ตอนพิเศษ : เจ้าตัวเล็ก (ไอ)
[/size]
ข้ารู้สึกว่าการจากลาไม่ใช่เรื่องน่าพิสมัย เมื่อสิ่งประสบพบเจอคือสิ่งที่ข้าต้องตายจากคนที่รักอย่างไม่ทันตั้งตัว ทั้งที่มีคนเป็นหมื่นล้านคน แต่พระเจ้ากลับเลือกข้าที่ต้องลาจากคนที่รัก
แต่ช่างเสียเถอะ เมื่อความโศกาในครั้งนี้ ภายในนั้นเต็มไปด้วยความแน่วแน่ว่าจะต้องพบเจอกันอีกครา
ในสักวันหนึ่ง...
เมื่อความมืดมิดเปรียบเสมือนรัตติกาล แสงสว่างที่กระทบเข้าเปลือกตา พร้อมกับเสียงดังเซ็งแซ่ดังทั่วสารทิศก็คงเปรียบเสมือนความสว่างไสวท่ามกลางความมืดมัว ข้าได้ยินเสียงสตรีนางหนึ่งร้องโอดครวญ ได้ยินเสียงคนเรียกขานว่าคุณหมอและคุณพยาบาลกันอย่างอลหม่าน จากนั้นก็มีฝ่ามือตีเข้าที่ก้นของข้าเข้าอย่างจัง ส่งผลให้ข้าที่นิ่งงันตั้งแต่แรกต้องปรือตามองร้องโอดครวญเหมือนเด็กงอแงอย่างเจ็บปวด
“แง แง” นี่ข้าหวนกลับมาเด็กงั้นเหรอ ? ข้าจ้องหน้าหมอใส่ชุดกาวน์สีขาวที่อุ้มตัวข้าอย่างตกใจ พลอยโล่งดีใจที่เห็นข้าร้องลั่น
ข้าเผลอกำหมัดแน่นและยกแขนขึ้นสวนเข้าไปที่ปลายคางของหมอ แม้ไม่ได้แรงมากนัก แต่ก็ทำให้คนตรงหน้าหลุดร้องออกมาประหนึ่งเจ็บปวดจากการถูกต่อย
“โอ๊ย”
อีหมอ มาตบก้นกูก่อน อีเวร
“คุณหมอเป็นไรไหมคะ !” เสียงพยาบาลตกใจอย่างยิ่งยวด ข้าปรายตามองเธอก่อนจะถูกจับไปอุ้มไปถือแทนพร้อมเอ่ยปลอบประโลมจิตใจ จากนั้นก็ถูกส่งต่อมาให้ผู้กำเนิดที่ขึ้นชื่อว่า ‘แม่’ ร้องวิงวอนขอให้เห็นหน้าข้า
“น่าเกลียดน่าชังนัก” สำนวนไทยที่ใช้แก่เด็กเล็กๆ ทำข้าอยากจะขยับปากเถียงแม่ว่าลูกคนนี้หาได้น่าเกลียดไม่ ก่อนจะมีคุณพ่อลูกอ่อนที่ยื่นหน้ามาจ้องหน้าข้า ข้าจึงจับจ้องท่านทั้งสองโดยไร้การขยับปากส่งเสียงโหวกเหวก
นี่ข้ามีพ่อแม่ใหม่อีกแล้วหรือ…
หัวใจข้าเต้นตึกตัก สิ่งในหัวที่ผุดขึ้นมาในทันทีนั่นก็คือเจ้าตี๋ที่ข้าต้องการพบหา แม้นจะกวาดมองรอบตัวก็หาได้พบเจอแต่อย่างใด
นี่มันพศ.อะไรกัน แล้วเจ้าตี๋ปานนี้จะเป็นยังไงบ้าง ข้าเป็นห่วงเหลือเกินคณา น้ำตาเอ่อคลอจนไหลอาบแก้ม ยากเกินจะหยุดยั้ง
สุดท้ายข้าก็ถูกแม่หน้าตาอ่อนวัยปลอบขวัญ ร้องโอ๋เอ๋พร้อมเพลงกล่อมเด็ก
ท้ายที่สุดข้าก็ได้รับคำตอบว่านี่มันพศ.อะไรกันแน่ นอนอิดออดในอ้อมอกแม่ที่ป้อนนมข้า ในทีแรกข้าก็ปัดป่ายจากน้ำนมมารดา แต่เมื่อรู้ว่าจำเป็นต้องดื่มเพื่อส่งผลต่อการเจริญเติบโต แถมนมที่ว่าเมื่อได้ลองสัมผัสลิ้นก็อร่อยยิ่งนัก ข้าก็ดูดจวบจ้าบเหมือนเด็กลามก แต่แท้จริงแล้วก็แค่หิวโหยจนต้องยิมยอมรับน้ำนมจากเต้าทั้งสอง
ข้าเป็นเด็กที่งอแงถูกเวลาในยามหิวโหย ซุกซนและหัวเราะสร้างเสียงครื้นเครงให้กับพ่อแม่
แม่ของข้าเป็นคนไทย ส่วนพ่อนั้นเป็นชาวญี่ปุ่นที่พูดไทยได้น้อยนิดแต่ก็พยายามฝึกฝนอย่างหนัก และข้าก็ได้นามใหม่ของตนเองอีกต่างหาก
เด็กน้อยตัวขาวที่ชื่อว่า ‘ไอ’ ยังไงล่ะ
ในตอนที่ข้าอายุหกเดือน คุณพยาบาลก็เข้ามาในห้องพร้อมกับเข็มฉีดยาที่ขึ้นชื่อว่าวัคซีน ข้าเห็นแล้วตกกะใจจนร้องไห้ดังลั่น มือน้อยสะบัดสะบิ้งราวกับคนขลาดกลัว ก่อนที่น้ำเสียงนุ่มนวลของพยาบาลจะเอ่ยปลอบ
“โอ๋ๆ ไม่เจ็บนะคะ แค่เหมือนมดกัดนิดเดียวเอง”
นิดเดียวพ่อมึงสิอีหอยหลอด เข็มยาวขนาดนั้นพูดออกมาได้ว่ามดกัดนิดเดียวเอง ข้าที่เกิดมาในร่างเด็กยังไม่ทันโดนยุงสักตัวกัดต่อย แล้วนับประสาอะไรกับเข็มบ้านั่นที่ฉุกคิดมาทิ่มแทงที่เรียวแขนเล็ก
“มดกัดนิดเดียวนะคะ โอ๋เอ๋”
มึงก็ลองแทงตัวเองดูก่อนสิอีเหี้ย กรี๊ดดดด
แทงกูแล้ว มันแทงกูแล้ว
จึก !
“แงงงง !”
อีพยาลบาล
อีนังตัวดี !!!
ในวัยสามขวบแม่ข้าเพิ่งค้นพบว่าข้ามีความสามารถพิเศษ เป็นเด็กดวงดีที่ชี้ไรก็มีเงินมีทองเข้าหาตัว ลอตเตอรี่ที่แม่ซื้อมาตามปลายนิ้วเล็กๆ ที่ข้าชี้ไปเลขจำนวนหนึ่ง หวยก็ดันถูกได้รางวัลอันดับหนึ่ง จนบ้านที่ยากจนแสนเข็ญของเรากลายเป็นสุขสบาย คุณพ่อเปิดร้านกาแฟ คุณแม่ก็ลิงโลดมีเงินมาซื้อนมและของเล่นให้ข้าตั้งมากมาย ไหนจะบ้านใหม่ใหญ่โตโอฬาร
และในตอนนี้ ท่านทั้งสองก็จ้องหน้าข้าอย่างตั้งอกตั้งใจเหมือนกับคืนก่อนๆ
“ไหนเรียกพ่อแม่ซิลูก แม่ พ่อ” คุณแม่ขยับริมฝีปากบอกชี้ไปตนเองกับคุณพ่อ
ข้าเงียบปาก ค่อยๆ ขยับเสียงอ้อแอ้ “ตี๋”
ขวับ ! พ่อแม่จ้องหน้ากันอย่างงุนงง
“ใครคือตี๋ พ่อสอนลูกเหรอ ?”
“เปล่านะจ๊ะ” คุณพ่อปฏิเสธ ทั้งสองดูเครียดจัด แต่ไม่กี่วินาทีก็เบิกบานเมื่อเห็นข้าพูดได้สักทีหนึ่ง ข้าก็ได้แต่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วคำว่าตี๋ๆ ไม่ขาดปาก นอกเหนือจากนี้ยังมีอีกคำพูดที่ติดปากนั่นก็คือ “Blackpink !” สร้างความตกใจแก่พ่อแม่ที่เริ่มสับสนกับตัวข้า จนต้องปรึกษาหาลือกันเอง
ข้าได้ค้นพบว่าพ่อแม่ตัวเองนั้นมีนิสัยที่ตลกสิ้นดี
“ลูกเราไม่ยอมเรียกพ่อแม่เลย มีแต่ตี๋กับแบล็คพิ้งก์อะไรก็ไม่รู้ ฉันว่ามันแปลกๆ นะคะคุณ” แม่ที่พูดภาษาไทยเอ่ยด้วยน้ำเสียงท้อแท้
ข้าที่เห็นดังนั้นจึงคลี่ยิ้มกว้าง แกล้งพวกท่านในทันที หลงให้ท่านทั้งสองต้องตายใจ
“พ่อง แม่ง” ข้าเอ่ยพร้อมกลั้วหัวเราะขำ
“ลูกจ๊ะ” แม่รีบวิ่งมาหาทันที น้ำตาคลอเบ้า
“พ่อง แม่ง” ข้าเรียกอีกหน
แม่กับพ่อรีบกอดกันเอง สงสัยซาบซึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน
“ฮือคุณ ลูกเราด่าอะ”
“พ่อง” ข้าเรียกชื่อพ่อ
“ฮือ” เสียงแม่ร่ำไห้
“แม่ง” ข้าเรียกชื่อแม่
“พ่อลูก แม่ลูก ไม่ใช่พ่อง ไม่ใช่แม่ง เอาใหม่นะครับ” พ่อข้าที่หน้าซีดเผือดชวนน่าขบขันทำข้าอ่อนใจ แสร้งทำเป็นขยับปากให้พวกท่านลุ้นระทึกอยู่เป็นนาทีกว่าๆ
ในสุดข้าก็เรียกจนได้ ขยับปากเอ่ยเสียงออกมาว่า...
“พะ พ่อง”
“โอ้ พอกันที !” แม่ข้าหัวฟัดหัวเหวี่ยง เหยียดกายลุกขึ้นพลางหมุนตัวทำท่าจะออกจากห้อง แต่ทว่าข้ากลับขัดเสียก่อน
“แม่”
“...”
“แม่” ข้าย้ำอีกหน สร้างความตื้นตันใจแก่มารดาที่เหลียวกายหันมามองหน้าพร้อมน้ำตาไหลอาบแก้ม เดินมาที่เปลของข้าอย่างปลื้มปรีติ “ใช่ลูก นี่แม่เอง”
ข้าหัวเราะชอบใจ ขยับมือน้อยๆ ที่นุ่มนิ่มชี้ปลายนิ้วไปที่พ่อก่อนจะเอ่ย “พ่อ”
“ฮึก” พ่อกับแม่ดูดีใจยิ่งนัก รีบอุ้มข้ามาโอบกอดทันทีอย่างรักใคร่เอ็นดู
แม่ของข้าเป็นคนตลกด้วยนะ ชอบร้องเพลงกล่อมเด็กให้ข้าฟัง แถมท่านก็เปิดเพลง Blackpink ให้ข้าอีก นั่นก็เพราะว่าข้าเอาแต่ย้ำแต่คำเดิมๆ แม่ที่ยังงุนงงในทีแรก ครั้นพอเปิดเพลงดูจึงรู้ว่าข้าดีใจกับเสียงดนตรีที่อึกระทึกของวงที่ต้องการจะสื่อ
ข้าร้องเจื้อยแจ้วไป ดีดดิ้นไปมาอย่างมีความสุข
แม่จึงประจักษ์ว่าข้ามีความสามารถอีกหนึ่งสิ่ง นั่นก็คือการร้องการเต้นนั่นเอง…
การพูดภาษาไทยให้เป็นประโยคยาวเหยียดช่างยากลำบาก กว่าจะพูดครบถ้วนก็ตอนที่ข้าอายุห้าขวบพอดี
วันนี้เป็นอีกหนึ่งคืนที่ข้าร้องขอให้แม่ร้องเพลงกล่อมเด็ก ใช้มือน้อยๆ ขยับชายเสื้อแม่อย่างออดอ้อน
“แม่ ไออยากฟังเพลงกล่อมเด็ก” ข้าแทนชื่อตัวเอง พานมองตาหวานแป๋วจนคางชิดกับอกกับผู้เป็นมารดาที่จับอุ้มมานั่งบนตัก ครั้นแม่ก้มหน้าลงมามอง ก็ยากเกินจะปฏิเสธกับคำออเซาะ
“ได้สิจ๊ะ”
“เย้” ข้าดีใจ ค่อยๆ ลงจากตักแม่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ถูกฝ่ามือโอบประคองอย่างกริ่งเกรงว่าจะร่วงตกหล่นกระแทกพื้น ข้าค่อยๆ ปีนลงมาอย่างระมัดระวัง พอเท้าสัมผัสที่พื้นห้อง ข้าก็เดินวิ่งจ้อแจ้ไปปีนป่วนบนเตียงนอน ทุกการกระทำแม้จะลำบากอยู่หน่อยๆ แต่ก็สร้างความเอ็นดูแก่มารดาที่พบเห็น
ตัวข้าใช้มือจับลงที่ฟูก เท้าถีบลงที่พื้นเพื่อกระโดดไปบนเตียง พยายามตะเกียกตะกายส่งเสียงฮึบขึ้นไปชิดกับพนักหัวเหล็กเตียงโดยมีหมอนหนุนหลัง รอรับฟังเพลงกล่อมเด็กอย่างใจจดใจจ่อ
ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อของแม่ขับขานอย่างไพเราะเพราะพริ้ง “แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง ที่เฝ้าหวงห่วงลูกแต่หลัง เมื่อยังนอนเปล แม่เราเฝ้าโอ้ละเห่ กล่อมลูกน้อยโยนเปล ไม่ห่างหันเหไปจนไกล”
“...”
“แต่เล็กจนโตโอ้แม่ถนอม แม่ผ่ายผอมย่อมเกิดจากรักลูกปักดวงใจ เติบโตโอ้เล็กจนใหญ่ นี่แหละหนาอะไร มิใช่ใดหนาเปลืองค่าน้ำนม”
“แม่เกลียดไอมากเหรอ ?” ข้าตั้งคำถามอย่างฉงน กระพริบตาปริบๆ มองมารดาที่ร้องเพลงผิดเพี้ยนปั่นประสาท
“เปล่านี่จ๊ะ” คุณแม่ตอบกลับพร้อมรอยยิ้มละมุนละไม
ข้ายู่ปากกระเถิบตัวลงนอนพลางใช้มือเล็กๆ เกี่ยวผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัว “แล้วอะไรคือโยนเปล เปลืองค่าน้ำนม”
“ลูกแม่ฉลาดนัก” แม่พูดพลางลูบหัวตรงกลางกระหม่อมของข้าอย่างเอ็นดู “เพราะฉลาดเฉลียวแม่ถึงชอบแกล้งลูกอยู่เป็นประจำ เด็กอะไรรู้ไวโตไว แถมยังน่ารักอีกต่างหาก”
“ไอรู้ตัวดี” ข้าตอบพร้อมรอยยิ้มหวานประจบเอาใจ “หลายๆ คนก็บอกไอน่ารักประจำ ไอฟังจนเบื่อละ” ข้าคร้านเกินจะปฏิเสธ “วันก่อน ‘รบ’ ก็มาแกล้งไอ แม่ว่าเป็นไปได้ไหมที่เขาจะแอบชอบไอ เพราะเด็กอย่างเราเวลาแกล้งใคร แปลว่าแอบชอบเขาคนนั้น” ข้าอธิบายเสียงใสแจ๋ว เห็นแม่ยิ้มเยื้อนตอบกลับมาเมื่อนึกถึงน้องรบเด็กข้างบ้าน ที่อายุมากกว่าข้าถึงสามปี
“แต่พี่รบเขาเป็นผู้ชายนะลูก”
“ผู้ชายแล้วไง เด็กสมัยนี้แก่แดดจะตายไป เพศสภาพไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรู้สึกขอ’จิตใจคนเราสักหน่อยนะแม่ การชอบผู้ชายคนใดคนหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าเขาคนนั้นจะเป็นตุ๊ดเป็นเกย์ชอบผู้ชายทุกคนบนโลกนี่นา” ข้าพูดพลางหาวปากหวอด ไม่ได้สนใจเลยว่าแม่ชักสีหน้าเช่นไร “ไอหน้าตาน่ารักขนาดนี้ เด็กผู้ชายเด็กผู้หญิงก็ต้องมีบ้างแหละที่แอบชอบไอ แต่น่าสงสารที่ไอได้แต่คร้านปฏิเสธ” ข้าหลับตาลงเมื่อสิ้นคำพูด ก่อนจะทิ้งอีกหนึ่งประโยคให้แม่ได้ยิน “นั่นก็เพราะไอมีคนที่แอบชอบแล้วยังไงล่ะ นอกจากแบล็กพิ้งก์กับพ่อแม่ รวมถึงคนคนนั้น ก็ไม่มีใครแล้วที่ไอรัก”
“ลูกหมายถึงคนที่ชื่อตี๋น่ะเหรอ ?” เสียงของแม่ที่ถามออกมาอย่างตะขิดตะขวงใจทำให้ข้าต้องปรือตามองอย่างลืมตัว
“แม่เชื่อเรื่องพรหมลิขิตและกลับชาติมาเกิดไหม ?” ข้ายันฝ่ามือลงที่ฟูกเตียง เปลี่ยนเป็นกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนพนักหัวเหล็กเตียงดังเดิม พูดจาอย่างฉะฉานว่องไว ท่าทางเคร่งขรึมเกินวัยอันควร ทำแม่ที่คลี่ยิ้มน้อยๆ ต้องยื่นมือมาสัมผัสที่หลังฝ่ามือนิ่ม ปลายนิ้วโป้งเกลี่ยที่ผิวเนื้อเนียนนุ่มของข้าอย่างทะนุถนอม
“ไอ รู้ไหมแม่ตกใจมากแค่ไหนที่รู้ว่าลูกดูแตกต่างจากเด็กทั่วไป ทำแม่กับพ่อต้องสับสนไปหมด ทั้งฉลาดแสนรู้ ตัวแม่เองก็สังเกตมานานแล้วละ และสิ่งในที่ลูกพูดอยู่นี้ แม่อยากบอกว่าแม่เชื่อสนิทใจเลยละ ไม่ว่าลูกจะเป็นใครก็ตามแต่ หรือกลับชาติมาเกิดใหม่เป็นลูกของแม่คนนี้ แม่อยากบอกว่าแม่ดีใจที่มีไอเป็นลูกของแม่ ดีใจที่พระเจ้ามอบสิ่งล้ำค่าและอัศจรรย์ใจให้แก่พ่อและแม่ทั้งสอง” แม่พูดพานน้ำตาเอ่อคลอ
“แม่” เสียงของข้าเสียงสั่นเครือ รีบกระเถิบกายเข้าไปหา ใช้เรียวแขนเล็กโอบล้อมรอบลำคอของแม่ด้วยความรู้สึกหลากหลาย “ไอรักแม่นะ แต่ทำไมแม่ถึงเชื่อไอล่ะ” ข้าถามอย่างข้องใจยามผละกายออกห่าง
“แม่เห็นผ่านกล้องวงจรติดน่ะ ตอนลูกปีนเก้าอี้เล่นคอม แถมยังมีประวัติข้อมูลเสิร์ชหาแบล็กพิ้งก์กับอควาเรี่ยมอีก”
“อุ้ย ! แม่รู้ แหะ ไอไม่รู้ว่ามีกล้องวงจรติดในห้องทำงานพ่อ” ข้าหัวเราะเสียงแห้ง
ณ ตอนนั้นเป็นเวลาที่พ่อแม่ไม่อยู่ เลยให้พี่เลี้ยงเด็กมาดูแลตัวข้าแทน แต่ข้าก็อาศัยจังหวะยามพี่เลี้ยงเด็กหลับใหลมานั่งเล่นคอม
“เพราะแบบนี้ไงแม่ถึงเชื่อไอ อีกอย่างถึงแม่ไม่เห็นผ่านกล้องวงจร แม่ก็เชื่ออยู่ดี เพราะว่าไอเป็นลูกของแม่”
“ฮือ แม่จะทำไอร้องไห้ ฮึก ขอบคุณที่แม่เชื่อในสิ่งที่มันยากเกินจะเหลือเชื่อพรรค์นี้” ข้าน้ำตาไหลอาบแก้ม ซบกับอ้อมอกอุ่นๆ ของผู้ให้กำเนิด “ไอดีใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อกับแม่นะ แต่แม่ช่วยอะไรไอสักอย่างได้ไหมครับ” ข้าถอยกายออกห่าง ปัดเศษน้ำลวกๆ ด้วยการขยี้ผ่านข้อนิ้วมือ ทำให้แม่ต้องรีบจับแขนเล็กออก หยิบชายเสื้อมาเช็ดให้ข้าแทนอย่างเบามือ
“ว่ามาสิจ๊ะ” แม่ระบายยิ้มกว้าง แววตาสั่นไหวด้วยความรู้สึกเอ่อล้นที่ข้ายากเกินจะเข้าใจ
ข้ารู้ว่าแม่คงสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของเด็กคนหนึ่ง รับรู้ถึงความฉลาดเฉลียวและแก่แดดเกินวัยอันควร แม่ถึงได้ปักใจเชื่อในสิ่งอัศจรรย์เหล่านี้ นั่นก็เพราะทุกการกระทำของข้าที่ผ่านพ้นมา มันมากกว่าอิริยาบถของเด็กไม่ประสีประสา เหนือสิ่งอื่นใดนั่นก็คือคำพูดคำจาที่ฉะฉานคล่องปาก หลังจากนั้นข้าก็เล่าทุกอย่างให้ท่านแม่ฟังตั้งแต่สมัยเป็นคนจวบจนกระทั่งเป็นสิงโตทะเลจนต้องมาเจ็บไข้ได้ป่วยมานอนซมตาย รีแอคชั่นของแม่ที่เห็นมีบ้างที่ดูเหลือเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน แต่เพราะรายละเอียดและคำพูดที่เน้นชัดมีเหตุผลแต่ไร้หลักการ แม่ถึงได้ตั้งใจฟังเป็นชั่วโมงกว่าๆ หนำซ้ำยังหัวเราะกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับข้าด้วย
“ช่างน่าเอ็นดูเด็กที่ชื่อตี๋นัก”
“เขาโรคจิตนะแม่” ข้าอธิบายพร้อมหัวเราะร่า ขณะนินทาว่าร้ายอีกคน
ข้ายิ้มด้วยความพอใจก่อนจะกล่าวคำคำหนึ่งด้วยความซาบซึ้ง “แม่ช่วยเก็บเรื่องนี้เป็นความลับด้วยนะครับ ไอไม่อยากให้พ่อหัวใจวายตายเสียก่อน”
“ฮ่าๆ เด็กคนนี้หนิ” แม่หัวเราะชอบใจ ก่อนจะยื่นปลายนิ้วก้อยมาใกล้ ทำข้าเอียงคออย่างฉงน ก่อนจะร้องอ๋อ ยื่นปลายนิ้วก้อยน้อยๆ ไปเกี่ยวกลับ
ถือว่าเป็นข้อผูกมัดระหว่างเราทั้งสอง
ข้าคลี่ยิ้มกว้าง ยามข้อนิ้วไร้พันธนาการ บอกสิ่งที่มุ่งมั่นปรารถนา “แม่พาไอไปอควาเรี่ยมที่หนึ่งหน่อยสิ”
มันเป็นห้าปีแล้วที่ไอต้องปล่อยให้ใครคนหนึ่งต้องรอคอย
‘ตัวเล็กจะไปหาตี๋ใสอีกไม่ช้าแล้วนะ…’
“ไอคิดถึงตี๋มากๆ เลยอะ”
“อืม แม่จะพาลูกไปเจอเขา”
“ขอบคุณมากๆ เลยนะครับ” ข้ากอดแม่อีกครั้ง ซาบซึ้งในบุญคุณและคำพูดที่ยากเกินจะเชื่อจากเด็กคนหนึ่ง
ในใจโล่งเหลือเกินจะกล่าว ทั้งดีใจและเบาสบาย ราวกับว่าได้ปลดปล่อยห้วงความคิดที่แสนเศร้า โดยมีแม่คอยรับฟังและสนับสนุนอย่างเต็มที่
ข้าพูดกับแม่อย่างติดตลก “แม่รอดูไอมีผัวเป็นเจ้าของอควาเรี่ยมได้เลย”
“ไอพูดจาหยาบคาย ตีปากตัวเองเดี๋ยวนี้เลยนะ” แม่ ‘ว่าน’ ที่ปักใจเชื่อเห็นข้าพูดจาหยาบคายจึงเอ่ยตักเตือน
“แงงงง” ข้าทำเป็นร้องไห้งอแง ใช้ฝ่ามือนิ่มตีลงที่ปากตัวเองเบาๆ “ตีแย้ว”
ต่อไปนี้จะไม่พูดคำหยาบต่อหน้าแม่อย่างเด็ดขาด
ยกเว้นเจ้าตี๋เพียงคนเดียว
พอเช้าวันรุ่งขึ้น ข้าที่แต่งตัวดูดีให้เหมาะสมกับหน้าตาน่ารัก กว่าจะเลือกคัดสรรชุดมาได้ก็ใส่เวลาเป็นครึ่งค่อนชั่วโมง แม้จะรู้ตัวดีว่าแต่งแบบไหนก็ไร้ที่ติ แถมดวงหน้าอ่อนเยาว์ ผิวขาวนวลประดุจหงส์ขาว ฉายแววความหน้าตาดีมาตั้งแต่ตอนเด็ก หากโตอีกสักหน่อยคงได้มีใบหน้าหวานพริ้งสะคราญโฉม
“คิกคาก” ข้าหัวเราะชอบใจกับการชมตัวเอง ใส่ชุดเอี้ยมด้วยตัวเองเสร็จสรรพก็ตะโกนเรียกแม่ให้เข้ามาในห้องได้
ข้าไม่อยากโป๊เปลือยให้แม่เห็นจุ๊ดจู๋น้อยนี่นา
“แม่ !” ข้าตะโกนดังลั่น
“จ้า” แม่ขานรับ สักพักก็ย่างเท้าเปิดประตูเข้ามาในห้อง ก่อนจะร้องตบมือให้ข้าดังแปะๆ
“ว้าว แต่งตัวเองเป็นแล้ง เก่งมากเลย วันนี้ไอน่ารักที่สุดเลยค่ะ” แม่ชมเปาะ
“ไอรู้ๆ” ข้าผายอกอย่างภาคภูมิ พวงแก้มแดงระเรื่อเพราะได้สัญชาติญี่ปุ่น ผิวพรรณเลยดีเป็นทุนเดิม
หลังจากนั้นข้าก็วิ่งต๊อกแต๊กมาที่หน้าบ้าน พอออกจากรั้วบ้านก็ดันเห็นเด็กชายตัวโตสูงโหย่งมากกว่าข้ากำลังยืนกอดอก หน้าตาถมึงทึง
“ไปไหน” อีกฝ่ายถามไถ่
ข้าหันซ้ายแลขวา เมื่อไม่เห็นพ่อแม่อยู่จึงเอ่ยตอบ “ไปหาผัว”
“แก่แดด”
“แล้วรบมายุ่งอะไรด้วยเล่า” ข้าเท้าสะเอว บึนปากไม่พอใจ
อย่านะ เห็นข้าตัวเล่นแบบนี้ ริอาจมารังแกนี่ข้าเอาคืนเป็นร้อยเท่าเลยนะขอบอกก่อน
“เป็นเด็กผู้ชาย แต่คิดจะไปหาผัว ทำไมแรดแบบนี้” คนตรงหน้าด่าทอ
ข้าทำหน้าตาเหลอหลาก่อนจะกล่าว ชี้มือมาที่หน้าผากตัวเอง “แต่ไอไม่มีเขาเหมือนแรดนะ”
“งั้นก็เป็นตุ๊ดเป็นกะเทย” อีกฝ่ายยังมิวายจิกกัด
ข้าถอดถอนหายใจ ก่อนจะทำสีหน้าจริงจังเกินวัย เอ่ยสั่งสอนเด็กซื่อบื้อ “ฟังนะ พศ.ใหม่กันแล้ว ไม่มีใครมาดูถูกเพศสภาพกันหรอก ถึงไอจะเป็นตุ๊ดเป็นกะเทย ไอก็ภูมิใจในตัวเอง ถ้าหากสิ่งที่เป็นไม่ได้สร้างความเดือดร้อนใครๆ หรือว่ารบเดือดร้อนแทนไอ ถึงได้จิกกัดมาแกล้งไอทุกวี่ทุกวัน แอบชอบไอหรือไงกัน”
“คะ ใครชอบนายไม่ทราบ !” รบเลิ่กลั่ก
ข้าหัวเราะอย่างชอบใจ ปริปากเจี๊ยวจ๊าว “ชอบไม่ชอบก็แล้วแต่เลย เพราะไอก็รู้ตัวดีว่าตัวเองน่ารัก ความมั่นหน้ามั่นโหนกนี้คงไม่มีใครแล้วนอกจากไอ”
ข้าเชิดคางขึ้นสูงก่อนที่ปลายนิ้วชี้ข้างขวาจะชี้ไปที่คนตรงหน้า มือซ้ายเท้าสะเอว พานหลุบสายตาลงต่ำเหมือนเป็นการเหยียดหยาม พร้อมกับแหวกขาออกกว้าง เอ่ยเสียงดังลอดขึ้นมาว่า “ฟังไว้นะ ตัดใจตั้งแต่ตอนนี้ก็ยังไม่สาย คนอย่างไอถ้าจะมีแฟน ต้องหาคนรวยๆ เท่านั้น เพราะไอจะผลาญเงินผัวยิ่งกว่าผลาญเงินพ่อแม่”
พูดเสร็จสรรพข้าก็เก็บท่าทางหยิ่งยโสกลายเป็นเด็กหน้าตาน่ารัก เมื่อหางตาเหลือบไปเห็นว่าพ่อแม่กำลังเดินมา
“ดีใจที่รบออกมาเจอไอน๊า ไอคงต้องขอโบกมือลาละ” พลันยกแขนขึ้น “บ๊ายบาย เดี๋ยวไอไปเที่ยวเล่นกับพ่อแม่ก่อน”
“ไปที่ไหน” อีกฝ่ายยังคงคะยั้นคะยอถาม
“อควาเรี่ยม สวนสัตว์น้ำ” ข้ายินยอมตอบกลับ ก่อนที่พ่อกับแม่จะเดินมาหา พร้อมกับฝ่ามือเรียวนุ่มของแม่ที่ลูบข้าอย่างเอ็นดู
“ไปกันค่ะลูกไอ” เสียงแม่เอ่ยบอก
“คร๊าบ ~” ข้าขานรับ ก่อนจะเอี้ยวกายโบกมือลาเด็กน้อยหน้าตาดี ขืนโตอีกสักหน่อยก็คงมีแววอุปป้าเกาหลีพลอยมีสาวมาพัวพัน แต่ช่างน่าเสียดายที่มาตกหลุมรักข้าเข้าให้ ข้าได้เวทนาอยู่ภายในใจ เพราะตัวเองดันจะไปได้เจอว่าที่ผัวในอนาคต ที่ไม่รู้ปานนี้รอจนเป็นง่อยแถมผมหงอกแล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้
เฮ้อ หวังว่ากระดูกไขสันหลังยังดีอยู่นะ หากฉุกคิดจะเอาข้าทำเมีย
เอ๊ะ หรือข้าควรสลับตำแหน่งเป็นผัวเองดีกว่า…
กว่าจะไปถึงอควาเรี่ยมที่ห่างไกลจากตัวบ้านก็ใช้เวลาสองชั่วโมงกว่าๆ ในการเดินทาง แต่ข้าก็ไม่บ่นกระปอดกระแปดเลยสักนิด หิวก็แค่ให้พ่อแม่แวะร้านเพื่อหยุดพักทานอาหาร นั่งฟังเพลงแบล็กพิ้งก์เวอร์ชั่นญี่ปุ่นไปพลาง แถมยังเต้นและร้องอยู่บนเบาะหลัง ซึ่งคุณพ่อกับคุณแม่ที่ฟังเป็นร้อยเป็นพันกว่าเที่ยวก็เริ่มกลายเป็นแฟนคลับไม่ต่างจากข้า ร้องได้เกือบทุกเพลงที่แล่นขึ้นมา
ในที่สุดจุดมุ่งหมายปลายทางของเราก็มาถึง ข้าที่เปิดประตูรถก็รีบกระโดดลงมาหลังจากจอดเทียบเป็นที่เรียบร้อย พลางหมุนตัวกวาดตามองรอบด้านกับพิพิธภัณฑ์สัตวน้ำ อดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงตอนเกิดเป็นสิงโตทะเล ในยามนั้นแทบไม่เห็นมุมมองเฉกเช่นมนุษย์ทั่วไป แต่ครั้นในยามนี้...ทุกสิ่งกลับงดงามจับจิตร
ข้าเขย่งปลายเท้าขึ้น มือพยายามจะปีนเกาะที่ขอบช่องซื้อตั๋วเข้าพิพิธภัณฑ์ ก่อนจะถูกแม่จับอุ้ม ทำให้ข้าได้เห็นพนักงานแลกตั๋วเป็นผู้หญิงหน้าตาสะสวย พอสมใจอยากข้าก็ขอแม่เดินลงที่พื้น วิ่งเล่นและกระโดดโลดเต้นไปมาอย่างมีความสุข ทำให้พ่อกับแม่หัวเราะยามเห็นข้ามีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ราวกับรอยยิ้มของข้ามีความหมายต่อพวกท่านเป็นอย่างมาก
ข้าจูงมือแม่ที่ย่อกายลงมาวิ่งตามข้าที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ชี้นิ้วไปที่ลูกโป่งสีแดงก่ำด้วยความอยากได้
ไหนๆ ก็ได้หวนกลับมาเป็นเด็ก ข้าก็อยากเต็มที่กับช่วงเวลาเหล่านี้ให้ได้มากที่สุด ครั้นพอโตไปสิ่งที่ไม่เคยทำ อาจมานึกหวนเสียดายในภายภาคหน้า ฉะนั้นการเติมเต็มความสุขตั้งแต่ช่วงเวลานี้ มันสามารถเริ่มได้แค่เราฉุกคิดและลงมือทำ ตัวข้าเองก็หวังอยากให้ทุกคนมีความสุขไม่ต่างจากข้า เฉกเช่นเดียวกับพ่อแม่ที่ดูดีใจเวลาหัวเราะสดใส
ข้าถือลูกโป่งโดยมีพ่อและแม่คอยขนาบอยู่ทางซ้ายมือและขวา ต่างประกบกลัวข้าจะหายไปไหน ข้าก็ได้แต่ยื่นเรียวแขนเล็กๆ ให้แม่จูงมือเดินเล่น ก่อนจะเอ่ยปากบอกแม่ว่าอยากไปดูสิงโตทะเล แม่จึงพามาดูที่การแสดงของสิงโตทะเลที่จัดในรอบบ่าย
ข้าตบมือแปะๆ หัวเราะเริงร่ายามเห็นสิงโตทะเลว่ายน้ำขึ้นมาในบก แถมเจ้าตัวลูกพี่ที่ข้าเคยคุยสมัยเป็นสัตว์ก็ได้ฝึกฝนมาเล่นการแสดงกับเขาด้วย ข้าคลี่ยิ้มกว้าง รู้สึกปรีดาเหลือหลาย ไหนจะแม่สิงโตทะเลของข้าอีกที่ไม่รู้ปานนี้เป็นเช่นไร หลังจากจบการแสดงข้าก็เดินนำหน้าให้พ่อแม่เดินตามท้ายหลัง ชี้มือไปที่ลานบันได ก้าวขาลงมาที่พื้น เห็นท้องฟ้าที่เคยสว่างไสวกลายเป็นสีฟ้าคราม สัตว์ในท้องทะเลจากในมหาสมุทรก็ต่างแหวกว่ายผ่านถ้ำอุโมงกระจกใส ข้าแนบฝ่ามือลงกับสิ่งนั้น กวาดตามองสัตว์น้ำแต่ละตัวที่ว่ายไปมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แถมยังมีปลากระเบนขนาดใหญ่ยักษ์ว่ายผ่านอยู่เหนือศีรษะของถ้ำอุโมงอีกต่างหาก
“ว้าว” ข้าส่งเสียงร้องด้วยความพอใจ ก่อนจะวิ่งไปที่อีกจุดโดยมีพ่อแม่คอยสังเกตตลอดเวลา ใจข้าเองในยามนั้นก็อยากผละจากพวกท่านทั้งสอง เพราะตั้งแต่มาที่นี่ข้าก็ไม่เห็นชายคนนั้นเลยสักนิด หรือว่าปานนี้จะไม่ได้มาทำงานเฉกเช่นเคย พาลนึกกังวลว่าอีกฝ่ายคงถึงขั้นตายลาลับไปแล้ว แค่คิดก็พลอยหดหู่
ข้าชะงักฝีเท้า ขณะที่ในมือมีเชือกถึงลูกโป่งลอยเหนืออากาศ จับจ้องสิงโตทะเลที่แหวกว่าย จนกระทั่งมีตัวหนึ่งหยุดชะงักมาจ้อหน้าข้าผ่านกระจกใส ข้าที่จดจำได้แม่นก็ระบายยิ้มออกมาก่อนจะเอ่ยทักทาย “หวัดดีเจ้าตัวขี้เซา” ตัวใหญ่ผอมเพรียวขึ้นเยอะเลยนะ ไม่รู้ปานนี้ถูกจับเป็นเมียแล้วหรือเปล่า
เจ้านั่นจ้องข้าไม่นานก็ว่ายกลับขึ้นไปบนบก ข้าก็เหลือบตามองตามก่อนจะเห็นแม่สิงโตทะเลที่ชะโงกหน้ามาทางข้า ข้าก็รีบโบกมือทั้งสองข้างไปมา ทำให้ลูกโป่งพลิ้วไหวตามแรงลม ตะโกนส่งเสียงแหกปากว่า “แม่ !” ด้วยความดีใจ
ดูจากทีท่าท่านคงสบายดี สุขภาพคงแข็งแรงเฉกเช่นเคย ข้าน้ำตาเอ่อคลอจนไหลอาบแก้ม หวนนึกถึงตั้งแต่ตอนเป็นสิงโตทะเลเล็กๆ ที่หัวฟัดหัวเหวี่ยงเพราะโชคชะตาดันเล่นตลกร้าย อีกทั้งยังได้แม่เป็นสัตว์ แต่พอมาในยามนี้ทุกน้ำนมมารดา และบุญคุณทั้งหลายทำให้ข้านึกถึงแม่ๆ ทุกคนที่ข้าต้องจากลามา
แม่ว่านที่พอจะรู้ว่าข้าหมายถึงใครก็เอามือมาลูบลงกลางกระหม่อมอย่างปลอบโยน ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดคราบน้ำตาที่ไหลอาบแก้มป้อยๆ
ข้าพรูลมหายใจโล่งอก เห็นทุกคนยังสุขสบายก็นึกหายห่วง ใช้เวลาอยู่ตรงนี้สิบนาทีจนพ่อแม่ต้องหยิบกล้องมาถ่ายรูปข้า แถมยังมีแม่สิงโตทะเลที่หันหน้ามาทางนี้ รวมไปถึงตัวขี้เซาแสนเกียจคร้านที่ข้าจดจำใบหน้าได้ดี หวังเก็บเป็นระลึกความทรงจำ
ข้ายิ้มในเวลามีความสุข และข้าก็ร้องไห้ในเวลาที่เศร้าสร้อย ปลดปล่อยคลื่นอารมณ์เฉกเช่นมนุษย์ทั่วไปที่มีสติสัมปชัญญะ ก่อนที่ถ้ำอุโมงจะมีผู้คนเริ่มเข้ามาแน่นขนัด ข้าก็อาศัยจังหวะวิ่งไปซ้ายทีขวาทีเพื่อดูสัตว์น้ำต่างๆ นานา สุดท้ายก็พลัดหลงกับพ่อแม่จนได้
“ไอ !” ข้าได้ยินเสียงแม่ตะโกนเรียกชื่อ แต่ข้าก็ได้แต่นึกขอโทษอยู่ภายในใจ รีบดึงสายเชือกลดลงต่ำ หวังให้ลูกโป่งที่ลอยเด่นหราไม่ให้พ่อแม่กวาดตาพบเห็น ฝ่าฝูงชนขึ้นมายังเบื้องบนที่เหมือนเป็นสวนสาธารณะ มีร้านอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ วางจำหน่าย ข้าปล่อยเชือกให้ลูกโป่งลอยดังเดิม ก่อนจะเดินตามต้อยๆ ไล่หลังผู้ใหญ่ พลันสะดุดกึกเมื่อเห็นเจ้าแมวตัวหนึ่งอยู่ในอควาเรียม มันเป็นสีขาวนวลเนียน และมีดวงตาสีฟ้าครามดุจท้องทะเล
ข้าก้าวขามาเบื้องหน้า หยุดชะงักก้มหน้ามองแมวที่เงยหน้ามาจ้องตาข้าเช่นเดียวกัน