เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นตามจินตนาการ อาจมีบางเหตุการณ์ที่ไม่สมจริงบ้าง โปรดละไว้ในความเข้าใจ เนื้อเรื่องไม่มีการอ้างอิงจากใคร เป็นเพียงสิ่งที่อยากจะเขียนขึ้นเท่านั้นค่ะ
สวัสดีความรัก
โอฬาร x วาเลนไทน์
ผมตื่นมาในเช้าวันหนึ่ง ซึ่งก็เหมือนวันเดิมๆ ผมทำทุกอย่างเหมือนเดิมในเวลาเดิมๆ ลืมตามาสิ่งแรกที่ทำคือดื่มน้ำ มองไปยังที่นอนที่มีร่างของใครอีกคนหลับอยู่ ผมไม่เคยปลุกเขาและไม่คิดจะทำเหมือนกับทุกๆ วัน
ผมยังคงทำอะไรไปเรื่อยๆ แม้แต่อาหารเช้าง่ายๆ ผมก็ทำเอง และทำทิ้งไว้ให้อีกคนด้วย
ผมเดินออกจากบ้านเพื่อจะไปทำงาน ใครจะไปคิดว่าเด็กที่เคยเกเรไม่เอาไหนอย่างผม โตมาจะได้เป็นหมอ ถึงจะเป็นจิตแพทย์ก็เถอะ แต่ผมก็รักงานที่ทำอยู่ทุกวันนี้
ผมเป็นคนง่ายๆ ทุกอย่างเรียบง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ ในทุกๆ วันผมจะเดินไปทำงาน ถึงแม้ระยะทางจากที่ทำงานจะไกลจากบ้านพอสมควร เคยคิดว่าจะปั่นจักรยานไปเหมือนกันนะ แต่พอได้ลอง ก็คิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่น่าลองเลย
ระหว่างทาง ผมก็ทักทายทุกคนในหมูบ้าน เพราะทุกๆ หลัง มักจะทำอะไรเหมือนๆ เดิม เริ่มจาก
คุณลุงหน้าหมู่บ้านที่ยืนรดน้ำต้นไม้ในแปลงผักของเขา
“สวัสดีครับลุง วันนี้ตื่นเช้ากว่าทุกวันเลยนะครับ”
“ก็ความเคยชินนั่นแหละครับ ดูเหมือนวันนี้คุณหมอจะออกเช้ากว่าเดิมนิดหน่อยนะครับ”
“ก็วันนี้วันจันทร์นี่ครับถ้าออกช้ากว่านี้ เดี๋ยวจะสายครับ ว่าแต่...ดูเหมือนผักจะเยอะขึ้นนะครับ”
“ใช่ครับคุณหมอ พอดีลุงเพิ่งปลูกเพิ่ม ไว้โตกำลังกินจะเอาไปฝากนะครับ”
“ขอบคุณมากครับ” ผมกล่าวขอบคุณคุณลุงก่อนจะเดินจากมา ท่านชอบเอาผักที่ตัวเองปลูกมาให้ผมบ่อยๆ ทำให้ผมแทบจะไม่ต้องซื้อผักอะไรเพิ่มเลย เพราะที่ท่านให้มา มันก็เยอะและหลากหลายชนิดอยู่
ผมเดินออกมาถึงยังหน้าหมู่บ้าน ที่ตรงนี้จะมีร้านขายกับข้าวตั้งอยู่หลายเจ้า ตัวผมเองก็มักจะซื้อน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋ไปด้วย เพราะช่วงสายๆ มักจะหิว ที่สำคัญ อีกคนชอบมันมากด้วย
“วันนี้เอาอะไรดีคะคุณหมอ”
“เหมือนเดิมเลยครับป้า”
“ทานทุกวันไม่เบื่อเหรอคะ”
“ปาท่องโก๋ของป้าอร่อย ถ้าอยากให้เบื่อก็ทำให้ไม่อร่อยสิครับ”
“ฮ่าๆๆ คุณหมอนี่ปากหวานนะคะ นี่ค่ะ ป้าแถมให้”
“ขอบคุณมากครับ” ผมบอกแล้วจ่ายเงินให้ รับถุงน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋มาไว้ในมือ หากไม่ติดว่ากินปาท่องโก๋เยอะไปมันจะไม่ดี ผมคงสั่งเพิ่มอีกแน่
เดินเยื้องมาหน่อยระหว่างรอข้ามถนนไปอีกฝั่ง ผมก็เจอกับคุณน้าแสนสวยที่มายืนรอส่งลูกสาววัย 8 ขวบขึ้นรถโรงเรียน
“สวัสดีค่ะคุณหมอ”
“สวัสดีครับคุณน้า”
“สวัสดีค่ะ น้าหมอ” หลังจากผมทักทายคุณน้าเสร็จ เด็กน้อยผมเปียรูปร่างอวบ ผิวขาวหน้าตาน่ารักก็ทักผมขึ้น
“สวัสดีครับ น้องมาย” ผมเอ่ยทักกลับ เธอยิ้มเขินๆ แล้วยื่นลูกอมสีแดงให้
“ให้ค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ ทานมากไม่ดีนะ”
“ค่ะ คุณแม่ให้ทานอาทิตย์ละครั้ง”
“แล้วน้องมายเอาให้น้าเหรอคะ”
“ค่ะ มายให้”
“ขอบคุณมากนะคะ” ผมบอกแล้วลูบศีรษะเด็กน้อยสองสามที ก่อนที่รถโรงเรียนจะมา ผมสามารถมองเห็นเธอได้จากที่นั่งประจำของเธอที่นั่งติดหน้าต่างริมซ้าย ผมโบกมือให้เธอด้วยหลังจากที่เธอนั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว
“ผมไปทำงานก่อนนะครับ” ผมกล่าวลาคุณน้า
ผมเดินตรงมาอีก 10 กว่านาทีก็เจอถนนใหญ่ ที่ทำงานของผมต้องข้ามไปยังอีกฝั่งแล้วเลี้ยวซ้ายถึงจะถึง ผมมองดูนาฬิกาบ่งบอกเวลาว่าตอนนี้ 7 โมงครึ่งแล้ว
ผมเดินข้ามไปยังอีกฝั่งแล้วยืนเฉยๆ มองดูผู้คนเดินผ่านตัวผมไปคนแล้วคนเล่าโดยที่ไม่ยอมเดินต่อ ผมหันหลังกลับไปยังอีกฝั่งที่เพิ่งเดินจากมา สัญญาณไฟสำหรับข้ามทางม้าลายที่เป็นสีเขียวเมื่อกี้กลับกลายเป็นสีแดงแล้ว ผู้คนยืนรอในแต่ละฝั่งเพื่อให้รถต่างๆ ขับผ่านไปก่อน ผมชอบที่นี่เพราะการเดินทางที่สะดวก แถมยังมีไฟจราจรติดเพื่อความปลอดภัยอีกด้วย
ผมมองดูเวลาอีกครั้ง นี่ก็เกือบๆ 8 โมงแล้ว แต่ยังไม่เห็นมีวี่แววของอีกคนเลย คนที่ทำให้ผมต้องยืนรอ คนที่ผมอยากทำความรู้จักในทุกๆ เช้า คนที่มีรอยยิ้มสดใส ใบหน้าหล่อเหลา ผิวขาวซีดและตัวสูงผอม คนที่มักจะแต่งตัวเท่ๆ แต่กลับซุ่มซ่ามจนน่าแปลกใจ
ผมยังคงมองหาแม้จะกังวลใจมากก็ตาม ไฟสำหรับข้ามถนนที่เป็นสีแดงกำลังกะพริบเพื่อบ่งบอกว่ากำลังจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว น่าแปลกใจยิ่งนัก เพราะเขาไม่เคยสาย หรือจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่านะ
หลังจากที่แสงไฟกลายเป็นสีเขียว ผมรีบออกเดินไปยังอีกฝั่ง แต่ก็ต้องชะงักซะก่อน เพราะคนที่ผมรออยู่กำลังวิ่งหน้าตั้งมาเลย
“นายมาสาย” ผมเอ่ยทัก แต่อีกคนเดินผ่านผมไปเหมือนกับไม่เห็นผม ทำให้ผมต้องรีบคว้ามือไปจับแขนของเขาเอาไว้
“ครับ?”
“นายมาสาย”
“คุณคุยกับผมเหรอ”
“ใช่ เกิดเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าครับ ผมตื่นสาย” คำตอบของอีกคนทำให้ผมชะงักไปเลย ก่อนจะปล่อยมือที่จับเขาเอาไว้ออก ผมควรดุเด็กคนนี้ดีไหม ในเมื่อเขาไม่รู้จักผมด้วยซ้ำ
“มานี่” ผมบอกเขา มองไปยังสัญญาณไฟที่กะพริบเตือน ทำให้ต้องจับมือคนที่ยืนงงเพื่อข้ามไปยังอีกฝั่งที่ผมเพิ่งเดินมา ผมตั้งสติใหม่ ก่อนที่จะเริ่มพูดเพื่อเริ่มต้นอีกครั้ง เพราะดูเหมือนว่าวันนี้จะไปได้ไม่สวยอย่างที่คิดไว้
“วาเลนไทน์” หลังจากพาข้ามถนนมา เราทั้งคู่ก็เอาแต่เงียบใส่กัน ผมจึงเรียกชื่ออีกคนเพื่อเริ่มต้นบทสนทนาของวัน
“คุณรู้จักผมเหรอ”
“ก็ไม่เชิงหรอก”
“แล้ว...”
“ฉันอยากทำความรู้จักกับนาย”
“ทำความรู้จักกับผม?” เขาพูดแล้วชี้ไปยังตัวเอง ผมก็พยักหน้าก่อนที่จะเดินนำไป
“ตกลงคุณรู้จักผมไหม”
“ก็รู้เรื่องของนายในหลายๆ เรื่องนะ เรียกว่ารู้จักได้ไหม”
“คงได้มั้ง” วาเลนไทน์ตอบกลับมา เขานิ่งเงียบเหมือนกับกำลังคิดอะไรอยู่ซึ่งผมไม่รู้เลย ก็ได้แค่หวังว่าเขาจะโอเค
“ไปด้วยกันไหม” ผมเอ่ยชวนเขา
“ไปไหน”
“ก็เดินไปเรื่อยๆ นั่นแหละ” ผมบอก อีกคนก็พยักหน้ารับ ทำให้ผมยิ้มได้ขึ้นมาเลย
ผมพาเขามาที่สวนสาธารณะที่อยู่ด้านหลังคลินิกของผม ที่นี่เป็นสวนขนาดเล็ก เอาไว้มาวิ่งออกกำลังกายหรือนั่งปิกนิกกับครอบครัว ซึ่งตอนนี้เป็นช่วงเช้าของวันและโชคดีที่เป็นวันที่ไม่มีแดดมากนัก
ผมเลือกพาเขามานั่งที่ม้านั่งลายการ์ตูนน่ารักๆ หากเป็นตอนเย็นๆ จะมีผู้ปกครองพาเด็กๆ มาวิ่งเล่น ออกกำลังกายแถวนี้ด้วย
“ทำไมถึงเอาแต่เงียบล่ะ”
“ผมรู้สึกว่าผมรู้จักคุณ”
“เหรอ” ผมถาม วาเลนไทน์จับมือของผมไปทาบที่หน้าอกของเขา หากเอาหูไปทาบ คงได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นเร็วและรัว เพราะเพียงแค่ใช้มือ ผมก็รู้สึกถึงจังหวะของหัวใจที่เต้นเร็วผิดจังหวะไปจากเดิม
“คุณชื่ออะไร”
“โอ...โอฬาร” ผมบอกออกไป
“รู้สึกไหม” เขาถามผม เพราะหัวใจของอีกคนเต้นเร็วขึ้น
“อืม แล้วจำได้ไหม”
“ไม่ ผมแค่รู้สึกว่า...” เขาเหมือนจะพูด แต่ก็หยุดไปจนผมต้องถามต่อ
“ว่า”
“คุณสำคัญ” เขาช่างใจก่อนจะพูดออกมา
“ดีใจนะเนี่ย”
“ตกลงคุณเป็นใคร”
“อยากลองเดาดูไหม”
“คุณเป็นหมอเหรอ”
“จำได้แล้ว?” ผมขมวดคิ้วถาม แต่อีกคนส่ายหน้าแล้วตอบกลับมายิ้มๆ
“แค่คิดว่าน่าจะใช่น่ะครับ” เขาพูดแล้วหยิบปากกาไฟฉายจากกระเป๋าเสื้อของผมไปถือไว้
“มันไม่ใช่ของเล่นนะ!”
“ขอโทษครับ” วาเลนไทน์กล่าวขอโทษ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มขี้เล่นเมื่อกี้หายวับไปเลยเมื่อผมดุเขา
“ใช่ ฉันเป็นหมอ” ผมพูดออกมาหลังจากที่เรานั่งเงียบ เขาคงทำตัวไม่ถูก
“หรือว่าคุณเป็นหมอที่ดูแลผม”
“ไม่ใช่ ฉันเป็นหมอก็จริง แต่ฉันไม่ใช่หมอที่ดูแลนายหรอกนะ”
“อ้าวเหรอ”
“ว่าแต่ว่า นายจะไปไหน”
“ผมเหรอ จะไปหาอะไรกินครับ”
“ไม่ได้กินอะไรมาจากบ้านหรือไง”
“เมื่อเช้านี้กินครับ แต่ก็ยังหิวอยู่ดี”
“งั้นเอานี่ไป”
“ไม่เป็นไรเลยคุณ เดี๋ยวผมไปหาซื้อเองได้ครับ”
“รับไปเถอะ เจ้าอร่อยเลยนะ”
“แต่ว่า...”
“ถ้ามันไม่ร้อนแล้ว เดี๋ยวก็ไม่อร่อย ฉันก็ทิ้งอยู่ดี” ผมบอกแล้วส่งน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ไปให้เขา ถึงเขาจะปฏิเสธแค่ไหน แต่ผมก็ยังยัดเยียดให้เขาอยู่ดีจนอีกคนรับไป
“กินสิ” ผมบอกจนวาเลนไทน์กัดไปที่ก้นถุงของน้ำเต้าหู้แล้วยกดื่ม
ทั้งๆ ที่ท่าดื่มก็เหมือนเดิมแท้ๆ นี่สินะนิสัยที่ติดตัวคนเรามาตั้งแต่เกิด ไม่ว่ายังไงก็คงไม่เปลี่ยน
“คุณยิ้มอะไร”
“นายไง”
“ทำไม”
“ก็เห็นอยู่ว่ามีหลอด แทนที่จะเจาะกินดีๆ”
“ผมชอบแบบนี้”
“ฉันรู้
” ผมตอบกลับไป รู้สึกว่าตัวเองยิ้มกว้างกว่าเมื่อกี้ซะอีก
ทุกอย่างเหมือนเดิม ทั้งชีวิตประจำวัน ทั้งของที่ชอบ ไหนจะสิ่งที่ชอบทำเป็นประจำ วาเลนไทน์เป็นพวกชอบอะไรเดิมๆ และไม่ชอบที่จะเปลี่ยนหรือรับสิ่งใหม่ๆ แม้แต่รสชาติของอาหารที่กินก็ด้วย
“คุณเหมือนกับรู้จักผมดี”
“ฉันชอบที่จะทำความรู้จักกับนาย” ผมบอกกับอีกคน ตัวเขาก็จ้องหน้าผมกลับแต่ไม่พูดเจื้อยแจ้วเหมือนก่อนหน้า แววตามีแต่ความสงสัยแต่ก็ไม่ยอมถาม จนในที่สุดเขาก็เลิกมองผมแล้วนั่งกินปาท่องโก๋ในถุงจนหมด
“อร่อยใช่ไหม”
“ครับ ถูกปากมาก” ก็ต้องถูกปากล่ะนะ เพราะเป็นรสชาติที่คุ้นเคยนิ
“อยากกินอีกไหม”
“ไม่แล้วครับ ขอบคุณ ว่าแต่คุณไม่ไปทำงานเหรอ”
“วันนี้มีนัดกับคนไข้อีกทีคือตอนบ่าย”
“เหรอ คุณเป็นหมออะไร”
“จิตแพทย์”
“คุณเรียนเก่งเหรอ”
“ไม่หรอก พยายามแทบตายเลยล่ะกว่าจะจบน่ะ การมีเพื่อนดีก็ช่วยได้เยอะ”
“คุณไม่น่าจะรู้จักผมได้”
“มันคงเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ฉันว่าเพราะเป็นพรหมลิขิตมากกว่า”
“...”
“ยิ้มเหรอ”
“เปล่าสักหน่อย คุณเป็นคนยังไงกันแน่” ถึงจะปฏิเสธ แต่เขาก็ยิ้มอยู่จริงๆ นะ
“เป็นปกติ แต่นายชอบว่าฉันบ้า”
“...” วาเลนไทน์ไม่ตอบ แต่เขาเอามือกุมศีรษะตัวเอง
“ปวดหัวเหรอ”
“ไม่ครับ” เขาตอบกลับมา แต่สีหน้าของเขาไม่สู้ดีนัก
“เป็นอะไร”
“เหมือนมีภาพคุณในหัว”
“พักไหม ไม่ต้องคิดอะไรมาก ฉันว่าเราไปนั่งตรงนั้นกันเถอะ” ผมบอกแล้วชี้ไปยังศาลาริมน้ำ ที่นั่นร่มรื่นกว่าตรงนี้ มีที่บังแดดด้วย แถมผู้คนก็ไม่พลุกพล่าน วาเลนไทน์ดูเหนื่อยๆ เขาเงียบไปเลยเหมือนกับคิดอะไรอยู่ จนกระทั่งอีกคนพูดออกมา
“คุณเหนื่อยกับผมไหม” อยู่ๆ เขาก็ถาม
"ทำไมถึงถามแบบนี้"
"ตอบคำถามผมสิ"
“ไม่เลย”
“ไม่จริง”
“เอ้า ทำไมล่ะ”
“คุณเคยทิ้งผม”
“ทีนี้ทำไมจำได้” ผมถามเพราะมันเป็นเรื่องที่ผ่านมานานมากแล้ว แต่อีกคนเริ่มหน้าเสียลงเรื่อยๆ
“ผมขอโทษ”
“นายไม่ได้ทำอะไรผิด” ผมบอกแล้วขยับไปใกล้กว่าเดิม
“ฮื่อออออ”
“ร้องไห้ทำไม” ผมถามแล้วกอดปลอบ
“คุณจะทิ้งผมไปอีกไหม”
“ไม่ ไม่ทิ้งหรอก อย่าร้องไห้สิ”
“ผมขอโทษ ผมมันน่ารำคาญ”
“ไม่จริงสักหน่อย”
“ชะ...ใช่ คุณเคยพูด ฮึก ผะ...ผมจำได้ ฮื่ออออ” วาเลนไทน์ร้องไห้หนักขึ้น เขาตาแดงและมองผมด้วยแววตาอ้อนวอน เหมือนกับกลัวว่าผมจะทิ้งเขาไปจริงๆ
“มันผ่านมาแล้ว และฉันจะไม่ทิ้งนายอีก”
“ผะ...ฮึก...ผมกลัว”
“ฉันรู้” ผมบอกแล้วลูบหลังอีกคนเพื่อปลอบ นี่เป็นครั้งแรกที่วาเลนไทน์ร้องไห้ออกมาหนักขนาดนี้หลังจากที่เหมือนจะจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง
“ผมรักคุณนะ”
“นายจำอะไรได้”
“ความทรงจำบางช่วง ผมไม่รู้ มันสับสนและฉายวนอยู่ในหัว”
“ใจเย็นๆ”
“คุณเป็นคนรักของผมใช่ไหม”
“อืม”
“ทำไมคุณไม่บอก”
“เพราะถ้าบอกไป นายก็ไม่เชื่ออยู่ดี”
“คุณเคยลองแล้วเหรอ”
“นับครั้งไม่ถ้วน”
“นี่เลยเป็นเหตุผลที่คุณเคยทิ้งผมเหรอ”
“ไม่ใช่ นั่นมันก่อนที่นายจะเริ่มมีอาการ”
“ผมเป็นอะไร”
“ความทรงจำขาดหาย”
“...” วาเลนไทน์มองผมด้วยแววตาสั่นๆ หลังจากที่ผมบอกไป เป็นครั้งแรกเลยที่เขาแสดงอาการแบบนี้ เขาจำเหตุการณ์ในอดีตได้ ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว ผมไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์ในหัวของเขาหยุดอยู่ที่ตอนไหน แต่ถ้าเขาจำมันได้มากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ เขาจะรู้ได้ทันทีเลยว่าผมรักเขาแค่ไหน
“ฉันไม่ทิ้งนายแน่นอน ไม่เคยคิดที่จะทิ้งเลย”
“แล้วทำไม...”
“ก็แค่ความทรงจำของนายยังกลับมาไม่ครบ”
“ผมเป็นแบบนี้บ่อยไหม”
“ทุกวัน ทุกครั้งที่นายตื่น นายจะจำอะไรไม่ได้เลย หรืออาจจะจำได้ แต่ก็ยังไม่เคยได้ถึงตอนปัจจุบัน”
“ผมจำตัวเองในวัยเด็กได้”
“ใช่ นายจำได้ บางครั้งก็ถึงตอนประถม บางครั้งก็ช่วงมหาลัย มีหลายครั้งก็เป็นช่วงที่ฉันกำลังจีบนาย”
“คุณจีบผม?”
“ใช่”
“คุณไม่ชอบผู้หญิงเหรอ”
“ก็ชอบ แต่ชอบนายมากกว่า” ผมบอกออกไป วาเลนไทน์ไม่ได้พูดอะไรอีก เขานั่งเงียบเหมือนกับพยายามคิดให้ออก
“เป็นอะไร” ผมถาม เพราะอีกคนขมวดคิ้ว ผมชอบให้เขาถามผมมากกว่าคิดเอาเอง
“ผมเคยถามไหมว่าทำไม”
“ทำไมอะไร”
“ทำไมเราถึงคบกันได้”
“อยากฟังเหรอ”
“ก็อยาก แต่คิดว่าคุณต้องเล่าให้ผมฟังบ่อยแล้วแน่ๆ”
“ไม่เคยเลยต่างหาก”
“จริงเหรอ ทำไมล่ะ”
“เพราะนายไม่เคยถาม”
“ถ้าอย่างนั้น ครั้งนี้เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ”
“ได้สิ ก็นายอยากฟังนิ” ผมยิ้มให้กับเขาแล้วนึกย้อนกลับไปช่วงเวลาที่เราพบกันครั้งแรก มันเป็นเหมือนกับพรหมลิขิตที่ทำให้เราเจอกัน แต่หลังจากนั้น ผมลิขิตเองล้วนๆ
เรารู้จักกันมานานแล้ว และเป็นผมเองที่เริ่มจีบเขาก่อน เขาไม่ใช่ผู้ชายตัวเล็กน่ารัก เขาก็แค่ผู้ชายธรรมดาที่มีผิวขาวซีด ไม่ได้มีหุ่นผอมบางแต่ก็ไม่ได้หนาอะไร เขาเป็นคนมีเสน่ห์ และผมตกหลุมรักรอยยิ้มของเขาตั้งแต่แรกเห็น สิ่งที่ยากที่สุดคือการตามจีบเขา เนื่องจากตัวผมเองที่ไม่ใช่สเปกเขาเลย เขาค่อนข้างจะไม่ชอบขี้หน้าผมตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ
ที่เขาว่ากันว่า ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก มันใช้ได้ผลสำหรับผม ถึงจะใช้เวลากว่าหลายปีกว่าจะจีบเขาติดก็เถอะ
ตัวผมเองก็เป็นผู้ชายธรรมดา แต่ผมแค่พร้อมที่จะทำให้ทุกๆ วันของอีกคนเป็นวันพิเศษ ผมซื่อตรงกับความรู้สึก เพราะการที่ผมบอกรักเขา มันแปลว่าผมรักเขาจริงๆ
‘สวัสดี’
‘คุณอีกแล้ว’
‘ใช่ ฉันเอง’
‘กินขนมปังทุกวัน ไม่เบื่อหรือไงคุณ’
‘ก็เบื่อ...ขนมปังน่ะนะ แต่ฉันไม่เคยเบื่อนายเลย’
‘อย่ามาเล่นมุกเสี่ยวนะ’
‘พูดจริงหาว่าเล่นมุก’
‘พอเถอะ ผมขอ’
‘หยอดทุกวันไม่ใจอ่อนบ้างเหรอ’
‘ใครจะใจอ่อนให้หมอโรคจิตอย่างคุณกันเล่า’
‘เศร้านะเนี่ย’
‘จะไปไหนก็ไปเลย’
‘จะให้ไปไหนในเมื่อใจอยู่ตรงนี้’ ผมบอกกับเขาแล้วนั่งลงที่โต๊ะว่าง ที่นี่เป็นร้านเบเกอรี่ซึ่งมีขนมปังและคุกกี้มากมาย เป็นร้านที่มีกลิ่นหอมจนคุณต้องชอบและอร่อยจนต้องติดใจแน่ๆ ถ้าได้มาลอง
‘ผมคิดค่านั่งนะ’
‘บวกไปกับค่าขนมปังเลยตามสบาย’ ผมบอกกับเขา ก็เห็นพูดแบบนี้ทุกทีแต่ก็ไม่เคยจะเก็บเงินผมจริงจังหรอก
‘คุณไม่ทำการทำงานหรือไง หรือการเป็นหมอมันว่างมาก’
‘ก็ไม่ว่าง แต่ถ้าว่างก็อยากเจอ’
‘ผมไม่หลงคารมหรอกนะ’
‘ไม่ได้อยากให้หลงคารม แค่หลงผมก็พอ’
‘ไม่แน่ๆ อ่ะ’ อีกคนบอกแล้วมองค้อนใส่ ถึงจะทำหน้าดุ แต่ก็ดูน่ารัก คงมีแต่ผมนี่แหละที่หลงอีกคนจนโงหัวไม่ขึ้น
‘เมื่อไหร่จะบอกชื่อกันล่ะ’
‘ผมไม่อยากรู้จักคุณสักหน่อย’
‘ชัดเจน งั้นไม่เซ้าซี้แล้วกัน’ ผมบอกก่อนที่จะดูเวลาเพราะมีนัดกับคนไข้ อยากรู้จัก อยากสนิท ทั้งๆ ที่ก็พยายามจีบ แต่ทำไมถึงไม่ติดกันนะ ผมว่าผมก็หล่อพอตัวอยู่นะ
+++
“เงียบทำไม แล้วที่คุณว่าจะไม่เซ้าซี้ คือไม่เซ้าซี้จริงๆ เหรอ” วาเลนไทน์ถามขึ้น
“ฉันหมายถึงไม่เซ้าซี้เรื่องการถามชื่อ ที่เงียบเพราะหลังจากนั้นเป็นนายเองต่างหากที่เข้ามาคุยกับฉันก่อน”
“ทำไม”
“ไม่รู้สิ ฉันจีบนายติดล่ะมั้ง”
“ง่ายอย่างงั้นเลยเหรอ”
“ใครว่าง่าย 2 ปีเชียวนะกับการไปหานายที่ร้านเบเกอรี่นั่นทุกวัน"
“แล้วทำไมผมถึงเข้าไปคุยกับคุณก่อนล่ะ”
“ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าจริงๆ แล้วทำไม แต่คงเพราะฉันหายไปล่ะมั้ง”
“อ่า ใช้วิธีมาเจอทุกวันแล้วก็หายไปงี้เหรอ”
“ก็ไม่เชิง เพราะฉันไม่ได้ตั้งใจหายไปจากนาย”
“แล้วคุณหายไปไหน”
“แม่เสียน่ะ”
“เหรอ ผมขอโทษนะ ไม่น่าให้เล่าเลย”
“ไม่เป็นไร มันก็นานมากแล้วด้วย”
“ผมถามได้ไหมว่าแล้วไงต่อ” อีกคนพูดอย่างอยากรู้ ทั้งๆ ที่เมื่อกี้ยังทำหน้าเศร้าอยู่เลย
“หลังจากที่ฉันหายไปธุระเรื่องแม่ หลังจากกลับมานายก็งอนฉันน่าดูเลย”
“งอนเหรอ ไหนบอกว่าผมเข้าไปคุยกับคุณก่อน”
“ก็ถ้าฉันไม่ไปหานาย จะมีเหรอที่นายจะเข้ามาคุยก่อน คุยก่อนไม่ได้หมายถึงทักทายก่อนนะ แต่เป็นครั้งแรกเลยที่นายเป็นคนชวนฉันคุยโดยที่ไม่ใช่ฉันเข้าไปกวน”
+++++
‘ไม่เจอตั้งหลายวัน คิดถึงกันบ้างไหม’ หลังจากเสร็จธุระเรื่องแม่ ผมก็กลับมาทำงานปกติ และก็กลับมาหาเขา เขาที่ผมรู้สึกชอบมากเป็นพิเศษตั้งแต่แรกเห็น
‘ทำไมต้องคิดถึง คุณหายไปมันก็ดีอยู่แล้ว’
‘อย่างงั้นเหรอ’ ได้ฟังอีกคนพูดแล้วก็เศร้า ไม่เคยจะให้ความหวัง แต่ตัวผมก็ไม่คิดจะตัดใจ
‘ทำไมทำหน้าเศร้าแบบนั้น’ เขาถาม เป็นคำถามที่เหมือนกับชวนคุยไหมนะ เพราะผมนั่งเงียบอยู่นานเลยหลังจากที่คิดว่าอีกคนไม่คิดถึง
‘ไม่มีอะไร’
‘แล้วหายไปไหนมาล่ะ’ ถามอีกแล้ว ผมดีใจได้ไหม ถึงจะมองไปทางอื่นแต่ในร้านก็มีแค่ผมกับเขา คงจะไม่ได้คุยกับแม่ซื้อที่ไหนหรอกมั้ง แต่ถ้าผมตอบไปแล้วเขาบอกว่าคุยกับโต๊ะกับเก้าอี้ ผมคงต้องพิจารณาตัวเองหน่อยแล้ว เพราะความสำคัญของผมคงไม่มีอยู่จริง
‘แม่ผมเสียน่ะ’
‘ทำไมไม่บอก!’ เสียงดุจากอีกคนพูดขึ้น เพิ่งเคยเห็นเขาทำหน้าแบบนี้ครั้งแรกเลยนะ นอกจากยิ้มให้ลูกค้าคนอื่นแล้ว ก็มองผมแบบหน้าเหม็นเบื่อนี่แหละที่ทำประจำ
‘ก็...ต้องบอกด้วยเหรอ’ ผมถามกลับทำเอาอีกคนเหลือกตาใส่ จากที่กำลังแพ็กขนมปังอยู่ อยู่ๆ เขาก็หยุดแล้วเดินมานั่งตรงข้ามกับผม
‘คุณโอเคไหม’ เขาถาม
‘เรื่อง...’
‘จะเรื่องอะไรล่ะ ที่แม่คุณเสียไปน่ะผมเสียใจด้วยนะ’
‘อืม ไม่เป็นไร ผมโอเค’
‘โอเคแต่ก็เสียใจใช่ไหมล่ะ’ เขาถาม ถ้าให้พูดตามจริง ลึกๆ แล้วผมก็เสียใจนั่นแหละ แต่ผมก็คิดว่าท่านคงไปสบายแล้ว
‘จะปลอบเหรอ’ ผมถามเขา
‘อืม’ อีกคนตอบรับแล้วจับมือของผมไปกุมเอาไว้ เขาลูบที่มือผมเบาๆ ถึงจะไม่มีคำพูดอะไร แต่ผมก็ซึ้งใจเขามาก ทั้งๆ ที่ไม่คิดว่าจะร้องไห้ แต่บางที่การได้ร้องออกมามันก็เป็นเรื่องที่ดี ผมก้มหน้าลงกับโต๊ะแล้วร้องออกมาเงียบๆ อีกคนเพียงแค่นั่งกุมมือของผมโดยที่ไม่พูดอะไร
++++++
“ผมทำแค่นั้นจริงๆ เหรอ”
“อืม แค่จับมือนั่นแหละ แต่แค่นั้นก็ดีมากแล้วนะ”
“ดูคุณเหมือนจะประทับใจนะ”
“ใช่ เพราะตอนนั้นฉันไม่ได้ต้องการคำพูดปลอบใจอะไร”
“คุณมาหาแล้วก็จีบผมทุกวันเลยเหรอ”
“ไม่เคยหายไปเลยสักวัน นอกจากครั้งนั้นแหละ”
“คุณมันน่าเหลือเชื่อ ใจคุณมันได้”
“แน่นอน แล้วก็ได้ใจนายไปเต็มๆ เลยล่ะ นอกจากหยอดแล้ว ฉันก็ช่วยอย่างอื่นนายด้วยนะ”
“ยังไง”
++++
‘สวัสดี วันนี้เปิดประตูมาก็เจอความรักเลย ต้องเป็นวันดีแน่ๆ’
‘ดีสำหรับผมน่ะสิ’
‘นั่นแน่ มีใจแล้วใช่ไหม’
‘วันนี้ผมขายขนมปังหมดแล้ว เพราะฉะนั้นร้านปิด เชิญกลับได้เลยครับ’
‘พูดจริงดิ’
‘กับการขายของผมไม่โกหกหรอกนะ พอดีมีคนมาเหมา’
‘งั้นขอนั่งมองหน้าหล่อๆ ของนายอีกสักพักได้ไหม’
‘ไม่ได้ครับ’
‘เสียใจนะเนี่ย’
‘ผมต้องไปส่งของแล้ว’
‘ถ้าอย่างนั้นฉันไปด้วย’
‘คุณจะไปทำไม’
‘ก็ไปช่วยถือไง’ ผมบอกแล้วยกลังขนมปังขึ้น อีกคนคงเอือมระอาจนไม่ห้าม เขาเอาแต่ส่ายหน้าแต่ก็ไม่ได้บ่นอะไร แต่ผมเห็นนะ เขาแอบอมยิ้มแหละ
+++
“พวกเราเป็นแบบนี้กันนานไหมครับ”
“ที่ฉันตามจีบนายน่ะเหรอ”
“ที่ผมเล่นตัวดีกว่า”
“ฮ่าๆๆๆ กว่านายจะตกลงคบกับฉันเราก็รู้จักกันกว่า 4 ปีได้”
“โหคุณ ปักใจอะไรกับผมขนาดนั้น”
“นั่นสิ คงเพราะว่ารักไปแล้วล่ะมั้ง”
“ตอนนั้นคุณรักผมมากเลยเหรอ”
“ใช่สิ ตอนนี้ก็รัก ไม่มีวันไหนที่ไม่รักเลย” ผมบอก พออีกคนเงียบไม่โต้ตอบเลยหันไปมองหน้า วาเลนไทน์กำลังเขินอยู่ เขาหน้าแดงและอมยิ้มเล็กๆ
“คุณนี่ปากหวานตลอดเลย”
“นายก็น่ารักตลอดเลย”
“บ้า” วาเลนไทน์บอก เขาเขินแหละผมดูออก
“ถ้ารู้ว่าเล่าให้ฟังแล้วจะทำหน้าแบบนี้ เล่าให้ฟังทุกวันเลยดีไหม”
“แบบนั้นคุณจะรำคาญเอาน่ะสิ”
“ไม่เลย ฉันดีใจที่นายยิ้มมากกว่า”
“ทุกๆ วันที่ผมตื่นมาเจอคุณ มันต่างกันมากไหม”
“ก็มากอยู่”
“แล้วผมร้ายกับคุณบ้างไหม”
“นายไม่ใช่คนแบบนั้น”
“คุณเป็นคนดีนะ”
“นายถึงได้ยอมรับรักฉันไง”
“ไม่แปลกใจเลย” วาเลนไทน์บอก เขาพยักหน้าคิดตาม
“แต่นายก็เล่นตัวนานอยู่”
“นั่นสิ แล้วคุณทำได้ใช่ไหม ผมหมายถึงว่า คุณทำให้ผมจำคุณได้ในทุกๆ วันเลยหรือเปล่า”
“ไม่ น้อยครั้งที่นายจะจำไม่ได้”
“แล้วคุณทำยังไง”
“ก็ให้อ่านไดอารี่ที่ตัวนายเขียน”
“ผมเขียนไดอารี่ด้วยเหรอ”
“ก็เขียนทุกวัน ก่อนจะนอนน่ะ” วาเลนไทน์มีสีหน้าแปลกใจ เพราะมันไม่ใช่นิสัยของเขา เพียงเพราะเขาเริ่มทำมาได้ไม่นาน จะไม่คุ้นชินก็ไม่แปลก
“เราคบกันหลังจากตอนที่คุณเล่านานไหม”
“ไม่นาน เพราะนายเริ่มเปิดใจให้ฉันนานแล้ว”
“แค่เล่นตัวสินะ”
“อืม รู้ไหม คืนแรกของเราน่ะ...” ผมพูดแล้วก็เงียบไป ทำให้อีกคนมองผมตาแป๋ว เขาเอียงคอเข้าหาผมเหมือนกับแมวน้อยเลย
“อะ...อะไรละครับ”
“นายเริ่มก่อนด้วยนะ” ทันทีที่พูดจบ อีกคนหน้าแดงอย่างเห็นได้ชัด เขามองผมแล้วกะพริบตาถี่ๆ ยิ่งมองยิ่งดูน่ารัก
“ผมใจเต้นแรงเลยคุณ” วาเลนไทน์พูดออกมา ตอนนี้เขาหลบตาไม่กล้าจ้องหน้าผมแล้ว
“ฉันก็ไม่ต่าง”
“ผมถามอะไรหน่อยสิ”
“หืม”
“เคยถอดใจจากผมบ้างไหม”
“พูดตามตรงนะ แรกๆ ก็เหนื่อยเหมือนกัน มันมีทั้งวันที่ดีและวันที่ไม่ดี แต่ทุกครั้งที่นายจำฉันได้ นายร้องไห้เหมือนจะตายเลยล่ะ”
“ผมรู้สึกผิดสินะ”
“ใช่ ยิ่งฉะเพราะวันที่นายดื้อกับฉันมากๆ น่ะนะ”
“แล้วไม่ทิ้งไปล่ะ”
“ทิ้งได้ไง รักมากขนาดนี้” ผมบอกออกไป วาเลนไทน์ได้แต่เม้นปากเข้าหากัน ผมรู้ว่าเขาชอบแหละที่ได้แบบนั้น แต่ผมไม่ได้พูดเพื่อเอาใจเขานะ ผมพูดออกมาจากใจของผมจริงๆ
“จะเที่ยงแล้ว ไปหาอะไรกินกันไหม”
“ได้ครับ” วาเลนไทน์ตอบรับ ผมเลยพาเขาไปยังร้านก๋วยเตี๋ยวหน้าคลินิกของผม เพราะหลังจากกินเสร็จ ผมก็ต้องเตรียมตัวเนื่องจากใกล้เวลานัดกับคนไข้
มีต่อนะคะ