บ๊อบและบิลพักผ่อนอยู่ที่ Croome Court อีกหนึ่งคืน ก่อนที่เขาจะออกเดินทางไปสโนว์ดอน เทือกเขาแห่งสายหมอกเป็นที่หมายต่อไป ทั้งคู่มาจอดรถกันที่สถานี สโนว์ดอน เมาว์เทน เรลเวย์ ก่อนจะซื้อตั๋วสำหรับเดินทางไปขึ้นไปยังยอดเขาสโนว์ดอน
“ทานซะหน่อยนะ” บ๊อบยิ้ม ก่อนจะยื่นเบอร์เกอร์ที่แวะซื้อที่ร้าน M&S ให้แก่บิล
“ขอบคุณครับ”
เสียงรถไฟที่ยังใช้พลังงานจากถ่านหินหวูดคำรามแสบแก้วหูเป็นสัญญาณเตือนว่ารถไฟขบวนนี้กำลังจะมุ่งหน้าขึ้นเขาในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ที่นั่งฝั่งซ้ายมือที่ทั้งคู่โดยสารอยู่ไม่มีผู้ร่วมโดยสารด้วย แต่ทางฝั่งขวามือของโบกี้มีคู่สามีภรรยาวัยเกษียณอายุนั่งคุยหัวร่อต่ะกระซิกกันอยู่
“น่ารักดีนะ เคียงคู่กันจนแก่เฒ่า” บ๊อบพูดขึ้น
“คุณพูดเหมือนผมจะทิ้งคุณไปวันพรุ่งวันมะรืน ... คุณออกจะโชคดีกว่าคุณลุงคุณป้าคู่นั้นเป็นไหนๆ เพราะคุณจะไม่แก่ถือไม้เท้าในวันที่ผมแก่หง่อมไปแล้ว”
“นายไม่ต้องใช้ไม้เท้าหรอก ถ้าวันหนึ่งนายเดินไม่ไหว ชั้นจะเป็นขาให้นายเอง”
“รอให้ถึงวันนั้นจริงๆ ผมถึงจะเชื่อคุณ บ๊อบ”
เสียงหวูดรถไฟดังก้องอีกครั้ง ก่อนที่กลไกจะเริ่มทำงาน ล้อรถไฟเริ่มบดกับรางส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดก่อนที่รถไฟจะออกตัวไปข้างหน้า บิลหยิบกล้องถ่ายรูปของตนออกมาเก็บภาพความสวยงามสองข้างทาง
รถไฟแล่นมาเรื่อยๆไต่ระดับความสูงของเทือกเขาสโนว์ดอน ข้างทางมีผู้คนที่เลือกจะเดินขึ้นเขาด้วยการเดินเท้าให้เห็นอยู่ตลอดทาง จนเวลาผ่านไปสักครู่หนึ่ง ทั้งคู่ก็มาถึงระดับที่เริ่มจะมองเห็นทิวหมอกชัดเจนขึ้น
“นายเคยได้ยินใช่มั้ย .. นั่นแหละเค้าเรียกร็อกกี้ วอลเลย์” บ๊อบชี้มือไปยังแนวหุบเขาที่เต็มไปด้วยแนวของโขดหินนับร้อยนับพัน
“อืม... หุบเขาแห่งก้อนหิน เยอะจริงๆสมคำร่ำลือ “ บิลพูดพลางรัวชัตเตอร์อีกครั้ง
“อีกไม่กี่อึดใจก็จะถึงปลายทางแล้วนะ ... อย่ามัวแต่ถ่ายรูปจนแบตหมดไม่เหลือไว้ถ่ายที่จุดสูงสุดล่ะ”
“เปรี๊ยะ...ตูม!!!” เสียงระเบิดดึงขึ้นด้านหน้าขบวนพร้อมกับที่เกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งคัน เสียงเบรกรถไฟหวีดลั่นเหมือนมัจจุราชกำลังหวีดร้องอย่างบ้าคลั่งหมายจะเงื้อง่าคร่าชีวิตผู้คนในที่เดินทางมา
“ภูเขาถล่ม!!!” เสียงนายตรวจตะโกนลั่นด้วยดวงตาที่เบิกโพลง คำอุทานนั้นทำให้ผู้โดยสารในขบวนต่างหวีดร้องลั่น รถไฟยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดโดยง่ายและยังคงเคลื่อนที่ด้วยความเร็วไม่ต่างจากเดิม เสียงอื้ออึงของทั้งเครื่องจักรและเสียงกรีดร้องของผู้โดยสารดังประสานกันจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ ... ท่ามกลางความสับสนอลหม่าน บ๊อบและบิลโผกอดกันไว้แน่น บิลตัวสั่นเทิ้มความกลัวแม้บ๊อบจะปลอบเขาอย่างไรก็ตาม
“ทำใจดีๆไว้บิล เชื่อชั้น นายต้องปลอดภัย” บ๊อบพูดซ้ำไปซ้ำมา โดยที่ในใจของเขาไม่มีความมั่นใจต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แม้สักนิด
“ตูม!!!” เสียงกัมปนาทดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับแรงสั่นสะเทือนและแรงเหวี่ยงที่มากพอที่จะเหวี่ยงผู้โดยสารจำนวนหนึ่งให้กระเด็นจากโบกี้ หนึ่งในนั้นมีบ๊อบและบิลที่กระเด็นออกไปนอกตัวรถ แรงเหวี่ยงมหาศาลทำให้ทั้งคู่บินหวือไปไกลหลายเมตรและกลิ้งไหลไปตามเนินเขาที่ลาดชัน ... ก่อนจะหยุดลงบนหุบเขาร็อกกี้ หุบเขาแห่งหมู่มวลหิน
แรงกระแทกทำให้ระบบประมวลผลของบ๊อบรวนไปเล็กน้อย แต่ความเป็นแอนดรอยด์ของเขาทำให้เขาไม่รู้สึกเจ็บปวด .. หลังจากระบบเริ่มรีสตาร์ทตัวเองขึ้นมา เขามองไปรอบๆตัวช้าๆอย่างพิจารณา ก่อนที่ภาพที่เขาต้องตกตะลึงจะปรากฎอยู่ตรงหน้า
“บิล!!!!”
ร่างเล็กนอนหายใจรวยรินและชุ่มโชกไปด้วยเลือด ด้านหลังของบิลมีโขดหินขนาดใหญ่ที่เดาว่าคงเป็นสิ่งที่หยุดทั้งสองคนไว้ แต่โขดหินดังกล่าวก็ทำให้บิลได้รับแรงกระแทกจนบาดเจ็บสาหัส
“ไม่ บิล นายต้องไม่เป็นอะไร แข็งใจไว้นะ” บ๊อบพูดเสียงสั่น ก่อนจะคว้าร่างที่แดงฉานของบิลขึ้นอุ้มและวิ่งพาคนรักลงจากเขาด้วยดวงใจที่เต้นรัวราวกับจะขาดรอนลง
บ๊อบวิ่งสุดแรงเกิดด้วยความรู้สึกที่มากมายในหัวระคนกัน เขาไม่ได้เร่งรีบขนาดนี้มานานแล้ว เวลาของเขาไม่เคยมีความหมายตั้งแต่วันที่เขารู้ตัวว่าชีวิตใหม่ของเขาจะไม่มีวันดับสูญ แต่ในเวลานี้ มันทรมานหัวใจเหลือเกินกับการที่เทียนไขแห่งชีวิตของคนที่เขารักหมดหัวใจกำลังจะดับลงได้ทุกวินาทีที่เขาอาจจะวิ่งช้าเกินไป
“ช่วยด้วย!!! รถพยาบาลอยู่ไหน มารับคนเจ็บไปที!!!” เขาตะโกนสุดเสียงท่ามกลางความโกลาหลและตกตะลึงอย่างไม่คิดว่าจะมีคนอุ้มคนเจ็บลงมาจากจุดเกิดเหตุเช่นนี้ แต่หน่วยกู้ภัยพื้นล่างก็มีสติพอที่จะสงบสติอารมณ์ไม่ถามไถ่อะไร บิลถูกพาตัวขึ้นรถพยาบาลไปทันทีพร้อมกับบ๊อบ ก่อนที่รถพยาบาลจะห้อทะยานไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดพร้อมกับเสียงไซเรนที่ดังลั่น
“นายต้องไม่เป็นไร บิล นายต้องไม่เป็นอะไร” บ๊อบพูดซ้ำไปซ้ำมาพลางบีบมือของคนที่เขารักเอาไว้ ร่างชุ่มเลือดของบิลหายใจลำบากขึ้นทุกทีจนเห็นได้ชัดจนทำให้หัวใจที่ปวดร้าวของบ๊อบแทบแตกเป็นเสี่ยง เขาโผเข้าไปกอดร่างของบิลด้วยความรู้สึกที่ทรมานไม่ต่างจากคนที่นอนอยู่ ... ก่อนที่.....
.
.
.
เขาจะได้ยินคำสั่งเสียสุดท้าย ... ของคนที่เขารักหมดหัวใจ
“เมื่อไหร่ที่คุณคิดถึงผม ... ให้มองไปที่ทุ่งฟอร์เก็ทมีนอท ที่บ้านของเรานะ ... ที่รัก”
บิลพูดขึ้นอย่างยากลำบาก ก่อนที่เขาจะปล่อยลมหายใจออกเสียงดังอย่างทุกข์ทรมาน ... เป็นครั้งสุดท้าย
“ไม่ บิล อย่าทิ้งฉันไป!!!!!”
.
.
ร่างไร้วิญญาณของบิลถูกพาขึ้นเฮลิคอปเตอร์ทันทีที่หมอลงความเห็นว่าบิลได้ตายไปจากโลกนี้แล้ว เฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวของบ๊อบบินตรงไปยังสถาบันวิจัยเทคโนโลยีและพัฒนาสิ่งมีชีวิต ... ที่ที่ครั้งหนึ่งเขาได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งบนโลกใบนี้
“ผมขอคุยกับคุณหมอบริจิตต์ ...เดี๋ยวนี้” เขาแผดเสียงใส่พนักงานประชาสัมพันธ์
“แต่... คุณเข้าไปไม่ได้ตอนนี้ ... “ พนักงานสาวมองบ๊อบที่ยังอยู่ในเสื้อผ้าที่แดงฉานไปด้วยเลือด “คุณต้องไปชำระล้างร่างกายก่อน”
“โธ่เว้ย!!” เขาสบถลั่น ก่อนจะกระชากเสื้อของตนจนกระดุมหลุดกระเด็น “ทอม ไปหาเสื้อผ้าใหม่มาให้ชั้น ไวที่สุด”
“ชั้นมาแล้ว ... AD003 อ้อ โทษที ชั้นลืมไปว่าคุณไม่ชอบให้พวกเราแทนชื่อคุณด้วยรหัสเท่าไหร่ สวัสดีค่ะ คุณวิลเลียม” แพทย์หญิงคนหนึ่งที่แต่งกายด้วยเสื้อกาวน์สีขาวสะอาดเดินออกมาจากตัวอาคาร เธอขยับกรอบแว่นของเธอเล็กน้อยพลางมองไปยังเปลที่คลุมด้วยผ้าขาวมา “ชั้นคิดว่า คุณคงจะมีเรื่องให้เรารับใช้”
บ๊อบกลืนน้ำลายลงคอเพื่อข่มความโกรธของตน ก่อนจะพูดขึ้นอย่างยากลำบาก
“ช่วย... ชุบชีวิต.. คนรัก...ของผมที”
“โอ้ ไม่น่าเชื่อว่ามันจะออกมาจากปากของคุณ ทั้งที่คุณพยายามขัดขวางสถาบันของเราทุกวิถีทางน่ะเหรอ” บริจิตต์ยิ้มอย่างมีชัย
“ผมแพ้แล้ว ผมกลืนน้ำลายตัวเอง นี่เป็นทีของคุณ บริจิตต์ คุณจะด่า จะเสียดสี หรือจะโขกค่ารักษาเป็นสองเท่าจากผมก็ได้ ผมแค่ให้โอกาสผมได้เสี่ยงดูสักครั้ง”
“ชั้นมีจรรยาบรรณพอ คุณวิลเลียม ราคาท้องตลาดนั่นแหละ หนึ่งพันล้านปอนด์” เธอยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะเรียกให้บุรุษพยาบาลของสถาบันรับศพของ บิล เลย์ตันไปเก็บรักษา
“ช่วยกรอกประวัติผู้ตายหน่อยสิ” บริจิตต์ส่งเอกสารให้แก่วิลเลียม บ๊อบ
เขากรอกเอกสารด้วยลายมือหวัดๆด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะส่งให้แก่บริจิตต์ทันทีโดยไม่ต้องตรวจทานความเรียบร้อย
“โอ๊ะ! มิสเตอร์บิล เลย์ตัน? คนรักของคุณเป็นผู้ชายงั้นหรือเนี่ย” หล่อนเลิกตาขึ้นอย่างประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะส่งเอกสารนั้นให้แก่แผนกเวชระเบียน “แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ชั้นจะต้องใส่ใจหรอก”
.
.
ภายในห้องทำงานของวิลเลียม บ๊อบ ชายหนุ่มนั่งกุมขมับอยู่บนเก้าอี้ผู้บริหารท่ามกลางความเงียบ ก่อนที่เสียงเปิดประตูจะดังขึ้นมาพร้อมกับพ่อบ้านทอมคนสนิทที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าราบเรียบ พร้อมกับเอกสารเล่มหนึ่ง
“ผมไม่เห็นด้วยด้วยประการทั้งปวง คุณผู้ชาย “
“ทำไม เรามีเงินไม่พอหรอ ถ้าเป็นแบบนั้นชั้นคิดว่าชื่อเสียงของวิลเลียมฟาร์มาซีน่าจะพอทำเรื่องกู้ได้อย่างต่ำๆก็พันสองพันล้านปอนด์นะ”
“พอครับ ... แต่ถ้าเรายอมจ่ายเงินก้อนนี้ไป บริษัทของคุณจะขาดสเถียรภาพทางการเงินไปมาก”
“ชั้นไม่สนใจ ทอม ถ้าเงินจะซื้อชีวิตคนที่ชั้นรักได้ ชั้นจะทำ” บ๊อบตวาดลั่นและหันมามองคนสนิทด้วยแววตาเกรี้ยวกราด
“คุณพูดไม่ถูกครับ คุณผู้ชายแค่ซื้อโอกาสที่จะเสี่ยง ที่มีความสำเร็จเหมือนงมหาเข็มที่ตกหายในมหาสมุทร”
“แต่ถ้ามันตกหายในมหาสมุทรจริงๆ ถ้าเราลงมืองมหามันก็มีทางเจอนี่ทอม” บ๊อบยังยืนกราน เขาคว้าเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานมาดูก่อนจะรำพึงเบาๆ “พันสองร้อยล้านปอนด์หรอ ... ก็ยังดี”
“คุณผู้ชายรักเด็กคนนั้นมากถึงขนาดนี้เลยหรอครับ” พ่อบ้านทอมถาม บ๊อบ วิลเลียมที่ไม่ได้ใส่ใจตัวเขาเลย
“เขาเป็นเหมือนหัวใจที่หล่นหายไปของชั้น ที่ชั้นใช้เวลาตามหามาร่วมร้อยกว่าปีกว่าจะพบ ชั้นไม่มีทางปล่อยให้หัวใจของชั้นหลุดมือหายไปอีก ... ก็เหมือนกับที่หัวใจของนายได้พบกับคุณแพรทิเซียนั่นแหละ ทอม... นายน่าจะเข้าใจชั้น”
พ่อบ้านทอมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ก่อนจะเอ่ยปากถามผู้เป็นนายด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น
“วันหนึ่ง... ถ้าผมตายไปจากโลกนี้เหมือนคุณเลย์ตัน คุณผู้ชายจะโหยหา... เหมือนที่รู้สึกกับคุณเลย์ตันบ้างมั้ยครับ “
วิลเลียม บ๊อบมองพ่อบ้านทอมที่ถามเขาด้วยน้ำเสียงและหน้าตาที่ไม่บ่งบอกความรู้สึกข้างใน ก่อนที่บ๊อบจะยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย และตอบคำถามของคนสนิท
“แน่นอน ... เพราะนายก็เป็นคนที่อยู่เคียงข้างชั้นมาตลอด ... นายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของชั้นที่ชั้นพร้อมจะให้นายเดินร่วมทางสายนิรันดรด้วยกัน ... ถ้านายต้องการที่จะเป็นเพื่อนกับชั้นตลอดไป ทอม”
พ่อบ้านทอมหลับตาลงช้าๆ ก่อนจะหันหลังให้กับวิลเลียมบ๊อบ
“ขอบคุณมากครับ แต่ถ้าวันหนึ่งผมตายไป ช่วยกรุณาให้ผมได้พ้นจากวัฏสงสารแห่งความทุกข์และความสุขบนโลกมนุษย์นี้เถอะครับ ... แล้วก็...เรื่องค่าใช้จ่ายของคุณเลย์ตัน ผมจะเป็นคนติดต่อกับทางธนาคารให้เอง”
“ขอบใจมาก ทอม นายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของชั้นจริงๆ”
“ผมเป็นทาสรับใช้ที่แสนดีของคุณครับ คุณผู้ชาย” เขาตอบโดยที่ไม่ได้หันไปยังวิลเลียม บ๊อบ ก่อนจะก้าวออกไปจากห้องนั้น พร้อมกับน้ำตาเพียงหนึ่งหยดที่ไหลออกมาที่หางตา
“ขอโทษที่ผมโกหกคุณนะ บ๊อบ” ทอมพุดกับตัวเอง ก่อนจะควักเอกสารแสดงทรัพย์สินตัวจริงที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อของตน “ฮ่าๆ ผมแอบลดตัวเลขทรัพย์สินของคุณลงตั้งห้าเท่าแน่ะบ๊อบ ... แต่ถึงขนาดนั้นคุณก็ยัง....”
.
.
หนึ่งสัปดาห์ของวิลเลียม บ๊อบที่ทุรนทุรายอยู่บนเปลวไฟแห่งความหวังอันน้อยนิด นับจากวันที่เขาเซนต์สัญญายอมจ่ายเงินและรับความเสี่ยงต่อผลลัพธ์ในการรักษาแบบ “Androdic Resurrection” หรือการคืนชีพด้วยชีวิตนิรันดร์แห่งมนุษย์กล การเตรียมการใช้เวลาทั้งหมดหนึ่งสัปดาห์นับจากวันเซนต์สัญญา
“ผมขออยู่ในห้องนี้ด้วยได้มั้ย คุณหมอบริจิตต์” บ๊อบถามขึ้น ในขณะที่แพทย์หญิงบริจิตต์กำลังจะเดินเข้าไปในห้องโออาร์
“ได้สิคะ คุณเป็นลูกค้านี่” เธอยกยิ้มมุมปาก
“ขอบคุณ”
“คุณผู้ชายครับ” พ่อบ้านทอมเรียกชื่อนายของตน “ผมขอให้คุณเลย์ตันได้รับปาฏิหาริย์จากพระเจ้า... เหมือนที่คุณเคยได้รับนะครับ”
“ขอบใจนายมาก ทอม”
ภายในห้องเต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือที่คุ้นตาชายหนุ่ม แม้เวลาจะผ่านไปนานหลายร้อยปีแต่เขายังจำภาพหลังจากที่เขาเดินทางกลับจากดินแดนมิคสัญญีได้ดี ... ห้องนี้แทบไม่เปลี่ยนไปเลย แม้จะผ่านการบูรณะมาบ้าง
เบื้องหน้าของเขา ร่างไร้วิญญาณของบิลนอนนิ่งอยู่บนเตียงพร้อมกับสายไฟที่ระโยงระยางอยู่บนตัวเหมือนแฟรงเกนสไตน์ ความหดหู่ตรงหน้าทำให้เขาต้องเบือนหน้าหนีไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยายามทำใจให้เข้มแข็งเพื่อรับฟังผลลัพธ์ที่แทบจะหยุดหัวใจของตน
“พัลส์ ทริกเกอร์เป็นอย่างไรบ้าง” แพทย์หญิงบริจิตต์ถามแพทย์คนหนึ่งที่นั่งอยู่หน้าอุปกรณ์อะไรสักอย่างที่มีหน้าตาเหมือนจอคอมพิวเตอร์
“พร้อมครับ”
“ระบบไฟฟ้ากระตุ้นชีพจรล่ะ พร้อมมั้ย”
“พร้อมครับ”
“อวัยวะเทียมล่ะ เตรียมพร้อมแล้วใช่มั้ย”
“ครับ”
“โอเค ... งั้นเรามาปลุกพ่อหนุ่มนี่กันเถอะ” บริจิตต์สวมถุงมือยางและสวมหน้ากากผ้าปิดส่วนล่างของใบหน้าไว้ ก่อนที่เธอจะใช้มีดผ่าตัดของเธอกรีดลงไปบริเวณกลางลำตัว แล้วเริ่มทยอยเปลี่ยนถ่ายอวัยวะเทียมให้แก่เลย์ตันบิลทีละส่วนๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เธอเดินสายไฟฟ้าไปยังส่วนต่างๆอย่างชำนิชำนาญ ก่อนจะใส่หัวใจเทียม ซึ่งเป็นส่วนสุดท้ายเข้าไปในร่างกายของบิล และต่อสายไฟเข้ากับหัวใจเทียมดวงใหม่”
“คุณหมอ ... แล้วสายเส้นนั้นล่ะ ทำไมถึงปล่อยลอยไว้” บ๊อบถามขึ้น หลังจากที่เฝ้ามองดูการผ่าตัดมาตลอด
“อ้อ ... จริงสิ ชั้นเกือบจะลืมไปเลย นี่ถ้าไม่ได้เสียบสายเส้นนี้ล่ะก็ บรรลัยแน่เลยล่ะ” เธอพูดราวกับเป็นเรื่องขบขัน แต่ตลกร้ายของเธอก็แทบจะทำให้บ๊อบคว้าคอเสื้อของแพทย์หญิงไม้เบื่อไม้เมาของเขามาต่อยสักหมัด แต่ในเวลานี้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องข่มความโกรธไว้
บริจิตต์เริ่มลงมือเย็บผิวหนังของบิลให้ปิดสนิท เธอถอดถุงมือยางที่เปื้อนเลือดออก ก่อนจะเดินไปที่เครื่องจักรที่หน้าตาน่าเกรงขามที่ส่งเสียงครางฮึมฮัม แล้วหันมาทางวิลเลียมบ๊อบ
“หลังจากชั้นสับสวิตซ์นี้ คุณก็จะได้รู้แล้ว ว่าเงินพันล้านของคุณจะสูญเปล่าไปฟรีๆหรือเปล่า” หล่อนพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ขอให้คุณสมหวังนะคะ”
บ๊อบพยักหน้ารับคำ ก่อนที่แพทย์หญิงบริจิตต์จะสับสวิตซ์ขนาดใหญ่ในมือ ร่างของบิลกระตุกขึ้นอย่างแรงเหมือนโดนเครื่องปั๊มหัวใจ แต่ก็ยังไร้วี่แววว่าเขาจะตื่นขึ้นมา
“ชั้นจะลองอีกครั้งนะ คุณวิลเลียม” หล่อนพูดขึ้น ก่อนจะสับสวิตซ์อีกครั้ง และผลลัพธ์ยังเหมือนเดิม
“ขอแสดงความเสียใจด้วย คุณวิล...” นายแพทย์บริจิตต์พูดขึ้นพลางหลับตาลงช้าๆ ทว่าบ๊อบก็พูดขึ้นมาเสียก่อน
“ผมขอลองอีกครั้ง ... แต่ครั้งนี้ ก่อนคุณจะสับสวิตซ์ ผมขอให้คุณดูสัญญาณมือของผมก่อน ถ้าผมลดมือลง คุณค่อยปลุกบิลขึ้นมาอีกครั้งนะคุณหมอ”
“ก็ได้” หล่อนรับคำ แล้วบ๊อบจึงยกมือขึ้นเหนือหัวและโน้มตัวลงจูบลงริมฝีปากของเลย์ตันบิล ก่อนที่เขาจะกลั้นใจ และลดมือลงช้าๆ
“คุณวิลเลียม...” บริจิตต์เอ่ยชื่อลูกค้าของเธอด้วยความรู้สึกตื้นตัน ก่อนที่หล่อนจะสับสวิตซ์ปล่อยกระแสไฟฟ้าไปกระตุ้นหัวใจเทียมดวงใหม่ของบิลอีกครั้ง กระแสไฟฟ้าทำให้ร่างของบิลกระตุกอย่างแรงและไหลผ่านมายังร่างกายของบ๊อบ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ผละริมฝีปากออกจากคนรัก
“บิล นายต้องฟื้นสิ นายได้ยินมั้ย นายต้องฟื้น” เขาอธิษฐานในใจ
ก่อนที่เปลือกตาของบิล....
จะขยับเบาๆ
และน้ำใสๆก็ไหลออกจากหางตา.....ของบิล
“ผมกลับมาแล้ว ... ที่รัก” บิลลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ฮ่ะๆ .. ครับ ยินดีต้อนรับสู่เนเวอร์แลนด์ เส้นทางสายนิรันดรของเราสองคนนะบิล สุดที่รักของผม”
.
.
ทางเดินขึ้นยอดเขาสโนว์ดอนเขียวครึ้มไปด้วยไม้ใหญ่น้อยนานาพรรณ บ๊อบและบิลจูงมือกันเดินขึ้นไปยังยอดเขาโดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย เมื่อไต่ระดับความสูงไปเรื่อยๆทั้งสองคนก็ได้เห็นไอหมอกชัดเจนขึ้น ก่อนที่ทั้งคู่จะมาถึง ร็อกกี้ วอลเลย์ หนึ่งในสถานที่แห่งความทรงจำของทั้งคู่
“ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผีเลย ... ได้กลับมาดูที่ๆตัวเองตาย “ บิลพูดพลางลูบโขดหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง “บ๊อบ คุณพอจะจำได้มั้ยว่า ผมกระแทกกับหินก้อนไหนเข้า”
“โธ่ ... บิล เวลานั้น ใครเขาจะมานั่งจำพิกัดกันเล่า”
“ผมก็แค่ถามดูน่า บ๊อบ ไม่ต้องทำหน้าดุขนาดนั้นก็ได้”เขาพ้อ ก่อนจะพูดต่อ “ความจริงก็มีคนทำสำเร็จเยอะอยู่นะ ดูสิ ผมได้รับรหัส AD046 แสดงว่า มีแอนดรอยด์อย่างเราอีกตั้งสี่สิบสี่คนแน่ะ”
“แต่จะมีใครที่ยิ้มได้อย่างเราสองคนล่ะ ชั้นว่า พวกเขาต้องเคยเป็นเหมือนที่ชั้นเคยเป็น อ้างว้าง...และโดดเดี่ยว” บ๊อบพูดขึ้นพลางทอดมองออกไปยังทางรถไฟที่ได้รับการซ่อมแซมเสร็จแล้ว
“ผมยังยืนยันนะ ว่าถ้าแอนดรอยด์อย่างเราร้องไห้ไม่ได้ ก็ไม่เห็นจำเป็นที่เราจะลืมรอยยิ้มและเสียงหัวเราะไปนี่นา...” บิลประสานมือขึ้นเหนือหัวแสร้งว่าตนเหนื่อยล้าจากการเดินทางขึ้นเขามา
“ชั้นโชคดีจริงๆ ที่ได้เจอนาย บิล”
“ผมก็โชคดีเหมือนกัน คุณทำให้ชีวิตหลังความตายของผม...” บิลพูดพร้อมกับคว้ามือของบ๊อบมากุมไว้แน่น “มีคนจับมือไว้แบบนี้”
“ไม่มีวันปล่อยด้วย จนกว่าโลกจะแตก” บ๊อบยิ้มและใช้มืออีกข้างของตนจับมืออีกข้างที่ว่างของบิลไว้
“จับมือ? แค่นี้เองหรอ?”บิลอมยิ้ม หน้าตายียวนของบิลทำให้บ๊อบคว้าคนตรงหน้ามากอด
“ผมต้องการมากกว่า น....” บิลพูดยังไม่ทันจบความ ริมฝีปากบางของบิลก็ถูกประกบด้วยริมฝีปากของคนที่กำลังกอดเขาอยู่
“จูบที่ไร้รสชาติ อยากกลับไปเป็นมนุษย์ธรรมดาจัง” บิลยิ้มและหัวเราะเบาๆ
“ไม่ทันแล้ว ... แต่ว่านะบิล ชั้นว่า มันเป็นจูบที่มีรสชาติที่เยี่ยมยอดเลยล่ะ รสชาติแห่งความรักไงล่ะ”
แอนดรอยด์คนใหม่ล่าสุดยิ้มกว้างพลางแหงนหน้าบนท้องฟ้าก่อนจะจูงมือของแอนดรอยด์รหัส AD003 ให้เดินตามตนมา
“รีบไปกันเถอะ ผมอยากจะเห็นยอดเขาสโนว์ดอนเต็มแก่แล้ว คราวที่แล้วก็มาไม่ถึง” บิลพูดขึ้น ก่อนที่เสียงรถไฟของสถานีสโนว์ดอน เมาว์เทน เรลเวย์จะดังขึ้นมาแต่ไกล ทั้งคู่ยิ้มและหัวเราะให้กันเสียงดัง ก่อนที่บ๊อบจะพูดขึ้น
“เดินเท้าน่าจะปลอดภัยกว่า ช้าหน่อยแต่ก็ถึงที่หมาย นายว่ามั้ยบิล”
“เห็นด้วยอย่างไม่มีข้อโต้แย้งเลยครับ ฮ่าๆๆ”
ทั้งสองคนประสานเสียงหัวเราะกันอีกครั้ง ก่อนจะจูงมือกันเดินทางต่อไปยังยอดของเทือกเขาสโนว์ดอนอันเป็นจุดหมายปลายทางครั้งนี้ ... แต่สำหรับปลายทางของเส้นทางสายนิรันดรของบ๊อบและบิล ... คงจะดำเนินต่อไปอย่างไม่มีวันจบ ... เหมือนปีเตอร์แพน ... ที่มีความสุขไปตลอดกาลอยู่ในเนเวอร์แลนด์
อวสาน"
.
.
.
เล้าล่มไปนานพอสมควรเลยทีเดียว อย่าว่าแต่ผู้อ่านทุกท่านเลยครับ
ตัวผมเองก็กระสันต์อยากลงเหมือนกัน
อย่างที่บอกว่าเรื่องสั้นเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสั้นที่รักมากที่สุด ส่วนหนึ่งเพราะชอบพล๊อตอย่างที่เคยบอก
และเคยเป็นนิยายที่เขียนไม่จบของผมด้วย
เลยอยากเอาลงใจจะขาดเหมือนกันโดยตอนจบนี้เขียนเสร็จในวันที่เล้าล่มพอดี T T
อย่างที่เคยบอก ว่าหลังจากเรื่องนี้ ถ้าจะเขียนเรื่องสั้น
คงจะเริ่มกระทู้ใหม่เพราะอยากนำกระทู้รวมเรื่องสั้นนี้ไปเก็บในห้องนิยายจบแล้วเสียที
หนึ่งเรื่องที่อยากเล่าให้ฟัง คือ ความสะเหร่อเฟอะฟะของผม
ที่เข้าใจมาตลอดว่าฝรั่งเค้าเอาชื่อสกุลนำหน้า แล้วตามด้วยชื่อตน
และก็โดนเพื่อนรักที่ช่วยตรวจทานตอกกลับจนหน้าหงาย ว่ามันใช่ที่ไหนล่ะไอ้โง่
สุดท้าย เลยต้องกลับไปแก้คำพูดและบทบรรยายของสองตอนแรกใหม่ เพื่อให้ตรงกับความคิด
นั่นคือชื่อของตัวละครหลักทั้งสามคนคือ บ๊อบ บิล และทอม
ขออภัยสำหรับความผิดพลาดตรงนี้ด้วยนะครับ
..... ที่อยากจะบอกผู้อ่านอีกอย่างคือ นิยายในเล้าของผมจะถือเป็นจุดเริ่มต้น
สำหรับความฝันสูงสุดของผม
นิยายแต่ละเรื่องของผม ผมพยายามทำอย่างพิถีพิถัน
มีการค้นคว้าข้อมูล เพื่อให้เนื้อเรื่องหรือฉากสมจริงมากที่สุด
ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพื่อฝึกตัวเองสำหรับก้าวต่อไป เลยเลือกจะเขียนในสิ่งที่ใกล้ตัวเองก่อน
ก่อนจะก้าวไปสู่ความท้าทายขั้นต่อไป
อาจจะยังงงๆกันบ้างนะครับ (แต่วันหลังจะเฉลยให้ชัดเจนกว่านี้)
ปล. ใครสนแกวะ ฮ่าๆ
ดังนั้น ผมอยากให้ติชมจากใจจริงได้เต็มที่ ไม่ต้องกลัวนักเขียนอย่างผมท้อนะครับ
สุดท้าย ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามและทุกความเห็นครับ
ปลลล. ตอนจบเรื่องสั้นเรื่องนี้ยาวเวอร์เลยเนอะ