะอาหาร ไม่นานก็มีชายมีอายุคนหนึ่งมานั่งลงตรงข้าม และผู้หญิงคนนั้นก็กลับมานั่งข้างผมอีกที
และผมถึงได้รู้ว่าสองคนนี้คือพ่อและแม่ของตัวเอง
เราลงมือรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน จนซุปหยดสุดท้ายถูกตักกินจนหมด ผู้เป็นแม่ก็เอ่ยขึ้น
“ลูกยังติดต่อกับเขาอยู่รึเปล่า”
ผมเลิกคิ้วสงสัย เธอพูดชื่อเขาที่ผมไม่เคยได้ยิน แต่กลับรับรู้ได้ว่าเป็นใคร ถ้าไม่ใช่คนเดียวกันกับคนที่ผมเจอที่โกดังในวันนี้
“ก็มีบ้าง” ผมตอบเธอไป ครานี้ผู้เป็นพ่อเลิกคิ้ว
“เลิกติดต่อเขาซะ”
“...”
ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป มื้ออาหารเย็นจบลงแค่นั้น หญิงสูงอายุบอกให้ผมเตรียมเข้านอน ผมรับคำ ขึ้นบันไดไปชั้นสองของบ้านอย่างคล่องแคล่ว เปิดประตูเข้าไปในห้องนอนของผมที่ไม่เคยเห็นมาก่อนอีกครั้ง
ผมล้มตัวบนฟูก และจบวันนี้ด้วยตัวเอง
แสงอาทิตย์ส่องพาดหน้าผมจนตื่นเพราะความร้อน ผมชันตัวลุกขึ้นมา มองไปรอบๆ ตัวก็พบว่าตัวเองอยู่ในโกดังเก่าๆ นั่นอีกครั้ง
อ่า...ใช่ เมื่อคืนเขามาแอบเคาะหน้าต่างบ้านผม พร้อมกับส่งข้อความว่าให้เจอกันที่เดิม เหมือนที่ผ่านๆ มา และหลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ ผมก็ออกจากบ้าน เดินไปตามทุ่งหญ้าโล่ง มุดเข้าป่ารกทึบ เดินตามเส้นทางมายังโกดังแห่งนี้ในที่สุด
“ตื่นแล้วหรือเจ้าขี้เซา”
เสียงคนคุ้นเคยทำให้ผมหันหน้าไปหาต้นเสียง และแย้มยิ้มออกมาเมื่อรับรู้ว่าเป็นเขา
“นายนัดเช้าเกินไป”
“สายกว่านี้ก็แย่สิ”
ผมโคลงหัว ต่อบทสนทนาอย่างลื่นไหล “อย่างน้อยก็น่าจะมีที่ที่ใกล้กว่านี้”
“กว่าเราจะเจอที่นี่ก็ใช้เวลาตั้งนาน” เขายกยิ้ม และผมเข้าใจรูปประโยคบอกเล่านั้นได้ทันทีว่ามันไม่มีที่ไหนสำหรับเราแล้วนอกจากที่นี่
ผมขยับตัวไปใกล้เขา ช้อนใบหน้าแสนรักนั้นมาให้ใกล้ตัวมากขึ้นก่อนประกบจูบลงไป
เนิบช้าทว่าเร่าร้อน จูบของเขาทำให้ผมคลุ้มคลั่งได้ทุกครั้งที่สัมผัส แลกลิ้นแลกเปลี่ยนรสน้ำหวาน ผลัดกันเล้าโลมลูบไล้ไปทั่วร่างกาย จนเขาผลักให้ผมนอนลงจมกองฟางแห้งๆ นั่น
แล้วเราก็เริ่มบรรเลงเพลงรักกัน
จบทำนองสวาท ผมนอนซบแผ่นอกของเขา ลอบสูดดมกลิ่นกายของเขาที่ลอยคลุ้งเจือจาง เขาหลับตาพริ้มมุมปากขยับยิ้ม ขยับมือที่ผมนอนทับให้ออกมาจากการจับกุม ลูบไหล่ผมอย่างแผ่วเบา ผมรับรู้ในความรักอย่างหาที่สุดไม่ได้ของเขา พร้อมๆ กับรับรู้ว่าตัวเองตกอยู่ในห้วงรักของเขามากมายแค่ไหน
รักจนล้นใจไปหมด รักจนคิดว่านิยามคำว่ารักแสดงความรู้สึกของผมได้ไม่มากพอ
และถ้าหากบัญญัติคำว่ารักใหม่ได้ ผมจะใช้เป็นชื่อของเขา
เรากลับบ้านกันในช่วงเย็นเช่นเดิม และเป็นเหมือนเดิมที่เขาจะรอให้ผมออกจากป่าไปก่อนสักพักแล้วถึงจะตามออกไป ผมเข้าใจดีว่าความรักของเราทั้งสองไม่อาจเป็นที่ยอมรับ และมันถึงได้กลายเป็นความลับเสมอมา
“ลูกออกไปหาเขามาอีกแล้วใช่ไหม”
“...”
“พ่อกับแม่จะเตือนเป็นครั้งสุดท้าย...อย่าไปหาเขาอีก”
ผมวางช้อนส้อม ลุกออกจากโต๊ะอาหาร พึมพำบอกว่าอิ่มแล้วก่อนขึ้นไปเก็บตัวนอนอยู่ในห้องตัวเอง ผมไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนถึงขัดขวางในความรักของพวกเรา พวกเขาบอกว่ามันผิด พระเจ้าไม่อนุญาตให้เรารักกันเพราะเช่นนั้นมันจึงถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง ผิดทั้งๆ ที่เราไม่เคยทำร้ายใคร
ผิดแค่เพราะมันแตกต่างจากคนทั่วไป
ผมสะดุ้งตื่นกลางดึกเมื่อได้ยินเสียงเคาะหน้าต่าง สะลึมสะลือไปเปิดผ้าม่านและเป็นเขาที่ปรากฏอยู่ภายนอกกรอบกระจก ผมปลดล็อก เปิดให้เขาเข้ามา ทว่าเขายังคงค้างตัวอยู่อย่างนั้น
“มีอะไรหรือ”
“เราต้องรีบออกไปแล้ว”
“ทำไม?”
“บาทหลวงและชาวบ้านคนอื่นๆ รู้เรื่องพวกเราแล้ว มีชาวบ้านคนนึงเห็นเราจับมือกันกลางป่าแล้วเอาไปป่าวประกาศ นายรีบออกมาเถอะ ก่อนที่พวกเขาจะมาตามตัวนาย”
ผมที่เพิ่งตื่นยังคงสับสนในคำพูดของเขา แต่ก็ยอมสวมรองเท้าและปีนหน้าต่าง กระโดดลงมาจากชั้นสองของบ้านตามเขาไป
“นายรู้ได้ไงว่าคนอื่นรู้เรื่องเราแล้ว”
ผมถาม ในขณะที่เรากำลังออกวิ่งในความมืด ตะเกียงไฟแทบไม่ช่วยนำแสงสว่างได้เท่าไหร่
“พวกเขามาเคาะประตูหน้าบ้านฉัน ตะโกนเรียกชื่อฉัน ดีที่ฉันออกมาทัน”
“...”
“และเดี๋ยวพวกนั้นคงไปที่บ้านนาย...”
“...เราทำผิดอะไร”
“...”
“ทำไมเราต้องหนี ทำไมพวกเขาทำเหมือนเราเป็นฆาตรกร”
เขาหยุดวิ่ง หันหน้ามาหาผมก่อนรวบตัวผมเข้าไปกอด “ฉันก็ไม่รู้”
“...”
“เราอาจจะไม่ได้ผิด แต่พวกเขามองเราเป็นตัวประหลาด”
ผมน้ำตาไหล เสียใจกับความรักที่กลายเป็นสัตว์ประหลาดในสายตาคนทั่วไป เขากระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอีกครั้งก่อนปล่อย
“ตอนนี้เราต้องหนีออกจากที่นี่ให้ไกลที่สุดก่อน”
ผมพยักหน้า ปาดน้ำตาทิ้งไป แล้วเสียงโวยวายข้างหลังก็ดังขึ้น
“พวกเขาคงมาถึงบ้านนายแล้ว รีบเข้าเถอะ”
สี่เท้าของสองคนรีบจ้ำไปตามทางมืดมิด ทว่าผมกลับวิ่งบนเส้นทางที่มองไม่เห็นและไม่คุ้นเคยได้ปราดเปรียวราวกับรู้จักมันมาตั้งแต่เกิด เขาพาเราอ้อมป่าของหมู่บ้านเพื่อที่จะได้ไม่เตะตา ลักลอบเข้าสวนของชาวบ้านไปเรื่อยๆ จนเจอทุ่งหญ้าก่อนถึงทางเข้าป่า
“พวกมันอยู่นั่น!”
ใจผมสั่นระรัว เมื่อหันไปทางต้นเสียงก็เห็นกลุ่มคนเป็นเงาลางๆ อยู่อีกฝั่งของทุ่งหญ้า และกำลังพุ่งเข้ามาทางเรา
“เร็วเข้า”
เขาร้อง คว้ามือผมก่อนออกวิ่งเข้าไปในป่า เส้นทางรกทึบเป็นอุปสรรคเล็กน้อยในการหลบหนี ทว่าเส้นทางพวกนี้เราคุ้นชินกับมันมานานนับปี ความคุ้นเคยทำให้เราผ่านใบไม้ทึบและเถาวัลย์ไปได้เรื่อยๆ
ผ่านลานกว้างกลางป่า ผ่านต้นไม้ลำต้นใหญ่เล็ก กิ่งไม้และใบไม้ พงหญ้าและกอหญ้า จนมาถึงโกดังร้างอันคุ้นเคย สถานที่ซึ่งเป็นสรวงสวรรค์ของเรา
หรือเคยเป็น
เขาหอบหายใจรวมถึงผมด้วย เราค่อยๆ เข้าไปยังโกดังแห่งนั้นช้าๆ เขาล็อกประตูลงกลอนมันไว้ ขังพวกเราให้อยู่ในนี้กันแค่สองคน
“ตอนกลางคืนป่าทึบทำให้ค้นหายาก พวกนั้นคงหาเราไม่เจอเร็วๆ นี้หรอก เรารีบนอนพักเอาแรง แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยออกเดินทางต่อ”
ผมพยักหน้า เห็นด้วยกับเขาทว่ายังเกิดคำถาม
“เราจะไปไหน...?”
เขาหันมาส่งยิ้มให้ผม เป็นรอยยิ้มที่เห็นแล้วรวดร้าวจนแทบจะร้องไห้ออกมา
“...ไม่รู้” จบคำพูด เขาสวมกอดผมแน่น ความเปียกชื้นปรากฏบนไหล่ของผมและไหล่เขาเองก็คงเปื้อนน้ำตาผมไม่ต่างกัน
“แต่เราต้องไป นายเข้าใจใช่ไหม”
“ฉันรู้”
“ฉันจะไม่ยอมให้พวกเขาทำอะไรนาย เพราะอย่างนั้นเราจะต้องออกจากที่นี่”
“อืม เราจะไปด้วยกัน”
คืนนั้นเรานอนกอดกัน กกกอดแลกรสจูบให้กันราวกับวันสิ้นโลกจะมาถึง และมันอาจเป็นวันสิ้นโลกจริงๆ ก็ได้ ผมซุกเข้าไปในอ้อมกอดของเขา กอดก่ายกันพลันวันจนแทบอยากจะหลอมละลายให้ร่างกายตัวเองเข้าไปอยู่ในตัวเขา หรือไม่ก็ให้เขาเป็นส่วนหนึ่งของตัวผม เราจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป…
ตึง!
เสียงดังสนั่นปลุกให้พวกเราตื่น และเรารู้แล้วว่าเราพลาด พวกนั้นเจอเราเร็วกว่าที่คิด ยามเช้ายังมาไม่ถึงดีทว่าพวกเขามาถึงกันแล้ว
“เรารู้ว่าพวกนายอยู่ในนั้น!”
ผมหน้าถอดสี ส่วนเขารีบลุกขึ้น ปีนกองฟางเพื่อมองผ่านช่องแสงออกไปข้างนอก
“พวกมัน...ล้อมอยู่เต็มไปหมด”
จบคำพูดเขา ผมน้ำตาร่วง รับรู้แล้วว่าเราคงจบสิ้นกันเท่านี้ หลังจากวันนี้ไปจะไม่มีพรุ่งนี้สำหรับเรา พวกเขาจะลากเรากลับหมู่บ้าน จับมัดกับเสาบนแท่นพิธีอะไรสักอย่าง ก่อนเฆี่ยนตีเราจนกว่าจะหมดลมหายใจ
เสียงดังตึงยังคงดังอยู่ข้างนอกประตู พวกเขาคงทำลายประตูเก่าๆ นี้ได้ในไม่ช้า
เขาเดินมากอดผมแน่น ส่วนผมก็จมอยู่ในอ้อมกอดเขาไม่ไปไหน สวรรค์ของเราถูกค้นพบและกำลังจะถูกทำลายในไม่ช้า รวมถึงพวกเราด้วย
อันที่จริง...คงไม่มีสวรรค์สำหรับตัวประหลาดอย่างพวกเรา
ผมสะอื้นอยู่ในอ้อมแขนของเขา กระซิบบอกถ้อยคำรักไม่หยุดปาก
“ฉันรักนาย รักนาย...ไม่ว่าจะอีกกี่ชาติก็จะรัก ไม่ว่าจะต้องกลายเป็นปิศาจหรือสัตว์ประหลาดก็จะรัก”
“สำหรับนาย มันเป็นมากกว่าคำว่ารัก ต่อให้ต้องหักหลังพระเจ้าฉันก็ยังยืนยันว่าจะรู้สึกอย่างนี้กับนายแค่คนเดียว” เขาตอบกลับมาพร้อมกับค่อยๆ ปล่อยอ้อมแขนออก
ใบหน้าเขายังคงไม่ชัดเจนในสายตา แต่ชัดเจนเสมอในความรู้สึก เขาเปิดเสื้อตัวเองเผยให้เห็นวัตถุอะไรบางอย่างที่ซุกซ่อน เหน็บอยู่กับขอบกางเกงนั้น
น้ำตาผมไหลพรั่งพรูเมื่อเขาหยิบสิ่งๆ นั้นออกมา บรรจุลูกกระสุนไว้สองนัดก่อนเงยหน้ามายิ้มให้ผม
และผมก็เข้าใจทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรา
ผมแย้มยิ้มให้เขา
“เชื่อฉันนะ ไม่ว่าจะต้องเกิดใหม่เป็นตัวอะไรหรือเป็นใคร ฉันก็จะมีแค่นาย”
ผมพยักหน้ารับ เชื่อมั่นในคำพูดของเขาสุดใจ “ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน ฉันจะเป็นของนาย” ผมเอ่ยตอบ
เขากอดผมอีกครั้ง กระซิบบอกถ้อยคำรักข้างหู พร้อมกับกดจูบลงมาเป็นครั้งสุดท้าย
“รอฉันนะ อีกสักพักจะตามไป”
เขากระซิบบอก จ่อปืนตรงกับหัวใจของผม
ผมยิ้ม หลับตาและพยักหน้า ผมเชื่อเขาอยู่แล้ว เชื่อว่าเขาจะตามมา
ปัง!
เสียงประตูถูกเปิดออก ดังขึ้นพร้อมๆ กับเสียงปืนที่ลั่นไกเข้ากับร่างผม ทั้งโลกหมุนเคว้งทันทีที่กระสุนทะลุผ่านตัวผม ร่างกายผมกระแทกลงกับผิวดิน มันไม่เจ็บปวดอีกต่อไป ทุกสรรพเสียงหายไป ภาพตรงหน้าเลือนรางเต็มที
ก่อนที่ทุกอย่างจะกลายเป็นความมืด ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือเขาลั่นไกเข้าที่ขมับตัวเอง
และโรยตัวลงมานอนข้างกายผม
.
“ฝันร้ายหรือ”
ใบหน้าที่คุ้นเคยของเขาปรากฏขึ้นมาเป็นอย่างแรกหลังจากที่ฝ่ามืออุ่นปาดน้ำตาของผมออกไปให้พ้นจากการมองเห็น ผมพยักหน้า หันไปมองรอบๆ ตัวที่เป็นห้องพักของพวกเรา ทุกอย่างเหมือนเดิม ของทุกอย่างที่เราเลือกซื้อมาด้วยกันตั้งไว้ที่เดิม ผ้าปูที่นอนสีเดิม ผ้าม่านสีเดิม
และเขาคนเดิม
ผมน้ำตาไหลไม่หยุด จนเขาต้องโอบกอดประคองผมเอาไว้ ลูบหัวลูบหลังราวกับปลอบเด็กน้อย
“เราอยู่นี่ ไม่เป็นไรแล้ว”
ผมสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดเขาเขา หอบฮักให้กับความฝันที่สมจริงยิ่งกว่าครั้งไหน ทุกเรื่องราวยังคงวนเวียนอยู่ในหัวเสมือนความทรงจำเมื่อวันวาน แตกต่างตรงที่ทั้งเขาและผมอยู่ด้วยกันตอนนี้ และเรายังมีชีวิต
ผมเงยหน้ามองใบหน้าของเขา ขยับตัวลูบไล้โครงหน้าสวย ก่อนขยับมือไปยังเส้นผมข้างหน้าที่ปรกบังขมับข้างขวา ผมเผยมันออก เห็นรอยปานขนาดเท่าหัวแม่โป้งประทับอยู่ตรงนั้น นิ้วโป้งผมเกลี่ยมันอย่างแผ่วเบา ลูบรอยปานที่ผนึกอยู่บนใบหน้าของเขาเช่นเดียวกับการลูบถ้วยแก้วเปราะบาง
ก่อนประกบจูบลงไปที่รอยสีเข้มนั้น
ขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้เราหากันเจอในชาตินี้
และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ความรักของผมจะเป็นเขาตลอดไป
┼ ┼ ┼ ┼ ┼ ┼
เรื่องรอยปาน เราได้แรงบันดาลใจมากจากหนังสือเรื่อง Deep dark fears - Fran Krause ของสนพ.แซลม่อนค่ะ
เป็นคนนึงที่มีรอยปานตั้งแต่เกิด และพอเจอประโยคที่ว่ารอยปานอาจบอกได้ถึงชาติที่แล้วว่าเราตายยังไง
เรื่องนี้เลยอยู่ในหัวมาตลอด คิดว่าเราตายยังไงนะ
จึงเกิดมาเป็นเรื่องนี้ค่ะ ^^
คิดเห็นอย่างไรบอกกันได้น้า
ฝากแท็ก #หากชาติหน้า ไว้ด้วยน้า