คำสัญญา
...
“ครับแม่ ไผ่ขออยู่ต่ออีกสักวันสองวัน ครับ แล้วไผ่จะรีบกลับ ครับ” หลังจากวางสายจากมารดาที่โทรมาถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง จากกำหนดการเดิมคือถ่ายงานสามวันสองคืน แต่เด็กหนุ่มที่รับเป็นช่างภาพฟรีแลนซ์กลับขออยู่ต่อ เนื่องจากนานแล้วที่ไม่ได้ออกมาถ่ายงานต่างจังหวัด ยิ่งแถวชนบทแบบนี้ยิ่งแล้วใหญ่ ทั้งต้นไม้ ภูเขา นก หรือแม้แต่แสงแดดรำไรในยามเช้า เขาชอบทั้งหมด
งานที่รับครั้งนี้ ได้มาจากรุ่นพี่ที่รู้จักอีกที เพราะว่าที่เจ้าบ่าว เจ้าสาวอยากได้ช่างภาพฝีมือดีถ่ายรูปพรีเวดดิ้งให้ ซึ่งแน่นอนว่าพอร์ตฟอลิโอของไผ่ถูกนำเสนอด้วย จนไผ่ได้รับงานนี้มา และเจ้าสาวอยากได้ภาพบรรยากาศท้องทุ่ง กับบนเขา โลเคชั่นที่มีจึงเป็นนอกเมืองแบบนี้
ไผ่ยกกล้องคู่ใจถ่ายผีเสื้อที่กำลังเกาะดอกไม้สีสวย มุมปากเผยรอยยิ้มยามที่ได้เห็นความงามของธรรมชาติด้วยสายตาตัวเอง แต่จู่ๆ ท้องฟ้าใสก็เริ่มมีเมฆดำลอยมาตามแรงลม แล้วฝนห่าใหญ่ก็เทลงมา ร่างสูงโปร่งรีบคร่อมมอเตอร์ไซค์ที่ยืมจากรีสอร์ท มือขาวสตาร์ทพลางออกตัว
เส้นทางคดเคี้ยว อีกทั้งฝนเม็ดโตทำให้ชายหนุ่มมองแทบไม่เห็นทาง แม้จะใช้ความเร็วต่ำ แต่ด้วยความที่ถนนลื่นทำให้ล้อจักรยานยนต์เสียการควบคุม เป็นเหตุให้ทั้งคนและรถพุ่งลงข้างทาง ในชั่ววินาทีนั้นชายหนุ่มนึกถึงแต่ใบหน้าพ่อและแม่ยามที่ร่างไถลลงข้างทาง ความเร็วหยุดลงเมื่อแผ่นหลังกระแทกเข้ากับต้นไม้ใหญ่ อาการเจ็บแปลบเล่นงานจนหน้าขาวบิดเบี้ยว ดวงตาเรียวทั้งสองข้างมองเห็นภาพอย่างเลือนราง ก่อนจะหมดสติไปในที่สุด
กลิ่นเมนทอลแรงจนต้องขมวดคิ้ว เปลือกตาคนนอนไม่ได้สติเริ่มขยับก่อนจะปรือตาขึ้น ความพล่าเลือนในยามแรกที่เจอแสงไฟสีขาวทำให้ต้องกระพริบตาอยู่นาน กว่าภาพที่เห็นจะกลับมาชัดดังเดิม และสิ่งแรกที่เห็นคือเพดานสีขาว มีหลอดไหลนีออนและพัดลมติดอยู่ พอเลื่อนสายตาไปเรื่อยๆ ก็เห็นเสาเหล็กที่ไว้ห้อยน้ำเกลือข้างเตียง เลยไปอีกหน่อยเป็นโซฟาหนังที่มีสภาพไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
“ตื่นแล้วเหรอ” เสียงร้องทักทำให้คนเพิ่งตื่นหันไปมอง แต่สิ่งที่เห็นกลับกลายเป็นผ้าม่านผืนยาวที่ใช้คั่นระหว่างเตียงแทน ไผ่ย่นคิ้วลงนิดๆ ก่อนเอ่ยตอบแต่กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา คนเพิ่งตื่นรู้สึกแสบคอจนไอแห้ง “หิวน้ำล่ะสิ อยู่ตู้ข้างเตียงนั่นไง” ได้ยินแบบนั้น ไผ่ก็ลองขยับมือซึ่งก็ไม่มีส่วนไหนเจ็บปวด มือขาวยื่นไปหยิบแก้วที่มีน้ำประมาณอึกใหญ่ๆ มาดื่ม “หลับไปนานเลยนะไอ้หนู”
“ผม...” แม้เสียงจะแหบแห้ง แต่ก็เริ่มมีเสียง สมองชายหนุ่มกำลังประมวลเรื่องราวก่อนหน้าเท่าที่จำได้ “รถผมพุ่งลงเขา” เสียงเบาหวิวเมื่อจำภาพเก่าได้ “ผมยังไม่ตายหรือครับ”
“ยังหรอก” เสียงตอบกลับเพิ่มความมั่นใจ “แต่ก็หลับไปนานเหมือนกัน”
“นานประมาณกี่วันหรือครับ” ตอนนี้เขาแทบไม่รู้วันเดือนปีด้วยซ้ำ
“ก็ครึ่งเดือนละมั้ง” คำตอบที่ได้ทำเอาชายหนุ่มแทบลุกพรวดขึ้นนั่ง แต่อาการปวดตึงหลังทำให้ต้องล้มลงไปนอนตามเดิม “หลังกระแทกน่ะ น่าจะยังช้ำ”
“แล้วมีใครมาเยี่ยมผมไหมครับ” ไผ่ถอนหายใจออกมาหนักๆ เพราะถ้าเขานอนไม่ได้สตินานขนาดนั้น พ่อกับแม่ต้องมาหาบ้างสิ
“มีนะ มาช่วงแรกๆ คงจะเป็นพ่อกับแม่ของไอ้หนูนั่นล่ะ”
ไผ่ย่นคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ถ้าพ่อกับแม่มาหาแล้ว ทำไมไม่พาเขากลับไปรักษาในเมือง ทำไมยังปล่อยให้เขานอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลชนบทแบบนี้อีก ไม่ใช่ที่นี่ไม่ดี แต่ถ้าอยู่ในเมือง เครื่องมือก็น่าจะพร้อมกว่า เกิดเขาเป็นหนักอาจถึงขั้นไม่ตื่น ยิ่งคิดแบบนี้แล้วก็ยิ่งไม่เข้าใจ พอดีกับประตูห้องเปิดออก มีพยาบาลร่างท้วมเดินยิ้มเข้า เธอเบิกตากว้างเมื่อเห็นคนไข้ที่นอนไม่ได้สตินานนับเดือนฟื้น พยาบาลสาวรีบเดินเข้ามาหา เครื่องตรวจวัดความดันที่ถือติดมาด้วยถูกพันไว้รอบแขน
“ดีใจที่คุณฟื้น ตอนนี้รู้สึกปวดหัว ปวดตัวหรือเจ็บที่ไหนบ้างหรือเปล่าคะ” ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงบ่งบอกว่าดีใจจริงๆ ไผ่ค่อยๆ ยกยิ้มส่งไปให้
“ปวดหลังนิดหน่อย อย่างอื่นก็...ไม่มีครับ”
นี่ก็น่าแปลก ตอนที่รถลงเขา ไผ่รู้สึกเหมือนว่าตัวเองน่าจะตายแล้วด้วยซ้ำ กลับบ้านไปครั้งนี้ต้องรีบทำบุญครั้งใหญ่เสียหน่อย
“เดี๋ยวผู้ช่วยจะนำข้าวมาให้นะคะ หลับไปนานคงหิวล่ะสิ” พยาบาลขำน้อยๆ เมื่อได้ยินเสียงท้องร้องของคนป่วย พูดจบก็เก็บเครื่องตรวจวัดความดันลงกล่องตามเดิม “ถ้ารู้สึกไม่ดี ปวดหัว ปวดตัว ให้รีบแจ้งได้เลยนะคะ”
“ขอบคุณครับ”
หลังจากพยาบาลออกไปไม่นาน อาหารมื้อแรกก็เข้ามา ไผ่กินอย่างหิวโหย เหมือนร่างกายต้องการพลังงาน กินจนเกือบหมดก็เพิ่งนึกขึ้นได้ ว่ามีถาดอาหารแค่ของเขา แล้วเตียงข้างๆ ล่ะ
“ฉันกินแล้ว” เสียงตอบกลับดั่งได้ยินความคิด ไผ่หันไปมองผ้าม่านที่มีเงาลางๆ ของเพื่อนร่วมห้อง “ตามสบายๆ กินเยอะๆ ล่ะ จะได้มีแรง”
“ครับ”
อาหารในถาดหมดอย่างรวดเร็วจนผู้ช่วยที่นำมาให้ถึงกับขำ พอถาดถูกยกออกไป ไผ่ก็เริ่มอยากขยับตัวคลายความเมื่อยขบ การนอนนานๆ เกือบครึ่งเดือนเช่นนี้ ทำให้แข้งขายึดไปหมด ขยับทีเจ็บแปลบจนต้องนิ่วหน้า ไผ่ใช้เวลาพอสมควรในการห้อยขาลงเตียงเพราะอยากเข้าห้องน้ำ แต่ละย่างก้าวดูติดขัดแต่ก็พอเดินได้ ทำธุระเสร็จก็ออกมา คราวนี้รู้สึกการเคลื่อนไหวดีขึ้น ไผ่กลับมาที่เตียง สายตามองผ้าม่านที่คั่นระหว่างเตียงก็นึกสงสัย ทำไมต้องกั้นตลอดเวลาด้วยนะ หรืออีกฝั่งจะเจ็บหนัก หรือต้องการความเป็นส่วนตัวมากๆ?
ด้วยความสงสัยปนความอยากรู้ ทำให้ขายาวค่อยๆ เดินไปดู แต่กลับพบเพียงเตียงว่างเปล่า หรือเตียงข้างๆ จะออกไปข้างนอก เพราะตอนชายหนุ่มอยู่ในห้องน้ำเมื่อกี้ เหมือนได้ยินเสียงประตูเปิดปิดแว่วๆ ไผ่ยักไหล่แล้วกลับไปนอนที่เตียงตามเดิม นอนคิดอะไรไปเรื่อยๆ จนผล็อยหลับไป ส่วนหนึ่งอาจเพราะฤทธิ์ของยาที่เพิ่งกินเข้าไปทำให้นอนหลับใหลอย่างง่ายดาย
กว่าจะรู้สึกตัวอีกที ก็รุ่งเช้าของวันใหม่ ไผ่กระพริบตาไล่ความงัวเงีย ใบหน้าขาวค่อยๆ หันไปมองด้านข้างที่มีผ้าม่านปิด เงาลางๆ คล้ายกับมีคนนอนอยู่ทำให้ชายหนุ่มโล่งอก พอคิดว่าจะต้องอยู่ห้องนี้คนเดียวใจก็โหวงๆ มันดูน่ากลัวยังไงพิกล ก่อนเสียงประตูจะเปิดออกเรียกความสนใจให้หันไปมอง พยาบาลร่างท้วมเดินเข้ามาพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างเคย
“ตื่นแล้วหรือคะ”
“ครับ เมื่อคืนหลับยาวเลย รู้สึกดีขึ้นมาก”
“ดีค่ะ อีกเดี๋ยวคุณหมอจะมาตรวจนะคะ” ระหว่างที่พูด เครื่องวัดความดันก็ทำงานอย่างดี “ความดันปกติ รอสักครู่นะคะ”
ไผ่นอนรอคุณหมออย่างที่ได้ยิน รอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นมีใครเข้ามา จนพยาบาลคนเดิมเดินหน้ามุ่ยมาที่เตียงของเขา
“พอดีคุณหมอมีตรวจคนไข้อยู่ที่ห้อง ก็เลย..”
“ให้ผมไปตรวจที่ห้องแบบคนอื่นก็ได้ครับ ผมเดินได้ ปกติดีทุกอย่าง” โรงพยาบาลแบบนี้ หมอน่าจะมีน้อย ไผ่เข้าใจดี “เอาแบบนี้แหละครับ”
“งั้นก็...” แม้จะลังเล แต่สุดท้ายพยาบาลก็เดินออกมาต่อสายถามความเห็น ซึ่งคุณหมอก็อนุญาตให้พาคนไข้ไปที่ห้องตรวจแทน ในเมื่อคุณหมอกำลังติดพันการตรวจคนไข้หลายราย
ไผ่ใช้เวลาล้างหน้าแปรงฟันในช่วงที่พยาบาลไปหารถเข็น แม้ตอนแรกชายหนุ่มจะขอเดินไปเอง แต่พยาบาลกลับไม่เห็นด้วย เพราะถึงจะไม่เป็นอะไรแล้ว ก็ควรป้องกันไว้ก่อน เกิดหกล้มขึ้นมากระดูกแตกหักจะลำบาก รถเข็นของไผ่ถูกเข็นผ่านทางเชื่อมตึก ก่อนมาหยุดหน้าห้องตรวจหมายเลขหนึ่ง ซึ่งตอนนี้มีคนไข้รอตรวจหน้าห้องอยู่หนึ่งคน
“รอตรงนี้ก่อนนะคะ” พยาบาลบอกเสียงทุ้ม ก่อนเธอจะเดินไปที่เคาน์เตอร์เอกสารเพื่อเตรียมใบประวัติของคนไข้
ช่วงระหว่างรอตรวจ ไผ่ไล่สายตามองไปอย่างเรื่อยเปื่อย ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่คนนั่งรอตรวจ ซึ่งเธอส่งยิ้มมาให้ ทำให้ไผ่ยิ้มตอบกลับ
“คุณป้าป่วยเป็นอะไรหรือครับ”
“เป็นมะเร็งจ้ะ” คนถูกถามตอบเสียงแหบ “แล้วพ่อหนุ่มล่ะ ป่วยเป็นอะไร”
“รถลงเขาครับ หลับไปเกือบเดือน”
“โชคดีนะที่ฟื้นขึ้นมาได้ คงทำบุญมาเยอะล่ะสิ”
“ก็...”
ยังไม่ทันที่ไผ่จะได้ตอบ พยาบาลก็เดินเข้ามาหา พลางเข็นรถเข็นของไผ่เข้าไปในห้องตรวจ มืออวบวางเอกสารใบประวัติคนไข้ไว้บนโต๊ะ ก่อนจะกำชับให้นั่งรอแล้วเธอเดินออกไปข้างนอกอีกครั้ง ห้องขนาดพอดีมีตู้ล็อกเกอร์อยู่ด้านหลัง และมีเตียงตรวจอยู่ด้านข้าง โดยรวมก็เหมือนกับห้องตรวจคนไข้ตามโรงพยาบาลหรือคลินิกทั่วๆ ไปอย่างที่เขาเคยเห็น แต่แล้วหางตาเหลือบไปเห็นพวงดอกมะลิวางอยู่บนตู้ลิ้นชักเหล็ก คุณหมอเจ้าของห้องคงชอบแน่เลย สำหรับไผ่แล้ว ไม่ค่อยถูกกับกลิ่นสักเท่าไหร่ หอมนะ แต่ดมนานๆ ก็ไม่ค่อยไหวเหมือนกัน สำรวจจนทั่วพอดีกับเสียงประตูด้านหลังเปิด ไผ่เอี้ยวคอไปมอง เห็นผู้ชายรูปร่างสูงโปร่ง สวมชุดกาวน์สีขาว ใบหน้าติดรอยยิ้มดูใจดีจนคนป่วยเผลอยิ้มตาม
“สบายดีแล้วสินะครับ หลับไปตั้งนาน” คำทักทายของหมอทำเอาไผ่ยิ้มแกนๆ ส่งไปให้ “ยังมีอาการปวดหัว หรือปวดร่างกายตรงไหนไหมครับ”
“ไม่เลยครับคุณหมอ” ไผ่ส่ายหน้าพลางตอบ “ตอนรถไถลลงเขา ผมคิดว่าตัวเองตายแน่ๆ ไม่คิดว่าจะรอดมานั่งคุยกับคุณหมอแบบนี้”
“นี่ถ้าผมไม่ใช่หมอ คงต้องถามว่าคุณห้อยพระอะไรถึงรอดมาได้” คุณหมอพูดจบก็ขำออกมา “ดูจากรายงานแล้ว ทุกอย่างปกติดี จะมีก็แค่รอยช้ำที่หลัง กับขาที่ยังเดินได้ไม่เต็มที่”
“ครับ หลังไม่ได้ปวดมากแล้ว ส่วนขา ผมก็พยายามเดินตามที่พยาบาลบอก” ไผ่ว่า
“งั้นผมขอดูหน่อยนะครับ” คุณหมอลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ขายาวก้าวเข้ามาหาคนไข้พลางเข็นรถเข็นไปที่เตียง “นอนคว่ำนะครับ” รีบบอกเพราะคนไข้ขึ้นไปนอนหงายอย่างเรียบร้อย ไผ่ขำออกมาก่อนรีบพลิกตัวนอนคว่ำ มือเย็นของคุณหมอเลิกเสื้อด้านหลังขึ้น ความเย็นที่แตะแผ่นหลังทำเอาไผ่สะดุ้ง “อืม อีกไม่นานก็น่าจะเป็นปกติ ส่วนขานี่ก็” คราวนี้ไผ่ถูกพยุงให้ลุกขึ้นนั่งโดยห้อยขาลงจากเตียง “เดินบ่อยๆ ก็น่าจะมีแรง”
“ต้องทำกายภาพไหมครับ”
“ไม่ต้องครับ สภาพกล้ามเนื้อขาไม่ได้ลีบ”
“น่าแปลก”
“อะไรแปลกหรือครับ”
ไผ่รีบส่ายหน้าไม่กล้าบอก สิ่งที่เขาคิดว่าแปลกคือการที่นอนนานๆ แบบนั้นแต่กล้ามเนื้อทุกส่วนยังปกติดีทุกอย่าง “แล้วแบบนี้ผมจะกลับบ้านได้เมื่อไหร่หรือครับ” ในเมื่ออาการไม่หนักแล้ว เขาก็อยากกลับบ้าน จะว่าไปตั้งแต่ฟื้นมายังไม่ได้โทรหาพ่อหรือแม่เลยด้วยซ้ำ โทรศัพท์ของเขาก็คงหายไปในวันที่เกิดอุบัติเหตุ
“รอดูอาการอีกสักสองถึงสามวันน่าจะออกได้ครับ ดูแล้วร่างกายคุณแข็งแรงดี” คุณหมอตอบพลางเข็นไผ่กลับมาข้างโต๊ะเช่นเดิม “ทานข้าวได้แล้วใช่ไหมครับ”
“ครับ แต่ผมไม่ค่อยชอบ”
“อ่าว ทำไมล่ะครับ หรือมันไม่อร่อย”
“ก็อร่อย แต่มันจืดไป ผมชอบรสจัดๆ อย่างข้าวต้มที่กินไป อยากขอพริกกับพยาบาลมากเลย” พูดจบ ห้องทั้งห้องก็มีเสียงหัวเราะสองเสียงประสานกัน “ถ้าเกิดผมเบื่อ สามารถออกไปเดินในสวนด้านล่างได้ใช่ไหมครับ นอนนานแบบนี้ เส้นยึดไปหมด” ว่าแล้วไผ่ก็ทุบขาตัวเองไปมา
“ได้ครับ แต่ต้องระวังให้มาก เกิดหกล้มไปจะแย่เอา”
“ผมแค่เดิน ไม่ได้วิ่งสักหน่อย คุณหมอก็”
หลังจากสอบถามเสร็จ คุณหมอรูปหล่อก็ขอตัวออกไปด้านนอก ปล่อยให้ไผ่นั่งขำตัวเองที่คุยเรื่อยเปื่อยกับหมอ แทนที่จะถามไถ่อาการตัวเองให้มากกว่านี้ ก่อนเสียงเปิดประตูจะดังขึ้น ชายหนุ่มรีบหันไปยิ้มเพราะคิดว่าเป็นพยาบาล แต่กลับเป็นชายร่างท้วม สวมเสื้อกาวน์สีขาวเดินหน้านิ่งเข้ามา
“ขอโทษที พอดีผมคุยกับคนไข้อีกห้องนานไปหน่อย” คำบอกของคนที่นั่งเก้าอี้ตรงหน้า ทำเอาไผ่ย่นคิ้วมองด้วยความสงสัย “ผมขอตรวจหน่อยนะครับ”
“อ่าว เมื่อกี้หมอก็ตรวจไปแล้วนี่ครับ”
“ผมเพิ่งมา จะไปตรวจคุณได้ยังไง”
“ผมหมายถึง เมื่อกี้มีคุณหมอตัวสูงๆ มาตรวจแล้ว บอกผมไม่เป็นอะไร อีกสองสามวันก็กลับบ้านได้”
“คุณหมอตัวสูงๆ หรือครับ?”
“ครับ เพิ่งออกไปก่อนหน้าคุณหมอเมื่อกี้”
ไผ่ทำหน้างง พอๆ กับคุณหมอตรงหน้าที่ขมวดคิ้วจนเป็นปม ถ้ามีคนออกห้องไป เขาก็ต้องเห็นสิ ก่อนเข้ามาเมื่อกี้เขาก็ยืนคุยกับพยาบาลอยู่ด้านหน้าห้อง ไม่เห็นมีใครเข้าออก
“ถึงแบบนั้น ผมก็ขอตรวจอีกทีนะครับ เพราะผมเป็นหมอเจ้าประจำตัวคนไข้”
“อ่าครับ”
แล้วการตรวจร่างกายก็เกิดขึ้นอีกรอบ ซึ่งก็ไม่ต่างจากเดิมคือการถามไถ่อาการ รวมไปถึงนอนบนเตียงเพื่อตรวจดูแผ่นหลังที่มีรอยช้ำขนาดใหญ่
“กดแบบนี้เจ็บไหมครับ” ไผ่ส่ายหน้าเมื่อถูกนิ้วกดลงบนแผ่นหลัง “ตรงนี้ล่ะครับ”
“ไม่เจ็บครับ”
“อาการโดยรวมถือว่าดีมาก ปกติรอยช้ำแบบนี้น่าจะยังปวดอยู่”
“งั้นผมกลับบ้านได้แล้วใช่ไหมครับ” ไผ่ถามขณะลงมานั่งประจำรถเข็นของตัวเอง พอคุณหมอพยักหน้า ชายหนุ่มก็ยิ้มออกทันที “โล่งอก ผมคิดว่าต้องทนอยู่เป็นเดือนเสียอีก”
“ก็น่าแปลกนะครับ เคสแบบคุณน่าจะอาการหนัก แต่นี่กลับไม่เป็นอะไรเลย”
“แล้วทำไมผมถึงนอนไม่ตื่นเกือบเดือนล่ะครับ”
“หมอก็ไม่ทราบสาเหตุเหมือนกัน เช็คทุกอย่างๆ ระเอียดแล้วก็ปกติดี ทั้งความดัน คลื่นหัวใจ คลื่นสมอง ในตอนแรกพ่อกับแม่ของคุณก็อยากพากลับ แต่อยู่ๆ ก็เกิดเปลี่ยนใจให้นอนรักษาที่นี่ต่อ”
“พ่อกับแม่ของผมเปลี่ยนใจหรือครับ” ไผ่ย่นคิ้วลงนิดๆ เหมือนใช้ความคิด อะไรกันนะ ที่ทำให้พ่อกับแม่เปลี่ยนใจแล้วปล่อยให้เขาต้องนอนรักษาอาการอยู่ที่นี่ ทั้งที่โรงพยาบาลในเมืองน่าจะมีเครื่องมือพร้อมมากกว่า คุณหมอตรงหน้าส่งยิ้มบางๆ มาให้ ไผ่ก็คลี่ยิ้มส่งกลับ แม้ภายในสมองกำลังคิดหาเหตุผลอยู่ก็ตาม
“เดี๋ยวคุณออกไปรอด้านนอกสักครู่นะครับ” คุณหมอพูดจบ พยาบาลก็เดินเข้ามาพลางเข็นรถเข็นออกมาหยุดอยู่ด้านหน้าห้องตามเดิม
“เป็นไงบ้างพ่อหนุ่ม” คำถามดังมาจากคุณป้าคนเดิมที่ยังนั่งอยู่เก้าอี้หน้าประตู
“อาการปกติแล้วครับ คุณหมอบอกให้กลับบ้านได้” ไผ่บอกพลางส่งยิ้ม “คุณป้าไม่เข้าไปหรือครับ คุณหมออยู่ในห้องนะ หรือยังไม่ถึงคิวตรวจ?” ไผ่มองซ้ายมองขวาไม่เห็นคนไข้คนอื่นนั่งรอตรวจสักคน “คุณป้า อ่าว” หันมาอีกที คนที่นั่งคุยกับไผ่ก็หายไปซะแล้ว พร้อมๆ กับพยาบาลเดินตรงเข้ามาหาไผ่พอดี
“มองหาใครหรือคะ”
“คุณป้า...ผมหมายถึงคนไข้ที่นั่งรอตรวจหน้าห้องเมื่อกี้ครับ”
“ไม่มีนะคะ มีคุณนั่งอยู่คนเดียว”
“ครับ?”
“กลับห้องกันค่ะ”
ไผ่ยกมือเกาท้ายทอยตัวเองแบบงงๆ จะไม่มีคนอื่นได้ยังไง ในเมื่อเขาเพิ่งคุยกับคุณป้าสวมชุดคนไข้เมื่อกี้ หรือพยาบาลอาจไม่ทันสังเกต หรือไม่ก็คุณป้าแกอาจเดินไปก่อนที่พยาบาลจะเข้ามา ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน
หลังจากไผ่กลับมาถึงห้องพัก ความว้าวุ่นทำให้ชายหนุ่มอยากออกไปเดินเล่น เผื่อสมองจะปลอดโปร่ง อีกอย่าง เขาไม่อยากรบกวนเตียงข้างๆ ที่กำลังนอนพักผ่อน ไผ่เดินเอื่อยๆ ออกมาจากห้อง ผ่านเคาน์เตอร์พยาบาลจนมาถึงทางเชื่อมระหว่างตึก ความเขียวขจีของต้นไม้ทำให้ไผ่เลือกที่จะเดินผ่านทางเชื่อม ชายหนุ่มยืนเหม่อ มองความงามของธรรมชาติหน้าโรงพยาบาล ที่ตรงนี้สามารถมองเห็นทางเข้าที่มีต้นไม้โล้เข้าหากันเหมือนอุโมงค์ อีกทั้งรอบๆ ยังมีต้นไม้สูงใหญ่ดูร่มรื่น หากเป็นในเมืองหลวงคงจะมีแต่ตึกลามบ้านช่องแล้วก็รถราที่วิ่งให้ขวักไขว่อย่างน่ารำคาญ
“เฮ้อ” ชายหนุ่มถอนหายใจออกมา แล้วต้องสะดุ้ง เมื่อบ่าถูกความเย็นวางทาบ หันไปมองก็เจอคุณหมอคนแรกที่ตรวจให้กำลังส่งยิ้มมา “คุณหมอนั่นเอง ผมตกใจหมด”
“ใจคงลอยกลับบ้านแล้วสินะครับ” เสียงนุ่มพูดปนขำ “เห็นคุณแข็งแรงแล้วแบบนี้ค่อยหายห่วง” ไผ่หันไปมองคุณหมอที่ยืนอยู่ด้านข้าง ใบหน้าดูคุ้นตาแต่ก็นึกไม่ออก “มองหน้าผม มีอะไรจะถามหรือเปล่าครับ” ขนาดไม่หันมามอง แต่คุณหมอกลับรู้ดั่งมีดวงตาอยู่รอบศีรษะ
“ผมแค่กำลังคิด ว่าเราเคยเจอกันที่ไหนหรือเปล่า” ไผ่ตอบไปตามความจริง คุณหมอถึงกับหัวเราะ “คุณหมอเคยไปประจำที่ในเมืองใหญ่หรือเปล่าครับ”
“ไม่ครับ” คุณหมอตอบเสร็จ ดวงตาที่เหม่อมองตรงหน้าดูล่องลอย “ผมชอบที่นี่”
“ที่นี่ก็...น่าอยู่ดีนะครับ”
“ถ้าในฐานะหมอก็คงใช่ แต่ถ้าเกิดเป็นคนป่วย คงไม่อยากอยู่นาน”
“ก็จริง”
ทั้งคู่หลุดหัวเราะออกมาพร้อมกัน ก่อนเสียงล้อเหล็กเสียดกับพื้นปูนดังขึ้น จนไผ่สะดุ้งตกใจรีบหันไปมอง ดวงตาเรียวทันเห็นผู้ช่วยเข็นเตียงนอนผู้ป่วยผ่านไปอย่างเร่งรีบ อาจมีผู้ป่วยฉุกเฉินสักรายที่รออยู่ และเมื่อทุกอย่างเงียบสงบ ไผ่ก็หันมาหาคุณหมอเพื่อจะคุยต่อ แต่ที่ข้างๆ กลับว่างเปล่า สงสัยคุณหมออาจจะรีบไปช่วยคนไข้ แต่ก่อนไปก็น่าจะบอกกล่าวกันบ้าง
เมื่อรู้สึกดีขึ้น ชายหนุ่มก็เดินผ่านทางเชื่อมไปอีกตึก เขาอยากสำรวจที่นี่ก่อนกลับ แม้บรรยากาศจะดูวังเวงไปสักหน่อยเพราะคนไม่ค่อยมี ขายาวก้าวลงบันไดไปเรื่อยๆ จากชั้นสองสู่ชั้นหนึ่ง ช่วงสุดท้ายของบันไดชั้นหนึ่ง ไผ่มองด้านหลังผู้ชายสวมชุดคนไข้นั่งหันหลังอยู่ตรงบันไดขั้นแรก ชายหนุ่มไม่ได้คิดจะสนใจจนช่วงที่เดินผ่าน อยู่ๆ คนที่นั่งกลับสะบัดหน้าหันมาหาจนไผ่สะดุ้งเกือบสะดุดขาตัวเองตกบันได ดวงตาที่กำลังจ้องมาคล้ายกับโมโห ลูกตาเปลี่ยนจากสีขาวเป็นแดงกล่ำและมันค่อยๆ ถลนออกมาจากเบ้า เส้นเลือดในนัยน์ตาพองใหญ่คล้ายกับจะแตก ไผ่เบิกตากว้างก่อนจะวิ่งหนีไปให้เร็วที่สุด
ที่เจอเมื่อกี้ มันคืออะไร!
v
v
v
(มีต่อด้านล่างค่ะ)