
แค่คนรักที่หล่นหาย
มีรถยนต์คันแรกกันเมื่อไหร่ครับ
ใครจะคิดว่าเด็กมหาวิทยาลัยปี2
จะมีรถขับ
แถมยังเป็นเด็กผู้หญิง
เจ๊นิดครับ
ส้มหล่นลงมาทับทั้งต้น
โตโยต้าคราวน์ สีขาวครีม คันใหญ่มาก
นั่งกันทั้งบ้านยังเหลือที่ให้ไอ้นิวนอนได้ครับ
อาโกว น้องสาวพ่อ แกเป็นเภสัชกร
อยู่ที่รพ.ใน กทม. สามีเป็นศุลกากร
แกจะถอยรถใหม่
พ่อเลยซื้อรถเก่าแกมาให้เจ๊นิด
สภาพรถดีมาก รถอายุงานไม่ถึง10ปี
แต่ใช้งานน้อย
อาโกวใช้ขับแค่บ้านไปที่ทำงาน
ไม่ได้ขับออกต่างจังหวัด
แรกๆแม่บ่นใหญ่เลย
ไม่มีที่จอดรถ
แต่รถอยู่กับเราไม่นาน
เจ๊นิดเอาไปใช้ที่กทม.
แกย้ายมาเช่าคอนโดอยู่แถวสะพานควาย
ใต้ที่พัก จอดรถได้สบาย
ช่วงนี้แกทำงานพิเศษที่โรงแรมโนโวเทลที่สยาม
ผ่านการประเมินหลายรอบหลายระดับ
เนื่องจากยังเด็กมาก
แต่ทางโรงแรม ผู้บริหารเป็นชาวต่างชาติ
เมื่อเจ๊แกหาหนังสือรับรองมาได้
ก็ได้เข้าทำงาน
จนช่วงฝึกงาน แกสบายกว่าเพื่อนๆไม่ต้องวิ่งหาแหล่งฝึก
แถมเกรดการฝึกงาน สูงสุดในชั้นปี
ที่สำคัญจบมา ได้บรรจุงานเป็น ฟร้อนออฟฟิศ
แกสนุกกับงานมาก
รับรองลูกค้าทั้งไทยและต่างชาติ
และแล้ว แกก็ได้พบกับสามีคนปัจจุบันที่นี่
(เจ๊นิด...ชั้นมีสามีคนเดียวว๊อยยยยยยยย)
ตอนที่เจ๊นิดอยู่ปี2 เริ่มมีรายได้จากงานโรงแรม
ผมใกล้ถึงเวลาชี้ชะตาของเด็กม.6ทั่วประเทศ
แกบังคับให้ผมมาเรียนกวดวิชาที่กทม.
ผัดผ่อนเรื่อยมาจนคอร์สสุดท้ายของการติว
เจ๊ลากคอผมมาจากที่บ้าน
โยนโครมไว้ที่คอนโด
ฟ้องเฮียปาน
แกบอก..สมควร
ป้อน(ความรู้)ให้ถึงปาก อยากไม่เอา
เรื่องไร...ค่าป้อน มันเปลืองตัว
ถึงแม้จะอัตราพี่น้อง..พี่มันคิดไม่ซื่อจ้องจะงาบ...รู้ทัน
เช้าตรู่ ในวันหยุด
เด็กม.6 หน้าง่าวแบบผม
มานั่งหาวอยู่ในร้านโดนัทที่สยาม
รอเจ๊แกออกเวรตอนเช้า
สมัยนั้น ร้านโดนัทเป็นแหล่งนัดพบ
เหมือน ร้านแมค ในตอนนี้
มีเด็กนั่งกันประปราย ยังเช้าอยู่มาก
แล้วผมมานั่งทำด๋อยอะไรที่นี่
ก็เจ๊แกอุตส่าห์แวบมาลากผมจากคอนโดตอน6โมงเช้า
หย่อนปุไว้ที่นี่
รอแกออกเวร8โมง
เพื่อจะพาไปสมัครกวดวิชา
นั่งกินน้ำ กินโดนัทจนอืด
เหลือบมองมนุษย์รอบตัว
คนที่นั่งอยู่ล้วนแล้วแต่วัยเรียน
บ้างก็ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ(เรียน)
บ้างก็คุยกันรอเวลา
ผมนั่งเบื่ออยู่คนเดียว
ประตูร้านเปิดที เหลียวไปมองที
นั่งหันหลังครับ
อาย..
คนบ้าอะไรมานั่งอยู่คนเดียว
หนังสือสักเล่มก็ไม่มี
ผลของความขี้เกียจครับ
นั่งจนเมื่อยก้น
ขยับตัวบิดไปมา
พี่พนักงานส่งยิ้มมาให้ด้วยความสมเพช
น้ำท่าไม่ได้อาบ ผมไม่ได้หวี
ล้างหน้าแปรงฟันพอ
ดีไม่มาทั้งชุดนอน
จะ9โมงแล้ว
3ชั่วโมงเต็ม
จะออกไปเดินข้างนอกก็กลัวคลาดกัน
จริงๆไม่มีปัญญาไป...บ้านนอกเข้ากรุง
ความเบื่อมากขึ้น ความอายลดลง
ย้ายที่นั่ง หันหน้าออกนอกร้าน
กระจกใสทำให้มองเห็นความเคลื่อนไหวภายนอก
โชคดี ร้านติดแอร์นะครับ
ไม่งั้นผมคงหงุดหงิดมากกว่านี้
วัยรุ่นกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน
ก้มหน้าเขี่ยนิ้วเล่นกับหยดน้ำที่เกาะอยู่ข้างแก้ว
แก้เก้อ ไม่กล้ามองหน้าใคร
หัวเดียวกระเทียมลีบ
ได้แต่เหล่มองคน เวลาเขาเผลอ
เสียงพูดคุยดังมาจากคนกลุ่มเดิม
ท่าทางจะไม่ใช่เด็กม.ปลาย
“ฝ้ายแกไปซื้อตั๋วหนังแล้วกัน พวกชั้นสั่งโดนัทรอ”
“เออ เออ ก็ได้”
เด็กกทม.สบายกันจัง
กิน เที่ยว ดูหนัง
เจ๊นิดไม่เห็นจะคุยเรื่องหนังเลย
มากทม.ทั้งที
คงต้องวนเวียนอยู่แค่ คอนโดกับที่กวดวิชา
แล้วจะเอาอะไรไปโม้ให้ไอ้นิวอิจฉาหล่ะเนี่ย
“มีมี่ ไปเป็นเพื่อนเค้าหน่อยสิ”
นั่งอึ้ง ตะลึงตัวชาอยู่กับที่ ก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิม
มือเย็นเฉียบ หัวใจแทบหยุดเต้น
ใครว่ากทม.กว้างใหญ่ หากันไม่เจอ
เช้าวันแรกในเมืองหลวง ผมก็เจอเข้าให้แล้ว
“ได้สิครับ ไปกัน”
เดินเฉียดผมออกไป
เด็กแลกเปลี่ยน นิสิตแพทย์ คู่รักนานหลายปี
รู้สึกเป็นส่วนเกินในที่แห่งนี้
หันไปมองนาฬิกาที่หลังเคาน์เตอร์โดนัท
แม้แต่นาฬิกาผมยังไม่มีเลย
(ผมรีบ..ลืมใส่อะครับ)
“อ้าว น้องเด็กเสิร์ฟนี่นา มาทำอะไรที่นี่หล่ะ”
พี่คนหนึ่งในกลุ่มถามมา
“เอ้อ ผม ผมมารอพี่สาวครับ”
“มาๆ มานั่งนี่ เดี๋ยวมี่มันก็มาแล้ว”
ลุกขึ้นจะออกนอกร้าน เวลามีจำกัด
แรงดึงที่แขนทำให้หยุดชะงัก
“รอมันก่อนสิ แป๊บเดียว มันคงแปลกใจเจอน้องจังหวัด”
เอาไงดีนะ แปลกไม่แปลกตูก็ไม่อยากเจอ
“ขอโทษครับ ผมต้องไปแล้ว”
แกะมือไม่ออก แถมโดนลากมาที่โต๊ะ
“เอ๊ะ น้องคนนี้”
ซวยซ้ำซ้อน พี่สาวร่วมเหตุการณ์วันงานโรงเรียน
“จำพี่ได้มั๊ยคะ วันนั้นที่....”
“ครับ ครับ จำได้ครับ”
“นั่งก่อนสิจ๊ะ กินอะไรกันก่อน”
ส่งยิ้มหวานมาให้
ไม่มีวี่แววศัตรู
“เออ ผมอิ่มแล้วอะครับ อิ่มมาก กำลังจะกลับพอดี”
“ว๊า จะรีบไปไหน”
“นั่นสิ พี่สาวยังไม่มานี่ รึว่า...รังเกียจ”
พี่ชายอีกคนถาม
ที่นั่งกันอยู่ตอนนี้ มีผู้ชาย2คน คนแรกที่ดึงผมมา
อีกคนที่เพิ่งถาม
ผู้หญิงอีกคน ก็เพื่อนพี่ฝ้ายคนสวย
“เอ้อ ผม ผม...”
“ไม่รู้หล่ะ นั่งลงเลย”
พี่สาวกดไหล่ผมให้นั่งลง
แนะนำตัวกันจนครบทุกคน
พี่ใหญ่...พี่คนที่ทักผมคนแรก
พี่หรั่ง...พี่ผู้ชายอีกคน
พี่ปัท...พี่สาวที่ดูเป็นมิตรกว่าเดิม
“น้องหน่อยมาทำอะไรที่นี่ แล้วมี่มันรู้มั๊ยจ๊ะ”
“ผมมากวดวิชาอะครับ”
ตอบแค่คำถามเดียว
“ผมต้องกลับแล้วครับพี่ๆ วันหลังเจอกันครับ”
ยกมือไหว้กราดแล้วลุกพรวดออกจากร้าน
เสียงเอะอะตามหลัง
คงเข้าใจว่าผมมารยาททราม
ช่วยไม่ได้
จะอยู่ทำไมไม่ทราบ
แอบๆแถวซอกตึกนี่แหละ เดี๋ยวพอเจ๊แกมาจะได้เห็น
ยืนรอ ร้อนก็ร้อน เหนียวตัว (ก็แกไม่อาบน้ำนี่นา อย่าบ่น)
แสงแดดส่องมาทางนี้ด้วย
เอ...รึว่าจะเดินไปหาเจ๊นิดที่โรงแรม
นั่งรอล๊อบบี้เย็นๆน่าจะดีกว่า
ถามทางคนแถวนี้ก็น่าจะได้ โรงแรมออกจะดัง
คิดวกวนหาทางออก
เจ๊นิดงานแกบางทีเคลียร์ไม่ลงตัว
เผลอๆแกง่วง อาจจะลืมผม กลับคอนโดไปนอนแล้วก็ได้
โทรไปคอนโดก่อน ไม่มีคนรับค่อยเดินไปโรงแรม
ตัดสินใจได้จะก้าวออกจากซอกตึก
“นั่งห้องแอร์ดีๆไม่ชอบ หึ”
เงาดำทาบทับลงมา แสงแดดส่องกระทบด้านหลังคนที่ยืนบังอยู่
ร่างกายคล้ายมีแสงทำลายล้างแผ่กระจาย
“เฮีย เฮียมี่”
“ยังจำได้เหรอ คิดว่ามีแต่ไอ้ปาน”
“.....”
เปิดฉากประชดประชัน
ยิ้มเยาะๆส่งมาให้
ทำผมโกรธ
“หลีกทางให้ผม”
“ตอบมาก่อนสิ ไอ้ปานมันทิ้งรึไง ถึงมาอยู่แถวนี้คนเดียว”
กัดริมฝีปากจนเจ็บ
วูบแรกแอบดีใจนิดๆที่ได้เจอ
แต่ถ้าพูดจาแบบนี้ไม่เห็นกันยังดีกว่า
ก้มหน้ามองพื้น
คนข้างหน้าไม่ขยับ
เดินหน้าเข้ามาในซอกตึก
ความกว้างไม่พอให้หลีกหนีกัน
ด้านหลังทางตัน
หมดหนทาง
ต่างคนต่างรอดูทีท่า
ทนอึดอัดไม่ไหว
เหงื่อท่วมตัว
“อ๊ะ จะทำอะไร”
ยื่นมือมาเสยผมเปียกลีบตรงหน้าผากให้
อีกมือล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าส่งมา
“เช็ดซะ รึจะให้ช่วย”
รีบรับมาเช็ดหน้า
กลิ่นหอมอ่อนๆ
คุ้นเคย
ราวกับ
ได้พบเจอ
สิ่งที่หล่นหาย

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บ่นเจ็บนิ้วครับ
เฮียออกไปทำธุระ
กลับมาพร้อมกับ
พลาสเตอร์สีเหลือง
ลายเป็ดน้อย
ตื้นตันใจ ในความใส่ใจ
(พอไม่ซื้อมาให้ก็หน้างออะนะ คนเรา)
ขอบคุณไปหลายฟอด
เฮียบอกขอกอดที
ไม่เป็นไรกี่ทีไม่ว่ากัน
เฮียบอก
ว่าเถอะถ้าอยากว่า
บ่นเถอะถ้าอยากบ่น
ขออย่างเดียว
อย่าเขียนให้เลวเกิน
เขินคนอ่าน
มาดึกๆครับผม
