“ฉันสั่งให้แกแต่งงานก็ต้องแต่ง!”เสียงตวาดลั่นของผู้ที่ได้ชื่อว่า พ่อบุญธรรมของผม ตะคอกใส่ผมที่ยังคงตื่นตกใจอยู่กับคำสั่งที่เขาบอกให้ผมทำตามใจตัวเขาเอง
“ไม่ !! คุณก็รู้ว่าผมมีคนรักแล้ว!!”
ผมตะคอกกลับ ความสำนึกในบุญคุณต่อผู้ชายคนนี้นั้นไม่มีอยู่แล้วในจิตใต้สำนึกของผมเพราะในทางสายเลือดและการเลี้ยงดูผมเขาไม่เคยที่จะเกี่ยวข้องแม้แต่นิดตั้งแต่พ่อแม่ที่แท้จริงของผมตาย
ถึงแม้ว่าเขาจะได้ชื่อว่าเป็น พ่อบุญธรรม ก็ตาม...แต่การกระทำของเขาที่มีต่อผมก็เหมือน –สิ่งของ—อย่างหนึ่งก็เท่านั้น และคำตอบที่ผมตอบกลับเขาไป กลับได้รับใบหน้าที่มีความชิงชังและเหยียดหยามเข้าใส่
“ฮึ ไอคู่เกย์ของแกน่ะเหรอ? เหอะ! มันก็แค่นั้นแหละ ไอพวกวิปริตจิตผิดปกติอย่างนั้นไม่มีทางรักจริงหรอก แกต้องแต่งงานกับคุณหนูคนนั้น!”
“ห้ามว่าจุนเด็ดขาด !! และผมก็ไม่มีวันแต่งงาน ไหนคุณให้สัญญาแล้วว่าจะให้ผมคบกับจุนไง!”
ผมรู้สึกเกลียดชังผู้ชายคนนี้จนแทบอยากจะตะบันหน้าให้ ผมรู้เหตุผลที่เขาต้องการให้ผมแต่งงานกับคุณหนูผู้ดีคนนั้น... นั่นก็เพื่อสนองตัณหาความละโมปอยากได้สมบัติของเขานั่นแหละ ซึ่งผมไม่มีวันเป็นเครื่องมือของเขาเด็ดขาด!
“แล้วฉันไปผิดสัญญากับแกตรงไหนกันห๊า! ก็ฉันสั่งให้แกคบกันได้ แต่ฉันไม่ได้กำหนดเวลาที่จะให้แกคบ แค่ปีหนึ่งก็เกินพอแล้ว ต่อไปนี้แกห้ามไปเจอมัน!!”
“ไม่ !! คุณมันสารเลว”
พลัวะ !!
ผมหน้าหันกับแรงหมัดที่เขาต่อยเข้าที่แก้มของผม... รู้สึกชาไปหมดเลยให้ตายสิ เลือดที่มุมปากของผมมันไหล แต่ทว่ามันไม่เจ็บเท่ากับการที่โดนเขาหักหลังซ้ำแล้วซ้ำเล่าเลยสักนิด
“แกกล้าว่าฉันเรอะห๊ะ !!”
เขาถามผมด้วยความโมโห ผมนึกในใจอย่างขบขันว่าเขาคงอยากจะกลายร่างเป็นปิศาจมาฆ่าผมมากกว่าในตอนนี้ เพียงแต่เขาทำอย่างนั้นไม่ได้ มันจึงดูจะเป็นเรื่องโชคดีของผมไป
แต่ถึงอย่างนั้น... มันกลับดูไม่ตลกเลยสักนิดในความเป็นจริง
ผมโกรธจนตัวสั่น...น้ำตาที่เขาว่ามักจะไหลในยามที่เราเศร้า แม้แต่ตอนที่เราเกลียดใครสักคนเข้าไส้ก็ไหลได้เหมือนกัน…
ผมกัดฟันแน่นกรอด สายตาที่มองไปทางชายเบื้องหน้ามีเพียงความรังเกียจและเคียดแค้น
“คุณก็แค่อยากจะรวยทางลัดเท่านั้น... คนอย่างคุณมันแค่สวะ ไม่ใช่แค่กล้าที่จะว่าคุณ แต่ผมกล้าที่จะฆ่าคุณมานานกว่าที่คุณคิดซะอีก !!”
ผมตะคอกใส่เขาดังลั่น ผมไม่คิดและไม่อยากจะรับรู้หรอกว่าสีหน้าหลังจากที่เขาได้ยินจะเป็นอย่างไร เพราะสองขาของผมจัดการให้ผมวิ่งออกมาจากสถานที่ๆคนอื่นเรียกว่า บ้าน ให้ผมทันที
ผมไม่แน่ใจว่าจุดหมายที่ผมกำลังวิ่งไปคือที่ไหน... ผมรู้เพียงแค่ว่าหัวใจของผมต้องการไปหาใคร และผมก็จะไปหาเขาคนนั้น...
“แฮ่ก...แฮ่ก...”
ผมหยุดยืนอยู่หน้าห้องพักของคนๆหนึ่ง... คนที่ผมรัก คนที่ชื่อว่า จุน คนนั้น... ไฟในห้องของเขาปิดสนิทเหมือนกับประตู จุนไม่อยู่...ในเวลาค่ำคืนที่หนาวเย็นอย่างนี้เขาไปไหน?
....ผม....เป็นห่วงเขาเหลือเกิน....“อ้าว ยูกิมาทำอะไรน่ะ?”
เสียงทุ้มต่ำของเขาดังขึ้นจากด้านหลัง หัวใจที่เย็นวาบกลับอุ่นขึ้นมาทันที ผมรีบหันไปหา...
สองมือของจุนถือของมากมาย เขาคงไปซื้อของจากร้านสะดวกซื้อใกล้ๆนี้ เนื้อตัวเขายังปกติดี แสดงว่าเขาไม่ได้รับอันตรายใดๆเลย มันทำให้ผมใจชื่น...ใบหน้าของผมค่อยๆบรรจงขีดเขียนรอยยิ้ม
“เอ่อ...ก็แค่คิดถึงน่ะ ตกใจแทบแย่เลยนึกว่าหายไปไหนซะอีก”
ผมพูดไปตามประสา... และคิดว่าจุนคงตอบมาอย่างเคย
แต่กลับไม่ใช่อีกแล้ว...
เขากลับมองหน้าผมนิ่ง เดินผ่านผมไปเพื่อเปิดประตูห้องพักของตัวเอง
“ยูกิโกหกไม่เก่งเอาซะเลย... ถ้ายูกิคิดถึงจะโทรมาหาเหมือนที่ทำทุกที ....แถมอากาศข้างนอกหนาวขนาดนี้ แต่กลับใส่เสื้อผ้าอย่างกับชุดนอนออกมาหา...”
จุนพูดขณะที่เขาหันหลังไขประตู ก่อนที่จะหันมา...จ้องดวงตาที่ไม่อาจฝืนเข้มแข็งต่อไปได้อีกของผม
“ยูกิกำลังหนีสิ่งที่กลัวอยู่...ไม่ใช่คิดถึงผมหรอก แต่ยูกินึกถึงผมเป็นคนแรกต่างหาก”
จุนค่อยๆคลี่ยิ้ม... รอยยิ้มที่สำคัญที่สุดของผม
“เข้ามาในห้องก่อนสิ... มันคงอุ่นกว่าข้างนอกเป็นไหนๆนะ”
....รอยยิ้มที่อบอุ่นของเขา ทำให้น้ำแข็งที่เกิดจากฤดูหนาวแห่งความเจ็บปวดและโศกเศร้าของผมพังทลาย น้ำตาของผมไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว...
จุนรีบเข้าไปประคองตัวผมที่ไร้เรี่ยวแรง...เราสองคนทรุดนั่งลงกับพื้น เขากอดผมไว้แน่น เหมือนๆกับที่ผมกอดเขาไว้แน่นเช่นเดียวกัน...
“ผมกลัว...จุน ฮึก ผมกลัว...” ผมบอกออกไป ความอายที่มีดูเหมือนจะละลายไปกับน้ำตา...
“...กลัว...ยูกิกลัวอะไร?”
“ผมกลัว...กลัวว่าจุนจะหายไป อึก กลัวว่าเราสองคนจะไม่ได้พบกันอีก”
ผมสะอื้นไห้... ความกลัวที่มันกัดกินเกิดขึ้นมาจากความหว้าเว่ตั้งแต่เด็กของผม...
ทำให้ผมกลัวการสูญเสียสิ่งที่สำคัญยิ่งไป...
ผมไม่รู้ว่าจุนมีสีหน้าอย่างไรในยามนี้... ผมสัมผัสได้เพียงแค่การสั่นศีรษะของเขา
“ไม่... เราจะอยู่ด้วยกันยูกิ ผมจะไม่หายไป ผมจะอยู่กับยูกินะ...ยูกิไม่ต้องกลัว”
คำพูดของเขา ผมไม่เชื่อว่านั่นไม่ใช่เพียงคำปลอบประโลม แต่มันคือคำมั่นสัญญาที่ผมรู้สึกได้ เพราะตัวผมเอง...ก็ให้คำมั่นนั้นมาตลอดในหัวใจ
ผมคลายอ้อมกอดจากจุนเพื่อที่จะมองใบหน้าของเขา มันทำให้ผมเพิ่งรู้...ว่าเขาเองก็ร้องไห้
“...จุนร้องไห้ทำไม?” ผมถาม...และค่อยๆเช็ดน้ำตาของเขาที่ไหลเอื่อยลงมา
“...ไม่รู้...ผมก็ไม่รู้ ผมรู้แค่ว่า...ผมเสียใจที่ยูกิร้องไห้”
เขาก้มหน้างุดตอบ ดูเหมือนจุนจะอาย... แต่เขาคงไม่รู้ว่านั่นทำให้ผมเกิดรอยยิ้ม และทำให้ผม...กล้าที่จะพูดอะไรบางอย่างออกไป
“จุน... เราไปอยู่ด้วยกันสองคนนะ”
“...เอ๋?”
“....ผมอยากออกจากที่นี่ เราไปอยู่กันแค่สองคนได้มั้ย?”
คำขอของผม ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเห็นแก่ตัว... เพราะผมกลัวจะสูญเสียจุนไป แต่ไม่ว่าคำตอบของเขาจะเป็นอย่างไร ผมจะยอมรับมันทุกอย่าง
สีหน้าของจุนไม่บ่งบอกว่าเขาคิดอะไร... มีเพียงรอยยิ้มที่ค่อยๆปรากฏขึ้นมาพร้อมกับดวงตาที่ฉายความแน่วแน่กับคำตอบของตัวเขาเอง ไม่มีแม้แต่คำถามที่ต้องการเหตุผลกับตัวผมสักนิด
“อื้อ ผมจะอยู่กับยูกิ”
นั่นคือ...จุดเริ่มต้นของความลับที่กำลังจะเกิด
ผมยืนรอจุนที่สถานีรถไฟชานเมือง เราสองคนนัดกันไว้ช่วงเวลาเที่ยงเพื่อที่จะอาศัยรถประจำทางออกนอกเมือง และไปอยู่กันที่จิบะเพราะที่นั่นมีบ้านหลังเก่าของผม และก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้สักคนเดียว...
ผมมองดูนาฬิกาข้อมือตัวเอง หากให้เดาจุนคงมาสายสัก 15 นาทีเพราะเขาขอเก็บโครงงานที่กำลังทำอยู่ในตอนนี้ ผมจึงมองดูรถไฟที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาเทียบชานชลา...
มันคงเป็นขบวนรถไฟถัดไปได้ล่ะนะที่จะพาจุนมาที่นี่
“เฮ้ออ...หนาวชะมัดเลย”
ผมเดินไปนั่งม้านั่งยาวที่ติดเสา ข้างบนหัวของผมมีทีวีเครื่องหนึ่งตั้งไว้อยู่... ช่วงเวลาเที่ยงอย่างนี้มีแต่ข่าวการเมืองที่ผมไม่ชอบทั้งนั้น ผมจึงหยิบหูฟังขึ้นมาเสียบหูเพื่อฟังเพลงแทน...
“ขณะนี้มีรายงานด่วนเข้ามาค่ะ เกิดอุบัติเหตุรถไฟตกรางที่บริเวณเขต....”.........ในบางที....คนเราก็สามารถปฏิเสธการรับรู้เรื่องเลวร้ายได้.....
“ทำให้มีผู้บาดเจ็บหลายสิบคน และผู้เสียชีวิต 3 คน”แต่ในทุกครั้ง....คนเราก็ไม่สามารถปฏิเสธความจริงได้.....
ผม....เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง เท่านั้น....
------------------------------------------------------------------------------------------------------- Himitsu no Ai
แอด...“ผมกลับมาแล้วยูกิ”
เสียงสดใสของหนุ่มร่างบางที่ถูกคลุมด้วยโค้มสีดำตัวหนา เอ่ยทักทายคนในบ้านที่ตอนนี้กำลังปิดอัลบัมรูปลงทันทีบนโซฟาตัวอุ่น
“กลับมาแล้วเหรอครับ”
ยูกิทำเสียงอ้อนเหมือนๆกับใบหน้าของเขา ทำให้จุนอมยิ้มวางของไว้บนโต๊ะรับแขกแล้วเดินเข้าไปนั่งข้างๆชายตัวสูงกว่าโดยที่ลืมถอดเสื้อโค้ทออก
“กลับมาแล้ว ไม่งั้นจะนั่งข้างๆยูกิได้เหรอ?”
ยักคิ้วล้อเลียนให้ที ก่อนเอื้อมไปหยิบถุงบนโต๊ะมา
“เนี่ย ผมซื้ออะไหล่มาแล้วนะ จะให้ผม ปะ..ปะ เอีย เอียย”
จู่ๆจากน้ำเสียงที่ไหลลื่นกลับตะกุกตะกักและแปลกหู ใบหน้าของจุนยิ้มค้างและกระตุก ยูกิที่นั่งอยู่ข้างๆตกใจด้วยความหวาดกลัว
“จุน !!”
ยูกิจับตัวจุนให้หันหลัง เขาเปิดผมบริเวณท้ายทอยและก็พบว่ามีสะเก็ดน้ำที่ละลายจากหิมะซึมอยู่บริเวณรอยต่อเล็กๆตรงหนังศีรษะ เขารีบหาผ้าเช็ดและรันโปรแกรมให้ใหม่ทันที
หลังจากนั้นไม่นาน ตัวของจุนก็ขยับขึ้นใหม่...จากเมื่อครู่ที่เนื้อตัวเย็นก็เริ่มอุ่นขึ้นมา เหมือนๆกับหัวใจของยูกิเองที่พลอยอุ่นขึ้นมาด้วย
“อ่ะ อะ..เอ๋ เมื่อกี้...”
จากดวงตาอ่อนที่ไร้ความสดใสเพียงชั่วครู่ ก็มีประกายดังเดิม...ดวงตานั่นฉายแววความงุนงง หันหลังมามองหน้ายูกิที่จ้องมองเขาด้วยความเป็นห่วง
“เมื่อกี้...ผม ...เอ่อ”
ไม่ทันที่จุนจะพูดได้จบ ยูกิก็คว้าเขาเข้าไปกอดซะแล้ว
“ผมบอกแล้วใช่มั้ยว่าให้ระวังตัว !! ทำไมไม่สวมหมวกไปด้วย...รู้มั้ย...ว่าถ้าหากมันขัดข้องข้างนอกโดยที่ไม่มีผมอยู่จะทำยังไง...”
เสียงของยูกิสั่นเครือ ความหวาดกลัวถูกส่งผ่านจากอ้อมกอด...สีหน้าของจุนมีเพียงความเสียใจ เขาเองก็ไม่อยากให้ยูกิเป็นห่วงขนาดนี้ ไม่อยาก....ให้ยูกิเสียใจ
“ผมขอโทษ...ยูกิ ผมขอโทษครับ”
มือขาวเนียนกอดตอบ กลัวเหมือนกัน...กลัวที่จะต้องจากยูกิไปอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าตอนนี้จุนเอง...จะไม่รู้สึกถึงความกลัวว่าเป็นอย่างไร...
แต่ในบันทึกความทรงจำที่มีอยู่และสิ่งที่จุนเรียนรู้มาทั้งหมด เขาทราบว่ามันทำให้เขาเจ็บปวด หว้าเว่ และไม่สามารถที่จะมีชีวิตต่อไปได้หากความกลัวนี้เกิดขึ้นจริง ถึงแม้ว่า...ตัวเขาเอง จะหมดลมหายใจไปนานแล้วก็ตาม สิ่งที่เหลืออยู่ ณ ที่แห่งนี้ คือความทรงจำเท่านั้น...
ใช่แล้ว...จุนเสียชีวิตไปตั้งแต่วันนั้น วันที่...หิมะละลายตรงทางรถไฟ
เพราะอย่างนั้น...สิ่งที่ยูกิกำลังกอด สิ่งที่ยูกิหวงแหนยิ่งกว่าลมหายใจของเขา...
....เป็นเพียงหุ่นยนต์ที่มีรูปร่างและลักษณะเหมือนจุน... เป็นเพียงโครงเหล็กที่บันทึกความทรงจำของจุนเท่านั้น... เป็นโครงงานที่จุนกับเขาร่วมกันทำวิจัยขึ้นมา....
....ไม่คิดเลย...ว่าสุดท้ายแล้ว หุ่นยนต์ที่ถูกสร้างขึ้น...กลับต้องเป็นคนที่เขารัก
ช่างเป็นความลับ... ที่แสนเจ็บปวดจริงๆ
------------------------------------------------------------------------------------------------------- Himitsu no Ai
“ยูกิๆ นายคิดว่าแบบนี้เป็นยังไงบ้าง?”
จุนยื่นแฟ้มรายงานของเขามาให้ผมซึ่งตอนนี้ตัวผมเองกำลังนอนกลิ้งอยู่บนเตียงนอนของเขา ผมรับแฟ้มนั่นมาแล้วเปิดอ่านดูรายละเอียดที่จุนเขียน
“หืม ทำหุ่นยนต์เหรอ? ใครๆก็ทำกันนี่”
ผมถามมองใบหน้าหวานใสของจุน เขาลงนั่งข้างๆตัวผมที่นอนท้าวคางอยู่... ใบหน้าใสถูกแต้มด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
“อ่านรายละเอียดก่อนซิ ผมไม่ได้จะสร้างหุ่นยนต์ง่ายๆหรอกนะ แต่ผมตั้งใจจะลองสร้างหุ่นยนต์ที่เหมือนมนุษย์มากที่สุดต่างหาก”
“เอ๋ ห่ะห่ะ อย่างนั้นทำโคลนนิ่งไม่ง่ายกว่าเหรอ?”
“ไม่เอาหรอก... โคลนนิ่งน่ะมันเป็นการก๊อปปี้ตั้งแต่ดีเอ็นเอ รูปร่างลักษณะภายนอกน่ะเหมือนกันก็จริงอยู่หรอกนะ แต่จิตใจน่ะไม่เหมือนกันสักหน่อย เพราะงั้นผมจะสร้างหุ่นยนต์ที่เหมือนคนๆนั้นทุกอย่างเลย”
จุนพูด ใบหน้าของเขาดูเพ้อฝันมากกว่าเรื่องที่พูดจะเป็นจริงได้ นั่นยิ่งทำให้ผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้
“เอ๋ อะไรกันเล่า หัวเราะผมทำไมน่ะ?”
น้ำเสียงงอแงของเขาอย่างไม่พอใจเกิดขึ้นมาซะแล้วสิ ผมจึงต้องรีบกลั้นหัวเราะทันทีแล้วตีหน้าขรึมอ่านข้อมูลที่เขาเขียนในแฟ้มนั่นอีกหน
“หืม จุนจะใช้ข้อมูลความทรงจำโดยการบันทึกความคิดความรู้สึกทั้งหมดเป็นตัวกำหนดลักษณะอุปนิสัยเหรอเนี่ย? แล้วจะเอาตัวอย่างจากไหนล่ะ?”
ผมถามด้วยน้ำเสียงเข้มขรึมมองหน้าจุนที่อมยิ้มขึ้นมาแล้วเอานิ้วชี้ที่หน้าตัวเองแล้วก็ยิ้มค้างอยู่อย่างนั้น และดูเหมือนจะทำให้บรรยากาศมันค้างอยู่อย่างนั้นด้วยเช่นกัน
“.......................................”
“…..เอ๊ะ !! จุนน่ะเหรอจะเอาตัวเองทดลองน่ะ” ผมถามด้วยความตกใจ ซึ่งต่างกับเขาที่ยังยิ้มร่าเริงอยู่
“ก็ใช่น่ะซิ เรื่องนี้มันไม่อันตรายสักหน่อย ผมไม่ได้เอาตัวเองเข้าทดลอง ผมแค่เอาความคิดของผมเข้าไปทดลองเอง ยูกิไม่ต้องห่วงหรอก”
นิ้วเรียวสวยนั่นยกมาเคาะที่หน้าผากของผม... ดูเหมือนเขาจะไม่เข้าใจความเป็นห่วงของผมเอาซะเลยสินะ ยังจะยิ้มเล็กยิ้มน้อยอยู่อย่างนั้นอีก
“...อืม งั้น...จุนเริ่มบันทึกความจำหรือความรู้สึกไว้หรือยังล่ะ?” ผมถาม
“แน่นอน บันทึกไว้ตั้งกะปีละโว้แล้ว”
“หืม? ตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย?”
ผมเกิดความประหลาดใจขึ้น มองดูเทปบันทึกในกล่องขนาดใหญ่ที่จุนอุตส่าห์เดินไปหยิบมาแล้ววางลงบนเตียงให้ดูเป็นหลักฐานยืนยัน
“ก็ตั้งแต่มาอยู่ที่ญี่ปุ่นนั่นแหละ ผมก็เริ่มบันทึกแล้วล่ะ คิดโครงการนี้ขึ้นมาตั้งนานแต่เพิ่งจะได้เอามาทำอย่างจริงจังก็ตอนนี้เอง” จุนตอบด้วยรอยยิ้ม
“.....เหรอ อืมม...”
ผมนึกอะไรดีๆออก จึงยื่นมือไปหาจุนแล้วสะกิดให้เขาเข้ามาหาผมใกล้ๆ จุนทำหน้าสงสัย แต่ก็ทำตามโดยดีอยู่เสมอ...
จุ๊บ !“อย่าลืมบันทึกด้วยล่ะ... ว่ารู้สึกยังไง”
ผมผละจากริมฝีปากของเขา ...ความใกล้ขนาดรู้สึกลมหายใจแบบนี้ ทำให้ผมเห็นว่าใบหน้าของจุนว่าทั้งอึ้งและแดงขนาดไหน... ผมอมยิ้ม และคิดว่ามันเป็นแผนที่ดีจริงๆ แต่ตอนนี้...ผมว่าผมควรรีบวิ่งออกจากห้องก่อนที่จุนจะถีบผมกระเด็นจะดีกว่านะ
------------------------------------------------------------------------------------------------------- Himitsu no Ai
“ผมสัญญานะยูกิ ว่าต่อไปนี้ผมจะไม่ประมาทอีกแล้ว ยูกิไม่ต้องห่วงนะ”
คำพูดเพื่อสร้างความมั่นใจ... ถึงแม้ว่าตรงหน้านี้จะเป็นรอยยิ้มของจุนที่ไม่ใช่มนุษย์เช่นเดิม แต่มันก็ยังอบอุ่นเสมอยามที่ยูกิเห็น และยูกิเองก็รู้...ว่านั่นคือสิ่งที่จุนเรียนรู้ด้วยตนเองจากโปรแกรมที่เขาได้คิดค้นไว้ ไม่ใช่จากคำสั่งที่ติดตั้ง...
“อื้อ แค่จุนรู้ว่าผมห่วงก็ดีใจแล้ว” ใบหน้าคมคลี่ยิ้ม...และจุนเองก็พยักหน้ารับรู้
“ผมเข้าใจ ยูกิไม่ต้องห่วงนะ...ผมจะเรียนรู้ให้มากกว่านี้ และจะไม่ให้ใครจับได้ว่าผมเป็นหุ่นยนต์”
จุนให้สัญญาด้วยการชูสองนิ้ว มันเป็นท่าประจำของเขา และมันก็มักจะทำให้ยูกิหัวเราะได้เสมอ...
“อืม... เอ่อ นี่ก็จะเที่ยงแล้ว ผมว่าเราคงต้องรีบเก็บของแล้วล่ะ เดี๋ยวจะพลาดเครื่องบินเอา”
ยูกิว่าก่อนจะรีบหยิบอะไหล่ที่จุนซื้อมาให้
“อ้อ อื้อๆ งั้น...ผมช่วยยูกิเปลี่ยนตรงหัวเข่าให้นะ”
จุนไม่พูดเปล่า เขาค่อยๆถอดชิ้นส่วนขาของยูกิออก...แล้วจัดการซ่อมแซมให้ทันทีตามความสามารถที่ถูกติดตั้งไว้...
และนี่คือความลับอย่างสุดท้าย...ยูกิเอง ก็เปลี่ยนตัวเองเป็นหุ่นยนต์
เพราะเขากลัว...ที่จะต้องพรากกับจุนอีกครั้ง ด้วยความตาย... หากเขาเป็นมนุษย์สักวันหนึ่งยูกิเองก็ต้องตาย แล้วจุนล่ะ...จุนจะอยู่กับใคร?
จุนเป็นหุ่นยนต์โดยที่ไม่มีใครรู้...มันเป็นความลับระหว่างเขาสองคน
เพราะฉะนั้น...เขาจะอยู่กับจุนไปตลอด เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว...ยูกิจึงตัดสินใจ แปลงตัวเองให้กลายเป็นหุ่นยนต์เช่นเดียวกัน...
เพียงแต่ว่า เขายังคงเหลือสมองของตัวเองไว้...อย่างน้อย...รอยยิ้มของจุน และทุกสิ่งทุกอย่างของจุนจะยังคงจดจำอยู่ในส่วนที่เป็นมนุษย์ของเขา…
.....ทั้งสองแบกกระเป๋าออกมาข้างนอกเพื่ออยู่รอรถแท็กซี่ที่กำลังจะมารับ... จุนยืนกุมมือกับยูกิ ทั้งสองสวมเสื้อโค้ทสีดำเหมือนกัน... ร่างบอบบางกว่าเงยหน้ามองดูหิมะที่เริ่มตก
“ว้าว...สวยจังเลยแฮะ”
ใบหน้าหวานแย้มยิ้มระรื่น... เขาแบมือรับหิมะเล็กๆไว้ ดวงตากลมทอดแววความอ่อนโยน
“...อย่างนี้ผมต้องรู้สึกเย็นใช่มั้ย”
จุนพูดด้วยสีหน้าที่หมองลง...
ยูกิเห็นอย่างนั้น...ดวงตาของเขาก็ได้แต่หมองตาม มือที่กุมมืออยู่...บีบให้แน่นขึ้น
“อื้อ... แต่ว่ารู้มั้ย ถึงแม้ว่าเราไม่รู้สึก...แต่เราก็ทำแบบนี้ได้นะ”
ยูกิพูดจบ เขาก็ยกมือข้างที่จับมือจุนไว้...แล้วพ่นลมอุ่นลงไปก่อนถูหลังมือของจุนเบาๆ ซึ่งเมื่อร่างบางเห็นอย่างนั้น... เรียวปากแดงก็คลี่ยิ้ม แก้มของจุนแดงน่ารักเหมือนเคย... เขาจึงทำตาม ทำให้ยูกิด้วย เพราะจุนรู้...รับรู้จากตัวเอง ว่าทุกครั้งที่ทำแบบนี้
มันช่างอบอุ่นเหลือเกิน...“อ๊ะ ยามาโตะ… ยูกิ ยามาโตะ”
จู่ๆเสียงแหบต่ำก็ดังขึ้นจากด้านข้าง... ทำให้คนทั้งสองต้องหยุดการกระทำนั้นและหันไปมองทางต้นเสียง... ภาพเบื้องหน้าคือชายอายุราว 60 ยืนอยู่ ชายคนนั้นใบหน้าเหี่ยวย่นแต่กลับคุ้นตาเหลือเกิน
“...เธอ... ยูกิ ยามาโตะกับ ซานาเดะ...ใช่มั้ย? พวกเธอ...คือเพื่อนร่วมห้องครั้งนั้นใช่มั้ย?”
เสียงแหบนั่นเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง แววตาที่อิดโรยนั่นฉายความตื่นตกใจและใคร่รู้มากมาย
......ผู้ที่ถูกเอ่ยถาม ...จึงค่อยๆส่ายหน้าเป็นคำตอบอย่างสงบ
“ไม่ครับ... ผมจะเป็นเพื่อนร่วมห้องกับคุณปู่ได้ยังไงล่ะครับ? คงเข้าใจผิดแล้ว”
ยูกิยิ้มตอบอย่างอ่อนโยน....
ชายชราคนนั้นนึกขึ้นได้...แน่นอนว่า ยูกิ ยามาโตะ เพื่อนร่วมกลุ่มกับเขาที่หายตัวไปไม่มีทางมายืนอยู่ตรงนี้ได้ด้วยสภาพที่ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง และแน่นอนทีเดียวว่า จุน ซานาเดะ ที่เสียชีวิตไปแล้วนั่นด้วย....
เขา...คงเข้าใจผิดไปเอง…..
“ขะ..ขอโทษพวกเธอด้วยนะ ฉัน...คงเลอะเลือนไปแล้ว”
ชายชราคนนั้นพูด ก่อนที่จะค่อยๆเดินถอยหลังและจากไป พร้อมๆกับสายตาของยูกิกับจุน ที่ยืนทอดมองอย่างอาทร…
“.....นั่น...ใช่ซาคาโมโต้ซังหรือเปล่ายูกิ?” จุนเอ่ยถาม
“อื้อ ซาคาโมโต้...เวลาผ่านมากว่า 30 ปีแล้ว แก่ลงไปเยอะเลยนะ...”
ใบหน้าคมเหม่อลอยไป...คนตัวบางกว่าสังเกตเห็น ถึงความหม่นหมองนั้นได้...
“.......แต่พวกเรากลับไม่เปลี่ยนไปเลยเนอะ เหมือนแวมไพร์เลย”
จุนเงยหน้าขึ้นมองยูกิพลางแยกเขี้ยวใส่...
ก็ต่อเมื่อยูกิปลอบโยนเขาได้...ทำไมจุนจะทำให้ยูกิด้วยไม่ได้ล่ะ?
“หึ นั่นน่ะซิ แต่ว่าพวกเราไม่เห็นจำเป็นจะต้องใช้เลือดเลยเนอะ”
ยูกิอมยิ้มขึ้นมา...ดูเหมือนวิธีที่จุนใช้จะได้ผลเป็นอย่างดี ร่างสูงบางยิ้มหวาน
“อื้อ ขอแค่มียูกิอยู่ด้วยก็พอแล้วล่ะ ไม่ว่าจะอะไรก็ตามก็ไม่จำเป็นต่อผมหรอก”
จุนพูดออกมา...นั่นอาจจะไม่ใช่ออกมาจากหัวใจอย่างเคย แต่ตัวจุนเองรู้...ว่ามันออกมาจากที่เขาคิดเอง และเชื่อว่าสิ่งที่พูดออกไป...ไม่ได้มาจากคำสั่งของโปรแกรมแม้แต่น้อย
ยูกิยิ้มกว้าง สวมกอดจุนแน่นอย่างหวงแหน...
“อื้อ ผมเองก็ขอแค่มีจุนอยู่...ขอเพียงแค่นั้น ไม่มีสิ่งไหนสำคัญไปกว่านี้แล้ว”
เพราะแม้แต่ลมหายใจและชีวิตยูกิยังสละลงให้ได้...จะมีอะไร ที่ยูกิจะให้จุนไม่ได้อีก...
“ผมรักจุนนะ...รักจุนที่สุดเลย”
“อื้อ ผมก็รักยูกิ รักที่สุดเลยล่ะ”
คุณ…. เชื่อว่าความรักของเราสองจะเป็นนิรันดร์มั้ย?
...ถ้าถามเราสองคน...
ผมกับเขา...เชื่อว่ารักของเราจะเป็นนิจนิรันดร์
The End.
===================================================================
จบบบบบบบบบบบบบบบ
ขอบคุณนะคะ
แล้วก็ๆๆๆ ฝากเรื่องนี้ไว้หน่อย หลังจากไม่ได้แต่งมาประมาณ 4 ปีได้ เรื่องนี้เรื่องแรก ฮ่าๆๆๆ
ภาษาประหลาดๆ เนื้อเรื่องยังไม่ถึงไหน ยังไงก็ ถ้าไม่มีอะไรจะอ่าน ก็ฝากเรื่องนี้ด้วยนะคะ
Just be yourself http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=35774.0(โคตรโฆษณาแอบแฝง
)
แต่ทั้งนี้ต้องขออภัย คนที่อ่านเรื่องยาวอันนั้นด้วย เอิ๊กกกก (เผื่อใครที่อ่านผ่านมาในทู้นี้ >__<")
คือเราร้างไว้จะครบเดือนแล้ว ขอโทษด้วยค่ะ ช่วงนี้มีภาวะวุ่นวายในชีวิต
แต่แต่งต่อแน่นอน อีกไม่นาน(มั้ง แหะๆๆๆ
เราแต่งช้าอ่ะค่ะ >__<)
ว่าแต่ก่อนจะลงเรื่องยาว เรายังมีเรื่องสั้นอีกเรื่องที่อยากลง 555 ขอโทษด้วยนะคะ ยังไงจะพยายามหาเวลามาเขียนต่อเรื่องยาวให้ได้
ขอบคุณอีกครั้งค่าา
แล้วเจอกันใหม่น้าาาา