ผมไม่ได้พบกับตินเกือบอาทิตย์แล้ว เอาเข้าจริงคือผมแทบจะไม่ได้ออกจากหอเลย มีนานๆครั้งถึงจะลงไปที่ส่วนกลางของหอหานู้นนี้กินบ้าง เพื่อไม่ให้ตัวเองอดตายไปเสียก่อน
เสียงนาฬิกาปลุกในโทรศัพท์ดังขึ้นบอกเวลา เมื่อผมหยิบมันขึ้นมาเพื่อจะกดหยุดเสียงที่น่ารำคาญนั้นลง ที่หน้าจอก็ปรากฏข้อความเตือนเด่นอยู่กลางหน้าจอ
‘ สี่ปีกับตินแล้ว กรรักตัวเล็กนะครับ ♥ ’
ผมมองข้อความบนหน้าจอ ผมอุดอู้อยู่ในห้องนานจนแทบลืมวันแล้ว ลืมไปด้วยซ้ำว่าตอนนี้ผมกับตินไม่ได้เป็นอะไรกันอีกแล้ว ความจริงกลับมาตอกย้ำผมให้จมดินอีกครั้ง ผมกดเลื่อนปิดเสียงหน้าจอสว่างวาบเสียงนั้นหยุดลงแล้ว สิ่งที่ได้กลับมาแทนคือหน้าจอโทรศัพท์ที่เป็นรูปคนรักกำลังยิ้มกว้างอยู่และมีผมอยู่ข้างๆ ผมกำโทรศัพท์ไว้แน่น ก่อนจะแนบมันลงกับหน้าอกพร้อมกับปิดเปลือกตาลง ความรักกำลังฆ่าผมให้ตายทั้งเป็น..
เป็นประจำในทุกๆเดือนที่ผมจะตื่นเร็วเพื่อเตรียมตัวเพราะมันเป็นวันพิเศษ แต่ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร ผมควรกระตื้อรือร้นลุกขึ้นไปอาบน้ำและเลือกเสื้อผ้าแบบที่เคยทำรึเปล่า? ผมยันกายลุกขึ้นเชื่องช้าและย้ายกายตัวเองเข้าไปในห้องน้ำใช้เวลาอยู่นานกว่าทุกครั้ง เพราะสติที่หลุดลอยไปหาใครอีกคน ได้แต่ปล่อยให้น้ำเย็นๆไหลผ่านร่างไปแบบนั้น
ผมปล่อยให้ตัวเองคิดอะไรอยู่แบบนั้นสักพักและเอื้อมมือไปปิดน้ำ หยิบผ้าขนหนูมาเกี่ยวรอบเอวแล้วเดินออกมาหยุดที่หน้าตู้เสื้อผ้า ในนั้นมีขวดน้ำหอมยี่ห้อดังวางอยู่ที่วางของข้างประตู ผมหยิบมันขึ้นมาดูน้ำสีใสในขวดพร่องลงไปมากแล้วแสดงถึงจำนวนการใช้ที่ไม่น้อยเลยของเจ้าของ ผมไม่แน่ใจว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ตัวเองเริ่มใช้น้ำหอมพวกนี้ คงเป็นตั้งแต่ที่คนตัวเล็กซื้อมันให้และบอกว่าชอบกลิ่นของมัน
ผมหยิบมันมาฉีดลงบนกาย แล้วหยิบเสื้อผ้ามาลองอยู่หลายชุด เริ่มที่หยิบกางเกงยีนพอดีตัวขึ้นมาสวม ตามด้วยเสื้อเชิ้ตตัวโปรด มองตัวเองในกระจกแล้วหมุนไปมาอยู่สองสามครั้งเพื่อเรียกความมั่นใจ ก่อนออกจากห้อง
ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจทันทีที่เห็นตินอยู่ในกรอบสายตา ตินยืนพิงรถสีดำอยู่และจอดอยู่เพียงหน้าหอของผม สายตาคนรักเหม่อไปไกลไม่สังเกตแม้แต่การมาของผมด้วยซ้ำ ผมจำได้ดีว่ารถคันนั้นเป็นรถของคุณพ่อติน ถ้าไม่ใช่วันพิเศษจริงๆอย่าหวังว่าหมอนั้นจะยอมเอาออกมาใช้ให้ยาก ใจผมเต้นกระส่ำแอบคิดเข้าข้างตัวเองไปว่าตินมารอผม สองเท้าก้าวฉับๆพาตัวเองไปอย่างคนที่ยืนอยู่
“ติน”
ราวกับเสียงเขาถูกดูดกลืนเข้าไป คนตัวเล็กหันมามองผมแววตาคนตัวเล็กดูอ่อนล้าเต็มทนและมันยังบวมเปร่งราวกับผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ตาของคนตัวเล็กเริ่มสั่นเครืออีกครั้งน้ำสีใสเอ่อคลอที่ดวงตาสวยของคนรักทำให้ผมอยากจะเอื้อมไปเช็ดมันเต็มที เราสบตากันเนินนาน
“ สุขสันต์วันครบรอบของเรานะ”
ตินเงียบไปนาน สายตาเขาหลุบต่ำไปมองมือตัวเอง นิ้วเรียวหมุนแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายไปมา มันเป็นแหวนที่ผมให้เขาตอนครบรอบ 1 ปี คนตัวเล็กระบายยิ้มออกมา..หากแต่มันเป็นรอยยิ้มที่เปราะบางราวกับจะแตกสลายเต็มที..
“..สี่ปีแล้วนะ สุขสันต์วันครบรอบนะกร”
ตินหมุนตัวเข้าหาประตูรถ ผมเห็นคนตัวเล็กยกมือปาดหลังแก้มตัวเองก่อนจะสูดลมหายใจลึก ตินเดินไปเปิดประตูฝั่งคนขับ หันมามองผมชั่วครู่ก่อนจะหย่อนตัวนั่งในตัวรถ ผมรีบวิ่งไปนั่งที่ข้างคนขับทันที ถึงคนตัวเล็กจะไม่อนุญาตหรืออะไรก็ตามแต่วันนี้ผมจะทำตามใจตัวเองแล้ว
ล้อรถที่หมุนมากว่าชั่วโมงค่อยๆเคลื่อนเข้าซองจอดรถช้าๆจนกลายเป็นหยุดนิ่งในที่สุด ผมมองรอบข้างอย่างไม่เข้าใจ ที่นี้เป็นหลุมฝังศพของพ่อแม่ผมที่ท่านเสียไปนานแล้ว ผมเคยพาตินมาด้วยสองสามครั้งเมื่อนานมาแล้ว แต่ว่าวันนี้เป็นวันครบรอบของผมกับติน ทำไมคนตัวเล็กเลือกจะมาที่นี้? ตลอดการเดินทางคนตัวเล็กไม่เอ่ยอะไรเลย มีแต่ผมจะเอ่ยเรียกตินเบาๆ แต่ก็ไร้การตอบรับจนผมยอมแพ้ที่จะเซ้าซี้
เมื่อตินดับเครื่องและก้าวลงจากรถผมจึงลงตาม ตินเดินไปเปิดประตูหลัง สิ่งที่คนตัวเล็กนำออกมาสร้างความแปลกใจให้ผมไม่น้อย.. เขาอุ้มกระถางต้นทานตะวันออกมา ผมจำได้ว่าเคยให้มันกับตินเมื่อสองเดือนก่อน ตอนนั้นคนรักของผมบ่นว่าไม่โรแมนติกเอาซะเลย แต่เมื่อผมให้เหตุผล คนตัวเล็กก็ปิดหน้าที่เห่อร้อนด้วยความเขินอายพัลวัน
‘โห้ย นี่วันครบรอบแฟนนายเลยนะ ให้ดอกทานตะวันไม่เห็นโรแมนติกเลย’
‘ก็ตินของฉันเหมือนดวงอาทิตย์นี้ ทั้งรอยยิ้ม ทั้งเสียงหัวเราะ ทุกอย่างๆของนาย ทำให้ฉันเป็นดอกทานตะวันที่หมุนตามนายอยู่ตลอดเจ้าอ้วน เมื่อไหร่ที่ฉันไม่อยู่ให้มองมันไว้นะ มันเป็นตัวแทนของฉัน’
‘ไอ้บ้า..ไปหัดพูดจาเลี่ยนๆแบบนี่มาจากไหน’
‘หื้ม ตินนี่แปลกนะ รักคนบ้าด้วย’
เมื่อคิดถึงมันผมก็ยิ้มออกมา ผมไม่ได้ถามถึงสาเหตุที่คนตัวเตี้ยกว่าอุ้มมันมาด้วย ได้แต่เดินตามเงียบๆมาจนใกล้ถึงหลุมของพ่อแม่ผม แต่จู่ๆตินก็หยุดชะงักแล้วย่อตัวลงวางกระถางดอกทานตะวันไว้ตรงหน้า เขาซุกใบหน้าลงกับแขนตัวเอง ร่างบางร้องเสียงสะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร ผมยอมให้ตินไม่พูดอะไรดีกว่าเห็นคนตัวเล็กร้องไห้แทบขาดใจแบบนี้ ร่างนั้นสั่นไหวไปหมด ผมย่อตัวลงข้างๆแล้วโอบคนตัวเล็กมาใกล้ตัว ฝ่ามือเลื่อนขึ้นและลงช้าๆเป็นการปลอบโยนคนที่ร้องไห้จนตัวโยนอยู่
สักพักเสียงสะอื้นก็แผ่วเบาจนหายไป แต่ยังคงเหลือร่องรอยการร้องไห้ที่ดวงตากลมโตนั้นมันเป็นสีแดงแสดงว่าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ตินสูดหายใจลึกเรียกสติตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะประครองกระถางต้นไม้มาในตำแหน่งเดิม เขาก้าวช้าๆไปจุดหมายเดิม ผมเองก็เดินช้าๆตามไป เพราะมัวแต่เหม่อลอยจึงไม่สังเกตเห็นอะไรที่ผิดปกติ
ผมเห็นจากหางตาว่าตินย่อตัวลงแล้ววางดอกทานตะวันไว้ข้างๆป้ายชื่อหิน ผมมองรอบข้างที่นี่ไม่ได้รกครึ้มหรือน่ากลัวแบบในหนังชอบทำกัน มันปลอดโปร่ง ด้วยเพราะอยู่บนพื้นที่โล่งกว้าง ที่นี่เป็นสุสายชาวคริสไม่กี่ที่ในประเทศไทย ป้ายหลุมศพวางเรียงอย่างเป็นระเบียบ ดอกไม้มากมายถูกวางอยู่หน้าป้ายชื่อเพื่อแสดงความอาลัย
“กร วันนี้วันครบรอบของเราจำได้รึเปล่า?”
เสียงคนตัวเล็กเอื้อนเอ่ยขึ้นมาเรียกให้ผมหันไปสนใจอย่างต้นเสียง
“ทำไมจะ...” จำไม่ได้ละ
ผมเลื่อนมือมากุมริมฝากแน่นเพื่อพยายามห้ามเสียงสะอื้นในอก รู้สึกเห่อร้อนที่ดวงตาไปหมดและน้ำตาหยดใสก็ไหลทะลักออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ผมทรุดตัวลงกับพื้นอย่างไม่เข้าใจ มองคนตัวเล็กที่ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดป้ายหลุมชื่อตรงหน้าช้าๆ มันปรากฏชื่อเป็นตัวอักษรทีละตัว ราวกับกรีดหัวใจผมไปพร้อมๆกันก็ไม่ปาน
‘กรกฎ ชาญนาวี’
นั้นคือชื่อบนป้ายหลุมศพที่คนตัวเล็กกำลังทำความสะอาดอยู่ เป็นหลุมที่อยู่ข้างกันกับพ่อแม่ของผม ผมสะอื้นจนตัวโยน ถามตัวเองซ้ำๆว่ามันไม่จริงใช่มั้ย ไม่จริงใช่รึเปล่า..
แต่สุดท้ายความจริงก็ยังเป็นความจริงวันยังค่ำ ผมรู้เหตุผลที่หลายๆครั้งเดินเมินเฉยราวกับผมเป็นอากาศแล้ว ก็เพราะผมไม่มีตัวตนตั้งแต่แรก ผมกลายเป็นอากาศไปแล้วจริงๆ.. เข้าใจแล้ว ผมเข้าใจทุกอย่างแล้ว ภาพเหตุการณ์ทุกอย่างเหมือนการฉายเทปซ้ำ
ไม่ใช่ว่าตินไกลออกไป ไม่ใช่ว่าเขาวิ่งตามไม่ทัน..
แต่เพราะแรงกระแทกบางอย่างที่เจ็บเจียนตายนั้น รู้ตัวอีกทีร่างผมก็กระแทกกับพื้นถนนอย่างแรง ความเจ็บที่ไหลหลากเข้ามาในเวลานั้นเจ็บจนบรรยายไม่ถูก ผมได้ยินเสียงผู้คนเอะอะโวยวายพอจับใจความได้ว่ามีคนถูกรถชน และผู้โชคดีคนนั้นคือผมเอง ผมได้กลิ่นเลือดคาวฟุ้งไปหมด เหมือนได้ยินเสียงเล็กๆที่คุ้นเคยร้องขอทางอยู่ ก่อนจะมีใครบางคนมาทรุดกายลงข้างๆผม เขาพร่ำเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงสั่นเครือไปหมด
รู้สึกการประครองกอดจากใครอีกคนที่พึ่งทิ้งกายลงมาข้างๆ ผมครางในลำคอเพราะความเจ็บปวดบริเวณช่วงอกที่เจ็บแปลบขึ้นมาเพราะการขยับตัว ร่างบางเอาแต่พูดว่าขอโทษอยู่ซ้ำๆน้ำตาของผมและเขาปะปนกันไปหมดจนยากจะแยก
การหายใจเป็นไปอย่างลำบาก ผมรู้สึกถึงความเจ็บและอึดอัดไปทั่วช่องอกหมด กลิ่นเลือดคละคลุ้งจนแยกไม่ออกว่ามาจากตรงไหน มันทั้งน่าสะอิดสะเอียนและราวกับเหล้าที่ทำให้ผมมึนเมาไปหมด ผมเอื้อนเอ่ยคำพูดช้าๆ ให้คนที่กำลังโอบกอดอยู่ ผมพึ่งเข้าใจถึงอารมณ์ของพระเอกในละครที่ถูกรถชนแล้วพูดแต่ละประโยคอย่างติดขัด มันเจ็บไปหมดทั้งช่วงอก เสียงของผมที่ถูกเปล่งออกไปมันแผ่วเบาเหลือเกิน แผ่วเบาจนกลัวว่าจะส่งไปถึงหัวใจของผม
หัวใจที่มีตัวตน มีเลือดเนื้อ และอยู่ตรงหน้าผม
“ต-ติน..ฉัน..ร-รัก..นาย..นะ”
“อื้อรู้แล้ว ฮึก เรารู้แล้วกร..ไม่ต้องพูดอะไรล-แล้วนะ มันเจ็บไม่ใช่เหรอ”
ผมยิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆ เพื่อช่วยให้อีกคนสบายใจ
“กรต้องเชื่อฟังเราสิไม่ต้องพูดอะไรแล้วนะ ฟังเราก็พอ ตินรักกร รักมากจริงๆ ฮึก.. ฮือ”
ผมอยากจะยกมือขึ้นไปซับน้ำตาให้เขา แต่ขยับแค่เล็กน้อยก็ทำเอาความเจ็บแล่นไปทั่วกาย
“ทำไมชอบพูดเหมือนเราไม่รักละฮะ..ฮึก..เรารักนายจนจะ-จะบ้าอยู่แล้ว เราไม่เคยคิดมีใครเลยนะ ใครจะแทนกรซื้อบื้อของเราได้ละ ใช่ไหม? เพราะฉะนั้นห้าม..ห้ามหลับนะ”
แต่ละประโยคผ่านไปด้วยความลำบากเพราะคนตัวเล็กเอาแต่สะอื้นไห้ แต่นั้นก็ไม่เป็นอะไรเลย ผมฟังมันด้วยความเต็มใจและตั้งใจ แม้จะรู้สึกถึงแรงฉุดรั้งที่เปลือกตาก็ตามที่ ผมยิ้มให้คนตัวเล็กอยากจะตอบกลับไปว่าผมเองก็ไม่เคยคิดมีใครเหมือนกัน ไม่มีใครแทนตินของผมได้
“เฮ้ อย่าหลับนะ ห้ามหลับนะ กร ฮือ อย่าทิ้งเราไปแบบนี้สิ..กร..กร” คนตัวเล็กบีบมือผมซ้ำๆ แต่เปลือกตาที่กำลังจะปิดลงทุกขณะก็ไม่ยอมตื่นให้สมใจเขา ผมอยากจะเอื้อนเอ่ยประโยคยาวๆให้เขาฟัง แต่มันช่างยากลำบากเหลือเกิน ผมหายใจได้ช้าลงเพราะแต่ละครั้งที่พ่นออกซิเจนออกมามันสร้างความเจ็บปวดไปทั่วทั้งช่วงอก
“ฝ-ฝันดีนะ”
ผมรู้สึกเจ็บขึ้นมาเรื่อยๆแม้ประโยคสั้นๆก็รู้สึกติดขัดไปหมด เวลานั้นเสียงรถพยาบาลที่ดังขึ้นเหมือนจะไกลขึ้นเรื่อยๆ คนตัวเล็กปล่อยโฮออกมาอย่างไม่ปิดกลั้น หัวกลมๆซุกลงที่ลาดไหล่ผมจนรู้สึกเปียกชื้นไปหมด ผมยกมือที่ยังพอมีเรี่ยวแรงอยู่บ้างขึ้นมา แล้ววางประทับบนศรีษะทุ้ยนั้นลูบเบาๆเป็นการปลอบโยนครั้งสุดท้าย ก่อนเรี่ยวแรงทั้งหมดจะหายไปพร้อมสติสัมปชัญญะ
เสียงสะอื้นของตินฉุดผมออกจากภวังค์ มันคล้ายม่านหมอกที่ค่อยๆลอยหายไป มันถูกแทนที่ด้วยเสียงเจี้ยวจ้าวที่พูดไม่หยุดมันฟังดูร่าเริงแต่แววตาคนพูดมันกลับสวนทางกันอย่างเห็นได้ชัด
“จะมัวแต่ขี้เซาไม่ได้นะ ปกติกรต้องรีบลุกขึ้นมาแต่งตัวแล้วฉีดน้ำหอมที่เราให้ไม่ใช่หรือไง ขวดนั้นแพงมากเลยนะ ถ้ากรไม่ยอมใช้โดนดีแน่ๆเลย กรก็รู้ไม่ใช่หรือไงว่าแฟนกรน่ะมือหนักอย่าบอกใครเลย”
ของที่นายชอบฉันจะลืมได้ยังไง?
“ครบรอบ 4 ปีแล้วนะ เร็วเป็นบ้าเลยว่าไหม? เรายังจำผู้ชายตัวสูงๆผมยาวรุงรังที่เข้ามาขอเบอร์เราได้อยู่เลย วิธีจีบก็เชยเป็นบ้า ตอนนั้นกรตลกเป็นชะมัดเลย”
ฉันก็ยังจำผู้ชายตัวเล็กคนนั้นได้ คนที่ยิ้มน่ารัก คนที่เขินเวลาฉันยิงมุกแป้กๆใส่
“ญาตินายน่ะติดต่อยากมากๆเลยรู้ไหม เพราะว่ากรเอาแต่หลับแบบนี้เราเลยต้องไปโทรตามพวกเขามานะสิ ฉันใกล้จะสอบวิชายากๆแล้วด้วย ไม่มาติวให้กันแบบนี้ไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอ? นี่! ฉันจะหนีไปหาคนอื่นจริงๆด้วยนะ”
“เนี้ย เราซื้อเค้กที่ร้านนั้นมาเหมือนเดิมด้วยนะ แต่คราวนี้เป็นรสกาแฟที่กรชอบ ใครๆรู้ต้องอิจฉากรแน่ๆที่ได้ตินคนนี้เป็นแฟน เชื่อเราสิ”
“นี่กรหลับไปนานแล้วนะ จะเป็นเดือนอยู่แล้ว คนบ้าอะไรขี้เซาชะมัดเลย.. นอนมากๆมันไม่ดีนะจำไม่ได้หรือไงเจ้าแห้ง”
รู้แล้วน่าเจ้าอ้วน...
“ดอกไม้เนี้ยนายจำมันได้รึเปล่า มันปลูกยากมากๆเลยรู้มั้ย เห็นเราเป็นคนมีความพยายามมากขนาดนั้นเลยเหรอห๊ะ?”
คนตัวเล็กเบ้ปากอย่างที่ชอบทำ แล้วหันไปหาดอกทานตะวันที่ผมเคยบอกว่าเป็นตัวแทนของผม ก่อนที่ดวงตากลมจะรื้นไปด้วยน้ำตา
“เราชอบมันมากเลยนะ แต่ยังไงก็น้อยกว่าที่ชอบนายนั้นแหละ..”
“แล้วก็...ไม่ต้องไปไหนแล้วนะ อยู่กับเราก่อน ไม่ต้องไปไหนแล้วนะ ห้ามไปไหนทั้งนั้น เรามันเห็นแก่ตัวใช่มั้ยละกร เดี๋ยวก็ไล่นายเดี๋ยวก็รั้งนาย ฮึก เรามันเห็นแก่ตัวเนอะ..”
“โกรธมั้ยที่เราไม่ได้อยู่ที่ห้อง ห้องนายมันกว้างเป็นบ้าเลย พอต้องอยู่คนเดียวมันเหงาจริงๆนะกร..”
คนตัวเล็กว่าแล้วลูบไล้มือไปยังป้ายชื่อ ก่อนจะผละออกมาแล้วหยิบหินทีละก้อนมาวางรอบๆหลุมอย่างแช่มช้า ก้อนหินถูกวางรอบๆเรียบร้อยคนตัวเล็กก็ปัดมือมาไปมาเบาๆ ดอกไม้ดอกเล็กที่ขึ้นอยู่ถูกเด็ดดึงออกมาวางระหว่างหินอย่างสวยงาม ขณะพูดไปด้วย
“กรเคยบอกว่าเรียนจบแล้วเราจะรวมเงินกันซื้อบ้านสักหลังไม่ใช่เหรอ.. กรบอกให้รอ เราก็รออยู่นะ” คนตัวเล็กสะอึก เช็ดน้ำตาบนใบหน้าลวกๆ “บอกว่าจะอยู่ด้วยกัน แล้วทำไมถึงทิ้งเราไปละ?”
“ถ้าวันนั้นเราไม่งี่เง่า ถ้าวันนั้น-ถ้าเรา ฮึก กรกลับมาเถอะนะ กลับมาให้เรากอด กลับมาให้เราบอกว่ารัก”
คนตัวเล็กหยุดมือจากการดึงดอกหญ้าด้านข้างหลุม แล้วฟุบหน้าลงกับเข่าตัวเอง ตินปล่อยน้ำตาออกราวกับเขื่อนพัง ผมประครองกอดคนตัวเล็กเอาไว้จากด้านหลัง ถึงตินไม่รับรู้ก็ไม่เป็นอะไร ผมจะส่งทุกความรู้สึกไปด้วยใจของผมเอง
“กร อยู่ตรงนี้ใช่รึเปล่า? กรฟังเราอยู่ใช่มั้ย?”
ตินเงยหน้าขึ้นทั้งๆที่ใบหน้ายังเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา ผมมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาที่รื้นไปด้วยน้ำตาไม่แพ้กัน ก่อนจะระบายยิ้มออกมาบางๆ
“กรอยู่ตรงนี้..อยู่ตรงนี้เสมอนะ”
ผมพึมพำ รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่มีทางได้ยินแต่ก็ยังพูดออกไป หวังจะฝากมันไปกับสายลมให้ช่วยพัดพามันไปโอบกอดคนตัวเล็กไว้บ้าง แค่เพียงเล็กน้อยก็ยังดี
“กร..”
ตินยกมือขึ้นกลางอากาศ คล้ายว่าต้องการจะคว้าสายลมไว้ในมือ ก่อนที่น้ำตาจะไหลกลิ้งลงบนแก้มเนียน เพื่อเตือนเขาเองว่าสายลมพัดผ่านและไม่เคยย้อนกลับมาให้โอบกอดอีก
*
(tin’s part)
ผมกลับมาที่ห้องพักอย่างเหนื่อยอ่อน แต่คราวนี้กลับกันที่ผมกลับมาที่หอของกรไม่ใช่ห้องของบีเพื่อนสนิทในคณะ การอุ้มกระถางดอกทานตะวันขนาดกลางมาด้วยมันไม่ง่ายเลย การเปิดประตูเป็นไปด้วยความทุลักทุเล
ผมถอดรองเท้าแล้วใส่สลิปเปอร์ที่ถูกเตรียมไว้หน้าประตูอย่างคล่องแคล่ว เดินตรงไปที่หน้าระเบียงแล้ววางมันไว้ในมุมที่พระอาทิตย์สามารถสาดแสงมาให้ความสดชื่นกับมันได้ในยามเช้า ผมยิ้มให้กับดอกทานตะวันอยู่นาน แล้วจึงผละไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังจากที่ไปเยี่ยมกรมาทั้งวันจนผมเพลียไปหมดเปลือกตาเหมือนพร้อมจะปิดลงทุกขณะ แต่มันก็เป็นความสุขเล็กๆน้อยๆที่ผมจะหาได้ก่อนต้องเผชิญกับโลกแห่งความจริง
ตอนนี้ผมอยู่ในเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งของกร มันมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวของกนอบอวนไปหมด พาลจะทำให้น้ำตาไหลลงมาอีกรอบ
“ขี้แยเกินไปแล้ว”
ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆ ร้องไห้ไปกี่รอบแล้วผมก็เหนื่อยจะนับ รู้แต่ว่าถ้าเอามารวมกันได้ มันคงหมดเป็นลิตรๆ ผมทิ้งตัวลงบนที่เตียงคู่ของผมกับเขา ทุกๆพื้นที่เต็มไปด้วยความทรงจำของเราสองคน เตียงขนาดคิงไซส์ใหญ่เกินไปสำหรับการนอนคนเดียว.. ผมคว้าหมอนอีกใบมากอดเอาไว้เพื่อหาความอบอุ่น ซุกไซร้ใบหน้าลงกับหมอน ก่อนความเหนื่อยล้าจะฉุดรั้งผมเข้าสู่นิทราในที่สุด
‘ติน..ติน ตื่นได้แล้วเจ้าอ้วน’
เสียงคนรักพึมพำข้างๆหู แต่ผมก็งัวเงียเกินกว่าจะลืมตาขึ้นมาได้
‘ขอนอนต่ออีกหน่อยสิ’
‘ถ้าไม่ตื่นฉันจะจูบนะ’ เสียงนุ่มๆนั้นว่า แล้วมือใหญ่ก็โอบประครองหน้าผมไว้ จนผมต้องยอมแพ้ลืมตาขึ้นมาในที่สุด
‘จะลักหลับเรารึไง’
‘ไม่ได้ลักหลับก็ตอนนี้นายตื่นแล้ว’ คนตัวสูงกว่าว่าแล้วก้มลงมาฉกชิงความหอมจากแก้มของผม ผมหัวเราะเบาๆแล้วโอบกอดรอบคออีกคนให้โน้มตัวลงมาใกล้
‘เมื่อคืนเราฝันร้าย..ฝันร้ายมากๆเลย ฝันว่ากรทิ้งเราเอาไว้คนเดียว ที่ที่ไม่มีนายมันน่ากลัวจริงๆนะ’ เขาว่าแล้วเบะปากเหมือนจะร้องไห้ กรยิ้มอย่างอบอุ่นแล้วลูบหัวผมช้าๆอย่างเอ็นดู
‘ตินไม่ได้ฝันหรอกนะ’
‘กร..?’
‘ต่อไปนี้ตินต้องดูแลตัวเองให้ดีนะรู้มั้ย ไม่มีฉันอยู่ข้างๆอีกแล้วนะ’ และเป็นอีกครั้งที่ผมปล่อยให้ตัวเองแสดงความอ่อนแอออกมา ต่างกันที่มีอีกคนอยู่เคียงข้าง อยู่ในที่ที่ผมสามารถจับต้องได้
‘ไม่ร้องไห้นะ ยิ่งนายร้องไห้ฉันก็ยิ่งเจ็บปวดรู้มั้ย ฉันไม่สามารถเช็ดน้ำตาให้นายได้อีกแล้ว ตินต้องเข้มแข็งนะ’ เขาเช็ดน้ำตาให้ผมช้าๆ แล้วเปลี่ยนมาเป็นจูบซับน้ำตาเหล่านั้น มืออีกครั้งสอดเข้าในช่องว่างระหว่างนิ้วผมข้างหนึ่ง แหวนสีเงินของเราเสียดสีกันราวกับแสดงความเป็นเจ้าของ
‘ฉันไม่ได้อยู่ไหนไกลเลย ฉันคนนี้อยู่ข้างๆนายเสมอ และฉันเองก็รักนายเพียงแค่คนเดียว ฉันไม่รั้งให้นายจมปลักอยู่กับฉันคนเดียว ฉันอยากเห็นนายมีความสุขกับคนที่ทำให้นายมีความสุขได้นะ’
ผมส่ายหน้าหวือ
‘คนที่ทำให้ฉันมีความสุขได้คือนาย’
‘ฉันไม่สามารถทำมันได้อีกแล้วนะติน.. แค่นายคิดถึงฉัน ฉันก็มีความสุขแล้ว’ มือข้างที่ว่างยกขึ้นมาลูบหัวผมอีกครั้ง ‘อย่าทำอดีตทำร้ายตัวเอง ตินต้องก้าวต่อไปนะ’
‘หมดเวลาของฉันแล้วละ ดูแลตัวเองด้วยนะ นายต้องกินข้าวให้ตรงเวลา อย่าตากฝนหรือโหมงานหนัก อย่าเก็บทุกอย่างมาคิดกับตัวเองมีอะไรบอกกับบีบ้างก็ได้ ฉันเชื่อว่ามันรับฟังนายเสมอ’ ผมปล่อยมือที่จับกรไว้ออก แล้วกอดคนรักแน่น
‘อย่าไป..กรอย่าไปเลยนะ ฮือ’
‘เราหมดเวลาแล้ว’
กรกอดผมตอบแล้วลูบหลังผมด้วยฝ่ามืออบอุ่น ริมฝีปากบางของกรแตะสัมผัสที่ปากผมเบาๆ ไม่มีการรุกร้ำ มันเป็นสัมผัสอ่อนโยน กรไล่จูบลงที่แก้มทั้งสองข้าง แล้วจูบซับน้ำตาที่ยังคงไหลอยู่ ก่อนจะมาหยุดที่หน้าผากของผม
‘กรรักตินนะครับ’ กรยิ้มบางๆให้ผมเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อเป็นการบอกลา เขาเอื้อมไปดึงผ้าห่มที่ถูกพับอยู่ที่ปลายเท้าของผมขึ้นมาก่อนจะกางมันออกให้คลุมตัวผมจนมิด ก่อนแสงสว่างจ้าจะปรากฏ ผมรู้สึกกรกำลังห่างไกลออกไปเรื่อยๆ ยิ่งพยายามเอื้อมมือไปรั้ง อีกฝ่ายก็ยิ่งห่างไปมากขึ้นเท่านั้น..
กริ๊ง-งงงง!
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น พร้อมๆกับผมที่เด้งตัวขึ้นมาจากเตียง ผมหันมองที่ว่างข้างๆตัว ไม่..ไม่มีกร มีแต่ผมเท่านั้น..ทั้งตอนนี้และตลอดไป ผมรู้สึกถึงรสเค็มปร่าของน้ำตา รู้สึกถึงความเจ็บที่กระจายไปทั่วหน้าอก
เมื่อหันมองรอบข้างก็สะดุดกับผ้าห่มที่คลุมตัวผมอยู่ ผมจำได้ว่าไม่ได้หยิบมันมาใช้เพราะความง่วงงุงจัดทำให้ทิ้งตัวลงนอนทั้งๆที่ผ้าห่มถูกพับไว้ที่ปลายเท้า
มันเป็นเหมือนสัญลักษณ์ที่บอกว่าเมื่อคืนมันไม่ใช่แค่ฝัน..มันทำให้ผมเผยยิ้มออกมาปนๆกับน้ำตา ผมไม่ได้ร้องไห้เพราะเสียใจหรือคิดถึงอีกแล้ว แต่มันเป็นน้ำตาของความขอบคุณและผมสัญญากับตัวเองว่ามันจะเป็นน้ำตาครั้งสุดท้ายของผม
“กร..ขอบคุณนะ”
ผมเคยสงสัยเขาจะรักใครคนหนึ่งได้นานเท่าไหร่?
หนึ่งปี?
สองปี?
สิบปี?
..
จนเจอกรผมถึงได้รู้..ว่ามันคือ
ตลอดไปend.
แปลงมาจากฟิคที่เคยเขียน
ตอนจบอาจจะเดาได้อยู่แล้ว แต่ถ้าชอบกันเราก็จะดีใจมากๆเลยค่ะ
เพราะเป็นวายไทยเรื่องแรกที่ลงเลย น้องลินฝากตัวโด้ยนะเจ้า~ #แอ๊บสาวเหนือสุดอะไรสุด
ด้วยรัก,
ลลิน.