ภารกิจที่ 10 : เอาตัวรอดเสียงผิวปากบวกกับรอยยิ้มของคนขับทำให้เขียวรู้สึกหงุดหงิด ยิ่งอีกฝ่ายไม่พูดเขาก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก ไม่ได้คิดไว้ล่วงหน้าเสียด้วย
ว่าจะคุยอะไร เขาโพล่งออกไปแบบนั้นเพราะเห็นรอยยิ้มเศร้าๆ ของโชแปง มันเป็นเสี้ยววินาทีที่เขารู้สึกเห็นใจและอยากช่วย
เหลือ มาถึงตอนนี้ได้แต่สงสัยว่าตนเองตัดสินใจผิดหรือเปล่า
“คิดออกหรือยังครับว่าอยากถามอะไรพี่”
พี่!! ความสนิทสนมนี้ได้ถามเขาสักคำไหม แล้วไอ้ประโยคที่พูดเหมือนรู้ทันแต่ดันไม่ถูกต้องนี่อีก เขาจะอธิบายได้อย่างไรว่าเขา
ไม่ได้หาข้ออ้างเพราะอยากมาด้วยแต่เขาทำเพราะอยากช่วยโชแปงต่างหาก คนอะไรวะเข้าข้างตัวเองหน้าตาเฉย ไอ้จะบอก
ความจริงเขาก็ทำไม่ได้เพราะมันเกี่ยวข้องกับความลับของคนอื่น
“ผมอยากถามพี่เรื่องโชแปง” ในที่สุดเขียวก็คิดออก มันต้องเรื่องนี้สิเขาจะได้เก็บข้อมูลไปให้โชแปง
“ถามมาสิ”
“พี่อินคิดยังไงกับโชแปง”
“หึงเหรอ” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ส่งมาทำเอาเขียวคันไม้คันมือนึกอยากฟาดเจ้าของรอยยิ้มสักป๊าบ ชอบทำให้เขาหน้าแดงอยู่เรื่อย
“ใครจะไปหึง ผมชอบโชแปงพี่อินก็รู้”
“พี่ถึงเคยบอกเราว่าโชแปงเป็นคู่แข่งของพี่ มาถามถึงศัตรูหัวใจแบบนี้ไม่ดีนะ ระวังพี่พาลขึ้นมาจะจับเราลงโทษ” เขียวขยับตัว
เบียดกับเบาะโดยอัตโนมัติ ลงโทษอะไรวะ สายตาแบบนั้นโคตรไม่น่าไว้ใจ
“อีกอย่างพี่บอกแล้วว่าพี่จะจีบเรา เข้าหูบ้างไหม”
“ผมไม่ได้หูตึงถึงจะไม่ได้ยิน แต่มันไม่มีทางเป็นไปได้”
“หึหึ” เสียงหัวเราะของอินทรีย์ยิ่งทำให้เขียวหวาดระแวงเข้าไปใหญ่ ตอนนี้เขาเหมือนกระต่ายตื่นตูมพร้อมกระโจนหนีทุกเมื่อ
“ยั่วพี่เหรอ”
“หะ!!” เขียวหวานอยากจะบ้าตายไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายคิดไปไกลถึงโน่นได้อย่างไร
“รู้ใช่ไหมว่าของที่ได้มายากเรายิ่งอยากได้ไม่เว้นแม้แต่คน พูดแบบนี้มันยั่วพี่ชัดๆ” เอากับอินทรีย์สิเล่นเอาเขียวพูดไม่ออก
คนอะไรเข้าข้างตัวเองได้ตลอดเวลา
“ลองคบกับพี่ไหม” เขียวเบิกตากว้าง เขาไม่เคยเจอใครรุกหนักขนาดนี้มาก่อน ปกติเขาเอาตัวรอดผ่านไปได้สบาย แต่ทำไม
ครั้งนี้กลับทำอะไรไม่ถูก
“เราเงียบพี่จะถือว่าตกลง”
“เฮ้ย! เดี๋ยวสิพี่ ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลย”เขียวเซไม่เป็นขบวน ถึงพยายามจะตั้งรับแต่ไม่สำเร็จ
“พูดว่าตกลง”
“อะ...อะไรนะ”
“อยากให้พูดว่าตกลง..เขียว...” สายตาที่หันมาประสานราวกับมีมนต์สะกดทำให้เขียวไม่อาจเบือนหน้าหนีได้
“คบกับพี่นะครับ” หัวใจของเขียวเต้นรัว เขามองผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ เหมือนเห็นสิ่งประหลาดที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน
“ไม่..ไม่ต้องมาทำเสียงหวาน ผมไม่ใช่ผู้หญิงผมไม่ตกหลุมพี่ง่ายๆ”
“ฮ่าๆ ก็ลองดู ไม่หวั่นไหวบ้างเหรอถามจริง” เขียวส่ายหน้าแรงๆ ร้อยไม่หวั่นไหวพันไม่หวั่นไหว ไอ้บ้าเอ๊ยหัวใจอย่าเต้นแรงสิวะ
อายเขา
“ใครมันจะหวั่นไหว” เขียวแกล้งทำหน้าเหนื่อยหน่ายพร้อมกับถอนใจออกมาดังๆ และหวังให้อีกฝ่ายเชื่อ
“ไม่หวั่นไหวก็ไม่เป็นไรเพราะพี่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แน่” อินทรีย์พูดด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น เขาถูกใจเด็กคนนี้
“เขียวหวาน” เขียวเหลือบตาไปมอง อะไรอีกเรียกเขาเสียจริงคนยิ่งทำหน้าไม่ถูก
“ถึงเราเป็นผู้ชายพี่ก็จีบอยู่ดี” เขียวนิ่งไปนาน เขาสับสนจนลำดับความคิดหรือคำพูดไม่ถูก เหมือนสมองมันถูกน็อคไปแล้ว
“พี่อิน” เขียวเรียกชื่ออินทรีย์ขึ้นมาท่ามกลางความเงียบที่ก่อตัว เขาเพิ่งตั้งสติได้หลังจากงงงันไปนาน
“ครับ”
“ผมถามจริงๆ เถอะ พี่มาจีบผมทำไม ถ้าให้ผมทายผมว่าพี่แค่..นึกสนุก”
“เปล่า พี่แค่..ชอบ” รอยยิ้มอ่อนโยนแม้ไม่ทำให้เชื่อใจแต่ก็ทำให้เขียวสั่นไหวมากพอ
“........”
“ไม่มีอะไรจะถามพี่อีกหรือ”
“ไม่มี”
“ถ้าอย่างนั้นอยากถามอีกเมื่อไหร่ก็บอก พี่ชอบให้เราถามถ้ามันทำให้ได้อยู่ด้วยกัน”
“......” เขียวเม้มปากแน่น เขาจะไม่พูดอะไรที่ทำให้เสียเปรียบออกไป ไม่มีทางเป็นอันขาด
วินาทีนี้เขียวรู้แล้วว่าทำไมอินทรีย์ถึงเป็นหนึ่งในกลุ่มซุปตาร์ จะไม่เป็นได้อย่างไรเพราะแม้แต่ผู้ชายอย่างเขายังหวั่นไหวถึงเพียงนี้
✪✣✤✥✦✧✣✤✥✦✧✣✤✥✦✧✪
อิฐขับรถตามหลังรถของอินทรีย์ เขาหันไปมองคนที่นั่งมาด้วย
“ยิ้มอะไรครับ” อิฐพลอยยิ้มตามไปด้วยเมื่อเห็นสาวน้อยที่นั่งข้างๆ อยู่ไม่สุขชะโงกตัวไปมา เอามือลูบไปทั่วรถแถมยิ้มน้อย
ยิ้มใหญ่ไม่ยอมหยุด
“รถพี่อิฐสวย”
“หืม? เราก็เห็นรถพี่ออกบ่อยไป” อิฐแทบไม่เคยเปลี่ยนรถ เขาจึงแปลกใจที่โชแปงพูดเหมือนไม่เคยเห็น
“แต่แปงไม่เคยขึ้นนี่คะ ไม่เคยนั่งรถพี่อิฐสักครั้ง”
“หึหึ แล้วมันแตกต่างจากรถเจ้าอินตรงไหนครับ”
“ตรงที่..” โชแปงหยุดพูดทำท่าคิด เอียงคอมองหน้าอิฐก่อนหัวเราะออกมา
“พี่อิฐเป็นคนขับไงคะ”
“พี่เป็นคนขับ? งั้นเราน่าจะไม่ชอบใจมากกว่ามั้งที่ไม่ได้ไปกับเจ้าอินทำไมถึงเอาแต่ยิ้ม” อิฐกังขาเพราะความจริงโชแปงควรเซ็ง
มากกว่าที่ต้องมากับเขาแทน
“มันไม่ได้เกี่ยวกับยิ้มไม่ยิ้มเสียหน่อย พี่อิฐถามแปงว่าแตกต่างกันตรงไหน แปงก็ตอบถูกแล้วนี่คะว่าต่างกันที่ใครขับ ส่วนที่ยิ้มอยู่
นี่เพราะแปงกำลังอารมณ์ดีต่างหาก” ต่อให้ใจกล้าแค่ไหนโชแปงก็ไม่มีทางเผยความรู้สึกของเธอออกมา
“อารมณ์ดีเพราะได้กินของอร่อยใช่ไหม” อิฐเดาจากอาการของโชแปง
“ใช่แล้ว แปงอยากกินมาตั้งหลายวันได้กินเสียที ขอบคุณพี่อิฐมากนะคะที่เลือกร้านที่แปงอยากกิน”
“อารมณ์ดีเป็นเด็กๆ ไปได้” อิฐเอื้อมมือไปลูบหัวโชแปง เขาทำด้วยความเอ็นดู โชแปงเหมือนเด็กที่ได้ขนมแล้วดีใจ
จนลืมตัว
“พี่อิฐ!ผมแปงยุ่งหมดแล้ว” โชแปงแกล้งทำเสียงงอน หัวใจของเธอเต้นแรงจนกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยินเสียง
“ฮ่าๆ ไม่เห็นเป็นไรยุ่งก็ยังน่ารัก” น้ำเสียงของอิฐอ่อนโยนเหมือนผู้ใหญ่เอ็นดูเด็ก ผู้ชายอบอุ่นคนนี้ทำให้เธอหลงรักอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
“ไม่เป็นไรจริงเหรอคะงั้นแปงทำบ้างนะรับรองว่าผมพี่อิฐยุ่งก็ยังหล่อเหมือนกัน” โชแปงแกล้งยกมือขึ้นยื่นเข้าไปใกล้กับศีรษะ
ของอีกฝ่าย อิฐรีบคว้ามือบางเอาไว้ก่อนจะแตะลงบนผมของเขา
“ซน” มือใหญ่กุมมือเรียวแม้เพียงชั่วครู่แต่มันทำให้หัวใจของโชแปงทำงานอย่างหนัก เธอรีบสอดมือเข้าไปใต้กระเป๋าถือที่วางอยู่
บนตักเพื่อไม่ให้อิฐเห็นว่ามือของเธอสั่นแค่ไหน
“ทำแปงได้ทีตัวเองไม่ยอมให้ทำ” โชแปงแกล้งบ่นเบาๆ เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึก
“ฮ่าๆ พี่ใช้สิทธิความเป็นพี่ครับ” อิฐหัวเราะชอบใจเมื่อได้ยินน้ำเสียงของอีกฝ่าย เขาเหลือบตามองสาวน้อยที่นั่งอยู่ข้างๆ โชแปง
เหมาะกับคำว่าสาวน้อยมากกว่าผู้หญิง
"โชแปง”
“คะ?”
“กับอินเป็นยังไงบ้าง” โชแปงชะงัก แอบมองอีกฝ่ายเพราะไม่แน่ใจว่าทำไมอิฐถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา
“ก็เป็นอย่างที่เห็น พี่อิฐพูดเหมือนไม่ได้อยู่ด้วยอย่างนั้นแหละค่ะ แปงเคยไปไหนมาไหนกับพี่อินสองคนเสียเมื่อไหร่”
“อยากไปไหมพี่ช่วย” หัวใจที่พองคับอกอยู่เมื่อครู่เหมือนมีใครใช้เข็มเล่มเล็กเจาะจนเป็นรูพรุน โชแปงส่งยิ้มให้กับอิฐที่หันมา
มอง เธอต้องไม่ร้องไห้
“อย่าเลยค่ะมันคงดีกว่าถ้าพี่อินอยากไปเอง”
“นิสัยดีแบบนี้พี่เอาใจช่วยให้อินมันเห็นความน่ารักของเราไวๆ นะ”
“แปงไม่ได้น่ารักเหมือนที่พี่อิฐคิดหรอก บางทีแปงอาจไม่น่ารักเอามากๆ เลยก็ได้”
“น่ารักสิ” โชแปงหันไปสบตากับอิฐที่มองมาพอดี
“อย่าเพิ่งหมดหวัง สักวันอินมันต้องเห็นเชื่อพี่” มือของอิฐยื่นมาลูบหัวเธอแผ่วเบา มันอ่อนโยนจนเธออยากร้องไห้ออกมา
“ค่ะ” โชแปงยังยิ้มและหวังว่ารอยยิ้มนั้นจะทำให้อิฐเชื่อว่าเธอปกติดี อย่าเพิ่งหมดหวังอย่างนั้นหรือ ที่จริงความหวังของเธอเพิ่ง
หมดไปเดี๋ยวนี้นี่เอง
✪✣✤✥✦✧✣✤✥✦✧✣✤✥✦✧✪
ภายในรถคันสุดท้าย ทิเบตขับรถซีดานสีดำมุ่งหน้ากลับมหาลัย จุนนั่งเบาะหลังกับสิงห์ เขามองวิวนอกกระจกไปเรื่อยๆ เพราะบท
สนทนาถูกผูกขาดโดยพี่มิ้นและแน่นอนว่าไม่ใช่กับเขา
สัญญาณชาติทำให้จุนหันกลับมามองตรงไปข้างหน้า เขาสบตากับทิเบตทางกระจกมองหลัง จู่ๆ จุนก็รู้สึกเงอะงะขึ้นมาเมื่อ
สายตาของอีกฝ่ายสะกดเขาเอาไว้
มองอะไรวะ เดี๋ยวรถแม่งชนตายกันพอดี จุนสบถอยู่ในใจ ยอมรับว่าเขาสู้สายตาของทิเบตไม่ได้ มันเหมือนถูกดูดกลืนเข้าไป จู่ๆ
หัวใจก็เต้นเร็วขึ้น
“เดี๋ยวเลิกเรียนแล้วมิ้นโทรไปหานะคะ” โชคดีที่มิ้นแตะแขนของทิเบตทำให้อีกฝ่ายละสายตาไปมอง จุนลอบถอนใจออกมาเบาๆ
เผลอยกมือขึ้นแตะหน้าอกตัวเอง เป็นบ้าอะไรของกูวะหรือว่ากลัวจนใจเต้น
“ส่งข้อความมาดีกว่าเผื่อผมอยู่ในโรงหนัง ยังไม่รู้ว่าจะได้รอบกี่โมง”
“ก็ได้ค่ะ ถ้ามิ้นเลิกก่อนหนังจบจะไปเดินเล่นรอ”
“ครับ” น้ำเสียงไร้ความรู้สึกของทิเบตทำให้มิ้นกัดปากตัวเอง เธอยังหวังว่าทิเบตจะสนใจเธอมากกว่านี้ เพราะอย่างน้อยการที่พักนี้
ทิเบตไม่มีใครนอกจากเธอก็น่าจะหมายความว่าเธอมีหวังไม่ใช่หรือ
“จุน” มิ้นเอี้ยวตัวไปมองจุนที่นั่งอยู่ด้านหลังเธอ
“ครับพี่มิ้น”
“ถ้าพี่ไปถึงแล้วจุนจะออกมาเดินเล่นเป็นเพื่อนพี่ไหม” เป็นอีกครั้งที่ความน้อยใจทำให้เธอดึงจุนเข้ามาเกี่ยวข้อง ทิเบตควรได้รู้
บ้างว่ามีคนสนใจเธออยู่
“เอาไว้หนังจบก่อนได้ไหมครับ ผมไม่ชอบดูหนังแล้วค้างมันหงุดหงิด” ฉิบ!! จุนรีบเม้มปาก จะพูดตรงกับใจไปไหนวะไอ้บ้าจุน
มึงต้องเลือกสาวก่อนสิวะไม่ใช่เลือกหนัง
“หึหึ” เสียงหัวเราะและรอยยิ้มที่มุมปากของทิเบตทำให้คนสามคนมีปฏิกิริยาแตกต่างกันไป สิงห์เกือบหลุดหัวเราะออกมาดีที่เขา
หยุดไว้ได้ทัน เขาเสหันไปมองทางอื่นเพื่อซ่อนรอยยิ้ม สิงห์ไม่ได้ขำมิ้นแต่ขำไอ้ตัวจุ้นของทิเบตท่าตกใจของมันตลกสุดๆ
“หัวเราะอะไร” เสียงขมขู่เป็นของใครไปไม่ได้นอกจากจุน หน้าเจ้าตัวเอาเรื่องจนทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของทิเบตกว้างมากขึ้น
“ขอโทษทีมิ้นผมไม่ได้หัวเราะคุณ” อ้าว! จุนขมวดคิ้วมุ่น เมื่อคนที่ควรตอบเขาหันไปพูดกับมิ้นแทน ถ้าไม่ได้หัวเราะพี่มิ้นไอ้พี่เบ
ตก็หัวเราะเขาน่ะสิ
“ไม่เป็นไรค่ะมิ้นเข้าใจ”
“พี่มิ้นคือผม..” จุนชักร้อนตัว พี่มิ้นเข้าใจนี่คือเข้าใจว่าอะไรวะ
“ไม่เป็นไรหรอกจุนพี่เข้าใจ”
“อ่า..ครับ” จุนยิ้มแห้งๆ แก้ตัวตอนนี้คงไม่ทันแล้ว ถึงจะบอกว่าเปลี่ยนใจอย่างไรก็แก้สิ่งที่พูดไปแล้วไม่ได้ ไหนๆ ก็ไหนๆ เขาขอ
ดูหนังให้จบแทนก็แล้วกัน
“ขอบคุณนะคะเบต เดี๋ยวเจอกันทุกคน”
“ครับ ผมจะรอนะ” จุนเสนอหน้ายิ้มหวานตอบรับมิ้น ถือว่าทำคะแนนคืนซึ่งไม่มีรู้ว่าสำเร็จไหมเพราะมิ้นเปิดประตูลงรถไปอย่าง
รวดเร็วเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด
“......” ทำไมไม่ออกรถวะ จุนสงสัยเพราะในรถมีแค่ความเงียบจนเขาเริ่มอึดอัด
“ย้ายมานั่งหน้าฉันไม่ใช่คนขับรถ” เสียงพูดลอยๆ ของคนขับไม่ได้บ่งชี้ว่าหมายถึงใคร จุนจึงรีบเอนหลังพิงเบาะกอดออก
หลับตารู้สึกง่วงขึ้นมาเฉยๆ หึหึ เจอมุกหลับไปตลอดทางบ้างเถอะ
“เดี๋ยวกูย้ายไปนั่งเป็นเพื่อน” เสียงกลั้วหัวเราะของสิงห์ดังขึ้น จุนถอนใจโล่งอก ถูกต้องที่สุดเพื่อนสนิทก็ต้องไปนั่งเป็นเพื่อนกันสิ
“มึงไม่ต้อง จุนมานั่งข้างหน้า”
“.......” หึหึ ดีนะเขาชิงหลับตาตั้งแต่เมื่อกี้ เนียนๆ ว่าหลับไปแล้ว คนมันอิ่มแล้วง่วงก็ต้องหลับไวเป็นธรรมดา
“หลับไปแล้ว” น้ำเสียงของสิงห์มีรอยยิ้มหัวแม้จุนไม่ได้ลืมตาขึ้นมามองยังรู้สึกได้
“งั้นเหรอ” คำพูดเหมือนรับรู้ของทิเบตทำให้จุนแอบยิ้ม รอดแล้วโว้ยยย
“มึงจะไปไหน” จุนได้ยินเสียงคล้ายใครบางคนปลดล็อคเข็มขัดนิรภัยตามด้วยเสียงถามของสิงห์
“เดี๋ยวกูอุ้มเอง”
พรึบ!! จุนลืมตากว้าง เด้งตัวลุกขึ้นนั่งหลังตรง ยกมือปิดปากแสร้งหาวออกมาเสียงดัง
“ฮ้าวว อ้าวยังอยู่ที่มหาลัยกันเหรอพี่ เดี๋ยวไม่ทันพวกนั้นนะ” หึหึ จุนอยากตบมือให้กับการแสดงของตนเอง ออสการ์ปีนี้
ควรเป็นของเขา
“มานั่งข้างหน้า” ทิเบตนึกขำไอ้ตัวจุ้น เห็นๆ กันอยู่ว่าตื่น นึกจริงๆ หรือว่าที่ทำอยู่นั้นเข้าท่า
“ได้ๆ” ไม่ต้องรอให้ทิเบตเรียกชื่อ จุนรีบเปิดประตูลงรถและย้ายไปนั่งด้านหน้าข้างคนขับอย่างว่าง่าย แน่สิขืนว่ายากเขาคงได้อาย
คนแถวนี้ เขาเชื่อหมดใจว่าไอ้พี่เบตมันทำตามที่พูดแน่ คนอะไรชอบเอาชนะ
“พวกมึงนี่สมกันดีจริงๆ” สิงห์หัวเราะงอหายอยู่เบาะหลัง เขาชอบความมึนของจุน เด็กคนนี้เหมาะกับทิเบตดี
“ไปได้” จุนหันไปพยักหน้าให้ทิเบตเมื่อล็อคหัวเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย
รถแล่นออกจากมหาลัยมาได้สักระยะจุนเริ่มนั่งไม่เป็นสุข เขาอึดอัดเพราะในรถเงียบไม่มีเสียงพูดคุย ไม่เข้าใจว่าทำไมสองคนนั้น
ถึงไม่คุยกันเป็นเพื่อนกันเสียเปล่า ถ้าเป็นเขากับเขียวหวานคงแย่งกันพูดจนฟังไม่ทัน
“มีหนังที่อยากดูไหม” จุนหันไปมองด้านหลังเห็นสิงห์ง่วนอยู่กับโทรศัพท์ บวกกับสายตาของทิเบตที่หันมาสบตา จุนจึงเดาเอา
ว่าทิเบตถามเขา
“มี”
“อยากดูเรื่องอะไร”
“เรื่องอะไรก็ได้ตามใจเถอะผมไม่ได้ออกเงิน” หึหึ มันต้องตอกย้ำกันอีกสักครั้ง เกิดหลอกเขาไปดูแล้วตีมึนให้จ่ายเอง
เขาก็ซวยสิ
“เลือกมาเถอะฉันไม่เก็บเงินนายเพราะแค่เลือกหนังหรอกน่า” เกลียดจริงๆ เขาเกลียดสีหน้ายิ้มๆ เหมือนคนรู้ทันของทิเบต และที่น่า
เจ็บใจยิ่งกว่าคือเขาคิดว่าทิเบตรู้จริง
“ถ้าเกรงใจก็ถือเสียว่าเป็นค่ามาม่าปลากระป๋องที่นายเลี้ยงฉัน” จุนตาลุกวาว อย่างนี้ไอ้พี่เบตก็ไม่ถือว่ามีบุญคุญกับเขาสิ
“งั้นค่ารถไปหาที่คอนโดกับค่าทำอาหารหายกันกับค่าปิ้งย่างเมื่อกี้นะ” มันแลกกันได้สิเวลาของเขาก็มีค่าเหมือนกัน เล่นเกมได้
ตั้งหลายเกม
“เดี๋ยว!” เสียงทักขัดจังหวะดังมาจากด้านหลัง ก่อนที่สิงห์จะยื่นหน้าแทรกเข้ามาตรงกลางระหว่างเบาะ
“ใครไปหาใครที่คอนโด แล้วมาม่าปลากระป๋องคืออะไรวะ”
“ที่ผมทำปากพี่เบตแตกไงผมเลยแวะไปดูเสียหน่อย เป็นคนดี นี่เป็นคนดี” คนร้อนตัวรีบชิงตอบก่อน
“แล้วมาม่าปลากระป๋องคืออะไร”
“ก็เพื่อนพี่แหละส่งข้อความมาบอกว่าหิว ผมเลยเอามาม่ากับปลากระป๋องไปทำให้กิน”
“เหรอ...อืม..” สิงห์พยักหน้าว่าเข้าใจเรื่องราวแล้ว ก่อนยกโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาเลื่อนดู
“สงสัยต้องส่งโทรศัพท์เข้าศูนย์”
“หือ? เสียเหรอพี่” จุนงงนิดหน่อยที่อีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องแต่คิดในแง่ดีว่าสิงห์คงหมดความสงสัยแล้ว
“คิดว่าเสีย ข้อความเบตถึงส่งไม่เข้า กูขอโทษนะที่ปล่อยให้มึงหิวจนต้องส่งข้อความไปหาน้องมัน” จุนมองคนนั่งหลังสลับกับ
คนที่ขับรถอยู่ข้างๆ เห็นรอยยิ้มของสิงห์และเห็นแววตาของทิเบตแล้วจุนคิดว่าเขาควรรับมุกนี้ไม่ทันน่าจะเข้าท่ากว่า
“เดี๋ยวแวะเลยพี่ที่ห้างมีศูนย์ หรือจะเปลี่ยนเครื่องใหม่แล้วยกเครื่องนี้ให้ผมเอาไปซ่อมก็ได้นะ”
“ไอ้เด็กหัวหมอ” สิงห์ใช้นิ้วจิ้มหัวจุนเบาๆ ด้วยความเอ็นดู บอกแล้วว่าไอ้ตัวจุ้นของทิเบตมันทำมึนเก่ง
“โอ๊ะ!” จุนอุทานด้วยความตกใจ เมื่อจู่ๆ ทิเบตโยนโทรศัพท์ของตนเองมาตกลงบนตักเขา
“เอาไปใช้สิ”
“หะ!!” จุนตาเบิกโต เอาอย่างนี้เลยหรือให้กันง่ายๆ อย่างนี้เลย
“ขี้อิจฉานะมึงกลัวน้องมันใช้โทรศัพท์กูเหรอ” สิงห์แซวเพื่อน ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้อิจฉาเขาแต่วิธีแสดงความเป็นเจ้าของ
ของทิเบตก็น่าหมั่นไส้ไม่น้อย
“หรือมึงอยากให้จุนเห็นความลับในโทรศัพท์มึง”
“ใช้ของเบตมันเลยจุน เชื่อพี่ รุ่นใหม่กว่าแพงกว่า” สิงห์กลับคำแทบไม่ทัน เมื่อโดนเพื่อนรักขู่
“มีอะไรหรือพี่ คลิปโป๊เหรอ เฮ้ย!ไม่ต้องอายผมก็ดู”
“อยากดูสิงห์มันโป๊เหรอ”
“หา!!” จุนเบิกตากว้างเขาคิดว่าเป็นหนังโป๊แต่ไม่คิดว่าสิงห์จะลงทุนแสดงเอง
“เฮ้ย!อย่าไปฟังไอ้เบต พี่ไม่เคยถ่ายคลิปไว้ มีแต่รูปที่ผู้หญิงเขาส่งมาให้”
“ฮ้า!!” คราวนี้จุนขึ้นเสียงสูงกว่าเดิมเป็นสองเท่า ตาเบิกโต รูปที่ผู้หญิงส่งมาให้ รูปโป๊เหรอวะ!! โอ๊ยไอ้พวกพี่มันทำบุญมาด้วย
อะไรวะโคตรน่าอิจฉา
“อย่าหวัง” มือใหญ่ของทิเบตจับหัวจุนให้หันกลับมามองทางข้างหน้าเหมือนเดิม ปิดโอกาสที่เขาจะขอยลโฉมสาวงามเป็นบุญตา
ไอ้พี่เบตมันรู้ได้อย่างไรวะว่าเขาจะขอดู
ว่าแต่พี่สิงห์ยังมีแล้วอย่างไอ้พี่เบตมันจะพลาดได้ยังไง จุนจ้องโทรศัพท์ที่อยู่บนตักด้วยความหวัง ในนี้ต้องมีของดีอยู่แน่ๆ
“ฉันลบทิ้งหมดแล้ว”
“ลบทิ้ง!” จุนอุทานด้วยความเสียดาย โธ่ของดีๆ แบบนี้ลบทิ้งลงคอได้อย่างไร
“จะดูทำไม ชีวิตจริงไม่เคยหรือไง”
“ก็ไม่เคยน่ะสิ” จุนโพล่งออกมาด้วยความโมโหปนเสียดายที่อดดูของดี
“หะ!!” สิงห์ถึงกับยื่นหน้าเข้ามาสอดรู้สอดเห็น
“อย่าบอกนะว่าเรายังไม่เคยสักครั้ง” โธ่!กูหนอกู จุนเผลอยกมือขึ้นตบปากตัวเองตามที่ใจคิด พูดอะไรออกมาวะหมดกันรู้ไปถึง
ไหนอายไปถึงนั่น
“ผมมันพวกรักจริงหวังแต่ง” เป็นคำแก้ตัวที่ดูโง่มาก พิสูจน์ได้จากเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของไอ้พี่สิงห์
“แน่ใจเหรอว่าเพราะสาเหตุนั้น” สิงห์แหย่จุนเห็นหน้าก็รู้แล้วว่าไม่ใช่
“แน่ใจ ผมไม่ส่ำส่อนเหมือนพวกพี่หรอก”
“อ้าวไอ้นี่คุยกันดีๆ ด่าพี่ด่าเชื้อเฉย เขาไม่เรียกส่ำส่อนโว้ยเขาเรียกว่าให้ความสำคัญกับสาวๆ อย่างทั่วถึง”
“เหอะ” จุนเบ้ปากให้สิงห์เพื่อบอกว่าเขาไม่เชื่อคำแก้ตัวนั้นสักนิด จุนเหลือบตามองทิเบตนึกแปลกใจที่เห็นอีกฝ่ายเงียบไป
ไม่พูดไม่แซวหรือทำหน้ารู้ทันเขา ใบหน้าคมนิ่งมองตรงไปยังถนนข้างหน้า
“จุน”
“ว่า?” จุนเลิกคิ้วเป็นคำถามเมื่อคนที่เงียบไปนานเรียกชื่อเขาออกมา
“อย่าบอกว่าฉันเป็นจูบแรกของนาย”
!!!
“มะ.ไม่ใช่ ไม่มีทาง!!” จุนอ้าปากค้างตาเบิกโตอยู่นานกว่าที่เสียงจะหลุดออกมาจากปากได้ ไอ้พี่เบตไอ้....
“หึหึ ขอบใจนะ”
อ๊ากกกกก จุนตะโกนก้องอยู่ในใจแต่สิ่งที่ทำได้คือหันกลับไปมองนอกหน้าต่าง ตีมึนทำเหมือนไม่เข้าใจคำขอบคุณของทิเบต
และไม่รับรู้เสียงหัวเราะแทบเป็นบ้าเป็นหลังของสิงห์
จุนยังคงทำหน้ามึน เหมือนเมื่อสักครู่ไม่มีบทสนทนาเกิดขึ้น ในมือเขากำโทรศัพท์ของทิเบตไว้แน่น หึ ไม่คืนให้หรอกเว้ย
ให้แล้วให้เลย ถือว่าแลกกับจูบแรกของเขา หายกัน!!
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<
ปล. ไหน อ่านแล้วโดดขึ้นรถไปกับคนไหนกันคะ บอกกันบ้างสิคนเขียนอยากรู้ ^^
Darin ♥ FANPAGE Twitter :
primdarin