การ
ตรวจมะเร็งตับเป็นกระบวนการที่สำคัญในการวินิจฉัยโรคมะเร็งตับในระยะแรก ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาและลดความรุนแรงของโรค มะเร็งตับมักพบในผู้ป่วยที่มีประวัติโรคตับแข็ง หรือติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด B และ C การตรวจคัดกรองและตรวจวินิจฉัยมะเร็งตับสามารถทำได้หลายวิธีดังนี้:
1. การตรวจเลือด (AFP Blood Test)ตรวจหาโปรตีนอัลฟ่า-ฟีโตโปรตีน (AFP) ซึ่งเป็นสารบ่งชี้ที่อาจบ่งบอกถึงการเกิดมะเร็งตับ ระดับ AFP ที่สูงผิดปกติสามารถบ่งชี้ถึงมะเร็งตับได้ แต่การตรวจนี้เพียงอย่างเดียวอาจไม่แม่นยำเสมอไป จำเป็นต้องตรวจร่วมกับวิธีอื่น
2. การอัลตราซาวด์ช่องท้อง (Ultrasound)เป็นการตรวจโดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูงในการสร้างภาพของตับ ทำให้แพทย์สามารถตรวจหาก้อนเนื้องอกหรือความผิดปกติในเนื้อตับได้ เป็นวิธีที่ไม่ทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อผู้ป่วย
3. การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) และการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)CT Scan และ MRI เป็นเครื่องมือที่มีความละเอียดสูง ซึ่งสามารถให้ภาพที่ชัดเจนของตับและเนื้องอก หากพบความผิดปกติ แพทย์จะใช้วิธีนี้เพื่อยืนยันตำแหน่ง ขนาด และลักษณะของก้อนเนื้องอกในตับ
4. การตรวจชิ้นเนื้อตับ (Liver Biopsy)ในกรณีที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับเนื้องอก แพทย์อาจทำการเก็บชิ้นเนื้อจากตับไปตรวจในห้องปฏิบัติการ การตรวจชิ้นเนื้อสามารถบ่งบอกได้แน่ชัดว่ามีก้อนเนื้อเป็นมะเร็งหรือไม่
5. การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าร่วมกับการตรวจทางหลอดเลือด (MR Angiography)การตรวจนี้ช่วยดูการไหลเวียนของเลือดในตับและสามารถระบุได้ว่ามะเร็งลุกลามไปยังหลอดเลือดใหญ่หรือไม่
6. การใช้วิธีการทางพันธุกรรมและชีวโมเลกุล (Genetic and Molecular Testing)ในบางกรณีแพทย์อาจทำการตรวจทางพันธุกรรมเพื่อตรวจสอบยีนหรือโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งตับ ซึ่งสามารถช่วยในการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม
การติดตามและป้องกันผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงเช่น ผู้ที่เป็นโรคตับแข็งหรือติดเชื้อไวรัสตับอักเสบควรเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งตับเป็นประจำทุก 6-12 เดือนเพื่อให้สามารถตรวจพบในระยะแรกเริ่มและเพิ่มโอกาสในการรักษา