ตอนที่ ๒๕
กล่องปริศนาเป็นเหตุสังเกตได้
คนทำอาหารไม่เป็นสอนคนอื่นทำอาหาร บวก คนสัมผัสทั้งหกบกพร่องริอ่านทำอาหาร เท่ากับ เละ
นี่เป็นสมการที่เหมาะกับหนึ่งคนจอมโวยวายกับหนึ่งหุ่นจอมดื้อรั้นในห้องครัวตอนนี้แล้ว
“แหวะ!”
“ผมบอกแล้วว่ามันยังดิบคุณก็ไม่เชื่อ”
เนื่องจากสเต๊กจานแรกไหม้อีธานเลยไม่กล้าเสี่ยงใช้ไฟแรงอีก คราวนี้เขาบอกให้มิราเคิลใช้ไฟอ่อนค่อยๆ ย่างทีละด้าน เมื่อเห็นทุกด้านกลายเป็นสีสันน่ากินดีแล้วจึงบอกให้มิราเคิลนำเนื้อขึ้น
มิราเคิลใช้ตะหลิวจิ้มเนื้อ คิ้วขมวดเล็กน้อย เอ่ยอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก ‘ผมว่ามันยังไม่น่าจะสุก’
แต่อีธานยืนกราน หากย่างนานกว่านี้เนื้อก็ไหม้แล้ว สุดท้ายผลลัพธ์เป็นอย่างที่เห็น กินไปคำเดียวแล้วต้องคายทิ้งเพราะทนความคาวของเนื้อไม่ไหว
“ทำไมนะ ทั้งที่ย่างนานขนาดนี้แล้วหมูมันยังดิบอยู่เลย เตาไฟฟ้าบ้านนายเสียรึเปล่าเนี่ย”
“เปล่านะครับ จานแรกที่ทอดให้คุณกินก็ใช้เตาอันนี้”
อีธานตอบรับในลำคอ หยิบสูตรที่มิราเคิลจดไว้ขึ้นมาดูอีกครั้ง อ่านทวนแล้วทวนอีกก่อนจะพบจุดบกพร่องของสูตรนี้
“มันมีแต่วิธีปรุงนี่ แล้ววิธีทำล่ะ”
“เอ่อ...” มิราเคิลเกาหัวแกรกกรากก่อนส่ายหน้า
“นายไปหาสูตรมาจากเว็บไซต์ไหน ห่วยชะมัดยาดเลย รอเดี๋ยวนะ ขอฉันค้นข้อมูลก่อน ขอยืมใช้คอมหน่อยได้ใช่ไหม”
มิราเคิลพยักหน้า หันไปปิดเตาให้เรียบร้อยแล้วเดินตามหลังอีธานไป
“จริงสิ วันนี้นายไม่ได้เอาข้าวไปให้เจ้าตัวเล็กหรอกเหรอ” อีธานพรมนิ้วลงบนแป้นคีย์บอร์ด แอบเสียดายที่อลันไม่ได้มาลองลิ้มชิมรสอาหารสุดห่วยมื้อนี้ดูบ้าง
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมทำข้าวต้มไปให้อลันแต่เช้าแล้ว”
“หา?!” อีธานแหวลั่น ทำการเรียกร้องความยุติธรรมให้ตนเองทันที “ไม่ยุติธรรมนี่ นายทำของดีๆ อย่างข้าวต้มให้เจ้าตัวเล็ก แต่กับฉันดันทำอะไรไม่รู้ให้กินเนี่ยนะ!”
มิราเคิลสวนกลับ “คนที่บังคับคนอื่นให้ทำอาหารให้กินไม่มีสิทธิ์เรียกร้องครับ”
อีธานสะอึก คำพูดนั้นช่างทิ่มแทงกันสิ้นดี คอยดูเถอะ ถ้ามิราเคิลทำสเต๊กหมูออกมาอร่อยเมื่อไหร่ คนที่จะได้ชิมคนแรกก็คือเขา!
“เจอแล้ว วิธีย่างสเต๊ก เอามือถือนายมาหน่อยสิ” อีธานแบมือกระดิกนิ้วขอโทรศัพท์จากมิราเคิล แต่พอนึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่มีความจำเป็นต้องใช้จึงชักมือกลับ
หุ่นยนต์ที่ไหนเขาพกโทรศัพท์กันบ้าง ไม่เคยเห็นเลยจริงๆ
เป็นอย่างที่อีธานคิด มิราเคิลไม่มีโทรศัพท์มือถือ การจะใช้มือจดทั้งยุ่งยากและเสียเวลา สุดท้ายจึงนึกได้ว่าเขาสามารถโอนถ่ายข้อมูลในคอมพิวเตอร์ให้กับมิราเคิลได้โดยตรงนี่นา เรื่องสะดวกแบบนี้ทำไมไม่คิดให้ได้ตั้งแต่แรกนะ
“สายเชื่อมต่อ?” มิราเคิลทำหน้างงงันเมื่อถูกถามหาสายถ่ายโอนข้อมูล หลังจากลืมตาตื่นมาอยู่ในร่างนี้เขาไม่เคยเห็นมันมาก่อน
“สายชาร์จของนายไง นี่ไม่รู้เหรอว่านอกจากชาร์จแบตแล้วมันยังเอาไปทำอย่างอื่นได้อีกน่ะ”
มิราเคิลส่ายหัว ไม่รู้เลยจริงๆ สายชาร์จที่นอกจากชาร์จแบตและสร้างความอัปยศยามชาร์จให้เขาแล้วยังมีประโยชน์อื่นอีกอย่างงั้นเหรอ
แต่เดี๋ยวสิ หากใช้งานมันก็ต้องเสียบเข้าไปตรง... ตรง... ตรงนั้นไม่ใช่เรอะ ถ้าต้องแก้ผ้าแอ่นก้นให้เจ้าหนุ่มนี่ดู เขา...อดีตชายชาติทหารขอยอมตายดีกว่ามีชีวิตอยู่!
“ขอปฏิเสธ!” มิราเคิลยืนกรานเสียงแข็ง แสดงท่าทางเด่นชัดว่าไม่มีทางยอมไปหยิบเจ้าสายชาร์จน่ารังเกียจนั่นออกมาเด็ดขาด ใครเห็นเข้ามีแต่อับอายขายขี้หน้า เอาปี๊บคลุมหัวแล้วมุดลงดินยังไม่แน่ว่าจะหนีความอัปยศนี้พ้นรึเปล่าเลย
อีธานสะดุ้งเผลอกระถดตัวหนี จู่ๆ ทำไมหุ่นยนต์ตรงหน้าถึงทำท่าจะกินเลือดกินเนื้อใส่เขาอีกแล้วเนี่ย ไม่ใช่ว่าเมื่อกี้ยังดีกันอยู่หรอกเรอะ?
วินาทีต่อมาอีธานเหมือนนึกอะไรบางอย่างออกได้ เป็นเพราะความโรคจิตของเจ้าตัวเล็กที่สร้างช่องเสียบไม่เป็นที่เป็นทางแท้ๆ ถึงในห้องนี้ไม่มีใครอยู่นอกจากเขา แต่อีธานทำใจไม่ได้ที่ต้องทนเห็นผู้ชายแก้ผ้าแล้วมีไอ้นั่นอยู่ในก้นเหมือนกัน
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นมิราเคิลตอนเปลือย คนที่ร่วมสร้าง ออกแบบ ห่อหุ้มผิวหนังของอีกฝ่ายคือตัวเขาเองทั้งหมด เรียกได้ว่าทุกสัดส่วนทุกตารางเมตรของหุ่นยนต์ตรงหน้าถูกเขาสัมผัสมาหมดแล้ว แต่พอมิราเคิลเดินได้ขยับได้ราวกับมีชีวิตจริง เขาไม่สามารถคิดได้อีกต่อไปว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงสิ่งของหรือหุ่นยนต์ที่ไร้ชีวิตจิตใจ
ศูนย์นวัตกรรมแห่งชาติมีขึ้นเพื่อควบคุมการสร้างเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ที่อาจส่งผลร้ายหรือคุกคามความปลอดภัยต่อประเทศ ใครจะรู้ว่าปัญญาประดิษฐ์ที่ฉลาดเกินไปเหล่านั้นคิดอะไรอยู่ มีความคิดอันตรายต่อมนุษย์หรือไม่ ปัญญาประดิษฐ์ที่คิดเองได้พัฒนาตัวเองได้เหล่านี้จะบอกว่ามันไม่มีชีวิตก็คงพูดได้ไม่เต็มปากนัก
อีกอย่างแม้อลันไม่ได้สร้างมิราเคิลมาให้ฉลาดเลิศล้ำ แต่อีธานปฏิเสธไม่ได้ว่าพออยู่กับมิราเคิลนานเข้า เขาอดคิดไม่ได้เลยว่าอีกฝ่ายไม่ใช่หุ่นยนต์
“คุณโอนข้อมูลทั้งหมดเข้ามือถือตัวเองแล้วอ่านให้ผมฟังเอาสิ”
“ได้ๆ รอเดี๋ยวนะ ขอไปหยิบสายยูเอสบีในห้องก่อน”
ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีอีธานก็กลับมาอีกครั้งพร้อมสายยูเอสบีในมือ มิราเคิลมองการกระทำนั้นก่อนยืนนิ่ง แล้วเอียงหัวในเวลาต่อมา
“โทรศัพท์คุณต่อเน็ตได้ไม่ใช่เหรอครับ ทำไมเราต้องโอนข้อมูลที่หาได้ในเน็ตพวกนี้ลงมือถือกันด้วยล่ะ”
อีธานชะงักนิ่ง หันมองมิราเคิล ก่อนปากที่ปิดสนิทจะอ้าขึ้น “เอ้อ จริงด้วย” หลังจากนั้นมิราเคิลต้องทนฟังคำบ่นไม่รู้จบนั่นไปอีกครึ่งชั่วโมง
“ผมบอกแล้วไงว่าเพิ่งคิดออกเหมือนกัน เรื่องเทคโนโลยียุ่งยากวุ่นวายพวกนี้ผมใช้ไม่เก่งหรอกนะครับ” อย่างน้อยมิราเคิลก็รู้สึกว่าการเอากระดาษมาจดสะดวกกว่าการทำอะไรยุ่งยากพวกนี้เยอะ
ชิ้นหมูถูกหยิบออกมาจากตู้เย็นอีกครั้ง คราวนี้ขั้นตอนเตรียมการแต่ละขั้นมีอีธานคอยอธิบายให้ฟังอยู่ด้านข้าง วิธีปรุงทุกอย่างยังคงเดิม แต่พอถึงวิธีการย่าง...
“องศาฟาเรนไฮต์? องศาฟาเรนไฮต์นี่มันเท่าไหร่กันครับ”
“รู้สึกมันจะเป็นการวัดโดยใช้จุดเดือดจุดเยือกแข็งของน้ำมาอ้างอิงน่ะ”
“แล้วมันใช้ไฟแรง กลาง รึต่ำครับ”
“เอ่อ...” อีธานเกาหัว “อันนี้ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“คุณเข้า ISA มาได้ยังไงเนี่ย” มิราเคิลส่ายหน้าถอนหายใจ ยักไหล่ผายมือสองข้าง ทำหน้าตาดูถูกดูแคลนเต็มทน
“หน็อย คนเรามันต้องมีทั้งเรื่องที่รู้และไม่รู้บ้างสิ นายลองไปถามเจ้าตัวเล็กดูนะ ดูซิว่าจะตอบได้ไหม”
“ได้ครับ เอาไว้ผมจะถามทีหลัง ตอนนี้ผมว่าคุณหาเว็บที่อ่านแล้วเข้าใจง่ายกว่านี้มาดีกว่า”
อีธานทำตามสั่ง รีบเปลี่ยนเว็บไซต์หาวิธีย่างสเต๊กในทันใด
“อันที่จริงผมเคยหาสูตรจากอินเทอร์เน็ตมาทำสเต๊กปลาดอลลี่ให้อลันกินอยู่นะครับ”
“เหรอ แล้วเป็นไง” อีธานตาลุกวาว ความอยากรู้อยากเห็นพุ่งเต็มเปี่ยม
“เห็นอลันบอกว่าอร่อย คราวนี้นึกว่าจะทำง่ายแบบครั้งก่อนซะอีก ปรากฏว่ามันยากกว่าที่คิดไว้”
“น่าแปลกที่นายทำสเต๊กปลาไม่ไหม้ เพราะทำให้เจ้าตัวเล็กกินงั้นสิถึงพิถีพิถันทุกขั้นตอน” ชายหนุ่มวัยโตเต็มตัวกลอกตาประชดประชัน ความยุติธรรมอยู่ไหน เขาต้องการการปฏิบัติอย่างยุติธรรมจากมิราเคิลบ้าง สเต๊กที่ทำให้ตัวเล็กกินไม่ไหม้ แต่ทำไมสเต๊กที่ทำให้เขากินกลับไหม้ แถมทำอีกรอบหมูดันไม่สุกอีก นี่อยากให้พยาธิไชกระเพาะเขาทะลุตายใช่ไหม?! ตอบ!
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก เด็กๆ ทำอะไรกันอยู่เอ่ย” เสียงเคาะประตูจริงประสมกับเลียนเสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกความสนใจคนในห้อง
คนที่ง่วนอยู่กับการทำอาหารทั้งคู่เดินออกไปรับแขก เห็นเป็นผู้ดูแลหอสามเอลวิส ฮิลล์ยืนอยู่ในห้องประตูเปิดอ้าซ่า มิราเคิลถลึงตามองคนข้างกายด้วยสายตาตำหนิ ปากเอ่ยต่อว่าอย่างไม่พอใจนัก
“ตอนกลับเข้าห้องไม่ได้ล็อกประตูเหรอครับคุณอีธาน”
“เอ่อ ลืมน่ะ แต่ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ ทำไมต้องโกรธด้วยเล่า” อีธานทำปากจู๋เขยิบตัวออกห่าง เมื่อกะระยะแล้วว่ามือคู่นั้นตะปบมาไม่ถึงแน่ก็รีบกระโจนเข้าไปหลบหลังเอลวิสอย่างหาปราการปกป้องทันที
“ไม่เป็นไรที่ไหนกันครับ ถ้าเป็นคนไม่ประสงค์ดีเข้ามาขโมยข้อมูลค้นคว้าวิจัยของอลันเข้าจะทำไง”
เมื่อเห็นมิราเคิลตั้งท่าจะสวดอีธานอีกยาวเอลวิสจึงเข้ามาไกล่เกลี่ย “เอาน่า ขอโทษที่ถือวิสาสะเข้ามาในห้องโดยไม่ได้รับเชิญนะ ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว ฉันเข้ามาไม่ได้ตั้งใจขโมยข้อมูลอะไร เพราะงั้นพอแค่นี้ก่อน ดูสิ อีธานเองก็สำนึกผิดแล้ว”
อีธานโผล่หัวน้อยๆ ออกมาจากด้านหลังเอลวิส สภาพปากเบะน้ำตาคลอเบ้า แทนที่จะทำให้คนสงสารกลับทำให้คนรู้สึกหมั่นไส้แทน
“ว่าแต่กำลังทำอะไรอยู่ล่ะเนี่ย กลิ่นหอมจัง”
“สเต๊กน่ะ...”
“สเต๊กครับคุณเอลวิส อย่าโดนกลิ่นหอมยั่วน้ำลายนี่หลอกเชียว ระวังกินไปแล้วท้องเสียไม่รู้ตัว” ตัวแสบประจำก๊วนเอ่ยขัดคำมิราเคิลก่อนพูดจบ หลังจากโดนนินทาระยะเผาขนมานานปี คราวนี้เขาขอเผาอีกฝ่ายบ้างเถอะ
ความรู้สึกสะใจนี้สุดสุขหาใดเคียง
“ทำไม? ไม่อร่อยเหรอ” เอลวิสถาม
“มากๆ ครับ” อีธานพยักหน้ารับ
“เป็นไปไม่ได้น่า คราวก่อนฉันเคยได้รับอาหารจากมิราเคิลมา ลองกินแล้วรสชาติใช้ได้อยู่นะ”
“โห อย่าให้เล่าเลยครับ สเต๊กจานแรกหมอนี่ทำไหม้ จานที่สองหมอนี่ทำไม่สุก ของแบบนี้กินได้ที่ไหน ตอนนี้พวกเรากำลังเริ่มทำจานที่สามกันไม่รู้จะออกหัวหรือก้อย คุณเอลวิสสนใจไปดูไหมครับ”
“คนที่บอกว่าหมูสุกแล้วนั่นมันคุณไม่ใช่รึไง” มิราเคิลเอ่ยแย้งแต่หามีใครสนใจไม่ เพราะอีธานรุนหลังเอลวิสออกจากบริเวณพร้อมแหกปากร้องลั่นไม่เป็นภาษากลบคำมิราเคิลจมมิดหายไป
และแล้วคนทั้งสามจึงย้ายร่างพากันไปแออัดในห้องครัว ผลงานผิดพลาดทั้งสองยังวางโด่เด่อยู่บนโต๊ะ เอลวิสเดินเข้าไปพลิกดูด้วยความสนใจ ก่อนหันมองเนื้อที่ผ่านการหมักปรุงเรียบร้อยในชามสเตนเลสเตรียมรอย่าง
“เดี๋ยวนะ ฉันรู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆ” เอลวิสห้ามคนทั้งคู่ไว้ เดินเข้าไปดูใกล้ๆ “เนื้อนี่มันดูหนาไปหน่อยนะ ใช้เวลาทอดไม่นานพอจะไม่สุกก็ไม่แปลก แถม...”
เอลวิสเอานิ้วจิ้มเนื้อหมูในชามสองสามทีแล้วชักกลับ “มนยังเย็นเจี๊ยบอยู่เลย เพิ่งเอาออกจากตู้เย็นใช่ไหม”
หนึ่งคนหนึ่งหุ่นยืนนิ่งสบตากันใบ้รับประทาน
“โอ้ พระมาโปรด เอลวิส คุณคือพระมาโปรด” อีธานวิ่งเข้าไปกอดขาเอาหน้าถูกไถ เอลวิสพยายามชักขากลับสู้แรงมือปลาหมึกนั่นไม่ไหวจึงได้แต่ปล่อยให้ทำไปจนกว่าจะพอใจ
“แล้วคุณเอลวิสมาห้องนี้มีธุระอะไรเหรอครับ” ในที่สุดมิราเคิลก็เข้าประเด็น ถามในเรื่องที่ควรถามมากที่สุดเสียที
เอลวิสหยิบกล่องพัสดุที่ตนถือมาวางบนโต๊ะยื่นให้มิราเคิล
“นี่คือ...”
“จากร้าน C&D จ่าหน้าถึงอลัน คูเปอร์ ปีศาจน้อยนั่นไง วันนี้ไม่อยู่เหรอ”
“ครับ ไม่อยู่ ติดสร้างชิ้นงานกลุ่มสำหรับประกวดกิจกรรมกระชับมิตรระหว่างโรงเรียนน่ะ”
“อ๋อ กิจกรรมรวมตัวพวกคนใหญ่คนโตนี่เอง” เอลวิสพยักหน้าเข้าใจ
“นี่ อย่ามัวคุยกันสิ รีบเปิดกล่องนี่กันเถอะ ดูแล้วน่าจะเป็นของตอบแทนที่อลันพาหุ่นยนต์ป่าเถื่อนไปถ่ายแบบนะ อยากรู้จังว่าข้างในมีอะไร” อีธานตั้งท่าเปิดกล่อง แต่มิราเคิลมือไวกว่าคว้าได้ทัน
“คุณนี่รู้จักมารยาทบ้างไหมครับ พัสดุของคนอื่นยังคิดเปิด สมบัติผู้ดีอยู่ไหนหมด”
“ฉันไม่ได้เป็นผู้ดีมาตั้งแต่เกิดซะหน่อย สมบัติผู้ดีอะไรนั่นไม่รู้จัก”
“พักนี้เถียงคำไม่ตกฟาก ถ้าผมสั่งสอนคุณสักหมัดสองหมัดจะยอมสงบลงบ้างรึเปล่า” มิราเคิลถอนหายใจ คิดอยากจับอีกฝ่ายมาฝึกทหารซะให้เข็ด จะได้มีวินัยและรู้จักเคารพเขาบ้าง ในฐานะครูฝึกทหารคนหนึ่งแล้วไม่เคยเลยที่จะต้องมานั่งต่อล้อต่อเถียงเรื่องไร้สาระกับผู้น้อยคนหนึ่งอย่างนี้
แม้ไม่ใช่คำขู่ที่จริงจังนัก ทว่าอีธานยอมหุบปากแต่โดยดี ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลังจากเริ่มสนิทกับมิราเคิลเขาแทบลืมรสชาติหมัดเหล็กนั่นไปแล้ว
มิราเคิลวางกล่องพัสดุไว้อีกฟากฝั่งของโต๊ะห่างไกลจากมือเด็กซน จากนั้นหันไปจัดการนำเนื้อที่ยังไม่ผ่านการหมักปรุงแช่ลงน้ำ คอยเปลี่ยนผ่านน้ำหลายรอบ แล้วยื่นให้เอลวิสตรวจสอบอุณหภูมิ เมื่ออุณหภูมิได้ที่จึงนำไปหั่นจนได้ขนาดพอเหมาะแล้วนำไปหมักปรุงให้เรียบร้อย ไม่รอใช้เวลาข้ามวันในการหมักรสชาติจนเข้าเนื้อมิราเคิลก็เปิดเตานำหมูลงไปย่างทันที
เสียงฉ่าของกระทะผสมกลิ่นหอมตลบอบอวลในอากาศเรียกน้ำลายจากใต้ลิ้นให้สอขึ้นมาทันที มนุษย์สองคนในห้องได้รับผลกระทบเข้าไปเต็มๆ อีธานได้แต่หวังว่าอาหารจานนี้จะออกมาอร่อย ช่วงเช้าเลยมายันเที่ยงแล้วนอกจากผลงานผิดพลาดของมิราเคิลสองคำแรกที่ชิมไปยังไม่มีอะไรอื่นตกถึงท้องเขาอีก
การรอคอยช่างยาวนาน คนสมาธิสั้นไม่มีอะไรทำเริ่มอยู่ไม่สุข สายตาสอดส่ายไปทั่วจนสะดุดกับกล่องพัสดุอีกครั้ง อีธานเหลือบมองแผ่นหลังสูงใหญ่สองร่าง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครหันมาสนใจจึงค่อยๆ กระดึ๊บร่างตนเข้าใกล้มันทีละนิด
เขาเป็นแฟนคลับร้าน C&D และชื่นชอบสไตล์เสื้อผ้าของร้านนี้ นอกจากราคาไม่แพงเกินไปแล้วการออกแบบยังสวยทันสมัย
การที่ร้านขายเสื้อ C&D ส่งพัสดุให้อลันแน่นอนว่าต้องเป็นของตอบแทน แล้วของตอบแทนที่ว่านอกจากเสื้อผ้าแล้วจะเป็นอะไรได้อีก บางทีอาจเป็นคอลเลคชั่นใหม่ฤดูหนาวที่ใกล้จะถึงนี้ แค่แอบเปิดดูสปอยล์นิดเดียวเจ้าตัวเล็กแสนใจกว้าง (?) นั่นคงไม่บ่นอะไรหรอก
โชคดีที่ช่วงนี้เขาไม่ได้ตัดเล็บจึงใช้นิ้วโป้งกรีดสกอตช์เทปปิดผนึกขาดออกอย่างง่ายดาย ในจังหวะที่กำลังแหวกฝากล่องเปิดนั้น น้ำเสียงกรรโชกตะโกนเรียกชื่อเขาก็ดังขึ้น
อีธานสะดุ้งตัวโยนเงยหน้าขึ้นมอง แต่แทนที่จะได้เห็นหน้าตาโกรธขึ้งของมิราเคิลเจ้าของเสียง กลับเป็นเนื้อชิ้นโตชิ้นหนึ่งลอยละลิ่วมาแทน
ดุจดั่งภาพสโลว์โมชัน แม้รู้ว่าควรหลบแต่ร่างกายขยับไม่ทันสมองสั่งการ สุดท้าย...
ตุบ!
“จ๊ากกก!!!”
สเต๊กหมูสดใหม่จากเตาอวลไอร้อนกรุ่นก็โปะลงบนหน้าอีธานด้วยประการฉะนี้
---------------------------จบตอน
พระเอกหาย ค่าตัวแพง นักเขียนไม่มีตังจ้าง //หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาโบกลา ได้เวลาเปลี่ยนพระเอกแล้วสิ
อลัน : ค่าจ้างฉันไม่ได้สักบาท เป็นเธอต่างหากที่ไม่ยอมเขียนบทให้โผล่สักที!
แค่กๆ ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นยังไงบ้าง เป็นตอนที่เขียนแล้วรู้สึกแปลกๆ แบบบทสนทนาตัดอารมณ์สับอารณ์ไปมาจนไม่ปะติดปะต่อหรือเปล่า อ่านสะดุดไหม ถ้านักอ่านๆ แล้วรู้สึกทักได้นะคะ จะได้นำเข้าไปในลิสต์ตอนที่ต้องปรับปรุงเวลารีไรท์
เอ้อ แล้วก็มีนักอ่านคนนึงทักมาเรื่องอดีตของมิราเคิล นักเขียนอ่านแล้วคิดก็เห็นตามนั้นว่ามันยังไม่สมเหตุสมผลพอ จึงได้ทำการจดเข้าลิสต์ตอนที่ต้องนำไปปรับปรุงแก้ไขเนื้อหาอีกตอนแล้วค่ะ ขอบคุณนักอ่านที่ทักมานะคะ ได้เห็นจุดที่นักเขียนมองข้ามไปเยอะเลย
ซึ่งตอนทั้งหลายเหล่านี้จะปรับปรุงแก้ไขหลังจากเขียนนิยายเรื่องนี้จบแล้ว จะได้รีไรท์ทีเดียวเนอะ เนื้อเรื่องปัจจุบันจะได้เดินหน้าต่อได้
ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุกความเห็น ทุกกำลังใจนะคะ รักนักอ่านเสมอ ^^ //ปาใจ