ตอนที่ 8 ผู้บุกรุก
วาลเซอิคคือคนที่ลึกลับสำหรับเขา
วาลเซอิคไม่ได้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้
วาลเซอิคมักจะเดินทางมาบ่อยครั้งแต่ก็เน้นเจาะจงเฉพาะตอนเย็นหรือค่ำ
หลังจากปรากฏตัวแล้ว วาลเซอิคก็จะออกจากหมู่บ้านไป ไม่ว่าเวลานั้นจะเป็นย่ำรุ่งหรือกลางดึกเจ้าตัวก็จะเดินออกไปราวกับเป็นเวลาปกติที่ไม่มีสิ่งใดน่ากังวล
วาลเซอิคจะปรากฏตัวพร้อมเสื้อผ้ามีราคาและเงินทองราวกับเป็นขุนนางร่ำรวย แต่กลับไม่เคยเห็นเจ้าตัวมีรถม้าหรือกระทั่งม้าส่วนตัว ผู้ติดตามก็ไม่เคยเจอแม้แต่ครั้งเดียว
วาลเซอิค...คือคนที่อยู่ ๆ ก็มีตัวตนขึ้นมาโดยไม่มีปี่ขลุ่ย
.....แน่หรือ?
ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกแบบนั้นไปเสียทั้งหมด...เหมือนกับว่าช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตที่ผ่านมาเขาเคยรู้จักเด็กชื่อนี้มาก่อนแล้ว
วาลเซอิค...ไม่ใช่ชื่อที่ได้ยินจากคน ๆ นี้เป็นครั้งแรกหรอกหรือ? ถ้าอย่างนั้นทำไมเขาถึงได้ลืมเด็กคนนั้นไปได้? แล้วจะบังเอิญเกินไปหรือเปล่าที่มีคนชื่อเดียวกันโผล่ออกมาทั้งที่ไม่ใช่ชื่อโหลหรือมีความหมาย ซ้ำอายุของเด็กคนนั้นตอนนี้คงไม่ต่างจากวาลเซอิคคนนี้มานัก
วาลเซอิคคือปริศนา...ที่อาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านก็เป็นได้
แต่เรื่องนี้ใครจะเชื่อ มันเป็นเพียงข้อสันนิษฐานเลื่อนลอยที่เกิดจากลางสังหรณ์ของเขาเอง
และเหตุที่เขายิ่งรู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติเกี่ยวกับวาลเซอิคมากขึ้น ก็เพราะหลังจากอีกฝ่ายมาพบเขาก็แสดงพิรุธบางอย่างออกมาก่อนจะรีบจากไป ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะแอบตามออกไปอย่างเงียบ ๆ เพื่อดูว่าเจ้าตัวคิดจะไปที่ใด แต่สิ่งที่เขาพบนั้นแปลกประหลาดอย่างเหลือเชื่อ เพราะวาลเซอิคเดินออกไปที่ชายป่า ที่นั่นไม่มีบ้านคนอยู่ มีแต่กระท่อมของพวกที่ล่าสัตว์หรือหาของป่าเท่านั้น ไม่มีม้าหรือรถม้า ไม่มีคนรออยู่ วาลเซอิคหยุดยืนครู่หนึ่ง มองซ้ายขวาเหมือนหาอะไรบางอย่าง ก่อนที่จะเดินเข้าป่าไป
แน่นอนว่าเขาไม่ได้หยุดแค่นั้น เขาตามอีกฝ่ายเข้าไปในป่า แต่น่าแปลกที่วาลเซอิคไม่หยุดเดินเลย และท่าทางการเดินเหมือนคุ้นเคยที่ทางในป่าเป็นอย่างดี และจนกระทั่งมาถึงเขตรกชัฏซึ่งไม่มีใครมาหักร้างถางพก ไม่มีทางเกวียน มีแต่ต้นไม้และหญ้าชื้นแฉะ วาลเซอิคก็เดินหายเข้าไปในความมืดของผืนป่านั้น...
สถานที่ซึ่งไม่มีใครกล้าเหยียบย่าง....
สถานที่ซึ่งมนุษย์ทุกคนต่างหวาดกลัว...
สถานที่...ซึ่งถูกสาปให้ตกอยู่ในความมืดมิดและโดดเดี่ยว...
ตำนานนั้นอาจเป็นแค่เรื่องเล่าที่ไร้สาระ แต่นับเป็นเวลาสามร้อยปีแล้วที่ไม่มีใครกล้าฝ่าฝืนคำเตือนของเรื่องเล่าเก่าแก่นั้น แต่วาลเซอิคกลับเดินเข้าไปในสถานที่นั้นโดยไร้ความหวาดหวั่น มนุษย์ปกติธรรมดาที่ไหนจะกล้าเดินเข้าป่าพกรกเรื้อเพียงลำพังโดยไม่พกพาของมีคมและไม่มีท่าทางการระแวดระวังภัย
มีทางเดียวที่เป็นไปได้คือ....เจ้าตัวอาศัยอยู่ที่นั่น
แปลว่าในแดนต้องสาปมีคนอาศัยอยู่หรือ?
ไม่ใช่แค่คนธรรมดา...แต่เป็นผู้มีอันจะกินด้วย ไม่อย่างนั้นมีหรือจะมีเงินทองมาป้อนที่พี่สาวเขาเรื่อย ๆ ซ้ำเครื่องแต่งกายก็ไม่เหมือนชาวบ้านธรรมดาสักนิด
เรื่องนี้...เขาคงต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองเสียแล้ว...
--------------------->
วาลเซอิคกำลังเดินวนไปวนมาในห้องหนังสือ เขามารอเซเอลที่นี่ตั้งแต่เมื่อคืนแต่เซเอลก็ไม่อยู่ จนกระทั่งถึงตอนเช้าที่ทุกคนหลับนอนกันหมดเขาก็ออกไปล่าสัตว์และพาเซราฟกับวอเรนไปเดินเล่น จนเย็นย่ำเขาจึงกลับมาที่ปราสาทอีกครั้งซึ่งทุกคนตื่นกันหมดแล้ว เขาก็ยังคงไม่พบเซเอล เกิดอะไรขึ้น? เซเอลหายไปไหนในเวลาอย่างนี้? เซเอลกับปราสาทหลังนี้เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน มีหรือที่อีกฝ่ายจะทิ้งปราสาทแล้วหายตัวไปดื้อ ๆ อย่างนี้ คนอื่น ๆ ก็ดูเหมือนจะไม่รู้ว่าเจ้าตัวหายไปไหน
“เจ้าน่าจะไปนอนพักนะ เดี๋ยวนายท่านกลับมาข้าค่อยไปปลุกก็ได้” อาร์วิน่าเห็นวาลเซอิคอดตาหลับขับตานอนรอเซเอลก็นึกสงสัยอยู่ในใจว่าเจ้าตัวมีธุระสำคัญอะไร โดยปกติแล้ววาลเซอิคก็ดูสนิทกับเซเอลมากกว่าพวกเธอเสียอีก ไม่น่าจะมีเรื่องรีบเร่งขนาดนี้ได้
“ข้ายังไม่ง่วง...” ความคิดต่าง ๆ รบกวนใจของเขาจนนอนไม่หลับ
“แล้วไม่ออกไปกับคัลดิชคัลมาร์หรือไง? สองคนนั้นบอกว่าระยะนี้เจ้าดูเครียด ๆ ชวนไปหาอะไรทำในป่าก็ไม่ไป” หญิงสาวมุ่นคิ้วพลางเท้าเอว “ข้าก็เห็นด้วยกับพวกเขานะ เจ้าน่ะระยะนี้ทำตัวแปลก ๆ หรือเปล่า จะไปสนิทสนมกับพวกมนุษย์ข้าก็ไม่มีปัญหาหรอก แต่ปัญหาของพวกมนุษย์ ผู้ต้องสาปอย่างพวกเราคงช่วยเจ้าไม่ได้มาก ถึงอย่างนั้นถ้าเจ้าพูดออกมาอาจจะแนะนำได้นิดหน่อย ว่าไงล่ะ?”
วาลเซอิคมองอาร์วิน่าที่เสนอตัวช่วยด้วยท่าทางของพี่สาวสุดเฮี้ยบตามปกติของเจ้าตัวก่อนถอนหายใจแล้วยิ้มให้
“ไม่ใช่เรื่องอะไรเกี่ยวกับมนุษย์หรอก”
“งั้นก็เรื่องเกี่ยวกับพวกเรา?” การที่วาลเซอิคจะสงสัยอะไรเกี่ยวกับเรื่องของผู้ต้องสาปไม่ใช่เรื่องผิดแปลก เพราะยิ่งวัน ความแตกต่างระหว่างพวกเขาก็ยิ่งมากขึ้นจนกลายเป็นช่องว่างที่ยากจะก้าวข้ามไปได้ ถึงอย่างนั้นทุกคนก็แค่ทำเป็นมองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้และดำเนินชีวิตไปตามปกติ
แต่อาร์วิน่าก็ไม่คิดว่าวาลเซอิคจำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องของพวกเขา ส่วนที่เจ้าตัวควรรู้ ก็น่าจะรู้ไปหมดแล้วตลอดช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน
วาลเซอิคมีท่าทางลำบากใจอยู่นิดหน่อยก่อนจะพูดออกมา
“ที่หมู่บ้านพูดกันถึงตำนานผู้ต้องสาป...ข้าก็คิดว่าเป็นพวกเจ้าแน่นอน และ....เล่ากันว่าผู้ต้องสาปไม่กินเลือดมนุษย์เพราะข้อตกลงเพื่อที่ต่างคนจะได้ต่างอยู่อย่างสงบ” อาร์วิน่าเงียบฟังสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามพูดโดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมาเป็นพิเศษ “ถึงเรื่องพวกนั้นจะเป็นเรื่องเล่า แต่พวกเจ้าก็ไม่ดื่มกินเลือดมนุษย์กันจริง ๆ แสดงว่ามันน่าจะมีส่วนที่เป็นเรื่องจริงอยู่ไม่มากก็น้อย”
“ก็ราว ๆ นั้น” อาร์วิน่าไม่ได้ปฏิเสธแต่ก็ไม่ตอบรับ
“แล้วจะเป็นไปได้หรือเปล่า...ที่พวกเจ้าจะ...”
“หมายถึงพวกข้าคนหนึ่งจะแหกกฎตามนิยายของพวกมนุษย์ไปไล่ดูดเลือดคนในหมู่บ้านหรือเปล่าน่ะหรือ?” หญิงสาวเลิกคิ้วพลางส่งเสียง ‘เหอะ’ ในคอ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าสงสัยใครกัน ในปราสาทนี้ไม่มีคนที่เจ้าไม่รู้จักอยู่หรอก” เธอว่าแล้วก็ผายมือออกให้วาลเซอิคลองพูดสิ่งที่ตัวเองคาดเดาเอาไว้ออกมา
“ข้า...” แต่วาลเซอิคกลับไม่กล้าพูด เขาเริ่มต้น และเงียบไป...
“นายท่านใช่หรือเปล่า?”
นัยน์ตาสีเขียวเลื่อนหลบอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
อาร์วิน่าพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอกแล้วส่ายศีรษะ
“หากเจ้าสงสัยข้าหรือเจ้าแฝดสองคนนั้นยังจะเข้าเค้าเสียกว่า เพราะนายท่านคือผู้ที่เป็นไปได้น้อยที่สุด” เธอว่าด้วยสีหน้าจริงจัง
วาลเซอิคมุ่นคิ้ว
“เจ้าหมายความว่ายังไงกัน?”
อาร์วิน่าถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
“เจ้าอยู่กับพวกเรามาก็นานแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ยังมีแต่ความสงสัยไม่สิ้นสุด ตอนเจ้าเด็ก ๆ เจ้าเคยตั้งคำถามกับนายท่านว่าอะไรเจ้าจำได้หรือเปล่า?” เธอเว้นช่วงแล้วมองวาลเซอิคซึ่งกำลังพยายามนึกถึงตนเองในวัยเด็ก แต่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนั้น เด็กอายุเพียงสิบสามปีคงลืมมันไปแล้ว เธอจึงกล่าวต่อ “เจ้าถามว่า วันหนึ่งนายท่านจะดื่มกินเลือดของเจ้าด้วยหรือไม่”
“ตอนนั้นเอง...” วาลเซอิคนึกขึ้นมาได้ในที่สุด
“นายท่านตอบเจ้าว่า ถึงจะอยากดื่มเลือดของเจ้าก็แตะต้องไม่ได้”
“ใช่ ข้าจำได้แล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะดื่มของคนอื่นไม่ได้”
“....เปล่า นายท่านหมายความอย่างนั้น” อาร์วิน่าจ้องมองวาลเซอิคด้วยสีหน้าจริงจัง “นายท่านคือผู้ต้องสาปคนเดียวในปราสาทหลังนี้ ที่ถึงแม้จะหิวกระหายเลือดของมนุษย์มากแค่ไหนก็ไม่อาจแตะต้องได้ ตราบใดที่เขายัง....” อยู่ ๆ อาร์วิน่าก็หยุดพูดไปเพราะรู้สึกว่าตนเองพูดเกินความจำเป็นไปแล้ว
วาลเซอิคมุ่นคิ้ว
“ตราบใดที่?”
“ข้าไม่แน่ใจว่านายท่านพร้อมจะให้เจ้ารับฟังเรื่องนี้หรือยัง”
อย่างที่อาร์วิน่าเคยบอกไว้ ผู้ต้องสาปในปราสาทนี้ต่างก็ต้องการความเป็นส่วนตัวเพื่อให้มีพื้นที่เก็บเรื่องของตนเองเอาไว้อย่างเงียบ ๆ ดังนั้นจึงไม่มีใครสอดปากเข้ามาพูดเรื่องของคนอื่นมากเกินความจำเป็น ไม่ว่าจะรู้จริงหรือไม่ และนั่นเป็นเสมือนเส้นบาง ๆ ที่ทำให้พวกเขาอยู่ด้วยกันได้อย่างปกติสุขโดยไม่ก้าวก่ายกันและกัน ต่างคนต่างก็มีพื้นที่ที่จะเก็บเรื่องราวเบื้องหลังของตนเองเอาไว้และไม่มีใครสนใจเข้าไปขุดคุ้ย แต่เส้นบาง ๆ นั้นเริ่มถูกสั่นคลอนเมื่อวาลเซอิคต้องการคำตอบสำหรับข้อสงสัยในใจของตัวเอง
สำหรับมนุษย์แล้วคงเป็นเรื่องยากที่จะไม่ตั้งคำถาม...
“ข้าคงต้องถามเอาจากเซเอลเอง” วาลเซอิคสรุปออกมา เพราะอาร์วิน่าไม่น่าจะยอมพูดอะไรมากกว่านี้ แต่ในตอนที่เขาตัดใจคิดจะกลับไปรอที่ห้องนอนนั้นเอง สายตาอาร์วิน่าก็มองออกไปที่หน้าต่างด้วยแววตาแข็งกร้าวอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน “เกิดอะไรขึ้น?”
“ผู้บุกรุก” เธอตอบเพียงสั้น ๆ ก่อนสาวเท้าไปยังหน้าต่างและเปิดมันออก ก่อนที่วาลเซอิคจะถามต่อ อาร์วิน่าก็พุ่งตัวออกไปนอกหน้าต่างเสียแล้ว
เด็กหนุ่มวิ่งไปที่หน้าต่าง และเห็นหญิงสาวในชุดสีแดงลงไปยืนอยู่บนพื้นด้านหน้าปราสาท และในวินาทีต่อมา เธอก็พุ่งตัวเข้าป่าไปด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ
แม้ผู้ต้องสาปจะมีหลายสิ่งหลายอย่างแตกต่างกับมนุษย์ ทั้งกำลังกาย ความเร็ว และอายุขัย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่วาลเซอิคได้เห็นพฤติกรรมที่แสดงออกถึงขีดจำกัดที่เหนือมนุษย์อย่างชัดเจนถึงขนาดนี้ ด้วยปกติแล้ว ทั้งอาร์วิน่า คัลดิช คัลมาร์ และเซเอลจะพยายามใช้ชีวิตปกติไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไปให้มากที่สุดต่อหน้าเขา หากผู้ต้องสาปทุกคนมีความสามารถที่เหนือมนุษย์ถึงขนาดนี้แล้ว...การฉีกกระชากร่างเนื้อจะยากสักแค่ไหนกัน...
ไม่สิ นี่ไม่ใช่เวลาคิดเรื่องแบบนั้น...
อาร์วิน่าบอกว่ามีผู้บุกรุก...แปลว่ามีคนเข้ามาในเขตของผู้ต้องสาปหรือ?
ท่าทางของอาร์วิน่าตอนพุ่งออกไปนั้นไม่ได้มีวี่แววของการรอมชอมหรือการเจรจาแม้แต่น้อย อีกทั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยมีมนุษย์รุกล้ำเข้ามาในอาณาเขต มนุษย์ที่บุกรุกเข้ามาจะต้องพบเจอการตอบโต้แบบไหนกัน เมื่อคิดถึงผลที่ตามมาแล้วเขาเองก็คงอยู่เฉยอย่างนี้ไม่ได้
วาลเซอิครีบร้อนวิ่งลงไปข้างล่างและออกประตูปราสาท และด้วยความรีบร้อนนั้นทำให้เขาไม่ทันสังเกตความผิดปกติบางอย่าง....ประตูของปราสาทที่ส่งเสียงครางตอนขยับ รอยแตกร้าวเล็ก ๆ บนบานประตู และสนิมที่เริ่มเกาะกินประตูหน้า...
------------------------>
“ดูเหมือนวันนี้จะมีสัตว์แปลก ๆ หลงเข้ามานะ” เงาร่างหนึ่งบนต้นไม้กล่าวพลางจับจ้องไปยังสิ่งมีชีวิตซึ่งค่อย ๆ ย่างก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง ในมือข้างหนึ่งถือคบไฟ อีกข้างถือมีดพร้าถางพง สายตาสอดส่ายไปรอบข้างอย่างระแวงต่อสถานที่ที่ตนไม่คุ้นเคย “เจ้าว่าเลือดของมันจะอร่อยหรือไม่คัลมาร์?”
“เป็นสัตว์ที่คุ้นตาไม่ใช่น้อย แค่คิดกลิ่นเลือดก็กระสาเข้าจมูกแล้ว” คัลมาร์ตอบกลับพลางหัวเราะหยอกล้อกับแฝดของตนเอง เพียงแต่คงไม่ใช่เรื่องตลกนักสำหรับผู้เป็นหัวข้อสนทนา
“ร่างกายใหญ่โตแบบนั้น เลือดคงไหลเวียนเต็มทั้งร่าง” คัลดิชเลียริมฝีปาก นานแสนนานแล้วที่พวกเขาไม่ได้ดื่มกินเลือดของมนุษย์ด้วยเซเอลได้ทำสัญญาแลกเปลี่ยนถ้อยคำกับมนุษย์คนหนึ่ง แม้ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับคำสัญญานั้น แต่เพราะเซเอลเป็นเจ้าของปราสาท พวกเขาซึ่งอยู่ในฐานะต่ำกว่าจึงต้องยินยอมละเว้นสิ่งที่เจ้าอาณาเขตไม่ปรารถนาไปด้วย ทำให้พวกเขาไม่ได้ลิ้มรสเลือดอันหอมหวานอีกเลย
ถึงอย่างนั้น...การที่มีผู้เหยียบย่างรุกล้ำเข้ามาพวกเขาย่อมมีสิทธิจัดการอย่างไรก็ได้...
เพราะแต่เดิมมันก็เป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะจัดการมนุษย์ที่บุกรุกอาณาเขตอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?
“เช่นนั้นพวกเราควรจะลงไปต้อนรับเสียหน่อย ว่าไหม?” และโดยไม่ต้องรอคำตอบ ทั้งคัลดิชและคัลมาร์ก็ทิ้งตัวลงจากต้นไม้ซึ่งใช้ซุกซ่อนตัวตนอยู่ถึงเมื่อครู่ และยืดตัวยืนขวางทางชายหนุ่มร่างสูงซึ่งกำลังมุ่งหน้าแหวกทางเข้าใกล้เขตของปราสาทมากขึ้นเรื่อย ๆ
แน่นอนว่าการปรากฏตัวอย่างกะทันหันสร้างความตกตะลึงให้แก่ผู้มาเยือนเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มรีบตั้งสติยกคบไฟและมีดจ่อมาข้างหน้าในท่าพร้อมตอบโต้ ในใจนึกสงสัยไปต่าง ๆ นานาว่าสองคนตรงนี้เป็นใคร โผล่ออกมาจากไหน และมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แต่คำถามทั้งหมดนั้นก็อยู่แค่เพียงในความคิด ไม่ได้ออกมาจากปากแต่อย่างใด ทำให้ชายหนุ่มปริศนาทั้งสองยังคงยิ้มกลับมาให้อย่างเงียบงัน
แต่ไม่รู้ว่าทำไม...เขาจึงรู้สึกเหมือนตนเองกำลังถูกจ้องมองด้วยสายตาของนักล่าที่จับจ้องเหยื่อซึ่งไร้ทางสู้ และความนิ่งเงียบนั้นคงจะเป็นการสังเกตปฏิกิริยาของเขา
“....พวกเจ้าเป็นใคร....” เขาสูดหายใจลึก ระงับความตื่นตระหนกและตีสีหน้าเคร่งเครียดปกปิดความหวาดหวั่นที่บังเกิดขึ้น เสียงของเขามีวี่แววสั่นเครือเล็กน้อย เหงื่อเย็นเยียบผุดออกมาจนรู้สึกชื้น บางที...มันอาจจะเป็นคำเตือนว่าเขาไม่ควรเผชิญหน้ากับสิ่งนี้....ทั้งที่มองภายนอกก็เป็นผู้ชายรูปร่างผอมบางธรรมดาแท้ ๆ แต่สายตาของพวกนั้นกลับทำให้รู้สึกเหมือนมีบางสิ่งไต่ขึ้นมาตามแผ่นหลัง ซ้ำดวงตาสีแดงราวกับเลือดนั่น....หรือว่า....สองคนนี้จะเป็นสิ่งที่เรียกกันว่าผู้ต้องสาป...
เรื่องนั้นมันควรจะเป็นแค่เรื่องเล่าไม่ใช่หรือ?
แค่เรื่องเล่าปรัมปราของคนเก่าคนแก่เท่านั้น...
ฝาแฝดสองคนมองหน้ากันพลางกลอกตา เหมือนกำลังคิดว่าตนเองจำเป็นต้องตอบคำถามนั้นหรือไม่
“ผู้ล่าไม่จำเป็นต้องขานนามกับเหยื่อกระมัง?” คัลดิชเอ่ยขึ้นมา
ผู้ล่า?
เหยื่อ?
ชายหนุ่มกลืนน้ำลายหนืดลงคอ เหยื่อที่พูดออกมานั้นหมายถึงเขาไม่ผิดแน่ ถ้าหากสองคนนี้คือผู้ต้องสาปที่ว่ามาจริง ๆ เลือดมนุษย์ก็คืออาหารชั้นเยี่ยม
เดี๋ยวสิ เลือดมนุษย์หรือ?
หากผู้ต้องสาปมีตัวตนอยู่จริงแล้ว...เหตุการณ์การตายในหมู่บ้านอาจจะมาจากคนพวกนี้ก็เป็นได้...
สมองของเขาประมวลผลออกมาอย่างรวดเร็ว เขาตามวาลเซอิคเข้ามาในป่านี้โดยคิดว่าอาจจะมีสถานที่ที่ตนเองไม่รู้จักอยู่ ทว่ากลับเจอผู้ชายสองคนที่คล้ายจะไม่ใช่มนุษย์ปุถุชนซึ่งสอดคล้องกับการตายอย่างปริศนาของผู้คนในหมู่บ้านตลอดช่วงที่ผ่าน คนเหล่านั้นต่างถูกฉีกกระชากร่างกายอย่างน่าสยดสยองราวกับเขี้ยวและกรงเล็บของสัตว์ป่า แต่กลับไม่มีใครเคยเห็นแม้แต่เงาของสัตว์ป่าที่ว่านั่น แล้วเขาจะคิดเป็นอื่นได้ยังไงกัน?
วาลเซอิค...คือเหยื่อล่อของผู้ต้องสาปที่หลบเร้นกายเหล่านี้!
“บัดซบ” ชายหนุ่มกัดฟันกรอด “ไอ้ลูกหมานั่น....”
“ดูเหมือนเขาจะไม่ได้สนใจพวกเราเลยนะ” คัลมาร์พูดกับแฝดของตนเอง
“อาจจะกลัวจนสติแตกไปแล้วก็ได้ เลือดคนบ้าจะแตกต่างจากคนปกติแค่ไหนข้าก็ไม่รู้ด้วยสิ” คัลดิชไหวไหล่ก่อนจะเห็นบางสิ่งจากหางตาและดีดตัวหลบไปด้านหลัง มีดพร้าสำหรับถางกอหญ้าวาดผ่านหน้าเขาและคัลมาร์อย่างฉิวเฉียดเส้นยาแดงผ่าแปด และยังไม่ทันจะตั้งตัวได้ติด มีดเล่มนั้นก็ถูกเงื้อขึ้นอีกครั้ง คัลดิชเห็นว่ามันกำลังจะสับลงมาทางตน จึงยกขาเตะบริเวณข้อมืออีกฝ่ายทันที
แรงปะทะที่เกินกว่าผู้ชายรูปร่างเล็กคนหนึ่งจะทำได้ ทำให้ชายหนุ่มปล่อยมีดหลุดมือไปและทรุดลงกุมข้อมือตนเอง