วอนซ์ซบหน้าลงกับฝ่ามืออย่างเหนื่อยใจ
ทั้งๆ ที่ตอนยังเรียนอยู่มหาลัยทุกอย่างกำลังไปด้วยสวยแท้ๆ เขากับมิกกี้มีช่วงเวลาดีๆ ด้วยกันเยอะมาก เราไปเดทกันบ่อยครั้ง ทั้งดูหนัง เล่นน้ำตก หรือแม้แต่ไปเที่ยวเม็กซิโกเมืองคาวบอยด้วยกัน ตอนนั้นมิกกี้น่ารักมาก ถึงจะไม่ค่อยยิ้มก็เถอะแต่การกระทำบางอย่างกลับน่าเอ็นดูสุดๆ คงไม่มีใครเชื่อแน่ว่าหัวหน้าที่สมองปราดเปรื่องที่สุดกลับไม่เข้าใจเรื่องง่ายๆ หลายๆ อย่าง
มันทำให้เขารู้สึกดีที่มีแค่ตัวเองที่ได้รู้จักมิกกี้ในมุมนี้คนเดียว แต่แล้วพอมีนาซ่ามาทาบทามตัวพวกเขาไปทำงาน มิกกี้ที่ตอนแรกดูเหมือนจะไม่อยากทำเท่าไหร่แต่พอผ่านไปสักพักก็ตกลงทำและหนีไปทำคนเดียวซะอย่างงั้น ทำให้เขาต้องตามไปสมัครงานเพื่อที่จะเกาะติดกับมิกกี้ แต่แปลกนะ ที่พอมิกกี้กลายเป็นหัวหน้าใหญ่แล้วทุกอย่างกลับไม่เหมือนเดิม
เขาไม่เคยได้คำตอบสักครั้งจากคำถามที่ถามไป
มีเพียงความเงียบงันกับสีหน้าเฉยชาไม่ยี่หระราวกับไม่ใช่เรื่องของตัวเองเท่านั้นที่ตอบรับกลับมา
"ทอม อย่าบอกนะว่านายไปงัดล็อกเกอร์ของหัวหน้า ด้วยชะแลงโง่ๆ นั่น" กีลถามเสียงขุ่น
"แง ก็ฉันอยากได้ฉายาโฮมส์ ทอมนี่นา" ทอมผวาหนีไปหลบหลังลีออนยื่นหน้าออกมาคุยกับกีล หนุ่มเยอรมันหน้าโหดที่รักกฎระเบียบยิ่งชีพ "อีกอย่างฉันก็แงะไม่สำเร็จสักหน่อย นายอย่าโกรธเลยน้า"
กีลขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ "นายควรจะเคารพความเป็นส่วนตัวของหัวหน้าเหมือนที่หัวหน้าให้เกียรติิิิ์พวกเรา"
"...อือ ฉันไม่อยากได้แล้วก็ได้" ถ้าสามารถใช้ไม้บรรทัดวัดใบหน้าของทอมได้ตอนนี้คงหดเหลือไม่ถึงนิ้วและทำท่าจะร้องไห้ "ฮือ ฉันฟ้องมิสเตอร์ต้นแน่! ถ้านายต่อยฉัน"
กีลกลอกตาหน่ายๆ แล้วไปทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย เอาเข้าจริงเขาก็ไม่ได้โกรธอะไรมากมายเพียงแค่ไม่ชอบเท่านั้น ทุกคนควรเคารพกฎเกณฑ์ที่ดำรงอยู่ไม่ใช่ปล่อยปะละเลยให้มันเป็นเพียงตัวอักษรลอยๆ ไร้ค่า
พอการโต้วาทีจบลงทุกคนก็ย้ายย้ายกับไปทำงานตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด แม้แต่ทอมที่ติดเล่นมาตลอดก็สวมอุปกรณ์ป้องกันรัดกุมและเข้าไปอีกห้องที่ใช้ชื่อว่าดีพซี (ทะเลลึก) ตั้งอกตั้งใจฉีดวัคซีนที่หัวหน้าเพิ่งสกัดมาใส่กระต่ายที่ถูกฉีดด้วยเชื้อโรคร้าย
ซึ่งตอนนี้มันก็ป่วยและใกล้ตายเต็มทน ประสาทรับรู้ด้านความเจ็บปวดของพวกมันชาด้านจนไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดเมื่อโดนแทงเข็มเข้าไปที่หลังของมันด้วยซ้ำ
เมื่อฉีดครบทุกตัว ทอมก็จัดการคีย์ข้อมูลลงระบบตรงหน้าจอมุมห้องว่าฉีดยาเรียบร้อยแล้วหรือแค่รอดูผลเท่านั้น
"นายว่าครั้งนี้มันจะรอดไหม?" ทอมถามขณะที่ลูบหัวกระต่ายตัวหนึ่งเบาๆ ดวงตาของมันปูดโปนแดงก่ำและมีขี้ตาสีเขียวเต็มไปหมด ขนร่วงจนตัวแทบโกร๋น มันมองเพดานสายตาเลื่อนลอยส่งเสียงฟี้ๆ เหมือนหายใจไม่ออกฟังดูน่าสงสาร
"ไม่รู้สิ" วอนซ์พ่นลมหายใจเหนื่อยๆ "นายก็รู้ว่าสิ่งที่เราทำอยู่มันเป็นไปได้ยากขนาดไหน"
"เฮ้ๆ ไม่เอาน่า" ทอมหัวเราะ "อย่างน้อยเราก็ควรเชื่อในตัวหัวหน้านะ เชื่อฉันเถอะ ว่าเขาจะกลายเป็นคนในประวัติศาสตร์เหมือนอย่างไอน์สไตน์ อย่าลืมสิ ว่าเขาเป็นคนแรกที่สามารถทำกระต่ายสีชมพูได้นะ"
"..งั้นฉันก็ภาวนาให้พวกมันรอดแล้วกัน"
มิกกี้เปลี่ยนไปเพราะมาทำวิจัยเรื่องนี้ ถ้ามันสำเร็จเขาอาจจะได้มิกกี้คนเดิมกลับมาก็ได้
แต่เขาก็ทำได้เพียงภาวนา
ไม่มีใครรู้หรอกว่าหัวหน้าทีมนกนางแอ่นคิดอะไรอยู่
สองอาทิตย์ผ่านไปและผลลัพธ์ที่ได้คือกระต่ายทุกชุดตายหมด นับโดยรวมก็ประมาณหนึ่งร้อยกว่าตัวเพราะมิกกี้แบ่งชุดการทดลองเป็นชุดละสิบตัวเพื่อความแม่นยำและการลดความคลาดเคลื่อน
"ตายหมดอีกแล้วเหรอ?"
คำถามเสียงนุ่มนวลจากผู้สนับสนุนหลักที่แฝงไปด้วยความเย็นชา พวกเขารู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ยากก็จริงในการสกัดยาที่ดูเป็นไปไม่ได้นั้นออกมา แต่ทำยังไงได้ในเมื่อเม็ดเงินที่พวกเขาสูญเสียไปก็ไม่ใช่น้อยๆ เหมือนกัน
มิกกี้ซึ่งยืนหน้าสุดของทีมยืนหลังเหยียดตรงสีหน้าสุขุม เผชิญหน้ากับเหล่าสปอนเซอร์ที่นั่งเรียงรายอยู่เต็มพื้นที่ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้มีเงินและอำนาจโดยแต่ละคนนั้นมีจุดหมายเดียวกันก็คือยาวิเศษที่ฟังดูเป็นไปไม่ได้นั่น
"ครับ พวกมันตายหมดตามอาการของโรค" มิกกี้กดรีโมทเพื่อแสดงสไลด์พาวเวอร์พอยต์ที่เขาทำมาเพื่ออธิบายให้สปอนเซอร์เหล่านี้ฟังโดยเฉพาะ ตอนนี้บนจอปรากฎภาพกระต่ายที่ตายด้วยอาการของโรคก่อนที่มิกกี้จะเปลี่ยนเป็นอีกสไลด์ซึ่งเป็นภาพเคลื่อนไหวของแบคทีเรียตัวนึงที่กำลังเคลื่อนตัวไปกินเชื้อไวรัสที่ลอยอยู่ใกล้ๆ "วัคซีนตัวนี้ผมสกัดจากแบคทีเรียชนิดพิเศษที่สามารถกินเชื้อโรคเพื่อเป็นอาหารได้แต่น่าเสียดายที่มันล้มเหลว"
เมื่อเห็นสีหน้าของสปอนเซอร์เริ่มเป็นไปทางในลบ มิกกี้ก็ยิ้มนิดๆ และเปลี่ยนภาพเป็นอีกภาพซึ่งแสดงให้เห็นถึงวัคซีนตัวใหม่ล่าสุดที่เขาพัฒนาอยู่ มันเป็นโปรเจ็คลับที่เขาลองทำดูเมื่อสามวันก่อนซึ่งเขาก็โชคดีที่มันเวิร์ค
"แต่เมื่อสี่ห้าวันก่อน ผมได้ลองทดลองกับแบคทีเรียตัวใหม่" มิกกี้ยิ้มอย่างมั่นใจส่งผลให้ทั้งคนในทีมนกนางแอ่นและคนอื่นๆ ในห้องโถงต่างพากันแสดงสีหน้าประหลาดใจเพราะไม่บ่อยนักที่มิกกี้จะทำท่าทางมั่นใจในตัวเองมากขนาดนี้
มิกกี้ล้วงหยิบหลอดทดลองแก้วพิเศษออกจากเสื้อกาวน์และเขย่าน้ำสีเหลืองข้างในเบาๆ จนเกิดวงคลื่น
"ด้วยวัคซีนตัวนี้ ผมมั่นใจว่ามันจะสามารถทำให้ความฝันของพวกคุณเป็นจริงได้อย่างแน่นอน"
เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วแน่นอนว่ามิกกี้ไม่ปล่อยให้มันหมดไปก่อนจึงเปลี่ยนไปอีกสไลด์เพื่อพูดต่อ
"ผมลองทดลองกับพวกกระต่ายที่ติดโรคพิษสุนัขบ้าขั้นสุดท้าย แน่อนปกติมันจะตายเพราะตอนนี้โลกของเราไม่มียารักษา"
บนจอภาพปรากฎคลิปกระต่ายคลุ้มคลั่งจากอาการพิษสุนัขบ้า
"แต่พอผมลองฉีดยาวัคซีคตัวนี้ อาการของกระต่ายพวกนี้ก็ค่อยๆ ทุเลาลง"
มิกกี้กดเลื่อนไปอีกสไลด์ซึ่งเป็นภาพเปรียบเทียบระหว่างกระต่ายที่ติดเชื้อและกระต่ายที่ได้รับยารักษาแล้ว
"โปรเจ็คนี้เป็นโปรเจ็คที่ผมลองทำสุ่มๆ ดูคนเดียวเพราะไม่ได้คาดหวังอะไรมากเท่าไหร่" มิกกี้หันไปโค้งตัวให้ลูกทีมตัวเองเชิงขอโทษจากใจ "โอกาสสำเร็จมันน้อยมาก ผมเลยไม่อยากรบกวนเวลาของลูกทีม แค่โปรเจ็คหลักที่ผมให้พวกเขาทำ พวกเขาก็ทำมากเกินกว่างานไปมากแล้ว ผมสั่งเขาทำสามชั่วโมงพวกเขาจะทำสิบชั่วโมง พวกเขาทุ่มเทกับงานนี้มากจนผมไม่อยากรบกวนเวลาพวกเขา กับโปรเจ็คที่เปอร์เซ็นสำเร็จน้อยแบบนี้"
หัวหน้าทีมนกนางแอ่นหัวเราะนิดๆ "แต่เรื่องโง่ๆ มันก็เกิดขึ้น ไอ้นี่มันดันสำเร็จซะอย่างงั้น ผมบอกไว้ก่อนว่าวัคซีนตัวนี้สำเร็จได้ไม่ใช่เพราะตัวผมคนเดียวแต่เป็นเพราะทีม SWALLOW ทุกคน ทีมที่พวกคุณเชื่อมั่นจนในที่สุดสิ่งที่พวกคุณฝันถึงก็สำเร็จได้ครับ!"
ทุกคนในพื้นที่ต่างตื่นตระหนกจริงจังเพราะไม่คาดคิดว่างานที่ควรจะประกาศความล้มเหลวกับการเป็นงานที่ประกาศถึงความสำเร็จของทีมนกนางแอ่นที่สามารถเอาชนะความตายมนุษย์ไปได้อีกขั้น
"อย่าเพิ่งดีใจครับ" มิกกี้หัวเราะ "นี่มันก็แค่เริ่มต้นของสัญญาณที่ดีเท่านั้น ผมต้องทดลองให้แน่ใจก่อนว่ามันปลอดภัยสำหรับมนุษย์แน่ๆ แล้ว ผมจะส่งถึงมือทุกคนอย่างแน่นอน"
สุนทรพจน์จบไปแล้วแต่งานเลี้ยงยังไม่จบ ภายในห้องทีมวิจัยทีมนกนางแอ่นถูกปรับแต่งเป็นธีมปาร์ตี้ชั่วคราว ทุกคนสวมหมวกปาร์ตี้ที่ยืมมาจากฝ่ายบุคคล เปิดเพลงตื๊ดลั่นห้อง แสงสีไฟจากโทรศัพท์ และมีบาร์เทนเดอร์เป็นเลออนที่ขนวอดก้ามาแทบทั้งบ้าน
และแน่นอนคนที่โดนมอมก็ต้องเป็นคนเดิม
"...พอแล้ว เลออน" มิกกี้งึมงำพูดหน้าแดงก่ำสภาพยับเยิน นัยน์ตาหวานฉ่ำจนเลนส์แว่นปิดบังสเน่ห์ไม่อยู่ ความจริงแล้วมิกกี้ก็ไม่พอใจนักที่ต้องมาโดนมอมเหล้าหลังสุนทรพจน์เสร็จแต่ก็เกรงใจทุกคนที่เอาแต่พูดฉลองเพื่อเขา ทั้งๆ ที่เขากังวลแทบตายที่ทุกคนจนโกรธเรื่องแอบไปทำโปรเจ็คคนเดียว แต่นั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้วล่ะ
ทอมที่กำลังเมาได้ที่ตอนนี้ผันตัวเป็นดีใจเปิดเพลงตื้ดของประเทศไทย ที่หัวหน้าฟังออกและน่าจะชอบ "เต้นเลยๆๆ หัวหน้า เต้น เต้น เต้น"
กีลที่ปกติมักจะทำหน้าเครียดเสมอตอนนี้ยังโยกหัวตามเพลงพร้อมๆ กับจิบไวน์สัญชาติเยอรมันที่เตรียมมาจากบ้าน
"..ฉันเต้นไม่เป็นหรอก ทอม" มิกกี้หัวเราะและยิ้มจนตาหยี "นายเปิดเพลงอะไรฉันก็ไม่เต้นทั้งนั้น ไอ้เด็กโง่"
"เต้นสิ หัวหน้าา" ทอมขมวดคิ้วโวยวาย "วันนี้วันดีน้า"
"ดีก็จริง แต่มันยังไม่สำเร็จสักหน่อย" มิกกี้กล่าวยิ้มๆ แล้วเหลือบไปมองคนที่ทำตัวผิดปกติตั้งแต่ก่อนงานเริ่ม ขานั้นเอาแต่นั่งนิ่งๆ มองวอดก้าโดยไม่จิบสักอึก
"โห่ววว แต่ก็ถือเป็นเรื่องดีนะ!" ทอมหน้ามุ่ย "แต่ไม่เป็นไร ถ้าหัวหน้าไม่เต้นผมชวนเลออนเต้น ก็ได้! มาเต้นกัน"
เลออนหัวเราะอย่างอารมณ์ดี "ไม่ล่ะ ฉันไม่อยากเต้นกับพวกชิวาว่าขี้เมา"
คำพูดของเลออนคล้ายเหยียบหางทอม ทอมฮึดฮัดวิ่งไปหาวอนซ์ "เต้นกัน วอนซ์! ฉันกับนายต้องโชว์สเต็ปเต้นให้พวกไก่อ่อนดูสักหน่อยแล้ว"
มิกกี้ขำออกเสียงขณะเดียวกันก็มองคนรักเก่าตัวเองลุ้นๆ หากแต่เมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมา มิกกี้ก็สะดุ้งเฮือก
"...ไม่ล่ะ ฉันมึนหัวนิดหน่อย"
เมื่อกี้เขาเห็นดวงตาของวอนซ์เป็นสีแดงก่ำ
"โห่ มีแต่พวกไม่ใจอ่ะ ถ้ามิสเตอร์ต้นอยู่นะ ฉันจะโชว์สเต็ปลีลาศแบบปรจารย์ให้พวกนายดูแน่ๆ"
เสียงรอบตัวคล้ายกับเงียบลงไปชั่วขณะ
มิกกี้ขยี้ตัวเองซ้ำอีกครั้งมองวอนซ์ใหม่พบว่าอีกฝ่ายฟุบหลับไปแล้ว
คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง..
"หัวหน้าาาา! เต้นกับผมหน่อยย"
มิกกี้กลอกตาหน่ายๆ แต่ปัญหาใหญ่ก็คือเด็กเวรเนี่ยแหละ
งานเลี้ยงจบลงที่ประมาณตีสามและคนที่ยังมีสติอยู่เจือจางคือหัวหน้าหน่วย มิกกี้จัดการโทรตามคนรู้จักของแต่ละคนในทีมมาลากลูกทีมอยู่ในสภาพเมาแอ๋กลับบ้าน
เหลือไว้เพียงคนหนึ่งที่ยังคงนั่งฟุบอยู่ที่เดิมอย่างผิดวิสัย ปกติแล้ววอนซ์ค่อนข้างจะเป็นคอเหล้าพอๆ กับเลออน หมีขาวกับหมีสัญชาติรัซเซียที่สามารถเป็นมิตรที่ดีต่อกันด้วยวอดกก้าเสมอ
มิกกี้เดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายและจัดการสำรวจร่างคร่าวๆ สัญชาตญาณบางอย่างในตัวเขากำลังบอกว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นแต่เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร
มือที่วอนซ์เคยบอกว่าแค่กำแรงๆ ก็สามารถแหลกละเอียด ค่อยๆ สัมผัสไปทั่วตัวเพื่อสำรวจ มิกกี้จดจ้องผมสีขาวที่ถูกบังคับให้ย้อมให้สักพักและมองไปทางอื่นต่อ ทุกอย่างยังคงดูเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงจนมิกกี้เริ่มคลายความหวาดระแวงลง จนมาจบที่บริเวณข้อมือ
มิกกี้กลืนน้ำลายเอือกมองมันใกล้ๆ พบว่ามันเป็นรอยกัดเล็กๆ คุ้นตา
"เวรเอ๊ย!!"
ร่างโปร่งสบถดังลั่นอย่างกราดเกรี้ยว
"ทำไมไม่บอกกันวะ!!"
คนเพียงคนเดียวที่รู้ว่าเขาทำโปรเจ็คลับก็คือวอนซ์และเป็นคนที่เข้ามาช่วยเขาจัดการพวกกระต่ายด้วย
และไอ้รอยบนข้อมือวอนซ์ก็คือรอยฟันกระต่ายที่ติดเชื้อพิษสุนัขบ้าระยะสุดท้ายนั่นแหละ!!
"โง่ ฮึก ไอ้โง่เอ้ย!!"
มิกกี้สะอื้นเพราะเชื้อของพิษสุนัขบ้าของกระต่ายพวกนี้เป็นเชื้อแบบพิเศษที่ทีมนกนางแอ่นพัฒนาขึ้นให้ออกอาการไวเป็นพิเศษซึ่งไอ้ยารักษาที่พวกเขาทำกันมันก็มีอยู่หรอก แต่เขาไม่รู้ไงว่าไอ้โง่นี้มันรับโดนกัดมานานแค่ไหนแล้ว
"...มิกกี้"
วอนซ์ค่อยๆ รู้สึกตัวแล้วยิ้มเมื่อเห็นว่าใครอยู่ตรงหน้า "ปิดไฟให้หน่อยสิ.."
50 %
-----
เป็นเรื่องสั้นแนวที่ยังไม่เคยเขียนค่ะ หวังว่าจะชอบกันนะคะ
ปล.
เป็นครึ่งเรื่องที่เหนื่อยมากกก ไม่ได้เขียนติดต่อหลายชั่วโมงกันมานานมาก