ผมเก็บรักษาแหวนวงนี้ไว้อย่างดี นำมันติดตัวไปทุกที่ แม้กระทั่งไปเรียนผมก็นำมันพกติดตัวไปด้วย ผมไม่กล้าเก็บไว้ที่บ้าน คิดไปต่างๆนาๆว่าถ้าโจรขึ้นบ้านบ้างล่ะนู่นนี่นั่นเยอะไปหมด เวลาที่ผมอยู่บ้านผมจะนำมันเก็บไว้ในที่ที่ปลอดภัย ได้สติอีกทีจึงรู้ตัวว่า “บ้าป่ะเนี้ย” แต่ผมไม่สบายใจจริงๆถ้าจะต้องเก็บไว้ในที่ที่ไม่ปลอดภัย ถ้าเกิดมันเป็นอะไรไป ผมจะทำยังไงล่ะครับ
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ผมไปทำงานปกติและนำแหวนไปด้วย แต่พี่คิวไม่ได้มาทำงานอย่างที่ผมคาดเดาเอาไว้ เวลาตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์จึงช่างดูยาวนานสำหรับผม เพราะผมแทบไม่เป็นตาทำอะไร ต้องมาคอยห่วงหน้าพะวงหลังอยู่กับแหวนวงนี้ ถ้าผมบอกเรื่องนี้กับแม่ แม่จะต้องซักถามต่างๆนาๆแน่ว่าทำไมหรือเกิดเรื่องอะไรขึ้น ผมจึงปิดเรื่องนี้ไม่บอกใครเลยแม้สักคนเดียว
~ตอนนี้..พี่คิวจะเป็นยังไงบ้างนะ~
วันศุกร์ ณ ร้านคิวปิด เบเกอรี่เฮ้าส์..
“เอ่อ พี่ออฟครับ”
“หื้ม” พี่ออฟหันหน้ามา
“วันนี้พี่คิวมาทำงานรึเปล่าครับ” ผมถาม
“มานะ..มาตั้งแต่เช้าเลย” พี่ออฟตอบ
“มานานแล้วเหรอครับ วันอังคารก็มาเหรอ” ผมถามด้วยความอยากรู้ หัวใจของผมพองโตด้วยความตื่นเต้นและดีใจ ความรู้สึกบ้าบอแบบนี้เริ่มกลับมาทำให้ผมว้าวุ่นใจอีกครั้ง
“มาตั้งแต่วันพุธเช้าน่ะ”
“งั้นเหรอครับ” ผมพยักหน้า
“แต่งตัวเสร็จก็ไปทำงานได้แล้ว” พี่ออฟยิ้มและเดินออกจากห้องไป ผมหยิบกล่องแหวนออกมา เพ่งไปที่มันและคิดถึงเรื่องของเย็นนี้ ผมตัดสินใจว่าจะเอาไว้คืนหลังเลิกงานน่าจะเหมาะที่สุด ถ้าผมนำมันเข้าไปคืนในครัวตอนนี้คงจะไม่ควร อีกอย่างถ้าให้แหวนไปตอนนี้ ตอนเย็นผมคงทำหน้าไม่ถูกแน่ถ้าจะต้องบอกทั้งพี่ฟ้าและพี่คิวว่าจะขอเดินทางกลับบ้านเอง เฮ้อ..อึดอัดจัง (~v~)
“โอเค..ครบนะครับ พี่มีข่าวดีจะมาบอก คุยเสร็จ..ก็แยกย้ายกันกลับบ้านได้เลยนะ” พี่ฟ้ายิ้ม ตอนนี้เลิกงานแล้ว พวกเรารวมตัวกันอยู่ที่ห้องพักของพนักงาน ทุกคนนั่งอยู่ประจำที่เก้าอี้ของตนเอง พี่คิวนั่งอยู่หัวโต๊ะใกล้กับพี่ฟ้า ตอนนี้ผมได้เห็นพี่คิวอย่างเต็มตาอีกครั้งจากที่ไม่ได้พบกันมานาน แต่ผมไม่กล้าหันไปจ้องพี่เขามากนัก จึงได้แต่โฟกัสไปที่พี่ฟ้าคนเดียว
“อาทิตย์หน้า ร้านเราจะปิดสี่วัน..” พี่ฟ้ายิ้มบอก
“เย้~” เสียงของพี่กัสและพี่ซีร้องอย่างดีใจ ที่จริงวันนี้พี่กัสไม่มีเวรทำงาน แต่กลับมาขลุกอยู่ที่ร้านตั้งแต่บ่ายได้แล้วเพราะเห็นบอกว่าไม่มีอะไรทำ
“เหมือนทุกๆปี หยุดไปเที่ยว” พี่ฟ้าพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“เย้~~” พี่ซีและพี่กัสส่งเสียงอย่างดีใจไม่เลิก ผมได้เพียงแต่นั่งยิ้ม ผมกลับไม่รู้สึกว่าตื่นเต้นด้วยเลยสักนิดเดียว
“เหมือนเดิมอีกว่า” พี่ฟ้าพูดขึ้น
“พี่ฟ้าจ่ายค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด!” พี่ซีกับพี่กัสประสานเสียงพร้อมกัน ทำให้คนทั้งห้องหัวเราะ รวมถึงพี่คิวก็ยิ้มออกมาด้วย “ยิ้ม”..ได้แล้วสินะ
“เราจะหยุดตั้งแต่วันพฤหัสหน้า ออกเดินทางวันพฤหัส..ปีนี้เราจะไปหัวหินกัน กลับวันอาทิตย์ รวมตัวกันที่ร้านตั้งแต่หกโมงเช้า ออกเดินทางเจ็ดโมงครึ่ง..นี่ครับ จดหมายจากทางร้าน เอาไปให้ผู้ปกครองที่เคารพรักดูกันด้วยล่ะ” พี่ฟ้าแจกกระดาษให้
ผมรับมาอย่างเงียบๆ บอกปัดไม่ได้ว่าผม “อยากไป” แต่ผมก็ไม่ได้อยากไปหมดหัวใจซะทีเดียว อีกครึ่งหนึ่งผมรู้สึกไม่อยากไปเช่นเดียวกัน ผมแค่รู้สึกว่าผมทำตัวไม่ถูก
“แล้วพี่รุจล่ะฮะ ไปด้วยไหม” พี่กัสถามถึงคนที่ไม่ได้นั่งประชุมอยู่ในตอนนี้ด้วยกัน
“ไปจ้า..พี่คุยกับรุจแล้ว” พี่ฟ้าตอบ ทำให้ผมยิ่งไม่กล้าเอ่ยปฏิเสธขึ้นกลางวงไปกันใหญ่
“โอเค..รับทราบกันทุกคนนะ กลับบ้านได้ครับ ขอบคุณมากเลย” พี่ฟ้ายิ้ม
“ขอบคุณค้าบ” ทุกคนประสานเสียงพร้อมกัน ผมลุกขึ้นเดินเข้าห้องเพื่อไปหยิบเป้ของตัวเองที่เก็บของเตรียมไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว พอเดินออกมาพบว่าพี่ฟ้ากับพี่คิวออกจากห้องนี้ไปแล้ว ก็ดีเหมือนกัน..ผมคงไม่กล้าคืนแหวนให้โต้งๆในห้องนี้หรอก
ก๊อก ๆ ๆ
“ครับ” พี่ฟ้าตอบ
“เฮ้อ..” ผมถอนหายใจก่อน พยายามทำตัวเองให้เป็นปกติก่อนที่จะเปิดประตูห้องและเดินเข้าไป
“.......................” ทั้งพี่ฟ้าและพี่คิวเงียบเมื่อเห็นว่าเป็นผม พี่คิวที่ยืนอยู่ตรงโต๊ะทำงานของพี่ฟ้าหันมามอง เหมือนทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่ก่อนหน้า พอผมเข้ามาจึงหยุดการสนทนาลงในทันที
“ขอโทษครับ เอ่อ..เค้ก” มือซ้ายของผมกำเข้าหากันแน่น เมื่อรู้สึกว่าตัวเองใจเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มือของผมสั่นจนผมรู้สึกได้ ผมพยายามเรียกสติของตัวเองให้กลับมา ก่อนที่จะรีบวางแหวนลงบนโต๊ะของพี่ฟ้า ผมวางมันในมุมที่ใกล้ตัวพี่คิวมากที่สุด ผมไม่กล้าให้เองกับมือ ความรู้สึกกดดันที่มีมันทำให้มือของผมสั่นไปหมด คำที่เขาว่ากันว่า “ความรักนั้นต้องใช้เวลา” บางทีนั่นคงเป็นเรื่องจริง แม้ขนาดผมจะควบคุมตัวเองให้หยุดรักเสียที ก็ยังไม่สามารถสั่งหยุดได้ในทันทีอย่างปากว่า
“พี่ฝัน ฝากให้เค้กเอามาคืนน่ะครับ..มาคืนให้ ตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วแล้วครับ” ผมพูดและไม่ได้สบตาใครทั้งนั้น ทั้งพี่ฟ้าและพี่คิวเงียบ พี่คิวยืนมองกล่องแหวนนั่นและไม่ได้เอื้อมมาหยิบไป พี่คิวเพียงยืนมองและนิ่งเฉยอยู่อย่างนั้น
“เอ่อ แล้วก็..พี่ฟ้าครับ” ผมเรียก
“ครับ” พี่ฟ้ายิ้มให้ ละสายตาจากที่มองหลานตัวเองมามองหน้าผมแทน
“เค้ก คงไปเที่ยวด้วยไม่ได้..ขอโทษด้วยนะครับ” ผมผงกหัวให้
“อ่ะ อ่าว..ทำไมงั้นล่ะ เรื่องคุณแม่เหรอครับ เดี๋ยวพี่โทรไปขอท่านให้ก็ได้นะครับ” พี่ฟ้าหุบยิ้มลง
“เค้กไม่สะดวกน่ะครับ..มีเรียนด้วย” ผมหลบสายตาที่ดูผิดหวังมากของพี่ฟ้า
“เค้ก ขอตัวก่อนนะครับ” ผมผงกหัวให้อีกเล็กน้อย
“แล้ว..ไม่กลับด้วยกันเหรอ เดี๋ยวพี่ไปส่ง” พี่ฟ้ารีบพูด
“ไม่เป็นไรครับ..เค้ก ต้องไปบ้านเพื่อนต่อน่ะครับ..ไปนะครับ สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้และรีบเดินออกมาเลย ถ้าผมยังยืนอยู่พี่ฟ้าจะต้องรั้งผมไว้เป็นแน่ อีกอย่าง..ที่ต้องโกหกไปว่าต้องไปบ้านเพื่อนต่อแบบนั้นมัน น่าอายชะมัด สมเพชตัวเองจริง..
“ไปนะครับ” ผมยกมือไหว้ทุกคนที่ยืนรออยู่หน้าร้าน
“อ่าว..กลับเองเหรอ” พี่หมีทัก
“ฮะ บายฮะ” ผมบอกและรีบวิ่งออกมาไม่ทันให้พวกพี่ได้ท้วงถามอะไร
“เฮ้อ..บ้าเอ๊ย” ผมสบถกับตัวเอง เหมือนคนบ้าอยู่คนเดียว เหมือนเราเป็นบ้าเป็นบอ ห่วงนู่นห่วงนี่อยู่เพียงคนเดียว..
ระหว่างทาง ผมรีบเร่งเท้าจนตัวเองแทบจะวิ่งเพื่อให้ไปถึงหน้าปากซอยให้เร็วที่สุด ถ้าผมยังคงเดินอย่างเชื่องช้าอยู่ พวกพี่ๆที่กำลังจะกลับบ้านขับรถออกมาคงได้เจอผมแน่ ผมคงจะทำตัวไม่ถูก มันหลายๆสาเหตุประดังประเดไปหมด ถ้าผมพ้นจากหน้าปากซอยและข้ามถนนไปรอขึ้นรถเมล์อีกฝั่งได้แล้ว วันนี้ก็จะผ่านพ้นไปได้ด้วยดีอีกวัน..
ตื๊ด ๆ ๆ ๆ
สายเข้า __ = พี่คิวปิด -*- สุดโหด =
ผมเพ่งมองหน้าจอโทรศัพท์มือถืออย่างไม่เชื่อสายตาของตัวเอง สายโทรเข้าเป็นบุคคลที่ไม่ได้คุยกันมานานหลายอาทิตย์ ที่แทบไม่ได้สบตากันเลยด้วยซ้ำ ผมชั่งใจไม่กดรับจนอีกฝ่ายตัดสายไปในที่สุด ใจผมแป้วขึ้นมาในทันที และกำลังคิดลบไปต่างๆนาๆว่าพี่เขาคงมีเรื่องสำคัญที่จะคุยมากกว่าที่จะอยากคุยกับเราเป็นการส่วนตัวหรือเปล่า ผมกลัวที่จะรับสายจริงๆ..
ตื๊ด ๆ ๆ ๆ
“ค..ครับ” ผมกดรับในที่สุด ผมอยากได้ยินเสียง ไม่ว่าอย่างไร..ผมก็อยากรับสาย
“นายตั้งใจไม่รับสายฉันรึไง” อีกฝ่ายพูดเสียงเข้ม น้ำเสียงฟังดูไม่พอใจผมเล็กน้อย
“ป เปล่าครับ..เค้ก เพิ่งเห็นน่ะ” ผมตอบตะกุกตะกัก เสียงที่ไม่ได้ยินมานานทำให้ผมกลับมาใจเต้นแรงอีกครั้ง
“......................” อีกฝ่ายเงียบไป ผมกดโทรศัพท์เพื่อให้ได้ยินเสียงอีกฝ่ายดังมากขึ้นกว่านี้ เพราะมีเสียงรบกวนจากการรถรอบข้างเต็มไปหมด
“หยุดเดินเดี๋ยวนี้” อีกฝ่ายสั่งเสียงแข็ง ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ในใจกลับนึก “หยุดตั้งนานแล้วเหอะ”
“โกหกทำไม” พี่คิวพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนต่อว่า
“อะไรครับ” ผมถามกลับไปอย่างนั้นทั้งทั้งที่จริงรู้ดีแก่ใจว่าพี่คิวหมายถึงเรื่องอะไร
“อยู่ไหนน่ะ” พี่คิวถาม
“กำลังจะขึ้นรถเมล์แล้วครับ” ผมตอบ
“โกหก” ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินคำพูดนี้จากอีกฝ่าย ใช่..ผมกำลังโกหกอีกแล้ว
“ก็เห็นๆอยู่ว่ายังอยู่บนสะพานลอย นายนี่วิ่งเร็วเหมือนกันนะ” อีกฝ่ายพูด ผมตกใจ รีบหันกลับไปมองรอบตัวของตัวเอง บนสะพานลอยไม่พบใครนอกจากคนที่เดินผ่านไปผ่านมา ผมมองลงไปข้างล่างก็พบว่าพี่คิวยืนอยู่ตรงฟุตปาธด้านฝั่งปากซอยของร้านเรา
“.......................” ต่างฝ่ายต่างเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง เรายืนสบตากันอยู่อย่างนี้แม้แทบจะมองไม่เห็นหน้าของกันและกัน เพราะรอบข้างเรานั้นมืดหมด มีเพียงแสงไฟนีออนจากข้างถนนที่อยู่ห่างๆกับแสงไฟบนสะพานลอยเท่านั้นที่ให้แสงสว่าง
“เหมือนฉันจะรู้ว่านายรักฉัน” พี่คิวพูดน้ำเสียงเรียบด้วยหน้าตาเฉย
“ก็..ก็แน่สิ ก็เค้กเป็นฝ่ายบอกพี่เองนี่” ผมกระแทกเสียง พอนึกขึ้นได้กลับรู้สึกเขินขึ้นมาจนลืมตัวไปว่าก่อนหน้านี้ยังเสียใจอยู่เลย
“หึ นั่นสินะ” พี่คิวแสยะหัวเราะ ผมหันข้างไม่หันไปมองพี่คิวที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม พี่เขาไม่ยอมขยับไปไหน ยังคงเงยหน้ามองมาที่ผมอยู่อย่างนี้
“มีอะไรรึเปล่าครับ เดี๋ยวรถเมล์หมด” ผมพูดเสียงเบา ใจจริงไม่ได้อยากพูดแบบนี้ออกไปหรอก แต่มันก็ต้องพูดอย่างอดไม่ได้ พี่คิวเงียบไปสักพัก
“ลงมาหาหน่อย” อีกฝ่ายพูด น้ำเสียงอ่อนโยนจนเกือบทำผมหลุดไปอีกโลกหนึ่ง
“ไม่ฮะ” ผมตอบทันที ผมว่ามันเป็นการตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นใจตัวเองเอาเสียเลย เป็นการตอบปฏิเสธด้วยน้ำเสียงเหมือนจะทำตามอย่างนั้น
“จะเล่นตัวรึไง”
“ถ้าพี่มีอะไร พี่ก็ขึ้นมาเองสิ..เค้กไม่ลงหรอก ขึ้นๆลงๆ..เหนื่อย” ผมตอบไปอย่างเขินๆ รู้สึกยับยั้งตัวเองไม่ให้คิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้เมื่อได้ยินคำพูดแบบนั้น ผมกำลังเข้าข้างตัวเองอีกแล้ว
“..แหวนนั่นแพงนะ ฉันเห็นว่าเพชรมันมีตำหนิ” พี่คิวพูด
“ไม่จริง! เค้กดูแลอย่างดี” ผมเถียงทันที
“หึ..” พี่คิวแสยะหัวเราะอีกครั้ง น้ำเสียงนั่นทำให้ผมทราบว่าผมกำลังโดนแกล้งอีกแล้ว
“........................” พี่คิวเงียบไปนาน ทำให้ผมต้องหันกลับไปมองและก็ต้องหันกลับมาเหมือนเดิมเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงยืนอยู่ไม่ได้หายไปไหน ต่างฝ่ายต่างเงียบ ผมไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกไปแม้สักคำเดียว และแน่นอนว่าผมไม่กล้ากดตัดสายด้วย
“เหมือน..” อีกฝ่ายพูด เสียงเจี๊ยวจ๊าวรอบตัวทำให้ผมได้ยินไม่ถนัดนัก ผมกดโทรศัพท์ให้แนบหูตัวเองมากขึ้นกว่าเดิม ถ้าผมนำโทรศัพท์เข้าไปในหูแล้วมันจะได้ยินเสียงชัดขึ้นผมก็คงจะทำไปแล้ว เพราะผมอยากได้ยินทุกคำพูดจากพี่เขา ไม่ว่าพี่คิวจะพูดอะไรก็ตาม ไปทางลบหรือบวกก็ตาม ผมพร้อมและยินดีจะรับฟังทั้งหมด
“เหมือนฉัน จะติดใจตักนายน่ะ..” ผมชะงัก คำพูดที่ได้ยินผมอาจจะหูฝาดไปเอง ใช่..คงจะเป็นอย่างนั้น ผมคิดว่าผมคงกำลังหูฝาดไปแต่หัวใจของผมกลับเต้นแรง เต้นแรงและถี่มากจนน่ากลัว
“ถ้าไม่หันหน้ามา ก็คงคุยกันไม่รู้เรื่องหรอกนะ..นายคิดจะหนีฉันไปอีกคนรึไง” ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงว่าเสียงนั้นอยู่ใกล้ตัวมากขึ้น ผมหันหน้ากลับไปและก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าพี่คิวยืนอยู่ตรงหน้าตัวเอง
“พี่ต่างหากที่หนีไป” ผมพยายามบังคับให้ปากตัวเองไม่สั่นระหว่างที่พูด
“ฉันไม่เคยหนี” พี่คิวย้อนตอบ
“ฉัน..ไม่เคยหนี อะไรทั้งนั้น” พี่เขาย้ำพูดอีกครั้งเหมือนต้องการบอกว่าตัวเองนั้นไม่ใช่ฝ่ายที่ผิด เรายืนมองหน้ากันอยู่ครู่ คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเองคงสงสัย นั่นก็คงไม่แปลก
“เปลืองค่าโทรศัพท์” อีกฝ่ายพูดหน้าตายอย่างเคยและกดตัดสายโทรศัพท์ไป ผมนำโทรศัพท์ออกจากหู และกำมันไว้ในมือแน่น
“นายยังรักฉันอยู่ใช่ไหม” พี่คิวพูดขึ้นโต้งๆด้วยสีหน้าจริงจังที่สามารถทำให้หัวใจของผมแทบล่องลอย
“ม..ไม่รู้ฮะ” ผมปัดไปด้วยรู้สึกอายและทำตัวไม่ถูก ทั้งๆที่พี่คิวก็รู้อยู่แก่ใจแต่กลับถามเพียงเพื่อแกล้งผมอีกแล้วสินะครับ
“ถ้าฉันบอกว่าฉัน..รักนายล่ะ นายจะว่ายังไง”
“นั่น นั่นก็ไม่รู้ฮะ” ผมตอบ ปากผมสั่นอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ น้ำตาที่คลออยู่ทำให้รู้ตัวว่าตัวเองอาการหนักมากเกินไปแล้ว ผมเกือบจะควบคุมตัวเองไม่อยู่แล้ว ผมเพิ่งได้เรียนรู้ว่าอาการของคนที่ช็อกไปชั่วขณะนั้นเป็นอย่างไร มันเหมือนทุกอย่างเกิดขึ้นผ่านไปเพียบวูบหนึ่ง วูบหนึ่งที่ไม่รู้สติของตนเอง
พี่คิวยืนอมยิ้มอยู่ตรงหน้า รอยยิ้มที่แตกต่างจากทุกครั้ง ไม่มีรอยยิ้มกวนๆอย่างที่ผมได้เคยเห็นบ่อยครั้งก่อนหน้านี้ รอยยิ้มในครั้งนี้ช่างดูอ่อนโยนและแฝงไปด้วยความเศร้าที่ผมสัมผัสได้
“ถ้าพี่จะมาพูดล้อเล่น เค้ก..เค้กไม่ตลกด้วยนะ!” ผมพยายามขึ้นเสียงเพื่อต่อว่าอีกฝ่าย แต่กลับไม่ใช่อย่างนั้น น้ำเสียงที่พยายามกระแทกเพื่อต่อว่าแบบนั้นกลับทำให้น้ำตาที่คลออยู่หยดลงอาบแก้มของผมแทน
“รักก็พูดว่ารักสิ ไม่งั้นฉันจะถือว่าไม่นะ” พี่คิวว่า
“รัก..รักฮะ! ฮึก” ผมรีบตะโกนบอกเมื่อเห็นว่าพี่คิวทำท่าจะเดินจากไป คนที่เดินผ่านไปผ่านมาหยุดชะงัก ผมก้มหน้าและได้แต่เอามือปิดหน้าปิดตาตัวเอง ทั้งเขิน ทั้งอาย..อีกทั้งทำตัวไม่ถูกอีกต่างหาก ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงเป็นคนอย่างนี้กันนะ ทำไมเขาถึงมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของผมได้มากขนาดนี้กัน
“ถ้าเค้กรักพี่ แล้วพี่จะทำยังไงต่อ..เค้ก เค้กกลัวไปหมดแล้วนะ” ผมพูดพร่ำไม่หยุด
“หึ..” ผมได้ยินเพียงเสียงหัวเราะอย่างพอใจจากอีกฝ่าย และรับรู้ได้ถึงอ้อมกอดที่มีให้ พี่คิวเข้ามากอดผมก่อน เขาเป็นฝ่ายเข้ามากอดผม นี่เป็นอ้อมกอดแรกของเราทั้งสองคนที่ความปรารถนานั้นเอ่อล้นออกมา น้ำตาที่ไหลมากกว่าเดิมอย่างไม่เชื่อตัวเอง เพียงเพราะแค่อ้อมกอดจากคนๆนี้จะทำให้ผมเป็นได้มากถึงขนาดนี้เชียวหรือ นี่หรือ..การได้รับความรัก จากคนที่รัก
ผมไม่รู้ว่ารอบข้างตอนนี้เป็นอย่างไร มีใครกำลังยืนมองเราสองคนอยู่รึเปล่า เสียงแซงแซ่ทำให้ผมได้ยินอะไรไม่ถนัด หรือเพราะหูผมอื้อกันแน่ น้ำตาที่ทำให้ตาของผมพร่ามัวทำให้ผมไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ถนัดนัก และแน่นอนว่าผมไม่คิดที่จะเงยหน้ามองหน้าอีกฝ่ายเช่นเดียวกัน ผมจะยืนรับรู้อ้อมกอดอยู่อย่างนี้จนผมแน่ใจแล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมในตอนนี้นั้นคือความจริงอย่างไม่ได้ฝันไป..
Welcome To the Land Of Love
ณ ที่สะพานลอยแห่งนั้นเหมือนโลกหยุดไปชั่วครู่ ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างมองด้วยความแปลกใจ กระทั่งเข้าใจไปต่างๆนาๆในสถานการณ์ของทั้งคู่ว่าเกิดอะไรขึ้น บางคนคิดว่า “ง้อกันเหรอ” บางคนคิดว่า “เอ่อ คู่เกย์” บางความคิดนั้น “อายแทนว่ะ” แต่บางคนกลับคิดว่า “น่ารักดีนะ” หรือแม้แต่คิดว่า “บอกรักกันสินะ” กระทั่งบางคนคิดและทำให้ได้ยิ้มกับความคิดนั้นว่า “ผู้ชายกับผู้ชายนี่ แต่ดีแล้ว..เพราะอย่างน้อยคุณก็รักกัน” สิ่งต่างๆรอบตัวกำลังหมุนไป ไม่เพียงแต่เด็กหนุ่มและชายหนุ่มคนนี้ เวลาของพวกเขายังคงหมุนไปเรื่อยๆ สัมผัสของพวกเขากำลังหมุนไปด้วยเช่นกัน หมุนเพื่อรับรู้ความรู้สึกของกันและกันมากขึ้นกว่าเดิม สัมผัสที่รับรู้ได้ว่าต่างฝ่ายต่างรู้สึกถึงกันและกันมากขึ้น..และมากขึ้นอีก
“คนอย่างเค้ก ได้..อย่างนั้นเหรอฮะ” เด็กหนุ่มถามทั้งน้ำตา ความไม่มั่นใจในตัวเองว่าจะเหมาะสมต่ออีกฝ่ายพอหรือเปล่านั้นทำให้เขาฉุดคิดมาได้ชั่วขณะ เด็กหนุ่มไม่คิดจะถามถึงเรื่องที่ผ่านมาอีก เขาคิดว่าเหตุผลเหล่านั้นไม่สำคัญสำหรับเวลา ณ ตอนนี้อีกต่อไปแล้ว..
“ถ้านายแทนตัวเองว่าคนอย่างนาย ฉันก็คงต้องแทนตัวเองว่า..คนอย่างฉันด้วยเหมือนกัน” ฝ่ายที่กอดเด็กหนุ่มอยู่พูดอย่างไม่สบายใจเช่นกัน เขาทั้งสองต่างฝ่ายต่างรู้จุดด้อยของตัวเองอยู่เต็มอก
“ฉันไม่ใช่คนดีหรอกนะ” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างแต่แฝงไปด้วยความกลัว กลัวว่าอีกฝ่ายจะผิดหวังในตัวของเขา
“เค้กรู้ตั้งนานแล้วล่ะฮะ” เด็กหนุ่มตอบกวนแกล้งกลับไปอย่างนั้น เพื่อแก้อาการเขินของตัวเอง ทั้งๆที่เขาเองก็รู้อยู่เต็มอกเช่นกันว่าอีกฝ่ายนั้นอยู่สูงเกินที่เขาจะคู่ควรมากเพียงไร
“หึ..” เสียงแสยะหัวเราะจากอีกฝ่ายดูจะพอใจกับคำพูดของเด็กหนุ่มเสียมากกว่า เขาทั้งสองยืนกอดกันอยู่อย่างนั้นเหมือนลืมไปว่ารอบตัวเขานั้นไม่ได้มีเพียงแค่เขาแค่สองคน
ความรักเริ่มก่อตัวขึ้นจากสถานที่ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจากเค้กและความอบอุ่นของคนภายในร้าน ณ วันนี้ ณ ขณะนี้ จะมีคู่รักอีกกี่คู่ที่กำลังบอกรักกัน มีอีกกี่คู่ที่กำลังบอกเลิกกัน มีอีกกี่คู่ที่กำลังเข้าใจผิดกัน อนาคตเพียงหมุนไปตามกาลเวลาเท่านั้น แต่หัวใจของคุณนั้นหยุดอยู่ที่ใคร เพียงคุณเท่านั้นที่จะสามารถรู้เสียงเรียกร้องจากใจของตัวเองได้มากที่สุด ดังเช่นเด็กหนุ่มสองคนนี้..ดังเช่นหัวใจอันบริสุทธิ์ของเขา เขาเพียงตอบสนองความบริสุทธิ์ภายใต้ก้นบึ้งของหัวใจของพวกเขา และเท่านั้นคือความเพียงพอที่พวกเขาต้องการ..= = = = = = = =
เมื่อหลายปีก่อน ก่อนที่ผมจะได้เจอกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นรักแรกของผม แม่ของผมเคยบอกผมไว้ว่า คู่ครองนั้นควรเลือกบุคคลที่มีปัญญาเสมอกัน ผมจำสีหน้าในตอนนั้นของแม่ได้ดี หน้าของแม่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะหันไปมองกรอบรูปของพ่อที่วางอยู่บนหัวเตียงของแม่ “คนที่มีปัญญาเสมอกัน จะมีพื้นฐานทางด้านจิตใจที่เสมอเหมือนกัน..ถึงแม่กับพ่อของลูกน่ะจะมีบางเรื่องที่ระดับความคิดเห็นไม่เหมือนกัน แต่โดยพื้นฐานแล้ว พ่อของลูกน่ะเป็นคนดีมากเลยนะจ๊ะ..สักวัน หนูก็จะรู้เอง มันคงจะเป็นไปตามความรู้สึก..คู่ครองที่มีปัญญาเสมอกัน ไม่จำเป็นว่าจะต้องมีความชอบที่เหมือนกันเท่านั้น แต่จะต้องรู้ว่าสิ่งใดดีหรือสิ่งใดไม่ดีเท่าเทียมกัน..รู้จักการเสียสละและการให้เสมอกันอย่างไม่มีข้อสงสัย ถ้าสักวันหนูได้เจอคนแบบนั้น..จงรักษาเค้าไว้ให้ดีนะจ๊ะ” แม่พูดด้วยสีหน้าอ่อนโยนเหมือนกับภาพวาดในการ์ตูนที่ผมชอบดู และเมื่อผมได้เจอผู้หญิงคนนั้น ทุกอย่างเป็นไปตามที่แม่บอกอย่างไม่ต้องสงสัย ผมรักเธอและเธอรักผม
บ่อยครั้งที่ผมพูดกับผู้หญิงที่ผมรัก “You are my love. Love what you love” ผมคิดว่า ผมคงจะพูดต่อไปจนชั่วชีวิตของผมอย่างเต็มใจและรู้สึกแบบนั้นจากใจจริง เพราะนั่นเป็นประโยคที่เธอชอบฟังและเป็นสิ่งเดียวที่ผมจะสามารถบอกเธอได้ถึงความรู้สึกทั้งหมดที่ผมมีต่อเธอ
น่าแปลกอยู่ไม่น้อย ผมคงเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่โชคดีเอามากๆ ถ้าในตอนนี้ผมจะมองคนไม่ผิด ผมหวังว่าเด็กผู้ชายคนนี้ คนที่ทำให้ผมรู้สึกแบบเดียวกับที่เคยได้รู้สึกกับปราย จะมีปัญญาเสมอผมอย่างที่แม่เคยบอกเอาไว้ ไม่เพียงแต่ความชอบที่คล้ายกันจนน่าตกใจแต่ความคิดความอ่านของเด็กคนนี้ทำให้ความขลาดของผมที่มีนั้นสูญไปด้วยเช่นกัน ปัญญาเสมอกันที่แม่หมายถึงนั้นเด็กคนนี้คงมีเกิดกว่าที่ผมคาดเอาไว้เสียอีก ผมยังรักปรายเสมอและคงจะไม่เปลี่ยนแปลง..แต่ถ้าในตอนนี้ผมจะขออนุญาตที่จะพูดบอกเธอว่า “I too can love, and I will love again” ผมหวังเพียงว่าปรายจะเข้าใจผม ผมไม่มีทางที่จะลืมเธอได้ ความรู้สึกผิดที่มีมาตลอด การที่ผมนั้นไม่สามารถรักษาคนรักของผมไว้ได้อย่างที่แม่เคยเตือนผม ผมได้แต่เฝ้าขอโทษเธอทุกๆวันที่ผมได้สูญเสียเธอไป และผมหวังเพียงรอยยิ้มจากเธอที่จะอวยพรให้ เพราะเธอเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายของผม ถ้าเธอจะเข้าใจผมมากที่สุด ถ้าเธอจะให้อภัยผมอย่างที่อาบอก ผมหวังว่าเธอจะรักคนรักใหม่ของผมในตอนนี้ด้วยเช่นเดียวกัน..
ณ ทะเลเบื้องหน้าที่ผมนอนมองมาหลายต่อหลายวัน ทำให้จิตใจของผมสงบมากขึ้น กระทั่งผมรู้ใจของตัวผมเองมานานมากแล้ว ในการตัดสินใจของผมในครั้งนี้ ทำให้ผมอดอมยิ้มออกมาไม่ได้ ในหัวผมกลับนึกถึงบทกวีของ Robert Frost บทหนึ่ง น่าแปลกใจตัวเองอย่างน่าประหลาด ผมไม่ได้นึกถึงบทกวีรักของ Robert Burns หรือ R.Herrick หรือแม้กระทั่งนักกวีชื่อดังระดับโลกอย่าง W.Shakespeare อย่างเคย บทกวีที่ท่านได้ประพันธ์ไว้ว่า “Love looks not with the eyes but with the mind; And therefore is winged Cupid painted blind.” ซึ่งเป็นบทกวีที่ผมมักจะนึกถึงก่อนเสมอเมื่อไหร่ที่ผมได้เห็นความสวยงามในจิตใจของเพื่อนมนุษย์ บทประพันธ์นี้อาจจะใช้ได้กับผมในตอนนี้หรืออาจจะไม่ก็ตามแต่ นั่นคงแล้วแต่ใครจะรู้สึก สำหรับผมแล้วบทประพันธ์ที่ว่าคงจะยังไม่ตรงกับความรู้สึกของผมในตอนนี้เสียเท่าไหร่นัก ผมคิดว่าเพราะไม่ใช่ความรักอย่างที่เคยได้รัก รักอย่างไร้ซึ่งเหตุผลใดๆและสามารถรักได้อย่างเปิดเผยอย่างที่ผมเคยมีให้ต่อปรายนั้น..ครั้งนี้นั้นไม่ใช่ ในเวลานี้ผมต้องตัดสินใจเด็ดขาดที่จะก้าวเดินไปข้างหน้า ถ้าผมตัดสินใจนั่นหมายถึงผมต้องเดินตรงไปและกล้าเผชิญหน้ากับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมจะต้องเจอในอนาคตและไม่หันหลังมากล่าวโทษต่อการตัดสินใจของผมเองอีกด้วย การตัดสินใจของผมในครั้งนี้ผลจะเป็นอย่างไรคงต้องปล่อยให้มันเป็นไป ผมคิดว่าผมคิดดีและใช้เวลาคิดมานานพอสมควรแล้ว
ขอบคุณ Robert Frost บางที ผมจะเชื่อคุณสักครั้ง..TWO roads diverged in a yellow wood,
And sorry I could not travel both
And be one traveler, long I stood
And looked down one as far as I could
To where it bent in the undergrowth;
Then took the other, as just as fair,
And having perhaps the better claim,
Because it was grassy and wanted wear;
Though as for that the passing there
Had worn them really about the same,
And both that morning equally lay
In leaves no step had trodden black.
Oh, I kept the first for another day!
Yet knowing how way leads on to way,
I doubted if I should ever come back.
I shall be telling this with a sigh
Somewhere ages and ages hence:
Two roads diverged in a wood, and I
I took the one less traveled by,
And that has made all the difference.
.................End of Lover..1...............
หมายเหตุ :1. ในบทกวีของ Robert Frost (The Road Not Taken) เบบี้ไม่เลือกบทกวีที่แปลเป็นไทยแล้วมานำเสนอเพราะ..หนึ่งโดยลักษณะของตัวละคร และ..สองเพราะการแปลงเป็นภาษาไทยนั้นอาจจะไม่สวยงามได้เท่ากับการที่นักประพันธ์ต้นแบบได้ประพันธ์ไว้ บทกวีนี้มีความหมายในตัวของมันที่มีคำภาษาอังกฤษที่ต้องตีความหมายมากมายโดยบางคำต้องใช้ความรู้สึกซาบซึ้งและเข้าใจแตกต่างกันไปของแต่ละบุคคล
..แต่ก็มีนักแปลบางท่านได้ทำการแปลบทกวีนี้ไว้บ้างแล้วโดยมีบล็อกต่างๆได้เขียนถึง เช่น THE ROAD NOT TAKEN : ทางที่ไม่ได้เลือก -- moonfleet หรือ ปราย พันแสง : The Road Not Taken ขอบคุณผู้เขียนบล็อกทั้งสองคนด้วยนะคะ ^^ ถ้าคนอ่านคนใดอยากเข้าใจในความหมายของบทกวีนี้มากขึ้นกว่าเดิมสามารถไปตามอ่านทั้งสองบล็อกเพิ่มเติมได้ค่ะ ซึ่งบทกวีนั้นสะท้อนได้หลายแนวทางของชีวิตคน คำแต่ละคำในบทกวีนั้นต้องแปลอังกฤษเป็นอังกฤษอีกที ดังนั้นจึงค่อนข้างยากที่จะสื่อบทกวีออกมาเป็นภาษาไทยนะคะ
2. สุดท้ายจนถึงตอนจบแล้ว..คิวก็ยังไม่เผยความรู้สึกนึกคิดของตนเองออกไปทั้งหมด แต่ในเบื้องหลังของคิวอีกมากมาย สาเหตุต่างๆว่าทำไมคิวถึงเป็นแบบที่ผ่านมาและเกิดอะไรขึ้นกับคิวบ้าง..บลา บลา บลา เบบี้ยังจะไม่ขอเล่าในตอนต่อไป(ยังไม่ขอเล่าในมุมของคิวอย่างที่หลายคนขอกันเข้ามา) ตอนที่จะนำเสนอต่อไปคือคู่ของ “ฟ้า” ซึ่งอาจจะมีบางเรื่องราวของคิวที่เชื่อมต่อกันอยู่ด้วยนะคะ..คงต้องติดตามอ่านกันต่อไป ส่วนความรู้สึกนึกคิดของคิวทั้งหมดที่คนอ่านหลายคนเรียกร้องกันนั้น คงต้องนำเสนอหลังจากคู่ที่ 3 ผ่านพ้นไปแล้ว..ซึ่งมันเป็นเรื่องของอนาคตที่ไม่แน่นอน =O=ขอบคุณทุกคอมเม้นและทุกกำลังใจที่ติดตามมาตลอด พบกันตอนต่อไปในตอนของ “ฟ้า” บ้างแต่อาจจะไม่ยาวเท่าคู่หลักอย่างคิวและเค้ก
ขอบคุณค่ะ
เบบี้..