ผมงัวเงียตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู มองดูไอ้คนข้างๆ ที่ยังนอนหลับปุ๋ย สงสัยจะเพลียเพราะเมื่อคืนอย่างที่บอก… กว่าจะได้นอนก็ล่อไปตี 3 ตี 4 ไม่ใช่อะไรนะครับ ก็เพราะเฝ้าผมทำงานนั่นแหล่ะ
“มิกกี้… มิกกี้.. ตื่นเถอะ เดี๋ยวไปทำงานสาย” ผมพูดพร้อมกับมองดูเวลาจากมือถือ 6 โมงกว่าแล้ว
“…อือ” เจ้าตัวขยับนิดหน่อย แต่ก็ยังหลับตาพลิกตัวมาซบกับซอกคออุ่นๆ ของผม
“จะไปทำงานมั้ยวันนี้ หืม? ถ้างั้นก็ไปยื่นใบลาออกเลย มาทำงานด้วยกันนี่” ผมว่า มือก็เขี่ยขนตายาวๆของอีกฝ่ายไปด้วย
“…ไม่เอา”
แหน่ะ ยังไม่ยอมใจอ่อนอีก ใครกันนะที่บอกก่อนไปว่าเรียนจบเมื่อไหร่ให้จ้างมันด้วย เงินเดือนสามหมื่นอย่างต่ำ กินๆ นอนๆ ห้ามใช้งานเนี่ย… ก็กะจะจัดให้ เอาเงินในบัญชีประธานคนนี้ไปให้หมดเลยก็ยังได้ แต่ไหงดันไม่ยอมซะงั้น ส่ายหัวพรืดแถมยังทำตาดุแกมโกรธอีกต่างหาก
ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่าย… แล้วก้มลงจุ๊บที่ปาก เจ้าหนูยิ้มเล็กๆ จนผมต้องจูบย้ำอีกหลายทีด้วยความหมั่นเขี้ยว แต่ว่าเสียงเคาะประตูที่ดังกว่าเดิมทำให้ผมต้องคิ้วขมวด ดันตัวเองพร้อมกับดึงไอ้มิกกี้ให้ลุกขึ้นตามมาด้วยอย่างขัดใจ
“เออ” หลังจากที่ส่งไอ้แสบของผมเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตา แล้วเดินมาแง้มประตูเปิดออกดูเพราะว่าผมเองก็แต่งตัวไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่ เพียงแค่เห็นหน้าไอ้เพื่อนเก่าก็ต้องทักออกไปแบบเซ็งกะตาย
“เหี้ยนี่ กว่าจะเปิดได้ กรูเคาะจนมือแทบหักแล้ว” ไอ้ทษบ่นทันทีที่เห็นหน้าตากระเซอะกระเซิงของผม
“…มีไร”
“ไม่มีไร แค่มาเช็คว่ามึงอยู่เปล่า เห็นรถยังจอดอยู่ข้างล่าง” ไอ้ทษมันว่าแต่สายตานี่สอดส่องเข้ามาในห้องแล้วยิ้มเล็กยิ้มใหญ่
“สาด ยังมีชีวิตอยู่ ตายแล้วเดี๋ยวบอก”
“ปากเหรอวะนั่น….ดีครับน้องมิกกี้” ไอ้ทษยิ้มแปล้ ส่งสายตากระลิ้มกระเหลี่ยให้ไอ้หนูที่เดินหน้าเปียก ผมเปียกนิดหน่อยออกมาจากห้องน้ำ
“ดีครับพี่ทษ” ตัวแสบยกมือไหว้สวยงาม แล้วยิ้มตอบ
“พี่ว่าแล้วว่าน้องต้องมา… เห็นรถจอดอยู่ข้างล่าง” ไอ้ทษยังคงทักอีกฝ่ายต่อไปโดยไม่สนผมที่ยืนเป็นหัวหลักหัวตอ
“เอ่อ..ครับ แหะๆ”
ก่อนที่ไอ้มิกกี้จะโดนต้อนไปมากกว่านี้ มันคงไม่อยากบอกว่าเมื่อคืนมานอนกับผมเท่าไหร่ ปกติมันไม่ค่อยเขินหรอกครับเวลามีคนอื่นมาแซว แต่รายเนี้ยแซวหนัก เล่นเอาเจ้าหนูมันหายใจไม่ทั่วท้องเลยทีเดียว
“งั้นเดี๋ยวผมไปทำงานก่อนนะครับ…กลัวสาย” มิกกี้หันไปบอกไอ้ทษ แล้วเปลี่ยนมามองผมแบบอยากบอกลากันเป็นการส่วนตัว
“ป่ะ…เดี๋ยวไปส่ง รอแป๊บนึง” ผมบอกกลับไป แล้วยกมือขึ้นลูบหัวมันเล่น จนไอ้ทษทำเสียงในลำคอด้วยความหมั่นไส้
“ไม่ต้องก็ได้เฮีย ผมจะกลับไปบ้านก่อนอ่ะ เดี๋ยวไปดูไอ้ดิ๊กกี้ แล้วก็เปลี่ยนชุดด้วย” เจ้าหนูไม่ได้พูดเปล่า มันดึงเอามือผมที่อยู่บนหัวตัวเองลงมากำหมับ แล้วแกว่งไปมา ยิ้มหวานต้อนรับอรุณ
“งั้น… ขอล้างหน้าหน่อย จะลงไปส่งข้างล่าง”
ขณะที่กำลังจะเดินไปเข้าห้องน้ำ… เสียงไอ้ทษที่ฟังยังไงก็รู้ว่าจงใจให้ได้ยินลอยตามมา “จะให้พี่ไปส่งก็ได้นะมิกกี้..พี่อ่ะว่างตลอดแหล่ะ ไม่เหมือนใครบางคน” จนต้องแจกนิ้วกลางไปให้มันถึงได้หยุดเห่าด้วยท่าทีไม่สลดลงเลยสักนิด อย่าให้ได้แทคทีมกับไอ้ไมล์นะ โอ๊ย ปวดกบาล…
ผมเดินออกจากห้องน้ำ แล้วเปลี่ยนเสื้อเพราะตัวที่ใส่นอนยับยู่ยี่หมดแล้ว ออกไปแม้จะข้างในบริษัทก็ต้องดูดีหน่อย เดี๋ยวโดนพนักงานนินทา…
ว่าแล้วก็เดินออกมาจากห้อง คว้าแย่งเอากระเป๋าไอ้หนูพาดบ่าตัวเอง แล้วเดินนำหน้าเจ้าตัวที่ตอนนี้ยกมือไหว้ลาไอ้ทษประหลกๆ ไอ้ทษเองก็กะล่อนพอกัน ก้มหน้าย่อตัวลงมานิดหน่อยแล้วทำแก้มป่อง ยื่นแก้มชี้นิ้วเป๊าะๆ ประมาณว่า ขอหอมดีกว่านะ… เลยโดนฝ่ามือผมตบเข้าไปเต็มเปา
“โอ๊ยยยยยยย สัด!” มันเต้นเหยงๆ เลยครับ หึหึ
“อ้าว ก็นึกว่าอยากให้กรูสัมผัสใบหน้า…ยื่นมายั่วซะขนาดนั้น” ผมยกมุมปากขึ้นเยาะยิ้ม
“ห่านี่ กรูจะให้น้องมิกกี้หอมต่างหาก เนอะๆ มิกกี้เนอะ”
“กรูไม่เอาฝ่าตรีนทาบหน้าเมิงก็บุญขนาดไหนแล้ว!”
ไอ้ทษทำหน้าตาเจี๋ยมเจี๊ยมขึ้นมาทันทีเมื่อโดนผมตวาดใส่ เรื่องที่สามารถทำให้หงุดหงิดก็มีแค่เรื่องงานและเรื่องคนใกล้ตัวนี่แหล่ะ อย่ามายุ่มย่ามรุ่มร่าม แต่หมอนี่มันไม่ค่อยเข็ดหรอกครับ… ยิ่งมันเห็นว่าผมหวงเท่าไหร่ มันก็ยิ่งอยากแหย่มากเท่านั้น อารมณ์เดียวกับไอ้ไมล์เลย ติดโรคกันมา -*-
“เป็นอะไรไปล่ะเรา?” ผมเดินกดลิฟท์ลงมาถึงชั้นล่างมาล็อบบี้ เพื่อที่จะเดินอ้อมไปลานจอดรถด้านหลังตึก… สายตาก็เหลือบไปเห็นไอ้หนูเอามือลูบแก้มตุ่ยตัวเอง
“ก็…เจ็บแทนพี่ทษอ่ะ” มันยังคงทำท่าสยอง แล้วขนลุก
“ทำไม หะ…ทำไม อยากให้มันหอมนักรึไง หืม หืม หืม” ตอนหลังที่ผมก้มลงไปดึงมือมันออกแล้วกดจมูกลงที่แก้มขาวซะเต็มแรง ฟัดๆ แก้มนิ่มนั่นซะจนอีกฝ่ายร้องลั่นลิฟท์
“เฮียยยยยยยยยยยยย อย่าเด้ เดี๋ยวลิฟท์เปิดดดดดดดดดด”
มิกกี้ดิ้นรุนแรงเอามือสองข้างดันตัวผมให้ออกห่าง ตาก็หลุกหลิกดูไฟสีแดงตรงตัวเลข…คอยฟังว่ามันจะหยุดที่ชั้นไหนก่อนบ้างมั้ย…
“มานี่เลย!” ผมเผลอตัวด้วยความหมั่นเขี้ยวเลยกอดอีกฝ่ายไปซะเต็มแรงเต็มเหนี่ยว มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มันร้องออกมานั่นแหล่ะ
“โอ๊ยยย เจ็บบบ เฮียยยย”
“เฮ้ยๆ ขอโทษๆ” ผมรีบคลายวงแขนตัวเองอย่างรวดเร็ว ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้มันเจ็บนะครับ แต่เมื่อกี้มันเผลอจริงๆ
“อือออ…เจ็บอ่ะ ทำไมต้องทำแรงด้วย” คราวนี้ดูท่าทางมันจะงอนผมจริงๆ ครับ ตื่นเช้าก็ชอบหน้ามุ่ยอยู่แล้ว ตอนนี้ทั้งนอนน้อยทั้งตื่นเช้า แล้วยังมาโดนผมแกล้งอีก หน้าเลยหงิกซะจนไม่รู้จะพูดยังไง…
“ขอโทษ… ก็มันน่าฟัดนี่” ผมตอบไปตามตรง แล้วเอามือลูบเนื้อลูบตัวไอ้หนู กะจะช่วยบรรเทาอาการให้หายเจ็บไวๆ ทั้งๆ ที่มันคงไม่ได้เจ็บอะไรแล้วล่ะ แค่ยังอารมณ์เสียเล็กน้อย
“ฟัดเบาๆ ก็ได้นี่…” นั่นไงครับ ปากนี่ยื่นยาวน่าหยิกแต่ก็ต้องตีมือตัวเองไว้ เดี๋ยวเผลอไปทำมันงอนหนักกว่าเก่า
“ขอโทษครับ ขอโทษนะ… งั้นมานี่ ให้กัดคืน” ท่าทางผมจะติดโรคปัญญาอ่อนจากไอ้หนูมาแน่ๆ รู้สึกนับวันจะยิ่งทำตัวเด็กเข้าไปใหญ่ ว่าแล้วก็ยื่นแขนที่โอบรอบคออีกฝ่ายไปให้กัดตามที่บอก
ไอ้มิกกี้นิ่งไปสักพัก จนผมยุบอกว่า “กัดสิ…” มันก็ได้ส่ายหน้าบึ้งๆ หนี พอถามก็ได้เหตุผลที่ผมแทบจะลงมือฟัดมันอีกรอบ
“…ผมไม่กล้าทำเฮียเจ็บหรอก” แล้วตัวแสบที่แสนน่ารักของผมก็จุ๊บเบาๆ ลงที่แขนตรงหน้า หน้ากลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วครับ ไม่มีอาการหงิกงอใดๆ ทั้งสิ้น…
อยากจะหอมหัวเน่านั่นไปอีกครั้ง แต่ก็ต้องหยุดไว้ก่อนเมื่อเสียงตึ๊งของลิฟท์ดังขึ้น พร้อมกับประตูที่เปิดออกกว้าง… แม้จะเป็นเช้าตรู่แต่ก็มีพนักงานบางส่วนทยอยมากันแล้วครับ เพราะบางแผนกก็เข้าทำงาน 7 โมงเช้า แล้วแต่สายงานกันไป… ส่วนใหญ่จะยิ้มและยกมือไหว้ทักทายตามประสา คนส่วนใหญ่ก็จะรู้จักเจ้าหนูอยู่แล้ว แม้จะเข้าใจว่ามันคือน้องชายของผมซะมากกว่า
“ขับรถดีๆ นะ เลิกงานแล้วโทรหาด้วย” ผมก้มลงบอกอีกฝ่ายผ่านกระจกรถ
“คร้าบบบบพ่อออ เลิกเรียนแล้วจะรีบรายงานคร้าบบบ”
ดูมันสิครับ… แค่แป๊บเดียวก็กลับกลายมาเป็นเจ้าหนูตัว เอ้ย คนเดิม…. ทะลึ่งซะไม่มี ก่อนจะโบกมือบ๊ายบายและขับรถออกไปตรงทางออก… แต่สักพักก็ต้องชะลอรถลงเมื่อมันขับสวนกับรถเบนซ์คุ้นตาเข้ามา ทั้งสองคันเปิดกระจกลงทักทายกันเสียงเจื้อยแจ๊ว ผมได้แต่ยืนมองท้าวสะเอวดูอยู่อย่างนั้น… จนกระทั่งเห็นเจ้าหนูยกมือไหว้ลาและขับรถออกไป และไอ้รถเบนซ์คันที่ว่านี่ก็ค่อยๆ เข้ามาเทียบจอดตรงหน้าผมแทนที่
“ดีครับลุง ส่งลูกชายไปเรียนเหรอครับ” เสียงกวนๆ แบบนี้จะเป็นใครไปได้ล่ะครับ นอกจากไอ้หน้าลักยิ้มกวนส้นตรีน
“เออ” ผมกระแทกเสียงตอบกลับไป พร้อมกับถอนหายใจ… ทำไมเช้าเหนื่อยๆ แบบนี้ต้องมีคนกวนใจหลายคนด้วยวะ แถมไอ้หนูที่ไม่ค่อยจะหงุดหงิดใส่ก็มาเป็นเอาซะวันนี้อีกต่างหาก หลายเรื่องนะเนี่ย..หลายเรื่อง
“ว่างเปล่า?” เจ้าตัวถอดแว่นกันแดดออกมาแล้วยังคงยิ้ม…ที่ดูเหมือนยิ้มเยาะเย้ยมากกว่าจริงใจ
“ไม่” ผมยังคงกระแทกเสียงกลับ
“อ้าว…งั้นเหรอ ไม่เป็นไร เฮ้ยมาร์ช พี่มรึงไม่ว่างว่ะ”
ผมเห็นไอ้ซันพูดขึ้นมา… ทำให้เพิ่งสังเกตว่าในหูมันมี Small Talk แนบอยู่ ยิ่งเอ่ยชื่อเจ้าน้องชายที่ไม่ได้เจอกันมาพักนึงก็ยิ่งทำให้หูกระดิกแต่ต้องแกล้งทำเป็นไม่สนใจเพื่อรักษาฟอร์ม ไอ้ซันฟังปลายสายพูดอะไรมาซักอย่างจากที่หน้าตาลัลล้ากวนส้นติงผมอยู่นั้นก็กลายเป็นหน้าขุ่นขึ้นมาทันที
“เปล่าไม่อยู่ เพิ่งสวนกันไปเมื่อกี้…เออๆ ก็ได้วะ…แมร่ง” ไอ้ซันมันวางสายไปก่อนที่จะสบถคำสุดท้ายออกมาครับ แน่จริงมรึงพูดก่อนตัดสายสิวะ เหอๆ
“แล้วสรุปมีอะไรครับ ผมจะได้ไปทำงานซักที ไม่มีเวลามาอืดอาดโอ้เอ้เหมือนใครบางคนหรอกนะ”
“เปลี่ยนแผน ตอนเย็นเจอกัน”
ไอ้หน้ากวนโอ๊ยไม่พูดอะไรต่อ มันกดปิดกระจกรถตัดบทสนทนาทันทีทำเอาผมแทบอยากจะยกตรีนขึ้นถีบตามท้ายรถไอ้ที่ออกตัวไปไกลแล้ว
ผมติดใจแค่ครู่เดียวแล้วก็กลับขึ้นมาอาบน้ำในห้องทำงานและเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ให้แม่บ้านเอาไปส่งร้านซักรีดเตรียมไว้ให้ขึ้นมาสวมใส่… และทั้งวันก็เป็นไปเหมือนเดิม อย่างเดิม…
ตกเย็น…เสียงเคาะประตูรอบที่ล้านของวันดังขึ้น ผมไม่ได้ใส่ใจเลยตอบไปให้เข้ามาโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง ทันทีที่ประตูเปิดเท่านั้นเสียงโวยวายเจื้อยแจ๊วก็ดังสวนเข้ามาทันที และเสียงนั่น… ไม่ใช่คนเดียวซะด้วย
“โบร๋ววววววววว” เอาแล้วไงครับ… ไอ้ตัวดีทักทายก่อนใครเพื่อนเลย มันดิ้นกุกกักๆ ในมือมิกกี้ ขาทั้งสี่ตะกายลม หน้าตาโง่ๆ หัวล้านๆ ส่ายไปมาด้วยความดีใจเมื่อเห็นหน้าผม จนสุดท้ายเจ้าของต้องรีบปล่อยวางลงกับพื้น… ไอ้หมาวิ่งโซซัดโซเซขาเบี้ยวชนโต๊ะหน่อยนึงแล้วถึงอ้อมมาตรงเก้าอี้ที่ผมนั่ง ก่อนจะตะกุยขาผมจนต้องเตะมันออกไปเบาๆ
“เฮ้ย! ไอ้นี่!....” ผมเอ็ดมันนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ความดีใจของไอ้ลูกหมาหน้าตาพิลึกตัวนี้ลดลงซักนิด มันยังคงเอาหัวล้านๆ ทุยๆ ชนขาผมอยู่นั่น
“มันคิดถึงเฮีย ไม่ได้เจอหน้ามาหลายวันละ” มิกกี้เดินหน้ายิ้มร่าเข้ามา พร้อมถุงในมือมากมาย
“….แล้วนี่ไปไงมาไง ล่อซะครบแก๊งค์”
ก็จะไม่ได้ทักได้ไงล่ะครับ… ก็ข้างหลังไอ้หนูของผมมีทั้งมาร์ชและไอ้ซันเดินตามมาด้วย
“มาเยี่ยมส่งเสบียงคนที่ได้ข่าวว่าทำงานหนัก…เอาของฝากจากฮ่องกงมาให้ด้วย” พอเจ้าตัวพูดขมวดคิ้วทันที
“…ฮ่องกง? ไปมาเมื่อไหร่?”
“เพิ่งกลับมาได้สองวันเนี่ย ยังมีหน้ามาถามอีก ผมยังโทรไปถามพี่แดนเลยว่าจะเอาอะไร ลืมได้ไงคนเรา” ผมเริ่มคิดเป็นลำดับตามที่เจ้าตัวบอกก็ต้องร้องอ๋อ… เออ ลืมไปซะสนิทเลยจริงๆ
“เออว่ะ… แล้วเมื่อเช้ามรึงเป็นไรไอ้ซัน มาแล้วก็ไป” ผมลุกขึ้นบิดขี้เกียจเพราะนั่งมาเกือบทั้งวันแล้ว ขาก็เหยียบพุงไอ้หมาไปด้วย มันชอบอกชอบใจนักล่ะ กัดปลายกางเกงผมแล้วสะบัดหัวไปมา หน้าตาแลดูมีความสุขที่สุดในโลก -*-
“เฮ้ออออ…ก็กลับมาไม่ทันหายเหนื่อยดันโดนท่านประธานใช้มันทั้งวัน แล้วเมื่อเช้าเป็นอะไรก็ไม่รู้ ขึ้นๆ ลงๆ บอกว่าให้เอาของฝากมาให้ แต่พอบอกว่าเจ้าหนูมันไม่อยู่ก็บอกว่าให้เอากลับ ขี่รถวนกรุงเทพฯ สามรอบแล้ว จะบ้าตาย เป็นลูกจ้างเค้าก็เงี้ย…อย่านะ อย่าให้…” ไอ้ซันบ่นยาวแต่ก็ต้องเงียบเสียงเมื่ออีกฝ่ายขัดขึ้นมาซะก่อน
“อย่าอะไร หะ…มึงจะทำไม ลาออกเลยมั้ย หะ”
ผมมองดูสองคู่นี้เค้าทะเลาะกัน… มาร์ชยืนเอามือท้าวสะเอวหน้าตาหาเรื่อง ส่วนไอ้ซันก็ยืนกัดปากอยู่อย่างงั้น ยังกับดูสามีภรรยาเค้ามีปากเสียง เอาแล้วไงล่ะน้องกรู…นับวันความแมนจะเหลือน้อยลงทุกทีๆ -*- และเห็นไอ้ซันยืนกัดปากอยู่อย่างนั้นอย่าคิดว่ามันเคียดแค้นอะไรนะครับ มารู้ทีหลังว่ามันหมั่นเขี้ยวน้องผมมากกว่า เห็นเดินเข้าไปแล้วมีการทำท่าจะกัดหูด้วย ก็โดนเจ้ามาร์ชตบหน้าไปตามระเบียบ…ครับ ไม่ได้อ่านผิด “ตบหน้า” เลยจริงๆ แต่ตบแบบไม่ได้จริงจังเท่าไหร่
“เฮีย…” ผมละสายตามามองคนที่ยืนทำตาปริบๆ อยู่ข้างๆ มันหยิบเสื้อเชิ้ตสีสดใสขึ้นมาทาบตัวเองแล้วทำหน้าดีใจ
“พี่มาร์ชกะพี่ซันซื้อมาฝาก เท่ป่ะ” ผมพยักหน้าไปเรื่อย แต่มองแล้วไอ้ตัวที่ยืนยิ้มแป้นกับตัวที่กัดขาผมไม่ปล่อยนี่ท่าทางเหมือนกันยังไงก็ไม่รู้…
“ของเฮียก็มีนะ พี่มาร์ช อันไหนของเฮียอ่ะ”
มาร์ชเดินเข้ามาช่วยค้นถุงต่างแบรนด์ที่ตอนนี้วางกองรวมกันแล้วน่าจะประมาณเกือบ 10 ถุงได้ ไม่รู้ตกลงมันไปทำงานหรือไปช็อปปิ้งกันแน่…. และของส่วนมากที่ซื้อมาฝากก็จะเป็นเสื้อผ้าหน้าผมมากมายแหล่ะครับ แฟชั่นจ๋าต้องยกให้มาร์ชมันล่ะ จำกันได้มั้ยว่าเมื่อก่อนมันเป็นหนุ่มเจ้าสำอางทั้งเรื่องเที่ยวเรื่อง… นั่นแหล่ะ เดี๋ยวนี้ยังไม่ทิ้งลายหรอก แต่แค่โดนควบคุมความประพฤติอย่างหนาแน่นก็เท่านั้น
“ส่วนนี่ของเมิง ไอ้หนูลิง” ซันมันหยิบเอาที่คาดผมที่เป็นหูมิกกี้เม้าส์กลมๆ สีดำสองข้างขึ้นมาคาดหัวให้ไอ้มิกกี้ครับ เล่นเอาเจ้าตัวรีบเงยหน้าขึ้นมาดูใหญ่ พอรู้ว่ามองไม่เห็นก็ยกสองมือขึ้นมาจับๆ คลำๆ ดูว่ามันคืออะไร
“เหมาะมากกก ฮ่าๆ น่ารักว่ะ” มาร์ชยิ่งเสริม ยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปใหญ่
“โหยยย ไม่อยากจะบอกว่าผมก็มี เพื่อนเคยให้มา เหมือนกันเป๊ะ” ผมเห็นภาพไอ้หนูใส่ที่คาดผมมิกกี้เม้าส์ตรงหน้าก็นึกถึงภาพในโทรศัพท์ตัวเองที่เคยถ่ายมันไว้ ตอนนี้ยังเป็นหน้าจอวอลเปเปอร์ผมอยู่เลยครับ
“มันไม่เหมือนกัน ไอ้หนูลิง…นี่อิมพอร์ทจากฮ่องกงดิสนีย์แลนด์เว้ย!” ไอ้ซันรีบเถียงใหญ่ มองดูแฟนตัวเองถ่ายรูปเจ้าหนูอย่างอารมณ์ดี
“….มันก็เมดอินไชน่าเหมือนกันแหล่ะฟะ” มิกกี้กระซิบเสียงเบา
“อะไรๆ พูดมากไม่ต้องเอา คืนมานี่!”
ที่แบบนี้ล่ะรีบคว้าใหญ่เลยครับ คติของมิกกี้คือ… อะไรฟรีกรูเอาหมด -*- ว่าแล้วมันก็ไม่ยอมถอดอีกเลย มือคุ้ยของในถึงไปเรื่อยเหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่ยังไงยังงั้น ส่วนผมก็มองเพลินสิครับ… เจ้าตัวหยิบเอาที่คาดออกมาแล้วเสยผมขึ้นทั้งหมดโชว์เหม่งและคาดใหม่ไปอีกครั้ง คราวนี้เลยเห็นคิ้มเข้มๆ กับดวงตากลมโตสีดำสนิทได้ชัดกว่าปกติ ไหนจะจมูกโด่งๆ น่ากัดนั่นอีก ปาก…ไม่ต้องพูดถึง ผมเห็นแล้วต้องถึงกับดุนลิ้นในโพรงปากตัวเองเล่นแก้ขัด
“สงสัยมีคนอยากใส่มั่งว่ะ…” เสียงไอ้ซันทำเอาทุกสายตาจ้องไปที่มัน และก็ต้องหันมาที่ผมตามที่ไอ้คนพูดมันมอง…
“….เฮ้ย จะบ้ารึไง” ผมรีบทำหน้าตากลับมาให้เป็นปกติ และเอ่ยปฏิเสธไปแบบเจื่อนๆ
“ไม่ต้องกลัว มีอีกอัน นี่ไง… มินนี่เม้าส์” ว่าแล้วไอ้น้องชายหักเหลี่ยมโหดก็ควานเอาที่คาดผมหน้าตาเหมือนเจ้าหนูใส่ทุกอย่าง เพียงแค่ตรงกลางมีโบว์สีแดงลายจุดสีขาวผูกอยู่ด้วย… หาเรื่องแล้วมั้ยล่ะกรู
“เฮียยยยยยยย ใส่ให้ดูหน่อยยยยยยยยยยยยยยยยย” เอาแล้วไงครับ มิกกี้มันคว้ามาจากมือไอ้มาร์ชแล้วกระโจนใส่ผม ทำไงได้ล่ะก็ต้องรีบรับตัวมันไว้แต่มืออีกข้างก็ปัดป้องไม่ยอมให้อีกฝ่ายสวมที่คาดผมมินนี่เม้าส์ไปด้วย
“เฮ้ย ไม่เล่น!”
“น้าาาา จะได้คู่กันงายยยย มิกกี้กะแดนนี่เม้าส์ ฮ่าๆๆๆ” คราวนี้ขำกลิ้งกันทั้งห้องเลยครับ คาดว่าคงเสียงดังลอดออกไปนอกห้องด้วยซ้ำ กลัวจริงๆ ถ้าลูกน้องมาเห็นตอนหัวหน้ามันหมดสภาพเนี่ย
ผมยื้อกันไปยื้อกันมาจนไอ้หนูยอมแพ้ ลงไปนั่งหัวเราะงอหงายอยู่คนเดียวแล้วเอาที่คาดผมมินนี่เม้าส์ไปคาดเอวไอ้ดิ๊กกี้แทน… มีการบอกอีกว่า “ใส่แทนพ่อแกหน่อยนะ” เฮ้ออ ตรูล่ะหน่าย -*- ไอ้หมาก็ชอบใจสิครับ วิ่งวนเป็นวงกลมไล่งับไอ้ที่อยู่บนหลังตัวเองซะงั้น
หลังจากนั้นเราสี่คนก็ไปกินข้าวด้วยกัน ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบไปตามเรื่อง มาร์ชเองก็คุยเกี่ยวกับที่ไปช็อป เอ้ย ไปทำงานที่ฮ่องกงซะจนไอ้หนูอยากไปบ้าง ส่งสายตามาหาผมปริบๆ ผมเองก็ไม่ขัดศรัทธา… แต่ต้องเป็นหลังจากงานยุ่งๆ ผ่านไปก่อนนะ ประมาณ 2 ชั่วโมงก็แยกย้ายบ้านใครบ้านมัน …
ผมและเจ้าหนุพอกลับมาบ้านก็ทำกิจวัตรประจำวันไปตามปกติแหล่ะครับ อาบน้ำ กินของหวานอะไรอีกนิดหน่อยพอเป็นกระสัย มิกกี้ไปให้อาหารดูแลหมา จนมันหลับคนก็มาเตรียมตัวหลับบ้าง…
คืนนั้นเราก็นอนกอดกันเหมือนเดิม… จนกระทั่งตอนเช้าเริ่มรู้สึกตัวสลึมสลือตื่นขึ้นมาแปลกๆ ไอ้ยินเสียงแช๊ะ… แช๊ะ… เบาๆ ไม่ห่างจากตัวมากนัก… เสียงไรวะ…
และแล้วก็ต้องโวยวายเสียงดังเมื่อเห็นว่าเจ้าหนูนั่งคล่อมบนตัวผม มือถือกล้องถ่ายรูป… และกำลังยิ้มกว้างมองผมด้วยอาการกลั้นหัวเราะอย่างเต็มเหนี่ยว… ผมดันตัวเองลุกขึ้นแล้วก็รู้สึกถึงอะไรหน่วงๆ บริเวณหัว…
“ไอ้มิกกี้!!!!!!!!!!!”
ผมตะโกนเสียงดังลั่นจนเจ้าตัวรีบกระเด้งหลบออกจากเตียง วิ่งหนีไปข้างนอกห้องนอนทันที… เอาแล้วไงล่ะ โดนมันเล่นซะแล้ว! ผมรีบหยิบเอาไอ้ที่คาดผมมินนี่เม้าส์บนหัวแล้วเขวี้ยงทิ้งลงกับพื้นทันที หนอยยยย ไอ้แสบ!!
+++++++++++++++++++++++++++++