ReLove3 : Reinterpreted Love - รัก...ความหมายใหม่ (ตอนที่ 10 - 21 พ.ค. 67)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ReLove3 : Reinterpreted Love - รัก...ความหมายใหม่ (ตอนที่ 10 - 21 พ.ค. 67)  (อ่าน 2409 ครั้ง)

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 98
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
รถยนต์สีดำเลี้ยวเข้ามาเทียบจอดริมถนนตรงหน้าที่วีร์กำลังนั่งอยู่ ฟิล์มกรองแสงไม่ได้สีเข้มมากจึงทำให้มองเห็นคนข้างในว่าเป็นใคร ถึงรูปทรงรถยนต์จะเป็นรุ่นเก่าแต่ความมันเงานั้นไม่แพ้รถยนต์ที่เพิ่งจะขับออกมาจากโชว์รูมใหม่ๆเลย

วีร์ลุกขึ้นยืนแล้วรีบเดินไปขึ้นรถยนต์ ถึงแม้ว่าจะไม่มีคนรู้จักที่ป้ายรถประจำทางอยู่เลย แต่ก็ไม่อยากเสี่ยงโดยไม่จำเป็น เมื่อเข้าไปนั่งในรถยนต์แล้ววีร์ก็คาดเข็มขัดนิรภัย แล้วเขาก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นภายในรถยนต์ที่ดูจะเปลี่ยนไปจากครั้งก่อนที่เขาเคยนั่ง กลิ่นหอมอ่อนๆที่เขานึกไม่ออกว่าเป็นกลิ่นของอะไร

“เราจะไปกันที่ไหนเหรอครับ” วีร์ถามเมื่อชายหนุ่มร่างสูงบังคับรถยนต์ออกไปตามทางถนน

“มันเป็นโกดังเก่า ไม่ได้ใช้งานนานแล้ว มันมีลานกว้างอยู่พอให้ฝึกขับรถได้” วีส์อ้าปากหาวคำใหญ่แล้วก็หันหน้าไปมองเด็กหนุ่มที่กำลังมองดูเขาแบบแปลกๆ “ไม่ต้องห่วง มันเป็นโกดังเก่าของเครือล้ำเลิศ ดีกว่าไปฝึกขับตามท้องถนน แล้วมันก็มีแรมบ์ไว้ฝึกขับรถขึ้นเนินได้”

วีร์พยักหน้ารับแล้วก็นั่งมองดูรอบๆทางที่รถยนต์วิ่งจากหน้าหมู่บ้านของเขาผ่านตัวเมืองออกไปอีกด้านหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พ้นออกไปไกลมากนัก คนขับก็เลี้ยวลอดผ่านซุ้มประตูโค้งเข้าไปด้านในกลุ่มอาคารโรงงานขนาดใหญ่ที่สร้างติดๆกันจำนวนมาก และตลอดทางมาวีร์ก็ไม่ลืมสังเกตวิธีการขับรถยนต์ของชายหนุ่มร่างสูงไปด้วย รวมถึงที่ชายหนุ่มร่างสูงอ้าปากหาวอยู่เป็นระยะ

รถยนต์เข้ามาจอดตรงหัวมุมด้านหนึ่งของลานปูนซีเมนต์ที่มีอาคารโกดังล้อมรอบ แล้วคนขับก็ลุกออกไปจากรถยนต์โดยที่ยังติดเครื่องยนต์ไว้อยู่ เขาเดินอ้อมมาที่อีกฝั่งแล้วก็เปิดประตูออก

“มึงไปนั่งโน้น” วีส์บอกให้เด็กหนุ่มย้ายไปนั่งที่คนขับรถยนต์

“เอาเลยเหรอครับ” วีร์ลุกออกมายืนนอกรถยนต์อย่างงงๆ

“เอาเลยสิ จะฝึกขับรถแต่ไม่ลองขับเองแล้วจะขับเป็นได้ยังไง”

วีร์นึกไปว่าชายหนุ่มร่างสูงอาจจะมีการอธิบายเกริ่นนำอะไรก่อน ไม่คิดว่าจะให้ลงมือปฏิบัติเลยในทันที แต่วีร์ก็เดินอ้อมไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งคนขับแต่โดยดี

“ไม่ต้องดับเครื่องก่อนเหรอครับ” วีร์คาดเข็มขัดนิรภัยแล้วก็ตั้งท่าจับพวงมาลัยเตรียมพร้อมแบบฝึกฝนอักแรก

“ไม่ต้อง เดี๋ยวมึงก็จะได้สตาร์ทใหม่แน่ๆ” วีส์บอกปัดแล้วก็หันตัวไปทางฝั่งคนขับ “เอาละ การขับรถเกียร์กระปุกมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกันมากกับรถเกียร์ออโต้ ก็แค่มึงต้องควบคุมคลัทช์เองเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างนึงเท่านั้น เท้าขวาไว้เหยียบคันเร่งกับเบรก ส่วนเท้าซ้ายก็ไว้เหยียบคลัทช์ เข้าใจใช่มั้ย”

วีร์พยักหน้าและก้มหน้าลงมองพื้นรถยนต์ เขาวางตำแหน่งเท้าทั้งสองข้างไปที่แป้นเหยียบทั้งสาม ลองขยับแตะเบาๆ

“คลัทช์จะเหยียบเมื่อเปลี่ยนเกียร์เท่านั้น ถ้าไม่ได้จะเปลี่ยนเกียร์ก็ไม่ต้องไปเหยียบมัน”

วีร์ได้ยินแล้วก็ยกเท้าซ้ายของเขาออกจากคันบังคับแล้ววางลงที่พื้นรถ

“ทีนี้สำหรับคนที่ไม่เคยขับเกียร์กระปุกมาก่อน ก็จะไม่ชินกับจังหวะการถอดคลัทต์กับเหยียบคันเร่ง โดยเฉพาะเวลาต้องออกรถบนทางลาดขึ้น นอกนั้นมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับรถเกียร์ออโต้”

“มันต้องถอดคลัทช์ออกหมดก่อนแล้วค่อยเหยียบคนเร่ง หรือว่าทำไปพร้อมกันๆครับ” วีร์ถามด้วยความสงสัย

“ก็ทำไปพร้อมกัน แต่จังหวะถอดจังหวะเหยียบจะรู้ได้ก็ต้องลองทำจริงดูก่อนถึงจะเข้าใจ” วีส์เอียงคอมองเด็กหนุ่มว่ายังมีข้อสงสัยอะไรอีกหรือไม่ “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้นก็ลองเข้าเกียร์หนึ่งแล้วออกรถดู”

วีร์ก้มศีรษะลงมองดูเท้าของเขาอีกครั้งว่าวางตำแหน่งถูกต้องแล้วหรือไม่ มือขวาจับพวงมาลัย มือซ้ายจับคันบังคับเกียร์ เท้าซ้ายเหยียบคลัทช์ลงไป เท้าขวาวางลงบนแป้นคันเร่ง แล้ววีร์ก็ขยับคันบังคับเกียร์ไปที่เกียร์หนึ่ง สายตามองขึ้นไปข้างหน้าพร้อมกับถอดคลัทช์ออก เสียงเครื่องยนต์กระตุกดังในขณะที่ตัวรถยนต์เคลื่อนออกไปได้เพียงเล็กน้อย แล้วเครื่องยนต์ก็ดับลง

“เดี๋ยวลองใหม่” วีส์บอกด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่ได้มีท่าทีจะซ้ำเติมว่าเขาพูดไว้ไม่ผิดคำว่าเดี๋ยวเด็กหนุ่มจะต้องติดเครื่องยนต์ใหม่แน่ๆ

วีร์กำลังจะบิดกุญแจเพื่อติดเครื่องยนต์ แต่ก็โดนร้องห้ามเสียก่อน

“เดี๋ยวสิ ยังใส่เกียร์หนึ่งอยู่เลย เดี๋ยวรถก็พุ่งไปข้างหน้าหรอก”

ข้อนี้วีร์ยอมรับผิดแต่โดยดี เพราะกำลังรู้สึกตื่นเต้นกับการได้ลองขับรถยนต์ระบบเกียร์ธรรมดาจึงมองข้ามจุดสำคัญไป ซึ่งไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ระบบเกียร์แบบไหน ก่อนจะจุดติดเครื่องยนต์ต้องตรวจดูให้แน่ใจว่าตำแหน่งเกียร์อยู่ที่เกียร์ว่างเสมอ

“เดี๋ยว” เสียงร้องห้ามจากชายหนุ่มร่างสูงอีกครั้ง พร้อมกับยื่นมือไปกุมทับมือของคนฝึกขับรถ “จะเปลี่ยนเกียร์ก็เหยียบคลัทช์ก่อน”

วีร์ใช้เท้าซ้ายเหยียบแป้นลงไปมิดแล้วก็ขยับคันบังคับเกียร์ให้ลงมาอยู่ตรงกลางแล้วขยับซ้ายขวาให้แน่ใจอีกครั้ง

“ลองสตาร์ทดูใหม่” วีส์พูดให้เด็กหนุ่มรุ่นน้องลองฝึกอีกครั้ง

วีร์กำลังจะเริ่มฝึกตามขั้นตอนอีกรอบแต่ติดตรงที่มือข้างซ้ายของเขายังถูกกุมทับไว้อยู่ วีร์จึงหันไปมองคนข้างๆแล้วก็ย้ายสายตาลงไปที่คันบังคับเกียร์ แล้วก็เงยหน้ากลับไปหาชายหนุ่มอีกครั้ง และเหมือนว่าเขาเพิ่งจะรู้ตัวจึงได้ถอนมือของเขาออกไป แล้ววีร์ก็เริ่มกระบวนการต่อไป

ครั้งนี้เครื่องยนต์ยังกระตุกอยู่บ้าง ตัวรถเคลื่อนออกไปได้ไกลว่าเดิมเล็กน้อย แต่ว่าท้ายที่สุดเครื่องยนต์ก็ดับลงอีกครั้ง ฝ่ายครูฝึกก็บอกให้ลูกศิษย์ลงพยายามใหม่จนกว่าจะหาจังหวะเท้าทั้งสองข้างได้พอดี


*****


รถยนต์คันสีดำเคลื่อนตัวออกไปไม่เร็วมากนักไปตามความยาวของลานปูนซีเมนต์ เมื่อไปจนเกือบสุดทางก็เลี้ยวกลับรถแล้วก็ขับกลับมาจนสุดอีกทางหนึ่ง หมุนวนไปเรื่อยๆ ผู้ฝึกขับกำลังปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ชินกับการต้องบังคับรถยนต์ด้วยเท้าทั้งสองข้าง เวลาที่ต้องเปลี่ยนเกียร์ให้เหมาะสมเมื่อรถยนต์เปลี่ยนแปลงความเร็ว

หรือบางครั้งก็ถูกสั่งให้จอดรถยนต์แบบกระทันหันตรงตำแหน่งเป้าหมายที่สุ่มบอกโดยที่เครื่องยนต์ไม่ได้ดับลงไปเอง หรือไม่ก็บอกให้เข้าเกียร์ถอยหลัง ไม่ว่าจะเป็นการถอยรถยนต์ไปแบบตรงๆหรือถอยหลังเข้าซอง

วีร์เริ่มคุ้นเคยกับระบบเกียร์ธรรมดามากขึ้นหลังจากที่ขับรถยนต์วนไปมาอยู่หลายรอบแล้ว แต่เพราะพื้นที่ลานปูซีเมนต์ไม่ได้กว้างยาวมากขนาดสุดลูกหูลูกตา ถึงจะมีระยะทางยาวพอสมควรแต่ก็ไม่ได้มากพอจะให้ทำความเร็วได้มากไปกว่านี้ ดังนั้นวีร์จึงขับที่อยู่เกียร์สองเป็นอย่างมากที่สุด

เมื่อได้ลองทำซ้ำไปซ้ำมาอยู่ครั้งก็เริ่มจะชำนาญมากขึ้น วีร์จึงจะหันไปถามว่าเขาควรจะทำอะไรต่อไปอีก แต่กลับพบว่าชายหนุ่มร่างสูงกำลังนั่งหลับตาก้มหน้าอยู่ ถึงไม่ต้องพิสูจน์ก็บอกได้แน่ชัดว่ากำลังหลับอยู่

วีร์จึงชะลอรถยนต์ลงจนหยุดสนิท แล้วเปลี่ยนเป็นเกียร์ว่างและดึงเบรกมือขึ้น

“คุณ” วีร์เรียกพร้อมกับเขย่าแขนไปด้วย และเรียกซ้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่าไม่ได้ผลในครั้งแรก

“หือ” วีส์สะดุ้งลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วมองดูรอบๆ

“เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอครับ ถึงได้ง่วงขนาดนี้” วีร์ถาม

“อืม มีงานต้องรีบทำให้เสร็จ ก็เลยนอนดึกไปหน่อย” วีส์ลูบหน้าลูบตาเพื่อให้รู้สึกตื่นตัวขึ้น

“งั้น วันนี้เอาแค่นี้ก่อนก็ได้มั้งครับ ค่อยมาลองอีกทีวันหลังก็ได้” วีร์รู้สึกเกรงใจขึ้นมาที่ชายหนุ่มฝืนร่างกายมาสอบขับรถให้ อันที่จริงหากอีกฝ่ายโทรศัพท์มาขอเลื่อนนัดออกไปก่อน เขาก็เข้าใจและไม่ได้ติดขัดอะไร

“จะเอางั้นเหรอ นี่ก็...” วีส์ดูเวลาจากแผงควบคุมหน้ารถยนต์ “...ยังไม่ทันจะเที่ยงเลย” แต่เขาก็ยังอดอ้าปากหาววอดๆไม่ได้

“ไม่เป็นไรครับ เอาไว้มาลองฝึกต่อรอบหน้าก็ได้ คุณจะได้กลับไปพักผ่อนด้วย” วีร์ยังคงยืนยันความคิดของเขา โดยเฉพาะอาการเพลียของอีกฝ่ายที่เป็นปัจจัยสำคัญ

“งั้นก็... กลับกันเลยก็ได้” วีส์เห็นตามในที่สุด ถึงแม้เขาจะคิดว่าเขาก็ยังทนต่อความง่วงของเขาต่อไปได้อีกระยะหนึ่งก็ตาม

วีร์มองดูชายหนุ่มรุ่นพี่นั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้ขยับตัวลุกออกจากที่นั่งข้างคนขับ ในขณะที่เขากำลังจะเปิดประตูออกไปแล้ว ทำให้เขาชะงักไปเสียก่อน

“ไม่เปลี่ยนมาขับเหรอครับ” วีร์ถามอีกฝ่ายที่ยังนั่งแบบสบายใจ

“เปลี่ยนทำไม มึงขับกลับเลย ถือว่าฝึกไปในตัว” วีส์ตอบเหมือนว่าทุกอย่างเป็นเรื่องปกติ ส่วนคนที่เพิ่งจะฝึกขับรถระบบเกียร์ธรรมดาครั้งแรกในชีวิตกำลังประมวลความคิดอยู่ในสมอง “ขับไปช้าๆ ไม่ต้องรีบ ส่วนคนอื่นเดี๋ยวเขาก็เขาขับแซงไปเอง”

วีร์รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาที่จะต้องขับรถคันนี้ออกถนนจริง ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาขับรถยนต์ออกไปข้างนอก แต่เป็นเพราะว่ามันไม่ใช่รถของเขาเอง เกรงว่าจะเกิดอุบัติเหตุสร้างความเสียหายให้กับรถ และเขาเพิ่งจะได้ลองสัมผัสการขับรถยนต์ระบบเกียร์ธรรมดามาไม่ถึงครึ่งวันจากตลอดชั่วชีวิตที่ผ่านมา ความกังวลจึงมีอยู่ไม่น้อย

“ออกรถเลยไม่ต้องกลัว ถ้าเครื่องดับก็แค่สตาร์ทใหม่ ไม่เห็นจะยากอะไร” วีส์พูดให้ความมั่นใจแก่เด็กหนุ่ม

วีร์จับพวงมาลัยไว้แน่น ตามองไปข้างหน้าที่ประตูทางออกจากบริเวณโกดังเก็บของเก่าเหล่านี้ เขาสูดหายใจลึก แล้วก็เหยียบคลัทช์และขยับเข้าเกียร์หนึ่ง รถยนต์คันสีดำมันวาวก็เริ่มขยับตัวโดยที่ไม่มีอาการกระตุกเลย

เมื่อเลี้ยวรถยนต์เข้าสู่ถนนใหญ่ วีร์ก็ค่อยๆประคองรถอยู่เลนกลาง เพราะเลนขวาสุดนั้นปล่อยให้รถที่ต้องการทำความเร็วแซงไปได้ ส่วนเลนทางซ้ายก็มีรถยนต์จอดอยู่เป็นระยะ เขามองดูรอบคันอย่างระมัดระวัง

หลังจากที่ขับรถยนต์ไปได้ระยะหนึ่งแล้ว ก็เริ่มคุ้นชินกับจังหวะของรถยนต์ จะหยุดรถ จะออกตัว จะชะลอความเร็ว หรือแม้กระทั่งจะเพิ่มความเร็วจนขยับไปที่เกียร์สามก็ตาม วีร์เริ่มมั่นใจในการขับรถมากขึ้น จะบอกว่าอุ่นใจที่มีคนนั่งอยู่ข้างๆด้วยก็ไม่ผิดนัก ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่แล้วจะนั่งพิงศีรษะหลับตาอยู่ก็ตาม จะมีส่งเสียงบอกให้เปลี่ยนเกียร์บ้างเป็นครั้งคราว


*****


จนวีร์เลี้ยวรถเข้าไปในถนนหมู่บ้านของเขา จากเดิมที่คิดว่าจะลงแค่หน้าหมู่บ้านเท่านั้นแล้วค่อยเดินเข้ามาเอง แค่เมื่อคิดทบทวนแล้วก็ไม่เห็นถึงความต่างอะไร คงจะไม่มีใครในหมู่บ้านมาสนใจว่าเขาจะมากับใครเหมือนอย่างคนในโลกสื่อสังคมออนไลน์ ดังนั้นวีร์จึงขับรถมาจอดที่หน้าประตูรั้วบ้านของเขาเอง

ต้าวและเติบต่างก็มาเกาะกำแพงรั้วสอดส่องและส่งเสียงใส่รถยนต์แปลกหน้าแปลกตาที่มาจอดขวางทางด้านหน้าอาณาเขตของพวกมัน วีร์ต้องลดกระจกหน้าต่างรถลงแล้วออกคำสั่งให้พวกมันเงียบและนั่งรอ ส่วนเจ้าของรถยนต์นั้นกำลังนั่งก้มหน้าหลับตาอยู่ ไม่ได้รับรู้กับเสียงเห่าของสุนัขทั้งสองตัวเลย ดูท่าทางจะอ่อนเพลียมากกว่าที่วีร์คิดไว้ เขาจึงคิดว่าการตัดสินใจยุติการฝึกในวันนี้ไว้ก่อนน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีแล้ว

“คุณ ถึงบ้านผมแล้ว” วีร์ส่งเสียงเรียกชายหนุ่ม พลางคิดในใจว่าหรือเขาควรจะขับรถไปที่อพาร์ทเมนต์ของอีกฝ่ายแล้วค่อยหาทางกลับบ้านเอง ชายหนุ่มรุ่นพี่จะได้มีเวลาพักผ่อนได้เร็วขึ้น

“คุณ” วีร์จับที่บ่าของชายหนุ่มแล้วเขย่าเบาๆ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะตื่นขึ้นมา วีร์จึงเขย่าแรงขึ้นพร้อมกับส่งเสียงเรียก ในใจก็นึกว่ากำลังโดนแกล้งอยู่หรือเปล่า “คุณๆ”

เมื่อเรียกอยู่หลายครั้งแต่ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับมา วีร์ก็เริ่มรู้สึกผิดสังเกต เขาปลดเข็มขัดนิรภัยของตัวเอง แล้วก็รีบตรวจดูอาการของชายหนุ่มร่างสูง วีร์จับตามมือ แขน ใบหน้า และซอกคอ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะมีความร้อนผิดปกติ วีร์จึงแนบหูลงไปที่กลางออกของชายหนุ่ม เขายังรู้สึกได้ว่ามีการกระเพื่อมตามการหายใจอยู่

“คุณๆ”

ในตอนนี้วีร์เริ่มรู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งตัว เขาพยายามเขย่าตัวชายหนุ่ม พยายามตบใบหน้าหวังว่าจะเรียกสติของอีกฝ่ายได้ และยังหวังว่าชายหนุ่มรุ่นพี่ยังคงพยายามแกล้งเขาอยู่

“พี่ ได้ยินมั้ย พี่ๆ ได้ยินวีร์รึเปล่า”

ไม่ว่าจะทำอย่างไรชายหนุ่มร่างสูงก็ยังคงหลับตาอยู่เหมือนเดิม วีร์จึงกดแตรรถดังลั่นอยู่หลายครั้ง แล้วยื่นหน้าออกไปที่นอกหน้าต่าง

“พี่ธีร์ๆ มาเร็วๆ พี่ธีร์” วีร์ตะโกนเรียกสุดเสียง

ธีร์รีบเปิดประตูรั้วออกมา โดยมีสุนัขสีน้ำตาลและสีดำหลุดตามออกมาด้วย ธีร์วิ่งไปที่ประตูคนขับรถก็เห็นลูกชายคนโตของเขามีอาการตกใจ

“วีร์เป็นอะไร” ธีร์ถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก

“พี่เขาเป็นอะไรไม่รู้ วีร์เรียกหลายครั้งแล้ว พี่เขาไม่ยอมตื่น”

ธีร์มองเลยไปที่อีกคนที่นั่งอยู่ในรถด้วยกัน แล้วเขาก็วิ่งอ้อมรถยนต์และเปิดประตูรถออก เพื่อดูอาการของชายหนุ่มร่างสูง

“ไปโรงพยาบาลดีกว่า” ธีร์ตัดสินใจเพราะตัวเขาเองก็ทำอะไรไม่ได้มาก ต้องรีบส่งต่อไปให้ผู้เชี่ยวชาญดูแลโดยเร็วที่สุดจะดีกว่า

“ได้ๆ โอเค” วีร์เห็นด้วยกับธีร์ เขาหันไปดึงสายเข็มขัดนิรภัยมาคาดไว้ เตรียมตัวจะออกรถในทันที

“วีร์” ธีร์ร้องเรียก “ลงจากรถ เดี๋ยวพี่ขับเอง” ธีร์ประเมินจากท่าทางของวีร์ในตอนนี้แล้ว หากปล่อยให้ไปเองคงจะได้นอนโรงพยาบาลกันทั้งสอง หรือเลวร้ายว่านั้นอาจจะได้ไปนอนที่วัดกันทั้งสองคน “วีร์ พี่ไปบอกวาก่อน แล้วเดี๋ยวพี่พาไป”

ธีร์ย้ำอีกครั้งก่อนที่จะรีบวิ่งเข้าไปข้างบ้าน ชั่วพริบตาเดียวก็รีบวิ่งออกมาและมีวนกรที่จับตัวธรไว้เดินตามไล่หลังมาติดๆ ธีร์เปิดประตูคนขับรถแล้วบอกให้วีร์ลุกออกไปนั่งด้านหลัง เมื่อประตูรถทุกบานปิดเรียบร้อยแล้ว ธีร์ก็รีบขับรถยนต์คันสีดำไปที่โรงพยาบาลในทันที


*****


หญิงสาวรุ่นใหญ่ในชุดราตรียาวกำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามความเร็วเท่าที่รองเท้าส้นสูงจะทำให้ได้ไปตามทางเดินของชั้นห้องพักรับรองพิเศษของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย ที่ตามมาติดๆกันคือเด็กหนุ่มร่างสูงที่อยู่ในชุดอย่างเป็นทางการขาดก็เพียงเสื้อตัวนอกเท่านั้น

ชื่นฤทัยผลักประตูเปิดเข้าไปในห้องโดยที่ไม่จำเป็นจะต้องตรวจรายชื่อของผู้ป่วยเลย เพราะในตอนนี้ทั้งชั้นนี้มีผู้ป่วยพักอยู่เพียงห้องเดียวเท่านั้น เมื่อเดินผ่านส่วนที่พักสำรองสำหรับผู้เฝ้าไข้แล้ว ก็จะสามารถเข้าไปด้านในส่วนของที่พักผู้ป่วยในห้องพักพิเศษนี้ได้

ชื่นฤทัยรับไหว้จากเด็กหนุ่มสาวทั้งสาม วิธู แพรไหม และวีร์ แล้วก็รีบเดินไปดูคนที่ยังนอนหลังอยู่บนเตียง

“เจ้าสัวเป็นไงบ้าง” ปัญจวีส์ถามอาการพี่ชายคนรองจากพี่ชายคนเล็กของเขา

“ก็ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว หมอบอกว่าน่าจะเป็นเพราะพักผ่อนน้อย ร่างกายเลยอ่อนเพลียมาก เลยทำให้วูบไป” วิธูพยายามอธิบายอาการของวีส์ให้ผู้มาใหม่ฟังโดยไม่ให้รู้สึกน่าหวาดวิตกอะไรมากนัก “เดี๋ยวต้องรอให้ตื่นก่อนถึงจะตรวจให้ละเอียดอีกที”

“เฮ้อ ดีแล้วที่ไม่เป็นอะไรมาก” ปัญจวีส์เดินไปหาที่นั่งว่างข้างๆวิธูและแพรไหม แล้วเขาก็เอียงตัวไปแอบส่งเสียงกระซิบกับวิธู “วีร์มาได้ยังไงอะ”

“มันเป็นคนพาเจ้าสัวมาส่งที่โรง’บาล” วิธูก็แอบกระซิบเบาๆกลับ ไม่ให้เสียงดังไปถึงที่นั่งอีกฝั่งของเตียงผู้ป่วย

“แล้วเขาไปเจอกันได้ยังไง” ปัญจวีส์ถามต่อด้วยความสงสัยปนความดีใจ

“ไม่รู้” วิธูตอบสั้นๆ เพราะเขาก็ยังไม่รู้ว่าเพื่อนและพี่ชายของเขาไปเจอกันได้อย่างไรในวันนี้

“สงสัยจะนัดกันไปไหนแน่ๆ แผนของต่ายนี่ได้ผลเกินคาด”

วิธูไม่ได้ตอบกลับอะไรแต่สะกิดให้ปัญจวีส์รู้ตัวว่ากำลังถูกจ้องมองมากจากอีกฝั่งอยู่ ปัญจวีส์หันไปเห็นแล้วก็ยกตัวกลับมานั่งหลังตรงตามเดิม

“แล้วนี่ได้ไปงานมั้ย ถึงกลับมาเร็วขนาดนี้” วิธูถามไปถึงงานเลี้ยงที่ชื่นฤทัยจะต้องไปร่วมงานด้วยระดับความดังของเสียงปกติ

“ได้ไปแต่พิธีเช้า กำลังจะกลับไปนอนพักที่โรงแรม รอไปงานพิธีเย็นอีกทีแต่ก็มีโทรศัพท์มาซะก่อน แล้วก็รีบดิ่งกลับมาเลย” ปัญจวีส์ตอบ

“มึงขับเหยียบมิดพื้นกลับมาเลยละสิ” วิธูถามต่อเนื่อง

“ใช่ที่ไหนละ เมื่อก่อนเคยได้ยินพี่อัฐเล่าให้ฟังว่าแม่นี่คือนักซิ่งตีนผีดีๆนี่เอง วันนี้ถึงได้รู้ว่าจริง” ปัญจวีส์เปิดเรื่องเล่าสู่กันฟังแบบบุคคลในหัวข้อสนทนาก็อยู่ใกล้ๆกัน

“ทำไมอะ” แพรไหมก้มตัวไปข้างหน้าเพื่อมองข้ามผ่านแฟนหนุ่มของเธอไปถาม

“โห ก็ยังกะนั่งรถเหาะ ไม่รู้ว่าโดนจับความเร็วไปกี่ด่าน”

ชื่นฤทัยเหลือบตาขึ้นมองลูกชายคนเล็กของเธอ เธอไม่ได้ต้องการจะเอาความอะไร แค่อยากให้รู้ว่าได้ยินว่าพูดถึงอยู่

“แต่ไม่เป็นไร แค่นี้เรื่องจิบๆสบายมาก ขนหน้าแข้งยังไม่ทันจะร่วง” ปัญจวีส์ยักคิ้วหลิ่วตาให้กับแม่ของเขา “แล้วของต่ายอะ ได้ไปไหนบ้าง”

“ได้ไปไม่กี่ที่ กำลังจะจ่ายเงินค่าข้าวเที่ยงก็โดนโทรตามซะก่อน” วิธูเอียงไปป้องปากกระซิบบอกปัญจวีส์ “ตอนรับสายไอ้อ้วนแล้วมันบอกว่าพี่เป็นอะไรไม่รู้ แล้วก็มาอยู่ที่โรง’บาลแล้ว เหมือนโดนเดจาวูเลยว่ะ”

ปัญจวีส์สะบัดหันมาหาวิธูซึ่งวิธูก็พยักหน้าย้ำคำพูดของเขาว่าเป็นไปตามนั้นจริงๆ

“ไหนๆก็มาพร้อมหน้ากันแล้ว จะได้แบ่งกันว่าวันนี้ใครจะนอนเฝ้า” แพรไหมถามสองคนพี่น้องว่าจะตัดสินใจอย่างไรในฐานะน้องชายที่ดี

ทั้งวิธูและปัญจวีส์กลับมานั่งตัวตรงปกติแล้วก็มองหน้าปรึกษากันว่าจะเอาอย่างไรกันดี

“ปันปันอยู่เฝ้าได้ ยังไงพรุ่งนี้ก็วันหยุด จริงๆต่ออีกวันก็ได้เพราะปันปันไม่มีเรียนวันจันทร์” ปัญจวีส์เสนอตัวเอง

“งั้นเดี๋ยวกูกับอีดำมาอยู่พรุ่งนี้เช้า มึงจะได้กลับไปพักผ่อน แล้วค่อยรอดูว่าหมอจะว่ายังไง” วิธูรอฟังความเห็นจากน้องชายคนเล็ก ซึ่งปัญจวีส์ก็หันไปหาแม่ของเขาเพื่อถามความเห็น

“งั้นเดี๋ยวลูกขับรถกลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดก่อน แล้วค่อยกลับมาทีหลัง ทางนี้แม่อยู่ให้เอง” ชื่นฤทัยบอกปัญจวีส์แล้วก็หันไปมองดูทุกคนก่อนที่จะถามต่อไป “นี่ยังไม่ได้บอกคุณยายใช่มั้ย”

“ยังครับ ก็ว่าจะมาดูอาการของพี่ก่อน แม่จะให้ปันปันบอกคุณยายเลยมั้ยครับ” ปัญจวีส์ถามชื่นฤทัยกลับ

“ยังไม่ต้องจะดีกว่า คงจะไม่เป็นอะไรมาก เดี๋ยวจะเป็นห่วงไปเปล่าๆ”

“โอเคครับ” ปัญจวีส์ตอบแล้วก็หันไปถามคนรุ่นเดียวกัน “งั้น... เดี๋ยวคนอื่นๆจะกลับกันยังไง”

“กูนั่งรถเครื่องมากับอีดำ เดี๋ยวก็กลับกันเองได้” วิธูตอบแทนแพรไหมไปพร้อมกัน

“แล้ววีร์ละ” ปัญจวีส์มองข้ามเตียงผู้ป่วยไปถามเพื่อนของเขา

“รถพี่เขาจอดอยู่ที่อาคารจอดรถ จะเอายังไง” วีร์ถามไปถึงรถยนต์คันสีดำที่ธีร์เป็นคนขับพาพวกเขามาส่งที่โรงพยาบาล แต่ละคนต่างก็มองหน้าถามกันไปมาว่าจะทำอย่างไรดี

“อืม... จริงๆก็เอาไปจอดไว้ที่อพาร์ทเมนต์พี่ก็ได้นะ แต่ว่า...” ปัญจวีส์หันไปหาวิธูกำลังจะถามว่าใครจะเป็นคนขับไป เพราะเป็นที่รู้กันว่ารถยนต์ของพี่ชายของเขานั้นเป็นระบบเกียร์ธรรมดา

“เดี๋ยวเราขับกลับไปให้ก็ได้” วีร์เสนอตัว ทำให้ทุกคนหันมามองเขาเป็นตาเดียว “ถ้า... ไม่ติดปัญหาอะไร”

“อ๋อ ได้สิ” ปัญจวีส์ตอบแบบลังเลว่าคนอื่นๆจะเห็นด้วยหรือไม่ แต่ก็ไม่มีใครแย้งขึ้นมาแม้แต่ชื่นฤทัยก็ตาม “งั้น เดี๋ยวปันปันขับนำทางวีร์ไปให้เอง แล้วพอเอารถพี่ไปจอดเสร็จเดี๋ยวปันปันไปส่งวีร์ที่บ้านต่อเลย”

“งั้นก็เอาตามนี้” วิธูสรุปปิดท้ายเมื่อไม่มีใครเสนออะไรเพิ่มเติม

เด็กหนุ่มสาวแต่ละก็บอกลาชื่นฤทัยที่ยังอยู่ในชุดราตรียาว แล้วพากันเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยไปและแยกย้ายกันกลับไปที่พักของแต่ละคน ก่อนที่จะกลับมาทำหน้าที่เฝ้าผู้ป่วยตามที่ได้ตกลงกันไว้ภายหลัง วีร์หันไปมองดูชายหนุ่มที่ยังนอนหลับตาบนเตียงผู้ป่วยอีกครั้ง แล้วก็เดินออกไปเป็นคนสุดท้าย

ชื่นฤทัยเดินจากส่วนที่พักผู้ป่วยออกไปที่ส่วนที่พักสำรอง ตรวจดูความพร้อมภายในห้องว่าต้องการอะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่ ทั้งสำหรับผู้ป่วยและคนเฝ้า จะได้จัดเตรียมมาให้ได้ครบถ้วน แล้วจึงเดินกลับมาดูอาการลูกชายคนโตของเธออีกครั้ง

ชื่นฤทัยวางมือลงที่แขนข้างหนึ่งของวีส์ และมองดูใบหน้าที่มีสีปกติดีแล้ว

“ลืมตาได้แล้วลูก น้องๆเขาไปกันหมดแล้ว”

ชื่นฤทัยรออย่างใจเย็น จนเห็นเปลือกตาของคนที่นอนอยู่กระพริบสองสามครั้งก่อนที่จะค่อยๆเปิดกว้างเต็มที่ วีส์พยายามหันมองดูรอบห้องให้แน่ใจว่าตอนนี้มีแค่เขาและแม่ของเขาแค่สองคนเท่านั้น

“มา เล่าให้แม่ฟังสิว่าอาการเป็นยังไงบ้าง” ชื่นฤทัยยิ้มให้กับลูกชาย เธอสังเกตเห็นตั้งแต่ตอนที่เธอมาถึงแล้วว่าลูกชายของเธอไม่น่าจะนอนหลับสนิทอยู่ แต่เธอไม่แน่ใจในเหตุผลว่าทำไมวีส์ถึงยังไม่อยากให้ทุกคนรู้ว่าเขาตื่นแล้ว

วีส์หายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะหันไปหาแม่ของเขา


*****


หลังจากที่ปัญจวีส์ขับรถยนต์มาส่งวีร์ที่บ้านแล้ว วีร์ก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเดิมที่ใส่ไปนั่งอยู่ในโรงพยาบาลมาค่อนวันเป็นอย่างแรก หลังจากนั้นก็ลงมาให้อาหารสุนัขพันธุ์ไทยขนสั้นทั้งสองตัว ช่วงเวลาหลังจากนั้นตลอดระหว่างมื้ออาหารเย็นเรื่อยไปจนแยกย้ายเข้าห้องนอน ธีร์และวนกรไม่ได้ถามอะไรมากมายเกี่ยวกับคนป่วย

รวมถึงไม่ได้ถามด้วยว่าวีร์ไปไหนมากับชายหนุ่มรุ่นพี่ก่อนหน้านี้

วีร์นั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือภายในห้องนอนของเขา ถึงแม้ว่าจะมีหนังสือและสมุดเปิดวางไว้อยู่ มีเครื่องเขียนครบชุดเตรียมพร้อมไว้แล้ว แต่ยังความคิดยังไม่พร้อมที่จะเริ่มลงมือทำงานให้เสร็จในตอนนี้ได้

ในขณะที่สายตาของเขามองไปที่โต๊ะ แต่ภาพที่เขากำลังเห็นอยู่นั้นเป็นเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่วีรดนย์ชวนเขาไปทดลองกล้องถ่ายรูปตัวใหม่ที่เพิ่งจะซื้อมา พวกเขาตระเวนไปตามสถานที่ต่างๆตั้งแต่เช้าเรื่อยไปจนถึงยามคล้อยบ่าย

วีร์กำลังยืนอยู่ข้างรูปปั้นในสวนสาธารณะ เป็นแบบถ่ายรูปให้กับวีรดนย์ ในตอนนั้นวีร์สังเกตเห็นรอบเปื้อนสีแดงลากจากจมูกยาวไปจนเกือบครึ่งแก้มข้างหนึ่งของวีรดนย์ วีร์จึงร้องทักวีรดนย์ไป

วีร์ดนย์ก้มลงดูมือของเขาก็เห็นเป็นคราบสีแดงติดอยู่ จากเดิมที่เขาคิดว่าเป็นเพียงน้ำมูกปกติที่ไหลออกมา หลังจากนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกจะยืนไว้ไม่อยู่ โชคดีที่วีร์รีบวิ่งเข้ามาประคองตัวไว้ได้ทัน

หากเป็นแค่เลือดกำเดาไหลคงจะไม่ตกอกตกใจกันสักไหร่ เพราะว่าอากาศในช่วงวันนั้นค่อนข้างร้อนติดต่อกันมาหลายวันแล้ว แต่เพราะวีรดนย์หมดสติไปหลังจากนั้นด้วย จึงต้องรีบนำตัววีรดนย์ส่งไปที่โรงพยาบาล และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่นของวีรดนย์ จนท้ายที่สุดที่เขาต้องใช้ชีวิตอยู่แค่เพียงในโรงพยาบาลนานร่วมปีก่อนที่จะจากไป

วีร์ยังไม่อยากจะคิดว่าประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอยเก่า เขาจะเชื่อตามคำพูดของแพทย์ที่บอกว่าน่าจะเป็นเพราะการพักผ่อนน้อยในช่วงนี้ของวีส์เองที่ทำให้วูบหมดสติไป และไม่นานก็คงจะกลับมาเป็นปกติตามเดิม เพียงแต่ต้องใส่ใจหาเวลานอนหลับให้เพียงพอเท่านั้นเอง

หลายปีที่ผ่านมา วีร์บอกกับตัวเองอยู่เสมอว่าเขาไม่เชื่อเรื่องอาถรรพ์ที่ใครต่อใครพูดถึงเขากัน ไม่ว่าจะไปได้ยินมาโดยอ้อมหรือว่าจะมาถามกันตรงๆซึ่งหน้าก็ตาม เขาไม่มีคำอธิบายใดๆให้กับคนที่ปักใจเชื่อไปในแนวทางนั้น เขาไม่อยากเสียเวลาไปกับผลลัพธ์ที่รู้อยู่แล้ว

อย่างน้อยเรื่องราวในครั้งนี้ก็ไม่ได้ถูกแพร่งพรายไปสู่คนภายนอก จึงยังไม่มีใครหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาในโลกสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งทั้งวิธูและปัญจวีส์ยังคงรักษาคำพูดของตัวเอง ทำให้เขามีเวลามานั่งคิดทบทวนกับตัวเองโดยไม่มีสิ่งรบกวนจากภายนอกมาให้ไขว้เขวรำคาญใจ

แสงสีขาวส่องสว่างจากโคมไฟที่โต๊ะเขียนหนังสือ กระจายแสงส่องพอจะไปให้ถึงทั่วทั้งห้อง เว้นก็เพียงบางส่วนที่ร่างของเด็กหนุ่มบดบังไว้ให้เกิดเป็นเงาใหญ่พาดไป ถุงที่ใส่กีตาร์ไว้ยังคงวางอยู่บนขาตั้งข้างเตียงนอนได้ถูกหยิบจับมาฝึกหัดเล่นตามวิดีโอบันทึการสอนเป็นครั้งคราว

เสียงเห่าดังของสุนัขทั้งสองตัวยามเมื่อภัยคุกคามเดินผ่านอาณาเขตของพวกมัน

วีร์สูดหายใจลึกแล้วก็พ่นลมออกมา  ตอนนี้เขาต้องรวบรวมสมาธิมาจัดการงานตรงหน้าให้เสร็จเสียก่อน เรื่องอื่นๆยังพอจะรอไว้สะสางทีหลังได้

แต่บางทีเขาควรจะลงไปจัดการกับสุนัขตัวใหญ่ทั้งสองตัวเสียก่อนจะดีกว่า ก่อนที่พวกมันจะไปส่งเสียงสร้างความรำคาญให้กับเพื่อนบ้าน


*****

#VVGo4Launch

[โปรดติดตามตอนต่อไป]

ออฟไลน์ evanescence_69

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3
จะมายังเอ่ยยย

ออฟไลน์ evanescence_69

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3
จะมายังอ่ะ ครึ่งเดือนละน้าาา :katai5: :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 98
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 10 ปัง ปัง ปัง


เช้าวันนี้อากาศก็ยังคงร้อนไม่ต่างไปจากวันก่อนหน้า และจะยิ่งร้อนมากขึ้นเมื่อยิ่งเข้าใกล้ฤดูแล้งที่มาถึงในอีกไม่ช้า แต่ก็ไม่อาจจะเป็นเหตุผลให้ใครลาหยุดงานได้ คู่สามีภรรยาต่างกุลีกุจอยกข้าวของเครื่องใช้ของเด็กน้อยใส่เข้าไปในรถยนต์ เตรียมพร้อมสำหรับกิจกรรมที่ศูนย์รับเลี้ยงเด็กของบริษัทที่พวกเขาทำงานอยู่

วีร์กำลังช่วยเก็บหนังสือใส่กระเป๋าเป้นักเรียนตามที่เจ้าตัวยืนยันจะให้เรียกเช่นนั้น เพราะตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กเล็กอีกต่อไป แถมยังมน้องสาวคนเล็กอีกหนึ่งคนด้วยต่างหาก และเมื่อโตแล้วก็ต้องไปเรียนหนังสือเหมือนกับพ่อและแม่ที่ต้องไปทำงานทุกวัน วีร์จึงต้องเล่นตามน้ำช่วยเด็กโตเตรียมพร้อมเดินทางไปโรงเรียน

เมื่อเด็กทั้งสองคนประจำที่นั่งเด็กเล็กในรถยนต์เรียบร้อยแล้ว ธีร์และวนกรก็ได้เวลาออกเดินทางไปทำงานเสียที คงเหลือแต่วีร์ที่ไม่ต้องรีบออกจากบ้านไปแต่เช้าเหมือนคนอื่นๆ ยังมีเวลาเหลืออีกสักหนึ่งชั่วโมงพอจะให้ทำอะไรได้หลายอย่าง

ต้าวและเติบ สุนัขพันธุ์ขนสั้นตัวใหญ่ทั้งสองตัวออกวิ่งเล่นรอบบ้านหลังจากที่ถูกปล่อยให้เป็นอิสระเมื่อธีร์และวนกรเดินทางออกไปแล้ว ไม่นานนักมันก็มานั่งรอที่หน้าประตูบ้านเมื่อเห็นวีร์กำลังปิดประตูเตรียมออกเดินทางเช่นกัน โดยหวังว่าจะได้รับขนมไข่ของโปรดอีกสักชิ้นสองชิ้นสำหรับเช้าวันนี้

แต่ทว่าสัตว์หน้าขนทั้งสองตัวกลับเปลี่ยนใจในตอนที่วีร์กำลังล็อกประตูบ้าน เมื่อพวกมันได้ยินเสียงรถยนต์มาจอดอยู่ที่หน้าประตูรั้ว ต้าวและเติบวิ่งไปเกาะที่ประตูรั้วพร้อมกับส่งเสียงเห่าและกระดิกหางไปด้วย ราวกับจะบอกว่ามาทำไมและทำไมเพิ่งจะมาไปพร้อมๆกัน

วีร์เดินตามมาดูด้วยความสงสัย แต่เมื่อเห็นว่าเป็นรถยนต์สีดำคันเดิมแล้วความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าใยยามเช้าก็หายไปในพริบตา วีร์พยายามเดินผ่านประตูรั้วออกมาโดยระวังไม่ให้สุนัขทั้งสองตัวหลุดออกมาด้วย ตอนที่หันตัวกลับก็เจอกับชายหนุ่มร่างสูงยืนรออยู่แล้ว

“จะไปเรียนใช่มั้ย ขึ้นรถ เดี๋ยวกูพาไปส่ง” วีส์ยิ้มทักทายตามปกติ ผิดกับอีกคนที่มองดูเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย แถมยังยืนอยู่นิ่งๆไม่ขยับตัวไปไหน “ขึ้นรถเถอะน่า ไหนๆกูก็ขับมาถึงบ้านมึงแล้ว อีกอย่างกูมีเรื่องจะคุยด้วย”

วีร์พิจารณาลักษณะท่าทางของชายหนุ่มรุ่นพี่ที่ดูไม่เหมือนคนที่เพิ่งจะสลบหมดสติไปไม่กี่วันก่อนเลย การพูดจาเป็นปกติ การเดินการทรงตัวก็เป็นปกติดี ดูจะไม่มีอาการอะไรเลยแต่ก็ไม่ได้น่าไว้วางใจได้สักเท่าไหร่ อย่างหลังนี่ไม่ได้หมายถึงอาการป่วยแต่หมายถึงจุดประสงค์ที่เขามาในวันนี้

“ขึ้นรถ” วีส์บอกย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มยังไม่ยอมขยับตัว ทั้งๆที่เขาเดินไปเปิดตูเตรียมก้าวขาเข้าไปข้างในอยู่แล้ว

ถึงจะลังเลแต่วีร์ก็เดินอ้อมไปขึ้นรถแต่โดยดี กระนั้นก็ยังคอยสังเกตว่าชายหนุ่มร่างสูงอยู่เรื่อยๆ หากเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆก็จะได้คิดแก้ไขได้ทันท่วงที

“กูขอโทษนะที่ทำมึงตกใจเมื่อวันก่อน” วีส์เริ่มเปิดบนสนทนาเมื่อเขาขับออกจากปากหมู่บ้านมุ่งสู่ถนนใหญ่แล้ว “ตอนแรกกูก็ว่าจะเลื่อนนัดเพราะว่ามีงานด่วนเพิ่มขึ้นมาต้องรีบทำให้เสร็จ แต่มึงก็อุตส่าห์นัดวันมาแล้วกูก็รับปากไปแล้วด้วย ก็เลย...” วีส์มองกระจกข้างก่อนที่จะตบไฟเลี้ยวแล้วหักรถยนต์ออกเลนขวาแซงรถยนต์คันข้างหน้าไป

วีร์ไม่ได้ตอบกลับอะไร แต่ก็นึกอยู่ในใจว่าถ้าขอเลื่อนมาตั้งแต่แรกเขาก็ไม่มีปัญหาเลย มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่ถึงขั้นว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้สักหน่อย

“แต่ครั้งหน้าอาจจะต้องรอไปอีกสักนิดนึงนะ อย่างน้อยก็ไม่ใช่อาทิตย์นี้” วีส์กล่าวเสริม

“อันที่จริง...” วีร์กำลังจะร้องค้านแต่ก็โดนตัดคำพูดเสียก่อน

“เอาน่ะ จริงๆมึงก็พอจะจับจังหวะเข้าเกียร์ได้แล้ว เหลือแค่ลองฝึกออกตัวรถตอนที่หยุดอยู่บนทางลาดเท่านั้นเอง ไม่ให้เครื่องยนต์ดับไม่ให้รถไหลลง นอกนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว” วีส์ยังคงเข้าใจว่าเด็กหนุ่มรุ่นน้องเกรงใจที่เขาเบียดบังเวลามาช่วยสอนขับรถยนต์ให้

“คือว่า...”

“เดี๋ยวกูดูวันว่างอีกที ยังไงช่วงนี้กูก็ไม่ต้องไปซ้อมเทนนิสแล้ว แล้วก็นะ... มึงไม่ต้องเป็นห่วง คราวหน้ากูจะนอนพักไปให้เต็มที่จะได้ไม่ต้องไปหาววอดๆให้มึงดูอีก”

วีส์บรรยายเสร็จสรรพจนวีร์หาช่องจะพูดแทรกไม่ได้เลย จากเดิมที่คิดจะล้มเลิกการฝึกขับรถยนต์ระเกียร์ธรรมดา แต่ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะหาข้ออ้างอะไรมาปฏิเสธได้อีก

“แล้ว... ทำไมถึงไม่ได้ไปซ้อมเทนนิสแล้วละครับ” วีร์เปลี่ยนไปใจถามเรื่องอื่นแทน

“กูลาออกจากทีมแล้ว” วีร์หันมามองเขาด้วยความแปลกใจ วีส์จึงต้องอธิบายเพิ่มเติม “เดิมทีโค้ชก็เก็บกูไว้เป็นแค่ยันต์กันหมาอยู่แล้ว แต่เดี๋ยวนี้ในทีมมีทั้งไอ้เพชรแล้วก็มีไอ้ต่ายมาเสริมอีก ไม่จำเป็นต้องใช้ชื่อกูไปขู่ใครแล้วมั้ง”

วีร์ยังคงมองคนขับรถอยู่อย่างเดิม แต่ตอนนี้กลับมามองด้วยสายตากวาดขึ้นกวาดลงดูคนที่เคยแข่งแพ้เขามาก่อน แต่ยังกล้ามาโอ้อวดตังเองให้เขาฟัง

“ทำไม มองกูแบบนี้หมายความว่ายังไง” วีส์หันมองสลับไปมาระหว่างถนนข้างหน้ากับผู้โดยสารที่มาด้วยกัน “กูได้แชมป์เยาวชนแห่งชาติสองสมัยติด ได้แชมป์ชาเลนเจอร์มาสี่รายการ แล้วก็เกือบจะได้ไปแข่งเอทีพีทัวร์แล้วด้วย”

“แล้วทำไมไม่ไปละครับ”

“หมดอารมณ์ที่จะไปแข่ง” วีส์ยักไหล่ตอบ “กูไม่ได้อยากไปแข่งตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แค่เบื่อจะได้ยินว่ามันทำอย่างโน้นได้มันทำอย่างนี้ได้ แล้วยังไง... กูก็ทำได้เหมือนกัน” วีส์เน้นย้ำประโยคสุดท้าย

วีร์เบนหน้าไปมองข้างทางที่รถวิ่งผ่านไป เขาก็พอจะเข้าใจเหตุผล ไม่ว่าใครก็ไม่อยากโดนถูกเอาไปเปรียบเทียบ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถูกเปรียบให้ดูด้อยค่ากว่า ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม

“เอาเป็นว่า เดี๋ยวกูค่อยนักวันอีกที” วีส์ชำเลืองมองอยู่หลายครั้งก่อนตัดสินใจพูด เขาก็ไม่ได้วางแผนนำหัวข้อสนทนามาในทิศทางนี้ มันแค่หลุดปากออกไปเอง

“ก็ได้ครับ คุณว่างเมื่อไหร่ก็บอกมาก็แล้วกัน”

วีส์รู้สึกหายใจโล่งขึ้นเมื่อวีร์ยังตอบตกลงกลับมา เขานึกว่าตัวเองก็ทำโอกาสหลุดมือไปเสียแล้ว

“เออ ชมพู่ฝากมาบอกว่าอย่าลืมงานสัปดาห์บริจาคเลือดอาทิตย์หน้าด้วย”

“อ๋อ ได้ครับ” วีร์ตอบกลับสั้นๆ เพราะตัวเขาเองก็ตั้งใจจะไปร่วมกิจกรรมอยู่แล้ว เพราะก็ได้รับปากคำเชิญชวนของสองเพื่อนสนิทที่เรียนอยู่ที่คณะแพทยศาสตร์อยู่ก่อนแล้วด้วย

เมื่อได้คุยธุระที่คิดไว้จนหมดแล้ว วีส์ก็ไม่รู้ว่าจะชวนเด็กหนุ่มคุยอะไรต่ออีก เขาจึงมุ่งขับรถยนต์ไปยังจุดหมายปรายทางเพียงอย่างเดียว จึงไม่ทันได้สังเกตเห็นว่ามีคนคอยแอบมองแอบเรียนรู้การขับรถยนต์ระบบเกียร์ธรรมดาอยู่ จนกระทั้งรถเลี้ยวผ่านประตูมหาวิทยาลัย

“เอ่อ เดี๋ยวช่วยไปส่งผมที่ด้านหลังตึกคณะให้หน่อยได้มั้ยครับ” วีร์รีบบอกทันทีเมื่อรถยนต์เข้ามาในเขตของมหาวิทยาลัยแล้ว

“ได้สิ แต่ลงข้างหน้ามันสะดวกกว่าไม่ใช่เหรอ” ถึงจะตอบตกลงแต่วีส์ก็ถามต่อด้วยความสงสัย

วีร์ไม่ได้อยากจะตอบว่าถ้าหากให้ชายหนุ่มรุ่นพี่ไปส่งที่ด้านหน้าตึกคณะ ใครต่อใครก็จะเห็นกันหมดว่าเขามากับใคร และคงจะกลายเป็นหัวข้อสนทนาไปอีกหลายวัน และถึงแม้ว่าที่จอดด้านหลังตึกคณะจะไม่ใช่ที่เปลี่ยวลับสายตาคน แต่ก็มีน้อยคนที่จะเดินผ่านไปทางนั้น

“เอ่อ ถ้าเข้าด้านหลัง มันใกล้กับลิฟต์ขึ้นตึกพอดีครับ” ถึงแม้ว่าที่วีร์ตอบออกไปจะไม่ใช่เหตุผลหลักแต่ก็ฟังดูสมเหตุสมผลอยู่ไม่น้อย ทำให้ดูน่าเชื่อถือได้ไม่ยาก

“อ๋อ โอเค” วีส์ไม่ได้เอะใจอะไร ยอมทำตามแต่โดยดี เขาเบี่ยงออกจากเส้นทางหลักภายในมหาวิทยาลัยแล้ววนอ้อมไปเส้นทางรองเพื่อไปยังที่จอดรถด้านหลังตึกคณะเศรษฐศาสตร์


*****


วีร์ยืนดูจนรถยนต์คันสีดำขับพ้นไปจากสายตาแล้ว จึงหันตัวกลับเดินเข้าไปที่ตึกคณะแต่ก็ชะงักไปเสียก่อนเมื่อเห็นชายหนุ่มร่างสูงขาวหน้าตี๋กำลังยืนกอดอกจ้องมองเขาอยู่ สีหน้าท่าทางดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจแต่ก็ไม่ได้แสดงออกอะไรมากมาย วีร์จึงเดินเข้าไปทักทายใกล้ๆ

“มึงมาทำอะไรแถวนี้วะไอ้ตี๋เล็ก” วีร์ถามเมื่อเดินไปถึง

“กูจะไปเรียนที่ตึกบัญชีแต่ที่จอดรถมันเต็ม เลยนึกขึ้นได้ว่าที่คณะมึงน่าจะมีที่ว่างอยู่ตลอด ก็เลยเอารถมาจอดนี่แล้วค่อยเดินไป” ศศิทัศน์ตอบด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่ได้มีความขุ่นเคืองอะไร “แล้วมีงอะ... มาไงวะ”

วีร์ยู่หน้าเล็กน้อยคิด ถึงจะเป็นคำถามทั่วไป แต่ความหมายมันค่อนข้างชัดเจนว่า เห็นนะว่ามากับใคร จะยอมรับดีๆหรือว่าจะให้ต้องคาดคั้น

“กูเจอพี่เขาพอดี พี่เขาก็เลยอาสามาส่งแล้วก็ฝากส่งข่าวจากพี่ชมพู่เรื่องสัปดาห์บริจาคโลหิตอาทิตย์หน้ามาด้วย” วีร์ตอบไปตามความเป็นจริง แค่ไม่ทั้งหมดเท่านั้นเอง

“อ๋อ มึงจะไปใช่มั้ย” ศศิทัศน์รู้สึกเอะใจอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่แน่ชัดนัก จึงไม่ได้สืบสาวต่อ

“ไปสิ ก็รับปากมึงไปแล้วด้วยไง”

“แหงละ โครงการนี้เฮียเป็นคนต้นคิดแล้วก็ทำจนเป็นรูปเป็นร่างขนาดนี้ มึงห้ามลืมโดยเด็ดขาด” ศศิทัศน์พูดจาหนักแน่น

“กูรู้หรอกน่า กูไม่ลืมหรอก”

“จะไปรู้เหรอ อะไรๆมันก็แน่ไม่นอน ใจคนเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา” ศศิทัศน์พูดเหมือนบ่นพึมพำกับตัวเอง แต่ก็อยากจะให้ดังไปกระทบหูของคนฟังด้วยเช่นกัน

“เป็นอะไรของมึงเนี่ย ไอ้ตี๋เล็ก” วีร์อมยิ้มเล็กๆ เพราะไม่รู้ว่าเพื่อนของเขาไปทำอะไรมาถึงได้มาแสดงอาการงอนแบบเด็กๆกับเขาแบบนี้

“เปล่า” ตอบเสียงสูงที่ไม่ได้หมายความตามที่พูด

“ถามจริง พี่ฝ้ายชินกับอาการนี้ของมึงแล้วยัง” วีร์ทำสีหน้าล้อเลียนส่งยั่วโมโหกลับไป ซึ่งก็พอจะได้ผลอยู่บ้าง

“ก็กูเรียนหนัก พี่เขาก็ต้องทำงาน กว่าจะได้เจอได้คุยกันมันก็ต้องมีบ้างเป็นธรรมดา นานๆจะได้อยู่ด้วยกันแค่สองต่อสองสักที มันก็...”

ศศิทัศน์ยั้งคำพูดของตัวเขาเองไว้เมื่อเห็นว่าวีร์กำลังจ้องเขาแบบไม่วางตา

“เอ่อ.. คือ.. กู..”

“กูก็ยังไม่ว่าอะไรนิ” วีร์ยักไหล่ตอบยืนยันว่าเขาหมายความว่าเช่นนั้นจริงๆ แล้วก็พูดต่อด้วยสีหน้าที่จริงจัง “มึงก็โตขนาดนี้แล้วแถมยังอุตส่าห์เรียนหมออีก ก็ควรจะรู้ใช่มั้ยว่าควรจะต้องป้องกันอะไรบ้าง ไอ้ตี๋เล็ก”

“กูรู้หรอกน่า ก็เห็นไอ้ต่ายมันเคยเล่าให้ฟัง... แบบว่ามึงว่าเรื่องของมันกับแพร...” ศศิทัศน์รีบตอบกลับเหมือนไม่พอใจที่ถูกจับได้ไล่ทันแต่ก็เผยรอยยิ้มออกมาให้เห็นภายหลัง

“แล้วนี่เป็นอะไรอีก ต้องให้โดนด่าก่อนแล้วมึงถึงจะยิ้มออกรึไง” วีร์ยิ้มตามเพื่อนของเขาที่ดูเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นกว่าเมื่อสักครู่ “หรือว่ามีอาการทางจิต เรียนหมอนี่เขามีตรวจจิตเวชอยู่แล้วใช่มั้ย”

“กูปกติดี” ศศิทัศน์ตอบกลับ “ก็แค่พอเฮียไม่อยู่ ก็ไม่มีใครบ่นใส่หูให้ฟังเหมือนเมื่อก่อน”

วีร์ยิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆก่อนที่จะเอื้อมมือขึ้นไปขยี้ผมของศศิทัศน์

“เดี๋ยวกูจะบ่นให้มึงฟังจนหูชาไปเลย ไอ้ตี๋เล็ก แล้วกูก็จะบอกพี่ฝ้ายช่วยด้วยอีกคน”

“มึง... จะไม่ลืมเฮียใช่มั้ย” ศศิทัศน์ถามแล้วก็ลุ้นรอฟังคำตอบ ถึงจะคาดเดาได้แต่ก็ยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่ดี

“กูไม่ลืมหรอกน่า” วีร์ให้คำมั่น แม้ว่าระยะเวลาที่เขาได้รู้จักกับวีรมาตุจะเป็นช่วงเวลาแค่ไม่กี่ปี แต่ความประทับใจที่มีก็ยังคงตรึงอยู่ในหัวใจ

“กูกลัวว่าถ้ามึงไปมีแฟนคนใหม่ แล้วมึงจะลืมเฮีย” ความรู้สึกที่เก็บไว้ในใจของศศิทัศน์ในที่สุดก็ถูกปลดปล่อยออกมาเสียที

“มึงคิดมากแล้ว ไอ้ตี๋เล็ก” วีร์ก็พอจะเข้าใจความคิดของศศิทัศน์ คนที่เคยพยายามทุกวิถีทางเพื่อจับคู่ให้กับเขาและพี่ชายของตัวเองให้จงได้ “มึงไปได้แล้วไป เดี๋ยวจะเข้าเรียนไม่ทัน”

“เออ แล้วก็อย่าลืมวันเชงเม้งสิ้นเดือนนี้นะมึง”

“มึงก็อย่าลืมมารับกูไปด้วยก็แล้วกัน”

“แล้วก็...” ศศิทัศน์เม้มปากเหมือนคนลังเลที่จะพูด แต่อันที่จริงคือไม่อยากจะฉีกปากยิ้มกว้าง “กูดีใจนะที่มึงยังเรียกกูเหมือนเฮียว่าไอ้ตี๋เล็ก”

สองเพื่อนสนิทต่างก็ยิ้มให้กันด้วยความเข้าใจ แล้วก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง


*****


ช่วงยามบ่ายที่อากาศร้อนจัดจนแทบจะทนไม่ไหว การนั่งเล่นพูดคุยกันใต้ร่มไม้ในตอนนี้กลับไม่สุนทรีย์เหมือนเมื่อก่อน ต้องเปลี่ยนถิ่นฐานไปนั่งอยู่ภายในร้านคาเฟ่ขนมที่มีเครื่องปรับอากาศเย็นๆด้วยเท่านั้นถึงจะเอาอยู่

ชายหนุ่มร่างสูงไม่แพ้กันสองคนกำลังนั่งสนทนาอย่างออกรสออกชาติอยู่ที่มุมด้านในสุดของร้าน คนที่ไม่รู้จักหรือแค่พอจะคุ้นเคยกันก็คงจะเห็นว่าเป็นเพื่อนสนิทมานั่งสังสรรค์กัน แต่คนที่สนิทสนมเป็นอย่างด๊ก็คงจะรู้ว่าเป็นการพูดคุยของคนในครอบครัว

“เห็นพ่อถามถึงอยู่เหมือนกันว่าว่างมั้ย” ปัญจวีส์ตอบกลับในขณะที่นั่งคนแก้วกาแฟของเขาไปด้วย

“ยังไงก็วันหยุดยาวอยู่แล้วไม่ใช่เออ เจ้าสัวน่าจะว่างมั้ง” วิธูนั่งพิงหลังไปที่พนักเก้าอี้ ในมือถือแก้วน้ำที่มีหลอดขนาดใหญ่เสียบอยู่

“ไม่แน่ ช่วงนี้ก็เห็นยุ่งๆอยู่ แล้วยังต้องเตรียมตัวไปจีนตอนปิดเทอมนี้อีก” ปัญจวีส์ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ

“ไปทำไมวะ” วิธูถามด้วยความสงสัย เขานึกว่าทุนที่พี่ชายของเขาได้รับคือให้ไปเรียนต่อหลังจากสำเร็จการศึกษาจากที่นี่ก่อนเสียอีก

“ก็อารมณ์ประมาณไปฝึกงานมั้ง เห็นว่าเขาให้ไปเรียนรู้คร่าวๆว่าต้องทำอะไรบ้างก่อน แล้วเวลาอีกหนึ่งปีที่เหลือจะได้รู้ว่าต้องเตรียมตัวอะไรเพิ่มเติมอีก”

“นี่เขาให้ไปเรียน หรือว่าให้ไปทำงานกันแน่วะ” วิธูขมวดคิ้วสงสัย เขารู้สึกตัวเองโชคดีที่สมองทางวิชาการไม่โลดแล่นเหมือนพี่ชายทั้งสองคนของเขา เลยไม่ต้องมีชีวิตยุ่งวุ่นวายอะไรแบบนั้น

“ปันปันว่าจริงๆเขาก็คงอยากจะหาคนไปทำงานกับเขาด้วยนั่นแหละ ถึงขนาดส่งทีมมาคัดคนจากทั่วภูมิภาคแบบนี้ แล้วได้ตัวตึงไปแบบเน้นๆอีกต่างหาก ต้องมีเลือกคนเข้าไปทำงานต่อด้วยอยู่แล้ว”

“แล้วถ้าเจ้าสัวได้งานที่จีนจริงๆ ก็ยังไม่รู้ว่าไอ้อ้วนจะเอายังไง”

“อืม... นั่นสินะ แค่ไปเรียนก็ปาเข้าไปสามปีแล้ว ถ้าถูกเลือกให้ทำงานอีก จะมีเวลาได้อยู่ด้วยกันแค่ไหนเชียว” ปัญจวีส์แอบบ่นเสียดาย

“จริงๆก็ย้ายไปอยู่ด้วยกันก็ได้ แต่ไม่รู้ว่าไอ้อ้วนอยากจะไปมั้ย” วิธูเขี่ยน้ำเข็งใส่ปากแล้วก็วางแก้วน้ำลงบนโต๊ะ “แต่ปัญหาใหญ่กว่าในตอนนี้คือ ไอ้อ้วนจะเปิดใจรับเจ้าสัวมั้ยก่อนรึเปล่าเหอะ”

“อ้าว ก็ไหนต่ายเคยบอกว่าตอนนี้มีแนวโน้มสูงแล้วไง” ปัญจวีส์ขมวดคิ้วมองตอบพี่ชายรุ่นเดียวกันของเขา

“ก่อนหน้านี้น่ะใช่ แต่หลังจากที่เจ้าสัวเข้าโรง’บาลไป กูละเริ่มไม่แน่ใจแล้ว” วิธูถอนหายใจ จากที่เขาคอยสังเกตุท่าทางของเพื่อนสนิทของเขาระหว่างที่ไปเฝ้าดูอาการของวีส์ที่โรงพยาบาลแล้ว เขาเริ่มเดาทางไม่ถูกแล้วว่าจะออกมาในรูปแบบไหน

“ทำไมอะ” ปัญจวีส์ถามกลับในทันที “ก็เห็นบอกว่าวีร์ไม่เชื่อเรื่องนั้นไม่ใช่เหรอ งั้นก็ไม่น่า...”

“ไม่มีใครเชื่อเรื่องนั้นเท่ามึงแล้ว” วิธูมองปัญจวีส์ด้วยหางตา

“อะไร ปันปันไม่คิดอะไรแบบนั้นสักหน่อย” ปัญจวีส์รีบออกตัวปฏิเสธ

“เหรอครับ ถ้างั้นแล้วคุณบันนี่จะเปลี่ยนชื่อทำไมละครับ ถ้าคุณบันนี่ไม่เชื่อเรื่องนั้นจริงๆ” วิธูมองตอบอย่างท้าทาย

“ก็คิโนะโกะจังชอบเรียกปันปันแบบนี้ ปันปันก็ว่ามันก็โอเคดีก็เลยบอกให้ทุกคนเรียกตาม ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกันเลย” ปัญจวีส์ยังคงแก้ตัวอย่างต่อเนื่อง ยังไม่ยอมรับข้อกล่าวหาใดๆทั้งสิ้น

“เหรอ...” วิธูถามย้ำอีกครั้งแต่ปัญจวีส์ก็ยังคงตีสีหน้าไม่รู้ไม่เห็นอย่างเดิม “แล้วเมื่อไหร่จะพาคิโนะโกะมาเจอกับเจ้าสัวแล้วก็ไอ้อ้วนสักทีวะ”

“ก็รอจังหวะเหมาะสมก่อนไง แล้วค่อยพามาเจอกัน” ปัญจวีส์จัดท่านั่งของตัวเองให้หลังยืดตรงดูสง่าผ่าเผย

“เขาก็อุตส่าห์เปลี่ยนแผนย้ายมาเรียนต่อที่ไทยเน๊อะ อยู่เรียนที่ญี่ปุ่นตามแผนเดิมก็ดีอยู่แล้ว”

“ก็...”

ปัญจวีส์กำลังจะตอบกลับแต่ก็ชะงักไปเสียก่อน เพราะมีชายหนุ่มร่างสูงมายืนอยู่ข้างโต๊ะที่พวกเขานั่งกันอยู่ ปัญจวีส์และวิธูต่าง็หันมามองหน้าถามกันว่าจะทำอย่างไรกันต่อดี ต่างฝ่ายก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเดินเข้ามาหาพวกเขาเอง

“กูนั่งได้ใช่มั้ย” ศศิทัศน์ชี้ไปที่เก้าอี้ว่างอีกตัวที่เหลืออยู่แล้วถามทั้งสองคน

“นั่งสิ” วิธูเป็นคนตอบในฐานะที่รู้จักมักคุ้นกับหนุ่มตี๋มากกว่าน้องชายรุ่นราวคราวเดียวกันของเขา

ปัญจวีส์ยังคงส่งสัญญาณผ่านสายตาไปหาวิธูให้เป็นคนเริ่มบทสนทนา เพราะเขายังรู้สึกเพื่อนตี๋คนสนิทของวีร์ยังคงตั้งแง่กับเขาอยู่

“เอ่อ... มีงมีอะไรรึเปล่าวะ” วิธูเอ่ยปากถาม

“เปล่า พอดีเดินผ่านแล้วเห็นพวกมึงนั่งกันอยู่ ก็เลยแวะเข้ามาทักทายเฉยๆ” ศศิทัศน์ตอบพร้อมกับยกมือเรียกบริกรมาเพื่อสั่งเครื่องดื่ม

บรรยากาศครึกครื้นกันเองก่อนหน้านี้ถูกแทนที่ด้วยความอึมครึมกระอักกระอ่วน ไม่รู้ว่าจะเริ่มหรือจะต่อบทสนทนาอย่างไรกันดี ว่าที่คุณหมอส่ายตามองดูซ้ายทีขวาที ผู้ร่วมโต๊ะของเขาเอาแต่ยกแก้วน้ำของตัวเองขึ้นมาชิม ไม่มีทีท่าว่าใครจะชวนพูดคุยเหมือนก่อนหน้าที่เขาเดินมาร่วมโต๊ะเลย

“กูรู้เรื่องพวกมึงแล้ว” ศศิทัศน์ตัดสินใจเปิดหัวเรื่องเอง

ทั้งวิธูและปัญจวีส์ต่างมองตากัน เพราะต่างก็ไม่รู้ว่าความลับเรื่องไหนของพวกเขาที่ถูกเปิดเผยออกไป เมื่อหันไปหาศศิทัศน์ซึ่งก็กำลังมองพวกเขาสลับไปมาอยู่ ชวนให้น่าสงสัยว่าอาจจะเป็นหลุมพรางหลอกถามก็เป็นได้ สองพี่น้องจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป

“ไอ้ใหญ่เล่าให้กูฟังแล้ว” ศศิทัศน์เฉลยแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ข้อมูลอะไรมากนัก เมื่อเห็นท่าทางที่ยังสงสัยของทั้งสองคนอยู่ ศศิทัศน์จึงขยายความต่อ “มันรู้มาจากแพร แล้วเห็นว่าแฟนมึงเป็นคนเล่าให้ฟัง” ศศิทัศน์หันไปหาวิธูเพื่อให้รู้เขาหมายถึงแพรไหม

“เรื่องอะไรวะ” วิธูถามกลับให้แน่ใจ

“เรื่องที่พวกมึงสองตัวเป็นพี่น้องกัน” ศศิทัศน์ถอนหายใจก่อนที่จะตอบ

“อ๋อ” วิธูร้องออกมาด้วยความโล่งใจ เขาคิดไปถึงเรื่องใหญ่โตกว่านี้ หรืออย่างน้อยเรื่องนี้ก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรสำหรับเขา และปัญจวีส์เองก็คิดไม่ต่างกันมากนัก

ศศิทัศน์เองก็รอดูว่าทั้งสองคนจะมีปฏิกิริยาอะไรมากไปกว่านี้หรือไม่ แต่ก็ดูเหมือนกันทั้งสองคนก็รอการแสดงออกของเขาอยู่เหมือนกัน

“กูหมายถึง กูรู้แล้วว่าพี่เขาเป็นพี่ของพวกมึงด้วย”

“อ๋อ” คราวนี้ทั้งวิธูและปัญจวีส์ร้องออกมาพร้อมกัน แล้ววิธูก็แกล้งทำหน้าซื่อถามกลับไป “คนไหนวะ”

“ก็มีอยู่คนเดียวตอนนี้ที่มาก้อร้อก้อติกไอ้วีร์” ศศิทัศน์เหล่ตามองวิธูว่าเขารู้ทันที่วิธูก็เข้าใจว่าเขาพูดถึงใครตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ทั้งวิธูและปัญจวีส์ต่างก็พยักหน้าว่าเข้าใจ

“แล้วมึง... มี...” วิธูเองก็ไม่แน่ใจว่าจะถามอะไร เพราะยังไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของศศิทัศน์ว่าต้องการอะไรถึงได้มาพูดคุยกับพวกเขาในเรื่องนี้

“กูแค่อยากรู้เฉยๆว่าตอนนี้เป็นยังไง” ศศิทัศน์ถามสองพี่น้อง

“ก็... ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเท่าไหร่ ตอนแรกก็เหมือนจะดี แต่ตอนนี้กูไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่ะ” วิธูตอบ

“ทำไมวะ” ศศิทัศน์ถามต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็นจริงๆ แต่ก็พยายามเก็บอาการของตัวเองไว้

“คือพวกูกยังไม่รู้ว่าวันก่อนพวกเขาแอบนัดกันไปทำอะไรมาสองคน แต่วันนั้นพี่กูเกิดป่วยต้องรีบสั่งโรงพยาบาลด่วน หลังจากนั้นไอ้วีร์มันก็... ไม่รู้สิ แบบแปลกๆ” วิธูพยายามอธิบายความคิดของเขา

“แต่กูเพิ่งเห็นพี่เขาขับรถมาส่งไอ้วีร์ที่ตึกคณะเมื่อเช้านี้เอง”

“ห๊ะ” ทั้งวิธูและปัญจวีส์ต่างก็ร้องเสียงดังขึ้นมาพร้อมกัน จนคนในร้านหลายคนหันมามองพวกเขากัน ทั้งสองคนต่างก็ขยับเก้าอี้เข้าไปใกล้ศศิทัศน์มากขึ้น

“หมอต่ายแน่ใจใช่มั้ยว่าเป็นพี่กับวีร์จริงๆ” ปัญจวีส์ถามพร้อมกับเขย่าแขนศศิทัศน์ไปด้วย

“ใช่” ศศิทัศน์พยักหน้ายืนยันคำตอบ “กูเห็นชัดๆกับตากูเลย”

วิธูกับปัญจวีส์หันมาส่งสัญญาณผ่านสายตากันอีกครั้ง ศศิทัศน์อยากจะเข้าร่วมด้วยแต่ว่าจะหันไปทางซ้ายหรือทางขวาก็ไม่มีใครหันมามองเขาสักคน

“ทำไมวะ” ศศิทัศน์ถาม

“ตอนแรกกูก็คิดไปว่าไอ้วีร์จะกลัวเรื่องอาถรรพ์ที่เขาเม้าท์ๆถึงมันอยู่” วิธูยกตัวกลับไปนั่งหลังตรงตามเดิม

“อาถรรพ์...” ศศิทัศน์ย้อนคำพูดเอามาถามซ้ำ

“ก็ที่เขาพูดกันว่ามันมีดวงกินผัว คบกับใครก็เดดซะมอเร่ย์หมดไง” วิธูไขความให้ฟัง

“อ๋อ ที่บอกว่าโดยเฉพาะแฟนชื่อวี แถมยังน้องเป็นเพื่อนสนิทมันแล้วยังชื่อต่ายเหมือนกันใช่มั้ย” ศศิทัศน์มองสลับระหว่างสองพี่น้องที่ก็พยักหน้ารับกันทั้งคู่ “แล้วไง คราวนี้ก็ไม่เห็นเหมือนกันนี่นา ก็มันชื่อ...” ศศิทัศน์ชี้นิ้วไปทางด้านปัญจวีส์ กำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่เขาก็นึกขึ้นได้ว่าทั้งสองคนต่างก็เป็นน้องชายของชายหนุ่มรุ่นพี่ในหัวข้อสนทนาของพวกเขา จึงเบนนิ้วไปทางด้านวิธู “อ๋อ... แต่มึงก็เป็นน้องพี่เขาแล้วก็เป็นเพื่อนไอ้วีร์อยู่แล้วนี่นะ กูก็ลืมไป”

สองพี่น้องต่างก็ยิ้มแห้งหัวเราะแหะๆ เพราะอย่างน้อยสิ่งที่ศศิทัศน์พูดมาก็ถูกต้องแล้ว... ประมาณครึ่งหนึ่ง

“ทำไมวะ” ศศิทัศน์ถามทั้งสองคน

“อ่า...” วิธูมีท่าทางลังเลที่จะตอบ ส่วนปัญจวีส์ก็ยกการตัดสินใจในเรื่องนี้ให้วิธูรับไปเต็มๆ “เอางี้... กูอยากถามมึงก่อน ว่ามึงคิดยังไงกับเรื่องนี้”

“เรื่อง...” ศศิทัศน์ถามกลับ

“ก็เรื่องของพี่วีกับวีร์ไง” ปัญจวีส์เริ่มกล้าพูดคุยกับศศิทัศน์มากขึ้น

“ก็ไม่ยังไง ถ้าไอ้วีร์มันชอบพี่เขาจริงๆ กูจะไปทำอะไรได้” ศศิทัศน์นั่งพิงหลังไปแล้วยกมือขึ้นกอดอก “เพราะต่อให้ไอ้วีร์ไม่ชอบพี่เขา ก็ใช่ว่าเฮียจะฟื้นขึ้นมาได้ซะเมื่อไหร่”

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 98
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
วิธูพยายามอ่านความคิดของศศิทัศน์ผ่านท่าทาง คำพูด และน้ำเสียง ซึ่งดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะคิดตามที่พูดออกมา

“งั้น... มึงรู้อยู่แล้วใช่มั้ยว่ากูเกิดวันเพ็ญเดือนสอง” วิธูเริ่มเท้าความ

“ใช่ ก็ที่กูเคยบอกมึงไปแล้วไงว่ากูเกิดวันเพ็ญเหมือนกันแต่เดือนเจ็ดไง” ศศิทัศน์มองตอบกลับอย่างไม่เข้าใจวิธูจะยกเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม แล้วมันมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่

“อ้าวจริงเหรอ ปันปันก็เกิดวันพระจันทร์เต็มดวงแต่ว่าเดือนสิบเอ็ด งั้นแสดงว่าปันปันก็ยังเป็นน้องเล็กสุดละสิ เย้!” ปัญจวีส์กำมือชึ้นทั้งสองข้างอย่างดีใจ ส่วนวิธูก็ส่งสายตาปรามไปหาเจ้าตัวที่ดีใจไม่รู้จักเวลา

“มึงเก็ตมั้ย พ่อแม่ตั้งชื่อให้กูว่ากระต่ายเพราะว่ากูเกิดวันเพ็ญ เหมือนกับมึงที่อาม่ารียกมึงว่ากระต่าย” วิธูต่อเรื่องราวให้ศศิทัศน์เข้าใจ “ส่วนมัน...”

“ทุกวันนี้คุณยายยังเรียกปันปันว่าลูกกระต่ายอยู่เลย” ปัญจวีส์แย่งวิธูตอบเอง

“หมายความว่ามึงไม่ได้ชื่อปันปันแต่แรก” ศศิทัศน์ถามย้ำ

“ใช่” ปัญจวีส์ยิ้มตอบสั้นๆได้ใจความ

“แล้วทำไมมึงถึงเปลี่ยนไปเป็นปันปันวะ หรือว่ามึงเชื่อตามที่เขาพูดกัน” ศศิทัศน์ถามต่อ

“เปล่า” ปัญจวีส์รีบตอบปฏิเสธทันที แบบเสียงสูงขึ้นมานิดหน่อย “มันก็... ไม่เชิงหรอก มันมีเรื่องอื่นปะปนมาด้วย แต่มันลงตัวพอดี”

ศศิทัศน์ยกตัวขึ้นวางแขนทั้งสองข้างทับซ้อนกันลงบนโต๊ะ แล้วก็จ้องมองปัญจวีส์แบบไม่ต้องส่งเสียงแต่เข้าใจได้ชัดเจนได้ทันทีว่าควรจะอธิบายออกมาให้หมด

“ก็... เวลาคิโนโกะจังเรียกชื่อกระต่ายแล้วเขาออกเสียงไม่ชัด ฟังดูเหมือน กะตาย กะตาย พอบอกให้เขาเข้าใจความหมายเขาก็ตกใจ แล้วก็บอกว่าเขาขอเรียกว่าปันปันแทนได้มั้ย ปันปันเองก็ว่าโอเคดี ก็เลยบอกให้ทุกคนเรียกตามชื่อใหม่ไปเลย”

“คิโนะโกะจัง นี่ใครวะ” ศศิทัศน์ถาม แล้วก็ยกตัวขึ้นนั่งตามปกติ

“แฟนมัน เจอกันตอนมันไปเรียนซัมเมอร์ที่ญี่ปุ่น ตอนนี้มาเรียนอยู่วิท’ลัยนานาชาติที่กรุงเทพฯ” วิธูเป็นคนชิงตอบแทน

“อ๋อ” ศศิทัศน์พยักหน้ารับรู้ แล้วก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “งั้น ก็กลับมาลงล็อคเหมือนเดิมละสิ คนพี่ชื่อวีมีน้องชื่อกระต่ายมาเป็นเพื่อนสนิทไอ้วีร์ แต่ โอ้...” ศศิทัศน์มองสลับไปมาระหว่างสองพี่น้อง “... แถมรอบนี้มาแบบคูณสองอีกต่างหาก”

“ก็ถ้ามึงเชื่ออะนะ” วิธูยักไหล่ตอบ “แต่ก็นะ พอดีว่าไม่ค่อยมีคนรู้เรื่องนี้สักเท่าไหร่ ขนาดเพื่อนกูบางคนที่ไม่ได้สนิทกันจริง ยังไม่รู้เลยว่ากูมีพี่น้องอีกสองคน เพื่อนมันบางคนก็เหมือนกัน”

“ใช่ ของปันปันก็มีแต่โจ๊กกับโชกุนที่รู้เพราะว่าพวกนั้นก็สนิทกับพี่วีด้วย ส่วนคนอื่นๆก็ไม่ค่อยรู้กันหรอก อาจจะเป็นเพราะว่าใช้นามสกุลไม่เหมือนกันด้วยมั้ง”

“หึ นี่ถ้าข่าวเรื่องที่พี่เข้าโรง’บาลเมื่อวันก่อนแพร่ออกไปนะ ได้ลือกันกระหึ่มอีกรอบแน่” วิธูทั้งส่ายหน้าทั้งถอนหายใจ

“เดี๋ยวปันปันไปบอกให้คุณยายส่งคุณทนายมาช่วยอีกรอบก็ได้ เรื่องเงียบทันตาเห็น” ปัญจวีส์เสนอทางแก้

“ปล่อยคุณทนายทำไปคดีของเฮียให้เสร็จก่อนดีกว่ามั้ง” เมื่อพาเรื่องราววนไปทิศทางนั้นแล้ว วิธูก็อดที่จะถามศศิทัศน์ต่อไม่ได้ “ว่าแต่เรื่องคดีไปถึงไหนแล้ววะมึง”

ศศิทัศน์ชักสีหน้าและตอบอย่างมีอารมณ์ขึ้นมาในทันที

“กูไม่ได้ใส่ใจจะตาม เท่าที่รู้ทนายฝั่งโน้นก็ช่วยให้รอดคุกได้แล้วแน่ๆ หึ ก็เล่นยอมรับสารภาพซะหมดเปลือกตามแผนตั้งแต่แรกขนาดนั้น ตอนนี้ก็เหลือแค่รอลงอาญา ส่วนคดีแพ่งก็แล้วแต่ทนายเครือล้ำเลิศจัดการให้ ยังไงป๊ากับม้ากูก็ไม่ได้สนใจเรื่องเงิน ได้มาเท่าไหร่ก็จะบริจาคให้โรงพยาบาลทั้งหมดอยู่แล้ว”

“ก็... โอเค” วิธูพยายามจะไม่กวนน้ำให้ขุ่นไปมากกว่านี้และดึงหัวข้อสนทนาวนกลับมาเรื่องเดิม “งั้น สรุปว่าเรื่องพี่กับไอ้อ้วน มึงไม่ติดใจอะไรแล้วใช่มั้ย”

“ไม่” ศศิทัศน์ยกมือขึ้นกอดอกและพิงหลังไป “แล้วพวกมึงจะให้กูช่วยอะไรมั้ย”

สองพี่น้องรู้สึกแปลกใจ เพราะอารมณ์ที่เปลี่ยนกะทันหันของศศิทัศน์ และเรื่องที่เขาออกตัวว่าจะช่วยด้วยอีกแรง ทั้งๆที่เคยมีความคิดต่อต้านมาก่อน

“อ่า... ตอนนี้ยังก่อน” วิธูลังเลที่จะตอบเพราะอันที่จริงเขาก็ยังไม่มีแผนอะไรในตอนนี้

“ต่ายบอกว่าช่วงนี้อย่างเพิ่งทำอะไรมาก ไม่งั้นเดี๋ยววีร์จะมีปฏิกิริยาต่อต้านไปคนละทาง” ปัญจวีส์อธิบายเพิ่มเติม

“อืม โอเค มีอะไรให้ช่วยก็บอกละกัน” ศศิทัศน์พยักหน้าให้กับสองพี่น้อง ก็คงจะมีปัญจวีส์ที่ยิ้มหน้าบานตอบกลับ เพราะความรู้สึกบึ้งตึงของศศิทัศน์ที่มีต่อเขามานานหลายเดือน ดูเหมือนจะหมดไปแล้ว


*****


(แนบรูปภาพแอบถ่ายจากด้านนอกร้าน) ต่าย วิดกีฬา หมอต่าย แล้วก็ปันปัน เสดสาด แต่งฟิคเรื่องอะไรดี ช่วยกันคิดหน่อย
รุมมาตุ้มรุมรักคุณหมอสุดคิ้วตี้ ใช้ได้มั้ย

ฐานันดร มุ่งทางธรรม: มีแฟนกันหมดแล้วทั้งสามคนเลยนะนั้น
เรื่องจริงกับเรื่องแต่งไม่เอามาปนกันสิคะ #อย่าขวางทางจิ้น

VNND: ?


*****


ด้านหน้าอาคารอเนกประสงค์ที่ถูกจัดเป็นสถานที่จัดกิจกรรมสัปดาห์บริจาคโลหิตครั้งที่สามของปีการศึกษา มีป้ายขนาดใหญ่ติดประดับตกแต่งไว้ ทั้งป้ายชื่องาน ป้ายแสดงคุณสมบัติของที่สามารถบริจาคได้ ป้ายแสดงขั้นตอนการบริจาค

รวมไปถึงป้ายที่มีขนาดใหญ่มากกว่าป้ายอื่นๆเพื่อประชาสัมพันธ์คลินิกนิรนาม โดยเฉพาะคิวอาร์โค้ดที่เชื่อมโยงไปถึงเว็บไซต์ของคลินิกนิรนามที่สามารถยกโทรศัพท์ขึ้นมาแสกนได้จากระยะไกลจากป้ายหลายสิบเมตร รวมถึงข้อความขนาดใหญ่แจ้งว่า โปรดอย่าใช้การบริจาคโลหิตเพื่อตรวจโรค คลินิกนิรนามมีบริการฟรี

วีร์และเพื่อนๆที่เคยมาร่วมกิจกรรมในครั้งก่อนหน้านั้นก็เดินทางมาถึงบริเวณจัดงาน แต่ละคนก็ค่อยๆทยอยกันไปกรอกใบสมัครร่วมกิจกรรมในวันนี้ ยกเว้นก็เพียงดวงใจที่ขอนั่งรออยู่ด้านหน้าอาคารก็พอ

วีร์ขอแยกตัวจากเพื่อนร่วมคณะเพื่อไปทักทายกับเพื่อนร่วมโรงเรียนเก่าที่กำลังศึกษาอยู่คณะแพทยศาสตร์ในฐานะเจ้าถิ่นที่ร่วมจัดงาน และเพื่อนเก่าที่เรียนคณะอื่นๆด้วยเช่นกัน

“ไม่คิดว่าคนอย่างมึงจะมาด้วยนะเนี่ย” “ใช่ๆ งานบุญงานกุศลไม่น่าจะได้เห็นมึงอยู่ด้วยนะเนี่ย”

“อื้อหือ พ่อพระพ่อมหาจำเริญ อย่าให้กูเห็นพวกมึงเหยียบไปที่ร้านพี่กูอีกนะ เดี๋ยวกูบอกให้พี่กูชาร์ตพวกมึงหนักๆ ในฐานะลูกหลานเครือล้ำเลิศ เอาขนหน้าแข้งร่วงซะให้หมด” ข้าวฟ่างสวนกลับนพชัยและชัยทิศ

“เอาเลย พวกกูไม่กลัว” “เพราะพวกกูไม่ไป”

ข้าวฟ่างกำลังจะพุ่งตัวเข้าหาคู่แฝดแต่ก็โดนยั้งตัวไว้เลียก่อน

“วีร์” ชายหนุ่มลูกครึ่งยิ้มทักทายคนที่เดินมารวมกลุ่มกับพวกเขา   

“พวกมึงมากันเร็วดีนะ” วีร์ก็ยิ้มกลับและทักทายคนอื่นๆด้วย

“หึ เพื่อนกลุ่มอื่นเขานัดกันไปกินเลี้ยง มีแต่กลุ่มพวกเรานัดกันมาเสียเลือด” ข้าวฟ่างยืนกอดอก สายตายังคงจ้องคู่แฝดไม่ลดละ

“เอาน่ะ เขาเรียกว่าร่วมทำบุญทำกุศล แล้วงานนี้เฮียวีเป็นคนเริ่มทำไว้ เอาเป็นว่ามาช่วยๆกันสานต่องานให้สำเร็จ” วีร์ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นที่ทำให้เพื่อนของเขามีอาการแบบนั้นไปได้ แต่เมื่อเห็นว่าคู่กรณีของข้าวฟ่างคือนพชัยและชัยทิศ เขาก็พอจะเดาเรื่องราวออก

“กูก็ไม่ได้ว่าอะไร ยังไงกูก็ต้องมาอยู่แล้ว” ข้าวฟ่างหันไปพยักหน้าให้กับศศิทัศน์ “แล้วนี่มึงเพิ่งมาถึงเออ พวกกูกำลังรอเรียกคิวเตียงว่างอยู่เนี่ย” ข้าวฟ่างหันมาถามวีร์ต่อ

“ใช่ เพิ่งเลิกเรียน กูเดินมากับพวกเพื่อนที่คณะ” วีร์ชี้นิ้วไปด้านหลังทิศทางที่เพื่อนเขารวมกลุ่มกันอยู่

ข้าวฟ่างก็หันมองตาม ก็เห็นคนกลุ่มใหญ่พอสมควรกำลังกรอกเอกสารกันอยู่ รวมถึงชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งที่กำลังเดินตรงมาหาพวกเขา ข้าวฟ่างก็สะกิดชายหนุ่มลูกครึ่งที่เป็นเพื่อนสนิทกันให้รู้ตัว

“วีร์ ปันปันเอานี่มาให้กรอก” ปัญจวีส์ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้กับวีร์ แล้วก็โบกมือทักทายศศิทัศน์ รวมถึงลูกพี่ลูกน้องของเขาเองอย่างนพชัยและชัยทิศด้วย

“อ๋อ ขอบคุณมาก” วีร์รับใบสมัครดู แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเขาไม่ได้หยิบปากกาติดตัวมาด้วย ในขณะที่กำลังมองซ้ายมองขวาว่าจะทำอย่างไรดีก็มีคนยื่นปากกามากให้... สามแท่ง จากสามคน ปัญจวีส์ ศศิทัศน์ และเดวิด

เนื่องจากว่าพวกเขายื่นปากกามาพร้อมกันแบบนี้ทำให้วีร์เลือกไม่ถูกว่าจะรับปากกาจากใครดี แต่ความเป็นจริงแล้วต้องบอกว่าวีร์ยังไม่มีเวลาได้ทันคิดว่าเขาควรจะรับปากกามาจากใคร ควรจะรักษาน้ำใจของใคร หรือควรจะคิดอะไรมากไปกว่านี้ เพราะว่าตัวเขาถูกลากออกไปจากวงสนทนาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

วีร์มองหน้าเพื่อนๆแต่คนที่กำลังมองดูเขาอยู่ด้วยอาการที่แตกต่างกันไป ส่วนใหญ่จะมองด้วยความแปลกใจ ศศิทัศน์มีสีหน้าเรียบเฉยเป็นปกติ นพชัยและชัยทิศแสดงความอยากรู้อยากเห็น ปัญจวีส์ยิ้มหน้าบานก่อนที่จะหันมาลาทุกคนแล้วก็เดินตามออกไปด้วย เดวิดก็คิดจะเดินตามไปแต่ถูกข้าวฟ่างรั้งไว้เสียก่อน

วีร์หันมาเห็นคนที่กำลังจับต้นแขนของเขาและออกแรงลากให้เขาเดินตามไป ในสถานการณ์อื่นๆเขาก็ไม่ได้รู้สึกยินยอมพร้อมใจอยู่แล้ว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานี้ที่ถูกจับจ้องจากสายตานับร้อยคู่ วีร์พยายามขืนตัวแต่ก็ไม่เป็นผลมากนัก

“ชมพู่” วีส์ร้องเรียกหญิงสาวที่กำลังทำหน้าที่เป็นแม่งานคอยจัดการงานทุกอย่างให้ดำเนินไปอย่างราบรื่น

“อ้าว มาแล้วเหรอคะ” หญิงสาวอดีตดาวคณะแพทยศาสตร์หันมายิ้มตอบรับ แล้วก็มองเลยไปหาคนที่เดินตามหลังมาติดๆ “น้องวีร์ มาพอดีเลย”

วีร์ยิ้มทักทายกลับ แต่ภายในใจยังไม่เข้าใจเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ที่แน่ๆคือ ปล่อยแขนเขาได้หรือยัง

“น้องวีร์น้องปันปันสนใจบริจาคโลหิตเฉพาะส่วนมั้ยคะ” หญิงสาวถามเด็กหนุ่มทั้งสองคน

“เอ่อ... ยังไงเหรอครับ” วีร์ถามกลับไป

“การบริจาคโลหิตเฉพาะก็ไม่ต่างจากการบริจาคปกติทั่วไปเท่าไหร่ เพียงแต่ว่าจะใช้เวลานานกว่าประมาณสองถึงสามชั่วโมง เพราะว่ามันมีกระบวนการนำเลือดไปปั่นแยกส่วนผ่านเครื่องแล้วดึงส่วนที่ต้องการออกมา จากนั้นก็ส่งส่วนประกอบอื่นๆที่เหลือกลับเข้าร่างกายผู้บริจาค มันเลยใช้เวลานาน น้องวีร์สนใจมั้ยคะ”

วีร์ยังไม่แน่ใจมากนัก เขาลังเลที่จะตอบตกลงแต่ก็ไม่อยากจะปฏิเสธ ส่วนปัญจวีส์ก็รอให้วีร์เป็นคนตัดสินใจก่อนแล้วเขาค่อยทำตาม

“คืออย่างนี้ ตามปกติเลือดที่เรารับบริจาคมาแล้วจะต้องเอาไปปั่นแยกส่วนประกอบอยู่แล้ว เม็ดเลือดแดง เกร็ดเลือด แล้วก็พลาสม่า แล้วก็ไปผ่านกระบวกการทำให้ปลอดภัยแล้วค่อยเอามาผสมกันอีกที” หญิงสาวอธิบายเพิ่มเติมเพราะคิดว่าวีร์อาจจะไม่เข้าใจวิธีการจึงไม่สามารถตัดสินใจได้ เธอจึงพยายามให้ข้อมูลให้ได้มากที่สุด

“คนไข้ที่ต้องการเม็ดเลือดแดง เราก็จะรวมเม็ดเลือดแดงจากของผู้บริจาคหลายคนรวมกันให้พอแล้วส่งต่อไปให้ผู้ป่วย คนใช้ที่ผ่าตัดก็อาจจะต้องให้เกร็ดเลือดมากสักหน่อย เกร็ดเลือดที่รับมาจากผู้บริจาคโลหิตแบบรวมส่วนคนเดียวจะไม่พอ ก็เลยต้องเอาจากหลายๆคนรวมกัน ฉะนั้นถ้าได้รับเกร็ดเลือดจากคนเดียวกัน ความเสี่ยงที่จะมีอาการต่อต้านไม่พึงประสงค์ก็จะน้อยลงไปด้วย”

วีร์ยังคงลังเลอยู่ ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่อยากลองบริจาคโลหิตเฉพาะส่วนแต่เพราะว่าต้องใช้เวลานาน ถึงแม้ว่าช่วงบ่ายหลังจากนี้เขาจะไม่มีเรียนแต่ก็ได้นัดไปทำงานกลุ่มกับเพื่อนๆไว้แล้ว วีร์หันไปหาปัญจวีส์เพื่อจะถามความเห็น

“อ้าว นุ้ย มากันเออ” เสียงทุ้มดังแทรกขึ้นมาระหว่างที่วีร์กำลังจะตัดสินใจ

“อ้าว พี่ภูมิ บริจาคเสร็จแล้วเออ” วีร์ทักทายกลับ เขามองดูชายหนุ่มร่างสูงผิวเข้มที่เพิ่งจาะเดินออกมาจากพื้นที่ด้านใจและมีสำลีปิดตรงที่ข้อพับแขน

“ใช่ เขาส่งหนังสือเวียนเชิญไปทุกคณะ พอดีว่าว่างอยู่ก็เลยมา” ภูมิยกแขนให้วีร์ได้เห็นชัดๆ “แล้วนี่...” ภูมิมองดูหลานชายของเขา แล้วก็ย้ายสายตาไปหานักศึกษาในที่ปรึกษาของเขา ก่อนที่จะส่ายตาลงมองต้นของเด็กหนุ่มแล้วก็กลับไปมองชายหนุ่มคนเดิม

เหมือนว่าวีส์เพิ่งรู้ตัวว่ายังจับแขนของเด็กหนุ่มนับตั้งแต่ที่เขาลากตัวออกมาจากกลุ่มเพื่อนจนถึงตอนนี้ ปัญจวีส์แสร้งทำเป็นกระแอมเสียงไม่ดังมากนัก เอาแค่พอให้ได้ยิน วีส์จึงปล่อยมือออกแต่โดยดี โดยที่ไม่ต้องบอกกล่าวอะไรเพิ่มเติม

“นุ้ยกำลังคุยกับพี่เขาอยู่ พี่เขาชวนบริจาคเฉพาะส่วน” วีร์อธิบายให้ภูมิฟัง แม้ว่าจะไม่ใช่คำตอบของคำถามที่ภูมิตั้งใจจจะถามก็ตาม

“อ๋อ เอาสิ มันไม่อันตราย แค่ใช้เวลานานกว่าสักฮิดเท่านั้นเอง”

“ใช่คะ มันไม่มีอันตราย ปลอดภัยทุกขั้นตอนและได้ช่วยคนป่วยด้วยค่ะ” หญิงสาวย้ำคำอีกครั้ง “แล้วก็วันนี้คนลงทะเบียนบริจาคเฉพาะส่วนมีไม่มาก มีเตียงว่างอยู่หลายเตียงเลยค่ะ”

“เอ่อ... งั้นก็ได้ครับ” ในที่สุดวีร์ก็ตอบตกลงเมื่อได้รับคำยืนยันจากหลายคน

“งั้น เดี๋ยวน้องวีร์น้องปันปันไปกรอกใบสมัครให้เรียบร้อย แล้วเอามาให้พี่นะคะ เดี๋ยวจะได้เข้าไปพร้อมกันเลย” ไม่ต้องมีใครบอกก็สามารถรับรู้ได้เลยว่าจะต้องเข้าไปพร้อมกันกับใคร “อาจารย์คะ เดี๋ยวอาจารย์ไปรับของว่างแล้วนั่งพักสักสิบห้านาทีก่อนนะคะ”

ภูมิพยักหน้ารับแล้วก็เดินออกไปยังจุดที่แจกอาหารว่างให้แก่ผู้ที่บริจาคโลหิตเสร็จแล้ว ส่วนวีร์ก็แอบชำเลืองมองชายหนุ่มร่างสูงก่อนที่จะเดินตามภูมิไป

“อันนี้ไปตามน้องเขามาดีๆ หรือว่าไปบังคับมากันแน่” หญิงสาวเอียงไปกระซิบล้อเล่นถามเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กันมาหลายปี

“ก็ไปตามมาให้แล้วไง เห็นบอกว่าอยากเจอไม่ใช่รึ” วีส์ย้อนกลับหญิงสาว

“จ้า... แล้วนี่จะเข้าไปเลยมั้ย หรือว่าจะรอ” หญิงสาวถามต่อ แต่เมื่อเห็นสายตาที่มองตอบกลับมาก็รู้คำตอบได้ในทันที “โอเค... แล้วน้องปันปันกรอกใบสมัครเสร็จรึยังคะ”

“ของผมเสร็จแล้วครับ” ปัญจวีส์ยกแผ่นกระดาษขึ้นมาให้หญิงสาวเห็น

“งั้นเดี๋ยวไปซักประวัติแล้วเจาะตัวอย่างเลือดเลยนะคะ เดี๋ยวจะได้เข้าไปพร้อมกันเลย”

แล้วหญิงสาวเดินนำพาปัญจวีส์ออกไป แต่ไม่ลืมหันมายิ้มอย่างมีเลศนัยให้กับวีส์ วีส์ส่ายหน้ากรอกตามองบน แล้วก็หันไปดูเด็กหนุ่มที่กำลังนั่งกรอกรายละเอียดในใบสมัครอยู่ข้างชายหนุ่มร่างสูงผิวเข้มที่กำลังมองกลับมาหาเขาอยู่ วีส์รีบหันไปมองทางอื่นแต่ก็แอบชำเลืองดูอยู่เรื่อยๆ


*****


(แนบรูป) มาช้ามีอดนะบอกไว้ก่อน ยิ่งช่วงนี้นานๆจะได้เห็นเขาอยู่ด้วยกันสักที #VVGo4Launch #GiveBloodGiveLifeครั้งที่3 #ชมพู่น่ารักมาก
ทำไม ทำม๊าย จะต้องเป็นวันที่ฉันไม่ได้ไปมหาลัยด้วย ฮือๆ
เห็นเขาเดินจูงมือกันผ่ากลางฮอลล์แบบโนสนโนแคร์ใดๆ เราก็ชื่นใจเป็นที่ซู้ดดดด

Apollo20: (แนบรูปเตียงผู้บริจาคโลหิตเฉพาะส่วนสองเตียงติดกัน)
VNND: จะลบรูปเองดีๆ หรือจะลบทั้งน้ำตา


*****


บรรยากาศสวนหลังบ้านล้ำเลิศรัตนทรัพย์ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ก็คึกคักตามปกติ ผู้คนมากหน้าหลายตามาจับจ่ายใช้สอย หรือมาหาความบันเทิงตามที่ตนต้องการ วีร์และเหล่าพองเพื่อนก็เช่นกัน

วันนี้เป็นวันรวมตัวของเพื่อนโรงเรียนเก่าที่เริ่มจะมีเวลาอยู่ด้วยพร้อมหน้าน้อยลงเรื่อยๆตามภาระและหน้าที่ของแต่ละคนที่ต้องรับผิดชอบ ถือฤกษ์งามยามดีที่ทุกคนว่างพร้อมกัน จังได้นัดมาพบปะสังสรรค์กันที่ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้

“อยู่กันครบทุกคนแบบนี้ เห็นแล้วอยากทำปิ้งย่างแล้วนั่งกินรอบกองไฟจังเลย” “ช่าย รอบที่แล้วงานล่มไม่เป็นท่า รอบหน้าต้องทำสำเร็จให้ได้”

“พวกมึงจะบอกว่าเป็นความผิดของกู” วีร์เอียงหน้ามองนพชัยและชัยทิศด้วยหางตา

“ไม่ใช่เลยเพื่อนวีร์ พวกกูไม่เคยโทษมึงเลย” “ใช่ๆ ความผิดทั้งหมดเป็นของพวกกูเอง มึงไม่เกี่ยวเลย”

วีร์พยักหน้าแล้วก็หันไปมองทางอื่นๆ นพชัยและชัยทิศก็ถอนหายใจโล่งออกมาพร้อมกัน

“แล้วนี่รออะไรอยู่วะ” พระยศถามแล้วก้หันมองรอคำตอบจากเพื่อนๆ

“ก็รอไอ้ต่ายไง มันเพิ่งไลน์มาว่าอาบน้ำเปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว กำลังออกมา” วีร์ตอบ

“มันไปไหนมาวะ” สุรศักดิ์ที่ยุ่งอยู่กับที่ร้านอาหารอยู่ทุกวัน แต่วันนี้ขอหยุดงานเป็นกรณีพิเศษเพื่อมาเจอกับเพื่อนๆ

“ไปซ้อมเทนนิส เห็นว่าเดือนหน้ามีแข่งสองรายการ”

“อ๋อ” สุรศักดิ์พยักหน้ารับ แล้วก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก ในเมื่อลูกหลานเครือล้ำเลิศที่เป็นเพื่อนพวกเขามาอยู่กันที่นี่สองคนแล้ว ดังนั้น... “แล้วไอ้ปันเพื่อนมึง บ้านมันก็อยู่แถวนี้ จะโทรตามมันมาด้วยมั้ยวะ”

“มันไม่อยู่ มันไปกรุงเทพฯกับแม่มัน” คนที่ตอบนั้นไม่ใช่วีร์แต่ว่าเป็นศศิทัศน์ ทุกคนจึงหันมามองเป็นตามเดียว ต่างพากันสงสัยว่าทำไมคนที่ไม่ถูกชะตากันถึงได้รู้เรื่องกันได้ “ไอ้ต่ายบอกกูมา”

“งั้นก็ ไปหาร้านกันเลยมั้ยละ กว่าไอ้ต่ายมาถึงจะได้ไม่ต้องรอนานอีก” สุรศักดิ์เสนอความเห็น ซึ่งคนอื่นๆก็เห็นตามด้วย จึงชวนกันออกเดินไปหาร้านอาหารที่ต้องการ


*****

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 98
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
อีกฝากหนึ่งภายในห้างสรรพสินค้าเดียวกัน ชายหนุ่มสามคนกำลังเดินไปเรื่อยเปื่อยไม่ได้มีจุดหมายแน่นอน ระหว่างที่ชวนพูดคุยกันก็เดินจากแผนกสินค้าหนึ่งต่อไปอีกแผนกสินค้าหนึ่ง นานเข้าก็เริ่มรู้สึกหิวจึงชวนกันเดินไปบริเวณร้านอาหาร

“แดกอะไรกันดีวะ” พุทธชาติถามเพื่อนทั้งสองคน

“แล้วแต่พวกมึงดิ กูยังไงก็ได้” วีส์ตอบแล้วมองดูรอบๆแบบไม่ได้ใส่ใจอะไรเป็นพิเศษ

“คือ... มึงกินครบทุกร้านจนเบื่อแล้ว ก็เลยให้พวกกูเป็นคนเลือกเองว่างั้น” พุทธชาติถามกลับ

“มันแทบจะนับร้านที่มันเคยเข้าไปกินได้ไม่เกินนิ้วมือมั้ง” กฤษณะตอบกลับให้แทน

“ไรวะ ของบ้านตัวเองแท้ๆ ถ้าเป็นกูนะ จะเดินทุกวันให้ทั่วทุกซอกเหลือบมุมตึกเลย” พุทธชาติมองดูวีส์ที่ยังคงมีท่าทางไม่ค่อยสนใจอะไร

“บ้านกูทำเรียลเอสเตทไม่ได้บริหารห้างเว้ย แล้วกูก็ไม่ค่อยได้กลับบ้าน ห้างนี่ถ้าไม่ได้มีธุระจำเป็นจริงๆก็แทบจะไม่ได้มาเดินเลยด้วยซ้ำ”

“ตอนที่พวกมึงอยู่ประจำกันกูก็พอจะเข้าใจว่าทำไมไม่ค่อยได้กลับ แต่ตอนที่มึงย้ายมาแล้วเนี่ย กูก็ยังงงอยู่ว่าทำไมมึงไม่ค่อยกลับบ้านบ้างวะ” พุทธชาติถาม

“ก็อยู่ที่อพาร์ทเมนต์มันสะดวกดี ใกล้สนามซ้อม เลิกสามสี่ทุ่มเสร็จแล้วก็เดินขึ้นห้องได้เลย”

“แถมยังไม่เคยชวนกูขึ้นห้องเลยสักครั้งเดียว” พุทธชาติส่ายหน้าเบาๆกับเรื่องความหลัง “แต่เสียดายว่ะที่มึงไม่แข่งต่อ แต่ก็นะ...กูก็เลยขี้เกียจแข่งไปด้วย” พุทธชาติไม่ใช่บ่นเพราะเสียดายโอกาส แต่เพราะไม่มีเพื่อนชวนกันฝึกซ้อมก็เลยไม่ได้คิดจะลงแข่งขันต่อไปอีก “เออๆ ไอ้คนที่มึงบอกว่ายังเอาชนะไม่ได้ มึงยังได้เจอกันอีกมั้ยวะ กูอยากรู้ว่าผลเป็นไง”

วีส์วางสีหน้าเรียบเฉย เรื่องราวเก่าๆที่ฝังลงไปลึกมากแล้วกลับถูกดึงกลับขึ้นมาบนพื้นผิวอีกครั้ง เขาไม่ได้โกรธอะไรพุทธชาติ เพราะรู้จักกันดีว่าไม่ได้คิดอะไรในแง่ร้าย

“เปล่า ไม่ได้เจอกันแล้ว” วีส์ตอบสั้น

“วะ เสียดายว่ะ เห็นมึงเคยซ้อมเอาจริงเอาจังขนาดนั้น ยังสู้ไม่ได้อีกเหรอวะ”

“ถึงเขาจะยังแข่งอยู่ กูก็คงไม่มีทางชนะอยู่ดี”

“เอาเหอะมึง ไปหาอะไรกันกันดีกว่า” กฤษณะที่รู้เรื่องราวเบื้องลึกพยายามดึงบรรยากาศไม่ให้อึมครึมไปมากกว่านี้ และเขาก็เริ่มรู้สึกหิวจริงจังขึ้นมาแล้วด้วย

ทั้งสามหนุ่มเดินเลือกร้านอาหารจนกว่าจะได้ตามที่ต้องการ คือรอคิวไม่นานหรือมีโต๊ะว่างที่สามารถเข้าไปนั่งไปเลยทันทีก็ยิ่งดี แต่ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ก็ยากที่จะได้ร้านแบบนั้น จำต้องรอต่อคิวยาวไปเสียหมด นอกเสียจากว่าจะได้เจอคนรู้จักที่มีโต๊ะนั่งอยู่ภายในร้านแล้ว

“มึงๆ ดูในร้าน” พุทธชาติรั้งตัววีส์และกฤษณะไว้ก่อนที่จะเดินผ่านไป

วีส์และกฤษณะมองตามสายตาพุทธชาติเข้าไปด้านในของร้าน ก็เห็นเด็กหนุ่มกลุ่มใหญ่พอสมควรกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสานาน บนโต๊ะมีเพียงแก้วน้ำและจามพร้อมช้อนส้อมวางอยู่ตรงหน้าแต่ละคน

“ไปหาร้านอื่นกินเอาก็ได้” วีส์เสนอพร้อมเตรียมตัวจะออกเดินแล้ว

“ไม่ทันแล้วมึง น้องมึงเห็นแล้ว” กฤษณะแอบกระซิบบอก แล้วก็บุ้ยหน้าไปทางด้านในของร้านอาหารที่วิธูกำลังโบกไม้โบกมือมาให้พวกเขา แล้วก็ลุกเดินออกมาหา

“สวัสดีครับพี่ๆ” วิธูทักทายรุ่นพี่ทุกคน “มาทำอะไรกัน”

“พวกกูกำลังเดินหาร้านอยู่ แต่คนเยอะชิบหาย แน่นไปทุกร้านเลย” พุทธชาติออกปากแทนเพื่อนๆ

“เหรอ... งั้นมากินด้วยกันเลยมั้ย พอมีที่ว่างอยู่” วิธูชี้นิ้วเข้าด้านในของร้านอาหารที่เขาเพิ่งจะเดินออกมา

“มีที่ว่างเหรอ งั้น...” พุทธชาติกำลังจะตอบรับแต่ก็โดนขัดเสียก่อน

“ไม่ต้อง เดี๋ยวพวกกูไปหาร้านอื่นเอาเอง” วีส์บอกปัดขณะกำลังชำเลืองมองอาการของคนที่นั่งอยู่ด้านในไปด้วย วิธูเองก็หันมองตามกลับเข้าไปข้างในร้าน ถึงแม้ว่าวีร์จะไม่ได้หันมาสนใจอะไรพวกเขาที่ยืนอยู่ด้านนอก ที่บรรยากาศรอบตัวเหมือนแสงมัวๆส่องออกมา

“งั้นก็... ผมกลับเข้าไปข้างในก่อนนะ” วิธูบอกลาแล้วก็หันกลับไป

“ทำไมวะ โอกาสทองเลยไม่ใช่เหรอวะ” พุทธชาติไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนของเขาถึงไม่อยากร่วมโต๊ะอาหารด้วย

“มันคงกลัวว่าน้องยังโกรธที่มันเผลอไปจูงมือเดินลากข้ามห้องเมื่อวันก่อน รูปเต็มฟีดไปหมด” กฤษณะอธิบายให้ฟัง

“เรื่องแค่นั้นเองเนี่ยอะนะ” พุทธชาติยังคงตามไม่ทัน

“ก็เรื่องแค่นั้นทำเพื่อนมึงไม่สมหวังสักทีไง”

วีส์ไม่ได้โต้ตอบอะไร เขามองเข้าไปข้างในร้านอาหารอีกครั้งก่อนที่จะเดินนำเพื่อนๆไปหาร้านอื่น


*****


เวลายามบ่ายแก่ๆผู้คนภายในห้างสรรพสินค้ายิ่งหนาตามากขึ้นเรื่อยๆ แต่ละคนหวังก็พึ่งอากาศเย็นๆเพื่อคลายความร้อนจากสภาพแวดล้อมด้านนอก และเข้ามาหากิจกรรมเพื่อความบันเทิงในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ไม่ว่าจะเป็นโรงภาพยนตร์ ห้องคาราโอเกะ ลานโบว์ลิ่ง ร้านตู้เกมส์

ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นทั้งสามหนุ่มไม่ได้แวะเข้าไปที่ไหนเลย ได้แต่เดินวนไปเรื่อยๆหลังจากที่รับประทานอาหารกันเสร็จแล้ว เดินไปด้วยพูดคุยเรื่องสัพเพเหระไปด้วย

“มึงยังจำไอ้ฟีฟ่าได้มั้ยวะ” พุทธชาติถามเปลี่ยนเรื่องคุย

วีส์ขมวดคิ้วคิดอยู่ในใจ แต่ก็ไม่ปรากฏภาพใดเข้ามาในความคิดของเขาเลย

“ก็ไอ้น้องที่เคยพยายามมาตีซี้กับมึงไง” กฤษณะก็ช่วยไขความ แต่ก็ไม่ทำให้วีส์นึกอะไรออก

“มึงต้องบอกว่าไอ้น้องที่เคยพยายามตามจีบมัน แต่มันไม่สนใจ”

“ก็นึกไม่ออกอยู่ดี” วีส์ยังไม่สามารถรื้อฟื้นความทรงจำขึ้นมาได้ และเขาก็ไม่ได้ใส่ใจที่อยากจะนึกออกด้วยอยู่แล้ว

“ทำไมวะ” กฤษณะหันไปถามคนที่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา

“กูได้ข่าวว่าตอนนี้มันได้เป็นเดือนคณะวิศวะ” พุทธชาติเล่าออกอาการ

“แล้วยังไงวะ หรือมึงจะบอกว่า น้องมันได้ตำแหน่งแล้วมันคงคิดจะเอามาใช้เรียกร้องความสนจากมันรึยังไง” กษฤณะถามต่อ

“มึงคร๊าบ เห็นเขาพูดกันว่ามันพูดกลางเวทีเลยว่ามีพี่วีส์ เนื้อนาดี เป็นไอดอลตั้งแต่ตอนอยู่โรงเรียน ทั้งเรียนดีกีฬาเด่น น่าชื่นชมม๊ากมาก มีคนจับจิ้นกันเต็มไปหมด”

วีส์ยังคงเงียบอยู่เหมือนเดิมไม่ได้แสดงความเห็นอะไร ทำเหมือนไม่ใช่เรื่องสาระสำคัญอะไรในชีวิตที่จะต้องไปรับรู้ ส่วนกฤษณะก็มองเพื่อนของเขาอย่างสงสัยขึ้น

“เดี๋ยวนะ...” พุทธชาติก็เหมือนจะฉุกคิดขึ้นมาได้ “ไอ้วันก่อนที่มึงไปจูงมือลากน้องเขาเดินผ่ากลางลานท่ามกลางผู้คนเป็นร้อยๆ นี่คือมึงจงใจทำเพื่อสยบข่าวลือใช่มั้ย”

วีส์ยังคงตีหน้าตาย เขาไม่ได้ยอมรับและก็ไม่ได้ปฏิเสธใดๆทั้งสิ้น

“แต่... ถ้าจะสยบข่าว แล้วมึงจะไปฟาดงวงฟาดงาให้ลบรูปทำไมวะ” กฤษณะถามด้วยความสงสัยไปถึงข้อความที่เพื่อนของเขาลงไว้ในสื่อสังคมออนไลน์

“กูแค่จะบอกให้ลบรูปที่ถ่ายตอนนอนอยู่บนเตียงบริจาค แต่มันดันหายไปทั้งยวงเอง” วีส์ยักไหล่แบบมันช่วยอะไรไม่ได้ มันนอกเหนือไปจากที่เขาต้องการ

“แต่ก็ทำให้คนในด้อมมึงใจฟูขึ้นตาเห็น” พุทธชาติกล่าวสรุปปิดท้าย

“มึงคิดว่าน้องเขาจะทันเห็นมั้ยวะ” กฤษณะนึกสงสัย ด้วยรู้อยู่แล้วว่าปกติวีร์จะไม่ค่อยเล่นแอพลิเคชั่นสื่อสังคมออนไลน์สักเท่าไหร่

“เดี๋ยงก็ลองถามดูสิวะ โน้น... เดินมาแล้ว” พุทธชาติบุ้ยหน้าส่งสัญญาณให้เพื่อนๆของเขารับรู้ว่ามีกลุ่มเด็กหนุ่มหลายคนกำลังเดินผ่านมาทางพวกเขา

กลุ่มของเด็กหนุ่มที่กำลังพูดคุยกันสนุกสนานก็กลับเบาเสียงลงเมื่อเห็นว่ามีใครกำลังอยู่ตรงหน้าพวกเขา ถึงจะไม่คุ้นเคยกันแม้ว่าจะเป็นญาติกันอย่างนพชัยและชัยทิศก็ตาม แต่ทุกคนล้วนรับรู้ความสัมพันธ์พี่น้องระหว่างวีส์และวิธู เลยมีก็แต่วิธูเท่านั้นที่คุ้นเคยกับกลุ่มชายหนุ่มรุ่นพี่

“อ้าว ยังอยู่กันเหรอครับ นึกว่าจะกลับกันไปแล้ว” วิธูร้องทัก ส่วนวีส์แค่พยักหน้าตอบกลับ

แต่ละคนเหมือนจะร่วมมือร่วมใจเข้ายืนในตำแหน่งที่ทำให้วีร์ไปยืนอยู่ข้างๆวีส์แบบไม่ได้ตั้งใจ แต่แค่มองเห็นชัดๆว่าเป็นการจงใจ

“ก็อยู่รอถามน้องวีร์นี่แหละ” พุทธชาติเริ่มเปิดประเด็นขึ้นมา อย่างน้อยก็เรียกความสนใจได้จากทั้งสองคน คนน้องมองเขาด้วยความแปลกใจ ส่วนคนพี่สังสายตาดุดันกลับมา “ว่า... น้องวีร์... เป็นน้องแท้ๆอาจารย์ภูมิเลยใช่มั้ย”

คนที่รอลุ้นอยู่ก็หายใจคล่องขึ้นมาในทันที

“ก็... ประมาณนั้นมั้งครับ” วีร์ตอบโดยที่ยังสงสัยอยู่ว่าพุทธชาติจะถามเขาทำไม

“คือไม่ยังไง พี่แค่อยากรู้ว่าปกติอาจารย์ภูมิเป็นคนยังไง ดุมั้ยหรือว่าใจดี แบบเข้มงวดหน่อยหรือว่าสบายๆ”

“ถามทำไมเหรอครับ” วีร์อยากรู้ให้แน่ใจที่จุดประสงค์ที่แท้จริงก่อนที่จะตอบ

“ก็เอาไว้ตัดสินใจไงว่าจะลงวิชาของอาจารย์ดีมั้ย เคยได้ยินมาว่าตอนอาจารย์เกื้อเป็นคนสอนได้คะแนนยากมาก ก็เผื่อว่าอาจารย์ภูมิจะไม่เคี่ยวเท่า พี่ก็อาจจะวางแผนไปลงเรียน”

“อืม... ถ้าเรื่องสอนผมว่าพี่ภูมิน่าจะง่ายๆสบายๆ แต่เรื่องสอบนี่ผมไม่แน่ใจเหมือนกัน” วีร์ตอบไปตามความเป็นจริง เพราะเขาก็ไม่เคยอยู่ในฐานะลูกศิษย์ของภูมิ จึงบอกอะไรไม่ได้มากนัก

“อ๋อ โอเค ไม่เป็นไร” พุทธชาติหัวเราะแหะเพราะว่าตัวเขาแถจนมาสุดทางแล้ว ไม่รู้ว่าจะไปต่ออย่างไรดี รวมถึงคนอื่นๆด้วยเช่นกันที่ไม่รู้จะต่อเรื่องราวอย่างไรดีและไม่รู้จะเริ่มชวนคุยเรื่องไหนกันดี

ปัง

มีเสียงดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงหวีดร้องมาจากที่ไกลๆ เริ่มมีผู้คนขยับตัวบางคนเริ่มวิ่ง บางคนก็ยังยืนชะโงกมองดูว่าเกิดอะไรขึ้น จากทิศทางที่แต่ละคนวิ่งหนีออกไปทำให้พอจะคาดการณ์จุดที่เกิดเหตุได้

ปัง

ผู้คนเริ่มแตกตื่นมากขึ้น เสียงร้องดังขึ้นมาเป็นระยะและคนจำนวนมากก็วิ่งผ่านพวกเขาไป สวนทางกับกลุ่มผู้รักษาความปลอดภัยที่วิ่งไปยังที่เกิดเหตุอย่างระมัดระวังตัว เมื่อเห็นคนต่างพากันวิ่งหนี วีส์จึงบอกให้เพื่อนๆและน้องๆรีบออกไปจากบริเวณนี้

ปัง

กระจกหน้าร้านที่อยู่ห่างไปไม่ไกลพวกเขามากนักแตกกระจาย เสียงกรี๊ดร้องดังตามมาติดๆ ความอลม่านเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ วีส์รีบคว้าตัววีร์มากอดไว้เลี่ยงแนววิถีกระสุน แล้วก็พากันวิ่งหลบหนีโดยเอาตัวของเขาบังด้านหลังไว้ ส่วนคนอื่นๆนั้นเขาไม่รู้ว่าวิ่งหลบไปทางไหนบ้าง

ปัง

เสียงกระสุนดังใกล้กับพวกเขามาก พร้อมกันนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งล้มลงนอนห่างจากพวกเขาไม่ไกลนัก น้ำสีแดงเข้มไหลออกมาจากใต้ลำตัวนองไปบนพื้น วีส์รีบดึงตัววีร์ก้มลงมาหลบข้างเสาต้นใหญ่ และคอยลอบมองมือปืนว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน

ปัง

เสียงดังอีกครั้งและมีผู้ชายอีกคนล้มลงใกล้ๆปลายเท้า วีส์หันกลับไปมองก็คนชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเล็งปืนไปที่ผู้ชายที่ล้มลงนอน วีส์จ้องไปที่นัยน์ตาของมือปืนก็เห็นความอาฆาต ความโกรธ และความกลัว มือที่กำลังถือปืนถือมีอาการสั่น นิ้วมือยังคงสอดอยู่ที่ไกปืนอยู่ ปลายกระบอกปืนค่อยๆเลื่อนมาที่พวกเขา

วีส์รู้สึกชาวาบไปทั้งตัว เรื่องร้อยแปดพันประการที่อยากจะทำผุดขึ้นมาในหัวสมอง ใจเริ่มคิดไปต่างๆนานาว่าอาจจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง เขากอดเด็กหนุ่มไว้แน่นและพยายามเอาตัวบังไว้ให้มิด ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ขอให้โดนแต่ตัวเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น

นิ้วมือเหนี่ยวไกปืนครั้งที่หนึ่ง ไม่เกิดอะไรขึ้น ครั้งที่สอง ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น มือปืนเริ่มเหนี่ยวไกปืนถี่ๆจนแน่ชัดแล้วว่าไม่มีกระสุนอีกแล้ว หน่วยรักษาความปลอดภัยเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปใกล้เพื่อจะจับตัว แต่มือปืนรีบวิ่งหนีไป และเมื่อเห็นคงจะไม่มีทางหนีพ้นแล้ว ก็ตัดสินใจกระโดดข้ามกำแพงระเบียงนำพาเอาร่างของตัวเขาเองร่วงลงไปชั้นล่าง

เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย มีหน่วยรักษาความปลอดภัยเข้าไปตรวจดูร่างที่นอนอยู่ เมื่อเห็นว่าไม่พบสัญญาณชีพแล้วทั้งสองคนก็เริ่มกันคนออกจากบริเวณที่เกิดเหตุ รอจนกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้ามาดำเนินการ และเริ่มตรวจตรวจบริเวณโดยรอบเพื่อเข้าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บคนอื่นๆ

“เป็นอะไรมั้ยครับ” มีเจ้าหน้าที่เข้ามาถามวีส์ที่ยังกอดวีร์ไว้แน่น

“ไม่เป็นไรครับ” วีส์ตอบด้วยน้ำเสียงสั่นไม่ต่างไปจากร่างกายของเขา

“แต่เลือดนี่...” เจ้าหน้าที่เข้าตรวจดูใกล้ๆหากเกิดว่ามีบาดแผล

วีร์ได้ยินดังนั้นก็รีบขยับตัวดูก็เห็นว่าที่แขนเสื้อข้างหนึ่งนั้นเปื้อนรอยสีแดงเข้ม

“พี่โดนยิงเหรอ” วีร์จะตรวจดูแผลแต่ก็โดยชายหนุ่มรุ่นพี่คว้ามือเขาไว้เสียก่อน

“พี่ไม่เป็นอะไร นี่เลือดคนตายกระเด็นมาโดน” วีส์รู้สึกโล่งใจขึ้นหน่อยที่ยั้งมือของเด็กหนุ่มไว้ได้ทัน เพราะไม่รู้ว่าคนที่เสียชีวิตไปแล้วนั้นจะมีโรคติดต่ออะไรอยู่บ้าง ถ้าจะเกิดอะไรขึ้นก็ขอให้เขาเป็นคนเดียวก็พอแล้ว

“โอเค ถ้าไม่เป็นอะไรทั้งคู่ เดี๋ยวช่วยขยับไปที่จุดปฐมพยาบาลก่อนนะครับ จะมีเจ้าหน้าที่อำนวยการคอยให้ความช่วยเหลืออยู่ ตรงนี้จะได้กันเป็นพื้นที่ควบคุมรอเจ้าหน้าที่ตำรวจมาดำเนินการต่อนะครับ”

“ได้ครับ” วีส์ตอบรับแล้วก็ช่วยเด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วรวมตัวกับคนอื่นๆ

ตรงจุดบริการที่ตั้งขึ้นเป็นการเฉพาะมีเจ้าหน้าที่กำลังปฐมพยาบาลให้กับคนที่ได้รับบาดเจ็บ เจ้าหน้าที่บางคนก็สอบถามข้อมูลเพื่อติดต่อสำหรับการชดเชยภายหลัง เจ้าหน้าที่คนอื่นๆที่เหลือก็กันบริเวณโดยรอบตั้งแต่จุดเริ่มเกิดเหตุไปจนถึงบริเวณที่คนร้ายกระโดดจาดระเบียงลงไป รวมถึงพื้นที่รอบศพคนร้ายที่ชั้นล่างด้วย

“ได้รับบาดเจ็บตรงไหนมั้ยคะ” เจ้าหน้าที่หญิงสอบถามเมื่อทั้งสองคนเดินมาถึง

“ไม่มีครับ” วีส์เป็นคนตอบคนแรก

เจ้าหน้าที่จึงหันไปหาวีร์ ซึ่งวีร์ก็ส่ายหน้าตอบว่าไม่เป็นอะไร อย่างน้อยก็ไม่ได้เกิดจากเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้น เขาแค่รู้สึกเจ็บที่หน้าอกเพราะอ้อมแขนของชายหนุ่มร่างสูงที่กอดเข้าไว้แน่น ไปกดทับแหวนหยกสีแดงที่เขาใส่คล้องคอไว้ หากเปิดเสื้อดูตอนนี้ก็คงจะเห็นเป็นรอยรูปวงกลมอยู่เป็นแน่

“งั้น เดี๋ยวช่วยกรอกข้อมูลให้หน่อยนะคะ ทางห้างของเราจะได้ดำเนินการติดต่อไปในภายหลัง” เจ้าหน้าที่หญิงยื่นแผ่นกระดาษและปากกาให้ทั้งสองคน

“ไม่ต้องครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง” วีส์บอกปฏิเสธทั้งของตัวเขาและของเด็กหนุ่มด้วย

“ไม่ได้คะ ทางผู้บริหารมีคำสั่งให้เข้าช่วยเหลือผู้ประสบเหตุทุกคนคะ” เจ้าหน้าที่หญิงยังคงยืนยัน

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง” วีส์ยังคงยืนยัน ด้วยฐานะของเขาการชดเชยจากผู้บริหารห้างสรรพสินค้าแห่งนี้กับการช่วยเหลือจากครอบครัวก็ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ “ผมขอเสื้อมาเปลี่ยนก็พอแล้วครับ”

เจ้าหน้าที่หญิงไม่แน่ใจว่าจะตัดสินใจจากกรณีนี้อย่างไรดี แต่ก็ไปหาเสื้อตัวใหม่มาให้เปลี่ยนตามคำขอแล้วเธอก็ไปปรึกษาหัวหน้างานของเธอ

วีร์เห็นว่ามีรอบเลือดเปื้อนไปที่ท่อนแขนตอนที่วีส์ถอดเสื้อออก เขาจึงไปขออุปกรณ์จากเจ้าที่ปฐมพยาบาลเพื่อมาเช็ดเลือดออกให้ แต่เพราะว่าไม่ได้สวมถุงมือ วีส์จึงห้ามไว้และให้เจ้าหน้าที่เป็นคนจัดการแทน แล้ววีส์ก็สวมเสื้อใหม่ที่ได้รับมา


*****


หลังจากที่รอจนเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงและได้ให้ข้อมูลไปครบถ้วนแล้ว วีส์ก็มองหาเพื่อนๆและน้องๆว่าอยู่ที่ไหนกัน จนไปเห็นวิธูที่โบกไม้โบกมืออยู่ด้านนอกบริเวณที่ถูกกันเป็นพื้นที่ควบคุมไว้ วีส์จึงชวนวีร์เดินออกไปหาทุกคน

“พี่เป็นอะไรมั้ย ไอ้อ้วนมึงยังอยู่ดีนะ” วิธูถามทั้งสองคน

“กูไม่เป็นอะไร” วีส์ตอบน้องชายของเขา

“เฮ้อ โล่งอก ก็ตอนแรกเห็นติดอยู่ข้างในนึกว่าจะเป็นอะไรกัน” วิธูรู้สึกสบายใจมากขึ้น

“ตำรวจเขาขอให้อยู่เพื่อถามข้อมูลเพื่อว่าเป็นจะพยานอะไรได้บ้าง พอไม่มีอะไรแล้วเขาก็ปล่อย” วีร์อธิบายเพิ่มเติมให้เพื่อนเข้าฟัง

“กูน่ะใจหายวาบตอนหันไปเห็นพี่กับมึงนอนอยู่บนพื้น ไอ้เหี้ย กูคิดอะไรไม่ออกเลย ไม่รู้จะโทรหาใครก่อนดี” วิธูยังคงมีอาการตื่นตระหนกอยู่บ้าง

วีร์นั้นไม่ได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตัวเขาถูกชายหนุ่มร่างสูงคล่อมบังไว้แนบกับตัวเสา ได้ยินแต่เสียงดัง แกร๊ก อยู่สองสามครั้ง ก่อนที่จะได้ยินเสียงหน่วยรักษาความปลอดภัยวิ่งไล่คนร้ายไป

“กูไม่เป็นอะไรแล้ว” วีร์ยืนยันคำตอบกับเพื่อนของเขา

“ดีแล้ว” วิธูหายใจลึกอีกครั้ง “เนี่ยไอ้ปันก็โทรมา เห็นว่าออกข่าวไปทั่วประเทศแล้ว มันรู้ว่าพวกเรามาห้างกันมันก็เลยรีบโทรมาถามว่ามีใครเป็นอะไรมั้ย”

“แล้วมึงตอบไว้ว่ายังไง” วีส์ถามน้องชายของเขา

“จำไม่ได้แล้วว่าพูดอะไรไปบ้าง แต่มันเพิ่งโทรมาอีกรอบว่าตอนนี้แม่พี่กำลังซิ่งรถกลับมา อีกสักสองชั่วโมงคงจะมาถึง”

วีส์ถอนหายใจแล้วก็ส่ายหน้า ตัวเขาก็พอจะรู้ระดับความเร็วของรถยนต์ที่แม่ของเขาเป็นคนขับ เดินทางไกลข้ามจังหวัดปกติก็รวดเร็วอยู่แล้ว คิดว่ากรณีนี้ก็คงจะยิ่งเร็วมากขึ้นไปอีก

“แล้วนี่คนอื่นๆไปไหนกันหมด” วีส์ถามแล้วก็มองดูรอบๆ

ส่วนวีร์ก็ถูกกระชากจนตัวหมุนไปตามแรง ศศิทัศน์จับตัววีร์หันซ้ายขวา จับแขนแต่ละข้างขึ้นดู แล้วเอามือลูบตั้งหัวลงไปตลอดลำตัว

“ไอ้ตี๋เล็ก กูไม่เป็นอะไร” วีร์บอกให้เพื่อนได้สบายใจ

“ไอ้เหี้ย กูนึกว่ามึงจะเป็นอะไรไปแล้ว ถ้าพวกนี้ไม่ดึงกูไว้ กูคงวิ่งไปหามึงแล้วตอนที่มือปืนเล็งปืนมาที่มึง” ศศิทัศน์พูดด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกอยู่ ซึ่งก็ทำให้วีร์ได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงถูกบังตัวไว้แบบนั้น แล้วศศิทัศน์ก็โผเข้ากอดวีร์ไว้แน่น

“ไอ้กิ่งไอ้ก้านมันใช้เส้นสายไปคุยกับเจ้าหน้าที่มา เห็นเขาบอกว่าปืนที่คนร้ายใช้น่ะ ว่าจริงๆแล้วยังเหลือลูกกระสุนคิดติดอยู่ในซองลูกนึง” สุรศักดิ์อธิบายเพิ่มเติมว่าทำไมพวกเขาถึงรู้สึกตกใจกลัวกัน

วีร์ไปหาคู่แฝดนพชัยและชัยทิศซึ่งต่างก็พยักหน้ายืนยันว่าเป็นความจริง แล้ววีร์ก็หันมองชายหนุ่มรุ่นพี่ คิดถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ว่าวันนี้พวกเขาอาจจะไม่มีชีวิตอยู่รอดแล้วก็เป็นไปได้

เป็นเพราะตัวเขาเองหรือเปล่า


*****


#VVGo4Launch


[โปรดติดตามตอนต่อไป]


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด