- 2 -
6.58 A.M.
ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครรู้ตัวว่าใครหลับก่อนกันไปตอนไหน เมื่อคืนพวกเขาคุยกันเยอะมากจนคิดว่าอาจจะไม่ใครก็ใครสักคนที่ละเมอเผลอพูดต่อทั้งๆ ที่ตาหลับไปแล้ว นิคเป็นฝ่ายรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก่อน เขาปวดฉี่อยากเข้าห้องน้ำจึงตัดสินใจค่อยๆ ลุกข้ามร่างเจสส์ออกไปเพราะไม่อยากปลุกให้เขาตื่น และเมื่อท้องฟ้าในหน้าร้อนสว่างจ้าผ่านหน้าต่างเร็วกว่าปกติ ส่งผลให้นิคเห็นใบหน้าขาวใสกับริมฝีปากอมชมพูระเรื่อของเพื่อนชัดยิ่งขึ้น เขาอดอมยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อนึกถึงตอนเด็กๆ ที่เจสส์มักจะนอนน้ำลายไหลยืดจนหมอนเขาเปื้อนเป็นประจำ แต่เดี๋ยวนี้เห็นทีจะไม่ละ
จะว่าไปความรู้สึกของคนที่ไม่ได้เจอเพื่อนสมัยเด็กมานานมาก พอมาเจออีกทีแล้วปรากฏว่าตอนนี้ทุกอย่างบนตัวเขาเปลี่ยนไปหมดนี่มันก็ประหลาดดีเหมือนกันนะ เจสส์ที่มีหนวดมีเครา มีโหนกแก้ม มีโครงหน้าที่ชัดขึ้น ยังไม่นับหุ่นหนาๆ กับแผงอกกว้างๆ นั่นอีก เด็กซนๆ ที่วิ่งเล่นไปมาในวันนั้นตอนนี้กลายเป็นผู้ใหญ่จริงๆ ไปแล้ว
นิคลงไปจัดการธุระของตัวเองที่ห้องน้ำข้างล่างจนเสร็จ นาฬิกาบอกเวลาเจ็ดโมงเช้า ผลพวงจากความรีบเมื่อวานทำให้เขาไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เย็น ตอนนี้เขาเลยรู้สึกหิวมากๆ นิคมองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นทุ่งหญ้า ภูเขา เดาว่าอีกไม่นานก็คงจะถึงเอดินเบอระ เมื่อกลับขึ้นไปด้านบนนิคก็พบว่าเจสส์ตื่นแล้ว เขากำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับใครสักคน นิคฉีกยิ้มบางๆ ก่อนจะข้ามร่างเขากลับไปนั่งที่เดิม เปิดม่านหน้าต่างออกและเสมองออกไป เขานึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนตั้งใจจะขึ้นไปนอนบนเปลเหนือศีรษะด้านบน แต่จะว่านอนข้างล่างก็ไม่ได้อึดอัดอย่างที่คิดหรอกนะ
“ที่รัก..เราใกล้ถึงแล้ว" ตอนนั้นเองที่นิคเป็นอันต้องละสายตาจากหน้าต่างครู่หนึ่ง ตอนที่ได้ยินว่านิคเพิ่งเรียกปลายสายในโทรศัพท์ว่า 'ที่รัก' “อ๋อ โทษที ผมลืมเล่าไปว่าผมเจอเพื่อนเก่าน่ะ ถ้าจำไม่ผิด เอ่อ ผมน่าจะเคยเล่าเรื่องสมัยเด็กๆ ให้คุณฟัง อ้อๆ เคท คุณจำคนในรูปถ่ายที่คุณถามตอนเราไปเที่ยวบ้านพ่อด้วยกัน จำได้ไหม.. เด็กผู้ชายที่ตัวเท่าๆ ผมที่ถือลูกบอลน่ะ ใช่ นิคนั่นล่ะ คุณเชื่อไหมว่าผมเจอเขาที่นี่ เขากำลังจะกลับไปฉลองวันอีสเตอร์ที่บ้าน..."
นิคหันไปยิ้มให้เจสส์ตอนที่เขากำลังพูดถึงตัวเองในโทรศัพท์ให้ปลายสายฟัง นิคไม่พูดอะไรนอกจากยิ้มแซวๆ เพราะถ้าเดาไม่ผิด เอ่อ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเจสส์คงกำลังคุยกับแฟนเขาแหงๆ อืม มีแฟนด้วยเหรอนี่ เมื่อคืนไม่เห็นพูดถึงเลยแฮะ นิคคิด
“แล้วคุณถึงบ้านยังล่ะ.. แม่ว่าไงบ้าง ว้าว เยี่ยมไปเลย ผมคิดถึงคุณจังเลยที่รัก โอ้ๆๆ โอเคได้ ไว้คุยกันครับ" เจสส์รีบกดวางโทรศัพท์หลังจากพบว่าปลายสายน่าจะขอตัวไปทำอะไรสักอย่าง นิคแกล้งทำเป็นตั้งใจหันมองออกไปนอกหน้าต่างเพราะกลัวถูกจับได้ว่าตัวเองแอบฟัง
“แฟนเหรอ" ตอนนั้นเองที่นิคเผลอหลุดถามขึ้นลอยๆ เขาแทบจะตีหัวตัวเองที่ปากไวกว่าใจคิด แหม ถ้าเงียบสิแปลก
“เสียมารยาทนะแอบฟังเนี่ย" เจสส์ตอบกลับ นิคหันไปมองเพื่อนที่ทำเป็นกดโทรศัพท์มือถือเก้อเขิน
“ไม่ต้องแอบก็ได้ยินหมดนั่นล่ะ ไหน ยังไง อย่าช้า เล่ามาเดี๋ยวนี้" เจสส์หัวเราะขำไม่หยุดตอนที่ถูกเพื่อนเก่าซักไซร้
“ก็เปล่าหรอก ฉันคบกับเคทมาได้สองปีละ วางแผนไว้ว่าอาจจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้ด้วย แต่ก็..ไม่รู้เหมือนกันแฮะ" ตอนนั้นเองที่นิครู้ว่าสีหน้าของเจสส์เปลี่ยนสีขึ้นมาเสียดื้อๆ ทั้งๆ ที่การพูดเรื่องการแต่งงานกับแฟนสาวของเขาน่าจะเป็นเรื่องดีใจสิ
“ยินดีด้วยนะเพื่อน" นิคไม่อยากถามต่อเลยตัดบทไปซะ ส่วนเจสส์ก็กดโทรศัพท์มือถือต่อไป จนเหมือนเขาพิมพ์ข้อความหาใครสักคนเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะยิงคำถามกลับ
“แล้วนายล่ะ มีแฟนรึยัง" นิครู้สึกเหมือนใบหน้าร้อนผ่าว ใจสั่นราวกับตัวเองถูกจีบ
“ยัง" เขาตอบหลังจากได้สติและพบว่าคนตรงหน้าคือเจสส์ และเขาเป็นเพื่อน ไม่ใช่คนในผับ ไม่ใช่คนแปลกหน้าพวกนั้น
“ทำไมอย่างนั้นล่ะ แล้วก่อนหน้านี้ไม่คบใครเลยเหรอ" เจสส์ถามต่อ คราวนี้นิครู้สึกเริ่มสะอิดสะเอียนขึ้นมาเล็กน้อย
“ก็มีบ้างนะ แต่ไม่ค่อยคบกับใครได้นานหรอก" นิคยิ้ม เจสส์เบ้ปากก่อนจะพยักหน้าขึ้นลง
“มีความรักมันก็ดีนะนิค มันทำให้แต่ละวันผ่านไปแบบไม่เหนื่อยมาก บางทีเราก็ต้องการใครสักคนคอยอยู่เป็นเพื่อน คอยรับฟังปัญหาซึ่งกันและกัน คอยถามว่าทำอะไร กินข้าวยัง คอยปรับทุกข์หรือไม่ก็สุขไปด้วยกัน" เจสส์พูดทั้งๆ ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม นิคอดยิ้มตามไม่ได้ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อสมองของเขาค่อยๆ หมุนกลับมาคิดถึงเรื่องของตัวเอง
“ฉันดีใจที่นายเจอแต่ความรักที่ดีนะ" นิคพูดขัด เจสส์เลิ่กสายตากลับมามองเขา "สำหรับฉันความสุขตอนนี้มันคงกลายเป็นการอยู่กับตัวเองไปแล้ว บางทีการมีความรักมันก็เหนื่อยตรงที่เวลาต้องวิ่งตามอะไรสักอย่างที่ไม่มีวันเป็นของเรานี่แหละ"
“แบบนั้นไม่ได้เรียกว่าความรัก นิค" เจสส์สวนกลับ
“คงงั้น เพราะแบบนี้ฉันเลยรู้สึกชอบอยู่คนเดียวมากกว่า มันเหมือนได้ฟังเสียงตัวเองตลอดเวลา อยากทำอะไรก็ทำ ได้ใช้ชีวิตจริงๆ" นิคตอบ เจสส์ยิ้มก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ เขาไม่ถามอะไรต่อเพราะกลัวว่ามันจะกลายเป็นเรื่องดราม่า
“ฉันหวังว่านายจะเจอความรักที่ดีนะนิค"
“ขอบใจ เพื่อน" นิคตอบ เจสส์ยกมือขึ้นเกาจมูกตัวเอง นิคที่ไม่อยากให้บรรยากาศมันอึดอัดก็เลยรีบตัดบทเปลี่ยนเรื่อง "ว่าแต่นาย.. นายยังไม่บอกฉันเลยว่านายกลับไป Skye ทำไม"
ทันทีที่ได้ยินคำถามนั้นเจสส์ก็เหมือนชะงัก เงียบไปครู่หนึ่ง นิคได้แต่มองไปที่เขาด้วยสีหน้าสงสัย
“ฉันแค่อยากไปเที่ยวน่ะ" เจสส์ตอบ "ฉันอยากจะกลับไปที่นั่นหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่มีโอกาสสักที อีสเตอร์นายกลับบ้านทุกปีเลยรึเปล่า"
“ก็ทุกปีนะ" นิคตอบอย่างนิ่งๆ
“น่าเสียดาย ฉันน่าจะกลับไปที่นั่นตั้งนานแล้ว จะได้เจอนายที่นั่น ไม่ปล่อยให้ความคิดถึงมันทำงานหนักขนาดนี้" เจสส์หัวเราะ ในขณะที่นิคเริ่มรู้สึกขำไม่ออก อาจจะเพราะเขาเป็นคนจับสีหน้าคนออกง่ายๆ ว่าใครพูดจริงไม่จริงใครโกหกไม่โกหก อย่างเจสส์นี่เขารู้สึกว่าสิ่งที่เขาตอบนั้นมันแปลกๆ เหมือนนั่นไม่ใช่เหตุผลที่เขากลับไปที่นั่นจริงๆ
“นายคิดถึงฉันจริงๆ เหรอ" นิคถามต่อ ตอนนั้นเองที่เจสส์ส่ายหน้าไปมาก่อนจะเสมองต่ำไปที่พื้น
“ฉันคิดถึงนายมากเลยนิค ไม่งั้นฉันจะดีใจมากขนาดนี้เหรอที่เจอนายเมื่อคืน" เจสส์ตอบ ตอนนั้นเองที่เราพบว่ารถเลี้ยวเข้าจอดที่สถานีปลายทางพอดี ให้ตายเถอะ เร็วชะมัด เจสส์ดูนาฬิกาก่อนจะลุกขึ้นเพื่อเตรียมหยิบสัมภาระ ก่อนจะพูดตัดอารมณ์ของนิคที่ยังคงสับสนอะไรหลายอย่าง "โอ้ เรามาถึงเร็วกว่ากำหนดนะเนี่ย ดีชะมัด ไปกันเถอะเพื่อน"
30 นาทีต่อมา
อากาศเช้านี้ที่เอดินเบอระดีถึงขั้นดีมาก มีแดดท้องฟ้ากระจาย ตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะไปขึ้นรถต่อเพื่อนั่งขึ้นเหนือกลับบ้านเลย แต่โชคดีที่เจสส์บอกว่าเขาได้เช่ารถไว้แล้วและตั้งใจจะขับไป Skye พอดี จึงขออาสานำนิคกลับบ้านด้วย นิคนั่งเล่นโทรศัพท์ เช็คนู่นนี่เรื่อยเปื่อยที่สถานีสักพักระหว่างรอเจสส์ไปเอารถที่อีกที่หนึ่ง จนกระทั่งเจสส์กลับมาพร้อมกับรถ Mecedes-Benz ที่เขาติดต่อเช่าไว้
“เอาล่ะ เราจะไปกินอะไรกันดี" เจสส์ถาม นิคสำรวจเพื่อนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับ เขาอดออกเสียงวู้วพึมพำในใจแทบไม่ได้ เพราะเจสส์ช่างในรถ Mecedes-Benz สีดำขลับคันนี้ช่างเท่เหลือเกิน
“เช้าๆ แบบนี้เห็นทีจะหาร้านดีๆ เปิดแล้วยากหน่อย"
“ตะกี๊ฉันขับรถผ่านร้านตรงมุมถนนหนึ่งมา เป็นอาหารไทย น่ากิน นายชอบอาหารไทยไหม" ตอนนั้นเองที่นิคเริ่มตาเป็นประกาย
“ฉันรักอาหารไทย! นั่นมันเฟอร์เฟ็ค" นิคตอบอย่างไม่คิด
“แต่มันคงไม่ทำให้ท้องไส้เราปั่นป่วนระหว่างทางใช่ไหม" เจสส์พูดขณะคิดถึงต้มยำกุ้งที่เคยเล่นงานเขามาแล้วถึงสองครั้ง
“เอ่อ นั่นสิ หรือว่าเราจะขับไปเลยดี แล้วหาอะไรกินตอนถึงไฮแลนด์" ตอนนั้นเองที่นิคเสนอไอเดียออกมา เจสส์หันมามองเขาก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย "แต่ตอนนี้ขออะไรรองท้องก่อนนะ ขับตรงไปข้างหน้าจะมีซุปเปอร์มาร์เก็ตอยู่ นายว่าไง"
“โอเคได้ ฉันสบายอยู่แล้ว"
สิบนาทีต่อมานิคกับเจสส์ก็ได้อาหารมากินรองท้องระหว่างทางในที่สุด พวกเขาขับรถออกจากเมืองก่อนจะมุ่งหน้าขึ้นเหนือเพื่อเป็นเส้นทางกลับบ้านทันที เนื่องจากเจสส์ต้องขับรถ นิคเลยต้องเป็นคนป้อนอาหารให้ สำหรับเจสส์อาจจะไม่คิดอะไร แต่นิคนี่สิ.. อยู่ใกล้กันไม่เท่าไร แต่กำลังกลับไปในที่ที่เคยมีความทรงจำมากมายร่วมกันนี่สิ แค่เห็นป้ายบอกทางมุ่งหน้าไปไฮแลนด์เขาก็รู้สึกใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก
“นี่นิค นายว่าเราจะพอมีเวลาเที่ยวไหม" ตอนนั้นเองที่เจสส์พูดขึ้น เสียงเพลงจากวิทยุกำลังเล่นเพลงเก่าๆ ของ The Rolling Stones นิคที่กำลังฮัมเพลงเสมองดูวิวนอกหน้าต่างก็เป็นอันต้องชะงัก
“นายอยากเที่ยวไหน" นิคถาม
“เปล่าหรอก ฉันกลัวว่านายจะกลับไปฉลองกับครอบครัวไม่ทัน"
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอก นายอยากไปไหนว่ามาเลยดีกว่า" นิคพูด เอาจริงๆ เขารู้สึกดีใจด้วยซ้ำตอนที่เจสส์เสนอความคิดนั้น เพราะปกติเวลาเขากลับบ้านก็จะนั่งรถประจำทางต่อยาวไม่ได้แวะไหนเลย แต่คราวนี้มีเจสส์ที่เช่ารถขับมาด้วยก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้เที่ยวไปในตัว ดูด้านนอกนั่นสิ สองข้างทางนี้สวยแค่ไหนก็ทำได้แค่มอง รถประจำทางไม่เคยจอดให้ลงไปถ่ายรูปกับเขาหรอก นิคคิด
“ตามหาเนสซีที่ทะเลสาบล็อคเนสส์ เป็นไงไอเดียนี้" เจสส์ยิ้ม นิคยิ้มตาม ก่อนที่ทั้งคู่จะอ้าปากค้าง
“ให้ตาย ฉันนึกว่านายจะลืมมันไปซะแล้ว"
“ฉันจะลืมมันได้ยังไง นั่นเป็นความทรงจำในวัยเด็กที่เยี่ยมยอดที่สุดเลยนี่" เจสส์กลั้วเสียงหัวเราะขณะเริ่มคิดถึงภาพวันวาน ภาพที่พวกเขากระโดดขึ้นรถหนีเที่ยวกันไปสองคน "อ้อ แล้วก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่เราสองคนเกือบตายด้วย คงลืมยากอยู่หรอก"
“ความเป็นเด็กนี่มันบ้าจริงๆ เลยนะ" นิคแทบกรีดร้องออกมาตอนนึกถึงเรื่องนั้น
พวกเขาน่าจะสักเกรดเจ็ดเห็นจะได้ วันนั้นที่โรงเรียน วิชาประวัติศาสตร์ ครูไมก้าพูดถึงเรื่องทะเลสาบล็อคเนสส์ให้เด็กๆ ฟัง มีคนมากมายร่ำลือกันว่ามีผู้พบเห็นเจ้าสัตว์ประหลาดมีลักษณะคล้ายๆ เพลสิโอซอรัส หรืออีลาสโมซอรัส สัตว์เลื้อยคลายที่อาศัยอยู่ในยุคเดียวกับไดโนเสาร์ พวกเขาเรียกกันว่าเจ้าเนสซี ซึ่งในปี 1933 มีคนเห็นเยอะมาก ทำให้เกิดการค้นคว้าจริงจังแต่ก็น้อยคนที่จะพบหลักฐานอะไรเพิ่มเติม ซึ่งเรื่องนี้ดึงความสนใจกับนิคและเจสส์ไปเต็มๆ พวกเขาใช้เวลาเป็นอาทิตย์ในการค้นคว้าเรื่องนี้ จนจู่ๆ เจสส์ก็ยื่นข้อเสนอว่าพวกเขาจะแอบหนีไปที่นั่นเพื่อตามหาเนสซีด้วยกัน
“ตลกชะมัด ฉันโดนจูดี้เล่นงานครั้งใหญ่ พวกพ่อกับแม่นายก็ขับรถหาพวกเราทั่วเกาะ ให้ตายเถอะ พวกเราทำแบบนั้นกันได้ยังไงกันนะ" เจสส์พูด
แน่ล่ะ เมื่อความคิดแบบเด็กๆ มันตะเลิดไปกันใหญ่ พวกเขาโกหกครูไมก้าว่าจะขอติดรถไปลงที่สถานีเพื่อขึ้นรถไปยังที่นั่นด้วยเงินเก็บทั้งหมดที่มี (บวกกับเงินที่เจสส์ขโมยจากจูดี้มาจำนวนหนึ่ง) ทั้งสองอ้างครูไมก้าว่าจะไปเจอพ่อที่นั่น ให้ตาย โชคดีแค่ไหนที่พวกเขารอดกลับมาได้ ซึ่งพอนึกถึงความลำบากนั้นพวกเขาก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาด้วยความไม่เอาไหนของตัวเอง
“ถ้าจำไม่ผิด ครูไมก้าหัวเสียใหญ่ตอนที่จับได้ว่าพวกเราโกหก" นิคเสริม
“ใช่ๆ ถ้าเป็นตอนนั้นคงขำไม่ออกหรอก เป็นไงล่ะ ภารกิจตามล่าหาเนสซี ทำเอาเกือบไม่ได้กลับบ้านอีกเลยแน่ะ"
นิคคิดถึงภาพในวันที่พวกเขาขึ้นรถไปถึงแล้วติดต่อหาตั๋วขึ้นเรือเพื่อไปสำรวจทะเลสาบ แต่เมื่อไปถึงอีกฝั่งพวกเขาก็หลงหาทางกลับไม่ถูก แถมด้วยความซุกซนของเจสส์ เขาพานิคไปเดินสำรวจเลาะชายฝั่งต่ออีกหวังว่าจะได้เห็นเนสซีสักตัว จนเวลาล่วงเลย เขากลับมาที่ท่าเรือและไม่เจอใครอีก อุทยานปิด พวกเขาสิ้นหวังคิดจะนอนที่นั่น ทำเอาเกือบตายกว่าพวกพ่อแม่นิคและจูดี้จะมาตามพวกเขาเจอ
“เปิดดูแผนที่หน่อยสิ อีกนานไหมกว่าจะถึง" เจสส์พูดก่อนจะตบไฟเลี้ยวชิดซ้ายเพื่อจะเลี้ยวไปอีกทาง
“ไม่ไกลหรอก สักสองชั่วโมงจากตรงนี้ก็ถึงแล้ว" นิคตอบ เขารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“งั้นเราค่อยไปหาอะไรกินแถวนั้นก็ได้ ถึงบ้านค่ำหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง" นิคพยักหน้าตอบเจสส์ อีกฝ่ายเปลี่ยนทิศทางเดินรถทันที จะว่าไปการเดินทางกลับบ้านครั้งนี้มันสนุกไม่น้อยเลยจริงๆ พวกเขาต่างพากันคิดเล่นๆ ว่าจะกินอะไรที่นั่นดีและดูเหมือนเมื่อทั้งคู่นึกคำตอบได้พร้อมกัน ก็ตะโกนออกมาทันที
“ฟิชแอนด์ชิพ!”
1 ชั่วโมงต่อมา
พวกเขาใช้เวลาอยู่แถวทะเลสาบมาได้สักพักแล้ว
หลังจากที่เจสส์จอดรถได้ พวกเขาก็ลองเดินสำรวจกลับไปตรงที่ที่พวกเขาเคยหลงตรงอีกฟากของท่าเรือ เนื่องจากเวลามีจำกัด พวกเขามีเวลาไม่มากพอในการไปขึ้นเรือหรือเที่ยวแถวๆ ประสาทตรงอุทยานอีกฝั่งหนึ่ง พวกเขาก็เลยมาโผล่อยู่ที่แถวๆ Fort Augustus ซึ่งเป็นจุดปลายสุดทะเลสาบ Loch Ness พวกเขาเพิ่งแวะเข้าไปในร้านขาย Fish & Ship ร้านเก่าที่เคยหลงไปกินตอนนั้น นิคเคยบ่นว่ามันไม่อร่อยเอาซะเลย แต่เพื่อบรรยากาศพวกเขาจึงต้องจำใจกลับไปซื้อมันแล้วเทคอะเวย์มานั่งกินแถวริมน้ำตรงนี้ เพื่อให้การรำลึกความหลังสมบูรณ์ที่สุด
“โห อร่อยขึ้นนะ" นิคพูดขึ้นหลังจากที่เขากัดปลาเข้าไปคำแรก "ตอนนั้นจำได้ว่าฉันแทบคายทิ้งแล้วโยนให้นายกินจนหมด" นิคว่าต่อ
“ใช่ จริงๆ ฉันว่ารสชาติมันก็ธรรมดาเหมือนเดิมนะ แปลกที่จู่ๆ วันนี้มันก็อร่อยขึ้นมาสำหรับนายซะงั้น ฮ่าๆ" เจสส์ว่าต่อ ทั้งคู่กำลังลงมือกินอาหารพร้อมชมวิวภูเขาแม่น้ำใส และท้องฟ้าในหน้าร้อนก็เปิดกว้างให้ไออุ่น อากาศสดชื่นดีมาก
“สงสัยเพราะหิว" นิคตอบ
“แต่ตอนนั้นเราก็หิวมากนะ" เจสส์ไม่จบ
“เอาเถอะน่า ลิ้นฉันอาจจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลาก็ได้" เจสส์ขำอยู่ในใจ ทั้งคู่ปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่พร้อมกับสายลมที่พัดกลิ่นหอมของดอกหญ้าที่ขึ้นตามข้างทาง ระหว่างที่นิคกำลังหิวอยู่นั้นเจสส์ก็ให้เวลาตัวเองในการสำรวจเพื่อน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเพิ่งสังเกตว่าเด็กที่เงียบๆ เนิร์ดๆ อย่างนิคในวันนั้นจะโตขึ้นและดูดีขึ้นมากขนาดนี้ เขามีผมแดง ผิวขาวฝาดและดวงตาสีน้ำตาลอ่อนตามแบบฉบับหนุ่มอังกฤษเด๊ะ ถ้าจำไม่ผิดนิคน่าจะเคยเล่าให้ฟังว่าก่อนย้ายมาอยู่ที่ Skye เขาเคยอยู่เมืองแมนเชสเตอร์ บรรพบุรุษละญาติๆ เขาอยู่ที่นั่นหมด แต่ด้วยความที่พ่อกับแม่เขาเป็นพวกรักสงบเลยตัดสินใจขายบ้านทอดตลาดแล้วย้ายมาอยู่ที่นี่แทน
เมื่อก่อนนิคอาจจะสูงกว่าเจสส์นิดหนึ่งแต่ตอนนี้ถ้ายืนเทียบกันแล้วเจสส์กลับแซงลิ่ว ในขณะที่นิคผอมกระหร่อง ขายาวลีบ แต่กลับดูน่ารัก เจสส์มักชอบมองเวลานิคยิ้ม เพราะเขามีลักยิ้มเล็กๆ บุ๋มลงไปตรงข้างซ้าย ยิ่งเขาผอมเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเห็นชัดขึ้นมากเท่านั้น ตอนเด็กๆ เจสส์มักจะชอบใช้นิ้วตัวเองไปจิ้มที่แก้มนิคบ่อยๆ เพราะรู้สึกสนุกดี
“ทำอะไรของนายน่ะ" ตอนนั้นเองที่นิคเผลอพูดทักตอนเงยหน้าขึ้นมาเห็นเจสส์กำลังใช้นิ้วตัวเองจิ้มไปทางเขา
“ไหนนายลองยิ้มหน่อย ฉันไมได้เล่นแก้มนายมานานแล้ว" เจสส์ว่า นิครีบหันหน้าหนีทันที
“เล่นอะไรของนาย เราไม่ใช่เด็กๆ กันแล้วนะ!” นิคเขยิบตัวถอยไปอีก เจสส์หัวเราะก่อนจะชักนิ้วกลับไป
“ก็ฉันไม่มีเหมือนนายนี่" เจสส์เอานิ้วมาจิ้มแก้มตัวเองก่อนจะลงมือทานอาหารต่อจนหมด
นิคที่เริ่มอิ่มก็เริ่มเขี่ยปลากับมันฝรั่งในกล่อง พอเจสส์เหลือบสายตาไปเห็นเท่านั้นแหละ
“เพราะงี้สินะ ถึงได้ผอมแห้งกระหร่องแบบนี้เนี่ย" เจสส์เอื้อมมือไปหยิบกล่องอาหารจากมือนิคมาทานต่อโดยเร็ว นิคได้แต่ยิ้มออกมาเพราะเจสส์กินเยอะแบบนี้เสมอ แล้วเวลานิคกินเหลือเขาก็มักจะเอาของนิคไปกินต่อจนหมด (เช่นเดียวกับยี่สิบปีก่อน ที่นี่ตรงนี้แหละ) นิคมองเพื่อนของเขาที่กำช้อนแน่นเหมือนยักษ์และรีบยัดฟิชแอนด์ชิพเข้าปากโดยเร็ว กระทั่งตอนนั้นเองที่นิคคิดอะไรบางอย่างออก เรื่องก่อนหน้านี้ที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจของเขา
“เจสส์" นิคเรียกชื่อคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ อีกฝ่ายยังคงจดจ่ออยู่กับการกิน "ฉันขอถามอะไรหน่อยสิ"
“ว่าไง" เจสส์ตอบด้วยท่าทางมูมมาม
“นายไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่ในใจฉันใช่ไหม" นิคถามออกไปในที่สุด เจสส์ชะงักนิ่ง เขาวางกล่องอาหารลงค่อยๆ เคี้ยวอาหารที่เหลืออยู่ในปากขณะที่สายตามองลงไปที่พื้น
“ทำไมเหรอ"
“นายไม่ได้ตั้งใจมาที่นี่เพื่อแค่ชมาเที่ยวใช่ไหม" นิคถามต่อ เจสส์หยุดคิดครู่หนึ่ง
“ทำไมคิดงั้นล่ะ ฉันก็ตั้งใจกลับไปที่นั่นเผื่อว่าจะได้เจอนายนี่ล่ะ" เจสส์พูดต่อ "แต่โชคดีที่ดันเจอนายตั้งแต่อยู่บนรถ"
“มันไม่บังเอิญไปหน่อยเหรอ" นิคย่นคิ้ว ตอนนี้เขาเหมือนจะจับสัญญาณอะไรบางอย่างได้
“นายต้องการจะสื่ออะไร" เจสส์เงยหน้าขึ้นมอง
“เปล่าหรอก ฉันแค่รู้สึกเหมือนมันมีอะไรมากกว่านี้น่ะ จู่ๆ ฉันก็ได้มาเจอนายขึ้นรถกลับ Skye ด้วยกัน นายบอกว่าจะไปเที่ยวที่นั่นทั้งๆ ที่ตลอดหลายปีนายไม่เคยกลับไปเลย อะไรกันเจสส์... อะไรกันแน่ อะไรที่ทำให้นายอย่างกลับไปที่นั่น" ทันทีที่พูดจบ เจสส์ก็เงียบ นิ่งค้างไปเลย สีหน้าเขาเหมือนคนจนตรอก ราวกับเพิ่งโดนจับโทษฐานผิดร้ายแรง แต่มันไม่ใช่ มันแค่เป็นเรื่องที่ทำให้เขารู้สึกว่ายากเกินกว่าที่จะตอบออกไปตรงๆ
“ฉันรู้สึกแย่นิค" ตอนนั้นเองที่เจสส์ตอบด้วยน้ำเสียงที่เย็นที่สุด "ฉันกำลังจะแต่งงาน"
นิคตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ เขากำลังทำใจรับมือด้วยความหวังว่ามันจะไม่ใช่เหตุผลร้ายแรงมากนัก "ฉันรู้เจสส์ แล้วปัญหาของนายมันคืออะไร"
“สองเดือนก่อน ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะทำแบบนั้นเลย แต่มันมีข้อความโทรศัพท์มือถือ พระเจ้า.. ฉันเลยตั้งใจเปิดมันทั้งๆ ที่มันเป็นของของเธอ.. นิค นายรู้ไหมว่าฉันเจออะไร" ตอนนั้นเองที่จู่ๆ เจสส์ก็รู้สึกตัวสั่น เสียงสั่นขึ้นมา นิคเหมือนจะโล่งใจไปนิดหน่อยเพราะปัญหาของเจสส์ไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น เพียงแต่มันเป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ และนิคเองก็รู้ว่าเจสส์เข้มแข็งมากพอที่จะรับมือกับมันได้มากจนถึงตอนนี้ อย่างน้อยนิคก็รู้สึกดีที่เพื่อนเก่ายังเชื่อใจเขาด้วยการช่วยแบ่งรับความอ่อนแอนี้ได้
“เจสส์..” นิคยื่นมือเข้าไปจับเพื่อน เขาหลับตาพริ้มน้ำตาของลูกผู้ชายที่ตื้นอยู่ที่ตาไหลออกมา
“ในโทรศัพท์ของเคทมีแต่แอพพลิเคชั่นหาคู่ เธอคุยกับคนไปทั่ว และมีการนัดเจอเป็นเรื่องเป็นราว ให้ตาย สองปีแน่ะนิค! เธอทำเหมือนสองปีของเราเป็นเรื่องของคู่รักสมัยมัธยมไปซะฃ ฉะ...ฉันไม่รู้จะทำไง ฉันกลัวเสียเธอไป เลยต้องทำเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้น เหมือนฉันไม่เห็นมัน นายเข้าใจฉันใช่ไหม ฉันเสียเคทไม่ได้" เจสส์ร้องไห้ออกมา กว่าจะรู้ตัวอีกทีเขาก็ระบายความทุกข์ออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“แต่นายจะทนกับความสัมพันธ์แบบนี้ไม่ได้เจสส์ นายบอกฉันเองว่าแบบนี้ไม่ได้เรียกว่าความรัก ความรักคือสิ่งที่คนสองคนมีให้กันอย่างยุติธรรม ทั้งสองฝ่าย" นิคพูดต่อ เจสส์ส่ายหน้าไปมา
“นายไม่เข้าใจนิค ความรักมันคือการแบ่งปัน ถ้าตัดเรื่องนี้ออกไปได้ เคทคือแฟนที่ดีคนหนึ่งที่ฉันต้องทนไม่ได้ถ้าเห็นว่าเราเลิกกันแล้วเธอจะมีคนอื่น ฉันแค่ไม่อยากให้เคทใช้ชีวิตแบบนี้ แล้วฉันก็ไม่อยากสูญเสียเธอ แต่ถ้าฉันพูดเรื่องนี้ เธอต้องหัวเสียแล้วไล่ฉันไปแน่ๆ ทั้งๆ ที่คนผิดไม่ใช่ฉันด้วยซ้ำ" เจสส์ร้องไห้ออกมาไม่หยุด ราวกับคนที่แบกรับเรื่องพวกนี้มานานสองเดือนเต็ม ราวกับคนที่ไม่สามารถระบายความเจ็บปวดใดๆ ให้ใครฟังได้ถ้าคนนั้นไม่สามารถเยียวยาเขาได้ เช่นเดียวกับนิค เพื่อนในวัยเด็กของเขาที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคนทำหน้าที่นั้น "แล้ววันหนึ่งฉันก็เจอรูปถ่ายของนาย...รูปถ่ายของเราที่นั่น"
“นายก็เลยตัดสินใจมาที่ Skye งั้นเหรอ" นิคถาม เจสส์พยักหน้า
“ฉันทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เจอนายอีกครั้ง นิค..นายเป็นเหมือนความฝันในเด็กของฉันที่หายไป นายเป็นเหมือนคนที่ฉันรู้สึกเสียดายยี่สิบปีก่อนหน้านี้ที่มันไม่มีนายอยู่เลย ฉันขอโทษนิคที่ไม่เคยพยายามติดต่อ ฉันพยายามแล้ว ฉันคิดถึงนาย ฉันอยากเจอนายเหลือเกิน ฉัน..”
นาทีนั้นเองที่นิคไม่พูดอะไรอีกนอกจากยื่นหน้าเข้าไปแล้วประทับริมฝีปากลงบนปากของเจสส์ เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำอะไรอยู่ แต่เมื่อเจสส์ได้สติเขาก็รีบผลักเพื่อนของเขาออกไปทันที ต่างฝ่ายรู้สึกเหมือนตัวเองหูดับ โดยเฉพาะนิคที่เหมือนได้ยินเสียงตี๊ดดังวนไปมาอยู่ในหัว นี่เขาทำอะไรลงไปเนี่ย
มัน...ไม่ทันแล้ว
“ฉันชอบนายเจสส์" นิคพูดปิดท้าย เขาเอื้อมมือไปหยิบกล่องอาหารทั้งของตัวเองและของเจสส์มาเก็บใส่ถุงก่อนจะขึ้นรถเพื่อเก็บกลับเอาไปทิ้ง เขาปิดประตูและนั่งรออยู่ในรถอย่างเงียบๆ ในขณะที่เจสส์ยังคงนั่งหันหลังนิ่งค้างอยู่ที่เดิมปล่อยให้ความคิดทำงานไปเรื่อยๆ จนกว่าเขาจะแน่ใจว่าเมื่อกลับขึ้นไปบนรถแล้ว เขาจะไม่ต่อยหน้าเพื่อนเก่าของเขาทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าทั้งหมดนี้เป็นคำตอบที่เขาเฝ้าถามมาตลอด
And it was yes.
ตลอดเส้นทางไม่มีบทสนทนาใดอีกนอกจากความเงียบ นิคต้องข่มตาให้หลับ แม้ว่ามันจะเป็นอาการหลับๆ ตื่นๆ แต่ถึงตื่นเขาก็ต้องฝืนหลับเพื่อไม่ให้เจสส์รู้สึกว่าลมหายใจของเขาเป็นสิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายต้องลำบากใจ ทุกครั้งที่นิคลืมตาเขาก็จะเห็นภาพเจสส์สะท้อนกระจก สีหน้าของเจสส์ปกติดีแต่นิคก็ไม่กล้าที่จะเสี่ยงหันไปมองอยู่ดี ทางฝ่ายเจสส์ก็ได้แต่ตั้งสติสมาธิ ตลอดทางที่เขาขับรถผ่านมีแต่อะไรที่น่าสนใจจนอยากจะหันไปสะกิดคนข้างๆ ให้ตื่นขึ้นมามอง เมื่อสักครู่เขาเพิ่งเห็นกลุ่มเด็กๆ ถือตะกร้าเริ่มเก็บไข่อีสเตอร์ตามบ้าน ซึ่งพอทำท่าจะสะกิดก็ต้องชะงักอยู่บ่อยๆ จนเริ่มหงุดหงิด เขาพยายามแล้ว พยายามแล้วจริงๆ แต่จะไม่ให้หยุดรำลึกอดีตได้ไง ในเมื่อตลอดเส้นทางจากนี้มีแต่ความทรงจำระหว่างเรา
_______________________
โปรดติดตามตอนต่อไป ตอนสุดท้ายแล้ว
ฝากเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ