จดหมายรัก #เปอร์ “เลิกเรียนไปสยามกัน”เสียงของอุ่น .. เพื่อนตัวเตี้ยของผมบอกขึ้นหลังจากที่เรียนวิชาสุดท้ายเสร็จ
มันชวนพวกผมไปสยามทุกวันเลยครับ ไปจนจะหลับตาเดินทั่วสยามได้แล้ว
แต่ถามว่าไปไหม?
ก็ตอบกันอย่างพร้อมเพียงว่า
“ไป”แล้วจะบ่นทำไม? 55555+
ร้านเชตเตอร์กิลด์ สยาม “อุ่น.. กูถามมึงจริงๆเถอะนะ มึงชอบแดกไก่ร้านนี้มากเลยหรอวะ คือมาสยามทุกวันมึงก็แดกทุกวัน”เสียงไอ้น้ำน่านถามขึ้นมา แต่พอถามเสร็จมันก็หันไปกินไก่ย่างของมันต่อ โดยไม่ได้สนใจฟังคำตอบของอุ่นแต่อย่างใด
“ก็ชอบอ่ะ แล้วตรงนี้ก็มองเห็นสาวๆด้วย หรือว่าพวกมึงไม่ชอบ”อุ่นตอบกลับมาก่อนจะยกยิ้มให้พวกผม และชี้ให้ดูสาวๆที่เดินผ่านไปผ่านมาหน้าร้าน
“หึ.. ก็ดี” เสียงแบงค์ตอบกลับมา ก่อนที่มันจะโดนคนข้างๆหยิกแขน
วันนี้แบงค์มันควงเด็กมาด้วยครับ เป็นเด็กผู้ชายหน้าหวานคนหนึ่ง ซึ่งพวกผมก็ไม่ได้ถามอะไรมันมาก
ก็รู้ๆกันอยู่แล้วว่าแบงค์มันเป็นพวกไหน
เรานั่งเล่นนั่งกินกันไปสักพัก ก่อนที่แฟรงค์จะชวนพวกผมไปร้านน้ำชื่อดังที่อยู่เยื้องๆกับร้านเชตเตอร์กิลด์
ซึ่งมันนัดเด็กของมันไว้ที่นั้น พวกผมก็เลยต้องกินไก่ กินชาไข่มุกกันแทบทุกวัน
ดีนะว่าชอบออกกำลังกายไม่งั้นพวกผมอ้วนกันแน่ๆครับ
พอเดินเล่นกันจนค่ำแล้วก็ได้เวลาแยกย้ายกันกลับบ้าน
ผมไม่ได้ไปขึ้นรถไฟฟ้ากับพวกมันครับ เลยแยกเดินมาขึ้นรถเมล์
ระหว่างที่ยืนรอรถเมล์อยู่ ก็มีสาวๆจากโรงเรียนหญิงล้วนเดินเข้ามาหาผม
“นายๆ เป็นเพื่อนแฟรงค์หรือเปล่า”เด็กโรงเรียนนี้จะเปียผม 2 ข้างเหมือนกันแทบทุกคนเลย แต่ใครจะปล่อยผมหน้าจะติดกิ๊ฟก็อีกเรื่อง
ผมหันไปหยักหน้าแทนคำตอบให้กับสาวๆ ก่อนจะหันไปมองว่ารถเมล์ที่ผมรอมาถึงหรือยัง
“เราฝากให้แฟรงค์หน่อยสิ พอดีเพื่อนเราชอบ”หญิงสาวคนหนึ่งในกลุ่มเอากระดาษมายัดใส่มือผม ก่อนจะรีบเดินจากไป
เดี๋ยวนี้ผู้หญิงต้องตามจีบกันขนาดนี้เลยหรอวะ?
ผมได้แต่ก้มมองจดหมายน้อยๆในมือ ก่อนจะยัดใส่กระเป๋ากางเกงไว้
เอาจริงๆแฟรงค์มันก็ไม่ชอบหรอก มันชอบกับบัวอยู่ และมันก็เหมือนกับผม
ที่ไม่ชอบผู้หญิงที่เข้ามาหาก่อน
ผมชอบผู้หญิงสวยๆ น่ารักๆ และชอบมองผู้หญิงแต่งตัวเก่งๆ
ให้มองก็มองได้ แต่ถามว่าให้จีบ.. ผมไม่เอาครับ ^^
เพราะจริงๆแล้วผมชอบคนเรียบร้อย ไม่ต้องแต่งหน้าไม่ต้องแต่งตัวอะไรมาก
เช้าวันต่อมา ผมก็ไปเรียนตามปกติ และพอเลิกเรียนก็ไปสยามเหมือนเคย
ไปมันทุกวันสินะ .. แต่วันนี้มันพิเศษหน่อยตรงที่อุ่นมันจะชวนพวกผมเรียนพิเศษ
เอาละเว้ยย .. ถ้าเรียนพิเศษก็ต้องมาสยามทุกวัน กูย้ายบ้านมาอยู่ที่นี้เลยดีปะวะ?
ผมชอบเรียนนะ แต่แค่ไม่ชอบอะไรวุ่นวาย การมาเรียนพิเศษที่นี้ก็เหมือนการดูผ่านทีวีทั่วไป
อยู่บ้านติวเองอ่านเองดีกว่าปะวะ??
วันนั้นก็ยังไม่ได้ข้อสรุปกันว่าจะเรียนพิเศษกับอุ่นกันไหม?
อยู่กันจนค่ำเหมือนทุกวันและก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
ระหว่างรอรถเมล์ ก็มีคนมาดึงที่แขนเสื้อผม
พอผมหันไปก็เจอเข้ากับเด็ก ม.ปลาย คนหนึ่งใส่ชุดและทำผมเหมือนกับกลุ่มเด็กผู้หญิงเมื่อวานเลยครับ
“ครับ?” ผมถามกลับไป ก่อนจะขยับตัวออกจากเธอเล็กน้อย
“จดหมายเมื่อวาน ขอคืนได้ไหม?” เอ๋.. จดหมายอะไรวะ?
“จดหมายอะไรหรอ?”ผมก็ถามกลับไป แต่ก็พยายามนึกอยู่เหมือนกันว่าเมื่อวานผมไปไหนทำอะไรบ้าง
“ก็จดหมายที่มีคนมายัดใส่มือนายไง เมื่อวานนี้นะ”คราวนี้เธอหันมามองผมด้วยสายตาไม่พอใจ และทำเสียงดุๆใส่ผม
แล้วโกรธอะไรกูละครับ - -‘
“อ่อ.. จดหมายให้แฟรงค์นะหรอ เรายังไม่ได้เอาให้หรอก ตอนนี้เอาไว้ไหนไม่รู้แล้ววะ
มีอะไรสำคัญไหม? ฝากใหม่ได้ไหม? จดหมายนั้นจากเธอหรอ?”ผมถามเธอกลับไป และก็มองดูรถเมล์ไปด้วย
เธอเอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมหันมาตอบผม จนผมเห็นว่ารถเมล์สายที่ผมกำลังรอใกล้มาถึงแล้ว
“พรุ่งนี้เราเอาไปให้มันก็ได้ รถเรามาแล้ว ขอโทษทีที่ลืม”ผมโบกมือลาให้เธอ และกำลังจะเดินไปขึ้นรถ
แต่เธอก็ยังดึงชายเสื้อผมไว้อีกครั้ง...
“ไม่ต้องให้ เราโดนเพื่อนแกล้ง”พูดจบเธอก็ปล่อยแขนเสื้อผม และเดินจากไป
ทิ้งให้ผม..... ขึ้นรถเมล์ไม่ทัน!!!!
โธ่เว้ยยย... แล้วนี้ต้องรออีกนานปะวะเนี้ย
การบ้านก็เยอะ เหนื่อยก็เหนื่อย .. ผมเลยตัดสินใจนั่งแท็กซี่กลับบ้าน
พอกลับมาถึงบ้านก็รีบไปค้นหาไอ้จดหมายที่เธอคนนั้นพูดถึง
มาเจออีกทีคือ ... ในกระเป๋ากางเกงที่ตะกร้าผ้าจะส่งซัก
โชคดีที่แม่ยังไม่เอาไปซักให้ผม ไม่งั้นจดหมายนี้ยุ่ยแน่ๆ
“เราชอบเธอน่ะ
091-xxx-xxxx ปิ่น” ผมเห็นข้อความในจดหมายแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ
ผู้หญิงไล่จับผู้ชายกันแบบนี้แล้วหรอวะ?
พรุ่งนี้ค่อยเอาไปให้แฟรงค์มันละกัน มันจะเล่นด้วยหรือไม่เล่นก็แล้วแต่มัน
ผมเอาจดหมายไปวางไว้ที่โต๊ะหนังสือ ก่อนจะไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเตรียมมาทำการบ้าน
พอวันต่อมา.. ผมก็ลืมเอาจดหมายไปให้แฟรงค์อีกจนได้ - -‘
ตอนมายืนรอรถเมล์ ผมก็เห็นเธอยืนรอรถอยู่แล้ว พอผมจะเดินเข้าไปหา เธอกลับเรียกแท็กซี่แล้วก็จากไป
“ก็เรื่องของเธอดิ”ผมคิดในใจ ก่อนจะยืนรอรถเมล์กลับบ้าน
กลับมาถึงบ้านก็อาบน้ำแต่งตัวและมาทำการบ้านต่อ
แต่มันเหมือนความรู้สึกผิด.. เธอฝากจดหมายให้แฟรงค์
เธอก็คงรอแฟรงค์ติดต่อกลับไปเหมือนกันนั้นแหละ
ผมวางปากกาที่กำลังทำการบ้านเคมีลง แล้วหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาดูอีกครั้ง
ถ้าเราชอบใครสักคน.. เราก็คงกล้าที่จะแจกเบอร์แบบเธอแหละมั้ง
อยู่ๆผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ของปิ่น (เจ้าของจดหมาย)
ฟังเสียงรอสายไม่นาน เธอก็รับสาย
“สวัสดีค่ะ”เสียงน่ารักว่ะ แต่..ตอนคุยกันที่ป้ายรถเมล์ เสียงเธอก็น่ารักแบบนี้อยู่แล้วหรือป่าววะ?
“ปิ่นหรือป่าว?”ผมถามกลับไป แต่คราวนี้เหมือนปลายสายทำของตก ดังโครมเลยครับ
เธอได้แต่ตอบกลับมาว่า
“เห้ยย รอเดี๋ยวนะ”แล้วกดตัดสายไป..
เออ... เธอครับ เธอบอกให้รอนะเว้ยย ไม่ได้บอกจะวางสาย - -‘
ปิ่น ทำให้ผมหงุดหงิดได้ทุกครั้งที่คุยกัน หรืออยู่ใกล้ๆ
ผมหันกลับไปสนใจทำการบ้านต่อ จนผ่านไปเกือบๆครึ่งชั่วโมงปิ่นก็โทรกลับมา
“เมื่อกี้เราขอโทษ พอดีเราทำกองหนังสือตกน่ะ”รีบแก้ตัวเลยนะ.. แต่จริงๆไม่ต้องโทรกลับก็ได้มั้ง?
“ไม่เป็นไร แต่เธอชื่อปิ่นหรือป่าว” ผมถามกลับไป คราวนี้เธอไม่ได้ทำอะไรตกแล้วครับ
“ใช่ แล้วนายเป็นใครอ่ะ โทรมาได้ไง” เออ.. เธอนั้นแหละที่โทรกลับมา
ไม่รู้จักกันแล้วยังจะโทรมาหาอีกเนี้ยนะ .. เห้อออ ผู้หญิงสมัยนี้เป็นอะไรไปหมดวะ
“เราชื่อเปอร์ คนที่เธอเดินมาทักที่ป้ายรถเมล์ไง”
“เปอร์ไหนอะ เราเคยทักเธอด้วยหรอ?”โอ๊ะ.. ลืมไวจริงๆเลยนะครับคุณปิ่น
“เราเพื่อนแฟรงค์ จำได้ยัง”
“เห้ยยย!!!!” พอบอกชื่อแฟรงค์ไปแค่นั้นแหละ คนปลายสายถึงกับเสียงดังกลับมาทันที
ผมรอว่าเธอจะตอบกลับมาว่าไง... รอเกือบๆ 5 นาทีได้ เธอก็ตอบกลับมา
“แล้วนายโทรมาทำไม”
“จะโทรมาบอกว่าไม่ได้เอาจดหมายให้ไอ้แฟรงค์เลย รอพรุ่งนี้ก่อนละกันนะ วันนี้เราลืม”
“นายจะโทรมาขอโทษนะหรอ?”เออ.. กูจะโทรไปทำไมวะ?
ผมก็ลืมไปเลยว่าจริงๆแล้วปล่อยไปเลยก็ได้นี้หว่า จะมาโทรบอกอีกฝ่ายทำไม
“ก็คงงั้นละมั้ง กลัวเธอรอแฟรงค์มันโทรกลับ”
“ก็แสดงว่าเธอเปิดจดหมายอ่านก่อนที่จะให้แฟรงค์ละสิ”คราวนี้ปลายสายตอบกลับมาแต่น้ำเสียงนั้นเหมือนจะยิ้มๆหัวเราะๆไปด้วย
“ก็เออนั้นแหละ พรุ่งนี้เอาไปให้ รอมันก่อนละกัน” ผมรีบตัดบทไป เพราะไม่รู้จะคุยว่าไงต่อแล้ว
“ไม่ต้องให้หรอก บอกแล้วไงเพื่อนเราแกล้ง ว่าแต่เธอชื่ออะไรอะ”ยังจะมาถามกลับอีกนะ … อัธยาศัยดีจังเลยเนอะ ถามชื่อคนอื่นไปเรื่อยเลย
“เปอร์..เราชื่อเปอร์”
“งั้นก็ยินดีที่ได้รู้จักนะเปอร์ เราชื่อปิ่น”
“เรารู้แล้ว เธอเขียนไว้ในจดหมาย”
“นั้นเขียน แต่นี้เราบอกมันไม่เหมือนกัน”เริ่มกวนตีนแล้วไง...
“อืมๆ สรุปจะให้มันอยู่ไหมจดหมายเนี้ย”ผมถามกลับไปอีกครั้ง ก่อนจะมองจดหมายในมือไปด้วย
“ไม่ต้องหรอก ทิ้งไปได้เลย ขอบใจมากนะที่โทรมาหา”ขอบใจบ้าบออะไรวะ? แล้วนี้กูจะยิ้มทำไมกันละ
“อืมม งั้นแค่นี้ละกัน เปลืองค่าโทร” ผมตอบกลับไป ก่อนจะกดวางสาย
ผมนั่งมองจดหมายในมืออีกครั้ง ลังเลว่าควรเอาทิ้งหรือเก็บไว้ดี?
ในเมื่อปิ่นบอกให้ทิ้ง ... อื้มมมม แต่สุดท้ายผมก็เลือกที่จะเก็บจดหมายฉบับนั้นไว้ในลิ้นชักข้างๆหัวเตียง
ผมกับเพื่อนๆก็ยังไปสยามกันเหมือนทุกครั้ง
ข้างๆตัวไอ้แบงค์ก็จะมีทั้งหญิงบ้างชายบ้างสลับมานั่งข้างๆในร้านเชตเตอร์กิลด์
จนตอนนี้จากที่ไปเพราะคำชวนของอุ่น กลายเป็นว่าพวกผมต้องไปเพราะเรียนพิเศษ
อุ่นมันพาพวกผมไปสมัครเรียนพิเศษ และลงครบทุกวิชาเลยครับ
ไม่รู้จะขยันอะไรของมัน .. แต่ก็ดีแล้วละดีกว่าไปเดินเล่นเฉยๆ
ระหว่างที่กำลังยืนกันอยู่ร้านชานมไข่มุก เพราะรอบัวเอาของมาให้แฟรงค์
โทรศัพท์ที่ผมกำลังยืนเล่นเกมส์อยู่ก็มีสายเรียกเข้ามา
“ปิ่น” จะว่าไปหลังจากวันนั้นก็ไม่ได้คุยกันเลยนะ.. นึกไงโทรมาวะ?
ผมกำลังตัดสินใจว่าจะหลับหรือไม่รับสายดี
พลันสายตาก็หันไปเห็นว่าปิ่นยืนอยู่กับเพื่อนๆตรงร้านขายเสื้อผ้าใกล้ๆกันนี้เอง
ผมเลยตัดสินใจกดรับสาย ไม่รู้เพราะสายตาที่ปิ่นมองมาด้วยหรือป่าวนะ..
มันเหมือนมีแววตัดพ้อแปลกๆ
“ไม่อยากรับสายเราหรอ?” นั้นไงละ.. รับสายปุ๊บถามมาซะตรงเลย
“ก็ไม่หรอก ไม่รู้ว่าเธออยากจะคุยกับเราหรือเพื่อนเราแค่นั้นเอง” ผมตอบกลับไปแบบที่ใจคิด
แต่มันเหมือนผมกำลังประชดปิ่นอยู่หรือป่าว?
พอปิ่นได้ยินผมตอบแบบนั้น เธอก็ยิ้มขึ้นมา ก่อนจะเดินออกมาจากกลุ่มเพื่อนเล็กน้อย
“ไม่อยากคุยจะโทรหาหรอ?”ปิ่นเป็นคนพูดตรงๆแบบนี้เสมอเลยหรอวะ??
“อืมม มีไรป่าวละ ทนเห็นได้หรอ? แฟรงค์มันนัดแฟนมันไว้นะ”ผมตอบกลับไป ก่อนจะหันไปมองแฟรงค์กับบัว ที่ตอนนี้บัวเอาตัวเข้าไปเบียดแฟรงค์จนแทบจะสิงร่างมันไปอยู่แล้ว
“น้องบัวนะหรอ รุ่นน้องที่โรงเรียน สนิทกันด้วย และทำไมคิดว่าทนเห็นไม่ได้ละ”คราวนี้ปิ่นยกยิ้มขึ้นมา จนผมอยากจะเดินเข้าไปจับปากเรียวๆนั้นเพราะความหมั่นไส้จริงๆ
“ก็เห็นว่าชอบแฟรงค์” ผมตอบกลับไป ก่อนจะเดินแยกมาจากพวกเพื่อนๆออกมาคุยหน้าร้านแทน
“ในจดหมายเขียนแค่เราชอบเธอน่ะ ไม่ได้บอกว่าเราชอบแฟรงค์ซะหน่อย
ทำไมเปอร์ขี้มั่วแบบนี้ละ”
“ไม่ได้มั่ว ก็เพื่อนเธอบอกเองว่าให้แฟรงค์”
“บอกแล้วว่าเพื่อนแกล้ง อีกอย่างเรียกเราว่าปิ่นดิ ไม่ต้องเรียกเธอ”สั่ง? นี้สนิทกันขนาดต้องเรียกชื่อสินะ..
“ปิ่นก็ได้วะเธอ”
“55555555 แล้วเธอมาจากไหนอีกละ เปอร์เป็นคนตลกนะเนี้ย” ในโทรศัพท์หัวเราะขนาดนี้
แต่ตัวปิ่นที่ยืนตรงข้ามผม หัวเราะจนเพื่อนหันกลับมามอง คิดดูดิว่าหัวเราะขนาดไหน
หึ.. ยายบ๊อง!
“จะไปเรียนพิเศษแล้ว จะไปไหนต่อ”ผมถามกลับไป ก่อนจะหันไปดูพวกเพื่อนๆที่มันเริ่มโบกมือลาบัวกับเพื่อนๆแล้ว
“เรียนพิเศษเหมือนกัน งั้นตั้งใจเรียนนะ”ปิ่นโบกมือให้ผม แต่ก็ยังไม่กดวางสาย
“อืม เหมือนกันละ”พอปิ่นได้ยินผมตอบกลับไปแบบนั้น ก็ยิ้มให้ผมก่อนจะกดวางสายไป
หลังจากวันนั้น.. ปิ่นจะโทรมาหาผมบ่อยมาก ก็ไม่ถึงกับทุกวัน แต่ก็โทรมาตลอดไม่เคยหาย
และผมก็เพิ่งรู้ว่าจริงๆปิ่นเรียน ม.6 แล้ว เพราะวันนั้นปิ่นจะไปสอบตรง ปิ่นเลยโทรมาขอกำลังใจจากผม
“เปอร์”เช้าวันเสาร์ที่ผมควรจะได้นอนตื่นสาย กลับต้องมาตื่นเพราะปิ่นที่โทรมาหาตั้งแต่ตี 5
“ว่าไงพี่ปิ่น” เดี๋ยวนี้เรียกพี่ปิ่นละครับ ก็ป้าแกแก่กว่านิ 5555
“จะไปสอบ ขอกำลังใจ”ผมเอาโทรศัพท์ออกมาดูเวลาอีกรอบ ก็เห็นว่ามันเพิ่งจะตี5 นี้จะรีบเอากำลังใจไปทำไมวะ
“ตี 5 เองทำไมไม่โทรมาก่อนเข้าสอบละ”
“ก็ตอนนั้นกลัวว่าจะอ่านหนังสือหน้าห้องสอบไง ขอตอนนี้แหละ .. นะนะๆ ให้กำลังใจหน่อยดิ”
“พี่ปิ่นเก่งอยู่แล้ว สู้ๆ” ผมก็ตอบกลับไป แต่ตัวเองเริ่มจะหลับคาโทรศัพท์ละครับ
“ขอบใจนะเปอร์ .. นี้หลับหรือไง?”ไม่มีเสียงตอบกลับไปละครับ ผมหลับแล้วจริงๆ
มาสะดุ้งตื่นอีกทีก็เก้าโมงเช้าแล้ว รีบควานหามือถือขึ้นมาดู
เห็นว่าพี่ปิ่นไลน์มาหาตอนหกโมงเช้า
Pin[nipa] :: สนามสอบโรงเรียน xxxxx เอ๊ะ... โรงเรียนแถวบ้านผมนี้นา
ผมเลยรีบลุกไปอาบน้ำ ก่อนจะขี่มอเตอร์ไซต์ไปโรงเรียนที่พี่ปิ่นไปสอบ จริงๆเดินไปก็ได้ครับ
เดินเข้าซอยลัดไปนิดหน่อยก็ถึงแล้ว
แต่พอมาถึงที่โรงเรียนก็เริ่มจะ งง กับตัวเองว่ามาทำไม?
คนเยอะขนาดนี้จะเจอกันได้หรอ??
ไหนๆก็มาแล้วผมเลยเดินไปดูพวกเด็กแถวบ้านผมที่มันมาเล่นบาสที่โรงยิม
จนเที่ยงพี่ปิ่นก็โทรมาหาผม
“สอบเสร็จแล้ว”
“ดีแล้ว สอบบ่ายอีกไหม?”ผมโบกมือบอกเด็กๆว่าเลิกเล่นแล้ว และออกมามาคุยกับพี่ปิ่นที่หน้าโรงยิม
“สอบสิ นี้กำลังไปกินข้าว มาคนเดียวด้วยไม่รู้จะไปกินที่ไหน”เออ.. ร้านข้าวแถวนี้มันก็ไม่ไกลหรอกนะแต่คนมาสอบเยอะขนาดนี้คงหาที่กินยาก
“ไปกินบ้านเปอร์ป่าวละ” อยู่ๆผมก็ชวนพี่ปิ่นไปบ้าน
ตอนพูดไปก็ตกใจตัวเองเหมือนกันว่า.. ทำไมถึงกล้าชวน
“มารับดิ” พี่ปิ่นก็ตอบทีเล่นที่จริงกลับมาเพราะคงคิดไม่ถึงว่าบ้านผมอยู่แถวๆนี้
“ก็เดินมาหาที่ป้อมยามดิ จอดรถรอนานแล้ว”พูดจบผมก็วางสาย แล้วรีบวิ่งไปที่ป้อมยามหน้าโรงเรียน
นั่งรอสักพักพี่ปิ่นก็เดินมาหา.. ตอนพี่ปิ่นเห็นผมพี่ปิ่นยิ้มด้วยครับ
อยู่ๆก็เขินกับท่าทางของพี่ปิ่นซะอย่างนั้นแหละ ^^
“มาได้ไง”พี่ปิ่นเดินเข้ามาหยุดข้างๆรถมอเตอร์ไซต์ของผม ก่อนจะมองหน้าผมเพื่อรอคำตอบ
“บ้านอยู่แถวนี้ .. ป่ะไปกินข้าวกันเมื่อกี้โทรไปบอกแม่ไว้แล้ว”ผมโทรบอกแม่เรียบร้อยแล้วครับว่าจะพาเพื่อนไปกินข้าว โดนแม่แซวใหญ่เลย
“จะดีหรอ” พี่ปิ่นมีท่าทีลังเลเล็กน้อย แต่พอผมยื่นหมวกกันน๊อคให้ใส่ พี่ปิ่นก็รับไปใส่ทันที
สรุปพี่ลังเลทำไมครับ - -‘
ผมพาพี่ปิ่นมาถึงบ้าน ก็โดนแม่แซวไปตามระเบียบนั้นแหละครับ
แต่พี่ปิ่นเค้าดีนะ .. วางตัวดีมาก เข้ากับพ่อแม่ผมได้ดีมากๆเลยละ
จนอดคิดไม่ได้ว่า.. ถ้าพี่ปิ่นเป็นแฟนผม.. มันคงจะดีเหมือนกันนะ : )
“ว่างๆมาเที่ยวบ้านแม่อีกนะปิ่น”พอทานข้าวเสร็จแล้วพี่ปิ่นต้องกลับไปสอบรอบบ่าย
แม่เดินมาส่งพี่ปิ่นที่หน้าบ้านก่อนจะชวนพี่ปิ่นมาที่บ้านอีก
“ค่ะแม่.. ขอบคุณมากนะคะกับข้าวอร่อยมากๆเลยค่ะ”พี่ปิ่นยกมือไหว้แม่ผมอีกครั้ง ก่อนจะโดนแม่ผมดึงเข้าไปกอด
บ้านผมมีแต่ลูกผู้ชายครับ พอมีสาวๆมาหน่อยละก็... หลงกันเชียวนะ
“มาเถอะลูกอยากมาตอนไหนก็บอกเปอร์มันนะ..
เราอีกคนนะเปอร์มีแฟนน่ารักๆแบบนี้ไม่รีบพามาแนะนำกับแม่”
“พี่ปิ่นเค้าชอบแฟรงค์ ไม่ได้ชอบผม แม่ก็พูดอะไรไปเรื่อยนะ”ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงปฏิเสธไปแบบนั้น พูดไปก็รู้สึกเจ็บในใจแปลกๆ
พี่ปิ่นทำหน้าเศร้าลงเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรแม่ผม
ไหนบอกไม่ได้ชอบแฟรงค์ไงวะ? ทำไม่ปฏิเสธละ
หึ... ก็ชอบมันจริงๆนั้นสินะ.
“แกก็พูดไปเรื่อย ไปส่งพี่ปิ่นสอบได้แล้ว” แม่ผมพูดตัดบท ก่อนจะกอดพี่ปิ่นอีกรอบ
ตอนนั่งรถไปโรงเรียนครั้งนี้พี่ปิ่นนั่งห่างผมมาก ไม่ได้ขยับมาใกล้และเอามือมาโอบเอวผมแบบทุกที
พอมาถึงที่โรงเรียนพี่ปิ่นก็ยื่นหมวกกันน๊อคคืนมาให้ผม
ก่อนจะกล่าวคำขอบใจสั้นๆแล้วเดินไปสอบ
“ขอบใจนะ”นั่นเหมือนคำพูดสุดท้ายระหว่างเรา... เพราะหลังจากวันนั้นพี่ปิ่นก็ไม่โทรมาหาผมอีกเลย
ผมโทรไปหาพี่ปิ่นก็ไม่รับสาย ทักไลน์ไปก็ไม่ตอบ
เวลาไปเรียนพิเศษ ผมก็พยายามมองหาพี่ปิ่นกับเพื่อนๆ แต่ก็ไม่เจอ
“มึงมองหาใครวะ” เสียงน้ำน่านถามผมขึ้นมา
ตอนที่เรายืนอยู่ที่ร้านชานมไข่มุกร้านเดิม
“หาพี่ปิ่น” ผมตอบกลับไป
แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าผมไม่เคยเล่าให้ใครฟังนี้หว่า
พอหันกลับไปมองหน้าเพื่อนๆ ตอนนี้คือพวกมันมองหน้าผมกันทุกคนเลยครับ
“ปิ่นไหนวะเปอร์” แฟรงค์เดินเข้ามากอดคอผมไว้แน่นเลยครับ
มึงทำขนาดนี้กูคงหนียากแล้วสินะ...
ผมเลยตัดสินใจเล่าความจริงให้เพื่อนๆฟัง
แล้วก็ไม่ลืมที่จะขอโทษแฟรงค์
“กูขอโทษนะเว้ย ที่ไม่ได้เอาจดหมายไปให้มึงอะ กูลืมจริงๆ”แต่แฟรงค์มันกลับนั่งหัวเราะผม
“มึงโง่วะเปอร์ กูว่านะพี่ปิ่นของมึงนะไม่ได้ชอบกูแต่แรกแล้วละ”
“ก็เพื่อนเค้าฝากมาให้มึง” ผมก็ยังตอบกลับไป แต่ในใจกลับรู้สึกดีใจแปลกๆ
“แต่พี่ปิ่นก็โทรหามึง และไม่เคยอยากคุยกับกูไม่ใช่หรอ”ก็จริงอย่างที่แฟรงค์พูดนะ .. พี่ปิ่นไม่เคยพูดถึงแฟรงค์เลย
ผมกำลังนั่งคิดเรื่องพี่ปิ่น และมองเหม่อไปนอกร้านชานมไข่มุก
อยู่ๆก็มีคนมาดึงที่แขนเสื้อผม
ผมเลยหันกลับไปดู ก็เห็นว่าคนนั้นๆเป็น พี่ปิ่น
“ฝากให้เปอร์หน่อยสิ” พี่ปิ่นพูดจบก็ยัดจดหมายใส่มือผม ก่อนจะวิ่งออกไป
“เห้ยๆสาวไหนวะมึง”แบงค์เดินเข้ามาใกล้ๆผม ก่อนจะหันไปมองพี่ปิ่นกับเพื่อนๆที่ยังยืนอยู่ไม่ไกล
“พี่ปิ่น” ผมตอบกลับไปแล้วก็รีบเอาจดหมายที่พี่ปิ่นยัดใส่มือเมื่อกี้มาเปิดอ่าน
“ปิ่นชอบเปอร์
เป็นแฟนกันได้ยัง?” รอบๆตัวผมตอนนี้ได้ยินแต่เสียงโห่ร้อง และเสียงแซวจากพวกเพื่อนๆผม
แต่ใจผมนี้สิ.. กลับไม่ได้สนใจที่พวกมันพูดเลย
ผมรีบวิ่งไปหาพี่ปิ่นที่ยืนอยู่กับเพื่อนๆ
พอเพื่อนพี่ปิ่นเห็นผมเดินเข้าไปหา ก็พากันโบกมือลาพี่ปิ่น
ตอนนี้เลยมีแค่ผมกับพี่ปิ่นที่ยืนอยู่ด้วยกัน
อยู่ๆเสียงเพลงของร้านค้าต่างๆ เสียงโห่แซวจากไอ้พวกเพื่อนๆของผมก็เงียบหายไป
ได้ยินแต่เสียงหัวใจตัวเอง... ที่มันเต้นแรงและดังมาก
“วิ่งมานี้คงมีคำตอบมาให้นะ” พี่ปิ่นยิ้มให้ผม
บทจะตรงก็ตรงตลอดจริงๆเลยนะพี่ปิ่น!
“ชอบเปอร์จริงๆใช่ไหม?”แล้วกูถามอะไรกลับไปวะเนี้ย .. บ้าบอจริงๆเลย
“ในนั้นก็เขียนชัดเจนแล้วนะ ต้องให้ชัดขนาดไหนอีกละ”พี่ปิ่นแกล้งทำหน้างอนๆ ก่อนจะทำท่าเดินหนีผม
ผมเลยดึงแขนพี่ปิ่นไว้
“ถ้าชอบจริงๆห้ามส่งจดหมายให้ใครอีกนะ”
“ส่งให้เปอร์ได้ไหมละ” พี่ปิ่นหันกลับมามองหน้าผม ก่อนจะยกยิ้มน้อยๆ
“อืม ได้คนเดียว” ตอนนี้ไม่รู้ทำไมมือผมมันดูเกะกะไปหมด ไม่รู้จะวางไว้ตรงไหนเลย
ข้างหนึ่งก็จับแขนพี่ปิ่นไว้ อีกข้างก็อยากจะตัดทิ้งซะเหลือเกิน
“แล้วเป็นแฟนกันได้ยังละ”
“เป็นสิ”ผมตอบกลับพี่ปิ่นไปด้วยเสียงที่แผ่วเบา
คือมันอายครับ เพราะตอนนี้เหมือนจะเห็นว่าเพื่อนๆผมมายืนใกล้ๆแล้ว
แต่พี่ปิ่นดูเหมือนจะยังไม่พอใจกับคำตอบของผม
“เป็นอะไร” คราวนี้พี่ปิ่นถามกลับมาเสียงเข้มเลยครับ รอยยิ้มเริ่มหายไปจากหน้าแล้ว
“พี่ปิ่นเป็นแฟนเปอร์แล้วนะครับ” ผมเลยตอบกลับไปเสียงดัง
จนไอ้พวกเพื่อนข้างๆโห่ร้องแซวขึ้นมาอีกรอบ
ส่วนพี่ปิ่นก็ยื่นกระเป๋าถือให้ผมถือให้...
“อืมม แล้วบอกแม่ด้วยนะว่าพี่ไม่ได้ชอบแฟรงค์ คนที่พี่ชอบนะคือเปอร์
และก็เป็นเปอร์มาตั้งนานแล้ว”หื้ออ... พูดเสร็จแล้วเดินหนีคืออะไรวะ??
ผมรีบโบกมือลาเพื่อนๆของผม แล้ววิ่งตามพี่ปิ่นมา
“ที่บอกว่าตั้งนานแล้วคืออะไร?”
“จดหมายอันนั้นพี่ตั้งใจให้เปอร์ แต่ตอนนั้นพี่ไม่รู้จักชื่อเปอร์
พวกพี่รู้จักแต่แฟรงค์เพราะเป็นแฟนกับบัว
ตอนที่เพื่อนเอาจดหมายไปให้เปอร์อะมันจะแกล้งพี่
มันกะว่าถ้าแฟรงค์โทรหาพี่มันจะให้แฟรงค์เป็นพ่อสื่อให้
ใครจะรู้ละว่าเปอร์ขี้ลืม ไม่เอาจดหมายไปให้แฟรงค์”พี่ปิ่นพูดออกมา ก่อนจะทำปากงอนๆแบบที่ชอบทำ
ครั้งนี้ผมกล้าที่จะเอื้อมมือไปหยิกปากงอนๆนั้นด้วยความหมั่นเขี้ยว
จนพี่ปิ่นต้องยกมือมาปิดปากตัวเองหนีมือผม
“จดหมายฉบับนั้นมันคงรู้แหละมั้งว่าใครเป็นเจ้าของตัวจริง มันเลยอยู่กับเปอร์ตั้งแต่วันแรกจนวันนี้”พี่ปิ่นหันมาทำตาโตๆใส่ผม ก่อนจะถามหาจดหมายฉบับนั้น
“ยังเก็บไว้หรอ? ก็บอกให้ทิ้งไง”
“อยู่ลิ้นชักข้างที่นอนเลยละ จะทิ้งทำไมละ จดหมายบอกรักจากแฟนเปอร์นะ”คราวนี้พี่ปิ่นหัวเราะออกมา ก่อนจะจับมือผมไว้
ฟังไม่ผิดครับ.. พี่ปิ่นจับมือผมก่อน
(เอาไปแซวได้นะครับ พี่ปิ่นรุกผมก่อน 555555)
“พี่ชอบเปอร์นะ”พี่ปิ่นพูดเสร็จก็กระชับมือที่จับผมไว้ให้แน่นขึ้นอีกเล็กน้อย
“เปอร์ก็ชอบพี่ปิ่นนะครับ” ความอบอุ่นจากมือที่จับกันไว้ มันทำให้เราทั้งคู่ยิ้มออกมาท่ามกลางผู้คนมากมาย
ที่ยืนรอรถอยู่ตอนนี้...
จดหมายรัก.. ที่เคยคิดว่ามันอยู่ผิดตัวผิดคน
แท้ที่จริงแล้วมันก็อยู่กับเจ้าของมันตั้งแต่แรกแล้วละ....-------------------------------------------------
ตอนพิเศษจาก #เปอร์ปิ่น จ๊า
แต่ละคู่จะมีตอนพิเศษประมาณ 3 ตอนนะ
จะบอกถึงจุดเริ่มต้นของแต่ละคู่ และบทสรุปของคู่นั้นๆด้วย
ยังไงจะพยายามอัพให้บ่อยๆนะ
อ่อ.. หนังสือยังจองได้ถึงวันที่ 24 กันยายนนะคะ
ปล. เค้ายังนอน รพ. คืนที่ 8 แล้ว อัพช้าหน่อยนะ