ขอโทษที่ทำให้ทุกท่านรอนานนะคะ เพิ่งกลับมาสดๆร้อนๆ รับไฟล์มาจากดราฟมะกี้เลย 555
เราเองก็ยังไม่ได้อ่านตอนจบนี้เหมือนกัน ดังนั้น ไปอ่านตอนที่ทุกท่านรอคอยกันมานานเลยดีกว่าาาาา
______________________________________________________
คุณเชื่อเรื่องความบังเอิญไหม? ผมก็เป็นคนที่เชื่อเรื่องแบบนี้อยู่เหมือนกัน หากแต่ว่า......ในบางครั้งที่คุณรู้สึกว่าเรื่องที่เจอเป็นเรื่องบังเอิญ แต่อันที่จริงแล้ว.....มันอาจจะเป็นการจงใจทำให้เกิดอย่างไม่น่าเชื่อก็ได้
“ยอร์ชทำอะไรอยู่หรือตั้งทัพ?”ผมถามโดยที่ไม่เงยหน้าจากจานขนมที่ยังจัดอยู่เบื้องหน้าวันนี้ทั้งผมและนายยอร์ชต่างก็ไม่ได้ไปทำงานทั้งคู่ ตั้งแต่เช้ามานายตัวดีก็เริ่มแผลงฤทธิ์ความเอาแต่ใจ เขาสั่งให้ตั้งทัพออกไปซื้อข้าวของอะไรก็ไม่รู้ที่ตลาดตั้งแต่เช้าก่อนที่ผมจะเตรียมตัวเสร็จ ส่วนคนขับรถคนอื่นก็ไล่ให้ไปทำงานอื่นกันหมดจนผมไม่รู้จะทำยังไงจึงตัดสินใจจะเดินไปเรียกแท็กซี่เองแต่เขาก็ยังโวยวายจนในที่สุดผมก็ต้องอยู่บ้านเฉยๆ ทั้งวัน
เขาจะรู้บ้างไหมนะ.....ว่าการที่เขายิ่งทำแบบนี้มันก็ยิ่งทำให้ผมอึดอัด ในเมื่อที่นี่ไม่ใช่บ้านของผม และผมก็รู้สึกไม่ดีทุกครั้งที่ตัวเองได้รับอภิสิทธิ์ด้านการทำงานมากกว่าคนอื่น......
“คุณชายดูบอลอยู่ที่ห้องนั่งเล่นครับ คุณภามมีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ”ตั้งทัพถามผมหลังจากให้คำตอบแล้ว
“ไม่มีอะไรมากหรอก แค่จะปั่นน้ำผลไม้อีกอย่าง”ผมละความสนใจจากจานขนมแล้วเริ่ม
หันไปเปิดดูผลไม้สดชนิดต่างๆ ที่แช่เอาไว้ในตู้เย็น
“งั้นเดี๋ยวผมช่วยล้างให้นะครับ”ตั้งทัพว่าแล้วมาหยิบผลไม้จากมือผมไปล้างที่อ่าง และในการปั่นน้ำผลไม้ครั้งนี้ผมก็ได้ตั้งทัพเป็นลูกมือให้ทำให้ทุ่นแรงไปได้มาก
“ได้ยินเสียงยอร์ชคุยกับใครน่ะ มีใครมาหรือ?”ผมถามขณะที่เรียงทั้งน้ำผลไม้และขนมใส่ถาดเล็กๆ เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้กำลังจะยกออกไปเสิร์ฟให้นายตัวดีที่คงจะใกล้หายเป็นปกติเต็มที
“คุณหมอมาตรวจเฝือกให้ครับ ถ้าหายดีแล้วพรุ่งนี้ก็คงได้ตัดเฝือกออก”ตั้งทัพว่าแล้วเข้ามาฉวยถาดบนโต๊ะออกไปก่อนที่ผมจะยกแล้วรอให้ผมเดินนำออกไปจากครัว ผมพยักหน้าว่ารับรู้เล็กน้อยแล้วเดินนำออกไป
ที่ห้องนั่งเล่น ผู้ชายในชุดสีขาวตัวสูงนั่งหันหลังให้ผมคุยอะไรสักอย่างอยู่กับยอร์ช เห็นเขาพยักหน้าหงึกหงักแต่ก็ดูรู้ได้ว่าไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่กำลังรับฟังเลย ผมเดินนำตั้งทัพให้ยกถาดน้ำไปวางไว้บนโต๊ะเล็กหน้าโซฟา แก้วน้ำผลไม่อีกใบได้ถูกเตรียมเรียบร้อยแล้วเมื่อรู้ว่ามีแขกมาที่บ้าน ผมนั่งลงบนโซฟาอีกตัวที่เหลือว่างอยู่เพื่อรับฟังสิ่งที่คุณหมอพูด เพราะดูท่าตัวคนไข้เองไม่ได้สนใจฟังเลย กลับดูระริกระรี้อย่างเห็นได้ชัดเมื่อผมเข้ามา
“ภามๆ นี่.....”นายยอร์ชหันมาเขย่ามือให้ผมเงยหน้าขึ้นมา จนผมได้เห็นหน้าคุณหมดชัดๆ นั่นแหละ
“อ้าว?”ผมอุทานอย่างไม่ได้ตั้งตัวมาก่อน บางทีโลกมันก็กลมดีเนอะ
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะภาม เป็นยังไงบ้างเรา”ผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามถามผมอย่างเป็นกันเอง เขายังคงดูไม่แตกต่างไปจากครั้งล่าสุดที่ผมได้เจอ จะมีก็แต่ประกายตาที่ดูสดชื่นขึ้น อาจจะเป็นเพราะได้รับการพักผ่อนเพียงพอ
“พี่อิน ดีใจจังเลยที่ได้เจอกันอีก ภามสบายดีครับ ว่าแต่พี่อินทำงานอยู่โรงพยาบาลที่ยอร์ชรักษาอยู่หรอ?”ผมถามอย่างดีใจ ไม่คิดว่าจะได้เจอพี่อินอีกครั้งในเวลางานของเขา
“เปล่า”พี่อินบอกยิ้มๆ
“อ้าว?”
“พี่คงไม่เคยบอกภาม พอดีว่ายอร์ชเป็นน้องชายของพี่น่ะ คุณพ่อของพี่เป็นพี่ชายของคุณพ่อของยอร์ช”พี่อินอธิบาย ผมประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยิน เขาสองคนเป็นญาติกันงั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นทำไมตอนที่เจอกันครั้งแรกที่โรงพยาบาลใกล้มหาวิทยาลัยเขาถึงไม่เคยพูดเรื่องนี้ รวมถึงครั้งต่อๆ มาที่ได้เจอกันก็ไม่เคยแม้แต่จะเอ่ยถึง หรือว่า....บางทีเขาอาจจะไม่รู้ว่าผมรู้จักกับยอร์ชก็ได้
“อะไร? นี่รู้จักกันหรอ?”อยู่ๆ นายยอร์ชที่นั่งจ้องผมทีจ้องพี่อินทีก็พูดขึ้นมาเสียงแข็ง ท่าท่างระริกระรี้เมื่อครู่ก็หายไปกลายมาเป็นยอร์ชผู้เอาแต่ใจอีกเหมือนเดิม
“อืม”ผมที่ยังงงๆ อยู่เหมือนกันก็พยักหน้าเบาๆ เป็นคำตอบ
“นายรู้จักภามมานานแค่ไหนแล้วอิน?”นายยอร์ชชักดูอารมณ์ไม่ค่อยดี
“ก็ตั้งแต่ที่เขาต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะนายนั่นแหละ หลังจากนั้นก็คุยกันมาตลอด”พี่อินบอกยิ้มๆ แต่คนฟังยิ่งทำหน้าน่ากลัวเข้าไปทุกที
“แล้วทำไมนายไม่เคยบอกฉัน! ทำไมต้องแอบไปคบกันเงียบๆ ด้วย!”ผมสะดุ้งกับเสียงที่ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยของเขา
“ก็ตอนนั้นพี่สงสารภาม เลยคิดจะเอาคืนนายบ้าง ก็แค่นั้นแหละ”พี่อินไหวไหล่แบบไม่สนใจอะไร
“งั้นแสดงว่าตลอดเวลาที่ฉันไปอังกฤษนายก็ติดต่อกับภามตลอดเวลาเลยงั้นสิ!”
“ก็....ใช่”
“องค์อินทร์!!!”นายยอร์ชถลาเข้าไปทำท่าจะซัดหมัดใส่พี่อิน ถึงแม้จะดูท่าทางยืนได้ทุลักทุเลแต่ผมก็เลือกที่จะเข้าไปขวางเขาไว้ก่อน
“หยุดเลยยอร์ช ทำไมแค่นี้ต้องโมโหด้วย”ผมถามงงๆ ในเมื่อพี่อินก็ไม่เคยบอกผมเหมือนกันว่ารู้จักกับเขา แต่ผมก็เลือกที่จะไม่โกรธในเรื่องที่ถูกปิดบัง เพราะเท่าที่ดูเหตุการณ์พี่อินก็ไม่ได้เข้าหาผมเพื่อเป็นสายสืบให้ยอร์ช และอีกอย่างก็คงยากที่จะอธิบายเรื่องของยอร์ชในตอนนั้นให้ผมฟังได้ทั้งหมด ในเมื่อมันก็ไม่ใช่เรื่องของเขาเอง ที่สำคัญที่สุด ในระหว่างที่ผมเหมือนไม่มีใคร....พี่อินก็คอยเป็นพี่ชายที่ให้คำปรึกษาที่ดีเสมอมา
“ก็มัน....”
“เอาเถอะๆ นั่งนิ่งๆ เลย ทำแบบนี้เดี๋ยวก็ไม่หายเสียที”ผมดึงนายยอร์ชที่กำลังฮึดฮัดให้นั่งลงอย่างค่อนข้างลำบาก ในที่สุดความสงบก็เหมือนจะกลับคืนมาอีกครั้ง
“ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้วนะภาม พรุ่งนี้ก็พายอร์ชไปตัดเฝือกได้”พี่อินดูท่าจะไม่ได้ติดใจอะไรกับเรื่องเมื่อครู่ สงสัยคงรู้นิสัยน้องชายตัวเองดีอยู่แล้ว
“ก็ดีครับ เขาจะได้ดูแลตัวเองได้เสียที”ผมบอกพี่อินยิ้มๆ
“หมายความว่ายังไงภาม”นายยอร์ชถามผมแบบไม่เข้าใจ
“พรุ่งนี้พอยอร์ชตัดเฝือกเรียบร้อยแล้วภามจะย้ายกลับไปนอนที่โรงแรมนะ แล้วจะหาห้องเช่าอีกที”ผมบอกในสิ่งที่คิดมาหลายวัน ในเมื่อที่นี่ไม่ใช่บ้านของผม ผมจึงไม่สะดวกใจที่จะอยู่ที่นี่ไปได้ตลอด
“ไม่ให้ไป”นายยอร์ชตอบเสียงแข็งโดยไม่ต้องคิด
“ก็ที่นี่ไม่ใช่บ้านภาม”ผมบอกเหตุผลเขาดีๆ
“ทำไมจะไม่ใช่ในเมื่อภามเป็นเมียพี่ บอกไม่ให้ไปก็คือไม่ให้ไป”เขาพูดเอาแต่ใจเหมือนทุกครั้งที่เคยเป็น ด้วยความระอา ผมเลือกที่จะไม่ต่อปากต่อคำกับเขาอีก ในเมื่อผมตัดสินใจแล้ว สิ่งที่เขาคิดไม่ว่าอะไรก็ไม่มีน้ำหนักพอที่จะคัดค้านความถูกต้องทั้งหมดได้ ผมละการสนทนากับเขาหันไปคุยกับพี่อินแทน
“แล้วนี่ตรวจเสร็จแล้วพี่อินจะไปไหนต่อครับ”
“ตอนแรกว่าจะกลับเลย แต่ไหนๆ เจอภามแล้วก็ขอฝากท้องที่นี่เลยแล้วกัน มีเรื่องจะคุยด้วยเยอะแยะเลย”
“ไม่ให้อยู่”นั่นไง ตัวขวางโลกเริ่มอาละวาดอีกแล้ว แต่พี่อินก็ดูไม่ได้สนใจเท่าไร
“ดีเลยพี่อิน ภามก็อยากคุยด้วยอยู่เหมือนกัน”ผมตอบตกลงท่ามกลางเสียงคัดค้านของเจ้าของบ้าน ไม่รู้แค่ข้าวมื้อเดียวจะเลี้ยงญาติตัวเองหน่อยจะมีปัญหาอะไรนักหนา คนรวยนี่เขางกกันแบบนี้เป็นด้วยหรอ? แต่ถึงจะค้านเท่าไหร่ ในที่สุดมื้อเย็นในวันนี้พี่อินก็ได้มานั่งทานอาหารร่วมโต๊ะสมใจ เพราะตอนนี้แม้เจ้าของบ้านก็ดูท่าจะไม่กล้าขัดใจผมเท่าไหร่
“พี่ป้อง!”ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความดีใจเมื่อเห็นว่าใครอีกคนเดินเข้ามาในห้องอาหาร เห็นเขายักคิ้วให้ยิ้มๆ แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ว่างข้างพี่อินที่ตั้งทัพเลื่อนให้ ตรงหัวโต๊ะเป็นนายยอร์ช ส่วนอีกฝั่งเป็นผมกับน้องเยล วันนี้เฮียยอร์คออกไปขี่ม้ากับเพื่อนๆ ยังไม่กลับเข้ามา และคุณลุงกับคุณป้าไปตรวจดูงานที่ต่างประเทศ
“สบายดีไหมภาม ช่วงนี้ไม่ค่อยได้คุยกันเลย”พี่ป้องในตอนนี้ดูเป็นคนอบอุ่นไม่ต่างจากเมื่อก่อน แม้จะรู้จักกับพี่ป้องก่อน แต่ระยะหลังผมมักจะได้เจอพี่อินมากกว่า
“สบายดีครับ วันนี้พี่ป้องมาทำงานหรอ”ถึงผมจะไม่ได้เจอ แต่จากการคุยโทรศัพท์กับพี่ป้องบางครั้งก็ทำให้รู้ว่าเขามีกิจการเล็กๆ ที่ทำร่วมกันกับนายยอร์ชอยู่
“จะว่างั้นก็คงได้มั้ง อยู่ๆ ยอร์ชมันก็มีงานด่วนเข้ามาให้พี่กระทันหันน่ะสิ ดูท่าจะเป็นงานร้อนซะด้วย เห็นมันบอกว่ารับมือคนเดียวไม่ไหว”พี่ป้องเหล่ไปทางยอร์ชแล้วหัวเราะแปลกๆ แต่คนหัวโต๊ะก็ทำเพียงแค่ทำคิ้วขมวดตอบกลับมา
ระหว่างทานอาหารในวันนี้ ผมรู้สึกมีความสุขเหมือนได้สิ่งที่รอคอยกลับคืนมา พี่ชายที่ดีกับผมมากๆ ถึงสองคนอยู่ๆ ก็เข้ามาหาผมอย่างไม่ได้คาดฝัน พี่อินมักจะชวนผมคุยโน่นคุยนี่อยู่ตลอดเวลา แต่เกือบทุกครั้งพี่ป้องก็จะรีบถามโน่นถามนี่แทรกผมอยู่ตลอด ส่วนนายยอร์ชก็คอยแต่เอาเรื่องที่ผมบอกว่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่นมาพูดแล้วก็ลงท้ายที่คำว่า “ไม่ให้ไป”
“อย่าพูดไม่รู้เรื่องน่าภาม!”นายยอร์ชพูดคำนี้กับผมครั้งที่เท่าไหร่ผมก็ไม่ได้นับไว้ รู้แค่ว่าหลายครั้ง
“ก็บอกแล้วว่ามันไม่เหมาะ”ผมตอบคำถามเดิมๆ
“ก็แล้วมันไม่เหมาะตรงไหน!”
“ก็ที่ถามนี่ตอบไปตั้งหลายรอบแล้วไง!”ผมว่าไอ้คำถามนี้ผมตอบไปมากกว่าแปดรอบแล้วนะ
“ไม่รู้! บอกว่าไม่ให้ไปก็คือไม่!”เขาตัดสินใจให้ผมเสร็จสรรพ
“พี่อินจะกลับบ้านหรือยังครับ”ผมเบื่อที่จะต่อล้อต่อเถียงแล้วเลยหันมาคุยกับพี่อินแทน ยังไงคำพูดของนายยอร์ชก็ไม่ได้มีผลอะไรกับผมอยู่แล้ว
“กำลังจะกลับพอดีเลย”พี่อินว่า
“งั้น.... รอภามแป๊บนึงนะครับ ขอขึ้นไปเอาเสื้อผ้าก่อน คืนนี้ภามขอไปนอนด้วย ยังคุยกับพี่อินไม่เต็มอิ่มเลย”จากการสนทนาบนโต๊ะทำให้ผมทราบว่าพี่อินมีบ้านพักอีกหลังที่ตั้งอยู่หลังคฤหาสน์ของนายยอร์ช มีเพียงสวนเล็กๆ กั้น ส่วนคุณพ่อคุณแม่ของพี่อินตอนนี้ทำงานอยู่ที่เยอรมัน
“ได้สิ/ไม่ได้!”คำตอบของพี่อินดังขึ้นพร้อมกับคำตอบของอีกคนที่ไม่ต้องเดาก็น่าจะรู้ว่าใคร แต่ว่าใครจะอยู่ฟังคนเอาแต่ใจแบบนี้ล่ะครับ เอาไว้เขาใจเย็นลงก่อนค่อยพูดกันทีหลังแล้วกัน
ผมใช้เวลาไม่นานในการเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า เร็วพอที่นายยอร์ชก็เดินกระเผลกขึ้นมาห้ามไม่ทัน กว่าเขาจะเข้ามาถึงตัวผมได้ ผมก็บอกให้พี่อินออกรถไปแล้ว....
ดื้อ.... คือคำเดียวที่ผมมักจะแอบมอบให้ภามเสมอ โดยเฉพาะตอนนี้.....
ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้ตัว ว่าหลายๆ ครั้งภามก็มักจะเหนื่อยใจกับการชอบบังคับโน่นบังคับนี่ของผม แต่ภามคงไม่รู้หรอก....ว่าที่จริงแล้ว ผมเองก็เหนื่อยใจกับการที่ต้องระงับอารมณ์ตัวเองเวลาภามอยู่ใกล้ผู้ชายคนอื่นเหมือนกัน
ผมตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่อย่างไม่ค่อยจะเต็มตานัก เนื่องจากเมื่อคืนหลังจากที่ผมกระหน่ำโทรหาภามอย่างบ้าคลั่งและได้รับการปฏิเสธโดยการปิดโทรศัพท์หนี ก็ไม่รู้ว่าตัวเองผล็อยหลับไปเมื่อไหร่
ไม่ใช่ไม่รู้ว่าบ้านของอินอยู่ไม่ไกล ไม่ใช่ว่าไม่อยากตาม แต่ในสภาพแบบนี้ถ้าผมกระเผลกๆ ไปดึงตัวภามกลับมา ก็คงทำได้แค่คว้าน้ำเหลว
“พี่ไม่ให้ไปอยู่ที่อื่นนะภาม เมื่อคืนให้นอนกับอินคืนนึงแล้ว คืนนี้กลับมานอนที่บ้านนะ”ผมบอกหลังจากตัดเฝือกเสร็จ เมื่อเช้าตอนผมเดินลงมาจากชั้นสองโดยมีไอ้ทัพเป็นคนพยุงลงมาก็เห็นภามมานั่งรอที่โต๊ะอาหารแล้ว
“นึกว่านอนคนเดียวคืนนึงแล้วจะคิดอะไรที่มีเหตุผลมากกว่านี้ได้เสียอีก”ภามถอนหายใจเบาๆ แล้วว่าเหมือนหน่ายผมเสียเต็มประดา
“พี่พยายามมีเหตุผลมากที่สุดแล้วภาม”ใช่...พักหลังมานี่ผมคิดว่าผมพยายามมีเหตุผลมากขึ้นแล้วนะ ยืนยันได้จากพักหลังมานี่เด็กนันที่เคยเป็นเพื่อนสนิทของภามมักจะมาหาภามที่บริษัทบ่อยๆ มาหลายๆ ครั้งก็ชอบไปนั่งคุยกันที่ค็อฟฟี่ช็อปที่ชั้นล่างของบริษัทกันนานสองนาน บางทีก็พากันออกไปข้างนอกโดยที่ไม่บอกผม แต่ผมก็พยายามจะเชื่อใจภามให้มากที่สุด ไม่ดุ ไม่โมโห ไม่โวยวาย บางครั้งที่พวกเขาออกไปข้างนอก ช่วงแรกๆ ผมก็ส่งไอ้ทัพไปคอยดูบ้าง แต่หลังๆ พอได้รับรายงานว่าไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วงผมก็ปล่อยให้ภามมีอิสระเป็นของตัวเอง เด็กนันนั่นก็ดูมีความสุขดี ไม่ว่าจะมีความสุขจากการแอบรักหรืออะไรก็ตาม แต่อะไรสักอย่างที่ไม่มีสิ่งยืนยันแน่ชัดได้บอกกับผมว่า ตราบใดที่ภามยังยืนยันที่จะรักผม เด็กนั่นก็จะคอยเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของภามตลอดไป………..
เรื่องเมื่อวานก็อีก มันน่าโมโหน้อยอยู่เสียเมื่อไหร่ อินก็น่าซัดให้คว่ำไปเลยจริงๆ ไปแอบคบแอบคุยกับเมียผมมาตั้งหลายปี ไม่เคยบอกกันสักคำ ถ้าบอกผมสักนิด บางทีผมอาจจะไม่ต้องระแวงจนตามไอ้ป้องมาคอยช่วยขัดแข้งขัดขาตอนกินข้าวเย็นก็ได้.......ผมไม่เข้าใจ......ผมไม่มีเหตุผลตรงไหน?
“ไม่ไปนะภาม อยู่กับพี่เถอะ....นะครับ”ผมบอกอีกครั้งเมื่อเห็นภามเงียบไป ภามไม่ได้ให้คำตอบในสิ่งที่ผมต้องการ แต่กลับพูดเป็นอย่างอื่นแทน
“ไหนลองเดินซิยอร์ช ถ้าเดินสะดวกแล้วจะได้ไปทำงานกัน”ผมถอนหายใจอย่างจนปัญญา เอาเถอะ ในเมื่อตอนนี้ภามก็ยังอยู่กับผมไม่ได้ไปไหน เอาไว้ค่อยตะล่อมอีกที สุดท้าย ถ้าหากว่าคุยดีๆ ไม่ได้.....ผมก็คงต้องบังคับ
การที่ผมคิดว่าภามยังต้องอยู่กับผมอีกนานและมีเวลาเกลี้ยกล่อมนั้นไม่ใช่ความคิดที่ถูกต้องเลย เย็นวันที่ไปตัดเฝือก หลังจากเลิกงานภามก็กลับไปเก็บเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นย้ายไปที่โรงแรมทันที ไม่ว่าผมจะคัดค้าน ขอร้องหรือบังคับอย่างไร ภามก็ไม่มีทีท่าว่าจะโอนอ่อนสักนิด......และนั่นก็คือการทะเลาะกันครั้งแรกหลังจากผมหายดี............แม้จะไม่ได้รุนแรงอะไรนัก แต่ทำไมผมถึงไม่บาดเจ็บไปอีกสักพักนะ?
ตลอดช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ภามก็ยังคงไปทำงานที่บริษัทตามปกติ และผมมักจะลงไปหาและรับไปกินข้าวกลางวันด้วยกันเสมอ ภามก็ยังเป็นเหมือนเดิม.....คอยดูแล เอาใจใส่ผมอย่างดี พูดคุยร่าเริงและน่ารักไม่ต่างจากตอนที่ผมชอบเฝ้ามองเมื่อสมัยที่เรายังเรียนมหาวิทยาลัย แต่ทุกครั้งเมื่อผมเริ่มพูดเรื่องจะพาเขาย้ายกลับไปอยู่ด้วยกันที่บ้าน ถ้าไม่จบลงด้วยการเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นของภาม ก็มักจะจบลงด้วยการทะเลาะของเราสองคน และคนที่เริ่มโวยวายและนำไปสู่การทะเลาะ.....ก็คือผม
และแล้ววันที่ความอดทนของผมต้องขาดสะบั้นลงก็มาถึง เช้าวันจันทร์ของการเริ่มงานดำเนินไปอย่างปกติ แต่มีบางอย่างที่ไม่ปกติเมื่อผมเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าโต๊ะทำงานของภาม บนนั้นมีกระดาษโน้ตสีขาววางทับไว้ด้วยกล่องใส่ปากกาเล็กๆ ผมหยิบโน้ตใบนั้นขึ้นมาอ่านข้อความด้านใน
“ตอนแรกภามคิดว่าเราจะคุยกันรู้เรื่องได้ แต่มันยากเหลือเกินที่จะคุยให้ยอร์ชเข้าใจ มาคิดดูอีกที....ภามคิดว่าตัวเองไม่ชอบอยู่ที่กรุงเทพเท่าไหร่ หมายถึงเด็กต่างจังหวัดอย่างภามชอบที่จะอยู่ในที่สงบๆ อย่างที่บ้านมากกว่า จดหมายลาออกอยู่ในลิ้นชักนะยอร์ช ตอนนี้ภามกลับมาอยู่ที่บ้านแล้ว ไว้จะโทรหาแล้วแวะมาเยี่ยมบ่อยๆ นะ หรือถ้ายอร์ชอยากมาหาภามก็มาได้ตลอดเลย เรายังเป็นเหมือนเดิมนะ”กระดาษอีกใบที่ซ้อนอยู่ด้านหลังถูกดึงออกมา มันเป็นแผนที่คร่าวๆ ที่คาดว่าภามทิ้งแผนที่ไปที่บ้านไว้ให้ผม เผื่อว่าผมอยากไปหา นี่สินะ......เหตุผลที่ว่าทำไมเมื่อวานภามไม่ยอมออกมาพบหน้าผม ทั้งๆ ที่โทรไปก็ยังคุยกันเหมือนปกติ ผมหันไปมองสิ่งต่างๆ ในห้อง ทุกสิ่งยังมีชีวิตชีวาเหมือนที่ตอนที่ภามเคยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่เหมือนทุกคนในแผนกจะรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว ทุกคนดูมีสีหน้าที่เศร้าหมองลง เห็นไหม.....การที่ภามตัดสินใจแบบนี้ไม่ใช่ว่าทำให้ผมคนเดียวที่เป็นทุกข์จนแทบบ้า.......แต่ยังมีคนอื่นอีกหลายคนที่ต้องรู้สึกไม่ดีเมื่อภามตัดสินใจจากไป
เพราะอย่างนี้แหละ ผมถึงได้บอกว่า..........ภามนั้นดื้อเสียยิ่งกว่าใคร
ผมนั่งเคาะพวงมาลัยรถด้วยความร้อนรุ่มในใจ เมื่อเช้าหลังจากได้อ่านข้อความที่ภามทิ้งไว้ให้ ผมก็เปิดลิ้นชักเอาใบลาออกของภามมาฉีกทิ้ง เพื่อนๆ ของภามพอเห็นผมทำอย่างนั้นก็พลอยยิ้มออก ทุกคนคงเชื่อมั่นอย่างที่ผมเชื่อ.....ว่าผมจะต้องพาภามกลับมาที่นี่ได้
รถคาดิลแล็คสีดำที่ผมเคยใช้สมัยเรียนถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง เมื่อก่อนผมมักใช้รถคันนี้รับส่งภามไปโน่นมานี่อยู่เสมอ แต่ในตอนนี้มีเพียงแค่ผมคนเดียวที่คอยบังคับมันอยู่ และจุดหมายปลายทางที่ผมกำลังจะไปคือ.......นครนายก
หลายๆ คนรวมทั้งภามมักจะบอกว่าผมเป็นคนเอาแต่ใจ ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมมักจะบอกตัวเองว่าทุกอย่างที่ตัวเองทำนั้นถูกต้องแล้ว และไม่เคยยอมรับการเป็นเจ้าของนิสัยแบบนั้นที่คนอื่นมอบให้ แต่วันนี้.....ผมเชื่อแล้วว่าผมเป็นคนเอาแต่ใจจริงๆ และวันนี้แหละ ผมจะใช้ความเอาแต่ใจของตัวเองพาภามกลับมาให้ได้............
“ว่าไงยอร์ช”เสียงปลายสายตอบกลับมาเมื่อเสียงรอสายดังไปได้ไม่นาน
“ตอนนี้อยู่ที่ไหนภาม”ผมถามเพื่อยืนยันในสิ่งที่ภามบอกไว้
“อยู่บ้าน กินข้าวหรือยังเนี่ยยอร์ช เที่ยงแล้วนะ”
“นี่คือสิ่งที่ควรพูดตอนนี้หรือไง?”ผมถาม
“อ้าว?”
“แล้วนี่ทำอะไรอยู่หรอ?”ภามถามผมอีกครั้งเมื่อไม่รู้จะพูดอะไร
“ขับรถอยู่”
“หรอ? จะไปไหนหล่ะเนี่ย”
“ไปรับเมียกลับบ้าน”ผมตอบไปแค่นั้นแล้วก็วางสายไป ไม่พูดอะไรให้มากความกว่านี้
ผมใช้เวลาไม่นานจากกรุงเทพฯมาถึงตัวเมืองนครนายก หลังจากดูแผนที่คร่าวๆ ของภามประกอบกับคอยจอดรถถามคนแถวนั้นเป็นระยะๆ ไม่นานผมก็มาหยุดอยู่ที่จุดหมาย
หลังรั้วเหล็กดัดสีเขียวอ่อน บ้านหลังไม่ใหญ่นักปลูกอยู่ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่หลากหลายสายพันธุ์ มันเป็นบ้านปูนสองชั้นสร้างเหมือนแบบที่ผมเคยเห็นพวกขุนนางสมัยก่อนอยู่กันในโทรทัศน์ ระเบียงไม้เล็กๆ ถูกสร้างยื่นออกมาในส่วนที่จะนำไปสู่ประตูบ้าน มีบันไดสองสามขั้นให้ก้าวขึ้นไป ตรงมุขที่ยื่นออกมาหน้าบ้าน หน้าต่างไม้บานเกล็ดสีเขียวอ่อนทรงแคบแต่สูงติดตั้งอยู่เรียงราย บางบานก็ปิดไว้ ส่วนบางบานก็ถูกดันให้เปิดออกมา ผ้าม่านลูกไม้โปร่งสีขาวสะอาดถูกลมพัดปลิวเป็นระยะๆ โดยรวมแล้วถึงตัวบ้านจะเป็นบ้านสมัยเก่า แต่ก็เหมือนได้รับการดูแลรักษาอย่างดีมาตลอด ทำให้ดูใหม่และไม่น่ากลัวอย่างที่คิด
ผมตัดสินใจจอดรถไว้นอกรั้วบ้านและเดินเข้ามาแทนเพราะเกรงใจเจ้าของบ้าน เดินเข้ามาไม่มีก้าวก็เห็นผู้ชายวัยกลางคนตัวค่อนข้างสูงกำลังยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ ดูเค้าหน้าแล้วคล้ายภามอยู่มาก สงสัยจะเป็นคุณพ่อของภาม
“อ้าว! มาหาใครกันคุณ?”เมื่อเขาเห็นผมก็วางบัวรดน้ำในมือแล้วหันมาถาม ผมยกมือไหว้ก่อนจะบอกจุดประสงค์
“ผมมาหาภามครับ”เขารับไหว้ผมแล้วพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะยิ้มให้
“ภามช่วยคุณยายทำขนมอยู่เรือนเล็กโน่นแน่ะ เดี๋ยวลุงให้คนไปตามให้ มาๆ ขึ้นบ้านก่อนๆ”เขาบอกแล้วเดินนำให้ผมเดินตาม
“ไม่เป็นไรครับ อันที่จริง.....ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณพ่อมากกว่า”ผมตัดสินใจพูดในสิ่งที่คิดจะทำไว้ตั้งแต่ขับรถอยู่ออกไป
“เรื่องสำคัญสินะ?”เขาหันมาถามผม สีหน้าและแววตาก็ยังใจดีเหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนไป
“ครับ”ผมบอก เห็นเขาเดินนำเข้าไปในห้องๆ หนึ่งโดยที่ไม่พูดอะไรผมก็เดินตามเข้าไป จากการจัดห้อง คิดว่าคงจะเป็นห้องทำงาน
คุณพ่อของภามเดินเข้าไปนั่งหลังโต๊ะทำงานไม้ตัวใหญ่ก่อนจะเชิญให้ผมนั่งลง ผมมองสำรวจห้องก็พบกรอบรูปอันใหญ่อยู่บนผนังสองอัน กรอบแรกเป็นรูปผู้ชายที่ดูมีอายุเยอะกว่าอยู่ในชุดราชปะแตนของไทย ส่วนกรอบขวาเป็นรูปของผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าผมตอนนี้ เขาอยู่ในชุดตำรวจเต็มยศ ผมกลืนน้ำลายดังเอื๊อกเมื่อเห็นกรอบรูปอันที่สอง นี่ผมคิดถูกแล้วใช่ไหมที่ตัดสินใจทำแบบนี้
“นั่นคุณปู่ของภามน่ะ บ้านหลังนี้ก็เป็นบ้านของท่าน”คุณพ่อของภามหันไปตามสายตาของผมแล้วไขข้อข้องใจให้ ผมทำแค่พยักหน้าให้น้อยๆ
“ว่าแต่มีอะไรหรือถึงอยากคุยกับลุง คงเป็นเรื่องภามสินะ?”ตรงเผงเลย เรื่องนี้แหละที่ผมอยากจะบอก แต่ผมจะรอดออกไปไหม
“คือ....ผมเป็นเจ้าของบริษัทที่ภามทำงานอยู่ครับ”ผมเกริ่นก่อน
“อ้าว....งั้นคุณก็เป็นเจ้านายภามน่ะสิ ภามไปทำอะไรไม่ดีบ้างหรือเปล่า มีอะไรบอกลุงได้นะ”เขาดูประหลาดใจ คงคิดว่าภามไปทำอะไรไม่ดีแล้วผมจะมาฟ้อง
“อันที่จริง....ผม.......”
“คุณ...ทำไม?”เขาถามงงๆ
“ที่จริงแล้ว....ผม....เป็น.....เป็นแฟนของภามครับ”ผมกลั้นใจพูดในสิ่งที่เตรียมใจมาแล้วออกไป ลูกผู้ชายทำผิดก็ต้องกล้ารับสินะ คุณลุงเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะพูดคำแรกออกมาหลังจากความเงียบปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง
“ไม่จริง”
“จริงครับ”ผมบอกเพื่อยืนยันว่าเรื่องที่พูดเป็นความจริง
“ไม่จริง”เขาพูดคำพูดเดิมอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ผมทำได้แค่เงียบ ดูเหมือนเวลาแห่งความเงียบสงบนี้จะผ่านไปเนิ่นนานเหลือเกิน
“ถึงขนาดไหนแล้ว?”เสียงถามแผ่วดังมาจากคนที่ทำหน้าเลื่อนลอยเมื่อหลายนาทีก่อน
“ภาม.....เป็นของผมแล้วครับ”ผมบอกช้าๆ
“ไม่จริง.....ลูกฉันไม่มีทางยอม”
“ครับ.....ภามไม่ได้ยอมผม ครั้งแรกนั้น..........ผมเป็นคนข่มขืนภาม”พูดได้แค่นั้นผมก็โดนซัดเข้าที่หน้าอย่างจังจนรู้สึกว่าตัวเองลอยตกจากเก้าอี้ลงมากระแทกพื้นไม้
“แก......แกกล้าทำลูกของฉันแบบนี้ได้ยังไง!”คุณลุงตามลงมาคร่อมผมไว้พร้อมซัดหมัดเข้าที่หน้าอีกหลายครั้ง ท่าทางใจดีเหมือนตอนแรกนั้นหายไปหมดแล้ว
“ผมยอมรับผิดทุกอย่าง คุณพ่อจะทำยังไงกับผมก็ได้ ผมขอแค่อย่างเดียว ขอแค่ภาม.....แค่ภามกลับไปอยู่กับผม”เขาชะงักทันทีเมื่อได้ยินในสิ่งที่ผมพูด
“รักลูกของฉันจริงๆ งั้นหรือ?”เสียงเย้ยหยันดังมาจากคนที่คร่อมอยู่ด้านบน
“รักครับ รักมาก รักที่สุด”ผมบอกจากใจจริง
“คิดว่าฉันจะเชื่อได้ยังไง ขนาดข่มขืนภามแกยังทำมาแล้ว”
“ผมสาบานว่าจะไม่ทำอีก ผมรักภามจริงๆ นะครับ ได้โปรด....”ผมขอร้องอย่างหมดท่า หวังแค่ว่าความจริงใจจากลูกผู้ชายด้วยกันคงจะทำให้เขาเข้าใจ
“นายรักภามมากแค่ไหน?”เขาถามอีกครั้ง
“แม้แต่ชีวิตผมก็ให้ได้”ผมบอกอย่างหนักแน่น ไม่มีครั้งไหนอีกแล้วที่ผมจะมั่นใจได้ขนาดนี้
“ฉันไม่เอาหรอกชีวิตของนายน่ะ”เขาพูดแล้วปล่อยตัวผมให้เป็นอิสระ ก่อนจะเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน ผมมองการกระทำนั้นอย่างไม่เข้าใจ เขาเปิดลิ้นชักและหยิบอะไรสักอย่างออกมา และเมื่อมันอยู่ในระยะที่ผมมองเห็นได้ถนัด ผมก็พบว่ามันคือ......ปืน!
“ฉันขอแค่ขาของนายข้างเดียว ชดใช้สิ่งที่ทำไว้กับลูกของฉัน ได้ไหม?”เขาเดินกลับมายื่นมือจับผมให้ลุกขึ้นแล้วส่งปืนพกสีดำในมือมาให้ ผมรับมันมาไว้ในมืออย่างไม่ได้กลัวอะไร
“ถ้าผมทำ คุณพ่อจะยกภามให้ผมใช่ไหม?”ผมถามคำถามเดียวที่ผมต้องการคำตอบที่สุดในตอนนี้ ถ้ามันทำให้ภามกลับไปกับผมได้ เสียขาทั้งสองข้างผมก็ยอม
“อืม”คำพูดเดียวที่ทำให้ผมเลิกที่จะลังเลอีกต่อไป ผมจ่อปืนไปที่ขาขวาของตัวเองแล้วเหนี่ยวไกทันที แต่เสียงที่ได้แทนที่จะดังจนหูดับ กลับมีแค่เสียงกริ๊กเบาๆ ผมหันกลับไปมองหน้าเจ้าของปืนอย่างงงๆ ก็เห็นสีหน้าของเขากลับมาเป็นคนเดิมกับที่ผมได้พบตอนแรกแล้ว
“พ่อก็ไม่รู้หรอกนะว่าความสัมพันธ์แบบนี้มันเป็นยังไง ไม่เคยเข้าใจเลย”เขาบอกแล้วหยุดไปชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ
“แต่ถ้าหากว่าเธอกล้าที่จะทำถึงขนาดนี้เพื่อลูกของพ่อแล้ว พ่อก็คงวางใจที่จะฝากภามไว้กับคนอย่างเธอได้.......... สุดท้ายจะกลับหรือไม่กลับไป ก็ขึ้นอยู่กับภามแล้วนะ”ผมแทบจะกลั้นน้ำตาแห่งความดีใจเอาไว้ไม่อยู่เมื่อได้ฟังประโยคนั้นจบ ผมวางปืนลงที่เก้าอี้ไม้ใกล้ๆ ก่อนจะทรุดลงกราบแทบเท้าของผู้ชายตรงหน้า พร้อมกับคำพูดเดียวที่พูดได้ตอนนี้
“ขอบคุณครับ”
“ออกไปกินน้ำกินท่าก่อน เดี๋ยวพ่อจะให้เด็กไปตามภามมาให้”คุณพ่อของภามพูดแค่นั้นก็เดินนำหน้าออกไป