บทที่ 1
“ทายาทแห่ง สิงห์สุริยันต์”
ลานกว้างหน้าบริษัทแม่ข่ายหลัก สิงห์สุริยันกรุ๊ป
งานต้อนรับการกลับมาของลูกชายคนโต สิงห์สุริยัน นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงแห่งยุค ถูกรายล้อมไปด้วยสื่อโทรทัศน์ช่องต่างๆนับไม่ถ้วน พร้อมทั้งแขกเหรื่อวงการบันเทิงบางส่วน อีกไม่กี่นาทีข้างหน้า การเปิดตัวต้อนรับกลับมาอย่างเป็นทางการของ ยุกตนันท์ สิงห์สุริยัน กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
พิธีกรชาย หญิง กล่าวทำทักทายและชักชวนแขกผู้มีเกียรติเกี่ยวกับภายในงาน จนกระทั่ง เจ้าของงานวันนี้ปรากฏตัวขึ้น...
“...และ ผู้มีเกียรติ ทุกท่าน ขณะนี้ได้เวลาอันสมควรแล้ว ขอเสียงปรบมือต้อนรับให้กับ ทายาทหมายเลขหนึ่ง ของสิงห์สุริยัน คุณยุกตนันท์ สิงห์สุริยันค่ะ ”
เมื่อเสียงประกาศชื่อสิ้นสุด เสียงปรบมือรัวขานรับดังขึ้น ชายร่างโปร่งสมส่วน สูงราวหนึ่งร้อยเก้าสิบเซ็นติเมตร ปรากฎตัวในชุดสูทสีแดงเลือดหมูกำมะยี่และเสื้อเชิ๊ตสีขาวภายในตัดกับสีเน็ทไทด์สีดำ เส้นผมสีดำขลับยาวไม่ถึงสามนิ้วของเขา ถูกเซ็ทขึ้นเสยไปทางด้านหลัง ด้านข้างตัดสั้นจนเห็นผิวขาวของหนังศีรษะ ใบหน้าคมคาย ไร้หนวดเครา ถูกจัดเตรียมเพื่องานนี้โดยเฉพาะ มันทำให้เขากลายเป็นตัวเด่นของงานไปในทันที
“สวัสดีแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ที่มาร่วมแสดงความยินดีและต้อนรับกลับบ้านอย่างอบอุ่นนะครับ ผม ยุกตนันท์ พร้อมแล้วที่จะนำพาธุรกิจเครือ อสังหาฯ ของไทยสู่แนวหน้าระดับเอเชียครับ... ”
วู้ววววววววว เสียงปรบมือ แสดงออกถึงความพึงพอใจของผู้ร่วมฟังในงาน นับเป็นคำพูดที่ยิ่งใหญ่ มีอิมแพ็กต่อสายตาประชาชน สมกับตระกูลสิงห์สุริยัน ที่ไม่เคยทำอะไรเรียบง่ายแต่ไหนแต่ไรมา
การถ่ายทอดสดถูกดำเนินไปเรื่อย ๆ แม้แต่ประธานบริษัทเครือหงส์จันทราเอง ยังสละเวลางานบนโต๊ะอันมีค่า มาจดจ่อนั่งเปิดรับชมข่าวนี้ภายในห้องทำงาน
“ยิ่งใหญ่ขนาดนี้เชียว หมอนี่ มั่นใจไม่เปลี่ยนเลย แต่ไหนแต่ไร มักใหญ่ใฝ่สูง ” บวรทัต หนุ่มร่างกำยำสมส่วนยืนพิงผนัง ว่าพลางหยิบไวน์ชั้นยอดขึ้นลิ้มรส
“รวบรวมบริษัทรายย่อยเกือบหมด แล้วจะเล่นกับตระกูลเราต่อ ไม่ง่ายนักหรอกนะ” บวรภัค เสริมคำพูดขึ้นมาอีกคน พร้อมรอยยิ้มมุมปากราวกับอ่านเกมออก
และแล้วหน้าจอโทรทัศน์ ก็มาถึงช่วงบทสัมภาษณ์ที่เหล่าทายาทหงส์จันทราต้องหยุดพูดชั่วขณะ ประโยคนี้ ทำให้ชายหนุ่มอายุเยอะสุดในห้องนี้ นั่งนิ่งฟังด้วยหัวใจสงบราวสายน้ำลึก กลับเริ่มเชี่ยวกราก
“....แล้วข่าวลือที่ว่า คุณยุกตนันท์ กำลังหารือหมายหมั้นกับ คุณบวรนันท์ หงส์จันทรา ไม่ทราบจะจัดเร็วๆนี้ไหมคะ”
ทั้งสามคน จับจ้องไปที่ใบหน้าของคนถูกสัมภาษณ์ในจอทีวี แววตาดุดันนั้น แสดงละครได้เก่งแนบเนียนมากเกินไป แม้คำตอบ ในใจลึกๆของเจ้าตัวจะไม่แน่ชัด แต่เขากำลังตบตาทุกคนประหนึ่งว่าคำถามนั้นจะเกิดขึ้นจริงแท้แน่นอน ทั้งที่ตระกูลคู่หมายยังไม่เคยตกลงด้วยเลยแม้แต่น้อยก็ตาม
“แน่นอนครับ เร็วๆนี้...น่าจะเดือนหน้า” นักธุกิจหนุ่มยิ้มสู้กล้องและไมค์นับสิบ ๆ ตัว
“แล้ววันนี้ คุณบวรนันท์จะมาร่วมแสดงความยินดีด้วยไหมคะ?” นักข่าวคนหนึ่งถามขึ้น
สามพี่น้องได้แต่ยกยิ้มราวกับสะใจ พยายามลุ้นให้เขาขายหน้า เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าน้องชายของพวกเขา ไม่มีทางไปงานนี้แน่
แต่เปล่าเลย... คนคนนี้เอาอยู่ทุกคำถาม และตอบสื่อได้อย่างชาญฉลาด
“วันนี้น้องไม่ได้มาครับ ติดเรียนที่มหาลัย แต่ว่ามีส่งช่อดอกไม้มาแสดงความยินดีแต่เช้าแล้วครับ”
บวรทัต วางแก้วไวน์ลงบนโต๊ะกระจกอย่างแรง จนเกิดเสียงดังก้อง บ่งบอกถึงความไม่พอใจที่ ยุกตนันท์ ตอบสื่อไปแบบนั้น
“ช่อดอกไม้ของหนูนันท์อะไรกัน นั่นช่อดอกไม้ของคุณพ่อที่ให้คนไปส่งแสดงความยินดีตามมารยาทต่างหาก ” เขาว่าพลางไม่ชอบคนบนหน้าจอทีวีตอนนี้เอามาก ๆ
สามหนุ่มเงียบและฟังการสนทนาที่หน้าจอต่อ อยากจะรู้เหมือนกันว่า บทสัมภาษณ์ที่เกี่ยวกับตระกูลพวกเขา ผู้ชายคนนี้จะไปสุด หยุดที่ตรงไหนกันแน่
“หวานจังเลยนะคะ เอ๊ะ แบบนี้ แปลว่างานหมั้นหมายจะจัดเร็ววัน ส่วนงานแต่งต้องรออีกฝ่ายเรียนจบก่อนรึเปล่าคะ?”
“แน่นอนครับ ผมรอน้องเรียนจบก่อนครับ แล้วเราจะแต่งงานกันทันที...”
ติ๊ด เสียงรีโมทถูกกดลงด้วยโทสะจากปลายนิ้ว พร้อมกับหน้าจอได้ดับไป ทำเอาบวรทัตและบวรภัค หันซ้ายแลขวาเพื่อหารีโมท
แต่...ไม่ใช่ฝีมือใครที่ไหน แต่เป็น บวรวิทย์ พี่ชายคนโตของพวกเขาเองที่ได้กดปิดมันไป
“เอ้า พี่วิทย์ ปิดทีวีทำไม ยังฟังไม่จบเลย” บวรทัตโวยวายเล็กน้อย
“คำพูดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียวแบบนั้น พวกเราอย่าฟังเลย เตรียมตัวให้พร้อม อีกสามสิบนาทีมีประชุม” เขาเปรยเสียงเรียบ ว่าพลางเดินเลี่ยงเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัว
“ประชุมเหรอ อ้อ ประชุมผลกำไรไตรมาสสองของปี วาระเกี่ยวข้องกับ โครงการหงส์วิวใช่ไหม พี่พจน์จะเข้าประชุมไหมนะ?” บวรภัคทำสีหน้าครุ่นคิด เมื่อนึกถึงพี่รองของเขา
“ไอ้ภัคน้องพี่ เคยเห็นพี่พจน์เดินเข้าบริษัทครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ หื้ม? ไม่ต้องนึกละ ก็ปีก่อนไงล่ะ ฉะนั้นไม่ต้องเดา พี่พจน์เขาไม่มาหรอก” บวรทัต ตบบ่าปลอบใจเบาๆ
“ผมอยากให้พี่พจน์เข้าประชุมบ้าง คณะผู้บริหารระดับสูง จนจะลืมหน้ากันหมดแล้ว”
“รายนั้นไม่สนใจหรอก ไว้ประชุมเสร็จพี่ไปขยายผลให้ฟังส่วนตัวเหมือนเดิมนั่นแหละ” บวรทัตกล่าวอย่างสบายใจ เพราะเขาก็ทำแบบนี้มาหลายหนแล้ว
“ใช่สิ พี่มันน้องรักนี่หว่า อื้ม! เย็นนี้ ผมจะแวะไปหาหนูนันท์ที่มหา’ลัย พี่ทัตจะไปด้วยไหม?” บวรภัค ถามพี่ชายในใจ แต่มีคำตอบที่อยากได้ยินอยู่ก่อนแล้ว
“ไม่ล่ะ เมื่อวานพี่ไปมาแล้ว”
หนุ่มกล้ามโต ว่าเสร็จก็หยิบไวน์กระดกเข้าปากจนหมด ก่อนจะหันไปจัดแจงเสื้อผ้าหน้าผม เตรียมเข้าประชุมทิ้งไว้แต่ความหมั่นไส้นิดๆของบวรภัค ที่ถูกทำแต้มชิงตัดหน้าไปก่อนแล้ว
มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร
เป็นที่ขึ้นชื่อว่าเป็นมหาวิทยาลัยเอกชน ที่คนบันเทิงหรือกลุ่มชนที่มีชื่อเสียงมักเรียนและจบการศึกษาจากที่นี่ไปไม่น้อย ไม่เว้นแม้แต่ลูกชายคนเล็กของตระกูลหงส์จันทรา
คอนโดสูงตระหง่านและหรูหรา ไม่ไกลจากปากทางเข้ารั้วมหาวิทยาลัย ถูกซื้อไว้ถาวรเมื่อหลายเดือนก่อน ถือเป็นหนึ่งในของขวัญที่ บวรนันท์ สอบเข้าคณะบริหารธุรกิจ ได้ตามที่ใจต้องการ แม้ว่า ทั้งบวรเดชและอัญญานี เคยเปรยไว้ อยากให้ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ แต่เจ้าตัวยืนกรานที่จะเรียนที่นี่ ผู้เป็นบุพการีก็ไมได้ขัดขวางอะไรทั้งนั้น
หนุ่มร่างบาง สูงร้อยเจ็ดห้าเซนติมเตร ผิวขาวเนียนละเอียดน่าสัมผัส กำลังนั่งอยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง จ้องมองดูดวงตารีสวยราวเม็ดอัลมอนด์คู่นั้นของตัวเอง พลางหันศีรษะทางซ้ายและขวา เพื่อชื่นชมสีผมใหม่ที่เพิ่งไปย้อมมาไม่กี่วัน สีน้ำตาลเข้มนี้เขาชอบมากเลยทีเดียว แต่ยังไม่มีใครได้เห็นผลลัพธ์นี้ บวรภัค จะได้สิทธิ์นั้นเป็นคนแรก
ติ๊งต่อง..... เสียงกดกริ่งหน้าประตู ทำให้เจ้าของห้อง เผยรอยยิ้มหวาน รีบลุกไปเปิดประตูให้ทันที ไม่กี่นาทีก่อนหน้านั้น ได้รับสายจาก บวรภัค พี่ชายคนที่สี่ ว่าจะมาหาเขาที่คอนโด
ทันทีที่เปิดประตู ก็เป็นไปตามคาดจริงๆ บุรุษสูงร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร ในมาดหนุ่มออฟฟิศหลังเลิกงาน ปลดกระดุมบนออกสองเม็ด เผยลอนก้ามบริเวณหน้าอกที่ชัดเจนและแข็งแกร่ง พร้อมพับเสื้อขึ้นสูงเกือบถึงข้อศอก ยืนส่งยิ้มให้ แบบนี้น้องชายจะไม่หวงพี่ ๆของเขาทั้งสี่คนได้ยังไงกัน
“พี่ภัค มาเร็วเหมือนกันนะเนี่ย ว้าว...หอมจัง ซื้ออะไรมาบ้างครับ”
“หืม...จะกินอย่างเดียวเลย ให้พี่เข้าไปก่อนได้รึเปล่าครับ ถือของเยอะแยะ หนักจะตายอยู่แล้วคนดี ” ร่างสูงออดอ้อน ใครจะไปเชื่อว่าถือของเท่านี้ไม่ไหว แต่เหมือนน้องเล็กสุดจะชินแล้วกับการแสดงของพี่สี่
“ได้สิครับ อย่าเพิ่งงอนสิ ห้องของนันท์ ก็เหมือนห้องของพี่ภัคแหละน่า”
“ช่างพูดนะเราน่ะ ไหนดูซิ ห้องรกรึเปล่า... ”
บวรนันท์ไม่ได้สนใจที่พี่ชายพูดอยู่แล้ว เขาเอาแต่จ้องอาหารในมือท่าเดียว ทุกอย่างที่บวรภัคเลือกมานั้น คือความพิถีพิถันเอาใจใส่มาก เขาซื้อแต่ของที่น้องชายชอบ และอาหารบำรุงมาด้วยส่วนหนึ่ง เผื่อเอาไว้กินไว้ดื่ม ช่วงที่บวรนันท์อ่านหนังสือ
“...อืม ก็ไม่รกนี่ หนูนันท์ของพี่ โตแล้วสินะ” บวรภัควางของกินบนโต๊ะอาหารแล้วเปลี่ยนมาวางแหมะกลางกระหม่อม ลูบหัวน้องชายด้วยความเอ็นดู
“หืม พี่ภัค ลูบเบาเดี๋ยวทรงผมพังหมด ” บวรนันท์ว่าพลางกังวลทรงผมนั้นจริงๆ แต่อีกใจคืออยากจะอวดสีผมใหม่
“โอเคครับ พี่ภัคขอโทษ โอ้...ว้าว สีผมใหม่ซะด้วย น่ารักขึ้นเยอะเลย แบบนี้ไม่ปล่อยให้ใครได้ไปง่ายๆหรอก เนอะ” ร่างสูงพูดจบ ก็ต้องชะงักไป เมื่ออีกฝ่ายเริ่มมีทีท่าคล้ายกับกำลังกังวลอะไรบางอย่าง
คำว่า
“ไม่ปล่อยให้ใครไปง่ายๆ” เขายอมรับว่าเป็นผลพวงมาจากที่ดูข่าวของ ยุกตนันท์ วันนี้ ทำให้พูดออกไปอัตโนมัติ จนไม่คิดว่า น้องชายก็อาจจะหลีกเลี่ยงข่าวนี้ไม่ได้ตลอดทั้งวัน
“พี่ภัค...นันท์ ไม่อยากหมั้....”
พรึบบบบบบยังไม่ทันที่คนน้องจะได้พูดอะไรออกมาจนจบประโยค แขนแกร่งของพี่ชายอย่างบวรภัค รีบโอบรัดดึงร่างคนตรงหน้าเข้ามาในอ้อมกอดทันที ฝ่ามือที่แนบชิดแผ่นหลังบางเพียงคืบมือ ค่อยๆลูบปลอบประโลมใจ
“ไม่มีหรอก งานหมั้นอะไรกัน แค่เรื่องเข้าใจผิดทั้งนั้น หนูนันท์อย่างคิดอะไรคนเดียวแบบนี้อีกนะ พี่ขอโทษที่ปากพร่อยทำให้รู้สึกไม่ดีนะ”
“ไม่เป็นไรครับ แต่ว่า...” บวรภัคผละน้องชายออกจากอ้อมกอดและจ้องมองดวงตาคู่สวยนั้นกลับอย่างจริงใจ
“ไม่มีแต่แล้วครับ หนูนันท์ ของพี่ จะต้องได้หมั้นกับคนที่ตัวเองรักเท่านั้น หนูนันท์ยังมีคุณแม่ และพี่ๆทุกคนนะครับ ส่วนคุณพ่อ ให้เป็นหน้าที่พวกพี่ก็พอ” คำพูดนั้นของพี่ชาย ทำให้บวรนันท์อบอุ่นใจเหลือเกิน
“ครับ รักพี่ภัคที่สุดเลย” บวรนันท์ถลาเข้ากอดพี่ชายตัวเองอีกครั้ง ตอนนี้อีกฝ่ายรู้สึกโล่งใจที่ปลอบขวัญน้องชายได้สำเร็จ แต่นัยน์ตาของบวรภัคนั้น มีเรื่องให้ครุ่นคิดและกังใจไม่น้อยเลย
ข่าวนี้ออกทุกช่องทาง น้องชายของเขาต้องอดทนและอดกลั้นไม่สนใจสายตารอบข้างทั้งวันได้อย่างไรกัน นับว่าเข้มแข็งมากพอแล้วจริงๆ
“พี่ภัครักหนูนันท์มากกว่าอีก ปะ ไปกินข้าวกัน”
“ครับ”
ทั้งสองคน ใช้เวลาอยู่ร่วมกันนานนับสามชั่วโมง บวรภัคพยายามถามไถ่ความเป็นอยู่น้องชาย เผื่อมีอะไรขัดสนหรือติดปัญหาเขาจะได้ช่วยแก้ หากเกินความสามารถจะได้ให้พี่ชายอีกสามคนช่วยสนับสนุน
จนกระทั่งเขาได้รับรู้ว่า น้องชายของเขามีเพื่อนใหม่ ชื่อ
กานต์แก้ว ตอนนี้เขาจดจำรายละเอียดที่น้องชายพูดออกมาด้วยความสุขเอาไว้แล้ว เขาจะสืบภูมิหลังเอาเองว่า เพื่อนใหม่คนนี้ น่าไว้วางใจแค่ไหน
“กลับบ้านดีๆนะครับพี่ภัค ”
“ครับผม โอเค ขอบใจมาก เดี๋ยววันหน้าพี่ภัคจะมาหาใหม่ อย่านอนดึกมากนะ เป็นห่วงครับ”
“ค้าบ รับทราบครับ”
เมื่อพี่ชายเดินจากไป ภายใต้ประตูที่ถูกปิดลง แม้ความสุขจะเป็นช่วงสั้นที่บวรภัคพยายามมอบให้ แต่คนอย่างบวรนันท์ ไม่สามารถทำเป็นไม่รับรู้เรื่องงานหมั้นได้ ข่าววันนี้ทางโซเชี่ยวบินว่อนไปทั่ว เวียนวนอยู่ภายในใจของเขาตลอด จะหันไปทางไหนก็ยังเจออยู่เสมอ
ผู้ชายคนนั้น ในข่าวดูทะนงตัวและมั่นใจในตัวเอง บวรนันท์ไม่รู้เลยว่า จริงๆแล้ว ฝั่งตระกูล สิงห์สุริยัน กำลังเล่นเกม คิดทำอะไรอยู่กันแน่ แต่สิ่งที่เขารู้อย่างเดียวก็คือ คน ๆ นี้อันตราย ไว้ใจไม่ได้
“ผมจะไม่มีวันหมั้นกับคุณเด็ดขาด คุณยุกตนันท์ ”
น้ำเสียงหนักแน่นพูดกับตัวเองด้วยสัญญาใจ พลางมองไปยังภาพประกอบข่าวในโลกออนไลน์ ที่ปรากฏใบหน้าผู้ชายไฮโซ และเพียบพร้อมอย่าง ยุกตนันท์
***********จบตอน***********