I'm sorry ที่รักครับกูขอโทษ! ตอนที่28 : : เนปคิม // [27/01/61]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: I'm sorry ที่รักครับกูขอโทษ! ตอนที่28 : : เนปคิม // [27/01/61]  (อ่าน 17795 ครั้ง)

ออฟไลน์ Cencer

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
-อัลฟา-

ผมกำลังสงบจิตสงบใจไม่ให้ลุกวิ่งขึ้นไปกระชากร่างบางของอีกคนมาถามว่านี่มันเรื่องอะไรกันแล้วไอ้ผู้ชายที่เดินโอบเอวกันนั่นมันเป็นใคร  แล้วมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง**?** ผมกดโทรศัพท์โทออกไปหาโยชิอีกรอบ ติดครับ  ไม่ได้ขึ้นเลขหมายเหมือนเดิมแล้ว  ผมรอสายจนตัดไปแล้วรอบหนึ่ง ผมก็กดโทรอีกรอบ  ผมจะโทรอยู่แบบนี้จนกว่าอีกฝ่ายจะยอมรับ  ...

“ฮัลโหล” โยชิรับแล้วครับ

(ครับพี่)

“ทำไมพี่โทรหาเราไม่ติดเลยละ” ผมบังคับเสียงให้เป็นปกติไม่อยากให้อีกคนจับได้ว่าตอนนี้ผมอยู่ในอามณ์ที่แทบจะตะคอกใส่ตั้งแต่ที่รับสาย

(พอดีแบตมันหมดครับ  พี่มีอะไรรึเปล่า) โยชิทำไมถึงตอบได้ปกติแบบนี้ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรอ

“พี่จะโทรหาแฟนตัวเองต้องมีอะไรด้วยหรอ” ผมถามเสียงแข็งขึ้น  ไอ้เดฟที่นั่งข้างๆมันบีบไหล่ผมให้ใจเย็นๆ ผมจึงพ่นลมหายใจเข้าออกอย่างใจเย็น  บอกตัวเองว่าอย่าใจร้อนๆ

(ปะ เปล่าครับ)

“อืม  งั้นทำอะไรอยู่ครับ”  ผมกลับมาใช้เสียงปกติอีกครั้ง

(ตอนนี้หรอครับ ก็กำลังจะเข้านอนแล้วครับ)

“หรอ..” ผมหลับตากำโทรศัพท์แน่น ทำไมโยชิต้องโกหกผมด้วย  ทำไมกัน

(ครับ ผมง่วงแล้ว  ถ้าพี่ไม่มีอะไรงั้นแค่นี้นะครับ) โยชิบอกพร้อมกับทำเสียงหาวหวอดๆให้ผมรับรู้

“อืม  งั้นพี่ไม่กวนเราแล้ว  ฝันดีนะครับตัวเล็ก”

(ครับ ฝันดีเช่นกันนะครับ)

“...” ผมยังไม่ได้วางสาย  อีกฝ่ายเองก็เช่นกัน

(.........................)

“พี่รักตัวเล็กนะ” ผมบอกก่อนที่จะตัดสายทิ้งไป  จุกครับ  ทำไมถึงโกหก**?** ทำไมถึงทำกับผมแบบนี้ ผมยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียวหมด แก้วแล้วแก้วเล่า

“เฮ้ยพอๆเลย**!** เดี๋ยวก็ได้ตายกันพอดี” ไอ้เดฟดึงแก้วเหล้าออกจากมือผม

“เชี้ยเดฟกูไม่ไหวแล้ววะ**!**” ผมบอกมันแล้วลุกขึ้นเดินไปยังบันได้เพื่อจะขึ้นไปยังชั้นวีไอพี  ชั้นวีไอพีของผับแห่งนี้ถ้าไม่รวยจริงไม่สามารถขึ้นมาได้ มีแต่พวกคุณหนู ไฮโซ พ่อแม่นักการเมือง หรือนักธุรกิจเท่านั้น  ผมเดินดุ่มๆขึ้นมาได้ครึ่บงทางก็ถูกการ์ดกักตัวไว้

“ขึ้นไปไม่ได้นะครับ”

“ทำไม**!”** ผมถามเสียงแข็งจ้องหน้ากาดอย่างเอาเรื่อง “ปล่อยกู**!**” ผมดิ้นให้กาดที่จับตัวผมหลุดออกแต่ก็เปล่าประโยชน์  ยิ่งผมดิ้นแรงมันยิ่งเพิ่มแรงจับตรึงผมแน่น

“ยังไงก็ขึ้นไปไม่ได้หากคุณไม่ได้รับอนุญาต”

“ไอ้เหี้ยปล่อยกู**!!**” ผมตะคอกใส่

“เฮ้ยๆ ใจเย็นก่อนไอ้อัล” ไอ้เดฟเข้ามาจับตัวผมไว้  กาดพวกนั้นจึงปล่อยผม  ผมจะเดินขึ้นไปแต่ก็ถูกดักทางไว้เหมือนเคย  ไอ้เดฟจึงยื่นบัตรส่งให้กาดนั้นดู ก่อนที่พวกมันจะยอมพยักหน้าแล้วปล่อยให้ผมกับไอ้เดฟเดินขึ้นไป ผมรีบรุดขึ้นไปด้านบนอย่างรวดเร็ว  ผมมองซ้าย มองขวา หาคนที่ผมต้องการพบมากที่สุด

“เชี้ยอัลทางนั้น”

“ไหน**?**” ไอ้เดฟมันชี้ไปทางด้านซ้ายมือ  ระยะทางที่ผมยืนอยู่ตรงนี้มันห่างจากโต๊ะที่โยชินั่งมาก  ผมจึงเดินตรงไปด้วยความรีบร้อน ไอ้เดฟมันเข้ามากระชากแขนผมไว้

“อย่าใจร้อน  ใจเย็นๆ” มันย้ำคำนี้กับผมตลอดเวลา

“เออรู้แล้ว**!**”

“ตัวเล็ก**!**” ผมเดินเข้าไปกระชากโยชิออกจากผู้ชายคนนั้น  โยชิเหมือนจะชะงักเมื่อเห็นผม

“พะ พี่ครับมาได้ไง” โยชิถามเสียงสั่น ผมกำแขนบางแน่นจะลากออกไปจากตรงนี้

“จะพาโยชิไปไหน**!”** เสียงเรียบนิ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับกระชากโยชิเข้าไปหาตัวเอง ผมไม่ยอมให้มันเอาตัวแฟนผมไปหรอก

“ปล่อย**!**” ผมมองจ้องหน้าไอ้เวรนี้อย่างเอาเรื่อง ผมกระชากแขนโยชิหาตัวอีกรอบ

“กูไม่ปล่อย” มันกระชากแขนโยชิกลับไปอีก

“พะ พี่ครับ ผมเจ็บ” เสียงโยชิทำให้ผมกับไอ้เวรนั้นหันไปมอง  ผมกับมันปล่อยแขนโยชิออกพร้อมๆกัน โยชิลูบแขนตัวเองทั้งสองข้างมองผมกับมันสลับกัน

“เป็นอะไรรึเปล่า” มันหันไปจับแขนโยชิแล้วเบาๆ  โยชิส่ายหน้าว่าไม่เป็นไร ผมมองสองคนที่ดูจะเป็นห่วงเป็นใยกันเป็นพิเศษ  มันทำให้ผมยิ่งหงุดหงิดหนักเข้าไปอีก

“ปล่อยแขนแฟนกู” ผมผลักมันแล้วดึงโยชิเข้าหาตัวเอง “ไปกับพี่!” ผมบอกเสียงเรียบนิ่ง

“ไม่!!” โยชิยื้อตัวเองเอาไว้ทำให้ผมต้องหันไปมองอย่างไม่เข้าใจ

“ทำไม?”

“ผมจะไม่ไปกับพี่” โยชิบอกพร้อมกับสลัดมือออก

“ทำไม?” ผมยังคงถามคำเดิมซ้ำๆ

“...” โยชิไม่ตอบกลับหันหน้าหนี

“พี่ถามว่าทำไม!!” ผมตะคอกใส่โยชิ  ผมจับไหล่โยชิเขย่าแรงๆ

“ปะ ปล่อย ผมจะ เจ็บบ”

“ปล่อยโยชิ!” มันเข้ามาผลักอกผม  ผมถอยหลังไปสองสามก้าว

“มึง!”

“เชี้ยอัลหยุด!” ไอ้เดฟมันเข้ามาห้ามผมไว้  ทำให้ผมต้องค้างหมัดที่จะปล่อยไปไว้กลางอากาศ ผมหลับตาระงับอารมณ์ที่มันคงลงไม่ได้แล้ว ผมลืมตาขึ้นมองคนที่รักที่ตอนนี้ไปยืนหลบอยู่ด้านหลังของไอ้เวรนั้น

“กลับไปกับพี่” ผมพยายามจะไม่ตะคอก  ผมบังคับให้ตัวเองเป็นปกติ  ไม่งั้นถ้าเราไปคุยกันคงต้องใช้กำลังเป็นแน่

“ผะ ผมคงไปกับพี่ไม่ได้”

“ทำไม..” ผมมองโยชิอย่างไม่เข้าใจ

“เราเลิกกันเถอะครับ” ผมตัวชาวาบ  หมายความว่าไง เลิก? นี่มันอะไรกัน  ผมไม่เข้าใจ

“มะ หมายความว่าไง?” ผมถามเสียงสั่น

“...เราพอกันแค่นี้เถอะครับ”

“ไม่ ! พี่ไม่เลิก!”

“ถ้ามึงไม่เลิกงั้นรูปพวกนี้กูจะเอาโพสลงเว็บประจานมึงซะ**!**”  ผมไม่รู้ว่ามันมาตอนไหน  จู่ๆมันก็โยนรูปใส่หน้าผม ผมหยิบรูปภาพที่ตกลงบนพื้นขึ้นมาดู เป็นภาพเปลือยบนเตียงในห้องผม  แล้วภาพพวกนี้เป็นผมหมดเลย

“นี่มันอะไรกัน?” ผมพึมพำกับตัวเองมองรูปหลายใบในมืออย่างพิจารณา  ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หรือว่า...

“ผมก็แค่ทำอย่างที่พี่เคยทำไว้กับผม  แต่ผมไม่กล้าพอที่จะอัดเป็นคลิปแบบที่พี่ทำ  ผมทำได้แค่ภาพถ่ายเท่านั้น  แต่ถ้าพี่ยังไม่หยุดยุ่งกับผม  ภาพพวกนี้จะถูกเผยแพร่ออกสู่สาธารณะ  ถ้าพี่ไม่อยากให้ครอบครัวของพี่ต้องมารับรู้เรื่องน่าอายแบบนี้  อย่ายุ่งกับผมอีก  เราจบกันแค่นี้เถอะครับ”

“..ไม่”  น้ำเสียงของผมเอ่ยออกมาเบาวิว

“ไปกันเถอะ”

“มึงจะพาแฟนกูไปไหนไอ้เหี้ย!” ผมเดินไปกระชากตัวไอ้เวรนั่นแล้วชกเข้าที่หน้ามันเต็มแรง

“ทำบ้าอะไรของพี่เนี้ย!!” โยชิเดินเข้ามาผลักผมให้ออกห่างจากไอ้เวรนั่น

“ทำไม! เป็นเดือดเป็นร้อนแทนมันรึไงวะ” ผมคุมตัวเองไม่อยู่แล้ว ผมตะคอกใส่โยชิอย่างหลืออด

“เออ เป็นห่วง!”  ผมไม่คิดว่าโยชิจะกล้าพูดคำนี้ออกมาแล้วผมละไม่เป็นห่วงเลยรึไงวะ  ผมเป็นแฟนนะ

“เหอะ!” ผมดันกระพุ้งแก้มตัวเองนึกโกรธคนตรงหน้า ผมได้แต่กำหมัดแน่นมองโยชิอย่างโกรธเคือง

“ต่างคนต่างอยู่!”

“ไม่!!” ผมสวนกลับคำพูดของโยชิทันที “ตัวเล็กไม่รักพี่แล้วหรอ?”**

“ผมไม่เคยรักพี่เลย  ผมเกลียดพี่  จะให้ผมรักพี่ได้ยังไง  จะให้ผมรักคนที่ทำลายชีวิตผมได้ยังไงกัน  พี่รู้อะไรไหม ผมทั้งสะอิดสะเอี้ยด ทั้งขยะแขยงที่ต้องกอดต้องจูบกับพี่ ผมทนไม่ไหวแล้ววะ จากนี้เรื่องระหว่างเราถือว่าจบนะครับ”

“แต่พี่รักโย  โยจะไม่รักพี่ยังไงก็ได้  แต่ขอร้องอย่าทิ้งพี่ อย่าไปจากพี่”

“มันไม่มีประโยชน์หรอกครับ...ผมฝากนี่คืนแม่พี่ด้วย” โยชิยื่นกล่องกำมะยีป็นกล่องเครื่องเพชรที่แม่ผมคยให้ส่งมาให้ผมแต่ปมไม่รับ  โยชิจึงยัดมันใส่ไว้ในมือของผมแทน

“...” ผมพูดไม่ออก  บอกไม่ถูก เหมือนมีก้อนอะไรขึ้นมาอุดตัน

“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างครับ...สุขสันต์วันครบรอบหนึ่งเดือน”

-โยชิ-

“ตัวเล็กไม่รักพี่แล้วหรอ?”  น้ำเสียงและสายตาเจ็บปวดนั่นมองมาที่ผมอย่างตัดพ้อ  ผมทำเพียงเบือนหน้าหนีก่อนที่จะพยายามบังคับเสียงตัวเองไม่ให้มันสั่นเมื่อนต้องพูดประโยคนี้ออกมา

“ผมไม่เคยรักพี่เลย  ผมเกลียดพี่  จะให้ผมรักพี่ได้ยังไง  จะให้ผมรักคนที่ทำลายชีวิตผมได้ยังไงกัน  พี่รู้อะไรไหม ผมทั้งสะอิดสะเอี้ยด ทั้งขยะแขยงที่ต้องกอดต้องจูบกับพี่ ผมทนไม่ไหวแล้ววะ จากนี้เรื่องระหว่างเราถือว่าจบนะครับ”

“แต่พี่รักโย  โยจะไม่รักพี่ยังไงก็ได้  แต่ขอร้องอย่าทิ้งพี่ อย่าไปจากพี่” ผมไม่สามารถหันกลับไปมองเขาได้จริงๆ  ถ้าผมหันไปผมเองจะต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้  และแผนนี้คงไม่สำเร็จ

“มันไม่มีประโยชน์หรอกครับ...ผมฝากนี่คืนแม่พี่ด้วย” ผมยื่นกล่องเครื่องเพชรที่ได้มาให้อีกคน เขาไม่ยอมรับทำให้ผมต้องจับมือเขาแล้วยัดใส่มือเขาซะ

“...”  เขาเงียบ..ผมจึงพูดต่อ

“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างครับ...สุขสันต์วันครบรอบหนึ่งเดือนครับ”

จบ..มันจบแล้วจริงๆ  อย่าได้มีการคิดแค้นอะไรกันอีกเลย  ผมจะอยู่ในส่วนของผม  เขาเองก็ต้องอยู่ในส่วนของเขา  พอผมพูดประโยคนั้นจบผมก็หันหลังเดินออกมาจากจุดนั้น  ปล่อยให้น้ำตาไหลรินรดออกมาอย่างไม่ปิดกั้นมันเอาไว้อีกต่อไป...

ย้อน..

แผนครั้งนี้มันเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงก่อนที่จะเดินทางไปประจวบไม่นาน  ...

“เฮียมีเรื่องให้ช่วยวะ...”

“มีไรวะ  ทำไมทำหน้าซีเรียสกัน” อาทิตย์ถามแล้วมองหน้าน้องชายสองคนที่ทำหน้าเครียดกัน

“เอ่อคือ..” จากนั้นโยชิจึงเล่าเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมาให้อาทิตย์ได้รับทราบรวมทั้งเรื่องคลิปว่าใครเป็นคนปล่อยออกไป

“แล้วจะให้เฮียทำอะไรให้ว่ามา” อาทิตย์ถามเมื่อได้ฟังเรื่อยงราวที่ผ่านมาทั้งหมด  เขาคิดอยากจะเห็นหน้าไอ้เวรนั่นที่กล้ามาทำกับน้องชายของเขาได้  ถ้าเจอเขาไม่เก็บมันไว้แน่  ทำขนาดนั้นแล้วยังจะมายุ่งวุ่นวายกับน้องเขาอีก

“เฮียแค่แกล้งควงไอ้โยแค่นั้น  ไม่ต้องพูดเชี้ยไรมากนะเว้ย  ส่วนที่เหลือเดี๋ยวผมจัดการเอง”

“ควง?” อาทิตย์ถามเนปจูนอย่างไม่เข้าใจ

“เออน่า ช่วยทำให้เนียนเหมือนเฮียควงเด็กเฮียนั่นละ  เดี๋ยวอย่างอื่นผมกับไอ้เตี้ยจัดการกันเอง” เนปจูนยังคงอธิบายต่อ

“เออๆ ทำแค่นี้เองหรอวะ  คิดว่าจะให้กูไปอัดมันซักหมัดสองหมัดหน่อย  ให้หายแค้นกับที่มันทำกับน้องกู” อาทิตย์นึกแค้นในใจ  ถ้าเจอแม่จะจัดการให้นอนอาบเลือดเลย

“อืม  ส่วนเรื่องไอ้คนปล่อยคลิปนั้นอ่ะ..เมียมันอนุญาตให้อัดได้ตามสบาย” เนปจูนบอกด้วยท่าทางสบายๆ

“กูว่าอย่าเลยวะ  มันรุนแรงไปกูไม่อยากให้ใช้กำลัง” โยชิเอ่ยบอก

“เมียมันยังไม่เห็นสนใจเลย  เอาน่าให้มันโดนซะบ้างเถอะไม่เอาถึงตายหรอกไม่ต้องห่วง”  เนปจูนบอกอย่างไม่ใส่ใจ

-อาทิตย์-

ผมมองร่างบางของน้องชายเดินหันหลังออกไปจากตรงนี้  ผมหวังว่าพรุ่งนี้น้องผมจะสามารถยิ้มได้อย่างเคย  ผมไม่อยากเห็นน้องตัวเองต้องทำหน้าเศร้า  จะร้องไห้ตลอดเวลาอีกแล้ว  ถึงแม้ว่าน้องผมจะเก็บอาการแค่ไหนก็ตาม  คนเป็นพี่ยังไงซะก็ต้องรู้สึกถึงความผิดปกติอยู่แล้ว  ตั้งแต่วันที่โยชิและเนปจูนมาขอให้ผมช่วย  ถึงมันจะไม่ได้ทำอะไรมาก ผมก็เต็มใจช่วยถ้าหากจะทำให้เรื่องนี้มันจบโดยไม่ต้องมีอะไรติดค้างกันระหว่างทั้งสองฝ่าย  การแก้แค้นกันไปมามันไม่ได้ส่งผลดีให้กันเลยสัดนิดเดียว  ผมหันมามองผู้ชายอีกคนที่แทบล้มทั้งยืน  เห็นแล้วก็สงสารนะครับ  แต่ผมไม่ได้ใจดีขนาดจะยอมให้คนที่ทำกับน้องผมขนาดนั้น

“เดฟ” น้ำเสียงเรียบนิ่งดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศเงียบ  ผมมองเลยไปก็เห็นผู้ชายร่างโปร่งตัวก็พอเท่าๆกับเนปจูน  เดินไปหยุดอยู่ใกล้ผู้ชายที่ชื่อเดฟหรือผู้ชายที่มากับแฟนโยชินั้นละ

“มะ เมีย”  อ่า  สองคนนี้เป็นแฟนกันถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นเพื่อนสนิทกับโยชิและเนปจูน  ถึงผมจะเคยเจอก็เถอะแต่คงเดาได้ไม่ยาก

“มึงเป็นคนปล่อยคลิปไอ้โยใช่ไหม” น้ำเสียงเย็นชาถาม  สายตายังคงมองจ้องอย่างเอาคำตอบ

“...”   มันทำเพียงพยักหน้ายอมรับ

“หึ  กูควรทำยังไงกับมึงดีวะเดฟ”

“เมียกูขอโทษ  พาสต้ากูขอโทษ” มันบอกกับเด็กพาสต้าอย่างอ้อนวอน

“จะเอายังไงดีวะเฮีย  สั่งลูกน้องเฮียจัดการมันเลยไหม” ไอ้เนปน้องชายผมมันพูดขึ้น  ผมส่ายหน้ามองเหตุการณ์ตรงหน้าก่อน

“ไปดูโยชิ” ผมบอกเนปจูน  มันพยักหน้าแล้วเดินตามทางที่โยชิเดินไป  ผมเดินมาหยุดยืนตรงหน้าผู้ชายที่เหมือนจะไม่มีสติ  อยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง  “ปล่อยโยชิไปซะ จากนี้ก็ต่างคนต่างอยู่” มันเงยหน้าขึ้นมามองผม สายตามันแข็งกร้าวขึ้น

“กูไม่มีทางปล่อยโยชิไปให้มึงหรอก!”

“เฮ้ออ ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องรึไง” ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

“กูไม่มีวันปล่อยโยชิไปแน่” มันพูดย้ำชัดคำเดิม

“มึงรักโยชิ?” ผมกอดอกถามมัน

“รัก!” มันตอบเสียงหนักแน่น

“หึ  รัก? แล้วมึงทำเรื่องเหี้ยนั่นกับโยชิทำไม”

“..กู” มันอึกอัก

“คนรักกันเขาไม่ทำร้ายกันอย่างนี้หรอก  สมควรแล้วที่โยชิเลือกที่จะทิ้งมึง” ผมยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ

“...”

“ถ้ามึงรักโยชิจริง ปล่อยให้เขาไปเถอะวะ” ผมพูดอย่างต่อรอง

“กูปล่อยเขาไม่ได้” มันพูดขึ้นลอยๆ  “ปล่อยไม่ได้..”

“ส่วนเรื่องภาพพวกนี้มึงไม่ต้องห่วงกูไม่โพสลงเว็บหรอก”

“ไม่ใช่เรื่องนั้น  มึงจะโพสลงหรือไม่  แต่กูจะไม่มีวันปล่อยโยชิไปเด็ดขาด!” มันสบตากับผม  สายตาจริงจังกับคำพูดทำให้ผมมั่นใจว่ามันไม่มีทางปล่อยน้องผมแน่  ผมละยอมมันจริงๆ

“...กูจะไม่ห้าม  ถ้ามึงรักโยชิจริงๆก็ทำให้เขากลับมาหามึงเองแล้วกัน”

ผมไม่มีสิทธิไปห้ามความคิดของคนอื่นได้  ผมบอกได้เท่านี้  ส่วนหลังจากนี้ก็คงจะเป็นเรื่องของคนสองคนที่จะตัดสินใจกันเอง

-พาสต้า-

“เมียกูขอโทษ  พาสต้ากูขอโทษ” ผมมองไอ้เดฟที่กำลังส่งสายตาอ้อนวอนมาให้ผม

“เดฟกูว่ามึงกับกูเลิกกันดีกว่าวะ” ผมบอกเสียงเรียบ  มองมันด้วยสายตาเย็นชา  ผมรู้เรื่องนี้ด้วยตัวเองตอนที่มันกำลังนั่งคุยอยู่กับโยชิ  หลังจากที่ผมกลับมาจากเข้าห้องน้ำ

“จริงๆเรื่องคลิปนั้นเป็นพี่เองที่ผิด  ไอ้อัลมันไม่ผิดหรอก”

“ครับ?”

“พี่เป็นคนอัดคลิปและเป็นคนปล่อยคลิปนั้นลงในเว็บโรงเรียนเอง”

ผมได้ยินมันชัดทุกคำพูด  ผมรอให้สองคนนั้นคุยกันเสร็จแล้วจึงเดินเข้าไปทำตัวเป็นปกติ  ทั้งๆที่ในใจอยากจะอัดไอ้เดฟให้ตายคาตีนตรงนั้น

“ไม่เลิกนะพาสต้า!” ผมจับมือผมแน่น

“กูคงทนคบมึงต่อไปไม่ได้แล้ววะเดฟ”

“พะ พาสต้า”

“กูคบกับคนที่ทำเพื่อนกูไม่ได้!” ผมสลัดมือที่จับผมออก

“...เมีย”

“อย่าโผล่หน้ามาให้กูเห็นนะเดฟ  ไม่งั้นกูเอามึงตายแน่!” ผมบอกมันเสียงแข็งแล้วก้เดินจากออกมา  ผมยกมือไหว้พี่ชายไอ้เนปกับไอ้โย  ถึงจะพึ่งเจอกกันก็เถอะนะ

“โยชิละครับ” ผมถาม

“อยู่ในห้องทำงานชั้นสาม” พี่เขาตอบนิ่งๆ

“ผมขึ้นไปได้ใช่ไหม”

“อืม..” พี่เขาครางรับ  ผมกำลังจะเดินออกไปก็ต้องชะงักเมื่อพี่เขากลับจับแขนผมไว้ “แบบนี้ดีแล้วหรอ?” พี่เขาถามไม่มองหน้ผม แต่กลับมองไปข้างหน้าซึ่งเป็นทางที่ผมพึ่งจะเดินออกมา

“ผมคิดว่าดีแล้วครับ”

“ดีแล้ว  แล้วร้องไห้ทำไม?”ผมร้องไห้งั้นหรอวะ? ผมยกมือลูบหน้าตัวเองปรากฏมีน้ำใสๆอยู่บนใบหน้า

“ผม..” ผมพูดไม่ออก  ไม่คิดว่าจะให้ใครมาเห็นน้ำตาตัวเองเลย

-เนปจูน-

“เตี้ย...” ผมเปิดประตูเดินเข้ามาในห้องทำงานของเฮีย  เพราะผับแห่งนี้เป็นผับที่เฮียและเพื่อนลงทุนร่วมกัน  พอเข้ามาด้านในกลับมืด  ไฟในห้องก็ไม่เปิด  “เตี้ย..” ผมเรียกอีกครั้งก็ไม่มีเสียงตอบรับใดๆออกมา  หรือว่าจะไม่อยู่ในนี้วะ

ตุบ!

“เตี้ย!” ผมรีบหาสวิตเปิกไฟห้อง เมื่อค้นพบแล้วผมก็เปิดมันแล้วมองหาที่มาของเสียงที่ดังขึ้น  อยู่ไหนวะ  ห้องก็ไม่ได้ใหญ่แต่ทำไมไม่เห็น  ตรงโซฟารับแขกก็ไม่อยู่

“ฮึก ฮือ..” เสียงสะอื้นดังขึ้น  ผมเปลี่ยนทิศทางที่จะเดินตรงไปยังห้องน้ำต้องเปลี่ยนมาที่โต๊ะทำงานแทน

“..เตี้ย” ผมเอ่ยเรียกคนที่กอดเข่าสะอื้นอยู่หลังโต๊ะทำงาน  ไอ้เตี้ยค่อยๆเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตามองผม

“ฮือออ เนปจูน” ไอ้เตี้ยมันกางแขนออก  ผมจึงเดินเข้าไปนั่งลงตรงหน้าแล้วกอดมันไว้  มันซบหน้าร้องไห้กับอกผม  มือก็กำเสื้อด้านหลังผมแน่น

“...” ผมไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกไป  ผมไม่รู้ว่าจะปลอบมันตอนนี้ยังไง  ปล่อยให้มันร้องไห้ให้พอ

“สูง กูเจ็บ ฮืออ กูเจ็บ**!**” มันผลักผมออกแล้วตบเข้าที่อกข้างซ้ายตัวเอง  มันกำมือแน่นตรงอกข้างซ้ายมองผมทั้งน้ำตา  ผมค่อยๆเช็ดน้ำตาที่เปรอะเปื้อนบนหน้าออกให้  ยิ่งผมเช็ดมันก็ยิ่งไหลออกมาเรื่อยๆ

“...”

“มันจบแล้ว ฮึก จบแล้วจริงๆใช่ไหม ฮืออ”

“อืมจบแล้ว” ผมดึงมันเข้ามากอดอีกครั้ง

“ฮืออออ”

“ขอโทษนะเตี้ย  กูขอโทษ”  ขอโทษที่ทำให้มึงต้องเจ็บอีก  ขอโทษที่ทำให้มึงต้องร้องไห้อีก   มันส่ายหัวบอกว่าไม่เป็นไร  ยิ่งมันเป็นแบบนี้ผมยิงรู้สึกว่าผมผิดเท่านั้น  ผมไม่น่าคิดแค้นให้โยชิเอาคืนเลย ไม่น่าคิดแผนอะไรนี่เลย  น่าจะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้  บางทีเรื่องมันอาจจะไม่เลวร้ายก็ได้ “ขอโทษ..”

.

.

“โยชิละเนปจูน” เสียงเปิดประตูทำให้ผมหันกลับไปมองเห็นคนสองคนเดินเข้ามาพร้อมกัน

“ร้องไห้จนหลับไปแล้ว...แล้วมึงละไอ้พาสทำไมตาแดง  ร้องไห้?” ผมบอกกับเฮียก่อนหันไปพูดถามมัน มันไม่ตอบผมก็รู้อยู่แล้ว

“กูเลิกกับมันแล้ว” ไอ้พาสมันตอบเสียงเรียบ

“งั้นกูเสียบ” มันหันขวับมามองผมทันที หึๆ

“โอ๊ยย เจ็บนะไอ้เฮีย!” เฮียมันตบหัวผมอย่างแรงเลยครับ

“ใช่เรื่องไหม  เดี๋ยวกูยิงทิ้ง” เฮียมันว่า  แค่หยอกเล่นเอง นี่ก็จริงจัง

“ล้อเล่นเหอะ ไม่อยากให้เครียดแค่ไอ้เตี้ยคนเดียวก็ไม่รู้จะปลอบไงละ  มีไอ้พาสอีกคนคงไม่ไหว” ผมบอกแล้วลูบหัวตัวเองปอยๆ มองไอ้เตี้ยที่หลับทั้งตาบวมๆนั่น  เฮียลูบหัวคนหลับเบาๆเหมือนปลอบโยนและกล่อมให้นอนหลับฝันดีในเวลาเดียวกัน  เสียงถอนหายใจรอบแล้วรอบเล่าจากพาสต้า

“เฮ้อออ...”

-โยชิ-

เรื่องราวทั้งหมดมันจบลงแล้ว  ผมไม่พบเจอเขาอีกหลังจากวันนั้นซึ่งเวลายู่ที่คณะผมเองก็จะเลี่ยงกลุ่มของเขาเหมือนกันถึงจะไม่เห็นเขาเดินอยู่ในกลุ่มของพี่คิมเลย  แม้แต่พี่เดฟเองก็ไม่เห็น  เรื่องของพาสต้ากับพี่เดฟผมมารู้หลังจากนั้นสองวัน  มันบอกกับผมว่าเลิกกับพี่เดฟแล้ว  มันบอกว่ามันไม่สามารถคบกับคนที่ทำร้ายเพื่อนตัวเองได้  อาการซึมๆของมันในช่วงแรกทำให้ผมนึกเป้นห่วงแต่ถึงอย่างนั่นไอ้พาสกลับดูเข้มแข็งกว่าผมหลายเท่า

(อยู่ไหนแล้ว  กูรอนานละนะ)

“เออถึงแล้ว นี่กำลังจะข้ามถนนไปแล้ว”  ผมนัดกับไอ้สูงไว้ให้มันมารับผมในช่วงเย็นของวัน เพราะเฮียให้ไปหา   จริงๆมันจะเข้ามารับในมอเลยแต่ผมบอกว่าไม่เป็นไรไม่อยากให้มันรอเพราะไม่รู้ว่าจะเลิกตอนไหน  ผมจึงให้มันมารอผมที่ร้านขนมด้านหน้ามอซึ่งมันอยู่ตรงกันข้ามกัน

(เออเร็วๆๆเลย กูแดกขนมหวานจนจะเป็นเบาหวานแล้วเนี้ย)

“ชิ ไม่เป็นหรอกเหอะ  มึงกินแค่วันเดียว” ผมตอบมันสายตาก็สอดส่องมองดูรถที่วิ่งผ่านไปมาตามทางแบบไม่มีช่องว่างให้ผมได้ข้ามไปเลย  ทำไมวันนี้รถเยอะจังวะ

(น้ำหนักกูขึนจะโทษมึงไอ้เตี้ย)

“มึงแดกเองนะสูง แค่นี้นะจะข้ามถนนละ” ผมตัดสายทิ้งเมื่อเห็นว่ารถเริ่มน้อยลงและพอมีช่องว่างให้ผมได้ข้ามไป ผมรีบเดินก้าวไปข้างหน้า

“ตัวเล็กระวัง!!” ผมหยุดยืนอยู่กลางถนนผมหันกลับไปมองคนที่เรียกผมว่าตัวเล็กเขายืนอยู่ข้างถนนฝั่งที่ผมเดินออกมา เสียงบีบแตรรถดังขึ้นผมหันกลับไปมาทางของเสียงมีรถคันหนึ่งวิ่งตรงมาด้วยความเร็วสูง  ผมตัวแข็งทื่อไม่สามารถก้าวออกไปได้  ผมทำได้เพียงแค่หลับตาแน่นไม่อยากรับรู้ว่าเหตุการณ์ต่อจากนี้จะเป็นยังไง  ผมคงต้อง...ตาย

พลั่ก !

“โอ๊ยย!!” ผมโดนชนแล้วหรอ ผมรู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดของตัวเอง  ผมว่าหัวผมไปกระทบเข้ากับถนนแน่เลย  ทำไมมันถึงรู้สึกเจ็บที่หัวแบบนี้นะ  ผมกำลังจะตายใช่ไหม?**

ปัง !โครม ! เอี๊ยดดด...กรี๊ดดดด!!

ผมได้ยินเสียงโครมครามเสียงกรี๊ดร้องดังเข้ามาในโสตประสาท

‘มีคนโดนรถชน..’

‘จะตายมั้ยแก..’

‘เรียกรถพยาบาลเร็ว!!’

เสียงโหวกเหวกโวยวายต่างๆนาๆมากมายผมรู้สึกมึนหัวไปหมด  ผมค่อยๆลืมตาที่หนักอึ้งขึ้นอย่างช้าๆ และก็ต้องข่มตาหลับอีกรอบ  มันรู้สึกเจ็บจนปวดอย่างหนัก  ร่างกายผมถูกพยุงโดยใครไม่รู้

“คุณครับ  ไหวหรือเปล่า”

“...” ผมไม่ได้ตอบเพราะตอนนี้จะขยับตัวจะแทบไม่ไหวอยู่แล้ว

“คุณครับ คุณ!” ผมลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง  ผมมองหน้าคนที่เข้ามาช่วยพยุงผมไว้

“ผะ ผมยังไม่ตายหรอครับ” ผมถามเสียงแผ่ว

“คุณไม่เป็นไรหรอกครับ” เขาตอบ

“แต่ว่าผมโดนรถชน” ผมตอบเสียงแหบเพร่า

“มีคนมาผลักคุณออกทำให้ตัวเขาเป็นฝ่ายโดนชนเองอาการหนักทีเดียว” เขาบอกพร้อมกับปรายตาไปมองยังบุคคลที่ยืนมุ่งอยู่  ใครกันที่เขามาช่วยผมแต่ตัวเองกลับเป็นผู้โชคร้ายนั้น

“คะ คุณช่วยพาผมไปหาเขาได้มั้ย?”

“ไหวหรอครับ” ผมพยักหน้า  ผมไหวผมอยากเข้าไปดูผู้ที่มีพระคุณช่วยที่ช่วยผมไว้  เขาค่อยๆพยุ่งผมพาเดินไปยังจุดที่อยู่ไม่ห่างจากผมมาก  ผู้คนที่มุงดูส่งเสียงกันไม่หยุดหย่อน

“ช่วยถอยหน่อยครับ” ผู้ชายที่พยุงผมถอยทางอออกเผื่อที่จะได้พาผมเข้าไปได้  คนที่มุงเมื่อหันมาเห็นผมก็พากันถอยออกให้เล็กน้อย

‘จะรอดไหมแก ดดนชนแรงขนาดนั้น’ เสียงรอบข้างยังคงดังอย่างต่อเนื่อง

‘เขาวิ่งเข้ามาช่วยเด็กคนนี้ไง ฉันเห็นกับตา’

‘ตายแน่เลยวะโดนชนเต็มเหนี่ยวขนาดนั้น’

ผมเข้ามาอยู่ในวงล้อมของคนมุง  ผมมองผู้ชายที่แน่นิ่งอยู่บนพื้นถนน  ร่างกายสะบักสะบอมเต็มไปด้วยคราเลือดที่ไหลออกมาเป็นจำนวนมาก  ผมมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนตรงหน้า ใจผมกระตุกวูบ  รู้สึกตัวชานึบ  ขาที่ไม่ค่อยจะมีแรงอยู่แรงกลับอ่อนปวกเปียก  ผมทรุดลงตรงนั้นอย่างหมดแรง

“กรี๊ดด คุณคะเป็นอะไรรึเปล่า”

“คุณครับไหวไหม” ผู้ชายที่พยุงผมมาตกใจไม่น้อยเมื่อเห้นผมทรุดนั่งลงบนพื้นถนน

“ตัวเล็กระวัง!!” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาในโสตประสาทของผม  ภาพที่เขามองผมอย่างตื่นตะหนกอยู่ฝั่งของถนน

“ฮืออออ..” ผมปล่อยโฮออกมา  ไม่อายด้วยว่าคนตรงหน้าจะมีมากแค่ไหน  ผมไม่สนสายตาพวกนั้น  แทบลืมความอายไปในที่สุด  ในเวลาแบบนี้จะมาอายทำไม

“พะ พี่ครับ..” ผมค่อยๆคลานเข้าไปหาร่างที่หมดสติกลางกองเลือด  ผมดึงเขาเข้ามากอดไว้แนบอก  ปล่อยให้น้ำตาไหลริน  ตัวก็เปื้อนคราบเลือดของคนที่หลับในอ้อมแขน “อย่าตายนะ ฮึก อย่าตาย” ผมบอกคำว่าอย่าตายซ้ำๆ

“ฮืออ  ช่วยเรียกรถพยาบาลให้ผมที” ผมบอกกับคนที่ยืนดูอยู่  พวกเขาทำหน้าเลิกลั่กแต่ก็ยังกดโทรหารถพยาบาลให้

“เราโทรแล้ว  อีกไม่นานคงมาถึง”

“แล้วเมื่อไหร่!!” ผมตะคอกเสียงดัง  เมื่อไหร่จะมา  ถ้าเขาตายจะทำยังไง  ผมเลือกที่จะไม่สนใจสิ่งรอบข้างแล้วหันมากอดคนในอ้อมแขนแนบชิดกว่าเคย

“ฮึก พี่จะตายแบบนี้ไม่ได้ ทำไม..ทำไม ฮืออออ” ทำไมถึงต้องเอาตัวเองเข้ามาช่วยผม  ทำไม!!!!

TBC.

ออฟไลน์ Cencer

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
===================================================================
แบบสอบถามการจัดทำรูปเล่มนิยายเรื่อง i'm sorry ที่รักครับกูขอโทษ!
มีคนสนใจไหมเอ่ยยย?? สนใจยังไงทำแบบสอบถามมานะค่ะ ไรท์จะดูจำนวนคนสนใจ หากมีคนสนใจเกินครึ่งที่ไรท์กำหนดไว้จะพิจารณาการทำรูปเล่มเรื่องนี้ค่ะ ^^

*เปิดให้สอบถามตั้งแต่ตอนนี้จนถึงตอนจบของเรื่องนะค่ะ
#ถ้าหากมีคนสนใจมากไรท์จะจัดทำรวมเล่มแล้วจะมีแบบฟอร์มให้กรอกอีกรอบหลังจากนิยายจบน่ะค่ะ

ออฟไลน์ Cencer

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ตอนที่23 : (เดฟXพาสต้า) // [21/01/61]
«ตอบ #92 เมื่อ21-01-2018 21:28:45 »



ตอนที่23 : (เดฟXพาสต้า)



-เดฟ-


“โหลลลลล”  ผมกดรับสายที่โทรเข้ามา  ผมกดรับทั้งที่ไม่รู้ว่าเป็นใครที่โทรมา

(...เมา?)

“อืมม ม่ายม๊าววว ใครฟ่ะ?” ผมถามกลับไป

(ไม่เมาบ้านมึงดิ  แหกตาดูเบอร์สิถ้าอยากรู้ว่าใคร)

“อืม..”  กวนตีนจริงๆ  ผมมองหน้าจอที่สว่าง  ขมวดคิ้วมองชื่อเพื่อนตัวเอง

(ว่าไงรู้ยัง)

“เออ อ๊ายยโบ๊ทททมาหากูววหน่อย เอิ๊ก..”  ผมพูดเสียงอ้อแอ้บอกมัน

(เฮ้ออแล้วทำไมเมาได้ขนาดนี้ว่ะ)

“บ่นจริงมึง เลวๆๆ"
 
(เร็วพอสัส เอออยู่แถวไหนเดี๋ยวไปหา)

“ผับ... เล๊วน๊ามึง” ผมกดตัดสายทิ้งเมื่อบอกสถานที่ให้มันมาหา  ผมยังไม่ไปไหนยังอยู่ผับเดิม  นั่งแดกเหล้าย้อมใจ  อกหัก เมียทิ้ง  เจ็บ! ผมเจ็บ  แดกเหล้าเผื่อมันจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บที่อกได้บ้าง  ถึงมันจะไม่เกี่ยวก็เถอะ  ตรรกะมั่วๆของผมเองผมมองไอ้เพื่อนที่คงจะหนักกว่าผมด้วยซ้ำ  ถึงผมจะเมาสติไม่ค่อยดีเท่าไหร่

“ไอ้อัล..” ผมเรียกมันพร้อมกับเขย่าร่างที่ฟุบลงบนโต๊ะไปด้วย

“..อืม” มันปัดมือผมออก  แต่ผมก็กลับมาเขย่าตัวมันอีกครั้ง

“เชี้ยยอัล”

“เออ!!” มันค่อยๆลุกขึ้นนั่งมีอาการโอนเอนบางเพราะเมา  มันดื่มหนักกว่าผม

“กลับกานน”  มันพยักหน้ารับแล้วลุกขึ้น
 

พรึ่บ !
 

“เวร!!” ผมมองเพื่อนตัวเองที่มีสภาพทุเรสลูกตาที่สุดมันล้มลงไปนอนแหมะอยู่บนพื้น  ผมก็ต้องค่อยๆพยุงมันขึ้นนั่ง  พาดแขนมันบนคอพยุงลุกขึ้น

“อืออ” มันจะผลักผมออก  ไอ้ผมก็เมาไม่ต่างก็เซบ้างเล็กน้อยแต่ยังคงพยุงไม่ให้เรทั้งคู่ล้มลงไป

“หน๊ากกชิบ!” พอมาถึงหน้าผับ ผมก็มองว่าไอ้โบ๊ทมันจะมาเมื่อไร

“อึก ..อ้วกกก!” ไอ้ชิบหาย  ไอ้อัลมันดันผมออกแล้วล้มลงไปนั่งบนพื้นอ้วกแตก

อ้วกกก..

“อ้วกแหวะ..” ผมที่ลงไปนั่งข้างๆลูบหลังมันให้ได้อ้วกสบาย  แต่ตัวเองกลับจะอ้วกตามซะงั้น  ไอ้โบ๊ทแม่งช้าจริ๊งงงง  เดี๋ยวไอ้อัลก็อ้วกตายห่าพอดี  อนาถโคตร


“เฮ้ยๆๆไหงเป็นงี้วะ” ผมเงยหน้ามองเพื่อนที่เพิ่งมาถึง  มันมองผมสลับกับไอ้อัล

“เมิงมาดูมันดิ๊” ผมบอกพร้อมขยับออกจากไอ้เพื่อนที่อ้วกไม่หยุด

“เฮ้อออ  แดกหนักขนาดนี้มีเรื่องแน่ๆ” ไอ้โบ๊ทมันถอนหายใจก่อนจะนั่งลงลูบหลังไอ้อัลที่นั่งโงนเงนล้มแลมิล้มแลอยู่แบบนั้น

“...” ผมค่อยๆยืนขึ้น สลัดหัวสองสามที  มึนก็มึน

“ไหวไหมมึง แบบนี้ขับรถไม่ไหวหรอก  ไปรถกูส่วนรถมึงทิ้งไว้นี่คอยมาเอาทีหลัง” ผมพยักหน้า ยกมือโอเคบอกมัน  มันพยุงร่างไร้สติของไอ้อัลพาไปขึ้นรถที่จอดไม่ห่างจากทางเข้าผับมากนัก  ตอนนี้ก็ดึกมากแล้วรถราก็ไม่ค่อยจะมีซักเท่าไร


“นอนลงไปเลยมึง” ไอ้โบ๊ทมันจับไอ้อัลไปโยนลงบนเตียงแล้วกดไหล่เอาไว้ไม่ให้ไอ้อัลมันลุกขึ้นมา  เสียงถอนหายใจหนักๆของไอ้โบ๊ทเรียกความสนใจให้ผมหันไปมองมัน  มันเท้าเอวมองหน้าผม

“ไร?”

“กูจะยังไม่ถามว่าเป็นอะไรถึงแดกเหล้าหนักขนาดนี้กัน  มึงไปนอนพักซะมีไรก็เรียกกูละกันโซฟา” มันบอกพร้อมกับเดินหาววอดๆออกจากห้องไปนอนตรงส่วนห้องรับแขกแทน  ... ผมเข้าไปล้างหน้าล้างตาให้พอรู้สึกตื่นตัวขึ้นแล้วเดินออกไปหาไอ้โบ๊ทที่นอนตรงโซฟา

“...ไอ้โบ๊ท”

“อืม” มันครางรับเบาๆ  ผมเดินเข้าไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับโซฟาที่มันนอนอยู่  มันหันหน้ามามองเลิกคิ้วสงสัย

“เฮ้ออ  กูเลิกกับเมียแล้ว” ผมถอนหายใจก่อนบอกมัน

“ทำไม?” มันขมวดคิ้วสงสัย  คือมึงไม่ตกใจอะไรเลยหรอว่ะ  นี่เพื่อนโดนทิ้งนะเว้ย

“ก็...” ผมอึกอักที่จะตอบ  ไม่รู้จะพูดบอกมันยังไงว่าที่เลิกก็เพราะเรื่องในอดีตที่ผมได้เคยก่อไว้

“ไอ้อัลด้วยสินะ” มันลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิบนโซฟามองผม

“อืม”

“หึ  สมน้ำหน้าดีไหมวะ ฮ่ะๆ”  อะไรวะควรปลอบเพื่อนดิ  ไอ้นี่

“มึงหัวเราะเยาะกูหรอวะ  กูเจ็บจะตายห่าละไอ้เหี้ย!” ผมบอกมัน  มือก็กุมขมับตัวเอง

“แล้วทำอิท่าไหนถึงขนาดต้องเลิกกัน?”

“..มันเป็นเรื่องในอดีต  โว๊ยยย!!!” ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิดตัวเอง  ไม่น่าเกิดมาเลวเลยกู  ย้อนเวลากลับไปก็ไม่ได้ด้วย  เวรกรรมตามสนองกูรึไงวะ

“ใจเย็นดิวะ โวยวายไปก็เท่านั้น” ไอ้โบ๊ทมันยักไหล่ทำตัวสบายๆ จุดบุหรี่สูบชิวๆ

“เพื่อนเป็นแบบนี้มึงไม่เดือดไม่ร้อนบ้างหรอวะ” ผมถาม  หยิบบุหรี่ซองของไอ้โบ๊ทขึ้นมาจุดสูบคลายเครียดบ้าง

“มึงอกหักนิไม่ใช่กูทำไมกูต้องเดือดร้อน”

“เออกูเดือดร้อนเอง!” ผมว่าจบก็อัดบุหรี่เข้าปอดเต็มที่
 
“หึ”

“เออเยาะเย้ยกูไปเถอะมึง” แทนที่จะปลอบเพื่อนแม่งมาทำให้กูอารมณ์เสียหนักกว่าเก่า

“นาๆ  ตอนนี้หายเมาแล้วรึไงเถียงกูชัดถ้อยชัดคำชิบ”

“อืม  พอโอเคแล้ววะ ...เฮ้อออ”

“คิดมากทำไมวะ  เดี๋ยวก็หาใหม่ได้อย่างมึงแป๊บเดียวก็มีแฟน”

“ตีนดิ  ไม่เอาเว้ยกูรักพาสต้าคนเดียว”   

“หึๆ แล้วมึงจะทำยังไงต่อ” ทำไงต่อน่ะหรอ  ตอนนี้ยังคิดไม่ออกสมองมันตือไปหมด  ผมจึงส่ายหัวทำหน้าเป็นหมาหง่อย  ไอ้โบ๊ทมันดับบุหรี่แล้วล้มตัวลงนอนอีกครั้ง

“จะนอนแล้วหรอวะ  ไม่ฟังกูพูดก่อนหรอ” ผมถาม

“กูก็ฟังมึงพูดแล้วนี่ มึงอ่ะไปนอนไปกูง่วงชิบหายแล้ว” มันพูดทั้งๆที่หลับตา

“เออๆไปก็ได้ ชิ” ผมบอกแล้วลุกขึ้นจะเดินเข้าห้องนอน
 
“ถ้าอยากได้เขากลับคืนก็รีบๆหาทางทำอะไรนะ  ไม่งั้นโดนหมาตัวอื่นคาบไปไม่รู้ตัวนะเว้ย!” ไอ้โบ๊ทมันพูดขึ้น  คิดหรอว่าผมจะยอมให้พาสต้าไปเป็นของคนอื่นไม่มีทางหรอก  ยังไงผมก็ไม่มีทางปล่อยพาสต้าไปแน่...


“เออ!!!”

 
 

“พาสต้า!”

.

.

“พาสต้า!!!”

...พาสต้า

ผมได้แต่ตะโกนเรียกชื่อนี้นานนับหลายชั่วโมงเจ้าของชื่อก็ไม่คิดที่จะออกมาพบผมเลย  เหตุการณ์ที่ผับเมื่อคืนมันยังคงฉายชัด  ทั้งภาพและน้ำเสียงเย็นชาของอีกฝ่ายมันยังคงตราตรึงผมไว้ในใจ  มันจุกและเจ็บจนเกินบรรยาย..

“พาสต้า...ออกมาหน่อย”
 
ตอนนี้ผมกำลังเกาะประตูรั้วหน้าบ้านของอีกคน  ปากก็ตะโกนเรียนชื่ออยู่แบบนี้ทั้งวัน  ผมมาตั้งแต่เช้าตรู่จนตอนนี้ก็บ่ายโมงได้แล้ว  คนในบ้านก็ไม่ยอมโผล่หน้าออกมาให้เห็นเลย

“พาสต้า ..เมีย!!” ผมเขย่าประตูแรงๆ  พร้อมกับกดออดหน้าบ้านรัว

แกร๊กก !!   ประตูรั้วถูกเปิดออกจากฝีมือคนด้านใน

“เจ้าเดฟ”

“แม่สวัสดีครับ พาสต้าละครับ อยู่รึเปล่า  ผมโทรหาก็ไม่ติด  ส่งข้อความไปก็ไม่อ่าน  ไม่มีตอบกลับมาด้วย มะ..” ผมยกมือไหว้ทักทายท่านตามมารยาท พร้อมกับรัวคำถามใส่ท่านโดนไม่เว้นช่องว่าง

“ใจเย็นๆลูก  พาสต้าอยู่บ้านนี่แหละจ้ะ”

“แล้ว..”

“แม่ว่ากลับไปก่อนเถอะลูก  ตอนนี้พาสต้ายังไม่อยากพบเรา  อีกอย่างมายืนโดนแดดหลายชั่วโมงแล้วเดี๋ยวจะไม่สบายเอานะ”

“แต่ผมอยากเจอพาสต้า”

“แม่รู้  แต่ตอนนี้พาสต้าอยู่ในอารมณ์ที่ยังไม่พร้อมคุยนะ  ไว้ค่อยมาคุยกันอีกทีดีไหมจ้ะ” ท่านบอกผมพร้อมรอยยิ้มบาง ผมอึกอักเล็กน้อยก่อนที่จะยอมกลับตามที่ท่านบอก  เอาเป็นว่าวันนี้กลับไปตั้งหลักก่อนแล้วพรุ่งนี้คอยกลับมาใหม่  ผมเดินมาขึ้นรถที่จอดอยู่ไม่ห่าง  ก่อนขึ้นรถผมก็ชะเง้อคอมองห้องของพาสต้าเผื่อเจ้าตัวจะกำลังยืนมองอยู่  แต่มันกลับไร้วี่แวว

“เฮ้อออ” ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายเมื่อเข้ามานั่งในรถแต่ก็ยังไม่ได้ออกรถไปไหน    ผมนั่งอยู่ซักพักจึงตัดสินใจกลับคอนโดก่อนดีกว่า  อย่างที่แม่บอกตอนนี้พาสต้าคงยังไม่พร้อมที่จะคุยหรืออาจจะ...ไม่คุยเลย

 

-พาสต้า-

 “..พาสต้า”

“พาสต้า!!!”

เสียงตะโกนเรียกชื่อผมดังแว่วเข้ามาถึงภายในบ้าน  ไม่ต้องออกไปดูก็รู้ว่าใคร  เพราะมันมาตะโกนเรียกตั้งแต่เช้าจนตอนนี้ก็ปาเข้าไปบ่ายแล้ว  คิดว่าจะยอมแพ้ไปตั้งแต่สิบโมงเช้าซะอีก

“พาสต้า...ออกมาหน่อย”  ไม่ออกเว้ยไสหัวไปไหนก็ไปเลยไป  รำคาญ!!

“จะไม่ออกไปดูพี่เขาหน่อยหรอลูก”  แม่ยกขนมหวานที่พึ่งทำเสร็จใหม่ๆมาให้ผมที่นั่งดูสารคดี

“ปล่อยมันเถอะแม่  อยากทำอะไรก็ช่าง” ผมบอกแม่แล้วกินขนมหวานตรงหน้า

“ไม่สงสารพี่เขาหรอ”

“สงสารมันทำไม  มันทำตัวมันเองนะแม่” ผมหันไปมองแม่ทันที  ไปสงสารคนแบบมันทำไมสมควรแล้วนิ

“แล้วทะเลาะกันเรื่องอะไรละหืม  ถึงขนาดต้องเลิกกัน”  แม่เข้ามานั่งข้างผมแล้วก็ลูบหัวผมเบาๆ  ผมเข้าไปกอดแม่ซบลงตรงอกท่าน  แม่ยังคงลูบหัวผมอย่างเอ็นดู

“ไม่มีอะไรหรอกแม่  เรื่องไร้สาระน่ะ” ผมบอกกอดท่านแน่น

“งั้นไม่ลองเปิดใจคุยกันดีๆ ปรับความเข้าใจกัน..”

“อย่าดีกว่าครับ  ปล่อยให้มันจบลงดีแล้วแม่” ผมพูดเสียงแผ่ว

“พาสต้า ..เมีย!!”

เสียงมันก็ยังคงดังมาไม่ขาดสาย  มีรัวออดหน้าบ้านจนผมรู้สึกรำคาญจริงๆแล้ว  แม่มองหน้าผมแล้วถอนหายใจออกมา

“งั้นแม่จะไปดูเจ้าเดฟหน่อยแล้วกัน”

“แม่ไล่มันให้ไปไกลๆด้วยนะ” ผมบอก

“ลูกคนนี้นี่” แม่ว่าแล้วก็เดินออกไป  ผมชะเง้อคอมองตามหลังแม่จนหลังของแม่หายพ้นสายตา

“นั่งเหม่ออะไรจ้ะลูกชาย”  ผมที่กำลังคิดอะไรเพลินๆก็สะดุ้งเมื่อแม่จับไหล่ของผม

“เปล่า”

“แม่ไล่เจ้าเดฟกลับไปให้แล้วนะ”

“แม่ไล่มันไปจริงดิ” ผมถามแม่แทบจะทันที

“ก็บอกให้ไล่ไปไม่ใช่รึไง หึๆ” แม่พูดล้อๆ

“ก็...ไล่ไปก็ดีแล้วนิ!”

“เฮ้อออ..” แม่ถอนหายใจหนักๆเมื่อนั่งลงข้างๆผม  ท่านยกมือลูบหัวผมเบาๆ  “ลูกยังรักเดฟอยู่รึเปล่า”

“ไม่  ผมไม่ได้รักมัน”

“โกหก” แม่พูดแทรกขึ้นมา “โกหกมันไม่ดีนะ หืม”

“เรื่องจริงน๊าแม่”

“โอเคๆๆจริงก็จริง”
 
“..อือ”

“แม่ไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าเดฟไปทำอะไรไว้ให้เราโกรธขนาดนี้  แต่แม่คิดว่าการให้อภัยกันเป็นสิ่งหนึ่งที่จะประคองความรักเราไว้ได้นะ  โกรธกัน  ทะเลาะกันมันก็เป็นเรื่องปกติของคู่รักละเนอะ  คิดดีๆนะพาสต้า  มีอะไรก็ค่อยๆคุยกัน”

“...” ผมไม่ได้ตอบ  ทุกคำพูดผมคิดตามแม่ตลอดแต่ว่า  เรื่องนี้มันเกินที่จะอภัยได้  แล้วเรื่องที่เคยเกิดในอดีตผมก็ไม่กล้าจะบอกแม่ด้วย  ถ้าผมบอกแม่ไปแม่จะเกลียดมันหรือเปล่า  แม่ยังจะยอมบอกว่าให้อภัยได้อยู่รึเปล่า

 

ก็อกๆ

“พาสต้า”

“...”
 

ก็อกๆ

“พาสต้า..”

เสียงเคาะประตูดังลอดเข้ามาในห้อง  ผมสะลึมสะลือลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงคานรับกลับไป  เพราะเป็นแม่ที่เคาะเรียก

“..ครับ”

“แม่จะออกไปข้างนอก  ตื่นแล้วก็มารดน้ำต้นไม้ให้แม่ด้วยนะ”

“คร้าบบบบบบบ” ผมมองดูนาฬิกาตั้งโต๊ะบนหัวเตียงบอกเวลาหกโมงเช้า  อ่า..ยังนอนไม่อิ่มเลยแต่ก็ต้องลุกไปรถน้ำต้นไม้  หากนอนต่อมีหวังต้นไม้คงไม่ได้รับน้ำแน่

ผมลุกขึ้นไปล้างหน้าแปรงฟันในห้องน้ำ  หยิบโทรศัพท์มาปิดดูสายที่ไม่ได้รับนับร้อย  ข้อความอีกมาก  แล้วไหนจะแจ้งเตือนไลน์อีกหลายร้อยข้อความ  ผมหยิบสายหูฟังเสียบหูเปิดเพลงเดินลงมายังชั้นล่าง  แม่คงออกไปแล้วสินะ  ผมเปิดประตูบ้านออกกว้างเพื่อรับลมยามเช้าตอนนี้แดดยังไม่มี  อากาศก็กำลังดี  เดินฮัมเพลงออกจากบ้านเปิดน้ำรดน้ำต้นไม้  ดอกไม้  ที่คุณแม่ท่านปลูกปักรักษาไว้มากกว่าลูกตัวเอง ฮ่ะๆ  ต้องรดให้ชุ่มๆ


Rrrrrrr Rrrrrrr

เสียงริงโทนโทรศัพท์ดังขึ้นเพลงถูกหยุดอัตโนมัตผมกดปุ่มรับสายแล้วกรอกเสียงลงไป

“ว่าไง  บ้านแค่นี้ไม่เดินมาวะ” ผมทักขึ้นเพราะเสียงที่ตั้งไว้เป็นเบอร์โยชิ  ไม่ต้องดูสายที่โทรมาก็ได้  มือก็รดต้นนู้นต้นนี่ไปเรื่อยๆ

(ตอนนี้กูอยู่หน้าบ้านมึงเนี้ย)
 
“อ้าว ทำไมไม่กดออด?”

(กดแล้วเหอะ  ไม่ได้ยินหรือไง)  ผมไม่ได้ยินอ่ะ  สงสัยคงจะเป็นเพราะใส่หูฟังฟังเพลง

“เอออเดี๋ยวไปเปิดให้  แค่นี้เปลืองตังกู”

(สัส!) ผมกดตัดสายแล้ววางสายยางที่ใส่รดน้ำต้นไม้ทิ้งไว้กับพื้นหญ้าก่อนที่จเดินไปเปิดประตูหน้าบ้าน

 
แกร๊กก

“เชิญครับ..” ผมปิดประตูแล้วเบี่ยงตัวหลบให้อีกคนได้เดินเข้ามาในบ้าน

“ตื่นเช้าก็เป็นนะมึง”  นั่นปาก  เข้ามาแล้วปากดีนักนะ

“มึงไม่เช้าเลย  มาทำอะไรบ้านกูแต่เช้าเนี้ย” ผมบอก  เดินนำมันมาในสวนหน้าบ้านที่เดิม  หยิบสายยางรถน้ำต้นไม้ที่ค้างต่อ

“ก็ไม่รู้ดิ  มันตื่นมาเอง”

“ถามจริงได้นอนบ้างยังเหอะ  ดูตาดิบวมก็บวม  คล้ำอีก  ... เลิกร้องไห้ได้แล้วมึง” ผมบอกเพราะทราบดีว่าสาเหตุมาจากอะไร

“ไม่ได้ร้องซักหน่อย”มันตอบ  ใครเชื่อก็บ้าแล้ว

“ว่าแต่มึงเถอะตาก็บวมเหมือนกัน  เป็นไรวะ”

“เปล่า” ผมเฉไฉที่จะตอบ

“หรอ  เหมือนคนร้องไห้เลยเนอะ” มันยังคงพูดต่อ

“เฮ้ออ..กูเลิกกับไอ้เดฟแล้ว”

“ห้ะ?!?”  ไม่เห็นต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้นเลย

“ก็อยากที่บอก..” ผมไหวไหล่ไม่สนใจในสิ่งที่บอกไปเดินไปปิดน้ำ  เพราะคิดว่ารดครบหมดแล้วทุกต้น  โยชิก็เดินตามมาด้วย

“ทำไมวะหรือว่าเพราะเรื่องของกู”  มันพูดเสียงอ่อนทำหน้าสำนึกผิด

“มันทำมึงไว้นะเว้ย  อีกอย่างกูก็คบกับคนที่ทำเพื่อนกูไม่ได้หรอก...มึงจะให้กูมีความสุขได้ไงวะในเมื่อเพื่อนตัวเองต้องทุกข์” ผมบอกพร้อมกับยีหัวมัน  ยิ้มบางให้กำลังใจมันที่ทำหน้าซึม

“พาสต้ากูขอโทษนะ” มันเข้ามากอดผม  ผมเองก็กอดตอบมันตบหลังเบาๆเหมือนให้กำลังใจ

“เออน่ามันจบแล้ว  มึงไม่ต้องขอโทษหรอกกูไม่โกรธอะไร”

“อืม  เพราะเรื่องนี้นี่เองทำให้มึงตาบวม ฮ่ะๆ” เออยุ่งจริง

“เรื่องของกู”  ผมผลักหัวมันไปที มันหัวเราะเล็กน้อย  แค่นี้ก็ดีแล้วละ  เห็นมันยิ้มได้ซักนิดก็ดี

 “พาสต้า!!”


ออดด !!

เสียงออดดังขึ้น  โยชิหัมามองหน้าผมว่าจะเอายังไงเพราะรู้ว่าเป็นใคร  ผมได้แต่ถอนหายใจเซ็งๆ  มันคงฟังไม่รู้เรื่องสินะ  ขนาดบอกให้แม่ไล่มันไปแล้วแท้ๆตั้งแต่เมื่อวาน  วันนี้มันยังดั้นด้นกลับมาอีกหรอแถมมาเช้าอีก

“มึงจะไม่ไปดูพี่เขาหน่อยหรอวะ”

“ปล่อยมันไปเถอะ  เดี๋ยวมันก็หยุดเอง” ผมบอกพร้อมกับเดินนำโยชิเข้าบ้าน

.

.

วันถัดมา...

 

“พวกมึงจะไปไหนต่อป่าววะ”

“ไม่วะ  กูว่าจะกลับบ้าน” พอเลิกคลาสเราก็ว่าจะพากันแยกย้ายกันกลับ  ผมจึงบอกกับเพื่อนที่เรียนห้องเดียวกันว่าจะกลับเลย  ถ้าปกติพอเลิกคลาสแล้วเราจะนัดกันไปเดินเที่ยวเล่นก่อน  แต่วันนี้ผมขอบ่าย

“มึงไปไหมไอ้โย” พอผมตอบปฎิเสธมันก็หันไปหาโยชิที่กดๆโทรศัพท์อยู่  โยชิเงยหน้ามองเพื่อนอีกคนก่อนจะส่ายหน้า

“วันนี้กูมีนัดกับพี่วะ”  มันตอบ  หลังจากนั้นเราก็แยกย้ายกันไป  มีผมกับโยชิที่เดินไปทางเดียวกัน

“ให้กูไปรอเป็นเพื่อนไหมวะ” ผมถาม

“มึงกลับบ้านไปพักผ่อนเถอะวันนี้วิชาก็หนัก”  มันทำมือไล่ผมเหมือนหมา  ผมก็เออออแล้วบอกลาแยกกันตรงหน้ามอเพราะแท็กซี่ที่ว่างมาพอดี  ผมโบกมือลามันก่อนจะขึ้นรถกลับมาบ้าน


 

-เดฟ-


วันนี้ผมก็มาที่บ้านของพาสต้าเหมือนเคย  วันนี้ผมมีเรียนแค่ครึ่งวันพอเลิกคลาสก็รีบบึ่งมาที่นี่ถึงแม้ว่าจะรู้ตารางเรียนว่าวันนี้พาสต้าเรียนเต็มวันก็เถอะ  ต่อให้ผมไปหาที่ห้องเรียนพาสต้าก็ไม่ออกมาพบผมหรอก  คงจะหลีกเลี่ยงไปอีก  แต่ถ้ามารอที่นี้ยังไงซะก็ต้องได้เจอ  ผมรอเวลาที่พาสต้าจะกลับมาบ้านเพราะหมดคาบเรียนสุดท้ายแล้ว  ผมยืนพิงรถรออย่างใจจดใจจ่อ  มองดูนาฬิกาสลับกับชะเง้อมองทาง  จนมีแท็กซี่คันหนึ่งมาจอดอย่ใกล้ๆ  ผมรีบเด้งตัวยืนตัวตรงแล้วก็เป็นอย่างที่คิดเมื่อคนที่ผมต้องการพบมาอยู่ตรงหน้าแล้ว  ผมไม่รอช้ารีบเข้าไปหา

“พาสต้า!!” ผมเรียกชื่อพาสต้าด้วยความดีใจ

“...” อีกฝ่ายไม่ตอบรับแต่กลับเดินหนี

“คุยกันก่อนได้ไหม” ผมพูดอย่างอ้อนวอน

“เฮ้ออ  กลับไปเถอะ” พาสต้าพูดขึ้นทั้งๆที่ไม่มองหน้าผมเลย  เพียงแค่หยิบกุญแจจะเปิดประตูบ้านเท่านั้น

“ไม่! จนกว่าจะคุยกันให้รู้เรื่อง”

“น่าจะเข้าใจตั้งแต่คืนนั้นแล้วนะ  กูว่ากูบอกมึงชัดเจนแล้วด้วย” น้ำเสียงและสายตาเย็นชาตอกกลับมา

“กูรู้ว่ากูเคยทำไม่ดี  มันเป็นเรื่องในอดีต มะ..”

“เรื่องในอดีต!?! เหอะ ใช่เพราะว่ามันเป็นเรื่องในอดีตไงกูถึงรับไม่ได้  เพราะเรื่องในอดีตที่มึงว่าเนี้ยมันเรื่องเพื่อนกู  ถ้ากูรู้ว่าคนที่ทำเป็นมึงน่ะกูจะไม่มีวันคบกับคนอย่างมึงหรอกไอ้เดฟ!” เสียงตะคอกและสายตาแข็งกร้าวจ้องผมอย่างเลือดเย็น

“เมียกูขอโทษ..” ผมก้มหน้าพูดเสียงแผ่ว
 
“กูไม่ใช่เมียมึง!”

“...พาสต้า”

“ไสหัวไปซะ  กูเคยบอกแล้วไงว่าอย่ามาให้กูเห็นหน้าไม่งั้นกูฆ่ามึงตายแน่”

“...” ผมไม่ตอบทำเยงแค่ส่ายหน้าช้าๆ

“รีบกลับไปซะก่อนที่กูจะหมดความอดทน..” อีกคนข่มตาไว้  กำมือแน่นเหมือนกำลังระงับอารมณืที่เตรียมจะประทุออกมาหากยังไปสะกิดต่อมต่อ

“ให้โอกาสกูได้แก้ตัวนะพาสต้า” ผมเข้าไปจับมืออีกฝ่าย แต่ก็ถูกสะบัดทิ้ง

“กูไม่ทนแล้ว!!”  พาสต้าตะคอกใส่หน้าผมพร้อมกับรัวมือทุบบนตัวผม ผมยอมให้อีกฝ่ายทำร้ายร่างกายผมจนพอใจ  ถึงจะเจ็บแต่ผมก็จะทน  ทำให้สาแก่ใจเลยนะพาสต้าถึงมันจะทดแทนในสิ่งที่กูเคยทำไว้ไม่ได้  ผมได้แต่คิดในใจ  มองอีกคนที่ทุบผมโดยไม่สนใจว่าแรงจะเหือดหายไปซักแค่ไหน

“ฮึก ! ฮืออ” เสียงสะอื้นหลุดออกมาให้ผมได้ยิน  พาสต้ากำลังร้องไห้ แรงที่ทุบตีบนตัวผมก็ค่อยๆเบาลง

“..พาสต้า” ผมเรียกชื่ออีกคนแผ่วเบา
 
“อึก  ไอ้ชั่ว ไอ้เลว ฮืออ ไปตายที่ไหนก็ไป”

“...”

“กูไม่อยาก ฮืออ เจอมึง ไอ้เหี้ย!”

“...” แรงที่ตีผมค่อยๆเบาลงจนมันหยุด  พาสต้าก้มหน้าร้องไห้ตรงอกผม  ผมจึงดึงมันมากอดไว้

“กูไม่ได้รักมึงแล้ว  ฮึก”

“ไม่รักกูจริงๆหรอเมีย” ผมพูดกระซิบข้างหูของอีกฝ่าย  พาสต้าส่ายหน้าปล่อยโฮออกมาจนผมเองยังนึกตกใจ   นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นพาสต้าร้องไห้หนักขนาดนี้
 

“อึก ปล่อย!!” พาสต้าดันอกผมให้ออกห่าง

“กูขอโทษ ...ดีกันนะพาสต้า  กลับมาคบกันเหมือนเดิม  กูอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีมึง” ผมบอกด้วยน้ำเสียงเว้าวอน  พาสต้าหันหน้าหนียกมือขึ้นปาดน้ำตาตัวเอง
 

“ฮึก”

“...ได้ไหมพาสต้า” ผมถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง  อีกฝ่ายหันมามองสบตากับผม  ดวงตาสั่นไหวเอ่อไปด้วยก้อนน้ำตาที่เตรียมไหลออกมาทุกเมื่อ  ผมเช็ดน้ำตาบนใบหน้าให้อีกฝ่ายเบาๆ  พาสต้าเม้มปากแน่นแถมยังขมวดคิ้วเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่  ผมกะจะถามแต่เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน

“เออมีไร?” ผมกดรัยสายเมื่อมองดูรายชื่อว่าเป็นใคร  ไอ้โบ๊ทโทรมาทำไมตอนนี้วะ  ผมจับแขนอีกคนไว้เพราะเห็นว่าจะเข้าบ้าน  ทั้งๆที่พยายามจะสลัดให้หลุดแต่ผมก็กำไว้แน่น

(มึงอยู่ไหน  รีบมาโรงบาลเลยไอ้เหี้ย!)โรงบาล?

“โรงบาล?” ผมขมวดคิ้วมุน

(เออดิ  ไอ้เหี้ยอัลโดนรถชนตอนนี้อยู่ห้องฉุกเฉินอยู่เลย) น้ำเสียงร้อนรนของไอ้โบ๊ททำให้ผมรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแน่ๆ

“เออโรงบาลไหน?” ผมถามมันอย่างร้อนรน

(โรงบาล...  รีบมานะเว้ย!)

“เออๆจะไปเดี๋ยวนี้แหละ” ผมกำลังจะกดวางสายก็มีเสียงดังแทรกลอดเข้ามาในสาย

(โยชิ  โยชิ! หมอครับมีคนเป็นลม !! ... ไอ้คิมไปเรียกหมอเร็ว!!)


ติ๊ด ! ผมกดวางสายแล้วหันมามองหน้าพาสต้าที่มองหน้าผมอยู่

“ไปด้วยกันหน่อย” ผมบอกด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“ไม่ไป ปล่อย!”

“โยชิอยู่โรงพยาบาล” พาสต้าชะงักกึกทันที

“ไอ้โยเป็นอะไรทำไมถึงอยู่โรงบาล  พวกมึงทำอะไรเพื่อนกูห้ะ!!” พาสต้าตะคอกใส่ผมปาวๆ

“ไม่รู้ว่าเป็นอะไรมากรึเปล่า แต่ที่แน่ๆเพื่อนกูเข้าห้องฉุกเฉินอยู่ตอนนี้"
 

“มึงว่าไงนะ!” พาสต้าถามอย่างไม่แน่ใจ

“จะไปด้วยกันไหม?” ผมถามอีกรอบ  อยากจะไปให้ถึงโรงบาลเร็วๆแล้ว

“ไปดิ  กูจะไปดูเพื่อนกู!” พาสต้าตอบแล้วเดินนำไปที่รถผมทันที  ผมเองก็ได้แต่ภาวนาอย่าให้เพื่อนผมเป็นอะไรมากเลย  ... คงจะเป็นเวรกรรมที่เคยทำไว้ซินะ  ไปทำเขาไว้เยอะเลยสิถึงได้โดนขนาดนี้   ทั้งผมและไอ้อัล..

 
 

TBC.
[/color]

ออฟไลน์ Cencer

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0




เสียงไซเรนดังขึ้นกึกก้องทั่วถนนตามสายที่มุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลด้วยความรวดเร็ว ภายในรถมีผู้ชายร่างหนานอนนิ่งสนิทอยู่ ตามร่างกาย เสื้อผ้า หน้าผม ก็เปรอะเต็มไปด้วยเลือดสีแดงสดที่ตอนนี้ทีมพยาบาลได้ทำการห้ามเลือดเอาไว้ก่อนที่จะเสียเลือดมากไปกว่านี้ ...

“ฮือออ” เสียงร้องไห้ดังลอดท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดภายในรถ เหล่าพยาบาลกำลังปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้กับร่างที่นอนนิ่ง มือบางจับบีบมือหนาไว้แน่น คราบเลือดเปรอะเปื้อนตามตัวเต็มไปหมด ใบหน้าที่เปื้อนด้วยคราบเลือดในตอนแรกถูกเช็ดทำความสะอาดออกพร้อมกับถูกทำแผลตรงส่วนหัวที่แตกถูกแปะด้วยผ้าก็อต

“อึก พี่อย่าเป็นอะไรนะ ฮืออ” เสียงสะอื้นฮักดังตลอดทางจนถึงโรงพยาบาล

รถจอดหน้าโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง พอประตูรถถูกเปิดออกเหล่าบุรุษพยาบาลต่างพากันกรู่เข้ามาช่วยกันยกคนไข้ ทีมแพทย์เข้ามาสอบถามอาการของคนไข้และบอกให้บุรุษพยาบาลเข็นคนไข้ไปยังห้องผ่าตัดที่เตรียมไว้ตั้งแต่ที่มีการแจ้งเข้ามาว่าเกิดอุบัติเหตุขึ้นต้องทำการผ่าตัดด่วน

“พี่ต้องปลอดภัยๆ ๆ” ร่างบางวิ่งตามรถที่เข็นเข้าไปในแผนกฉุกเฉิน พร้อมกับพูดคำเดิมซ้ำๆ จนรถเข็นผ่านเข้าไปภายในห้องผ่าตัดซึ่งญาติหรือใครก็ไม่สามารถเข้าไปได้

“เข้าไม่ได้นะคะ” พยาบาลบอก

“ฮืออ ช่วยเขาด้วยนะครับ ช่วยเขาด้วย” น้ำเสียงขอร้องอ้อนวอนเอ่ยบอก พยาบาลได้แต่พยักหน้าแล้วก็ปิดประตูจากไป แผนกฉุกเฉินเป็นแผนกที่ทำงานหนักที่สุด ในแต่ละวันจะมีอุบัติเหตุเข้ามาให้รักษาเป็นจำนวนมากแทบจะไม่ได้พักผ่อนกันเลยทีเดียว

ภายในห้องผ่าตัดทีมแพทย์กำลังทำการผ่าตัดคนไข้ที่เพิ่งประสบอุบัติเหตุรถชนมา ภายในห้องผ่าตัดตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดเพราะร่างที่นอนนิ่งนี้น่าเป็นห่วงยิ่งนักและยังโดนชนเข้าในส่วนที่เป็นจุดสำคัญทั้งนั้น

ตื้ดดๆ ๆ

“ชีพจรลดลงค่ะคุณหมอ! ”

“หมอค่ะ คนไข้หัวใจหยุดเต้นแล้วค่ะ!! ” คุณหมอมองจอที่แสดงตัวเลขชีพจรที่ตอนนี้กราฟการเต้นของหัวใจเป็นขีดยาวๆ

“...200จูล! ”





-โบ๊ท-

“มีคนโดนรถชนหน้ามอเราว่ะแกน่ากลัวมาก ฉันเห็นมากับตาเลย”

“จริงดิแก”

“จริงแก รถพยาบาลพึ่งไปเมื่อครู่นี่เอง...เออเห็นว่าเป็นพี่ปีสอง เรียนวิศวะอ่ะ”

เสียงสนทนาดังแว่วให้ได้ยิน ผมหยุดยืนฟังบทสนทนาจับใจความได้ไม่มาก

“วิศวะ ปีสอง” ผมพึมพำกับตัวเอง มันก็น่าจะเป็นเพื่อนรวมชั้นผมดิว่ะใครว่ะ?

Rrrrr Rrrrrr

“เออ..” ผมกรอกเสียงลงในสายเมื่อมองดูชื่อคนที่โทรมาเป็นใคร

(มึงอยู่ไหนไอ้โบ๊ท! มึงรู้เรื่องรึยัง! ) น้ำเสียงร้อนรนของอีกฝ่ายทำให้ผมต้องขมวดคิ้วตาม

“กูอยู่มอเพิ่งส่งงานเสร็จ แล้วมีเรื่องอะไรว่ะ” ผมถาม

(ก็ไอ้เชี้ยอัลแม่งโดนรถชนหน้ามอสิมึง นี่มึงอยู่มหาลัยไม่รู้เรื่องไรเลยรึไงว่ะ!! ” เสียงไอ้เอตะคอกกลับมา

“จริงดิมึง กูก็พึ่งไดยินเมื่อกี้ แล้วมันเป็นไรมากป่ะว่ะ! ” ผมรีบถามกลับด้วยน้ำเสียงร้อนรน บอกตรงๆ ตกใจเหมือนกัน ใครจะไปคิดว่าเป็นเพื่อนสนิทตัวเองว่ะ

(กูเองก็ยังไม่รู้วะ นี่ก็กำลังจะรีบไปโรง'บาลเหมือนกัน)

“เออแล้วมึงรู้รึเปล่าว่าโรง'บาลไหน?!? ” ผมถามพร้อมกับวิ่งไปยังรถที่จอดเทียบถนนหน้าตึกอยู่ไม่ไกล

(โรง'บาล... แล้วเจอกันนะเว้ย! )

“เออ!! ”

ผมปลดล็อกตัวรถสอดแทรกตัวเข้าไปสตาร์ทรถแล้วรีบบึ่งออกไปยังสถานที่ที่ได้ทราบจากเพื่อนทันที ใจก็เป็นห่วงเพื่อนว่าเป็นตายร้ายดียังไง แล้วจู่ๆ ทำไมมันถึงได้โดนรถชนเข้าได้ ก็ไหนมันบอกว่าจะไปหาโยชิไง ... ๆ ม่นานผมก็ขับรถมาจอดที่ลานจอดรถของโรงพยาบาลที่เพื่อนผมกำลังรักษาตัวอยู่ ผมปิดล็อกรถแล้วรีบวิ่งเข้าไปในโรงพยาบาลแทบทันที มือก็กดต่อสายหาเพื่อนที่คาดว่าน่าจะมาถึงก่อนผมแล้ว

“เออมึงอยู่ไหนกูอยู่โรง'บาลแล้ว”

(แผนกฉุกเฉินเว้ย รีบมาๆ นะมึง แค่นี้! )

“ขอโทษนะครับแผนกฉุกเฉินอยู่ตรงไหนครับ” เมื่อผมไม่ทราบว่าแผนกฉุกเฉินนั่นอยู่ตรงส่วนใดของโรง'บาลผมจึงถามพยาบาลแถวนั้น

“แผนกฉุกเฉินหรอค่ะ งั้นเดี๋ยวดิฉันพาไปค่ะ”

“ขอบคุณครับ” ผมบอกขอบคุณและเดินตามพยาบาลไป พอมาถึงแผนกฉุกเฉินผมเห็นเพื่อนผมสองคนกำลังทำหน้าเครียดกันอยู่และ...โยชิ (? )

“เชี้ยอัลเป็นไงบ้างวะมึง” ผมถามเพื่อนอย่างร้อนรน มันหันมามองหน้าผมแล้วส่ายหน้า คงกำลังอยู่ในระหว่างการผ่าตัดสินะ

“ไอ้โบ๊ทมึงมาก็ดีแล้วบอกให้น้องมันมานั่งเหอะว่ะ” ไอ้เอมันบอกให้ผมไปพูดกับโยชิให้มานั่งบนเก้าอี้ที่พวกผมนั่งอยู่

ผมมองดูน้องมันเกาะบานประตูหน้าห้องฉุกเฉินอย่างใจจดใจจ่อ เสียงร้องไห้สะอื้นขึ้นให้ได้ยินเบาๆ โยชิยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกลวกๆ สายตาก็ชะเง้อมองช่องกระจกเล็กๆ ของประตู

“แล้วทำไมมึงไม่ไปบอกน้องเองว่ะ” ผมถามมัน

“กูบอกแล้วแต่น้องไม่ฟังว่ะ เอาแต่บอกว่าจะอยู่ตรงนี้ๆ” ไอ้คิมบอกพร้อมกับถอนหายใจ มันเองคงจนปัญญาเหมือนกัน

“เออพวกกูพูดแล้วนะมึง น้องไม่ยอมอีกอย่างน้องเองก็บาดเจ็บเหมือนกัน”

“แล้วถ้ากูไปพูดน้องจะฟังหรอว่ะ”

“ลองดู” มันสองตัวพยักพเยิดหน้าให้ทำ

“เออ..แล้วมีใครโทรหาไอ้เดฟยัง”

“ยังกำลังจะโทร”

“เออรีบโทรบอกแม่งละ! ” ผมบอกมันแล้วสาวเท้าเดินเข้าไปหารุ่นน้องที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแฟนเพื่อน ถึงแม้ตอนนี้สถานะจะไม่ใช่แฟนแล้วก็ตาม

“ฮึก อย่าเป็นอะไรนะ ฮืออ ผมขอโทษ”

“พี่ครับอย่าเป็นอะไรนะ ฮึก”

พอเข้าใกล้ตัวน้องผมก็ได้ยินเสียงสะอื้นชัดเจนพร้อมกับเสียงพึมพำกับตัวเองเบาๆ โยชิบีบมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน เหมือนกำลังภาวนาอะไรสักอย่าง ผมเดินเข้าไปเตะไหล่น้องเบาๆ น้องมันหันหน้ามามองผมเล็กน้อยก่อนที่จะหันไปมองบานประตูอีกครั้ง

“มายืนทำอะไรตรงนี้ ไปนั่งรอหมอดีกว่านะ” ผมบอก น้องมันส่ายหน้ารัว

“อึก ไม่เอาผมจะอยู่ตรงนี้ ฮืออ พี่เขาจะไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม” ใบหน้าซีดหันมาถามผม ดวงตาแดงก่ำที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาจ้องมองผมอย่างต้องการคำตอบ

“มันไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก มันแข็งแรงจะตาย” ผมบอกกับโยชิ

“จะ จริงหรอครับ ฮืออ เขาจะไม่ตายใช่ไหมพี่โบ๊ท พี่เขาจะไม่ตะ...”

“ไม่ต้องห่วงหรอก ถึงมือหมอแล้วไปนั่งพักผ่อนเถอะนะ เราเองต่างหากที่จะไม่สบายเอา”

“ฮึก ผมจะรอดูอาการเขาตรงนี้ ผมเป็นคนทำให้เขาเป็นแบบนี้ ฮืออ” ผมไม่รู้ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นมาอย่างไรแต่ตอนนี้ผมอยากพาน้องไปนั่งพักก่อน ทั้งบาดเจ็บมา ไหนจะมาร้องไห้ ยืนรอหน้าห้องผ่าตัดแบบนี้อีก มีหวังได้เป็นลมแน่ ครั้นจะถามเรื่องราวเลยก็กระไรอยู่ ให้น้องได้สงบจิตสงบใจก่อนแล้วไหนจะรอดูว่าเพื่อนผมจะปลอดภัยดีหรือเปล่าอีก

“ใจเย็นๆ นะ ถ้าเราเป็นอะไรไปอีกคนมันจะยากนะครับ”

“ฮึก ฮือออ ผะ ผมไม่เป็นไร” น้ำเสียงแหบพร่าตอบกลับมา ทำไงดีว่ะ น้องก็ไม่ยอมทำตามที่ผมบอกดื้อแต่จะอยู่หน้าประตูอย่างเดียว จะลากไปก็ไม่ใช่ เฮ้ออ ผมควรทำไงดีว่ะ

“ฮึก ฮือออ” ผมหันกลับไปมองเพื่อนสองคนด้านหลังมันกำลังโทรศัพท์หาเพื่อนและก็คงจะเป็นครอบครัวของไอ้คนที่เจ็บอยู่เช่นกัน

ตุ๊บ!

เฮ้ย!! ผมอุทานขึ้นในใจหันกลับไปมองเพื่อนแปบเดียวเอง พอได้ยินเสียงเหมือนมีสิ่งของตกกระทบบนพื้นทำให้ผมต้องรีบหันมามอง

“โยชิ!!! ” ผมรีบเข้าไปประคองร่างของรุ่นน้องขึ้น พร้อมกับตะโกนเรียกชื่อ

“โยชิ” ผมตบหน้าน้องเบาๆ เอาแล้วไงร่างกายคงไม่ไหวแล้ว

“หมอครับมีคนเป็นลม!! ” ผมตะโกนอยู่แบบนั้น ไม่รู้ว่าจะมีหมอพยาบาลอะไรแถวนั้นหรือเปล่า

“เกิดไรขึ้น” ไอ้เอเป็นคนเข้ามาถาม มันทำหน้าตกใจเมื่อเห็นโยชินอนหลับในอ้อมแขนผม

“เป็นลมว่ะ...ไอ้คิมไปเรียกหมอเร็ว!! ” ผมตอบไอ้เอแล้วหันไปตะโกนบอกไอ้คิมให้รีบไปตามหมอมา เพราะหากเป็นอะไรหนักขึ้นมาอีกคนจะยุ่ง แค่ตอนนี้ก็เครียดพอแรงแล้ว

“ไอ้คิมมึงอยู่ดูน้องนะ กูกับไอ้เอจะไปรอดูอาการไอ้อัลหน้าห้อง”

“อืม รู้อาการมันแล้วรีบบอกกูละ” ผมพยักหน้าแล้วเดินไปยังที่เดิม ตอนนี้ให้ไอ้เอรอดูอาการคนเดียว

“ไอ้อัลละๆ ๆ ๆ” ไอ้เดฟถลาเข้ามาหาผมกับไอ้เอมันเขย่าตัวผมสลับกับไอ้เอไปมา

“ใจเย็นก่อนมึง” ผมบอก

“จะให้กูเย็นได้ไงว่ะ มันจะตายไหมว่ะ! ” ไอ้เดฟมันเดินไปเดินมา

“ไอ้โย ตอนนี้เพื่อนกูอยู่ไหน!! ” พาสต้าถามอย่างร้อนรน

“อยู่ห้องพักคนไข้กับไอ้คิม”

“มันเป็นอะไร พวกมึงทำอะไรมันห้ะ! ” พาสต้ามันเข้ามากระชากคอเสื้อผม

“เฮ้ยๆ กูเปล่าโยชิแค่เป็นลม” ผมบอกเอามือมันออก มันพ่นลมหายใจออกมาก่อนที่จะเดินดิ่งไปหาเพื่อนตัวเอง

“ใจเย็นเว้ยไอ้เดฟ ไอ้อัลมันไม่ตายง่ายๆ หรอก” ผมบอกมัน มันทำหน้าเครียดหนักกว่าเก่า ผมเองก็เป็นห่วงไม่ต่างจากมันหรอก นี่ก็นานแล้วทำไมหมอถึงยังไม่ออกมาอีกว่ะ

“เดฟลูก! ” เสียงหญิงสาวแว่วมาให้ได้ยิน พวกผมหันไปมองทางต้นเสียงที่เป็นหญิงสาววัยกลางคนเดินตรงดิ่งมาทางที่พวกผมอยู่

“คุณป้า” ไอ้เดฟมันยกมือไหว้ท่าน พวกผมเองก็เช่นกัน

“ลูกชายแม่เป็นยังไงบ้างลูก ฮึก อัลฟาปลอดภัยใช่ไหม” ท่านถามเสียงเครือ

“...” พวกผมทั้งสามก็ไม่รู้ว่าจะตอบยังไง เพราะตอนนี้ก็กำลังรอว่าเมื่อไหร่หมอจะออกมาสักที

“คุณใจเย็นๆ ก่อน ลูกเราไม่เป็นอะไรหรอก” ท่านกอดปลอบภรรยาตัวเองที่ซบหน้าลงร้องไห้

“สวัสดีครับคุณลุง”

บานประตูหน้าห้องฉุกเฉินเปิดขึ้นทำให้เราทั้งหมดหันกลับไปมองในทางเดียวกันทันที เป็นพยาบาลสวมชุดสีฟ้าอ่อนมองมาทางพวกเรา

“ขอโทษนะคะ ใครมีเลือดกรุ๊ปโอ เนกาทีฟหรือเปล่าคะ”

“กะ เกิดอะไรขึ้นคะ” น้ำเสียงสั่นเครือของแม่ไอ้อัลถามขึ้น

“คนไข้เกิดอาการช็อกเพราะเสียเลือดมากค่ะ ทางเราไม่มีเลือดกรุ๊ปนี้สำรองไว้ ไม่ทราบว่าใครมีกรุ๊ปเลือดเดียวกันกับคนไข้บ้างคะ”

“ผะ ผมครับ ผมเป็นพ่อ! ”

“งั้น..เชิญตามดิฉันมาคะ” พยาบาลเชิญพ่อให้เข้าไปด้วยในห้อง

“คุณคะ ช่วยลูกด้วยนะคะ ฮืออ”

“อืม เดฟลุงฝากดูแลป้าด้วยนะ” ท่านเอ่ยบอกกับไอ้เดฟ ไอ้เดฟรับคำเข้าไปพยุงแม่ไอ้อัลกลับมานั่งลงที่เดิม ท่านยังคงร้องไห้ไม่หยุด พวกผมเองพอรู้แบบนี้ก็ยิ่งเครียดหนักเข้าไปใหญ่ มึงต้องรอดนะเชี้ยอัล ถ้ามึงรอดกูเลี้ยงเหล้ามึงเลย เอ้า!



-โยชิ-

“อื้มม..” กลิ่นอะไร? ผมปรือตาขึ้นมาเพราะสงสัยกลิ่นที่โชยเข้าจมูก

“ไอ้โยตื่นแล้วหรอ เป็นไงบ้างๆ ปวดหัวไหม? หรือว่าเจ็บตรงไหนรึเปล่า”

“ดะ เดี๋ยวๆ พาสต้า” ผมพูดปรามเมื่อเพื่อนถามรัว ผมเป็นอะไร แล้วทำไมพาสต้าถึงมาอยู่นี่แล้วไหนจะพี่คิม...

“ไอ้เตี้ยฟื้นแล้วหรอ!! ” คนมาใหม่เปิดประตูพรวดพราดเข้ามาพร้อมกับพูดขึ้นเสียงดัง

“อ่ะ อือๆ ตอนนี้กูยะ...พี่คิม!! ” ผมพยักหน้าตอบไอ้สูงด้วยความมึนๆ อยู่ ผมมองรอบห้องสีขาว เตียงที่มีตราของโรงพยาบาล โรงพยาบาลงั้นหรอ... พอนึกขึ้นได้ว่าเกิดอะไรขึ้นผมก็รีบหันไปหาพี่คิม

“คะ ครับๆ” พี่คิมดูตกใจไม่น้อยที่จู่ๆ ผมก็เรียกเขา

“เขาเป็นยังไงบ้างครับ เขาปลอดภัยดีใช่ไหม ละ แล้ว..” ผมรัวคำถามใส่พี่คิมที่ยืนอยู่ไม่ห่าง

“เตี้ยๆ ใจเย็นๆ” ไอ้สูงมันจับไหล่ผมให้หันกลับไปมองมันแทนพี่คิมที่ยืนนิ่งเงียบไม่ตอบคำถามผม

“พี่คิม..” ผมเรียกพี่เขาเสียงแผ่ว ครั้นน้ำตาก็ไหลลงมาอีกรอบ

“ไอ้โยมึงจะไปไหน! ”

“กูจะไปดูว่าเขาเป็นยังไงบ้าง” ผมตอบพร้อมกับลงจากเตียง พอเท้าเหยียบพื้นรู้สึกหน้ามืดขึ้นมาจนต้องหลับตาลงแล้วค้ำแขนไว้กับเตียงที่พึ่งลุก

“พี่ว่าเราน้องพักก่อนดีกว่านะ”

“ไม่ครับ ฮึก ไม่เอา” ผมตอบกลับ

“อย่าดื้อน่าเตี้ย ถ้ามึงเป็นอะไรไปจะเป็นยังไงห้ะ! ตัวเองก็บาดเจ็บเหมือนกันนะ!! ” ไอ้สูงตวาดใส่ผม ยังไงผมก็ต้องไปดูด้วยตาตัวเอง ถ้าให้ผมรออยู่ที่นี่ผมทำไม่ได้

“ฮืออ ให้กูไปเถอะนะสูง...นะ ฮึก ขอร้อง” ผมบอกเสียงสั่นเครือ

“ก่อนที่จะเป็นห่วงคนอื่น กูว่ามึงเป็นห่วงตัวเองก่อนดีกว่าไหม”

“ฮึก ฮือออ” ผมส่ายหน้าร้องไห้ ผมจะเป็นห่วงตัวเองได้ยังไง ในเมื่อคนที่น่าเป็นห่วงน่าจะเป็นคนที่อยู่ในห้องฉุกเฉินมากกว่า

“....”

“นะ เนปจูนพากูไปหาเขานะ ฮืออ นะเนป..”

“เฮ้อออ เออๆ ๆ”



เราสี่คนเดินมาหยุดยืนหน้าห้องฉุกเฉิน ผมมองบานประตูที่ยังคงปิดสนิทอยู่เหมือนเดิม ก่อนจะเบนสายตาไปมองฝั่งกลุ่มคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ เสียงผู้หญิงร้องไห้เหมือนใจจะขาด... ผมเดินเข้าไปหาท่านที่นั่งร้องไห้ข้างๆ ก็มีพวกพี่เดฟอยู่ ผมนั่งลงตรงหน้าท่าน ท่านเงยหน้าขึ้นมามองผมทั้งน้ำตา

“ขะ ขอโทษครับ ฮึก ผมขอโทษ” ผมเอ่ยบอกประโยคที่คิดไว้ตลอดในใจ ถ้าเขาไม่เข้าไปช่วยผมเขาคงไม่เป็นแบบนี้ ทุกอย่างมันเป็นเพราะ...ผม

“ขอโทษแม่ทำไมลูก ...” ท่านถามเสียงอ่อนโยน ทั้งๆ ที่ผมทำให้ลูกท่านโดนรถชนแต่ท่านกลับถามผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนได้ มันทำให้ผมรู้สึกผิดต่อท่าน

“อึก ผมทำให้เขาต้องเป็นแบบนี้ ผมขอโทษครับ ขอโทษ ฮืออ”

“...”

“ถ้าพี่เขาไม่เข้ามาผลักผมออก ผมคงตายไปแล้ว...เป็นเพราะผม เพราะผมคนเดียวที่ทำให้พี่เขาต้องโดนรถชน ฮึก ผมขอโทษครับแม่ ฮือออ”

“ไม่เลย ไม่ใช่ความผิดของเราเลย มันเป็นอุบัติเหตุ ฮืออ” ท่านดึงผมเข้าไปก่อนปลอบ

“อึก”

“ไม่ต้องขอโทษ ฮึก พี่เขาต้องปลอดภัยนะลูก” ท่านกระชับกอดผมแน่น ผมยกมือขึ้นกอดท่านเช่นกัน

“ครับ ฮืออ”



-เนปจูน-

ผมมองไอ้เตี้ยที่ทรุดนั่งลงตรงหน้าผู้หญิงวัยกลางคนมีศักดิ์เป็นแม่ของคนที่อยู่ในห้องผ่าตัดตอนนี้ ท่านกอดปลอบไอ้เตี้ยทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่สามารถรับกับสถานการณ์นี้ไหวเช่นกัน แต่ท่านก็ยังมอบความอ่อนโยนปลอบประโลมให้ไอ้เตี้ย

“ไม่ต้องขอโทษ ฮึก พี่เขาต้องปลอดภัยนะลูก”

“ครับ ฮืออ”

ผมถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อย พอได้รับสายจากพาสต้าว่าไอ้โยเป็นลมอยู่โรงพยาบาลผมก็รีบแจ้นมาทันที ก็ว่าทำไมมันถึงช้า ทั้งๆ ที่แค่ข้ามถนนมาอีกฝั่งไม่น่าจะนานแต่ใครจะไปคิดว่าจะมีอุบัติเหตุ ทั้งๆ ที่ผมอยู่อีกฟากของถนนแท้ๆ แต่ยังดีที่ไอ้เตี้ยมันไม่ได้บาดเจ็บหนัก เพราะคนที่เป็นหนักคงเป็นผู้ชายคนนั้น ผมต้องขอบคุณมันสินะที่เข้ามาช่วยไอ้เตี้ยของผมได้ทัน ผมเชื่อแล้วละว่ามันรักไอ้เตี้ยจริงๆ

“กูขอให้มึงปลอดภัยแล้วกลับมาหาไอ้เตี้ยกู กูจะไม่ขัดขวางความรักมึงอีกขอแค่มึงปลอดภัยมาอยู่ข้างกายไอ้เตี้ยเหมือนเดิม...มึงต้องปลอดภัย” ผมพึมพำพูดคนเดียว ตาก็เหลือบไปมองร่างบางที่ยืนอยู่ข้างๆ ที่ทำหน้าเครียดไม่ต่างจากเพื่อนคนอื่น ไม่เจอกันเลยตั้งแต่วันนั้น ใครจะไปคิดละว่าเป็นเพื่อนของไอ้เลวนั้น

“ไง? ” ผมทักอีกคน มันหันมามองผมแล้วก็เงียบ

“...”

“ไม่คิดว่าจะได้เจอมึงที่นี่และในสถานการณ์แบบนี้”

“อืม”

“เห! กูถามก็ตอบดิ! ” ผมเผลอขึ้นเสียงใส่ทำให้คนแถวนั้นหันมามอง เอ่อ...ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ

“เฮ้ออ กูก็ตอบแล้วนิ” มันถอนหายใจเซ็งๆ ก่อนตอบ

“ตรงไหน? ” ผมขมวดคิ้ว

“อืม.. นี่ไง”

“นั่นเขาไม่เรียกว่าตอบ” ผมแย้งขึ้น

“อย่าพึ่งมาถามอะไรตอนนี้ได้ไหมวะ” มันพูดเสียงหงุดหงิดใส่ผม ผมถามตอนนี้ผมผิดหรอวะ มันมองผมอย่างไม่สบอารมณ์แล้วเดินไปหาเพื่อนมันแทน

“คุณลุง..” ผู้ชายวัยกลางคนเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินพร้อมกับจับที่แขนของตัวเองไว้

“คุณคะ ลูกเราเป็นยังไงบ้างคะ”

“พี่เขาเป็นยังไงบ้างครับพ่อ”

“ยังไม่รู้เลย พ่อก็ได้แต่ภาวนาให้เจ้าอัลปลอดภัย”

ทุกสิ่งรอบตัวกลับมาเงียบรอเวลาเหมือนเคย เฝ้ารอเวลาว่าเมื่อไรที่หมอจะออกมา จนเสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้น ผมกดรับสายเมื่อเป็นใคร

“ครับ”

(ลุงติดต่อโยไม่ได้เลย โยชิได้อยู่กับเรารึเปล่า)

“อยู่ครับคุณลุง..เอ่อคือ” ผมจะบอกท่านดีไหมนะว่าไอ้เตี้ยมันประสบอุบัติเหตุหรือควรเงียบไว้ไม่อยากให้ท่านเป็นห่วง

(ลุงขอคุยกับโยชิหน่อยได้รึเปล่า)

“เอ่อ...” เอาไงดีว่ะ ผมมองไอ้เตี้ยที่นั่งสะอื้นเป็นพักๆ เพราะตอนนี้มันหยุดร้องแล้วเหลือแค่อาการสะอื้นเท่านั้น

(ว่าไงเนปจูน)

“เอ่อ..คือแบบนี้นะครับคุณลุง โยมันเข้าห้องน้ำอยู่ครับไม่สะดวกคุย ถ้ามันออกมาเดี๋ยวผมจะบอกให้มันโทรหานะครับ” ผมเลือกที่จะไม่บอกท่านดีกว่า แล้วถ้าให้ไอ้เตี้ยคุยตอนนี้มีหวังโดนคุณลุงซักไซ้ว่าเกิดอะไรขึ้นอีก เฮ้ออ เอาเป็นว่าแบบนี้ดีที่สุด โกหกเพื่อให้ผู้ใหญ่สบายใจไม่บาปใช่ไหม?



-โยชิ-

นี่มันก็หลายชั่วโมงเข้าไปแล้ว เมื่อไรที่หมอจะออกมาบอกอาการสักที ผมทนรอไม่ไหวแล้ว ในหัวก็คิดอะไรไปต่างๆ นาๆ มากมาย

“พี่เขาต้องปลอดภัยนะลูก”

“..ครับ” ท่านบีบมือผมแน่น

“คุณป้าไปพักก่อนดีกว่านะครับ ดูหน้าซีดมาก” พี่เดฟทักขึ้น

“นั่นสิคุณไปพักก่อนดีกว่านะ”

“ไม่ค่ะ ฉันจะรอดูอาการลูกก่อน” คนเป็นแม่ยังไงก็ห่วงลูกเสมอ ท่านยืนยันคำเดิมว่าจะไม่ไปไหนทั้งนั้นจนกว่าจะทราบอาการของลูก

“หมอเหมือนไรจะออกว่ะ กูทนไม่ไหวแล้วนะเว้ย! ” จู่ๆ พี่เอก็พูดขึ้น

“ใจเย็นดิวะ เดี๋ยวหมอก็ออกมา” พี่คิมปราม

“นี่มันก็นานแล้วนะเว้ย กูกลัว..” พี่เอพูดเสียงสั่น

“อย่าพึ่งคิดไรดิว่ะ เชื่อดิไอ้อัลต้องไม่เป็นอะไร” พี่เดฟตบไหล่เพื่อนเบาๆ

.

.

บานประตูห้องฉุกเฉินถูกเปิดออกเราทั้งหมดต่างพากันหันไปมอง และลุกขึ้นไปหาคุณหมอทันที

“หมอค่ะ ลูกดิฉันเป็นยังไงบ้างคะ” แม่พี่เขาถามอย่างร้อนรน

“ตอนนี้ปลอดภัยแล้วครับไม่ต้องเป็นห่วงครับ”

“ฮืออ ..คุณคะลูกปลอดภัยแล้ว” แม่พี่เขาร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจพร้อมกัเดินเข้ามากอดคุณพ่อที่โอบกอดภรรยาด้วยความดีใจเช่นกัน พอได้ยินแบบนี้พวกเราทุกคนต่างเบาใจ เขาปลอดภัย...ปลอดภัยแล้ว

“แต่ว่าคนไข้ถูกชนในส่วนที่สำคัญทำให้ต้องรอดูอาการกันอย่างใกล้ชิดนะครับ จนกว่าคนไข้จะฟื้นเราจึงต้องให้คนไข้พักอยู่ในห้องไอซียูเพื่อรอดูอาการต่อไป แต่ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเบาใจได้ครับ” หมอบอกพร้อมกับโค้งตัวลงขอตัวเดินจากไป

อะ..ไอ ซี ยู?

ถึงเขาจะปลอดภัยแต่อาการก็ยังไม่ได้ดีขึ้นไม่ใช่หรอ แล้วทำไมต้องอยู่ไอซียูละ ทำไมไม่เคลื่อนไปอยู่ห้องพักธรรมดา เขาปลอดภัยแล้วจริงๆ หรอ

“ฮึก พาสต้า” ผมเรียกชื่อเพื่อนที่อยู่ใกล้

“หมอบอกว่ามันปลอดภัยแล้ว อย่าร้อง” พาสต้าดึงผมไปกอด

“เขาปลอดภัยจริงๆ ใช่ไหม” ผมถามทั้งๆ ที่ซบหน้าลงกับอกเพื่อน

“มึงไม่เชื่อหมอหรอวะ แค่รอดูอาการต่อไปแค่นั้น พอมันฟื้นก็คงย้ายเป็นธรรมดาแหละ”

“ฮือออ”

“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง หมอก็บอกได้ฟังบ้างปะเนี้ย” พาสต้ามันว่า ฟังไหมก็ฟัง แต่มันก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี

“...อือๆ” ผมพยักหน้ากับอกเพื่อน จากนี้ก็รอแค่เขาฟื้นขึ้นมาเท่านั้น... พี่ต้องตื่นนะ ตื่นมาอยู่กับผมนะครับ...ผมคนที่พี่รักและรักพี่





TBC.



หากผิดพลาดประการใดขออภัยนะคะ


ออฟไลน์ Cencer

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0

ตอนที่25 : ...รู้สึกตัว
[/size]

-เนปจูน-

 

“เตี้ยมึงจะไปโรง’บาลอีกแล้วหรอว่ะ”

 

“อืม”

 

ผ่านมาเดือนหนึ่งแล้วไอ้เตี้ยมันแวะไปโรงพยาบาลตลอดทุกวัน  หลังเลิกเรียน  หรือแม้แต่มีเวลาว่างมันจะไปโรงพยาบาลตลอดถึงแม้ทางโรงพยาบาลจะยังไม่อนุญาตเข้าเยี่ยมก็ตามแต่มันก็ไปเฝ้าอยู่หน้าประตูห้องทุกวัน  ผมห้ามมันก็ไม่ฟัง ผมอยากให้มันได้พักบ้าง  แต่มันก็ดื้อจะรั้งเอาไว้ก็ไม่อยู่  สุดท้ายก็ปล่อยมันจนได้

 

“เดือนหนึ่งแล้วนะเตี้ยมึงเทียวไปเทียวมาโรงพยาบาล มหาลัย บ้าน  พักบ้างเถอะ”

 

“ก็กูเป็นห่วงเขา” มันตอบเสียงอ่อย

 

“มันไม่เป็นอะไรหรอกน่า  หมออยู่เยอะแยะ  กูว่ามึงควรห่วงตัวเองก่อนดีกว่าไหมว่ะ”

 

“กูอยากเห็นเขาตื่นขึ้นมาด้วยตาตัวเองนิ”

 

“ดูตัวเองก่อนเถอะ  ผอมแห้งอย่างกับกระดูกเดินได้แล้ว”

 

“กระดูกตรงไหนกัน”

 

“ตรงนี้ไงๆๆ” ผมชี้นิ้วไปบนส่วนร่างกายของมันตามส่วนต่างๆ  มันมองเบ้ปากแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อ  นั่งมองนอกกระจกรถเหมือนทุกที  ผมหันกลับมาสนใจขับรถต่อปล่อยให้ไอ้เตี้ยมันอยู่กับความคิดของตัวเอง

 

ผมจอดรถบริเวณที่จอดรถของทางโรงพยาบาลเหมือนทุกครั้งที่มาส่งไอ้เตี้ย  ผมกับไอ้เตี้ยเดินไปตามทางเดินมุ่งหน้าขึ้นลิฟท์กดไปยังชั้นที่คุ้นชิน  หนึ่งเดือนแล้วที่ไอ้คนที่โนชนมันไม่ยอมฟื้นซักที  ถ้ามันฟื้นเมื่อไรพ่อจะเตะและกระทืบให้แหลกเลย  ข้อหาทำให้ไอ้เตี้ยซูบผอมแห้งเหี่ยวขนาดนี้

 

“สูง!!”

 

“มีไรเตี้ย?” ผมถามขึ้นเมื่อไอ้เตี้ยมันเรียกผมเสียงตกใจ

 

“...หาย” ผมขมวดคิ้วกับสิ่งที่มันพูดถึง

 

“อะไรหาย”

 

“พี่เขาหายไปไหน  ไม่เห็นอ่ะสูง  ทำไมไม่เห็น ฮึก เนปจูนทำไงดี  หรือว่าพี่เขาจะเป็นอะไรขึ้นมา ฮืออ เนปจูน...”

 

“เตี้ยใจเย็นๆก่อน” ผมปรามมันบอกให้ใจเย็นก่อน  ผมมองเข้าไปภายในประตูกระจกใสมองดภายในก็ไม่พบร่างของคนที่นอนอยู่ทุกวัน  ผมหันมาสนใจคนข้างๆที่กำลังร้องไห้ฟูมฟายไม่สนอะไรทั้งนั้นในเวลานี้  ผมดึงมันเข้ามากอดปลอบก่อนจะผละออก

 

“ฮึก ฮืออ”

 

“คิดว่ามึงร้องไห้แล้วดูดีรึไงวะ  หยุดร้องแล้วอยู่ตรงนี้ห้ามไปไหนเข้าใจไหม” ผมเช็ดน้ำตาลวกๆให้มันแล้วบอกให้อยู่รอตรงนี้  เพราะผมคิดว่าน่าจะไปสอบถามทางโรงพยาบาลมากกว่าว่าเกิดอะไรขึ้นหรืออะไรยังไง

 

“ฮึก แล้วมึงจะไปไหน”

 

“ไปถามหมอ พยาบาลแถวนี้แหละ..ห้ามไปไหนเข้าใจไหม” ผมย้ำอีกรอบ

 

“อือๆ”

 

 

“ขอโทษนะครับ” ผมถามพยาบาลที่รับหน้าที่อยู่ส่วนของฝ่ายประชาสัมพันธ์

 

“คะ  ต้องการให้ช่วยอะไรรึเปล่าคะ”

 

“คือว่า  คนไข้ที่อยู่ในห้องไอซียูไปไหนหรอครับ”

 

“คะ? เอ่ออคนไข้ในห้องไอซียูมีเยอะนะคะ  ไม่ทราบว่าคนไข้ชื่ออะไรคะ”

 

“เอ่อ..งั้นซักครู่นะครับ”  ผมเองก็ลืมไปว่าตัวผมไม่รู้จักชื่อมัน  แล้วมันชื่อไรว่ะ  ผมยิ้มให้พยาบาลเล็กน้อยก่อนจะหยิบโทรศัพท์ตัวเองเพื่อโทรหาคนที่รออยู่หน้าห้องไอซียู  รอสายไม่นานไอ้เตี้ยก็รับ

 

(เป็นไงบ้างได้ความอะไรรึเปล่า)

 

“เดี๋ยวๆใจเย็นก่อน  ฟังกูนะมึงอย่าเพิ่งโวยวาย  รู้จักชื่อไอ้อัลหรือเปล่า”

 

(ช..ชื่อหรอ  เอาไปทำไม?)

 

“เอามาถามพยาบาล  กูไม่รู้จักชื่อมันบอกมาเร็วๆ”

 

(ชื่อ พชร  อินทรสิริกุล)

 

“โอเค  เดี๋ยวกูไปหา” ผมกดตัดสายแล้วหันกลับมาหาพยาบาลอีกครั้ง

 

“คนไข้ชื่อ นามสกุลอะไรคะ”  พยาบาลถามพร้อมรอยยิ้ม ผมจึงบอกไป

 

“..พชร  อินทรสิริกุลครับ”

 

“คนไข้ถูกย้ายไปที่ห้องพักธรรมดาแล้วคะ  ห้อง604คะ”

 

“ขอบคุณครับ” ผมก้มหัวให้กับพยาบาลก่อนที่จะเดินกลับไปหาไอ้เตี้ยที่รออยู่หน้าห้องไอซียู  พอมันเห็นผมมันก็รีบเดินจ้ำอ้าวเข้ามาหา

 

“เป็นไงบ้าง  ได้ความยังไง”

 

“มันถูกย้ายไปห้องพักธรรมดาแล้ว  อยู่ห้อง604” ผมตอบ

 

“ระ หรือว่าพี่เขาจะฟื้นแล้ว” ไอ้เตี้ยมันพูดขึ้นด้วยความดีใจ  มันเผยรอยยิ้มดีใจออกมา  หนึ่งเดือนเชียวนะที่มันทำหน้าอมทุกข์  แต่เห็นมันยิ้มได้ก็โอเคแล้วครับ

 

“คงงั้นมั้ง  ไปดูมันหน่อยไหมละ”

 

“ไปดิๆ” ไอ้เตี้ยมันเดินนำไปที่ลิฟท์กดปุ่มหน้าลิฟท์ขึ้น  พอเข้ามาในลิฟท์ก็กดชั้นที่ว่า  เพียงไม่นานลิฟท์ก็มาจอดยังชั้นหก  เราสองคนเดินตามทางมองเลขห้องพักจนมาถึงห้องที่ว่า

 

“604 ถึงแล้ว  กูตื่นเต้นจังมึง” ไอ้เตี้ยมันบอกพร้อมกับเอามือแตะที่หัวใจตัวเอง

 

“เวอร์แล้ว” ผมผลักหัวมันทีหนึ่ง  ก่อนจะเคาะประตูอย่างมีมารยาท   ไม่ต้องรอให้ใครมาเปิดหรอกครับ  ผมเปิดเข้าไปเลยเพราะผมเคาะประตูส่งสัญญาณใหคนในห้องรู้แล้วไม่เป็นไร

 

“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้พ่อแม่ของไอ้อัล

 

“สวัสดีครับคุณพ่อ คุณแม่”

 

“สวัสดีจ้ะ  รู้ได้ยังไงว่าเราอยู่กันที่นี่” แม่ไอ้อัลเป็นคนถาม ไอ้โยมันหันมามองผม เออกูตอบเองก็ได้

 

“คือว่าเราสองคนไปที่ห้องไอซียูไม่เจอเลยไปสอบถามพยาบาลมาครับ  เขาบอกว่าย้ายมาอยู่ห้องพักปกติแล้วเลยทราบครับ” ผมตอบท่านพยักหน้าเข้าใจแล้วหันไปมองลูกชายตัวเอง

 

“แม่ครับ พี่เขาฟื้นแล้วใช่ไหมครับถึงได้ย้ายมาอยู่นี่”  ไอ้โยมันเดินเข้าไปใกล้เตียงแล้วถามท่าน  ท่านเงยหน้ามองมัน  สีหน้าท่านเศร้าลง  ท่านส่ายหน้าก่อนตอบ

 

“พี่เขายังไม่ฟื้นหรอกจ้ะ”

 

“แต่ว่า..”

 

“คุณหมอเขาบอกว่าอาการดีขึ้นไม่น่าเป็นห่วงเท่าตอนแรก  ก็เลยย้ายมาอยู่ห้องปกติได้แล้ว” ท่านบอกพร้อมกับลูบหัวลูกชายตัวเองทั้งที่มีผ้าพันแผลพันอยู่บนหัว

 

“แล้วหมอได้บอกหรือเปล่าครับว่าจะฟื้นตอนไหน” ไอ้เตี้ยถามน้ำเสียงเครียด  ท่านส่ายน้าอีกรอบ

 

“ไม่ได้บอกจ้ะ  แม่เองก็ได้แต่สวดมนต์ขอพรให้ลูกชายแม่ฟื้นวันนี้ พรุ่งนี้ เร็วๆ”

 

“พี่เขาต้องฟื้นครับแม่” ไอ้เตี้ยมันจับมือท่านมากุมเอาไว้เหมือนกับให้กำลังใจซึ่งกันและกัน

 

“แม่ก็หวังไว้แบบนั้นจ้ะ” ท่ายยิ้มอ่อนโยนให้เตี้ย

 

“ครับ...พี่รีบตื่นขึ้นมาเร็วๆนะครับ”

 

 Rrrrr Rrrrrrr

 

เสียงโทรศัพท์มือถือผมดังขึ้นภายในห้องที่เงียบสนิททำให้ผมต้องรีบรับทันทีและขอตัวออกมาคุยนอกห้องแทน  ไม่อยากกวนคนที่กำลังอยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเองตอนนี้

 

“ว่าไงเฮีย”

 

(มึงอยู่ไหน?)

 

“โรงพยาบาล..” ผมตอบ  เฮียเองก็น่าจะรู้อยู่แล้ว  เพราะผมต้องคอยรับส่งไอ้เตี้ยมาโรงบาลแทบทุกวัน

 

(ยังไม่ดีขึ้นอีกหรอวะ) เฮียถาม

 

“ดีขึ้นมากแล้วละเฮีย  แต่ก็ยังไม่ฟื้นว่ะ” ผมตอบตามสิ่งที่ได้ยิน

 

(งั้นหรอวะ  แล้วโยชิเป็นยังไงบ้าง)

 

“อืม ก็โทรมๆว่ะเฮีย  ข้าวก็กินน้อยตอนนี้ซูบผอมไปเยอะเลย”

 

(เออยังไงหากกูว่างเดี๋ยวจะเข้าไปหาที่บ้าน  ฝากบอกโยชิด้วย)

 

“โอเคๆเดี๋ยวบอกให้”

 

(อืม  ดูแลโยชิดีๆละ)

 

“ครับๆ  ผมไม่ปล่อยมันหรอกน่าไม่ต้องห่วงแค่นี้นะ” ผมกดตัดสายทันทีเมื่อเห็นใครกำลังเดินมาทางนี้

 

“ไงมึง  โผล่มาอีกแล้วนะ”  เพื่อนในกลุ่มไอ้อัลทักผมขึ้นมา

 

“ก็ถ้าไอ้เตี้ยอยู่ไหน กูก็อยู่นั่นละ”

 

“แล้วนี่มันฟื้นแล้วหรอว่ะ  ตอนแรกไม่เห๋นมันเลยไปถามพยาบาลเห็นบอกว่าย้ายมาอยู่นี่แล้ว”

 

“ยังหรอก  แต่คงอีกไม่นานละมั้ง เห็นหมอบอกว่าอาการมันดีขึ้นแล้ว” ผมตอบไอ้คนที่ถามแต่สายตาผมจ้องคนที่มาด้วยแทน  ยังไม่ได้คุยกันเลยนะ  วันนี้ละกูจะลากไปคุยให้ได้  หลบหน้าดีนัก  ถ้าหลบได้ก็หลบไป  หึๆ

 

 

-โยชิ-

 

“...พี่รีบตื่นขึ้นมาเร็วๆนะครับ” ผมกุมมืออีกคนที่ยังคงนอนหลับไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาเลย  พี่ต้องรีบตื่นมาหาพวกเราทุกคนนะครับ  หนึ่งเดือนแล้วที่พี่หลับไป  มันนานเกินไปแล้วนะครับ  ผมรอพี่อยู่รู้รึเปล่า  รีบตื่นขึ้นมาหาผมเถอะครับ  ผมขอร้อง  ผมยอมพี่แล้วทุกอย่างจริงๆ

 

“ได้พักบ้างรึเปล่าลูก  แม่เห็นมาดูพี่เขาทุกวันเลยนะ”

 

“ผมไม่เป็นไรครับ” ผมตอบท่านที่มองผมด้วยสายตาเป็นห่วง  ผมไม่เป็นไรจริงๆ

 

“แต่ว่าเราผอมกว่าเดิมมากนะลูก  ดูสิตัวซูบ หน้าก็ตอบลงด้วย” ท่านลูบแก้มผมเบาๆ  ผมส่ายหน้าแล้วส่งยิ้มให้ท่าน

 

“ผมไม่เป็นไรจริงๆครับ”

 

ก็อกๆ  เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น  ผม แม่และพ่อหันไปมอง ประตูอ้าออกก็เป็นพวกพี่เอ พี่โบ๊ท พี่คิมเดินเข้ามาตามมาด้วยไอ้สูง

 

“สวัสดีครับพ่อแม่”  พี่ๆเข้ายกมือไหว้พ่อกับแม่

 

“จ้ะ สวัสดีจ้ะ”

 

“ไอ้อัลเป็นยังไงบ้างครับพ่อแม่” พี่เอเป็นคนถาม

 

“ก็ดีขึ้นแล้วจ้ะแต่ยังไม่ฟื้นเลย” แม่เป็นคนตอบ

 

“งั้นหรอครับ...” พวกพี่เอพากันมาหยุดยืนข้างๆเตียงคนป่วย  ผมหลีกทางให้พี่เขาได้เข้ามาใกล้ๆ

 

“ไม่ต้องหลบหรอกน้องโย  พวกพี่แค่เข้ามาดูมันใกล้ๆแปบเดียว” พี่โบ๊ทบอก

 

“..ครับ” ผมจึงนั่งลงเก้าอี้ข้างเตียงที่เดิม  ผมมองเสียวหน้าของคนที่นอนอยู่  ตอนนี้ไม่มีสายอะไรต่อมิอะไรอยู่บนร่างกายแล้ว  มีเพียงแค่สายน้ำเกลือที่เชื่อมอยู่เท่านั้น

 

“เด็กๆพ่อกับแม่ต้องไปธุระ  พ่อฝากดูลูกชายพ่อหน่อยนะ”

 

“ได้ครับไม่ต้องห่วง” พี่เอบอกพร้อมกับยิ้มกว้างส่งให้  พ่อขำกับท่าทางของพี่เอก่อนจะลากลับไปพร้อมกับแม่

 

“เฮ้ออ..มึงนี่ไม่เคยได้หลับได้นอนหรือไงวะ  ฟื้นซักทีเถอะไอ้เหี้ย” พี่เอพูด

 

“เออมึงเมื่อไหร่ฟื้นว่ะ ไม่มีคนทำงานให้ลอกมันทรมานมากนะรู้ไหม” พี่โบ๊ทพูดขึ้นมาบ้าง

 

“แต่ละตัว..เชี้ยอัลมึงไม่ฟื้นกูจะพาน้องดยไปหาผัวใหม่ละนะ” พี่คิมพูดขึ้นบ้าง  แต่ที่พี่พูดเมื่อกี้ถามผมยังครับว่าต้องการรึเปล่า

 

“ไอ้คิมนิสัยนะมึง  เห็นเพื่อนมึงนอนอยู่ไหมห้ะ  ถ้ามันรู้ว่ามึงพูดแบบนี้มีหวังมีตายแน่ๆ” พี่เอว่า

 

“เออกูก็อยากให้แม่งได้ยินเหมือนกันจะได้ฟื้นเร็วๆ  มันจะได้รู้ว่ามันปล่อยให้น้องรอมันนานแค่ไหน”

 

“มึงนี่น่า  เออไอ้อัลถ้ามึงไม่ฟื้นกูจะพาเมียมึงไปหาผัวใหม่จริงๆด้วย”  พี่เอเสริมเข้าไปอีก

 

“เอ่อ..คือถามผมยังครับว่าต้องการรึเปล่า” ผมยกมือขึ้นเพื่อขอพูดบ้าง

 

“โอ๊ยยน้องโยพวกพี่ไม่ได้ทำจริงหรอกครับ  แค่พูดให้ไอ้อัลมันฟังเท่านั้นเผื่อส่งผ่านไปยังโสตประสาทการรับรู้ของมันบ้าง”

 

“พอๆเลยพวกมึง  ว่าแต่ว่าเถอะมาทุกวันไม่เหนื่อยบ้างรึไง” พี่โบ๊ทเป็นคนถามขึ้น

 

“ไม่เหนื่อยหรอกครับ  เผื่อพี่เขาฟื้นขึ้นมาผมอยากให้พี่เขาเห็นผมเป็นคนแรก  อยากให้พี่เขารู้ว่าผมอภัยให้เขาทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว” 

 

“แต่เราควรพักผ่อนบ้างนะ  ดูสิผอมเชียว  ถ้ามันตื่นมาเห็นโยในสภาพนี้มันคงรู้สึกผิดแน่ๆ”

 

“หุบปากไปเลยไอ้เอ..ว่าแต่ไอ้เดฟหายหัวไปนานแล้วนะ” พี่คิมตบปากพี่เอไปทีหนึ่งแล้วก็เปลี่ยนเรื่องเป็นถามหาพี่เดฟแทน  จริงๆผมก็ยังไม่เห็นพี่เดฟเหมือนกันนะ

 

“มันง้อเมียอยู่มึงก็รู้ว่าเมียมันฤทธิ์เดชเป็นยังไง”

 

“นี่มันยังง้อไม่สำเร็จอีกหรอวะ” พี่คิมถามต่อ  ผมเองก็เห็นพี่เดฟไปหาไอ้พาสตลอดเหมือนกัน  โดยไอ้พาสมันเลี่ยงที่จะปะทะกับพี่เดฟโดยตรงทุกครั้ง  ผมชวนมันมาโรงพยาบาลด้วยมันก็ไม่เอา  เพราะมันไม่อยากเจอพี่เดฟ

 

“เออดิ  กูเห็นมันกลับมาทีไรเป็นหมาหงอยตลอดอ่ะ  แต่ก็สมน้ำหน้ามันละนะ”

 

“ไอ้โบ๊ทมึงพูแบบนี้ได้ยังไงนั่นเพื่อนมึงนะ” พี่เอแย้งขึ้น

 

“ก็เพื่อนไง  จะให้มันเป็นเมียกูรึไง”

 

“คนละเรื่องละไอ้ฟาย”

 

“พอๆเลยพวกมึงอย่ามาทะเลาะกันตรงนี้  หัดเกรงใจน้องเขาบ้างเหอะ” พี่คิมพูดขึ้น  พวกพี่โบ๊ทกับพี่เอจึงหยุดคุยกัน

 

“ผมไม่ถือหรอกครับ” ผมบอก

 

“แต่มันก็ต้องหัดเกรงใจคนที่นอนป่วยตรงนี้บ้าง”

 

“เสียงดังยังไงมันก็ไม่ตื่นหรอกมึง  จริงม่ะไอ้โบ๊ท” พี่เอหันไปมองเพื่อนอย่างขอแนวร่วม

 

“อะไร  กูไม่รู้กูไม่เกี่ยว”

 

“สัส!”

 

“ออกไปข้างนอกเลยพวกมึง  ไปให้หมด” พี่คิมเดินไปลากคอพี่เอกับพี่โบ๊ทให้ออกจากห้องไปด้วยกัน  ภายให้องจึงกลับมาเงียบอีกครั้ง

 

“เตี้ย..”

 

“..อืม” ผมขานรับในลำคอ

 

“เมื่อกี้เฮียโทรมาบอกว่าว่างๆจะแวะเข้าไปหานะ”

 

“อ่อโอเค” ผมตอบมันไปทั้งๆที่ไม่ได้หันกลับไปมองหน้าคนพูด  ผมเอาแต่มองคนที่นอนอยู่ตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ  ... รีบฟื้นเถอะครับ  ผมคิดถึงพี่นะ

 

1 สัปดาห์ต่อมา

 

“สวัสดีครับคุณพ่อคุณแม่” ผมยกมือสวัสดีท่านทั้งสองเมื่อท่านสองคนเดินเข้ามาในห้อง

 

“ได้พักบ้างรึยังลูก”

 

“ครับ” ผมยิ้มตอบท่าน

 

“ขอบคุณมานะจ้ะที่มาดูแลลูกชายแม่ให้ทุกวันเลย”  ท่านเดินเข้ามากอดแล้วลูบหลังผมเบาๆ

 

“ไม่เป็นไรครับ  มันเป็นหน้าที่ผมอยู่แล้ว” เพราะผมเขาถึงเป็นแบบนี้

 

“เดี๋ยวเรามาทานข้าวนะลูก  แม่ทำอาหารมาให้”  ท่านพาผมมานั่งลงตรงโซฟาตัวยาว  บนโต๊ะมีกระปุกพาสติกที่มีอาหารที่ท่านทำมาให้มากมาย  พ่อเดินไปหยิบจานที่วางไว้บนโต๊ะข้างตู้เย็น ซึ่งเป็นส่วนที่มีของฝากเยี่ยมวางอยู่มากมาย

 

“ทานเยอะๆนะลูก  ผอมลงอีกแล้ว”

 

“ขอบคุณครับ” ผมบอกขอบคุณท่านที่ตักอาหารมาวางใส่ไว้บนจานข้าวของผม  ผมตักกินเคี่ยวช้าๆ มันอาจจะฝืดคอไปบ้างเพราะผมยังไม่หิว

 

“อร่อยไหมลูก” ท่านถามพร้อมกับตักกับข้าวมาเพิ่มให้ต่อ

 

“ครับ” ผมตอบทั้งๆที่ยังเคี่ยวข้าวอยู่ในปาก

 

“ถ้าอร่อยก็กินเยอะๆนะ  จะได้มีแรงดูแลพี่เขา”

 

“กินอีกสิลูก  คุณตักเนื้อให้โยหน่อยสิ”  คุณพ่อบอกแม่  แม่จึงตักส่วนที่เป็นเนื้อให้ผมอีก  ผมทำเพียงแค่ก้มหัวขอบคุณท่านเท่านั้น

 

“ขอโทษนะคะได้เวลาเช็ดตัวให้คนไข้แล้วคะ”  พยาบาลเดินเข้ามาหลังเคาะประตูสองสามที

 

“ได้เวลาเช็ดตัวแล้วหรอ อืม..”

 

“เดี๋ยวผมทำเองครับ” ผมบอก

 

“หนูกำลังกินข้าวอยู่นะลูก  เดี๋ยวให้พยาบาลเขาทำดีกว่านะ”  ผมส่ายหัว  ผมอยากทำเองมากกว่า   ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ย้ายเขามาที่นี่ผมขอเป็นคนเฝ้าและดูแลเขา  ผมจึงเรียนรู้จากพี่พยาบาลในเรื่องของการเช็ดตัวมาบ้างแล้ว

 

“ผมอิ่มแล้วครับ  ขอบคุณสำหรับอาหารนะครับแม่” ผมบอกท่าน

 

“จ้ะ”

 

“ผมทำเองครับ” ผมเดินเข้าไปหาพยาบาลที่เดินเข้ามาด้วยกะละมังใส่ที่มีน้ำและผ้าขนหนูผืนเล็กๆอยู่  ผมรับมาจากพยาบาลมาถือไว้  พยาบาลยิ้มให้ผมเล็กน้อยก่อนจะขอตัวออกไปทำงานของตัวเองต่อ

 

ผมดึงผ้าม่านมากั้นปิดเอาไว้  เพราะต้องถอดเสื้อผ้าเช็ดตัวแล้วก็ต้องเปลี่ยนเป็นชุดใหม่เหมือนกัน  ถ้าอยู่คนเดียวผมจะแค่ปิดม่านตรงประตูห้องเท่านั้นแต่ครั้งนี้มีพ่อแม่พี่เขาอยู่ด้วยจึงต้องเปลี่ยนมาเป็นรูดม่านตรงเตียงแทน  ผมถอดเชือกที่ผูกออกแล้วแหวกเสื้อออกจนเผยให้เห็นแผงอกและหน้าท้องที่มีรอยแผลจากการโดนรถชนถึงตอนนี้รอยแผลจะเริ่มจางๆอยู่บ้าง  ผมบิดผ้าพพอหมาดๆแล้วค่อยๆเช็ด  ผมเช็ดจากใบหน้าก่อนแล้วเลื่อนลงมาที่คอและลงมาที่ส่วนของร่างกาย

 

ก๊อก ๆๆ

 

“อ้าว  ไม่มีเรียนกันหรอลูก” แม่ทักทายคนที่พึ่งเข้ามาในห้อง  ซึ่งผมเองก็ไม่ทราบว่าเป็นใครถ้าหากไม่ได้ยินเสียง

 

“ครับ  พอดีจะมาดูไอ้อัลมันนะครับแม่”  เสียงพี่เดฟ

 

“แล้วนี่ไอ้โยอยู่ไหนห้ะไอ้เดฟ” เสียงพาสต้านี่

 

“ไม่รู้ครับ  เรามาพร้อมกันนะ”

 

“อ่ะ อย่าๆ” ผมได้ยินแค่เสียงพี่เดฟบอกแค่อย่าเท่านั้น  เพราะม่านปิดกั้นอยู่จึงไม่รู้ว่าฝั่งนั่นเขาทำอะไรกันบ้าง

 

“กำลังเช็ดตัวให้เจ้าอัลอยู่...นั่งๆ” พ่อเป็นคนตอบ

 

ตอนนี้ผมเช็ดตัวเสร็จแล้วและกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ให้พี่เขาอยู่  ผมผูกเชือกกับเสื้อของเขาเป็นอันดับสุดท้าย

 

“ผมเช็ดตัวให้พี่จะได้นอนสบายๆนะครับ” ผมพูดขึ้นเสียงไม่ได้ดังมากนัก  เหมือนกับพูดให้เขาได้ยินเพียงคนเดียว  ผมจับมือเขาบีบเบาๆส่งผ่านความรู้สึกคิดถึงผ่านนิ้วมือที่ประสานเข้ากับมือของเขาให้รู้ว่าผมคิดถึงและยังรอให้เขาตื่นขึ้นมามากแค่ไหน

 

“ตื่นได้แล้วนะครับพี่  รู้มั้ยว่าผมคิดถึงพี่มากแค่ไหน”

 

“...” ไม่มีสิ่งใดตอบกลับมา  มีเพียงความเงียบเท่านั้น  ผมเพิ่มแรงบีบมากยิ่งขึ้น

 

“...ผมรักพี่นะครับ” ผมยิ้มเมื่อพูดประโยคนั้นจบไป  ตอนที่กำลังจะคลายมือออกกลับเหมือนมีแรงมาบีบอยู่ที่มือผมเบาๆ  ถึงจะไม่แรงมากแต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา

 

“พ่อครับแม่ครับ!!” ผมเรียกท่านทั้งสองออกมาด้วยความดีใจ

 

“มีอะไรหรอลูก”

 

“มีอะไรหรอน้องโย”  พ่อเป็นคนรูดม่านที่ปิดกั้นออก  ผมยิ้มทั้งที่น้ำตากำลังจะไหล

 

“เป็นอะไรไอ้โยทำหน้าเหมือนจะร้องไห้  เกิดไรขึ้นว่ะ” ไอ้พาสเข้ามาจับไหล่ผมไว้  ผมมองหน้าพี่เขาก่อนจะหันกลับมามองหน้าทุกคนที่อยู่ในห้อง

 

“เมื่อกี้เหมือนพี่เขาจะรู้สึกตัวแล้วครับ” ผมบอก  ทุกคนต่างพากันอึ้งเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมบอก

 

“จ..จริงหรอลูก”

 

“ครับ  พี่เขาบีบมือผมด้วย” ผมบอกมือผมยังคงเกาะกุมประสานอยู่กับมือหนาไว้ไม่ปล่อยไปไหน  แม่จึงจับมืออีกข้างของพี่เขาไว้แล้วเรียกชื่อลูกชายตัวเองเบาๆ

 

“อัลฟา ลูกฟื้นแล้วใช่ไหม”  ท่านยกมือขึ้นมาแนบแก้มตัวเอง

 

“เชี้ยอัลถ้ามึงรู้สึกตัวแล้วก็ลืมตาขึ้นมาสิวะ” พี่เดฟเอ่ยถาม  พวกเราเองก็ลุ้นว่าพี่เขาจะลืมตาขึ้นเมื่อไร  แรงขยับที่มือรู้สึกอีกครั้ง

 

“อัลลูกแม่ ฮืออ  คุณคะลูกรู้สึกตัวแล้วจริงๆด้วย” แม่ปล่อยโฮออกมาเมื่อรู้สึกถึงแรงขยับเบาๆที่มือ

 

“งั้นเดี๋ยวผมไปตามหมอก่อนนะคุณ”

 

“คะ  รีบมาเร็วๆนะคะคุณ”

 

“พี่ครับ” ผมเรียกอีกคนด้วยความดีใจ  มันไม่ใช่ฝัน มันคือเรื่องจริง

 

“..อ..อื้ม..” เสียงของคนที่นอนอยู่บนเตียงดังแทรกขึ้นมา  ทำให้พวกเราหันไปสนใจกันเป็นตาเดียว  ดวงตาค่อยๆเปิดขึ้นอย่างช้าๆ  แล้วก็ปิดลงอีกครั้ง  ผมกัดปากตัวเองลุ้นว่าพี่เขากำลังจะตื่นขึ้นมาแล้ว  เราจะได้พบกันอีกครั้งแล้ว    ใจผมเต้นรัวแรง  ตื่นเต้นครับ  ดีใจมากด้วย  พี่เขาหรี่เปิดตาแล้วหรี่ลง  คงเพราะยังไม่ชินกับแสงทำให้รู้สึกเคืองตา

 

“น..น้ำ” เสียงแหบเบาๆเอ่ยขึ้น

 

“อะไรหรอลูก  ต้องการอะไร”

 

“นะ น้ำ หิวน้ำ” เสียงแหบพูดขึ้นอีกครั้ง  ผมจึงเดินไปรินน้ำอุ่นใส่แก้วพร้อมกับหลอดดูดเดินเข้าไปหยุดตรงเตียงที่เดิม  ผมวางแก้วน้ำไว้บนโต๊ะหัวเตียงก่อนจะพยุงร่างกายอีกคนให้นังพิงกับตัวผมแล้วจึงหยิบแก้วน้ำมาจ่อหลอดให้อีกคนได้ดื่มน้ำ  น้ำเกือบครึ่งค่อนแก้วที่ถูกดูดไป  พอดื่มน้ำเสร็จผมก็พยุงให้พี่เขาลงไปนอนตามเดิม

 

“...แม่” พี่เขามองไปยังแม่ตัวเองที่กำลังหลั่งน้ำตาออกมา  เขาเรียกท่านเบาๆ

 

“ว่าไงลูก  แม่อยู่ตรงนี้”

 

“...” พี่เขาเบนสายตาไปมองคนถัดไปจากแม่เขา

 

“จำกูได้ป่ะไอ้อัล” พี่เดฟถามแล้วชี้นิ้วมาที่ตัวเอง  พี่เขาพยักหน้าก่อนตอบ

 

“เดฟ..”  พี่เดฟถึงกับยิ้มแก้มปริ  แล้วผมละพี่เขาจะจับผมได้รึเปล่า

 

“แล้วลูกจำน้องได้รึเปล่า”  แม่ถามขึ้น ผมบีบมือพี่เขาเบาๆให้รู้ว่าผมอยู่ตรงนี้ อยู่ข้างๆเขา  ผมยิ้มให้เมื่อพี่เขาหันมามองที่ผม

 

“พี่จำผมได้ไหม” ผมถามขึ้นบ้าง  ใจก็เต้นรัว  ผมยิ้มเมื่อพี่เขามองหน้าผมไม่หยุด

 

“..จำน้องได้ไหมลูก”  แม่ถามอีกครั้ง

 

“..พี่ครับ” ผมเรียกอีกคนเบาๆ  ใจที่เคยเต้นแรงกลับค่อยๆหยุดลงช้าๆ

 

“...” มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่เขาส่งมอบมาให้ผม  สีหน้าครุ่นคิดนั้นมันอะไรกัน  ทำไมทีตอนพี่เดฟเขายังตอบได้แทบจะทันที  แล้วทำไมพอเป็นผมกลับต้องขมวดคิ้วคิดสงสัย  หรือว่าพี่เขาจะจำผมไม่ได้  แล้วถ้าเป็นแบบนั้นผมควรทำยังไง  ต้องทำยังไงให้เขาจำผมได้

 

“ฮึก..ฮืออ” ผมปล่อยมือที่จับกุมเข้าเอาไว้ออกอย่างหมดแรง   ผมแทบล้มทั้งยืนถ้าไม่มีพาสต้าอยู่ตรงนี้ผมคงล้มพับกับพื้นไปแล้ว

 

 

 

TBC..

รู้สึกว่ามันไม่สุดอ่ะ ฮือๆๆ

ทำไมรู้สึกดราม่ามันเยอะจังเลยนะคะว่ามั้ย? 555555

หากผิดพลาดประการใดขออภัยนะคะ

ออฟไลน์ Cencer

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
 :jul3:

-อัลฟา-

 

“..จำน้องได้ไหมลูก”

 

“..พี่ครับ” 

 

“...”  ผมใช้ความเงียบเป็นการตอบคำถามนั้น  คิ้วขมวดเป็นปมอย่างเสียไม่ได้ทำไมการเอ่ยชื่อเด็กคนนี้มันยากสำหรับผม  ทั้งๆที่มันควรจะเปล่งออกมาได้ง่าย

 

“ฮึก..ฮืออ”

 

แรงบีบที่มือค่อยๆคลายออก ผมมองคนที่ปล่อยโฮออกมาโจ้งแจ้งไม่มีปิดบังและร่างกายที่โอนเอนนั่นก็เกือบจะล้มพับลงไปหากไม่มีเพื่อนรองรับอยู่  ผมเองก็ตกใจเหมือนกันที่อยู่ๆร่างบางก็แทบล้มทั้งยืนอย่างนั่น  ใจผมไม่ดีเลยที่ต้องเห็นเด็กคนนี้กำลังร้องไห้เพราะผม

 

“โอ๊ยยย !!” ผมร้องโอดครวญเมื่อรู้สึกเจ็บปวดร่างกายเพราะผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

“ไอ้อัล!!”

 

“ลูกแม่!”

 

“..พี่!!” ทุกเสียงผประสานขึ้นมาพร้อมกัน  มีแม่เข้ามาดูผมด้วยความเป็นห่วงและอีกคนที่เข้ามาประชิดตัวผมอย่างรวดเร็วทั้งที่เมื่อครู่ยังร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร  ผมยิ้มบางๆให้แม่ก่อนที่จะหันมาหาอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆผมเช่นกัน  น้ำตายังคงประดับอยู่บนใบหน้าเนียนให้เห็นอยู่  ผมเอือมมือไปเช็ดน้ำตาที่แก้มเนียนอย่างเบามือ

 

“ร้องไห้ทำไมครับ...ตัวเล็ก”

 

“..อึก”

 

“บอกพี่สิ  ทำไมถึงร้องไห้”  ผมพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งแต่ก็อ่อนโยนในทุกคำที่เอ่ยถาม

 

“ฮึก ฮืออ  พี่ครับ”  ร่างบางของอีกคนโผเข้ากอดผมเต็มแรงพร้อมกับปล่อยโฮอีกครั้ง  เสียงสะอื้นฮักดังก้องอยู่ในหูของผม  แรงกอดรัดยิ่งทวีเพิ่มมากขึ้น  เจ็บ.. เจ็บแผลมาก  แต่ถึงเช่นนั้นผมยังทนให้อีกฝ่ายที่กอดกดทับแผลตัวเองนั่นได้กอดต่อไป

 

“ตัวเล็ก” ผมเรียกอีกคนเมื่อร่างบางยอมผละตัวออกมามองหน้ากัน

 

“อือ ฮึก” เสียงตอบรับในลำคอพร้อมกับเสียงสะอื้นตอบกลับมา

 

“เป็นอะไร หืม?”  อีกคนเม้มปากแน่นกลั่นเสียงสะอื้นเอาไว้

 

“พ..พี่จำผมได้ใช่ไหม  พี่ไม่ได้ลืมผมใช่ไหม” น้ำเสียงสั่นๆถามขึ้น

 

“...” ผมส่ายหน้า  ทำไมจะจำไม่ได้  ทำไมจะจำเด็กคนนี้ไม่ได้  คนที่ผมรัก  ทำไมจะจำไม่ได้

 

“ฮึก ละ แล้วผมชื่อ อ..อะไร”  คนตัวเล็กชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง  สบสายตาจ้องมองผมอย่างรอคอยคำตอบ

 

“..โยชิ” ผมตอบ  มือก็ลูบแก้มเนียนเบาๆ

 

“ฮือออออ” โยชิโผเข้ากอดผมอีกครั้ง ผมกอดตอบแล้วลูบหลังคนตัวเล็กที่ร้องไห้อีกครั้ง

 

“ชู่วว  ไม่ร้องแล้วเด็กดี”

 

“อึก อือ ฮืออ” ถึงจะพยักหน้ารับยังไงแต่อีกคนก็ไม่มีท่าที่จะหยุดร้องเลย

 

“หมอมาแล้วลูก”  เสียงแม่เอ่ยขึ้น  ทำให้คนที่กอดผมคลายออกแล้วยกมือปาดน้ำตาออกลวกๆ

 

“หมอขอตัวเช็คอาการหน่อยนะครับ”  หมอบอกแล้วก็ถามคำถามมากมายเกี่ยวกับความจำในส่วนต่างๆ  ผมก็ตอบตามที่นึกคิดขึ้นได้  จนเมื่อตรวจเสร็จหมอก็อกว่าอาการผมไม่น่าเป็นห่วงแล้ว  เหลือแค่ร่างกายที่ยังไม่หายดี  น่าจะพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลอีกสองสามอาทิตย์เท่านั้น

 

“ไงพ่อลูกชาย  หลับไปเป็นเดือนเลยนะ” พ่อทักขึ้น

 

“ขนาดนั้นเลย”

 

“เออสิว่ะ  ทำให้คนอื่นเขาเป็นห่วงแกนี่นิสัยไม่ดีเลยนะ” พ่อตอบพร้อมเอาเอานิ้วมากดแผลที่หัวผม

 

“โอ๊ยย  เจ็บนะเว้ยพ่อ”

 

“เจ็บมากไหมลูก  คุณนี่จริงๆเลยลูกกำลังไม่สบายอยู่นะ” แม่หันไปตีแขนพ่อสองสามที

 

“แค่นี้มันไม่ตายหรอกน่าคุณ”

 

“ผมไม่เป็นไรหรอกแม่  ตายยาก” ผมบอกเสียงกลั้วหัวเราะ

 

“จ้ะ  พ่อคนเก่ง  แต่คิดถึงคนที่เป็นห่วงเราบ้างเถอะ  ทั้งพ่อแม่ เพื่อนลูกแล้วไหนจะหนูโยอีก  รู้ไหมว่าน้องเขาเป็นห่วงเรามากแค่ไหน น้องเขามาเฝ้าเราทุกวันเลยนะ”  เมื่อได้ฟังสิ่งที่แม่พูด  ผมจึงหันกลับมามองร่างบางที่ยืนเงียบเม้มปากแน่น  ผมมองสำรวจร่างกายอีกคน  ซูบผอมลงไปจากตอนที่เห็นล่าสุดมาก  ทำให้ผมเชื่อในคำพูดแม่จริงๆ  ถ้าตลอดหนึ่งเดือนที่ผมยังไม่ฟื้นแล้วมีน้องมาคอยอยู่เฝ้าดูแลผม  ก็แปลว่าน้องหายโกรธผมแล้ว  น้องไม่ได้เกลียดผมเหมือนที่บอกคราวนั้น  แต่พอมาคิดอีกที  บางครั้งที่น้องมาอยู่ดูแลผมอาจจะเพราะรู้สึกผิดก็ได้ที่ผมเป็นแบบนี้  ก็แค่มาดูแลในช่วงที่ผมเจ็บ  พอหายน้องอาจจะตีตัวห่างแล้วไปอยู่ในที่ของตัวเอง  ที่ๆไม่มีผมอยู่

 

“ขอโทษนะที่ทำให้ต้องมาอยู่เฝ้าแบบนี้”

 

“ผมสิต้องขอโทษที่เป็นคนทำให้พี่เป็นแบบนี้และก็ขอบคุณที่พี่ช่วยผมไว้”

 

 

-โยชิ-

 

“ผมสิต้องขอโทษที่เป็นคนทำให้พี่เป็นแบบนี้และก็ขอบคุณที่พี่ช่วยผมไว้” ผมพูดออกมาจากใจจริง  ผมดีใจที่พี่เขาฟื้นตื่นขึ้นมาแล้วจำผมได้  ตอนแรกผมสิ้นหวัง  หัวใจผมเต้นแผ่วบางลงทุกทีๆ  แต่แล้วมันก็กลับมามีชีวิตชีวาใหม่อีกครั้งเพราะคนๆนี้ที่อยู่ตรงหน้าผม

 

“ไม่ต้องขอโทษหรือขอบคุณพี่หรอก  ที่พี่ทำเพราะพี่ไม่อยากเห็นคนที่พี่รักต้องเจ็บ  แล้วถ้าเราเป็นอะไรไปพี่คงอยู่ไม่ได้”  พี่เขาเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มสายตาที่มองสบกันกับผมมันแสดงเห็นถึงความจริงใจที่เขาพูดออกมา

 

“ถ้าพี่เป็นอะไรไปผมเองก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน”  ผมยกมือนหนามากุมไว้แน่น  พรางคิดถึงช่วงที่กำลังรอคอยเหล่าคุณหมออยู่หน้าห้องฉุกเฉินอย่างใจจดใจจ่อคิดว่าคนตรงหน้าคงไม่รอด   แล้วถ้าหากเป็นแบบนั้นผมเองก็คงอยู่ไม่ได้เหมือนกัน

 

“ทำไม? ทั้งๆที่พี่...” พี่เขาถามกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา  ผมยิ้มบางก่อนจะแทรกขึ้นดักคำพูดเขาก่อนจะพูดจบ

 

“เพราะผมรักพี่”

 

“...”

 

“...รัก  รักมาก  รักจนยอมอภัยสิ่งในอดีตที่พี่เคยทำไว้กับผม” ผมยกมือหนามาแนบเข้าที่แก้มของตัวเอง  ช้อนสายตาสบกับอีกฝ่ายที่ไหววูบและมองผมอย่างอึ้งๆ

 

“ตัวเล็ก..”

 

“ผม...กลับมาหาพี่แล้ว”  ผมหลับตาลงปากก็พร่ำบอกอีกฝ่ายต่อ

 

“...”

 

“พี่ละครับ  จะกลับมาหาผมอีกครั้งได้ไหม?” ผมลืมตาขึ้นเมื่อพูดประโยคนั้นจบ  คนป่วยที่เอาแต่มองอึ้งทำให้ผมนึกขำไม่น้อย  เคยเห็นที่ไหนละท่าทีแบบนี้  “พี่ครับ” ผมเรียก  เขาถึงได้สติขึ้นมา

 

“คำนั้นควรเป็นพี่มากกว่าที่ควรพูดกับเรา”

 

“...”

 

“..ให้โอกาสพี่อีกครั้งนะครับที่รัก”

.

.

.

“ตัวเล็กกกกกกก” น้ำเสียงออดอ้อนดังขึ้นเมื่อยามที่ผมเดินออกมาจากห้องน้ำหลังจากที่เข้าไปอาบน้ำชะล้างร่างกายให้สดชื่น  ตอนนี้ก็ดึกแล้วคนอื่นต่างขอตัวกลับไปกันหมด  มีเพียงแค่ผมที่อยู่เฝ้าคนป่วยอยู่คนเดียวเหมือนทุกที  ผมเดินเข้าไปหาเจ้าของเสียงที่กึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่บนเตียง

 

“ยังไม่นอนอีกหรอครับ” ผมถามเมื่อมาหยุดยืนข้างๆเตียง

 

“รอนอนพร้อมกัน”

 

“ผมยังไม่ง่วง” ผมบอกเพราะผมยังไม่ง่วงจริงๆ  ไหนจะต้องเคลียร์การบ้านที่หอบมานั่งทำที่นี่อีก  อีกไม่กี่วันก็จะถึงกำหนดส่งแล้ว  กะว่าจะรีบทำให้เสร็จในวันนี้เลย

 

“งั้นพี่ก็ยังไม่ง่วง”

 

“พี่ควรนอนพักนะครับ  ไม่สบายอยู่นอนดึกไม่ดี” ผมบอกอย่างเป็นห่วง  แต่อีกคนก็ยังดื้อดึงว่าจะเข้านอนพร้อมผมให้ได้

 

“ถ้าเราไม่นอนพี่ก็ไม่นอน”

 

“ผมยังมีการบ้านต้องทำนะครับ” ผมบอก

 

“พี่รอได้”

 

“...” ผมได้แต่เพียงยืนนิ่งๆเงียบๆมองคนป่วยจอมดื้อดึง  นี่ป่วยจริงหรือเปล่า  ผมคิดว่าเขาหายแล้วนะ  ทั้งๆที่พึ่งจะฟื้นตื่นขึ้นมาแท้ๆ

 

“พี่รอได้   ตัวเล็กไปทำงานของตัวเองเถอะเดี๋ยวพี่ดูทีวีรอ” คนป่วยพูดบอก  ผมถอนหายใจอย่างยอมแพ้กับความดื้อดึงของคนป่วย

 

“ครับ  แต่ถ้าพี่ง่วงก็นอนก่อนเลยนะ” ผมบอกแล้วเดินกลับไปยังโซฟาที่บนโต๊ะเตี้ยมีพวกชีท  สมุด หนังสือวางเรียงรายกันอยู่

เสียงทีวีในห้องไม่ได้เป็นอุปสรรคในการทำการบ้านของผม  เพราะเสียงมันไม่ได้เสียงดังมาก  ผมเองก็มัวแต่นั่งทำการบ้านของตัวเองจนลืมนึกไปว่ายังมีคนป่วยจอมดื้อที่ไม่ยอมนอน  แต่พอเลยหน้าไปมองยังเตียงผู้ป่วยอีกทีกลับทำให้ผมนึกขำ  ผมลุกเดินไปยังเตียงนอนคนป่วย  หยิบรีโมตทีวีในมือของคนป่วยกดปิดมัน  เสียงในห้องเงียบลงถนัด  เพราะทีวีถูกปิดไปแล้ว  ผมจับผ้าที่ร่นอยู่ที่เอวของคนป่วยที่ชิงนอนหลับไปก่อนผมทั้งๆที่บอกว่าจะเข้านอนพร้อมกันขึ้นมาห่มปิดถึงช่วงคอคลายหนาวให้อีกคน

 

“แล้วก็บอกว่าจะเข้านอนพร้อมกัน” ผมยิ้มส่ายหน้าเมื่อมองหน้าคนที่นอนหลับตาหายใจสม่ำเสมออยู่บนเตียงโรงพยาบาล ผมจูบประทับลงบนหน้าผากอีกคน “ฝันดีนะครับ”  ก่อนจะผละออกไปทำงานต่อให้เสร็จจะได้เข้านอนเหมือนกัน  รู้สึกเหนื่อยล้าเต็มทีแล้ว  พอเคลียร์การบ้านตัวเองเสร็จกไปเช็คดูคนบนเตียงอีกรอบ  ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วผมจึงปิดไฟและเข้านอนในส่วนที่นอนเป็นประจำจนเคยชินมันไปเสียแล้ว...โซฟา

 

 ก็อกๆๆ

เสียงเคาะประตูเป็นจังหวะดังขึ้นทำให้ผมลุกขึ้นนั่งด้วยความงัวเงีย  ประตูถูกเปิดออกมาพร้อมกับร่างของพยาบาลที่มาพร้อมกับรถเข็นอาหารเข้ามาด้านใน  ทำให้ผมฉุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

“ได้เวลาทานอาหารแล้วคะ”  พยาบาลบอกทั้งยิ้มใจดีมาทางผม

 

“ของพี่เขาใช่ไหมครับ”  ผมถาม

 

“ใช่คะ”    ผมพยักหน้าเข้าใจ  พยาบาลจึงขอตัวไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ  เจ็ดโมงกว่า  ผมมองดูเวลาที่โทรศัพท์ของตัวเอง  ผมต้องปลุกเขามากินข้าวเช้าใช่ไหมเนี้ย  ดีหน่อยที่วันนี้ผมมีเรียนคาบบ่ายโมง   ผมไปล้างหน้าล้างตาก่อนที่จะมาปลุกคนที่นอนหลับให้ตื่นขึ้นมาทานอาหารเช้าแล้วกินยาที่คุณพยาบาลเตรียมมาพร้อม

 

“พี่ครับ” ผมเรียกอีกคน  ยังไม่มีเสียงตอบรับ

 

“...”

 

“พี่ครับ...” ผมเรียกอีกครั้ง  ครั้งนี้ก็สะกิดอีกคนไปด้วย  หรือจะรอให้พี่เขาตื่นดีว่ะ  คอยให้กิน

 

“...”  แต่ถึงยังนั่นเขาก็ต้องกินยา  แต่ก่อนที่จะกินยาพี่เขาก็ต้องกินข้าวก่อน  ผมเปิดฝาดูว่าอาหารที่พยาบาลนำมาให้เป็นอะไร  อย่างที่คิดเป็นอาหารอ่อนๆ  ข้าวต้มหมู  กลิ่นหอมของข้าวต้มลอยเด่นเตะจมูกผม  ทำให้เกิดอาการหิวอาหารขึ้นมาทันทีทั้งๆที่เมื่อก่อนผมยังไม่รู้สึกหิวขนาดนี้หรืออาจจะเพราะผมไม่มีเรื่องที่ต้องเป็นห่วงอีกแล้ว  เพราะคนป่วยที่นอนหลับยังไม่ตื่นนี้ฟื้นแล้ว

 

“พี่อัล”

 

“...”  ก็ยังไม่ตื่นอยู่ดี

 

“ที่รัก  ตื่นมากินข้าวกินยะ..อ๊ะ !” ผมยังไม่ทันพูดจบก็ถูกกระชากแขนทำให้ไปเกยทับกายหนาที่อยู่บนเตียง  ถึงจะแค่ครึ่งตัวก็เถอะ  รู้สึกถึงแรงกอดรัดที่เอว  ผมเงยหน้าขึ้นมองสบตากับคนป่วยที่ก้มมามองผมเช่นเดียวกัน

 

“เมื่อกี้พูดว่าไงนะ” ผมเลิกคิ้วมองอีกคน  พูดอะไร?  ก็พูดว่าให้กินข้าวไง

 

“กินข้าว..”

 

“ไม่ใช่ๆ ประโยคก่อนกินข้าว”

 

“ตื่น?”

 

“ก่อนหน้าตื่น”  ก่อนหน้าตื่น...  เอ่อออ  รู้สึกเหมือนหน้าเริ่มเห่อร้อนขึ้นเมื่อนึกถึงประโยคที่ใช้เรียก  ใครจะไปคิดว่าคนป่วยจะตื่นมาได้ยินว่ะ  คิดว่าจะนิ่งนอนหลับไม่รับรู้ซะอีก

 

“ก็...”

 

“ก็?” คนป่วยเลิกคิ้วมอง

 

“ก็..ที่รัก” ผมพูดเสียงอู้อี้เพราะซบหน้าลงกับอกของคนป่วย  ไม่กล้าสบสายตาที่มีแพรวพราวเจ้าเล่ห์นั้นจนต้องหลบมันเข้ากับอกเขา  เสียงหัวเราะเบาๆดังขึ้นให้ได้ยิน  นี่เขากำลังแกล้งผมอยู่ใช่ไหม  ผมผละใบหน้าที่ซบลงกับอกเขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นเขากำลังยิ้มขำเบาๆ

 

“หน้าบึ้งเชียว หืม” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นพีร้อมกับสัมผัสของปลายนิ้วที่เกลี่ยข้างแก้มผมเบาๆ

 

“นี่แกล้งผมหรอ?” ผมถาม

 

“เปล่าซักหน่อย  คนป่วยแบบพี่จะไปแกล้งเราได้ยังไง”

 

“...”  ผมหรี่ตามองคนป่วยที่แสร้งทำเป็นไอกลบเกลื้อน

 

“แค่กๆ อึก  รู้สึกคอแห้งจังเลย  หิวน้ำจัง”

 

“งั้นก็ปล่อยผมสิครับ  จะไปเอาน้ำมาให้กิน” ผมบอกเพราะถ้ายังไม่ปล่อยแขนที่กอดรัดผมไว้เนี้ยผมก้ไปหาน้ำมาให้กินไม่ได้นะ

 

“ไม่ไปได้ไหม”

 

“เอ๊ะ!” ผมขมวดคิ้วกับคนป่วยที่ยังไม่ปล่อยผมแถมยังบอกว่ไม่ให้ไปอีก  แล้วจะบ่นทำไมว่าหิวน้ำ  เดี๋ยวก็ปล่อยให้อดซะหรอก

 

“ก็ไม่อยากห่าง..” น้ำเสียงอ้อนดังขึ้นอีกครั้ง

 

“ปล่อยเลยครับ...พี่ถูกรถชนจนสมองผิดปกติจริงๆ  ถึงจะไม่ได้ความจำเสื่อมก็เถอะ” ผมจำใจต้องเป็นฝ่ายจับกระชากแขนที่กอดผมออก  ผมยืนเต็มความสูงที่ไม่สูง  เออนั่นละ  ของตัวเองแล้วก็บ่นคนป่วยที่มองอย่างอ้อยอิ่งเมื่อผมเดินไปเทน้ำมาให้เขา

 

“ทำไมละ  ก็แค่อยากอ้อนเมียตัวเองนี่ผิดหร๊อ”  ผมเดินกลับมาพร้อมกับน้ำในแก้ว  หยุดยืนอยู่ข้างเตียงผมกดปุ่มปรับเตียงให้เอนขึ้นมา  ก่อนจะยื่นแก้วน้ำพร้อมหลอดไปให้คนป่วยดูดดื่ม

 

“ใครเมียพี่” ผมแย้งขึ้น จนคนที่กำลังดูดน้ำถึงกับสำลักออกมา ผมตกใจรีบเข้าไปลูบหลังคนที่ไอคอกแค่กเพราะสำลักน้ำ

 

“แค่กๆ พูดงี้ได้ไงก็ไหน...”

 

“แค่แฟนเถอะ  ยังไม่ใช่เมีย” ผมแย้งขึ้นทันที

 

“มันก็เหมือนกันนิ”  เหมือนตรงไหนกัน  แฟนก็คือแฟนที่คบหากัน  แต่เมียมันต้องใช้ในยามที่แต่งงานกันแล้วไม่ใช่รึไง

 

“ไม่เห็นเหมือนกันสักนิด”

 

“เหมือน”

 

“ไม่เหมือน”

 

“เหมือนดิ”

 

“ไม่เหมือนดิ”

 

“ไม่เหมือนก็ไม่เหมือน ชิ” คนป่วยทำหน้าเง้างอเมื่อเถียงไม่ชนะ  เอ่อ...ผมว่าผมควรแจ้งหมอว่าอาการเขาผิดปกติไปจริงๆ  ถึงจะเคยคบกันมาก่อนแต่เวลานั้นเขาจะไม่ค่อยมีอาการงอเง้าหรืองอนผมแบบนี้แน่ๆ ถึงจะมีงอนบ้างแต่ไม่ถึงกับขนาดนี้อ่ะ  ไอ้ท่าเชิดหน้าขึ้นเบือนหนีไปอีกทางนี้มันไรกันว่ะ  ท่าทางเหมือนกับหนุ่มน้อยงอนผู้ใหญ่ซะเหลือเกิน  แต่มันกลับทำให้ผมยิ้มขำออกมา  เพราะมันดูน่ารักซึ่งต่างจากใบหน้าปกติที่เคยเป็น

 

“ครับ  งั้น...ทานข้าวแล้วทานยานะครับ” ผมลากรถเข็นมาไว้ตรงหน้าคนป่วย  พี่เขายังคงเชิดหน้าหันหนีไม่สนใจอาหารที่ผมเข็นมาอยู่ตรงหน้าเลย

 

“...”  เดี๋ยวคอก็หัก  ผมคิดในใจไม่ได้พูดออกไป

 

“ข้าวต้มน่ากิ๊นน่ากิน  คงอร๊อยอร่อยน่าดู”  ผมนั่งลงตรงข้ามคนป่วยบนเตียงแล้วยกจานข้าวต้มมาดมๆ กลิ่นหอมของข้าวต้มยังคงอยู่  พูดเสียงสูงเรียกร้องให้คนป่วยหันมาสนใจ  แต่อีกคนกลับทำเพียงแค่เหล่มอง

 

“...”  ผมยิ้มในใจ  นึกอยากแกล้งคนป่วยอีกสักนิด

 

“กินข้าวนะครับ” ผมตักข้าวต้มมาเป่าเอาไอร้อนออกแล้วยื่นมันไปตรงหน้าคนป่วย  พี่เขายอมหันมาแลวอ้าปากเตรีมจะงับข้าวต้มในช้อนที่ผมตักป้อน

 

“อื้มม  อร่อยจริงๆด้วย”  ก่อนที่พี่เขาจะได้ทานมันนั้นผมกลับชักช้อนกลับมาแล้วเอาข้าวต้มในช้อนงับข้าวปากตัวเองทันที มองคนป่วยที่ทำหน้าบึ้งตรงหน้า

 

“ไม่ง้อแล้วยังจะแย่งอาหารคนป่วยกินอีกนะตัวเล็ก”

 

“แล้วผมบอกให้พี่งอนผมหรอตื่นมาแล้วงอแงนะครับ หึๆ”

 

“ก็ทำแบบนี้แค่กับเมียคนเดียวเถอะ”

 

“แฟน” ผมย้ำอีกครั้ง

 

“เออแฟนนั่นละ  อีกเดี๋ยวก็เมีย”

 

“ว่าไงน่ะ?” ผมถามเพราะไม่ได้ยินที่อีกคนพูด  เห็นงึมง้ำๆพึมพำคนเดียว

 

“เปล่า หิวแล้วตัวเล็กป้อนข้าวพี่หน่อยสิ” น้ำเสียงออดอ้อนดังขึ้นอีกครั้ง  ผมได้แต่ส่ายหน้าให้กับอการที่จะอ้อนก็อ้อน  งอนก็งอน  แปรปรวนสิ้นดี  แต่มันกลับทำให้ผมมีความสุขและยิ้มได้อย่างเต็มที่  ผมจัดการป้อนข้าวป้อนยาคนป่วย ซักพักเขาก็หลับลงในช่วงเวลาไม่นาน  เพราะฤทธิ์ยาสินะ

 

 

“ไอ้เดฟไสหัวไปไกลๆส้นตีนกูลยไอ้เหี้ย!!” เสียงเอะอะโวยวายขงพาสต้าดังลอดเข้ามาในห้อง  ประตูห้องถูกเปิดออกพร้อมกับร่างคนสองคนเดินเข้ามา  พาสต้าเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายักษ์  นี่ยังไม่ดีกันอีกหรอว่ะ  ผมได้แต่คิดเมื่อเห้นสองคนนี้ยังคงทะเลาะกันอยู่จะทุกวัน  แต่ปกติตอนคบกันก็ไม่มีวันไหนที่สองคนนี้ไม่ทะเลาะกันเลยนี่หว่า

 

“ไปยังไอ้โย  กูไม่อยากใช้อากาศร่วมหายใจกับคนเลว!” พาสต้าพูดกับผมในช่วงแรกแล้วช่วงท้ายมันหันไปเน้นคำว่าเลวใส่พี่เดฟที่อยู่ข้างๆ  ที่พาสต้าต้องมาที่นี่คือต้องมารับผมไปมหาลัยด้วยกัน  จริงๆผมไปเองก็ได้ แต่ไอ้พสมันบอกว่าจะมารับผมก็เออแล้วแต่มัน  แต่ทุกครั้งที่มันมามักจะมีพี่เดฟเดินตามมาด้วยเสมอ

 

“เออๆเสร็จแล้ว” ผมบอกพร้อมกับสะพายเป้ไว้บนไหล่

 

“เออกูไปรอด้านนอกนะ” มันพูดจบก็เดินออกไปนอกห้องทันที  ทิ้งพี่เดฟให้มองตาละห้อยอยู่คนเดียว

 

“ผมฝากดูแลพี่เขาด้วยนะครับ” ผมบอก พี่เดฟจึงหันมามองผม

 

“ไม่ต้องห่วงหรอก  พี่จะดูแลมันอย่างดี” ผมยิ้มให้พี่เดฟก่อนที่จะขอตัวเพราะเดี๋ยวไอ้ตัวข้างนอกมันรอนานแล้วจะโวยวายแต่ก่อนที่จะทันได้เปิดประตูออกไป ผมกลับหันไปเอ่ยบอกพี่เดฟอย่างให้กำลังใจ “อย่าพึ่งท้อนะครับ  พาสต้ามันก็เล่นตัวไปอย่างนั่น  ง้อมันอีกนิดเดี๋ยวก็ดีเองครับ” ผมพูดจบก็เปิดประตูออกไปจากห้องเลย  ไม่รอฟังว่าพี่เดฟจะตอบอะไร

 

“ชักช้านะมึง  มัวทำเชี้ยไรห้ะไอ้เตี้ย!”

 

“นี่มึงพาลกูหรอพาสต้า” ผมมองเพื่อนที่เริ่มพาลผม  ทั้งๆที่ผมยังไม่ทันได้ทำอะไรมันเลยแท้ๆ

 

“ก็มึงลีลา  มัวแต่ล่ำลาผัวรึไง”

 

“พี่เขาหลับอยู่  กูไม่กล้าปลุกหรอก”  ผมบอกตามความจริง  เห็นเขาหลับเลยไม่คิดจะปลุก  ให้เขาได้พักผ่อนร่างกายจะได้ฟื้นตัวเร็วๆ  จะได้ออกจากโรงพยาบาลซักที

 

“ห่วงกันจริ๊งง” มาทำเสียงสงเสียงสูงใส่อีกไอ้นี่

 

“หงุดหงิดอะไรของมึงห้ะ”  ผมจำต้องเอ่ยถามเป็นไม่ได้ระหว่างที่รอลิฟท์

 

“ก็ไอ้เหี้ยตัวนั่นไง ฮึ่ย!” มันทำเสียงฮึดฮัดเมื่อพูดถึงพี่เดฟ

 

“ทำไม?” ผมเลิกคิ้วถามมัน  มันหันกลับมามองผมแล้วถอนหายใจเซ็งๆ

 

“ตามติดกู24ชั่วโมงอย่างกับพวกโรคจิต!”

 

ตึ๊ง ! เสียงประตูลิฟท์ดังเตือนขึ้นมีผู้คนออกมาจากลิฟท์ผมและพาสต้าเดินสวนเข้าไป

 

“ก็มึงไม่ยอมคุยกับพี่เขาดีๆนิ” ผมบอกเมื่อเข้ามาในลิฟท์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว  ไอ้พาสมันกดเลขชั้นที่หนึ่ง  มันยืนพิงหลังเข้ากับตัวลิฟท์แล้วจ้องหน้าผม

 

“ก็กู..” ในจังหวะที่ประตูลิฟท์กำลังจะปิดลง  ก็มีมือปริศนามาแทรกกลางระหว่างบานประตูเอาไว้  ทำให้ผมและไอ้พาสหันไปมองพร้อมๆกัน

 

“พาสต้า ! ไม่พรุ่งนี้ มะรืนนี้  กูจะทำให้มึงกลับมาหากูให้ได้  เตรียมตัวไว้ให้ดี  !!”  เมื่อพี่เดฟพูดจบจากที่ขวางบานประตูอยู่ก็เดินถอยหลังออกไป  ประตูค่อยๆเลื่อนปิด  พี่เดฟยังยืนอยู่หน้าลิฟท์ยังไม่ไปไหน  ส่วนพาสต้าเองก็เอาแต่จ้องมองพี่เดฟจนประตูลิฟท์เลื่อนปิดสนิท

 

 

ก็อกๆๆ  ผมเคาะประตูห้องผู้ป่วยอย่างมีมารยาทก่อนที่จะเปิดมันออกกว้างทำให้เห้นว่าบรรยากาศภายในห้องมันดูเอะอะเสียงดังและเฮฮากัน  เพราะภายในห้องมีรุ่นพี่ร่วมคณะมาอยู่กันครบแก๊งค์เลย

 

“สวัสดีครับ  พี่เอ พี่โบ๊ท พี่คิม”  ผมยกมือไหว้รุ่นพี่ที่กำลังนั่งเล่น  นั่งกิน  คุยกันสนุกสนาน  เมื่อเห้นผมพวกพี่เขาก็หันมายิ้มแล้วเอ่ยทักผมกลับบ้าง

 

“สวัสดีครับน้องโย”

 

“พวกมึงไสหัวไปได้แล้ว”  คนป่วยพูดไล่เพื่อน

 

“อ้าว  ไหงมาไล่กันกลับว่ะ”  พี่เอมองค้อนคนป่วย

 

“พอเมียมาแล้วไล่เพื่อนเลยนะมึง  ไม่ค่อยจะเท่าไรเลย!” พี่โบ๊ทเหยียดยิ้มมองคนป่วยอย่างหน่าย

 

“เรื่องของกู  มาแล้วทำเสียงดังน่ารำคาญ”

 

“โอ๊ยย ไอ้เวร !  นี่เพื่อนมึงน่ะ  ทำไมเห็นเมียสำคัญกว่ากู”

 

“ไม่น่าถามนะไอ้เอ  เมียก็ต้องสำคัญกว่ามึงอยู่แล้ว” พี่คิมเอ่ยขึ้นบ้าง  มองเพื่อนข้างกายอย่างเซ็งๆ

 

“อย่างที่ไอ้คิมพูด  เมียเป็นที่หนึ่งเว้ย  ไสหัวไปทุกตัวได้แล้วไป  ส่วนมึงไอ้เดฟถ้าอยากไปหาเมียมึงรีบไสหัวไปเลย!”

 

“สัส!” พี่เอสบถด่าคำหยาบออกมาก่อนจะปาองุ่นใส่คนป่วยที่นอนอยู่บนเตียง

 

“เออ  งั้นพวกกูกลับก่อนละกัน  ไว้แวะมาเยี่ยมใหม่”  พี่โบ๊ทบอก แล้วก็พากันลุกขึ้น  ผมเดินไปส่งพี่เขาที่ประตู

 

“ไอ้เดฟ..”

 

“เออรู้แล้วน่า  กำลังไปเว้ย...  พี่ไปแล้วนะน้องโย” พี่เดฟบอก  ผมยิ้มให้ก่อนที่พี่เขาจะเดินออกไป

 

ผมนำกระเป๋าเป้ตัวเองไปวางไว้ข้างๆโซฟาที่ใช้นอนทุกวัน  เดินไปหาน้ำขึ้นดื่ม  มีผลไม้หลากหลายอย่างมาเพิ่มอยู่ในตู้เย็น  คงจะเป็นของพวกพี่ๆเขานั่นละ

 

“ตัวเล็ก..”

 

“ครับ” ผมหันไปมองคนที่เรียก  เขากวักมือเรียกให้ผมเดินเข้าไปหา  ผมจึงเดินเข้าไปหาเผื่อเขาต้องการอะไรจะได้หาให้ได้

 

“ขึ้นมาสิ”

 

“ครับ?” ผมขมวดคิ้วมองอีกคนอย่างไม่เข้าใจ  แต่เขาก็ขยับตัวให้พื้นที่เตียงได้มีส่วนว่างพร้อมกับตบลงบนเตียงว่างๆ

 

“ขึ้นมาบนนี้” ผมยืนกระพริบตาปริบๆ  ไม่ได้ทำตามที่อีกคนสั่ง

 

“อ๊ะ ..” จนเขาต้องฉุดเอาแขนผมให้ขึ้นมาบนเตียงเดียวกัน  สภาพผู้ชายสองคนนอนบนเตียงเล็กๆนี่  คนป่วยกอดก่ายผมให้นอนซบลงไปบนอกแกร่ง

 

“พี่ง่วง”  คนป่วยบอกแถมยังกอดรัดร่างผมให้แนบชิดเข้าไปเบียดกับตัวเขาอีก

 

“ง่วงก็นอนสิครับ  แล้วกอดผมแบบนี้ไม่อึดอัดรึไง”

 

“ไม่เลยซักนิด”  คนป่วยบอกทั้งๆที่หลับตาอยู่

 

“แต่ผมอึดอัด  มันแน่นเกินไป” ผมบอกทำให้คนป่วยเริ่มคลายกอดแต่ก็ไม่ได้ปล่อยหมด

 

“...”

 

“พักผ่อนเถอะครับ”

 

“ตัวเล็กก็ควรพักผ่อนนอนอยู่กับพี่บนนี้แหละ”

 

“แต่...”

 

“ไม่มีแต่  นอนซะนะเด็กดี  พี่อยากกอดเราแล้วนอนหลับไปพร้อมๆกัน”

 

“...อือ”  ผมพยักหน้ากับอกอีกคน

 

ถึงแม้ว่าตะวันยังไม่ทันได้ลับขอบฟ้า  ผมเองก็ไม่ได้รู้สึกง่วงนอนอะไรแต่พอมาอยู่ภายในอ้อมกอดที่อบอุ่นนี่ที่กำลังโอบล้อมร่างกายของผมอยู่มันทำให้ผมกลับรู้สึกอยากเข้าสู่ห้วงนิทราแทบจะทันที  มันอบอุ่นทั้งกายและใจ  สัมผัสอ่อนโยนแตะลงบนหน้าผากผม  ผมเงยขึ้นมองเจ้าของอ้อมกอดอบอุ่นนี้ที่กำลังจ้องมาที่ผมพร้อมกับรอยยิ้มบาง  ผมยื่นหน้าขึ้นจูบที่ปลายคางอีกฝ่ายแล้วกลับมาซุกลงที่อกอุ่นอีกครั้ง
 

“ฝันดีครับคุณแฟน”


“ฝันดีเช่นกันครับตัวเล็ก”  น้ำเสียงทุ้มอ่อนโยนเอ่ยบอก  ผมจะฝันดีแน่นอน  ในฝันของผมจะมีแค่เขา  มีแค่เราสองคนที่ยิ้มให้กันอย่างมีความสุข

 

 

ออฟไลน์ Cencer

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ตอนที่27 : ขันหมากง้อเมีย (เดฟxพาสต้า)
[/size]

-เดฟ-


 

“มึงเอาจริงดิไอ้เดฟ?”

 

“จริง!”

 

“มึงคิดดีแล้วใช่ไหม?”

 

“ใช่!”

 

“มึงมั่นใจแค่ไหน?”

 

“100เปอร์เซ็นต์!”

 

“ละ...”

 

“โอ๊ยยยยไอ้เชี้ย! พวกมึงจะถามไรนักหนาว่ะ  สรุปจะช่วยหรือไม่ช่วย!”

 

ผมโวยขึ้นมองหน้าเพื่อนตัวเองเรียงตัว  วันนี้เป็นอีกวันที่พวกผมมาเยี่ยมไอ้พระเอกคนดีที่ตอนนี้รู้สึกชีวิตรักันแม่งจะแฮปปี้ ดี๊ดี เกินหน้าเกินตาเพื่อนพระเอกอย่างผมยิ่งนัก  ผมไม่อาจจะยอมน้อยหน้ามันได้จึงเรียกประชุมเฉพาะกิจอย่างฉุกเฉิน  จริงๆเรียกบังคับเลยจะดีกว่า

 

“ถ้าไม่ช่วยนี่จะมีปัญหาป่ะล่ะ?” ผมหันขวับไปมองไอ้คนพูดทันที  นี่ไม่เข้าใจที่กูพูดเลยใช่ไหม  ทั้งๆที่ก็บอกทุกอย่างไปหมดแล้ว  ถึงแม้ว่ากูจะถามว่าจะช่วยหรือไม่   มึงควรตอบตกลงว่าช่วยเลยเส่ !

 

“มี!” ผมตอบไอ้โบ๊ท  มันทำหน้าเซ็งเมื่อได้ยินคำตอบจากผม

 

“แล้วมึงจะถามพวกกูทำไมอีกว่ะ  แม่งบังคับสัสๆ” ไอ้เอมันขยี้หัวตัวเองอย่างหงุดหงิด

 

“เรื่องมึงนะไอ้เดฟมาลากพวกกูเข้าไปร่วมด้วยทำไมว่ะ” ไอ้คิมเอ่ยขึ้นบ้าง  มันยิ่งกว่าทำหน้าหงุดหงิดอีกไอ้เนี้ย  เสียงงี้แข็งชิบหาย  ไปแดกรังแตนแถวไหนมาว่ะ

 

“ก็พวกมึงเพื่อนกู”

 

“ไอ้เวร ! เพื่อนมึงนะนู้น  คนเลวๆที่นอนป่วยอยู่นู้น  พวกกูไม่ใช่” ไอ้คิมมันนั่งกอดอกบุ้ยปากไปทางไอ้อัลที่นอนเล่นโทรศัพท์อยู่ในโลกส่วนตัวสีชมพู๊ชมพูของมัน  ไม่คิดจะสนใจสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเพื่อนมันบ้างเลย  แต่มันก็ยังหูไว  ถึงแม้ว่าตาจะไม่ได้มองมา

 

“นินทากูให้มันเบาๆหน่อยเถอะไอ้คิม”  คนถูกนินทายอมละสายตาจากโทรศัพท์มาจ้องไอ้คิมเขม็ง

 

“กูพูดให้ได้ยินเลยเถอะ”

 

“พอเลยมึงสองตัว  ไอ้อัลมึงพิการอยู่อย่ามาเสือก” ผมหันไปจ้องมันให้หุบปากเงียบๆไว้  แม่งช่วยอะไรไม่ได้ยังเสือกจะมาเถียงกันอีก

 

“พิการพ่องดิ แล้วเมื่อไรจะไสหัวออกไปจากห้องกูห้ะ”

 

“ไม่ต้องมาทำเป็นไล่พวกกูไอ้อัล  เมียมึงกำลังจะมาละสิ” ผมพูดขึ้นมาอย่างรู้ทัน  เมียมาทีนี่ไล่เพื่อนอย่างกับหมูกับหมา

 

“เออรู้แล้วก็ดี  จะได้ไม่ต้องเปลื้องน้ำลาย”

 

“ไอ้สัส ! เห็นเมียดีกว่าเพื่อนตลอด” ไอ้เอมันปาองุ่นใส่ไอ้อัล

 

“เออ!!”

 

“ไอ้ฟาย  แก้ตัวซักนิดก็ได้”

 

“ทำไมต้องทำ” ไอ้อัลไหวไหล่ไม่สนใจ  มันกลับไปสนใจโทรศัพท์มันต่อแทน

 

“กูว่าแม่งต้องบ้าแน่ๆ” ไอ้เอมันพูดกระซิบกระซาบให้ได้ยินกันแค่ในกลุ่ม

 

“ยังไงว่ะ?” ผมถามอย่างสงสัย

 

“ก็แม่งดูดิว่ะ  คนห่าไรเปลี่ยนอารมณ์เร็วชิบหาย” ไอ้เอเหล่สายตาไปมองทางไอ้อัลแล้วทำท่าป้องปากพูด  พวกผมจึงหันไปมองตามสายตาไอ้เอ  เห็นไอ้อัลมันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่คนเดียวจริงๆ  เมื่อกี้มันยังเหวี่ยงใส่พวกผมอยู่เลยมาตอนนี้แบบ...

 

“มองกูมีไรอีกห้ะ !”  ไอ้นี่ก้สัมผัสไวจริงๆ  เพราะรถชนใช่ไหมสัมผัสรอบกายมึงถึงได้รู้สึกได้รวดเร็วแบบนี้  มันหันมาจ้องเขม็งพวกผมอีกครั้ง  ผมนี่แทบหันหนีไม่ทัน

 

“เปล๊า  ไม่ได้ม๊องง!!” ไอ้เอพูดเสียงสูง  ทำไม่รู้ไม่ชี้  แหมอย่างจะยกตีนตัวเองประทับบนใบหน้ามันมาก  มันคงเชื่อหร๊อกก  ท่าทางแม่งบอกซะขนาดนั้น

 

“พอๆเข้าเรื่องมึงเลยไอ้เดฟ” ไอ้คิมแทรกขึ้นมา  เออผมก็คิดว่ามันควรที่จะอยู่ในเรื่องของผมมากกว่าที่จะไปกวนไอ้อัลมัน

 

“เออไอ้เอหุบปากฟังที่กูพูดพอ”

 

“ใช่เรื่องไหมห้ะ!”

 

“ไอ้โบ๊ทหาไรอุดปากเมียมึงดิ” ผมบอกไอ้โบ๊ทที่นั่งข้างๆไอ้เอ

 

“เมียมึงดิไอ้เดฟ”

 

“ไอ้ห่า  เห็นงี้กูเลือกสัส”

 

“แหมกล้าพูดนะมึงไอ้เดฟ  กูเลือกๆ  แล้วมึงคิดว่ากูไม่เลือกหรือไงว่ะ  น้ำหน้าอย่างมึงไม่ใช่สปคกูหร๊อกก!!” ไอ้เอมันเชิดหน้าพูดใส่ผม  ผมเบ้ปากใส่มัน  หมั้นไส้  คิดว่าตัวเองดีกว่าผมงั้นแหละ

 

“คิดว่ามึงสเปคกูรึไง!”

 

“ถ้าจะเถียงกันแบบนี้กูกับไอ้โบ๊ทจะได้กลับ  เสียเวลาชิบ” ไอ้คิมกอดอกทำหน้าเซ็ง

 

“เออไม่มีไรกูจะได้กลับ  ป่านนี้น้องพิมพ์แม่งรอกูอยู่”ไอ้โบ๊ทว่า

 

“ยัยเด็กอักษรอ่ะนะ” ผมถาม

 

“เออ...”

 

“กูคิดว่ามึงจะเลิกแล้วซะอีก”ไอ้เอถาม

 

“กูไม่ได้มีสันดานแบบพวกมึง พอๆเลย  เข้าเรื่องมึงต่อไอ้เหี้ยเดฟ” ไอ้โบ๊ทมันโบกมือบอกให้พอ

 

“เออก็ตามที่บอกนั่นละ  พวกมึงทุกตัวต้องพร้อมนะเว้ย  อย่าให้พลาดละ” ผมบอกมองพวกมันเรียงตัว

 

“บอกตัวมึงเองก่อนเหอะไอ้เดฟ”

 

“กูไม่มีทางพลาดอยู่แล้ว!” ผมมั่นใจ  ว่าไม่มีพลาด  เสร็จกูแน่เมียรัก หึๆ

 

ก๊อก ๆ

เสียงเคาะประตูดังขัดขึ้นเรียกสายตาให้หันไปมอง  ประตูเปิดออกเผยให้เห็นเด็กหนุ่มร่างบางในชุดนักศึกษาเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับของกินมากมายเต็มมือ   ทำให้ไอ้คนตาไวมือไวรีบแจ๋นเข้าไปหาทันที

 

“น้องโย  มาๆพี่เอช่วยถือ”

 

“อะ เอ่อ..ครับๆ” โยชิเหมือนจะ งง ที่อยู่ๆก็ถูกพุ่งเข้าใส่ตัว  ไอ้เอมันคว้าเอาของที่โยชิถือมาไว้กับตัวเอง  สายตามันก็สอดส่องดูว่ามีอะไรบ้าง

 

“ไอ้เอมึงทำน้องกลัวไอ้นี่” ไอ้คิมว่า ส่วนไอ้เอมันมีรึจะสนใจเดินเอาของไปเก็บจัดใส่จาน  ใส่ตู้เย็น  อย่างน้อยมันก็ทำประโยชน์ได้ในส่วนนี้ละนะ

 

“สวัสดีครับพี่เดฟ พี่คิม พี่โบ๊ท พี่เอ” โยชิยกมือไหว้พวกผมทุกคน

 

“มาคนเดียวหรอ?” ผมถาม  โยชิพยักหน้าช้าๆ

 

“ครับ”  ผมก็อุตส่าห์คิดว่าจะมีเพื่อนน้องมันพ่วงมาด้วย  เฮ้ออ  แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ  เดี๋ยวเราก็ได้เจอกัน  มึงหนีกูไม่รอดหรอกพาสต้า..

 

 

“พี่เอเห็นถุงรังนกหรือเปล่าครับ” โยชิถามโดยที่ไม่ได้หันมามองพวกผมที่ยังคงสถิตอยู่ไม่ได้ไปไหน  ถึงแม้ไอ้คนป่วยมันไล่ให้ตายก็ไม่ลุกหรอกครับ  อยู่กินของฟรีกันก่อน  ของฟรีที่ว่าก็ที่โยชิซื้อเข้ามานั่นละครับ  โดยมีไอ้เอเป็นผู้จัดใส่จานมาวางกองที่โต๊ะประชุม(โซฟา)พวกผม

 

“มันเป็นถุงยังไงอ่ะน้องโย...หืม  อันนี้อร่อย” ไอ้เอตอบในปากก็เคี่ยวของกินไปด้วย  แต่เดี๋ยวนะที่ไอ้เอมันว่าอร่อยนี่คือ..

 

“ในถุงกระดาษจะมีขวดรังนกอยู่ในนั้นอ่ะครับ  ผมหาแล้วไม่เจอ..”

 

“ใช่อันนี้ป่ะโย?”

 

“อ่ะ ไอ้เดฟเอามากูกินอยู่  อย่ามาแย่ง!” ผมแย่งถ้วยที่ไอ้เอมันกำลังกินอยู่มาถือแล้วเรียกให้โยชิมาดู  โยชิเดินมาดูใกล้ๆ พยักหน้าช้าๆ  มองถ้วยรังนกที่ไอ้เอมันย่งกลับไปกินอีกรอบ  ครั้งนี้มันหันหนีไปทางอื่น

 

“ซื้อมาให้ไอ้อัลหรอ”

 

“ผมไม่ได้ซื้อครับ  แต่เป็นเฮียอาทิตย์ฝากมาเยี่ยมต่างหาก”

 

“ของพี่ชายเราคนนั้นใช่ไหม?” ผมถามทั้งๆที่รู้ว่าเป็นใคร  เคยเจอมาครั้งหนึ่งที่ผับตอนที่ไอ้อัลมันไปตามเมียมัน ถึงแม้จะไม่ค่อยไม่พูดคุยหรือทำความรู้จักอะไรกันมาก  แต่แค่มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่า  ผู้ชายคนนั้นน่ากลัว  ผมยังคิดเลยว่าผมกับไอ้อัลรอดมาได้ไงว่ะไปทำกับน้องชายเขาเอาไว้  เขาไม่เอาตายก็บุญแล้ว  แต่เขาก็ยังใจดีไม่กีดกันเชี้ยอัลออกจากชีวิตของโยชิ  ถึงแม้มันจะคอยตามดูห่างๆก็เถอะ  แต่นี่เขาใจดีเว้ยยังอุตส่าห์ฝากของเยี่ยมมาให้เพื่อนผมด้วย  แต่ไอ้เอที่นั่งกินของคนอื่นนี่สิปัญหา  ไม่คิดจะถามเลยว่ากินได้ไหม  นี่อะไรแกะแล้วมานั่งกินเลย  สรุปใครกันแน่ที่ป่วย  มันหรือไอ้อัล

 

“ใช่ครับ  แหะๆ”

 

“เชี้ยเอ  มึงรู้ไหมว่ากินของคนอื่นนะห้ะ” คิมหันไปแวดใส่ไอ้เอ

 

“คนอื่นที่ไหน  ของไอ้อัลต่างหาก  เคยได้ยินไหมคำนี้อ่ะ  ของๆเพื่อนก็เหมือนของๆเรา”

 

“แต่ที่มึงกินอ่ะเป็นของพี่ชายโยชิเอามาให้นะ  คายออกมาเลยมึง”

 

“อ..เอ่อ ไม่เป็นไรครับพี่โบ๊ท ผมไม่ถือหรอก”  โยชิรีบพูด เพราะตอนนี้ไอ้โบ๊ทแทบจะล้วงคอไอ้เอออกมา

 

“เออพอเถอะไอ้โบ๊ท  ต่อให้มึงล้วงคอมันจนอ้วกออกมากูก็ไม่มีอารมณ์จะกินหรอก  มีแต่จะสำรอกออกมาแทน”

 

“เห็นไหม ไอ้อัลไม่ว่าไร  โยชิก็ไม่ถือ กูกินต่อได้แล้วใช่ป่ะ”   ไอ้เอมันยังไม่รู้สึกตัวอีก  ก็เพราะเขาเอือมกับมึงไง  แม่งกินแล้วใครจะกินต่อจากมึงได้  หันไปมองโยชิก็ยิ้มขำไอ้เอได้  นี่ก็ไม่คิดจะโกรธอะไรมันเลยรึไง  ด่ามันให้เจ็บแสบคันๆซักนิดก็ได้

 

“ เออ~ ~ เอิ๊ก..อิ่ม”

 

“ไอ้ฟาย !!” ผม ไอ้โบ๊ท ไอ้คิม พูดคำเดียวกันขึ้นมาพร้อมกัน  มันสมควรอายบ้างนะ  ถึงไม่อายพวกผมที่เป็นเพื่อนแต่ควรอายเด็กน้อยที่นั่งปรนนนิบัติเพื่อนผมข้างๆเตียงนั่นอยู่บ้าง เห็นโยชินั่งขำอยู่  ส่วนไอ้อัลก็หันมาจ้องเขม็ง  เชื่อสิอีกไม่นานก็โดนไล่กลับ

 

“ไสหัวกลับไปได้แล้วไปพวกมึงแม่งไม่มีที่อื่นไปหรือไงว่ะ” นั่นเคยคิดผิดที่ไหน

 

“ก็ไม่มีไงถึงมาอุดอู้กันอยู่ที่นี่”

 

“เฮ้อออ”  ตอนนี้มันถึงกับถอนหายใจเลยเว้ย  ฮ่าๆๆ

 

“เออๆงั้นพวกกูกลับแล้ว  ไม่อยากอยู่เป็นกกน.อยู่แล้ว” ไอ้เอมึงเล่นมุขไรของมึงเนี้ย  ปรึกษาเพื่อนด้วย

 

“กขค. มุกไม่ฮาจะพาเครียด!” ไอ้คิมตบป๊าบเข้าหัวไอ้เอเต็มแรง  มันก็โอดครวญตามท้องเรื่องของมันไป

 

“งั้นพวกกูกลับเลยแล้วกัน  กูมีเรื่องต้องไปทำต่อด้วย”

 

“เรื่องไรว่ะ”

 

“เรื่องวันพรุ่งนี้ไง  ไปละมึงเดี๋ยวมาใหม่” ผมบอกไอ้อัลแล้วเดินออกจากห้อง  ตามมาด้วยขบสนเพื่อนอีกสามคนที่เดินตามกันมา  เราแยกย้ายกันเพราะต่างฝ่ายต่างเอารถมา  ผมมีเรื่องต้องไปจัดการต่อ  เพราะพรุ่งนี้ผมจะไปง้อเมีย  จะง้อแบบไม่มีวันหนีหายกันไปไหนได้เลย  มีเชือกก็มัดเชือก มีโซ่ก็จะล่ามไว้  หึๆ  เสร็จผัวแน่พาสต้าเมียรัก

.

.

.

“มึงอยู่ไหนห้ะไอ้เอ  รีบๆเลยเสียเริกกูหมด”

 

(โอ๊ย ! ไอ้เชี้ย  เร่งกูมากๆเดี๋ยวแม่งไม่ช่วยเลย..ติ๊ด!)

 

“ไอ้.. มึงกล้าว่างสายกูหรอห้ะเชี่ยเอ” ผมกัดฟันพูดมองโทรศัพท์ที่เพื่อนมันชิงตัดสายไปก่อนทันผมจะด่ามัน  บอกแล้วว่าอย่าสายๆ  เสียเริกกูหมดเลย ฮึ่ย ! แล้วงี้มันจะไม่พลาดหรอว่ะ

 

“ใจเย็นนามึง  เดี๋ยวมันก็ถึง” ไอ้โบ๊ทมันตบบ่าผมเบาๆ  ผมถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งอุตส่าห์เตรียมตัวมาอย่างดีแล้วแท้ๆ

 

“ไม่ต้องรีบร้อนก็ได้ไอ้เดฟ  บ้านเมียมึงไม่หนีไปไหนหรอก” ไอ้คิมมันยืนพิงรถกอดอกมองสำรวจรอบๆ  มันพึ่งเคยจะผ่านมาแถวนี้ครั้งแรกครับ  แตกต่างจากผมกับไอ้อัลมาแถวนี้บ่อยขนาดว่าหลับตาขับรถมายังถูกเลยครับ

 

“แล้วนี่ทำไมพวกกูต้องใส่ชุดไทยด้วยว่ะ” ไอ้โบ๊ทมันพูดขึ้นมองสำรวจร่างกายตัวเอง

 

“เอ้า ! เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวต้องแต่งหล่อหน่อยดิว่ะ”

 

“กล้าพูดนะไอ้เดฟ  มึงขอลูกเขาให้ได้ก่อนดีกว่าไหมคอยบอกว่าตัวเองเป็นเจ้าบ่าว” ไอ้คิมส่ายหัวน้อยๆ

 

“อย่าดูถูกกูครับ  นี่ใคร  เดฟไง  เดฟเอง  ได้อยู่แล้ว” ผมตบเข้าอกตัวเองว่านี่ไอ้เดฟไง  มีอะไรที่ทำแล้วไม่ได้บ้าง  โด่วว เดฟซะอย่างอยากได้อะไรก็ต้องได้  ต่อให้โดนไล่อย่างหมูอย่างหมาก็ยอม  ขอแค่ได้เป็นพอ

 

“มั่นใจ๋?” ไอ้โบ๊ทถาม

 

“ก็...นีสหนึ่ง” ผมทำนิ้วให้มันดูว่าแค่ไหน  นิดเดียวจริงๆที่ผมมั่นใจ  ฮ่าๆๆ  พวกคุณก็รู้ว่าเมียรักผมมันโหดแค่ไหน  เอะอะนี่มือตีนประเคนใส่รัวๆ  ถึงช่วงที่เลิกไปจะไม่เคยโดนเลย  นั่นแหละครับมันทำให้ผมโคตรจะคิดถึงมือ ตีน เมียมากอยากได้มาประทับอยู่บนร่างกาย

 

“เหอะๆ”

 

ปี๊บๆ  เสียงแตรรถดังขึ้นทำให้พวกผมหันไปมอง  เป็นรถของไอ้เอที่ขับมาจอดเลียบข้างๆริมถนนที่ที่พวกผมยืนอยู่  มันลงมาจากรถทำหน้าหงิกงอ

 

“เชี่ยเดฟ ! มึงรู้ไหมกูต้องหลงทางไปซอยอื่นน่ะห้ะ  บ้านเมียมึงหายากบรรลัยสัส  รู้ไหมเปลื้องน้ำมันรถกู” มาถึงก็บ่นๆเลยเว้ย

 

“แล้วใครเสือกให้มึงตื่นสายห้ะ  บอกให้มาพร้อมพวกกูก็ไม่เชื่อ สมน้ำหน้า!”

 

“ไอ้เดฟมึงพูดงี้กูกลับ  ไม่ช่วยแม่งละ”

 

“เฮ้ยๆๆ ได้ไงว่ะ” ผมรีบไปดึงแขนมันไว้  ไอ้นี่จะชิ่งอย่างเดียวเลย  มาถึงหน้าบ้านแล้วเนี้ยจะกลับง่ายๆได้ไงว่ะ

 

“เชอะ !”

 

“กูจ่ายค่าเหนื่อยให้ก็ได้  ว่าแต่ได้เอาของที่กูสั่งมาป่าวว่ะ”

 

“เออเอามา” ไอ้เอบอกพร้อมกับเดินไปหยิบของที่บอกมาให้

 

“ดีมากไอ้เพื่อนรัก หึๆ” ผมถึงกับยกนิ้วให้มัน  มันเบ้ปากมองบนใส่ผม  ไม่สนแค่ได้ของที่สั่งก็พอแล้ว

 

“ของพร้อมแล้วใช่ไหม  งั้นไปได้แล้วไอ้เดฟ” ไอ้คิมบอกพร้อมกับเดินเข้ามาสมทบผมที่ผมยืนคุยกับไอ้เอ

 

“ยัง  เหลืออีกคน  คนนี้สำคัญมากก” ผมบอกพร้อมกับกดโทรหาอีกคนที่กล่าวถึง

 

“ใครว่ะ?” พวกมันสามคนหันไปถามกันเอง

 

“ไม่รู้”

 

“ถึงไหนแล้วครับ  ผมพร้อมแล้วนะ”

 

(อีกเดี๋ยวก็ถึงแล้วจ้ะ  รีบร้อนจริงๆเลยพ่อคุณ)

 

“แล้วไม่อยากเห็นหน้าว่าที่ลูกสะใภ้เร็วๆหรือไงครับ”

 

(อยากเห็นสิย๊ะ ว่างสายเลยถึงแล้ว)   ผมกดวางสายเมื่อแม่บอกว่าถึงแล้ว  ไม่นานรถหรูก็มาจอดใกล้ๆ  คนขับรถของบ้านลงจากรถเดินไปเปิดประตูรถให้แม่

 

“แม่มึง?” ไอ้คิมถาม  ผมพยักหน้า

 

“บอกแล้วไงว่าคนนี้สำคัญ” ผมบอกพร้อมกับยิ้มกว้างให้กับผู้เป็นแม่ที่ยอมสละเวลามาช่วยเป็นธุระเรื่องของลูกชายอย่างผม  ท่านมาในชุดไทยสีชมพูอ่อน ดูเรียบหรู ตามสไตล์ของท่าน

 

“สวัสดีครับแม่” พวกเพื่อนผมยกมือไหว้ท่าน  ท่านรับไหว้พร้อมกับยิ้มพิมพ์ใจแจกเพื่อนลูกชายเรียงคน

 

“สวัสดีจ้ะหนุ่มๆ”

 

“แม่  พร้อมยัง  ผมพร้อมแล้ว”  ผมบอกแม่  แม่หันมายิ้มขำกับท่าทีของผม  ท่านพยักหน้าโอเค  ผมจึงบอกให้เพื่อนผมมายืนเรียงแถวกัน  โดยที่ผมให้ไอ้โบ๊ทถือพานขันหมาก  ไอ้คิมพานสิดสอด(ซึ่งไม่สามารถบอกค่าเงินได้) ไอ้เอถือพานธูปเทียนแพ  ส่วนผมถือพานแหวนหมั้นเอาไว้  ต้องเข้าใจครับ คนมันน้อย มีมาช่วยกันแค่สี่คนเท่านั้น  ผมเองก็ไม่มั่นใจหรอกครับว่ามันจะครบตามองค์ประกอบหรือเปล่า   แค่พาแม่มาขอจองไว้ก่อนก็ยังดี  ถ้าฝ่ายนั้นต้องลงยอมยกให้คอยกลับมาพร้อมกับขบวนใหญ่แล้วทำให้ถูกต้องตามประเพณีจริงๆทุกอย่าง

 

“ไปกันเลย  ไอ้เอหอนด้วยนะมึง”

 

“ไอ้สัส ! กูไม่ใช่หมา”

 

“เออโห่ร้องมาเลย  เดี๋ยวพวกกูจะคอยรับส่งเอง” ผมบอก  ไอ้เอจึงจัดการตามที่บอกพวกผมก็ขานรับส่งกันดี  ส่วนแม่ผมนั้นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่หุบ  ท่านดูจะมีความสุขกับสิ่งที่ผมทำ หรือเปล่าวว่ะ  ทำให้ท่านลำบากน่ะสิที่ผมคิด ฮ่าๆๆ

 

ออดด.. อออดด

ผมกดออดหน้าบ้านเมื่อมาถึง  รอให้คนในบ้านมาเปิดประตูให้  ผมมองลอดประตูเห็นแม่ของพาสต้าวิ่งมาหน้าประตูบ้าน  ท่านเปิดออกมาก็ถุงกับผงะถอยหลังไปสองสามก้าว  เหมือนจะอึ้งและตใจที่เห็นพวกผมยืนอยู่หน้าบ้าน  ไม่ตกใจก็บ้าแล้ว  แต่งตัวแบบบไทยมาเต็มยศขนาดนี้ 

 

“สวัสดีครับแม่” ผมยกมือไหว้ท่าน ท่านดูจะมึนๆอยู่ แต่ก็รับไหว้ผม

 

“สวัสดีค่ะ  คุณเป็นแม่ของพาสต้าใช่ไหม” แม่ผมเดินเข้ามาหยุดยืนข้างผมแล้วเอ่ยทักถาม

 

“ช..ใช่คะ” แม่พาสต้าพยักหน้ามองแม่ผมอย่าง งงๆ แล้วหันกลับมามองผมและเลยไปถึงเพื่อนของผมที่ยืนยิ้มหน้าแป้นอยู่ข้างหลัง  “แล้วมาทำอะไรกันหรอคะ  เอ่อคือทำไมถึงแต่งตัวกันแบบนี้คะ”

 


ออฟไลน์ Cencer

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0

“ดิฉันว่าเราไปคุยกันในบ้านดีกว่าไหมคะ”  แม่ผมไง แม่ผม  ฮ่าๆๆ แม่ผมท่านจัดหนักแน่ๆ  ดูจากอากัปกิริยาท่านแล้ว  ไม่ตกลงให้มันรู้ไป  เจ้ใหญ่เขามาเอง หึๆ

 

“คะๆ เชิญคะ”  แม่พาสต้าเชิญให้พวกผมเข้าไปในบ้าน    ผมเดินเคียงกายแม่ระหว่างทางเดินเข้าบ้านก็แอบกระซิบคุยกับแม่ให้ได้ยินแค่สองคน

 

“แม่พูดยังไงก็ได้ให้เขายอมยกลูกชายให้ผม” ผมบอก  ไม่ใช่ว่าแม่ไม่รู้ว่าคนที่ผมชอบเป็นเพศไหน  ตอนแรกท่านก็เหมือนจะแอนตี้แต่เป็นผมไงที่ยกเหตุผลล้านแปดมาพูดจนท่านยอมใจให้กับความดื้อด้านของผม

 

“ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ  แม่ซะอย่าง”

 

“เชิญนั่งพักผ่อนกันตามสบายนะคะ  เดี๋ยวจะยกน้ำกับขนมมาให้...เดฟมาคุยกับแม่หน่อย”

 

“ครับ..” ผมรับคำแล้วเดินออกไปทางห้องครัวที่แม่ของพาสต้าเดินนำออกไป  พอมาอยู่ในครัวแม่ก็หันมาถามผมทันที

 

“นี่มันอะไรกันลูก  แม่ไม่เข้าใจ”

 

“เอ่อว่าแต่พาสต้าอยู่หรือเปล่าครับแม่” ผมยังไม่ตอบคำถามท่านแต่เป็นฝ่ายที่ถามท่านแทน

 

“อยู่จ้ะ  ข้างบนห้อง” แม่บอก

 

“ผมว่าเรื่องนี้เป็นผู้ใหญ่คุยกันเองจะดีกว่าผมมาพูดนะครับแม่”  แม่พาสต้าขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรผมต่อ  ท่านจึงเตรียมน้ำหวานกับขนมเพื่อที่จะนำไปรับแขกข้างนอก ผมจึงเข้าไปช่วยท่าน  ขอเก็บคะแนนในส่วนนี้ก่อนแล้วกัน

 

“น้ำกับขนมคะ” แม่พาสต้ายกเครื่องดื่มมาวางไว้ให้แม่และเพื่อนผมที่นั่งเป็นระเบียบเรียบร้อยต่างจากที่เคยเป็น  โดยที่พวกมันนั่งบนพื้น  ส่วนแม่ผมนั่งบนโซฟา

 

“เข้าเรื่องเลยนะคะ” แม่ผมพูดแทรกขึ้นมาเมื่อแม่ของพาสต้านั่งลงโซฟาตรงกันข้าม  ผมจึงย้ายตัวเองไปนั่งใกล้แม่แต่นั่งบนเพื่อนนะครับ  เพื่อนผมก็รู้หน้าที่ดีมันก็เขยิบๆออกให้  พานที่เตรียมมาถูกวางไว้บนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟา

 

“..คะ”

 

“ที่พวกเราแต่งตัวชุดไทยมาในวันนี้ไม่ต้องตกใจนะคะ  คุณเห็นพานพวกนี้หรือเปล่าคะ”  แม่ผมเกริ่น  แม่ของพาสต้าเบนสายตาจากแม่ผมมาที่พานที่วางอยู่ข้างหน้า

 

“เห็นคะ แล้ว..”

 

“ฉันจะมาขอลูกของคุณให้กับลูกชายฉันคะ”  แม่ผมพูดด้วยน้ำเสียงอย่างเป็นทางการ  รอยยิ้มที่ประทับอยู่บนใบหน้าก็ปรับเปลี่ยนเป็นจริงจัง

 

“คะ?”

 

“ฉันจะมาสู่ขอลูกชายคุณให้เจ้าเดฟลูกชายฉันคะ”

 

 

-พาสต้า-

 

“ฉันจะมาขอลูกของคุณให้กับลูกชายฉันคะ”

 

“คะ?”

 

“...” ผมยืนนิ่งค้างอยู่ตรงบันไดบ้าน  เมื่อกี้ผมได้ยินอะไร ขอๆ ว่ะ  แต่เพราะแม่เหมือนจะไม่เข้าใจในประโยคที่อีกฝ่ายพูด  ทำให้ฝ่ายนั้นพูดขึ้นอีกรอบ

 

“ฉันจะมาสู่ขอลูกชายคุณให้เจ้าเดฟลูกชายฉันคะ”

 

“ขอ ?  สะ สู่ขอ?” ผมถึงกับตาเบิกกว้างเมื่อได้ยินประโยคของหญิงวัยกลางคนที่พูดคุยกับแม่  ผมรีบวิ่งตึงตังลงจากบันไดบ้านไปยังห้องรับแขกข้างล่างที่มีคนที่ผมไม่คิดว่ามันจะมาอยู่ที่บ้านผม    ไหนจะการแต่งตัวเป็นชุดไทย  ทั้งสี่คน  ไม่สิ ห้าคน  เพราะรวมกับหญิงวัยกลางคนด้วย

 

“แม่ !” ผมเรียกแม่  แม่หันมามอง ผมเดินดุ่มๆเข้าไปโดยที่ไม่นึกสนมารยาทอะไรเลย

 

“พาสต้าตื่นแลวหรอลูก” แม่ยิ้มบางให้ผม

 

“แม่ให้มันเข้าบ้านทำไม  ผมไม่ต้อนรับมัน” ผมบอกแม่ที่นั่งทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก

 

“เอ่อคือ  นั่งก่อนเถอะพาสต้า  อย่ายืนค้ำหัวผู้ใหญ่” แม่ดึงผมให้นั่งข้างๆท่าน  “ขอโทษที่ลูกชายดิฉันเสียมารยาทนะคะ” แม่ก้มหัวเล็กน้อยเป็นเชิงขอโทษ  ผมหันไปมองคนตรงหน้าที่ทำหน้านิ่งจ้องมองผมอยู่  รู้สึกเสียวสันหลังวาบมากครับ  ผมจึงเบนสายตาไปมองไอ้คนที่นั่งยิ้มหน้าบานอยู่บนพื้นตรงข้ามกับผม

 

“ไสหัวออกไปจากบ้านกูซะ!” ผมกัดฟันพูดลอดไรฟัน  มันส่ายหน้าแถมยังยกมือทำรูปหัวใจส่งมาให้ผมด้วย  เหอะ  กวนประสาทชะมัด   ผมส่งเสียงเหอะออกมาพร้อมกับดันกระพุ้งแก้มตัวเองระงับอารมณ์เอาไว้

 

“หนูคงชื่อพาสต้าสินะจ้ะ”

 

“ครับ  ผมพาสต้า” ผมตอบท่าน

 

“หึ  ฉันชอบหนูนะ”

 

“ครับ?” ผมถามกับอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่คนตรงหน้าพูด  ท่านมองสำรวจผมก่อนที่จะเอ่ยบอก  แล้วยิ้มออกมาอย่างพอใจหลังจากที่สำรวจผมเสร็จ

 

“ฉันอยากได้หนูมาเป็นลูกสะใภ้”

 

“ละ ลูกสะใภ้?”

 

“ใช่  ที่ฉันมาที่นี่ก็เพื่อมาสู่ขอหนูให้กับเจ้าเดฟลูกชายฉัน” ผมหันขวับไปมองไอ้คนที่ถูกเอ่ยถึงทันที

 

“ไอ้-เดฟ” ผมกัดฟันพูดจ้องมันเขม็ง  กำมือแน่นอยากจะระเบิดอารมณ์ออกมา  แต่ก็ต้องระงับไว้เพราะมีผู้ใหญ่อยู่สองคนนั่งอยู่ด้วย  อยากจะกระทืบมันจริงๆ  แผนมันแน่ๆ

 

“บอกแล้วไงว่าให้เตรียมตัวดีๆ”  นึกไปถึงตอนที่อยู่ในลิฟท์ที่จู่ๆมันก็โผล่พรวดกั้นระหว่างบานประตูลิฟท์เอาไว้

 

“พาสต้า ! ไม่พรุ่งนี้ มะรืนนี้  กูจะทำให้มึงกลับมาหากูให้ได้  เตรียมตัวไว้ให้ดี  !!”

 

ผมไม่ทันได้คิดสินะ  ฮึ่ย ! แบบนี้มันมัดมือชกกันชัดๆ  แต่ถ้าผมไม่ยอมซะอย่างจะมีใครทำอะไรได้

 

“ขอโทษที่ผมต้องบอกว่า  ผมไม่ตกลงครับ” ผมตอบ  ท่านยิ้มเอ็นดูมาให้ผม

 

“งั้นหรอจ้ะ”

 

“ครับ  คุณและลูกชายคุณกลับไปเถอะ”

 

“แม่ !! นะ..” ไอ้เดฟมันหันไปมองแม่มันที่เหมือนจะยอมผมแล้ว  ผมยิ้มเยาะมันที่ไม่สามารถเป็นดั่งที่มันหวังได้  แม่มันยกมือขึ้นมาห้าม  ไอ้เดฟจึงหุบปากเงียบก่อนที่จะหันกลับมามองผมแล้วแสยะยิ้มชั่วร้ายมาให้  หมายความว่าไงว่ะ

 

“ถ้าหนูไม่ตกลง  งั้นฉันคงจะต้องฉุดกระชากหนูเข้าไปอยู่ในบ้านฉันแล้วละ”

 

“=[]=” ผมถึงกับอ้าปากกว้าง  อึ้งกับสิ่งที่ผู้หญิงตรงหน้าพูด  ถึงขนาดฉุดเลยหรอว่ะ

 

“หึๆ”

 

“แม่สุดยอด”

 

“โอววว” เสียงต่างๆนาๆของคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างเอ่ยกันคนละเสียง  ผู้หญิงคนนี้น่ากลัว  ตั้งแต่ที่ผมลงมาแล้ว  เธอน่ากลัวเกินไป  ผมจึงหันไปหาแม่เผื่อว่าแม่จะช่วยอะไรบ้าง  แต่แม่กลับยิ้มขำ

 

“ม..แม่ขำอะไร” ผมถาม  ท่านส่ายหน้าขำๆ ก่อนตอบ

 

“แม่ว่าพาสตกลงหมั้นกับเดฟเถอะ” อ้าวไหงงั้น นี่แม่กำลังจะยกลูกชายคนเดียวของตัวเองไปให้คนอื่นง่ายๆแบบนี้หรอ

 

“แม่ !! แม่ต้องหวงผมดิ”

 

“แม่ว่าเรายอมดีกว่าน่ะ  อีกอย่างแม่ไม่ขัดอะไรอยู่แล้ว  ดีวะอีกลูกแม่จะได้เป็นฝั่งเป็นฝา”

 

“แม่ !!!” ผมแวดเสียงดังลั่นบ้าน

 

“ว่ายังไงจ้ะ  แม่ของหนูไม่ขัดแล้วหนูละจะเอายังไง”

 

“ผมไม่ตกลง  ยังไงก็ไม่!!  แล้วถ้าคุณจะฉุดผมละก็ผมจะแจ้งตำรวจ” ผมบอก  เอาสิลองฉุดสิ  จะแจ้งตำรวจจับให้ดู

 

“งั้นจะแจ้งตอนนี้เลยก็ได้นะ  ฉันจะอยู่รอให้ตำรวจมาจับตรงนี้เลย”

 

“...” ผู้หญิงคนนี้ไม่คิดจะกลัวอะไรเลยรึไง  เป็นผมเองมากกว่าที่กลัว  ผมจึงหันไปหาไอ้ตัวการแทน “ออกไปคุยกับกูข้านอก” ผมกดเสียงต่ำบอกมัน  ไอ้เดฟมันพยักหน้ายิ้มๆแล้วลุกเดินตามผมมาหลังบ้าน  พออยู่กันสองคนผมจึงระเบิดอารมณ์ใส่มันเต็มที่

 

“ทำเหี้ยไรของมึงห้ะ  มึงบ้าไปแล้วรึไง  นี่อะไร  แต่งตัวบ้าไรห้ะ!! แล้วนั่นใคร  แม่มึง? อะ..”

 

“เมียๆใจเย็นๆ  ค่อยๆพูด  หายใจก่อนนะๆ” ไอ้เดฟมันบอกให้ผมหายใจเข้า  ออก  ช้าๆ

 

“แล้วทำไมกูต้องทำตามที่มึงบอกด้วยห้ะ!!” แล้วผมจะทำตามมันบอกทำไมว่ะ  โวย อยากจะตบตัวเองจริงๆ

 

“เมียจ๋า..”

 

“ใครเมียมึง!”

 

“พาสต้า..” เสียงไอ้เดฟอ่อนลง  มันทำหน้าเศร้า  บีบน้ำตาน่าสงสาร  คิดหรออย่างผมจะสงสาร

 

“ไม่ต้องมาบีบน้ำตา” ผมถอนหายใจเซ็งๆกอดอกมองมันนิ่ง

 

“กูมาง้อมึงนะเมีย  พาแม่มาขอด้วย  ยอมหมั้นกับกูเถอะนะ”

 

“มึงคิดว่าแค่มึงเอาแม่มาขอแบบนี้คิดว่ากูจะง่ายหรอว่ะ”

 

“กูรู้กูผิด  ทุกอย่างที่กูเคยทำไว้มันอาจจะให้อภัยยาก  แต่กูไม่สามารถกลับไปแก้ไขในส่วนนั้นได้  ถ้าทำได้กูคงจะไม่ทำมัน  ยกโทษและให้โอกาสกูซักครั้งไม่ได้เลยหรอพาสต้า” มันพูดเสียงอ่อนลง  สีหน้ามันดูเจ็บปวดเมื่อต้องพูดถึงสิ่งที่ผ่านมา

 

“...”

 

“กูไม่ใช่คนดีมึงก็รู้  แต่กูมีดีก็ตรงที่รักมึงจริงๆนะพาสต้า” มันเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม

 

“ตอแหล” ผมพูดกระแทกเสียงใส่มัน

 

“จริงๆนะเว้ย  ถ้าไม่รักไม่ให้แม่มาขอหรอก” ยังจะเถียงกลับอีก

 

“เฮ้ออ” ผมถอนหายใจแล้วมองไปทางอื่น  เพราะทนเห็นสายตาอ้อนวอนขอร้องไม่ได้

 

“กูรักมึง  รักมึง  รักๆๆๆ รักมึงพาสต้า  กูรักมึงคนเดียว  รักมากกก  รักที่สุด  รักจนไม่มีใครเทียบได้  รักจนกูยอมถวายชีวิตให้มึงเลย  ต่อให้มึงฆ่ากูก็ยอม  มึงอยากได้อะไรกูจะหามาให้มึงทุกอย่าง”

 

“ทุกอย่างจริงหรอ?” ผมเลิกคิ้วถามมัน  มันพยักหน้าหงึกหงัก

 

“อืม  ทุกอย่างแค่มึงยอมตกลงหมั้นกับกู” ผมพยักหน้าช้าๆ  แสยะยิ้มมองมันก่อนจะทำหน้านิ่งบอกมัน

 

“ถ้ามึงสามารถทนได้  กูก็จะตกลงหมั้นกับมึง”

 

“จริงหรอพาสต้า  มึงจะให้กูทำอะไรบอกมาเลย  กูทนได้ๆๆๆ”  มันบอกตาเป็นประกายวิบวับ  หึๆ  ทนได้ก็ทน  ไม่ตายก็ถือว่ามึงผ่าน

 

“อืม  งั้นมาใกล้ๆกูสิ” ผมกวัวมือเรียกให้มันเข้ามาใกล้ๆผม  มันยอมทำตาม  พอมันมาหยุดยืนใกล้ ผมจึงยื่นมือไปลูบลงที่แก้มของมันเบาๆ “เดฟ..” ผมเรียกมันด้วยน้ำเสียงนิ่งก่อนจะฟาดมืองบนใบหน้ามันเต็มแรง

 

เพี๊ยะ !

 

“โอ๊ยยยยยย !!”  หน้ามันหันตาแรงตบของผม

 

“ทนได้ก็ทน!” ผมจัดการกระชากหัวมันแรงๆ  เสียงร้องโอดครวญของมันไม่ทำให้ผมนึกสงสารซักนิดกลับรู้สึกสะใจมากกว่า  ผมเหวี่ยงมันลงบนพื้นกระเบื้องใกล้ๆสระว่ายน้ำที่อยู่ส่วนหลังบ้าน  ผมประเคนทั้งมือทั้งตีนใส่มันไม่ยั้ง

 

“โอ๊ยๆ พาสต้า  เจ็บๆ อ๊ากกกกกกกก!!”

 

ตู้ม !!

น้ำกระจายออกเป็นวงกว้างเพราะผมจัดการถีบไอ้เดฟลงไปในสระ  ผมกระโดดตามลงไป  คว้าคอเสื้อมันเอาไว้กันมันหนีก่อน

 

“เปลี่ยนใจยังทันนะเดฟ” ผมกระซิบเสียงลอดไรฟัน

 

“บอกแล้วไงต่อให้มึงฆ่ากูตายก็ยอม” มันพูดจ้องหน้าผมอย่างจริงจัง

 

“ได้!”  ตามบัญชาเลยไอ้เดฟ  ผมจับหัวมันกดลงน้ำในสระแช่ไว้แลวก็ดึงขึ้นให้มันได้หายใจเอาอากาศข้าปอด  แต่ผมไม่ได้ใจดีให้มันได้หายใจนานขนาดนั้น  จับมันกดลงไปอีกรอบ  รอบแล้วรอบเล่า  จนผมเองที่เหนื่อย

 

“แค่ก ๆๆ” ผมปล่อยไอ้เดฟให้เป็นอิสระ มันถึงกลับไอค่อกแค่ก สำลักน้ำ  ตาแดง  ตัวแดง  ไปหมด  ผมเองก็หอบเพราะต้องใช้แรงเยอะในการทำร้ายมันแต่ละที

 

“แค่ก ๆ... พอใจแล้วใช่ไหม” มันถามผมเสียงแผ่ว

 

“...” ผมไม่ได้ตอบแค่มองมันนิ่งๆ

 

“ถ้าพอใจแล้ว อึก คะ ... ตกลงจะหมั้นกับกูได้ยัง”

 

“...” ผมเงียบใช้ความคิด  พอได้ระบายอารมณ์แลวมันทำให้ผมรู้สึกโล่ง  มันรู้สึกดี  ดีมากๆ ที่ได้ระบายมันออกมา  ในหัวก็คิดว่าคนอย่างมันไม่น่าจะยอมผมง่ายๆแบบนี้  แต่ตลอดที่คบกันมามันก็เป็นฝ่ายยอมผมมาตลอด  ในจะเวลาแบบนี้  มันไม่คิดที่จะถือโทษโกรธผมที่ทำร้ายร่างกายมันเลย  ก็อย่างที่มันบอกมันไม่สามารถที่จะกลับไปแก้ไขอดีตได้  ผมองก็ควรที่จะปล่อยวางเองในอดีตที่มันเคยทำไว้ดีหรือเปล่า  ขนาดไอ้โยมันยังคิดให้โอกาสไอ้เหี้ยอัล  แล้วผมละ...  ทำไมถึงไม่คิดที่จะให้โอกาสไอ้เดฟบ้าง

 

“...พาสตะ”

 

“เออ!! กูตกลงหมั้นกับมึงไอ้เหี้ย!!” ผมปัดน้ำใส่หน้ามันก่อนจะว่ายน้ำกลับขึ้นฝั่ง  พอถึงฝั่งกำลังจะดันตัวขึ้นก็มีเท้าเล็กๆชุดผ้าไทยสีหวานยืนอยู่ตรงหน้า ผมเงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นคนที่คิดจะฉุดผมไปให้ลูกชายตัวเองกำลังยืนยิ้มแป้นอยู่

 

“ที่หนูพูดมาทั้งหมดถือว่าตกลงแล้วนะจ้ะ”

 

“...” ผมเม้มปากแน่นมองท่านที่เปลี่ยนจากยิ้มเป็นสีหน้าเรียบนิ่งหน้ากลัว  พร้อมกับชูโทรศัพท์มือถือมาตรงหน้าผม

 

“แล้วถ้าหนูไม่ทำตามที่พูด  คลิปที่หนูทำร้ายร่างกายลูกชายฉันจะถูกแพร่กระจายออกไปฉันสามารถแจ้งความจับหนูได้นะ  หึๆ”

ผมถึงกับพูดไม่ออกมองผู้หญิงที่กำลังจะมาเป็นแม่ผัวในอนาคตเดินจากไป  น่ากลัว  ผู้หญิงคนนี้น่ากลัว  แล้วเมื่อกี้มันอะไร  คือถ้าผมผิดคำพูดสิ่งที่ผมไปทำร้ายร่างกายลูกชายท่านจะถูกแพร่ออกไปงั้นหรอ  นี่ผมกำลังเอาชีวิตไปเสี่ยงหรอว่ะเนี้ย  ม๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยย !!!

 

 

 

********************************************************

พาสต้าสายโหด  ฮ่าๆๆๆ  หวังว่าคงจะชอบกันนะคะ
อย่าลืม เม้น ไลค์  ให้เค้าเยอะๆเน้อออ

ออฟไลน์ Cencer

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0

-เนปจูน-


“ตื่นแล้วหรอคะคุณ”

“ครับป้า”

ผมเดินลงบันไดมาก็พบกับป้าแม่บ้านที่ดูแลงานทุกอย่างของบ้านนี้ ช่วงเสาร์อาทิตย์ผมจะกลับมาอยู่บ้านของไอ้เตี้ยครับ ส่วนวันปกติธรรมดาจะอยู่คอนโดเพราะสะดวกแก่การไปเรียนเพราะมหาลัยอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกับที่พักสักเท่าไร

“อยากทานอะไรรึเปล่าคะ เดี๋ยวป้าจะให้คนทำให้” ท่านบอกผมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ท่านเป็นคนเก่าแก่ของคนในครอบครัวไอ้เตี้ยครับ เห็นบอกว่าเลี้ยงมันมาตั้งแต่เด็กๆ

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจะไปหากินบ้านนู้นเอา” ผมบอกยิ้มๆ ส่วนป้าแกก็ได้แต่หัวเราะขำๆ คือท่านรู้ครับ เพราะช่วงนี้เวลาผมมาอยู่นี่มักไปขอข้าวบ้านไอ้พาสต้ากิน อย่าถามว่าทำไม ผมชอบไปกวนตีนมันเล่นครับ แม่มันก็ใจดี๊ใจดี บอกว่ามาเมื่อไรก็ได้ยินดีต้อนรับเสมอ ผมมักไปนอนเล่นบ้านมัน ยิ่งช่วงนี้มันโสดๆ อยู่ เพราะมันเพิ่งเลิกกับผัวครับ ผมจึงต้องคอยไปกวนตีนมันเบาๆ ให้มันอารมณ์ดีขึ้น ดีกว่ามันทำหน้าเศร้าสร้อย แต่เดี๋ยวนี้มันดีขึ้นแล้วครับ กลับมากวนตีนผมได้เหมือนเคย หึๆ ช่วงนี้ไอ้เตี้ยมันก็นอนอยู่แต่ที่โรงพยาบาล บ้านช่องก็ไม่ค่อยได้กลับ ไปๆ มาๆ โรงบาลกับมหาลัยเท่านั้น เรื่องเสื้อผ้าของใช้ส่วนตัวมันผมเลยต้องเป็นคนรับผิดชอบนำไปให้มันที่โรงพยาบาลแทน... ผมเพิ่งได้ข่าวว่าผัวมันฟื้นแล้วครับ จากที่นอนไปเป็นเดือน

ผมเดินออกจากบ้านไอ้เตี้ยมาบ้านข้างๆ ที่ติดกัน กดออดเรียกรอคนในบ้านมาเปิดให้ซึ่งมีแค่สองคนเท่านั้นคือ ไอ้พาสต้ากับแม่มัน ไม่นานก็เห็นหญิงสาวร่างบางวัยกลางคนวิ่งมาเปิดประตูให้ผม

“สวัสดีครับแม่”

“สวัสดีจ้ะ เข้าบ้านๆ ก่อน” ผมยกมือไหว้ท่าน ท่านเองก็รับไหว้พร้อมรอยยิ้มใจดีให้ผมเสมอที่มา

“กลับมาตั้งแต่เมื่อไรจ้ะ” ท่านถามพร้อมกับเดินไปด้วยกันกับผม

“เมื่อคืนครับแม่ วันนี้เลยกะจะมาฝากท้องอีกซักมื้อสองมื้อรวมเป็นสามมื้อเลย” ผมบอกอ้อนๆ

“หลายๆ มื้อก็ได้จ้ะ”

“ครับ.. แม่มีแขกหรอครับ? ” พอเดินมาถึงบานประตูบ้านที่เปิดอ้าออกก็มีรองเท้าหลายคู่วางเรียงกันอยู่ มีทั้งของผู้ชายและส้นสูงของผู้หญิง ผมจึงถามท่าน หากว่าท่านมีแขกผมจะได้ไม่รบกวนท่าน

“จ้ะ เขามาสู่ขอเจ้าพาสลูกชายแม่น่ะ หึๆ” ท่านว่าขำๆ แต่ผมนี่อึ้งครับพูดอะไรไม่ออก คนอย่างพาสต้าใครมันจะไปอยากได้ว่ะ ฮ่าๆ ๆ ไม่ใช่ว่าหน้าตามันไม่ดีหรืออะไร แต่นิสัยเอะอะตบ เอะอะถีบ เอะอะตืบของมันนี่สิครับน่ากลัว ใครทนมือทนตีนมันได้ผมโคตรจะยอมรับ ขนาดผมที่ถนัดเตะต่อยมีเรื่องนี้ยังต้องยอมแพ้รสมือรสตีนมันเลย โดนไปสองครั้งจอดครับ

“แล้วมันว่ายังไงบ้างครับแม่” ผมรีบถามกลับ ท่านส่ายหน้า จนเดินเข้ามาด้านในส่วนของห้องรับแขก

“เฮ้ย! มาได้ไงว่ะ?"  ผมขมวดคิ้วเมื่อพบกับไอ้พวกเพื่อนสนิทของไอ้อัลมันมานั่งอย่ในบ้านของไอ้พาสต้า หรือว่าที่บอกว่ามาสู่ขอไอ้พาสเนี้ย...ผมมองหาคนที่หายไป เป็นมันจริงๆ ด้วย คงมีแค่ไอ้เดฟละนะที่ทนมือทนตีนไอ้พาสต้าได้

“รู้จักกันหรอจ้ะ” ท่านหันมาถามผมและก็หันไปมองพวกมัน

“ครับ รู้จักเพราะพวกมันเป็นรุ่นพี่คณะเดียวกันกับไอ้เตี้ย ไอ้พาสครับ”

“แม่คิดแค่รู้จักแต่กับเดฟเฉยๆ”

“รู้หมดแหละครับแม่ แฟนไอ้เตี้ยก็เพื่อนกลุ่มเดียวกับไอ้เดฟ” ผมบอก ท่านเลยพยักหน้าบอกให้ผมไปนั่งคุยเป็นเพื่อนกับพวกมันก่อน ท่านบอกว่าจะปเตรียมอาหารไว้รอ ผมจึงเดินมานั่งลงตรงข้ามบนโซฟา ซึ่งพวกมันนั่งกับพื้นครับ ผมก็ งง ทำไมถึงนั่งพื้นโซฟานุ่มๆ มีให้นั่งเสือกไม่พากันนั่ง

“ไงพวก บังอาจนักนะพาเพื่อนมึงมาขอเมียกูน่ะ ถามผัวอย่างกูยัง?” ผมทักและถามพวกมันอย่างกวนๆ

“ปากมึงนี่กวนส้นกูจริงๆ”

“ถามไอ้พาสต้ายังเหอะว่ามันอยากได้มึงเป็นผัวไหม” ผมไหวไหล่ไม่สนใจคำที่พวกมันพูด

“แล้วถามไอ้พาสยังว่ามันอยากได้เพื่อนมึงเป็นผัวรึปล่า” อย่างที่รู้ๆ กันคือไอ้พาสกับไอ้เดฟมันเลิกกันไปแล้ว ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ไอ้พาสมันตัดสินใจไปแล้วว่าเลิก

“เดี๋ยวมึงก็รู้ว่ามันจะอยากได้หรือไม่อยากได้” นั้นก็เรื่องของไอ้พาสละนะ ผมไม่เกี่ยวอยู่แล้วขอแค่กวนตีนๆ ชาวบ้านไปงั้น ผมมองร่างบางอีกคนที่นั่งเงียบไม่พูดไม่จาต่อล้อต่อเถียงเหมือนเพื่อนมันคนอื่นๆ ผมกระตุกยิ้มเมื่อนึกอะไรสนุกๆ ได้ ตั้งแต่ที่เจอกันจังๆ หมอนี่ก็เอาแต่หลบหน้าค่าตาผมตลอด ไม่แม้แต่จะมองหน้าตรงๆ เลยซักนิด ขนาดตอนนี้ยังเบนสายตาไปมองทางอื่นเลย

“นี่! ” ผมเรียกมันเบาๆ

“อะไร? ” ไอ้คนที่ไม่ได้เรียกหันมาซะงั้น

“กูเปล่าเรียกมึง” ผมบอกเสียงเซ็งๆ

“อ้าวกูนึกว่าเรียกกู ไอ้โบ๊ทมันเรียกมึงอ่ะ”

“กู? ” ไอ้โบ๊ทมันขมวดคิ้วแล้วชี้เข้าที่ตัวเองก่อนจะเบนสายตามาทางผมอีกที ผมส่ายหน้าแล้วบุ้ยปากไปทางไอ้คนที่นั่งเงียบๆ นู้นแทน พวกมันสองคนเลยหันไปตามทางที่บอก

“ไอ้คิม”

“อะไร?!? ” มันหันไปตอบเสียงห้วนเมื่อถูกเรียก

“ไอ้ขี้เหร่นี่มันเรียกมึงน่ะ” เดี๋ยวน่ะใครขี้เหร่ว่ะ ไม่น่าจะเป็นผมมั้ง ผมออกจะหล่อแมนแฮนซั่มขนาดนี้ ไอ้คิมมันหันมามองที่ผมแวบเดียว แค่แวบเดียวเท่านั้นเว้ยเฮ้ยแล้วมันก็เสมองออกไปทางอื่น เอ้า! นี่ผมอยากจะรู้ผมทำอะไรผิดว่ะ

“เมินกูจริ๊งงง!!” ผมพูดลอยๆ แต่เสียงแม่งโคตรสูงอ่ะครับ ไม่ได้ประชดอะไรเลยนะเนี้ย “ทีตอนนั้นละคะ...” ผมยังไม่ทันจะพูดจบประโยคก็มีเสียงคนที่เมินผมดังขึ้น

“หุบปาก!!”

“อะไรของมึงเนี้ยไอ้คิม!” เพื่อนมันถามอย่างสงสัย หึๆ

“อะไร!”

“ก็มึงตะคอกเสียงดังขนาดนี้เป็นไร”

“เปล่า”

“เปล่าเชี้ยไร แล้วบอกหุบปากนี่มึงว่ากูหรือไอ้โบ๊ทห้ะ! ” เพื่อนมันถามกลับ ผมเห็นมันทำหน้าหงุดหงิดใส่เพื่อนตัวเองก่อนจะหันมาหาผมแล้วตอบเพื่อนมันกลับเสียงห้วน

“มัน!!” สายตาพวกมันจึงหันมาจับจ้องที่ผม ผมจึงส่งยิ้มหวานไปให้พวกมันได้ขนลุกเล่น หึๆ

“ยิ้มได้สยองกูมาก”

“เน่คิม…มาสู่ขอเมียให้เพื่อน มึงไม่อยากมีคนไปสู่ขอบ้างหรอว่ะ” ผมมองหน้าคนถูกถาม

“พูดอะไรไม่เห็นเข้าใจ” ผมว่ามันเข้าใจสิ่งที่ผมพูดนะ แต่คงแกล้งทำมากกว่า ไม่เป็นไรผมพร้อมจะขยายความให้มันได้เข้าใจช้าๆ ชัดๆ อีกซักรอบ

“ไม่อยากมีผัวไปขอแบบไอ้พาสบ้างรึไง”

“ละ แล้วมันเรื่องอะไรของมึงละ” มันเชิดหน้าถามขึ้นเสียงตะกุกตะกัก

“ก็ถ้ามึงอยากเดี๋ยวกูจะบอกแม่ให้ไปขอ สินสอด ทองหมั้น จะกี่บาทกูทุ่มหมด”

“อะ ไอ้บ้า! ”

“หึๆ” ผมมองมันที่ตอนนี้หน้าเห่อแดง มันเอาแต่ก้มหน้าหลบไม่ยอมหันกลับมาคุยกับผมอีก

“เฮ้ยๆ ยังไงว่ะ นี่มึงชอบเพื่อนกู? ”

“แล้วแต่พวกมึงจะคิด” ผมไม่ได้ตอบว่าชอบหรือไม่ ก็แค่ให้เดากันเอาเอง อีกอย่างจะบอกว่าชอบเลยก็ไม่ใช่ ผมก็แค่สนใจในรสเซ็กส์ของอีกคนเท่านั้น ผมยังจำสัมผัสและลีลาของอีกคนได้เลย ไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่าร่างกายที่สามารถดึงดูดสายตาคนอย่างผมได้เลยซักนิด อย่างว่าละนะผมเป็นจำพวกรักสนุกไม่ผูกพัน

“แม่เป็นไงบ้างครับ”

“เรียบร้อยจ้ะ เขายอมหมั้นกับลูกชายแม่ หึๆ”

“สุดยอดด!! ฮ่าๆ ๆ”

หญิงสาววัยกลางคนเดินเข้ามานั่งบนโซฟาตัวเดี่ยวท่านตอบคำถามเพื่อนลูกชายด้วยท่าทางสบายๆ สรุปไอ้พาสยอมหมั้น? แล้วตอนนี้มันอยู่ไหน ทำไมผมไม่เห็นมันเลย ผมมองซ้าย มองขวา ไร้วี่แวว นี่มันไปคุยกันแถวไหน แล้วคุณคนนี้มาจากทางไหน?

เดี๋ยวสองคนนั้นก็มาจ้ะ” ท่านหันมาพูดกับผมพร้อมรอยยิ้มบาง

“พวกมัน เอ่อ เขาอยู่ไหนครับ”

“ในน้ำ”

“ครับ?” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ และไม่ใช่แค่ผมยังมีพวกไอคิมนั่ง งง ไปพร้อมกับผมด้วย นี่มันไปคุยกันหรือไปเล่นน้ำคล้ายร้อนกันแน่ คนบ้าไรว่ะคุยกันในน้ำ

“ไม่บ้าหรอกจ้ะ”

“คะ ครับๆ” ผมถึงกับไปไม่เป็นนี่ท่านอ่านความคิดผมออกหรอว่ะ

“ก็เธอคิดว่าพวกเขาบ้าใช่ไหม? ”

“...”

“หึๆ”

ผมถึงกับพูดไม่ออก อ่านใจคนเก่งแบบนี้มันน่ากลัวมากนะครับ เวลาจะทำอะไรก็เหมือนจะรู้ความคิดเราทุกอย่าง เสียงฝีเท้าเดินย่ำเข้ามาในบ้านทำให้เราทุกคนหันไปมอง สองคนที่ร่างกายเปียกโชกไปด้วยน้ำ ตามทางเดินก็มีสายน้ำลากยาวๆ ตามเจ้าของร่างเปียกปอน ผมเผ้ากะเซิ้งจนดูไม่ได้ทั้งคู่ คนเดินนำหน้าตาบูดบึ้ง บ่งบอกถึงอารมณ์ที่เสียสุดๆ ส่วนคนด้านหลังนั้นเอาแต่ยิ้มกว้างๆ อย่างมีความสุข

“ไอ้เนปห้องกูดิ”

“เออ” ผมตอบรับพร้อมกับลุกขึ้นจะเดินตามมันไปที่ห้อง ไม่มีอิดออดอะไรอยู่แล้วครับ ผมเข้านอกออกในบ้านมันจนเคยชินแล้ว อีกอย่างมันก็เป็นคนอนุญาตด้วย

“ทำไมมึงชวนมันขึ้นห้องห้ะเมีย!” ไอ้เดฟมันกระชากแขนพาสต้าเอาไว้ตอนที่มันจะขึ้นบันได ไอ้พาสมันทำหน้าเซ็งก่อนจะตอบส่งๆ ไป

“อยาก มึงจะทำไม”

“แต่กูเป็นคู่หมั้นมึงนะ!”

“แล้วยังไง? ”

“กูไม่ยอม! มึงกับมันเป็นชู้กันจริงๆ ใช่ไหมห้ะ!!”

“ไอ้เหี้ยกูเจ็บ! ” พาสต้ามันขึ้นเสียงใส่ไอ้เดฟทั้งที ผมมองดูมันสองตัวทะเลาะกัน คิดเล่นๆ ในหัวตัวเอง เป็นแบบนี้พวกมันจะคบกันรอดเปล่าว่ะ

“พอๆ กูไม่ขึ้นก็ได้ว่ะ” ผมตัดบทเพราะรำคาญ มันสองคนหันมาจ้องเขม็งผม จ้องกูขนาดนี้นี่กูผิดใช่ไหม ผมไหวไหล่ไม่สนใจเพราะได้กลิ่นหอมจางๆ ของอาหารเลยสนใจส่วนนั้นมากกกว่า จุดประสงค์ที่มาก็ของกินนิครับ ไม่เกี่ยวกับเรื่องอื่น

“ไปอาบน้ำอาบท่าเถอะจ้ะ ทั้งสองคนเลย แม่ฝากดูแลลูกชายแม่ด้วยนะหนูพาสต้า” น้ำเสียงนุ่มที่เต็มไปด้วยความกดดันอยู่กลายๆ เอ่ยขึ้น อ่านใจคนว่าน่ากลัวแล้วนี่มีความกดดันในน้ำเสียงนุ่มด้วยหรอว่ะ บุคคลที่ไม่ควรเข้าใกล้จริงๆ ไอ้พาสมันทำท่าอ้ำๆ อึ้งๆ สุดท้ายก็ยอม

“คะ ครับ...รีบตามมาสิ ยืนเซ่อให้พ่อมึงมาอาบให้รึไง!”



-คิม-


ผมมองดูความวุ่นวายของบ้านนี้ตั้งแต่ที่ย่างกายเข้ามา จริงๆ จะไม่วุ่นวายเลยถ้าคนๆ นั้นไม่ใช่ไอ้เดฟ ก็นะเมียมันดุ ไม่รู้สายพันธุ์อะไรดุชิบหาย ผมยังจำสภาพไอ้เดฟตอนเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับไอ้พาสเมียมันได้เลยครับ รอยเป็นปื้ด แดงเถือกเลย ใบหน้ามีแต่ฝามือ เลือดก็ซิบๆ ที่มุมปาก ถึงในใจลึกๆ ผมจะสะใจแต่ก็อดที่จะสงสารเพื่อนตัวเองไม่ได้ ผมว่ามันซาดิสนะชอบความเจ็บปวดหรือยังไง ตั้งแต่ที่ได้รู้จักมันมานี่มันเป็นฝ่ายที่รองมือรองตีนไอ้พาสตลอด

“จะเดินเบียดทำไมว่ะ ร้อน!”

บนโต๊ะอาหารมีจำนวนคนนั่งรอคู่รักว่าที่สองผัวเมียในอนาคตที่หายไปอาบน้ำตั้งแต่สองชั่วโมงที่แล้วเพิ่งจะได้เริกลงมาซึ่งมีคนรอทานข้าวกันอยู่ ทุกคนในโต๊ะหันกลับไปมองยังปลายเสียงที่แว่วมาให้ได้ยิน ว่าที่สองผัวเมียในอนาคตเดินเข้ามานั่งลงบนเก้าอี้ว่างที่มีไว้สำหรับพวกมันสองคน

“เอาละมาครบแล้ว เริ่มทานอาหารกันเถอะจ้ะ” และแม่ไอ้พาสก็ดีแสนดี พอลูกมานั่งปุ๊บก็บอกให้ทานปั๊บ ถ้าผมเป็นแม่มันนะ ตบคว่ำแล้ว มีอย่างที่ไหนว่ะให้ผู้ใหญ่ถึงสองคนนั่งรอ

หลังจากร่วมรับประทานอาหารเสร็จพวกผมก็ต้องขอตัวกันกลับเพราะพวกเราต่างมีธุระกัน จะมีอยู่ก็มีแต่ไอ้เดฟคนเดียวเท่านั้น ปล่อยมันไปเถอะครับ ปล่อยให้มันได้มีความสุข สุขที่โดนเมียมันทารุณ ฮ่าๆ ๆ

“ธุระที่ไหนว่ะ ให้กูไปส่งป่ะ”

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวกูหาแท็กซี่ไปเอง” ผมปฏิเสธที่จะให้เพื่อนไปส่ง เพราะมันเองเห็นบอกจะไปรับน้องเด็กอักษรของมัน ส่วนไอ้เอก็ไม่ต่างกัน

“วันนี้คนไหนอีกละมึง เมื่อวานก็เด็กม.ปลายนิ วันนี้จะเด็กกี่ขวบว่ะ” ถ้าบอกว่าเกลียดเพื่อนตัวเองนี่ผิดไหมครับ

“ม.ต้นมั้ง ไปละเสียเวลา”

.

.

.

“พี่คิมจะกินอะไรดีครับ”

“อะไรก็ได้”

ผมนั่งอยู่ในร้านอาหารส่วนหนึ่งของห้างตามที่บอกว่ามาธุระ ธุระของผมก็มีแค่นี้ ทุกๆ ครั้งที่ว่างจากการเรียนหรือไม่มีโปรเจคงานก็จะนัดเดททุกครั้งไป วันนี้ก็เช่นกันหลังจากเสร็จสิ้นภาระที่เพื่อนมันให้ช่วยก็มาเที่ยวสนุกๆ ทำแก้เบื่อเท่านั้น เดท? ก็คงจะเป็นแบบนั้น มันเป็นเหมือนกับชีวิตประจำวันผมไปเสียแล้ว

“ผมดีใจนะครับที่พี่มีเวลาว่างให้ผมแล้ว” เด็กน้อยตรงหน้าที่อยู่เพียงแค่ม.ปลายเท่านั้น จริงๆ ผมก็ไมได้อยากจะออกเดทกับเด็กหรอกครับ ช่วยไม่ได้เด็กมันมาติดกับเองผมก็แค่สนองๆ ไปเท่านั้น

“แล้วไม่มีเรียนหรือไง” ผมถามพร้อมกับเขี่ยน้ำแข็งในแก้วเล่น

“วันนี้วันเสาร์จะมีเรียนได้ไงครับ” น้องมันพูดกลั้วหัวเราะ

“เรียนพิเศษน่ะ ไม่ใช่ต้องเตรียมเอ็นด้วยนิ”

“ครับ พี่รู้ได้ยังไง”

“ก็นายม.6แล้ว” ผมละสายตาขึ้นมามองกับเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ยิ้มกว้างจนตาหยีมาให้ผม มองดูก็น่ารักหรอกนะ แต่ผมไม่ชอบเด็กไง ทำไงได้ คงมีให้แค่คำว่าพี่น้องเท่านั้น

“เอ่อ..พี่คิมครับ”

“อืม”

“ผมว่าเราก็คุยกันมาซักพักแล้วเมื่อไรผมกับพี่จะคะ...”

“คิมที่รัก ... สวัสดีครับ” น้องยังพูดไม่จบก็มีเสียงดังแทรกขึ้นมา ไม่พอมันยังมานั่งลงข้างๆ ผม ประโยคแรกนี่พูดกับผมส่วนประโยคหลังนั่นมันหันไปพูดกับน้อง

“ใครกันครับพี่คิม” และเด็กน้อยก็หันมาถามผมหลังจากนั่งเงียบจ้องคนมาใหม่อยู่ครู่หนึ่ง ผมก็ไม่รู้หรอกว่าไอ้คนข้างๆ มันมาไง แต่จู่ๆ มานั่งร่วมโต๊ะกันแบบนี้มันเสียมารยาทกันหน่อยมั้ง

“พะ..”

“ผัวครับ”

“...ห้ะ!?!” ไม่ใช่แค่น้องมันที่อึ้ง กูก็อึ้งครับ ไอ้คนพูดนี่หน้าระรื่นเชียว พูดมาได้เต็มปากเต็มคำ ผมไปเป็นเมียมันเมื่อไรกัน

“จริงหรอครับพี่คิม แล้ว...”

“ไปไกลๆ ได้ไหม? ” ผมอดที่จะเอ่ยปากไล่มันไม่ได้ คือมันกวนผมตั้งแต่คราวที่อยู่บ้านไอ้พาสแล้วไง

“คะ ครับพี่ไล่ผมหรอ? ”

“เปล่า ไปที่อื่นกันเถอะ” ผมบอกพร้อมกับลุกขึ้นยืนวางเงินค่าอาหารที่สั่งไปถึงจะยังไม่ทันจะได้กินก็เถอะ

“แหม พอผัวจับได้ก็จะหนีหรอเมียรัก...เด็กน้อยมึงกลับบ้านเองถูกนะ”

“อะไรของมึงเนี้ย! ” ผมสะบัดมือข้างที่ถูกดึงออกมานอกร้าน

“ไม่คิดว่ามึงจะนิยมกินเด็กนะ”

“เรื่องของกูไม่เกี่ยวกับมึงเลย อ๋ออีกอย่างกูพี่มึงกรุณาให้เกียรติกูด้วย มารยาทน่ะควรมีด้วยนะ ไม่ใช่มาขัดการเดทของชาวบ้านเขาแบบนี้ มันแย่มาก” ผมอดที่จะต่อว่าไม่ได้ มันยังทำหน้าไม่สะทกสะท้านกับคำพูดผมเลยครับ มึนจริงๆ

“ห่างกับแค่ปีเดียวจะเรียกพี่ไปทำไม แต่มันก็น่าลองดูอยู่นะ อืม..พี่คิมฮะ น้องเนปจูนคนนี้ขอโทษที่เสียมารยาท ไม่รู้จักกาลเทศะ จนทำให้เดทของพี่คิมต้องล่มลง วันนี้น้องเนปจะชดเชยให้เองนะฮะ วิ้ง!”

“โทษทีบังเอิญกูไม่ต้องการ” ผมบอกปัดก่อนที่จะเดินเลี่ยงหนี แต่ก็ถูกมาดักหน้าเอาไว้ ผมถอนหายใจเซ็งๆ

“ถามจริงมึงจำกูได้ไหม? ”

“ได้ดิ มึงเป็นเพื่อนกับโยชิแฟนเพื่อนกูนิ”

“เปล่า ก่อนหน้านั้น ตอนที่กูกับมึง..”

“หุบปาก!” ผมบอกพร้อมกับยกมือปิดปากมันไว้ ถ้าจะพูดเรื่องนี้ในที่สาธารณะมันเกินไปแล้ว

“อื้มๆ ...ไม่พูดเรื่องคืนนั้นก็ได้ แต่ว่า” มันจับมือผมที่ปิดปากมันออก

“ว่าอะไร? ”

“คบกับกู”

“อะ .. อะไร พูดไรของมึง? ” ถึงกับหายใจติดขัด จู่ๆ มาพูดอะไรไม่เข้าท่า ใจก็ดันไปเต้นแรงกับคำพูดแค่สั้นๆ ของหมอนี้ซะได้

“แบบไม่ผูกมัด...”

“หมายความว่าไง? ” พอประโยคอีกล่าสุดหลุดมา ทำให้ผมขมวดคิ้ว พอคิดได้ผมก็ถึงกับเข้าใจ คบแบบไม่..ผูกมัด? เหอะ คิดว่าผมเป็นเพื่อนเล่นด้วยรึไง “ไม่รู้ว่ามึงต้องการอะไรน่ะ แต่โทษทีไม่สนใจว่ะ”

“ก็ดูเหมือนมึงจะไม่จริงจังกับใครอยู่แล้ว มาลองคบกันดูก็ไม่เสียหายอะไรนิ”

“...เหอะ” ผมกอดอกมองคนที่พล่ามไม่หยุด

“แฟร์ดีออก คบแบบไม่ผูกมัดใดๆ จะคุยจะเดทอะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าเวลาเราไปไหนด้วยกันคือห้ามคุยกับใคร มีแค่เราสองคน โอเค้? ” พูดเองเออเองหมดเลยนะ ต้องการแค่นี้สินะ ผมก็ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมมันถึงเลือกจะมาวุ่นวายกับผม

“ถามจริงทำไมต้องกู? ”

“ก็...ไม่รู้สิ แค่รู้สึกดีด้วยงั้นมั้ง”

“.....”

“อีกอย่าง...ติดใจลีลามึงด้วยสิ หึๆ” เหอะ ไอ้เราก็คิดว่าจะเป็นคนดีซะอีก ทุกคนที่เข้าหาผมก็มีแต่เรื่องอย่างว่าละว่ะ เกิดมาเป็นชายทั้งทีทำไมถึงไม่ให้ผมได้เกิดมาสมบูรณ์แบบอย่างผู้ชายทั่วไป ไม่ใช่ให้ผมมาดึงดูดเพศเดียวกันแบบนี้ ผมก็ไม่ต่างจากพวกผู้หญิงแม้ละว่ะ เป็นแค่ที่ระบายความใคร่ให้กับใครที่ต้องการ แต่มันก็ไม่ถึงกับเสียหายอะไร อีกอย่างผู้ชายอย่างผมมันท้องไม่ได้ มันเลยง่ายต่อพวกมักมาก

“อืม ใครๆ ก็พูดแบบนั้น”

“หึ งั้นตกลงจะคบไหม? ”

“ก็ได้ คบก็คบ ไม่มีอะไรเสียหายอยู่แล้ว แต่ขออย่าง...เรื่องนี้ต้องเป็นความลับ ห้ามให้เพื่อนกูหรือมึงรู้เด็ดขาด โอเค้? ” มันคงจะไม่เป็นไร ก็แค่ร่างกาย สนุกกันทั้งสองฝ่าย ความสัมพันธ์แบบนี้ไม่นานก็จบ...





TBC.

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด