Title : Angelic Lover : One Night Only
Author : virgindevil
Rate : PG-13
Type : Romantic Comedy
Talk : เรื่องของเรื่องเกิดจากความประทับใจในวัยเด็กกับหนังเรื่องหนึ่ง และเป็นเรื่องสั้นเรื่องแรกที่โพสต์ที่นี่ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ ^^
ปล...ขอให้มีความสุขกับการอ่านค่ะ...
***************************************
== Angelic Lover : One Night Only ==
(((ร้องขอสิร้องขอ)))
(((ถ้าเธอขอแล้วฉันจะให้)))
(((เพียงแค่ร่ำร้องออกมาจากหัวใจ)))
(((ทุกสิ่งจะเป็นไปตามเธอปรารถนา)))
...
...
...
...พระเจ้าครับ...
...ตอนนี้ผมกำลังมีความรัก...
...หลังจากวินาทีแรกที่ผมได้พบคนๆนั้น...ผมก็รู้ตัวว่า..
...ชั่วชีวิตนี้...ผมรักใครไม่ได้อีกแล้ว...
...แต่เรื่องระหว่างเรามันคงเป็นไปไม่ได้สินะ...
...ได้โปรดเถอะครับ...อย่าทรมานผมไปมากกว่านี้เลย...
...ถ้าพระองค์เมตตาผมจริง...ก็ขอให้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นทีนะครับ...
...อย่างน้อย...ก็เป็นของขวัญวันเกิดสำหรับผมในปีนี้...
...แค่วันเดียวก็ยังดีนะครับ...
...ชยาวุธ...คนน่าสงสาร...TT^TT...
...
...
กระดาษจดหมายสีฟ้าอ่อนลายปลาโลมาถูกเขียนขึ้นด้วยลายมือหวัดๆ ก่อนที่เจ้าของลายมือนั้นจะพับมันแล้วยัดใส่ซองสีเดียวกันและเก็บเข้ากระเป๋าสะพายใบเก่งอย่างระมัดระวัง ร่างสูงพรูลมหายใจออกมาจนหมดปอดพลางเงยหน้ามองท้องฟ้ายามราตรีที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวผ่านกระจกใสบานใหญ่ของร้านขายเสื้อผ้าแบรนด์หรูในย่านไฮโซใจกลางกรุงเทพฯ ณ ช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่คงอยู่ในห้วงนิทราอันเป็นสุข ทว่าสำหรับเขาแล้วดูราวกับว่าค่ำคืนนี้ยังคงดำเนินไปอีกยาวไกลเหลือเกิน...
...น่าแปลก ที่ใจกลางกรุงเทพฯในค่ำคืนนี้ กลับมีดาวเต็มท้องฟ้า...ชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดพอดีตัวสีขาวกับกางเกงยีนส์ขาดๆสีเข้ม ใบหน้าขาวจัดหล่อเหลาอย่างร้ายกาจรับกับผมหยักศกยาวระต้นคอสีดำสนิทที่ถูกมัดไว้อย่างลวกๆ ริมฝีปากหยักได้รูปเม้มแน่นคล้ายตกอยู่ในห้วงภวังค์ ร่างสูงยืนเท้าเอวมองหุ่นโชว์ที่เพิ่งถูกนำมาตั้งในร้านเป็นวันแรกด้วยแววตาเหม่อลอย ดวงตาคมสีเปลือกไม้มองลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำผึ้งไร้แววที่ประดับบนใบหน้าน่ารักไม่ต่างจากเทวดาองค์น้อยตรงหน้าก่อนจะเลื่อนสายตาสำรวจรูปจำลองมนุษย์ที่เพิ่งส่งมาจากโรงงาน รูปร่างโปร่งบางเต็มเปี่ยมไปด้วยกล้ามเนื้อสมส่วนในแบบของเด็กหนุ่ม ทว่ากลับดูสะโอดสะอง ผิวกายที่ช่างบรรจงเสกสรรปั้นแต่งให้ขาวอมชมพูเรื่อๆยามต้องแสงจันทร์ที่สาดส่องมาจากภายนอกดูราวกับมีชีวิต...เขานั่งมองเจ้าหุ่นตัวนี้มานานแค่ไหนไม่รู้ได้...สิ่งที่รู้มีเพียงความรู้สึกประหลาดที่ไหลบ่าจนเอ่อล้นหัวใจ...
“ใครหนอช่างทำได้...ทำไมต้องปั้นให้หุ่นโชว์เสื้อผ้าผู้ชาย...น่ารักขนาดนี้ด้วย?”
“นี่นาย...ฉันชื่อวุธ...ชยาวุธ...มาเป็นแฟนกันเถอะนะ” เสียงทุ้มนุ่มหูเอ่ยขึ้นเบาๆกับสิ่งไร้ชีวิตตรงหน้า
“จะเรียกว่าอะไรดีนะ...อืมมม...เด็กหนุ่ม...น่ารัก...ชื่อกานต์แล้วกันดีไหม?” แต่แล้วในที่สุดชายหนุ่มก็กลับต้องหัวเราะเยาะกับความแสนคิดพิเรนของตัวเอง
‘หึ...เป็นแฟนกับหุ่นโชว์เสื้อผ้าแถมยังไปตั้งชื่อให้อีก...ชยาวุธเอ๊ยยยย!...แกต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ’...ทำงานหนักจนเพ้อเจ้อ....หรือไม่ก็เหงาจนเพี้ยน...
...แน่ๆเลยกู...
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าสิ่งที่อยู่ความคิดเป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี ร่างสูงก็สะบัดหัวตัวเองเพื่อให้ความคิดประหลาดนั้นกระเด็นออกไปพลางหันกลับไปสนใจการจัดดิสเพลย์หน้าร้านที่ยังคงเหลืออยู่อีกเล็กน้อยจนเสร็จ จากนั้นจึงหยิบเสื้อผ้าคอเลคชั่นใหม่ที่เตรียมไว้มาสวมให้หุ่นโชว์แสนน่ารักที่ถูกจัดท่าให้นั่งยิ้มหวานอยู่บนเก้าอี้ทรงสูงกลางตู้ ก่อนจะถอยหลังไปอีกสองสามก้าวเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยโดยรวมเป็นครั้งสุดท้าย...
“กานต์...นายนี่เข้ากับบรรยากาศของความสดใสจริงๆเลยนะ...รู้ไหม?...ว่ารอยยิ้มแบบนี้มันทำให้คืนนี้สว่างไสวจนฉันแสบตาไปหมดแล้ว” ชยาวุธเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ ริมฝีปากหยักประดับรอยยิ้มถูกใจกับผลงานของตัวเองก่อนจะปิดไฟตู้โชว์หน้าร้านและล็อคกุญแจอย่างแน่นหนา
ร่างสูงก้าวเอื่อยๆออกมาตามทางเล็กๆสู่ถนนด้านนอกของร้านพลางเหลือบมองนาฬิกาข้อมือทรงสปอร์ต แต่แล้วดวงตาคมกลับต้องเบิกโพลงเมื่อเห็นตัวเลขบนหน้าปัดที่บ่งชี้ว่าเป็นเวลาเกือบจะตีสามเข้าไปแล้ว
“จะบ้าตาย...ดึกขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย?” ชายหนุ่มสบถกับตัวเองด้วยความตกใจที่เผลอทำงานจนลืมเวลาขนาดนี้ ขืนพรุ่งนี้มาทำงานสายมีหวังโดนเจ้านายบ่นหูชาอีกแน่ๆ...เขาจึงตัดสินใจเร่งฝีเท้าจากเดินเป็นวิ่งเพื่อให้ถึงที่พักโดยเร็วที่สุด...อย่างน้อย...มีเวลานอนเพิ่มขึ้นอีกสัก 5-10 นาทีก็ยังดีล่ะว้า...
ณ ความเงียบสนิทที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง บนท้องถนนอันมืดมิด ในยามค่ำคืนที่ปราศจากแสงไฟ คงเหลือเพียงแสงจันทร์สีเหลืองนวลของคืนเดือนเพ็ญที่สาดส่อง ภายในตู้โชว์กระจกใสหน้าร้านเสื้อผ้าแห่งนั้น ดวงตากลมสีน้ำผึ้งไร้แววค่อยๆเกิดประกายประหลาดวูบขึ้นมาก่อนจะหายวับไปอย่างรวดเร็ว...
“...ชยาวุธ...เราเป็นแฟนกันแล้วนะ...”
(((ร้องขอสิร้องขอ)))
(((ถ้าเธอขอแล้วฉันจะให้)))
(((เพียงแค่ร่ำร้องออกมาจากหัวใจ)))
(((ทุกสิ่งจะเป็นไปตามเธอปรารถนา)))...
...
...
Rrrrrr Rrrrrr
Rrrrrr Rrrrrr
Rrrrrr Rrrrrrเสียงโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะข้างเตียงแผดลั่นต้อนรับสนธยาที่มาเยือน แม้ว่าดีกรีความดังของมันจะรุนแรงพอให้หลายๆคนตกใจจนสะดุ้งตื่น ทว่ากลับไม่ระคายหูร่างสูงที่ยังคงหลับสนิทอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนาเลยแม้แต่น้อย ปฏิกิริยาตอบรับสิ่งน่ารำคาญนั้นกลับมีเพียงแค่พลิกกายหนีไปอีกฝั่งของเตียงเท่านั้น
ทว่าเมื่อความพยายามดิ้นรนกลับไม่ได้ช่วยให้ต้นเสียงชวนปวดประสาทนั้นเบาบางลง ตรงกันข้าม คราวนี้ทั้งโทรศัพท์มือถือ โทรศัพท์บ้าน...หรือแม้แต่นาฬิกาปลุก ต่างพร้อมใจกันดังประชันเสียงแสบแก้วหู ร่างสูงจึงจำใจต้องงัวเงียขึ้นรับสายในที่สุด...
“ฮัลโหล...ตอนนี้ไอ้วุธ ตายไปแล้วครับ...กรุณาฝากข้อความไว้...ถ้ามันฟื้นขึ้นมาจะโทรกลับ” ชยาวุธตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงงัวเงียสุดชีวิต ไม่สนใจแล้วว่าคนที่โทรมาคือใคร...แต่การรบกวนคนนอนหลับถือเป็นบาปอันใหญ่หลวง...
“เออ...ฝากบอกมันด้วยว่าให้มาที่ร้านเดี๋ยวนี้เลย...ถ้าภายใน 15 นาทีนี้ยังมาไม่ถึง...มันได้ตายจริงๆแน่!!!” เสียงหวานหูจากปลายสายกราดเกรี้ยวอย่างน่ากลัวกระชากร่างสูงขึ้นจากที่นอนทันทีก่อนจะหันหน้าตาลีตาเหลือกไปมองนาฬิกาที่ตั้งอยู่ตรงหัวเตียง...
“เฮ้ย! ฉิบหาย!!!...ห้าโมงเย็นแล้วเหรอเนี่ย...หลับข้ามวันข้ามคืนขนาดนี้ได้ไงวะ...” ขายาวดีดพรวดขึ้นจากเตียง หายงัวเงียเป็นปลิดทิ้งพร้อมทั้งพาร่างของตัวเองวิ่งปรู๊ดเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัว...
ภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที ชยาวุธก็วิ่งหัวฟูมาถึงร้านก่อนจะทิ้งกายลงบนโซฟารับแขก สูดอากาศเข้าปอดเร็วๆไม่ต่างจากหมาหอบแดด ใบหน้าหล่อเหลาชุ่มเหงื่อจนผมหยักศกยาวระต้นคอเปียกลู่ดูกระเซอะกระเซิง
“มีอะไรเจ๊...ถึงได้โทรตามแต่ไก่โห่แบบนี้...รู้รึเปล่าว่าเมื่อคืนกว่าผมจะออกจากร้านน่ะมันกี่โมงกัน” เสียงทุ้มบ่นไปหอบไป มือใหญ่รวบผมที่กระเซอะกระเซิงเป็นหางม้าอย่างลวกๆ ก่อนจะเงยหน้าสบตาหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของร้าน...
“ไก่บ้านบิดาแกโห่ตอนนี้รึไง!...นี่มันห้าโมงนะยะ...ห้าโมงเย็น!...ฉันรู้ว่าแกกลับดึกมาก...แล้วก็ขอลางานในวันนี้ไว้แล้ว...แต่หน้าร้านนั่นมันอะไรกัน...หุ่นโชว์ตัวใหม่ของฉันทำไมถึงมีสภาพแบบนี้ยะ” เมธินี หรือเจ๊เมย์ หญิงสาวญาติผู้พี่ของชยาวุธบ่นลั่นร้านพลางวาดนิ้วเรียวสั่นระริกด้วยความโกรธชี้ไปยังต้นตอของปัญหาที่ด้านหน้าร้าน รั้งให้ดวงตาคมเหลือบมองตาม...
ทว่าเมื่อเห็นสภาพภายในตู้โชว์ที่เขามั่นใจว่าได้จัดตกแต่งไว้แล้วอย่างดีเมื่อคืนที่ผ่านมา บัดนี้กลับอยู่ในสภาพไม่ต่างจากสมรภูมิรบ ของตกแต่งกระจัดกระจายราวกับถูกพายุไซโคลนถล่ม ไม่เว้นแม้แต่หุ่นโชว์แสนน่ารักที่ในเวลานี้อยู่ในสภาพมอมแมมเหมือนไปมุดท่อมาอย่างนั้นแหละ...
“เป็นไปไม่ได้...เมื่อคืนมันยังดีๆอยู่เลย...แล้วตอนนี้ทำไมเป็นงี้อ่ะเจ๊...ขโมย...ต้องมีขโมยขึ้นร้านแน่ๆเลย” ชยาวุธฟันธง เพราะเขามั่นใจว่าทุกอย่างอยู่ในสภาพสมบูรณ์แบบไม่มีที่ติ...ที่สำคัญ...ไอเดียสุดเริ่ดของเขา...ทำไมชั่วข้ามคืนมันถึงเละไม่มีชิ้นดีได้ขนาดนี้เนี่ยยยยยยยย
มือใหญ่ขยุ้มผมบนศีรษะตัวเองที่เพิ่งจะรวบเอาไว้จนยุ่งฟูอย่างขัดใจเมื่อผลงานชิ้นโบว์แดงที่เขาบรรจงรังสรรค์มันขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบเมื่อคืนนี้กลับตกอยู่ในสภาพที่แม้แต่ตัวเองยังรับไม่ได้ จนแทบอยากจะกรีดร้องออกมาเป็นภาษาต่างดาวให้มันรู้แล้วรู้รอดไป…
“งั้นแปลว่าแกลืมล็อคกุญแจใช่ไหม?” หญิงสาวที่เปรียบเสมือนพี่สาวแท้ๆของชายหนุ่มลุกขึ้นเท้าเอวถลึงตาใส่ แม้หลายๆคนจะมองว่า เมธินี ทั้งเก่ง อัธยาศัยดี ที่สำคัญงดงามเหมือนนางฟ้า...แต่สำหรับชยาวุธแล้ว...อีเจ๊คนนี้แม่มดชัดๆ...
“อะไรไม่ได้ล็อค...กับมือเลยครับกับมือ ขอบอกกกก...เจ๊อย่ามา!!!” ร่างสูงเถียงคอเป็นเอ็น เขามั่นใจว่าไม่มีทางพลาดแน่ๆเรื่องล็อคร้าน เพราะทุกคืนที่อยู่ทำงานล่วงเวลาจนดึก ชยาวุธมักจะตรวจตราความเรียบร้อยเป็นอย่างดีเสมอก่อนจะออกจากร้าน…
“ผี…ผีหลอกแน่ๆเลยเจ๊” เสียงทุ้มหวานหูหาข้อสรุปออกมาเสร็จสรรพ รั้งให้ใบหน้าสวยหวานของหญิงสาวข้างกายตวัดกลับมามองอย่างอึ้งๆ
“โอ้โห!!!...ฉันเปิดร้านวันนี้ตามกำหนดไม่ได้ เสียหายเท่าไหร่รู้มั้ย...แกรับผิดชอบไหวเรอะ!!!...ง่ายดีนี่…หาเหตุผลไม่ได้ก็สรุปเอาว่าผีหลอก…ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงฉันขอให้คืนนี้แกโดนผีหลอกจนถึงเช้าเลยละกัน…เพราะแกต้องอยู่ซ่อมงานให้เสร็จก่อนพระอาทิตย์ขึ้นพรุ่งนี้…รู้ไว้ซะด้วยไอ้วุธ!” คำตัดสินประกาศิตทำเอาชยาวุธทิ้งตัวลงกับโซฟานุ่มอย่างหมดแรง งานตกแต่งหน้าร้านที่เขาใช้เวลาถึงหนึ่งสัปดาห์เต็มๆกว่าจะออกมาเรียบร้อยกลับต้องถูกรวบยอดทำให้เสร็จภายในวันเดียว แบบนี้ไม่ตายก็บ้าแล้ว
“แต่วันนี้วันเกิดผมนะเจ๊…จะใจร้ายให้ผมทำงานงกๆ แทนที่จะไปฉลองกับแฟนเหรอคร้าบบบบบ” ร่างสูงเอามือประสานกันที่กลางอกพลางกระพริบตาปริบๆออดอ้อนอย่างที่ตัวเองคิดว่า(คงจะ)ดูน่ารักที่สุดในโลกแล้ว...หวังใจว่าพี่สาวคนสวยแสนใจดี(?)จะอนุโลมให้เขาพอมีเวลาฉลองวันเกิดแบบโฮมอโลนเหงาๆให้กับตัวเองบ้าง...
“อย่ามาตอแหล! แกมีแฟนที่ไหนกันหา...ไอ้วุธ! แหมๆๆ...จะไปฉลองกับแฟน หาเรื่องอู้งานเหรอยะ! เดี๋ยวแม่กัดหูขาด ไม่รู้ล่ะ! งานไม่เสร็จไม่ต้องไปไหนเลย นอนมันที่ร้านนี่แหละ!” เมธินีออกคำสั่งเด็ดขาด นิ้วเรียวยาวผ่านการตกแต่งอย่างดีกรีดปลายเล็บสีแดงสดชี้ใบหน้าหล่อเหลาของญาติผู้น้องที่มีศักดิ์เป็นลูกจ้าง...(หรือว่าทาส)...ที่นั่งตีหน้าสลดหดหู่เหมือนหมาหงอย แต่แล้วริมฝีปากสวยสีสดก็ค่อยๆแย้มรอยยิ้มหวานหยดเสียจนคนเห็นขนลุกวาบๆด้วยความหวาดกลัว หญิงสาวค่อยๆเคลื่อนกายเข้าหาร่างสูงที่เขยิบถอยห่างออกไปเรื่อยๆอย่างรู้ทัน
“แล้วอย่าให้ฉันรู้นะว่าแกหนีงาน...ไม่งั้น...ฉันจะวางยานอนหลับแก...แล้วเจี๋ยนคิกคาปู้แกซะ...เข้าใจมั้ยไอ้คุณชยาวุธ!!!” นายจ้างสาวตะคอกเสียงลั่นก่อนจะเดินสะบัดก้นออกจากร้านโดยแสร้งทำเป็นหงุดหงิด...
หึหึหึ ดีซะอีก วันนี้ไม่ต้องเปิดร้าน จะได้หนีไปเดทกับแฟน วุธ...แกรับกรรมไปคนเดียวแล้วกันนะจ๊ะไอ้น้องรัก...
...
...
...
“โว้ยยยยยย...ยัยแม่มดหนังเหี่ยว...ร้ายกาจนักนะ...ฮือออออ...แล้วนี่มันอะไรกันวะ...ตั้งใจทำงานแทบตาย...เวรตะไลที่ไหนทำพังขนาดนี้เนี่ย...อย่าให้รู้นะ...แม่งงงง...พ่อจะจับมาแล้วเอาไอติมยัดปากให้แข็งตายกันไปข้างนึงเลย...โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยย” ชยาวุธทั่งสบถ ทั้งบ่น ทั้งด่าอย่างหัวเสียในขณะที่เดินตรงไปยังตู้โชว์ต้นเหตุแล้วมองซากที่เคยเป็นดิสเพลย์อันสวยงามอย่างหมดแรง...
ชายหนุ่มเดินไปรูดผ้าม่านปิดกระจกส่วนที่เปิดโล่งไว้สำหรับให้ผู้คนผ่านไปผ่านมาชื่นชมกับภาพความสวยงามของสิ่งที่ตกแต่งไว้ภายในด้วยความเซ็งสุดชีวิตจนสภาพตู้โชว์ขนาดใหญ่กลายเป็นเพียงห้องทึบๆห้องหนึ่ง ก่อนจะกลับมาจัดการเก็บกวาดความระเกะระกะภายในอย่างรวดเร็ว...
ดวงตาคมเหลือบไปมองหุ่นโชว์แสนน่ารักที่ยังคงนอนนิ่งอยู่บนพื้น และค่อยๆช้อนร่างนั้นขึ้นมาอย่างทะนุถนอม มือใหญ่หยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงของตัวเองขึ้นมาบรรจงเช็ดรอยเปื้อนบนใบหน้าน่ารักสดใสอย่างเบามือ ดูเหมือนว่าเขาจะเสียเวลากับการทำความสะอาดเจ้าหุ่นโชว์ร่างเล็กนี้นานพอดู จนกระทั่งเป็นที่พอใจ ชายหนุ่มจึงจัดวางท่าทางของหุ่นโชว์ที่เขาตั้งชื่อไว้ว่ากานต์ในท่าทางที่ออกแบบไว้เมื่อคืนนี้
“กานต์...นายเลอะเทอะหมดเลยเห็นไหม?...เมื่อคืนนี้คงไม่ใช่ฝีมือนายหรอกเนอะ...เพราะถ้าทำจริงๆ...ฉันจะจับมาตีก้นให้ร้องไม่ออกไปเลย” ชายหนุ่มบ่นอุบอิบอยู่คนเดียวขณะที่ในสมองก็หัวเราะเยาะความคิดพิเรนๆของตัวเองอีกครั้ง...แปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมหนอ...เวลาอยู่ต่อหน้าเจ้าหุ่นกานต์...เขาถึงไม่คิดว่าเด็กคนนี้คือหุ่นโชว์เสื้อผ้าเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม กลับเชื่ออยู่ลึกๆว่าวัตถุไร้ชีวิตร่างเล็กนี้เหมือนกับจะเข้าใจสิ่งที่เขาพูดอย่างนั้นแหละ...
...ก็นายยิ้มตอบฉันตลอดเลยนี่นา...กานต์...
‘วุธธธธธ~...จะตีก้นผมจริงเหรออออออ’เสียงแหบๆทว่าฟังดูหวานหูลอยมาแผ่วเบาในจังหวะที่ร่างสูงหันหลังให้กานต์เพื่อจัดของตกแต่งให้อยู่ในตำแหน่งเดิมที่เขาได้จัดวางไว้เมื่อคืนนี้ ความรู้สึกเย็นวาบประหลาดรินรดอยู่ที่ต้นคอแกร่งจนทำให้เสียวสันหลังวาบพร้อมทั้งอาการขนลุกไปทั่วตัว นี่ถ้าไม่เพราะรวบผมไว้อย่างดีแล้ว เขามั่นใจได้เลยว่าขนหัวก็คงต้องลุกตั้งอย่างไม่ต้องสงสัย...
...ไม่รู้รึไง...ว่า ชยาวุธ...กลัวผีที่สุดในโลกกกกกกกก...>[]<...ดวงตาคมค่อยๆเหลือบมองไปด้านหลังอย่างกล้าๆกลัวๆ ในใจก็หวาดหวั่นว่าหากสิ่งที่เห็น...เป็นแบบเดียวกับที่คิดอยู่...เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร...ไม่ช็อกตาตั้งชักกระแด่วอยู่กับพื้นไม่ต้องเรียกชยาวุธเลยเหอะ...
...ทว่า...สิ่งที่พบ...กลับมีเพียงแค่ความว่างเปล่า...กับกานต์...ที่ยังคงนั่งยิ้มหวานอยู่เช่นเดิม...
“โถ่เอ๊ยยยย!...หูแว่ว...พระอาทิตย์ยังไม่ตกเลยแท้ๆ...จะมีผีได้ไงวะ” เสียงทุ้มพึมพำเบาๆปลอบใจตัวเองไปตามเรื่องตามราว ร่างสูงสะบัดหัวแรงๆเพื่อไล่ความคิดน่าหวาดเสียวออกจากสมองแล้วหันกลับไปขะมักเขม้นกับงานตรงหน้าต่อ ยังดีที่ภาพดิสเพลย์ทั้งหมดอยู่ในหัวเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นเขาจึงมั่นใจว่าหากลุยเต็มที่...งานทั้งหมดคนเสร็จเรียบร้อยภายในคืนนี้แน่นอน...
...
...
...
(((ร้องขอสิร้องขอ)))
(((ถ้าเธอขอแล้วฉันจะให้)))
(((เพียงแค่ร่ำร้องออกมาจากหัวใจ)))
(((ทุกสิ่งจะเป็นไปตามเธอปรารถนา)))เสียงเพลงท่วงทำนองหวานหูลอยมาแผ่วเบา เนื้อความในเพลงนั้นถูกร้องซ้ำไปซ้ำมาคล้ายกับว่ากำลังเห่กล่อมฉุดรั้งให้ผู้ที่ได้ยินตกอยู่ในภวังค์ ดวงตาสีเปลือกไม้เหม่อมองลึกลงไปในดวงตาสีหวานไร้แววตรงหน้าที่ค่อยๆเกิดประกายแสงสีทองประหลาดไหววูบเป็นจุดเล็กๆอยู่ภายใน...เงียบงัน...ปราศจากสุ้มเสียงใด มากไปกว่าเสียงครางแผ่วเบาของเครื่องปรับอากาศ...
...และ...
...เสียงหายใจของคนสองคน...
...เอ๊ะ!...
...คนสองคน...
“วุธ”
“ชยาวุธ...”
“เรียกผมมาเหรอ?”
“คุณขอใช่ไหม?”
“วุธ”
เขาไม่รู้สึกตัวเลยว่าเดินเข้าหาร่างเล็กนั่นได้อย่างไร กว่าจะรู้ตัวอีกทีใบหน้ากลมๆแสนน่ารักนั่นก็ลอยเด่นอยู่เบื้องหน้า ดวงตากลมสวยสีน้ำผึ้งเป็นประกายงดงามท่ามกลางยามค่ำคืน...พระอาทิตย์ตกแล้ว...เวลานี้ล่วงเลยเข้าสู่ยามราตรี...
...ค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลอง...เหงาๆ...เพียงคนเดียว...
...คนเดียวงั้นรึ????...
ดวงตากลมโตค่อยๆหรี่เล็กลงพร้อมกับริมฝีปากสีสวยที่น่าจะเงางามเพราะแล็กเกอร์ค่อยๆแย้มยิ้มสดใส มือเล็กที่น่าจะแห้งแข็งเพราะถูกหล่อขึ้นจากเรซิ่นยกขึ้นลูบผิวแก้มขาวจัดแผ่วเบา...
...สัมผัสนั้นที่เขารู้สึก...มันช่างนุ่มนวล...หอมหวาน...เกินกว่าจะหาถ้อยคำใดมาอธิบาย...
กลิ่นหอมอ่อนๆที่แม้แต่ตัวเองยังไม่สามารถสรุปได้ว่ามันคืออะไร โชยมาแผ่วเบาแต่ปลายจมูกจนเผลอสูดเข้าปอดแรงๆ ทว่ากลับแผ่นซ่านไปทั่วหัวใจ กลิ่นที่สดใสดุจรุ่งอรุณในยามเช้า ไร้เดียงสาและสดชื่นเหมือนหยาดน้ำค้างแรกในต้นฤดูหนาว ความสุขที่ไม่เคยคิดว่าจะพานพบค่อยๆไหลบ่าเข้าครอบคลุมไปทุกอณูความรู้สึก...
“สุขสันต์วันเกิดนะ...ชยาวุธ”
เชี่ยแล้ว...ผี...ผีหลอกแน่ๆ...แล้วทำไมกูไม่ช็อกตายวะเนี่ย!!!!!!!!“ผมเป็นของขวัญวันเกิดของคุณ...คืนนี้...คืนเดียวเท่านั้น”
...ไอ้เชี่ยวุธ...แหกปากดิวะ...มึงโดนผีหลอกอยู่นะเว้ยยยยยยยย!!!!!!!... เสียงโวยวายดังลั่นอยู่ในหัวของชายหนุ่ม
ริมฝีปากสวยที่น่าจะเย็นชืดประทับแผ่วเบาที่ข้างแก้มสาก...คล้ายจะปลุกให้ตื่นจากภวังค์อันลุ่มลึก...แต่ดูเหมือนกลับทำให้เขาดำดิ่ง...ทำไมช่างอบอุ่น และนุ่มนวลเหลือเกิน...
...พระเจ้าครับ...
...ได้โปรด...
...หยุดลมหายใจผมที...
“ผะ...ผี...ผีหลอกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก” ร่างสูงกระเด้งพรวดออกห่างจากร่างตรงหน้าราวกับต้องของร้อน นิ้วยาวชี้ไปยังตัวต้นตอที่ยังคงยืนกอดอกตาแป๋วเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราว หากแต่แววตาวับวาวนั้นดูเหมือนจะขุ่นเคืองอยู่ไม่น้อยที่ถูกตราหน้าว่าเป็นผี...
“ผมไม่ใช่ผีนะ!” ริมฝีปากสวยที่เขามักจะชอบเหม่อมองยื่นยู่อย่างขัดใจ แต่ทำไมหนอ...ถึงได้ดูน่ารักจนละสายตาไม่ได้เลย...
ชยาวุธทำอะไรไม่ถูก ความรู้สึกหลายอย่างตีกันยุ่งอยู่ในหัว เมื่อสมองสั่งการว่าสิ่งที่(เหมือน)จะมีชีวิตตรงหน้าต้องเป็นผีอย่างแน่นอน...แต่ร่างกายและความรู้สึกกลับไม่ตอบสนอง...ใจหนึ่งอยากจะวิ่งหนีแล้วแหกปากกรี๊ดให้เหมือนตุ๊ดโดนน้ำร้อนลวก...แต่อีกใจหนึ่งกลับปรารถนาจะเก็บเกี่ยวช่วงเวลานี้ไว้...
...อย่าที่เขาเคยร้องขอ...
“มะ...ไม่ใช่ผี...แล้วนายเป็นตัวอะไรน่ะ!”
“ไม่คิดว่าผมเป็นเทวดาบ้างเหรอ?...เชอะ!” ใบหน้าหวานใสเชิดขึ้นพร้อมกับยู่ปากอย่างถือดี
...น่ารักอีกแล้ว...
“หึหึหึ...ฮ่าฮ่าฮ่า” ความจริงสถานการณ์แบบนี้มันก็น่ากลัวอยู่หรอก...แต่ว่า...แม้แต่ตัวเขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมคนที่กลัวผีที่สุดในโลกอย่างชยาวุธ...เพียงแค่เด็กหนุ่มตรงหน้าทำท่าน่าเอ็นดู...กลับทำให้เขาร่าเริงกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้ถึงขนาดนี้???
“หัวเราะอะไรของคุณน่ะ?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า...เทวดา...ฮ่าฮ่าฮ่า”
“หยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้นะ~!!!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า...หยุด...ฮ่าฮ่า...หยุดไม่ได้”
“ฮึ่ยยยย!!!...ก็บอกว่าให้หยุดหัวเราะไง...ไอ้บ้า!!” มือเล็กทุบปั้กๆเข้าที่แผงอกแข็งแรงในแบบที่เจ้าตัวคิดว่าคงแรงที่สุดในโลกแล้ว แต่สำหรับชายหนุ่ม...ช่างเหมือนกับถูกลูกแมวตัวเล็กๆเอาขาหน้ามาวางแปะไว้เบาๆอย่างนั้นแหละ...
...วันเกิดปีที่ 23 ของเขา...คงไม่เงียบเหงาอย่างที่คิดแล้วสินะ...“ว่าแต่...นายเป็นแบบนี้ได้ไงอ่ะ?” เมื่อหัวเราะจนเหนื่อย ชยาวุธจึงถามสิ่งที่ค้างคาใจ ความจริงแล้วเขาเรียบเรียงมันไม่ถูกมากกว่า ที่จู่ๆหุ่นโชว์เสื้อผ้าก็กลายร่างเป็นเด็กหนุ่มแสนน่ารัก...บอกตรงๆว่ากานต์ในแบบนี้...น่ารักกว่าตอนเป็นหุ่นเยอะเลย...
“ก็...คุณขอ...” เทวดาองค์น้อยกระโดดขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ตัวสูงพลางตั้งเข่าขึ้นพร้อมทั้งวางข้อศอกเพื่อเท้าคาง ใบหน้าน่ารักเอียงน้อยๆในขณะที่ให้คำตอบ...
...บอกว่าอย่าน่ารักไง...ไม่ได้ยินเหรอ???...
“ฉันขอ...ตอนไหน?”