ดอกท้อที่ ๑๑“พี่ซื่อหลาง!”
ฟานตงวิ่งหน้าตั้งมาแต่ไกล ตะโกนเรียกเสียงดังเสียจนคนที่นั่งจิบชาสะดุ้งเฮือก
“ฟานตง โตขนาดนี้แล้วยังวิ่งเป็นเด็ก?”
หลี่ซื่อหลางวางถ้วยชาลง ชายหนุ่มอุตส่าห์หาเวลาเงียบสงบนั่งมองต้นไม้ใหญ่ที่บัดนี้เจริญเติบโตงอกงาม ออกดอกบานสะพรั่งในสวนหลังบ้านของเขา
ใช่แล้ว…
ฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ต้นท้อที่เขาเฝ้าดูแลมาตลอดสามปี กำลังออกดอกงามเทียว
“ท่านเอาแต่นั่งมองมัน ไม่เบื่อบ้างหรือ”
ฟานตงถามไม่จริงจัง อย่างน้อยหลี่ซื่อหลางก็ไม่เศร้ายามมองมันอีกแล้ว คนเป็นน้องชายเบาใจลงเล็กน้อย
“ข้าไม่เบื่อหรอก”
“หากท่านชอบนัก คืนนี้มีเทศกาลดอกท้อด้วยนะ”
ฟานตงเริ่มเข้าเรื่อง “พี่จิ้งอี้ให้มาชวนท่านออกไปเที่ยวงานเทศกาลกัน นานแล้วที่พวกเราไม่ได้สังสรรค์เลย ท่านว่าอย่างไร?” ปากเอ่ยชวน แต่แววตาจ้องราวกับอยากสะกดจิตให้คนเป็นพี่ใหญ่ตอบตกลง
“พวกเจ้าไปเถอะ”
“ท่านไม่ไป?” ฟานตงมีสีหน้าผิดหวัง “ทำไมเล่า ข้าเห็นท่านชื่นชอบดอกท้อนัก นี่ก็ถึงช่วงมันออกดอกงามสะพรั่ง ยิ่งชมใต้แสงจันทร์คงงามตายิ่งนัก”
“หลังบ้านเราก็มีแล้วต้นหนึ่ง ทำไมข้าต้องเดินไกลไปดูที่อื่นอีก”
“ต้นนี้เห็นมาสามปีแล้วไม่ใช่? พี่ซื่อหลาง ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างเถิด”
ฟานตงถลาเข้าไปเกาะแขนคนเป็นพี่ เขย่าเล็กน้อย “พี่จิ้งอี้บอกว่าท่านต้องปฏิเสธแน่ แต่เขาไม่ว่างมาชวนท่านเพราะติดธุระทางบ้าน หากเย็นนี้เขาฝากข้ามาบอกว่าฟ้าถล่มดินทลายก็จะมาลากท่านไปงานเทศกาลด้วยกันให้ได้”
หลี่ซื่อหลางถอนหายใจ ยามที่เพื่อนสนิทและน้องชายร่วมมือกันทีไร เขาหรือจะสู้ได้?
“พวกเจ้าเอาแต่ใจนัก”
“พี่ซื่อหลางเองก็รั้นไม่ใช่หรือ” ฟานตงบ่นอุบอิบ “ท่านเก็บตัวอยู่ในบ้านนานๆ ระวังจะเป็นโรคซึมเศร้า ข้าเห็นตาแก่บ้านถัดจากเราสองหลังอาการหนักเข้าขั้น อย่าให้ข้าต้องเห็นพี่ชายในสภาพนั้นเลย”
“หาว่าข้าเป็นตาแก่?”
“เปล่าเสียหน่อย”
ฟานตงปฏิเสธทันควัน ยิ้มเผล่ให้อีกฝ่าย “ข้าเป็นห่วงท่านหรอก พี่ซื่อหลาง คืนนี้ไปงานเทศกาลกับพวกข้านะ”
“…ตามใจเจ้า”
“ตกลงตามนี้!”
ฟานตงลุกขึ้นพรวด วิ่งออกไปอย่างรวดเร็วเหมือนตอนขามา
คนเป็นพี่ได้แต่ส่ายหน้าอ่อนใจ เขาเลี้ยงดูฟานตงแบบตามใจไปหรือเปล่า น้องชายคนนี้ถึงอายุเข้าเลขสองแล้ว แต่นิสัยไม่โตตามเอาเสียเลย
หลี่ซื่อหลางยกถ้วยชาขึ้นจิบ หากรสชาดเย็นชืดทำให้ต้องวางลง
ฤดูใบไม้ผลิปีนี้มาเยือนเร็วกว่าปกติจนเขาไม่ทันตั้งตัว ตื่นมาอีกที ต้นท้อที่เคยแคระแกร็น สามปีถัดมาชั่วพริบตาเดียว กลับเจริญเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาเต็มสวนหลังบ้าน ไม่มีที่เหลือพอสำหรับต้นไม้ต้นอื่น
เหมือนจิตใจของหลี่ซื่อหลางไม่มีผิด
…หัวใจของเขา กว้าง แต่ไม่มีที่เหลือแล้ว…
ชายหนุ่มพ่นลมหายใจแรง เผลอไม่ได้ต้องหวนกลับไปคิดถึงเรื่องเก่าๆ ทำเอาหน่วงลึกในใจ ต่อให้ไม่เจ็บเหมือนแผลสด หาก รอยร้าวก็ไม่อาจสมานได้สนิท
หลี่ซื่อหลางยังคงคิดถึงน้องชายคนเล็กที่จากไป
แต่เขาก็พยายามนึกถึงแต่เรื่องดีๆ คิดและทำความเข้าใจเหตุผลต่างๆ นาๆ ที่ไม่ได้รับฟังจากเจ้าตัวว่าเหตุใดจึงจากไปโดยไม่ล่ำลากันสักคำ
อาจเพราะชายหนุ่มเกิดในครอบครัวไร้การศึกษา เช่นนั้นคนอย่างเขาจะไปเข้าใจตรรกะคนเกิดในตระกูลสูงส่งได้?
นี่คงเป็นเหตุผลที่น้องเล็กของเขาจากไป
หลี่ซื่อหลางไม่มีอะไรคู่ควรการเป็นพี่ใหญ่คุณชายเล็กตระกูลจางแม้ข้อเดียว
เขาทำใจมาได้ เอ่อ สักพักใหญ่ทีเดียว แม้จะมีบางครั้งรู้สึกเศร้าจับใจ แต่ตื่นขึ้นมาก็ยังมีแรงทำงาน ใช้ชีวิตต่อไปในวันข้างหน้า ถึงไม่มีน้องเล็กอีกแล้ว แต่ยังมีฟานตงที่คนเป็นพี่สาบานต่อฟ้าจะดูแลให้ดีที่สุด
วนกลับมาเรื่องเจ้าน้องคนนี้อีกครั้ง
‘พี่ซื่อหลาง อายุท่านก็จะเลขสามแล้ว ยิ่งไม่ดูแลตัวเองก็ยิ่งดูชราภาพ’
ดูเป็นเหตุผลที่ฟังขึ้น ฟานตงตอกย้ำเรื่องอายุจนใกล้เป็นปมด้อมของหลี่ซื่อหลาง
‘ข้าแก่แล้วเจ้าจะไม่รักหรือ?’
ฟานตงทำหน้าตกใจ ‘เปล่าเสียหน่อย!’
‘ก็เจ้าบ่นข้าแก่อยู่เรื่อย’
‘เถอะ…ขี้น้อยใจแบบนี้ไม่เรียกนิสัยคนแก่?’ ฟานตงพึมพำในระดับเสียงที่หลี่ซื่อหลางได้ยินชัดเจน ‘เรื่องของเรื่อง ท่านปล่อยให้ผมตัวเองยาวขนาดนี้ได้อย่างไร ตอนนอนข้ากลัวมันจะพันคอท่านจนสิ้นลมเอา’
หลี่ซื่อหลางขมวดคิ้ว ‘นี่เจ้าแช่งข้าทำไม’
‘ข้าพูดจริงต่างหาก’
อีกฝ่ายแก้คำ ‘ผมท่านยาวแข่งลูกสาวบ้านตระกูลลี่แย่แล้ว อย่าให้นางต้องนั่งเสียใจเพราะเกิดมาผมยาวสวยได้ไม่เท่าบุรุษเช่นท่านเลย พี่ซื่อหลาง’
ฟังกี่ทีก็รู้สึกแปลกๆ กับคำพูดเหล่านี้ หากหลี่ซื่อหลางก็พยักหน้าอือออไปตามระเบียบ จับปลายผมที่ยาวถึงสะโพก
‘เช่นนั้นข้าควรไปตัดผม’
‘เห็นด้วย’
ฟานตงยิ้มกว้าง จูงมือหลี่ซื่อหลางคลับคล้ายฉุดลากออกจากบ้าน ‘ตัดผมเสร็จ ท่านก็ซื้อเสื้อสักตัวด้วยเป็นอย่างไร?’
‘สิ้นเปลืองทำไม ข้ามีเสื้อผ้าเต็มตู้’
‘เชื่อข้าเถอะ’ ฟานตงไม่ฟังคำทัดท้าน ‘ข้าจะแปลงโฉมท่านจนจำไม่ได้เลย!’
เฮ้อ…
หลี่ซื่อหลางพบว่าตนตามใจน้องชายมากไปจริงๆ นั่นแหละ-------------------------------------------------------------
คืนนี้จิ้งอี้มาตรงเวลา เพื่อรับหลี่ซื่อหลางไปเที่ยวงานเทศกาลพร้อมกัน
“เมียเจ้าล่ะ”
ชายหนุ่มเอ่ยถาม กระชับคอเสื้อเล็กน้อย
“พาถิงถิงเข้านอนแล้ว”
“ส่วนพ่อมันก็ออกมาเที่ยว?” หลี่ซื่อหลางยิ้มอ่อนใจ “หากข้าเป็นเมียเจ้า จะเอาไม้ตะบองแพ่นกบาลให้”
จิ้งอี้ทำหน้าตาเหมือนกลืนของขม “เมียข้าเป็นคนอ่อนโยนไม่โหดร้ายเช่นเจ้าหรอก”
“แต่ก่อนยังชมว่าข้าเป็นคนขี้เกรงใจ อ่อนน้อมถ่อมตนอยู่เลย”
“ก็ตอนนี้เจ้าเป็นเช่นนั้น?”
หลี่ซื่อหลางไหวไหล่ท่าทีสบายอารมณ์ “ไม่เท่าไหร่”
“ก็ตามนั้น”
จิ้งอี้แสร้งทำหน้าเหม็นเบื่อ เดี๋ยวนี้เพื่อนสนิทของเขากลายเป็นพวกเถียงคำไม่ตกฟาก ยากจะเดาว่าเพิ่งเป็นหรือนิสัยเก่าเพิ่งถูกปลุกจากจิตใต้สำนึกกันแน่
อ่า จะเป็นอะไรก็ช่าง อย่างน้อยก็ไม่ซึมเศร้าแบบเมื่อก่อนอีกแล้ว
“แล้วฟานตง?”
หลี่ซื่อหลางหันไปถาม ตั้งแต่ตอนเช้าที่มาชวนไปงานเทศกาล ก็ไม่เห็นหน้าอีกเลยจนกระทั่งตอนนี้
“อย่างน้อยชายเจ้าจะไปไหนได้” จิ้งอี้หัวเราะหึในลำคอ “ข้าว่าป่านนี้ึคงอยู่ที่งานเทศกาลแล้วกระมัง”
“ไปคนเดียว?”
“ฟานตงโตแล้ว เจ้ายังห่วงอะไรอยู่อีก”
จิ้งอี้โยกหัวเพื่อนสนิทไปมา “หยงเทียนไปกับเขาด้วย ไม่ต้องห่วงหรอก”
หลี่ซื่อหลางเบาใจลง อย่างน้อยฟานตงก็มีหยงเทียนอยู่ข้างๆ คอยดูแลกันมาแต่เล็ก นึกแล้วก็อดเอ็นดูเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้
“หยงเทียนเป็นเด็กดีนะ”
“อืม” จิ้งอี้พยักหน้ารับ
“เสียดายหากเขาเป็นผู้หญิง ข้าคงให้ฟานตงแต่งเมียแน่ๆ”
คราวนี้จิ้งอี้หัวเราะกร๊าก “เจ้านี่ไม่รู้อะไรเสียเลยน้า”
“รู้อะไร?”
หลี่ซื่อหลางทั้งประหลาดใจทั้งตกใจ จู่ๆ เพื่อนตัวโตก็หัวเราะเสียงดังเสียขนาดนั้น มีเรื่องตลก?
“ซื่อหลาง บางทีข้าก็คิดว่าเจ้าซื่อหรือบื้อกันแน่”
…ก็อาจทั้งสองอย่าง…“ไม่ต้องแอบด่าข้า พูดมาตรงๆ ว่าเจ้ารู้อะไรแล้วไม่ยอมบอก” หลี่ซื่อหลางหน้ามุ่ย เดินไปถามไปอย่างไม่ลดละ “เกี่ยวกับฟานตงหรือเปล่า หรือหยงเทียน? หรือเกี่ยวกับข้า?”
จิ้งอี้เลิกคิ้ว “เจ้าอยากรู้จริงๆ หรือ”
“ไม่อยากรู้ข้าจะถาม?”
“ได้ยินแล้วกลัวเจ้าจะลมจับน่ะสิ เอาไว้ให้เจ้าตัวบอกเองดีกว่า”
จิ้งอี้ผู้โหดร้าย เดินผิวปากนำหน้าไปอย่างไม่ไยดี ทิ้งให้หลี่ซื่อหลางจมกับความสงสัยที่ปะทุอยู่กลางอก หากไม่ได้รับคำตอบคงนอนไม่หลับ
“บอกข้าไม่ได้หรือ”
“นี่เจ้าอ้อน?” จิ้งอี้กลั้นขำ
“ข้าขอร้อง เห็นแก่ความเป็นเพื่อน ถังจิ้งอี้ อย่างน้อยบอกข้าว่าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายเกี่ยวเขาทั้งสอง” หลี่ซื่อหลางก็คือหลี่ซื่อหลาง ห่วงใยผู้อื่นไม่ต่างจากเดิม
“ไม่มีใครตายทั้งนั้นแหละ เจ้านี่เป็นตาแก่คิดมาก”
จิ้งอี้เอ่ยเสียงอ่อน จู่ๆ ก็นึกเห็นใจร่างโปร่งที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรขึ้นมา “ฟานตงกับหยงเทียนสนิทกันขนาดนั้น เขาสองคนดูแลกันได้โดยที่เจ้าไม่ต้องห่วงอะไรอีก เข้าใจหรือไม่”
“เช่นนั้นเจ้าปิดบังข้าเรื่องอะไร”
“ก็บอกแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่คนนอกอย่างข้าควรพูด”
หลี่ซื่อหลางกรอกตา “ถึงขนาดนี้แล้วก็พูดเถอะ จิตใจจะให้ข้าสงสัยจนอกแตกตาย?”
“เมื่อก่อนเจ้าไม่เห็นขี้สงสัยปานนี้”
“ตอนนี้กับตอนนั้นไม่เหมือนกันเสียหน่อย”
จิ้งอี้ไหวไหล่ “เจ้าเปลี่ยนไปมากจริงๆ นั่นแหละ”
“ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่อง บอกข้ามาเสียดีๆ” หลี่ซื่อหลางคาดคั้นต่อ “เรื่องอะไรที่ข้าไม่รู้? ไม่รู้อยู่คนเดียวด้วยหรือเปล่า?”
“เจ้าอย่ามาคั้นข้าให้เสียเวลา”
“เจ้าก็เป็นเสียอย่างนี้” หลี่ซื่อหลางพ่นลมหายใจ เดินตามเพื่อนสนิทที่เดินเร็วกว่าตน “ตอนนั้น เจ้าก็ปิดข้าเรื่องหนึ่งใช่หรือไม่?”
“ตอนไหน?” คนฟังนึกไม่ออก
“…ตอนที่คนพวกนั้นจะเอาน้องเล็กข้าไป”
…กริบ…
เงียบเสียจนได้ยินเสียงมดเดิน
“ข้าถามเฉยๆ เจ้าเงียบเสียจนข้ากลัวนะ” หลี่ซื่อหลางตบบ่าเพื่อน น้ำเสียงไม่จริงจัง “สบายใจเถิด ข้าทำใจได้นานแล้ว”
“อืม…”
“จิ้งอี้ ข้าพูดจริงๆ นะ”
อีกฝ่ายหันหน้ามามอง แววตาหม่นแสงลงเล็กน้อย “อืม ข้าเข้าใจแล้ว”
“แต่หน้าเจ้าไม่เป็นอย่างที่พูดเลย รู้หรือไม่”
หลี่ซื่อหลางหัวเราะกลบเกลื่อน “เอ้า ไม่อยากบอกข้าสินะ เอาเถอะ ข้าจะลืมมันไปก็ได้”
ในเมื่อเซ้าซี้ถามรังแต่จะทำให้เพื่อนอึดอัด หลี่ซื่อหลางยอมข่มตาหลับพร้อมคำถามที่ไม่ได้คำตอบอีกข้อก็ได้ ไหนๆ ในหัวของเขาก็มีแต่คำถามเต็มไปหมดอยู่แล้ว มีอีกสักหน่อยคงไม่เป็นไร?
“ซื่อหลาง”
“หืม?”
จิ้งอี้มีสีหน้าคล้ายคนหนักใจ “ข้าจะบอกเจ้า แต่ต้องสัญญามาก่อน”
“สัญญา?”
“เจ้าเป็นคนรักน้องมาก บางครั้งก็มากเกิน ฉะนั้นเจ้าต้องสัญญาว่าจะไม่เก็บไปคิดจนตัวเองลำบาก คนเราไม่สามารถแบกรับทุก อย่างบนโลกได้ เจ้าเองก็ด้วย”
“พูดอย่างกับน้องข้าไปทำอะไรผิดมา”
“ไม่ใช่เรื่องใครทำอะไรผิดหรอก อันที่จริงเป็นเรื่องที่ไม่มีใครผิดนั่นแหละ”
“ถ้างั้นข้าก็เบาใจแล้ว”
หลี่ซื่อหลางยิ้มบาง “บอกมาเถอะ ข้าไม่เป็นไรหรอก”
“ได้” จิ้งอี้สูดลมหายใจ ผ่อนออกเชื่องช้าราวกับถ่วงเวลาให้ตัวเองทำใจ “ซื่อหลาง ความรักเดี๋ยวนี้ไม่จำกัดที่หน้าตา ฐานะ รูปร่าง แม้กระทั่งเพศ”
ร่างโปร่งเดินไปฟังไป ยังไม่เข้าใจว่าเพื่อนตัวสูงอยากบอกอะไรกับตน
“เจ้าเองใช่เดียงสา การที่คนสองคนผูกพันกันมาก ย่อมก่อเกิดความรักในที่สุด ฟานตงกับหยงเทียนเองก็เช่นกัน”
หลี่ซื่อหลางยังสงสัยอยู่ “แล้วอย่างไร?”
“เจ้าไม่เข้าใจหรือ พวกเขารักกันไง!”
“นึกว่าเรื่องอะไร” ชายหนุ่มทำหน้าเหมือนเพิ่งคิดได้ “เป็นเพื่อนกัน รักกันก็ถูกแล้ว”
จิ้งอี้ทำสีหน้าอึกอัด สองมือกำลังจะทึ้งหัวตัวเอง “ทีเรื่องแบบนี้ทำไมถึงหัวช้านัก? ที่ข้าจะบอกก็คือฟานตงกับหยงเทียนเป็นคู่รักกันไปแล้ว”
“หา?”
หลี่ซื่อหลางหยุดเดิน “เรื่องแบบนี้อย่าเอามาล้อเล่น ข้าไม่ชอบนะ”
“กะแล้วว่าเจ้าต้องไม่เชื่อ”
ท่าทางจิ้งอี้คงเดาไว้แต่แรก กระนั้นไม่อยากให้เพื่อนสนิทคิดว่าตัวเองถูกปิดบังอะไร สุดท้ายก็ใจอ่อนบอกไป หากผลลัพธ์ที่ได้ไม่ต่างจากที่คาดไว้นัก
“ถามตัวเอง ซื่อหลาง ข้าเป็นเพื่อนเจ้ามานานเท่าไหร่ ข้าเคยโกหก?”
…ไม่เคยสักครั้ง…หลี่ซื่อหลางรู้สึกเหมือนโลกกำลังเอียง หมุนเร็วจนเวียนหัว ชายหนุ่มคิดกับตัวเอง บางทีก็อยากให้เพื่อนสนิทกำลังโกหกตนอยู่
“ข้า…”
ร่างโปร่งทำท่าเหมือนจะพูดแต่แล้วก็อุบไว้ เดินหน้าถอยหลังเหมือนตัดสินใจไม่ถูก
“ใจเย็น ซื่อหลาง” เป็นจิ้งอี้ที่ต้องปลอบใจเพื่อน
“จิ้งอี้ ข้าเลี้ยงดูเขาไม่ดีหรือ…”
“อย่าพูดแบบนี้ ฟานตงได้ยินจะเสียใจมาก” จิ้งอี้เอ่ยเสียงอ่อน “บอกแล้วว่าความรักไม่เลือกสถานการณ์หรอก หากมันใช่ มันก็ใช่”
“เจ้าเป็นบุรุษนักรักหรือไร” หลี่ซื่อหลางทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “แต่ชายกับชาย…”
“หรือเจ้ารังเกียจ?”
อีกฝ่ายรีบส่ายหน้า “ไม่ใช่อย่างนั้น”
หลี่ซื่อหลางรู้สึกหนักใจไม่น้อย เขาพยายามตั้งรับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่
“ข้ารักฟานตง รู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร กระนั้นก็อดห่วงไม่ได้ จิ้งอี้ ข้าไม่อยากเห็นเขาเสียใจภายหลัง”
“หยงเทียนเป็นคนดี เจ้าก็รู้นี่”
หลี่ซื่อหลางไม่ตอบ คิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาอย่างใจเย็น ฟานตงกับหยงเทียนสนิทกันมากขนาดที่บางครั้งก็หายไปอยู่ด้วยกันเป็นวัน เรื่องบางเรื่องฟานตงก็เอาไปปรึกษากับหยงเทียนแทนที่จะเป็นพี่ชายอย่างเขา คงเพราะช่วงหลังๆ มานี้ หลี่ซื่อหลางเอาแต่นั่งเสียใจให้คนที่จากไป ความรักที่ให้ฟานตงจึงส่งไปไม่ถึง?
น้องชายจึงโหยหาความรักจากคนอื่น และคนนั้นก็คือหยงเทียน
น…นี่เขาเป็นพี่ชายประสาอะไรกัน?
“ห้ามโทษตัวเองนะ บอกแล้วว่าไม่มีใครผิดทั้งนั้น”
ราวกับจิ้งอี้อ่านใจเพื่อนออก หลี่ซื่อหลางถอนหายใจเฮือกใหญ่เสียไม่ได้
“ข้าผิดเอง”
“ก็บอกอยู่ว่าไม่ให้โทษตัวเอง เจ้ามันน่านัก!”
จิ้งอี้แจกมะเหงก
ปั้ก! หลี่ซื่อหลางซี้ดปาก ลูบหัวตัวเองเบาๆ “เรื่องอะไรมาโขกหัวข้า?!”
“เอาปัญญาเจ้ากลับมาไง เป็นตาแก่ขี้น้อยใจแถมยังไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่”
เพื่อนตัวโตระบายลมหายใจที่อัดอั้นไว้บ้าง “ข้าพูดในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง ไม่เคยเห็นใครรักน้องชายได้เท่าเจ้าแล้ว ซื่อหลาง ฟานตงได้รับความรักจากเจ้าจนล้น แต่เขาก็ต้องการคนที่เป็นคู่รักคู่คิด รู้อยู่ว่าน้องเจ้าเป็นอย่างไร หากได้หยงเทียนคอยดูแล ถ้าข้าเป็นเจ้าคงหมดห่วง”
“ข้าแค่กลัวอนาคตน้องชายข้าเสียใจ…”
“หากฟานตงเสียใจ เจ้าก็ปลอบเสียสิ”
“เจ้าพูดง่าย”
หลี่ซื่อหลางนวดขมับ ก้าวเท้าช้าลงราวกับไม่อยากเดินไปถึงงานเทศกาล เขาควรปรับอารมณ์ตัวเองก่อนเจอหน้าฟานตงและหยงเทียนเสียก่อน
“หากเป็นถิงถิง เจ้าจะพูดแบบนี้อยู่มั้ยเล่า ลองคิดดู”
“ก็…”
จิ้งอี้ลองคิดในมุมของเขา ถ้าลูกสาวมีคู่ครองเป็นหญิงล่ะก็…ชายหนุ่มนิ่งไปชั่วครู่ “ข้าคงต้องพิจารณาไปก่อน หากรักกันจริงแล้ว ข้าก็จะยอม”
หลี่ซื่อหลางทำสีหน้าไม่เชื่อ “คนหวงลูกอย่างเจ้ายอมแน่หรือ?”
“ซื่อหลาง ถึงข้าจะหวงลูก แต่ข้าไม่เลือกคู่ครองให้ลูกเพื่อนความสุขตัวเอง กลับกันหากข้าแต่งกับคนอื่นที่ไม่ใช่เมียข้า ชีวิตนี้คงไม่มีความหมาย ทีอย่างเจ้ายังไม่ยอมแต่งกับน้องข้าเลย เพราะเจ้ารักนางแบบน้องสาวไม่ใช่หรือ?”
“ก็ใช่…”
“คนในครอบครัวอย่างเราควรดูแลเขาเท่าที่ทำได้ ไม่ใช่ทุกอย่าง ปลอบเวลาเสียใจ ให้คำปรึกษายามเกิดปัญหา ตักเตือนเวลาทำผิด ส่วนเรื่องอื่นต้องปล่อยให้มันเป็นไปบ้าง”
“เช่นนั้นข้าควรให้ฟานตงกับหยงเทียนรักกันต่อไป”
“ข้าไม่เห็นว่ามีอะไรเสียหาย ซื่อหลาง เจ้าอย่าเพิ่งตีตนก่อนไข้”
ถึงจะคิดแบบนั้นก็เถอะ แต่หลี่ซื่อหลางก็ยังไม่วางใจ เหมือนจิ้งอี้อ่านสีหน้าอีกฝ่ายออก จึงเปรยออกมาเหมือนไม่ทุกข์ร้อน
“หากวันหน้าหยงเทียนทำตงตงของเจ้าเสียใจมากนัก คงไม่เกินความสามารถเจ้าจับเจ้าหนุ่มนั่นตอนเสีย?”
หลี่ซื่อหลางไม่ตอบ
แต่กลับบ้านคราวนี้มีดในครัวคงต้องลับให้คมสม่ำเสมอ.
.
.
อีกด้านหนึ่ง หยงเทียนรู้สึกเสียวสันหลังวาบไม่ทราบสาเหตุ
-------------------------------------------------------------
บรรยากาศภายในงานเทศกาลดอกท้อครั้งนี้ครึกครื้นกว่าปีก่อน
ร้านรวงเปิดแผงขายกันครึกโครม ผู้คนต่างเดินสวนกันไปมาเหมือนขบวนรถไฟ ถัดออกไปเป็นสวนดอกท้อที่พร้อมใจกันออกดอกงามสะพรั่ง เด็กและผู้ใหญ่นั่งชมดอกท้อใต้แสงจากดวงจันทร์และดวงดาว ประกอบแสงโคมไฟประดับริมทางช่วยทำให้ดอกท้อสวยงามขึ้นทุกครั้งที่เฝ้ามอง
“จิ้งอี้ ตรงนี้คนเยอะ”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ?!” จิ้งอี้ก้มตัวฟัง เพราะรอบข้างเสียงค่อนข้างดัง เสียงเบาๆ ของหลี่ซื่อหลางจึงถูกกลบสนิท
“ข้าบอกว่าตรงนี้คนเยอะ!”
“เสื้อเจ้าเลอะ?!” จิ้งอี้กวาดสายตามองเสื้อสะอาดเอี่ยมอ่องของอีกฝ่าย “ไม่เห็นสกปรกตรงไหนนี่”
“ไม่ใช่เสียหน่อย” หลี่ซื่อหลางเกาหัวตัวเอง พยายามตะโกนแข่งเสียงผู้คนอีกครั้ง “ตรงนี้คนเยอะ ไปดูดอกท้อตรงนู่นกัน!”
“เจ้าปวดฟัน?!”
จิ้งอี้ทำตาโต เพื่อนเขาก็ไม่แก่ขนาดฟันใกล้ร่วง หรือนี่เป็นสัญญาณสุขภาพไม่ดี?
“ไม่ช่ายยย! ” หลี่ซื่อหลางถอนหายใจเฮือก “เจ้าหูตึงแล้วหรือไร!”
จิ้งอี้ชะงัก หันมาต่อว่า “เรื่องอะไรมาหาว่าข้าหูตึง?! อุตส่าห์พามาเที่ยวต้องชมข้าว่าสุดหล่อถึงจะถูก”
หลี่ซื่อหลางดึงหน้า
ทีอย่างนี้ล่ะหูดีขึ้นมาเชียว!“ช่างเถอะ ไปหาที่นั่งกันก่อนดีกว่า”
เพื่อนตัวโตสรุปได้ก็ลากหลี่ซื่อหลางออกจากฝูงชน ถึงจะเข้าใจได้ไม่ใกล้เคียงกับที่อีกฝ่ายอยากบอก แต่อย่างน้อยก็จะได้ออกจากตรงนี้สักที
พลั่ก!
ไม่ทันระวัง หลี่ซื่อหลางชนเข้ากับใครบางคนจนมือที่จับกับจิ้งอี้หลุด
“อ่ะ ขอโทษขอรับ” ฝ่ายนู่นหันมากล่าวขอโทษก่อน
วินาทีนี้หลี่ซื่อหลางกลับเลือกไม่ได้ว่าจะหันไปขอโทษอีกฝ่ายหรือรีบตามจิ้งอี้ที่ถูกทะเลผู้คนซัดออกไปไกลลิบก่อนดี เฮ้อ เขาไม่อยากหลงกับเพื่อนแบบนี้เสียหน่อย ช่วยไม่ได้
“ไม่เป็นไร ข้าเองก็ต้องขอโทษด้วย”
หลี่ซื่อหลางตัดสินใจหันไปขอโทษ อีกฝ่ายมองหน้าเขานิ่งๆ ก่อนจะโค้งให้อย่างสุภาพจนชายหนุ่มเป็นฝ่ายตั้งรับไม่ทัน
“ขอโทษจริงๆ ขอรับ”
“ม…ไม่เป็นไร”
จะบอกว่าเขาไม่ได้แขนหักเสียหน่อย ไม่ต้องโค้งให้ขนาดนั้นก็ได้…
หลี่ซื่อหลางเลิกสนใจผู้ชายท่าทางสุภาพตรงหน้า เขาต้องมองหาจิ้งอี้ที่จมหายอยู่ในฝูงชนเป็นร้อยให้เจอเสียก่อน ชะเง้อแล้วชะเง้ออีก นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“จื่อเยี่ยน มายืนทำอะไรตรงนี้”
“ขออภัยขอรับ คุณชายเล็ก”
คุณชายเล็กทำสีหน้าเหมือนจะบอกว่า ช่างเถอะ รีบไปกันดีกว่า จื่อเยี่ยนรู้ดีว่าภายใต้หน้ากากเฉยชา ข้างในกลับหงุดหงิดเหลือคณา คุณชายคนนี้เกลียดสถานที่ที่มีฝูงชนแออัด หากไม่ใช่เทศกาลดอกท้อก็คงไม่มา
แต่คนเยอะแบบนี้ จะมีอารมณ์ชมความงามดอกท้อได้อย่างไร?
คุณชายเล็กกำลังจะหันหลังกลับ พลันสายตาบรรจบเข้ากับร่างโปร่งของใครบางคนเข้าโดยบังเอิญ
…
ซื่อหลาง…?คุณชายเล็กนิ่งงันไปชั่วขณะ สายตาคมเข้มจ้องมองอย่างมีความหมาย แม้เห็นแค่แผ่นหลังเขาก็จำได้
“ซื่อหลาง!” เป็นจิ้งอี้ที่ตะโกนโบกมือเรียกอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
หลี่ซื่อหลางหันไปมองตามเสียงเรียก จิ้งอี้คงเห็นว่าเขาหายไปจึงกลับมาตาม ทว่าเมื่อหันหลับไป สายตาชายหนุ่มไม่ได้หยุดอยู่ที่ร่างของเพื่อนสนิทซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว หากเป็นร่างสูงใหญ่แปลกตาแต่กลับรู้สึกคุ้นเคยเหมือนเพิ่งจากกันไปเมื่อวาน
“หย่งคัง…?”
เสียงนั้นเรียกสติคุณชายเล็ก
…ยังไม่ถึงเวลา… “จื่อเยี่ยน ไปเถอะ” เจ้าของใบหน้าเรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์หันหลังกลับ เดินออกไป ทิ้งระยะห่างจากหนึ่งก้าวเป็นสองก้าว สามก้าวเป็นสี่ก้าว เกินที่หลี่ซื่อหลางจะเอื้อมถึง
ผู้ชายท่าทางสุภาพคนนั้น ที่ชื่อ จื่อเยี่ยน หันมาโค้งเล็กๆ ให้หลี่ซื่อหลางก่อนจะเดินตามหลังประชิดตัวคนเป็นนาย
ท่ามกลางผู้คนมากมาย หลี่ซื่อหลางมองไม่เห็นใครนอกจากแผ่นหลังกว้างของคนๆ นั้น
เหมือนจะตัวสูงขึ้น?
ไม่สิ…ตัวใหญ่ขึ้นมากเลยต่างหาก ท่าทางองอาจไม่ยอมใคร สง่าสมกับเป็นคุณชายเล็กตระกูลจาง เขาผิดแล้วที่พลาดไปเรียกอีกฝ่ายว่า หย่งคัง อย่างลืมตัว
ลืมได้อย่างไร? น้องเล็กของเขาไม่มีอีกแล้ว ลืมได้อย่างไร…ลืมได้อย่างไร?
“หวังว่าคงไม่กุดหัวข้านะ”
หลี่ซื่อหลางพึมพำกับตัวเอง ขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงแรงจับที่ต้นแขน
“ซื่อหลาง!” จิ้งอี้ระบายลมหายใจโล่งอก ในที่สุดก็หาตัวเพื่อนพบ “ข้าตกใจแทบแย่! จู่ๆ ก็หาย…”
“ข้าอยากกลับบ้าน”
“หือ?” จิ้งอี้ทำสีหน้าเหมือนหูฝาด “เจ้าเพิ่งมาจะกลับแล้วหรือ”
“ข้าเหนื่อย อยากพักผ่อน”
“ซื่อหลาง เทศกาลนี้หนึ่งปีมีหน ข้าไม่ยอมให้เจ้าพลาดแน่”
จิ้งอี้ตัดสินใจกึ่งจูงกึ่งลากซื่อหลางเดินทั่วทั้งงาน หลายครั้งเจ้าตัวอาสาเดินเข้าไปแย่งชิงซื้อของกินติดมือกลับออกมา
“ร้านนี้ซาลาเปาอร่อมมาก เจ้าลองชิมดู”
เห็นหลี่ซื่อหลางดูหงอยๆ คนเป็นเพื่อนยิ่งคะยั้นคะยอ “กำลังร้อนๆ เลย ไม่กินล่ะ หรืออยากให้ข้าป้อน?”
“ตลกแล้ว”
ร่างโปร่งหยิบซาลาเปาลูกอิ่มขึ้นมากัด รสชาดดีอย่างที่อีกฝ่ายบอก “อร่อย”
“บอกแล้ว!”
จิ้งอี้รู้สึกได้ความมั่นใจกลับมา เขารู้สึกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างช่วงที่พลัดหลงกับหลี่ซื่อหลาง เพื่อนสนิทดูเศร้าๆ แต่กำลังฝืนยิ้ม
คิดว่ามันจะหลุดลอยจากสายตาถังจิ้งอี้?
ไม่มีวัน
“หลี่ซื่อหลาง”
คนถูกเรียกเลิกคิ้วประหลาดใจ “อะไร?”
“วันนี้มามีความสุขที่สุดกันเถอะ”
“หา?” คำพูดความหมายสองแง่ทำเอาหลี่ซื่อหลางลืมเศร้าชั่วขณะ “หมายความอะไรของเจ้า?
“ข้าจะทำให้เจ้ามีความสุขไง”
หลี่ซื่อหลางหรี่ตา “เจ้าคงไม่ได้แอบชอบข้าหรอกนะ?”
“เฮ้ย! ข้ามีเมียมีลูกแล้วววว!”
หลี่ซื่อหลางทำหน้าไม่เชื่อ ถึงจะรู้แก่ใจว่าจิ้งอี้คบเขาเป็นเพื่อนด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่ก็แอบหมั่นไส้อีกฝ่ายไม่ได้ “เถอะ ข้าไม่อยากคุย ไปซื้อปลาหมึกดีกว่า”
“ซื่อหลาง! ข้าชายทั้งแท่งนะโว้ยยยย!”
เสียงตะโกนดังไล่หลังหลี่ซื่อหลางที่เดินตรงไปยังร้านขายปลาหมึกท่าทางไม่แยแส
ร่างโปร่งยิ้มกับตัวเอง “ยังไงก็ขอบใจนะ จิ้งอี้…”
เขาควรมีความสุขเพื่อตัวเองเสียที-------------------------------------------------------------
To be continued...