องค์ที่ ๓ I See you เสียงเหง่งหง่างจากนาฬิกาลูกตุ้มโบราณดังก้องเดือดดาลไปทั่วโถงห้องรับแขก แท่งเหล็กสีดำที่ถูกตีขึ้นมาสลักลาย
วิจิตรบรรจงค่อยๆเคลื่อนตัวประกบเข้าหากันราวกับมันรอคอยให้ห้วงเวลานี้มาถึง ยามนี้พระจันทร์ที่เหลือเพียงเสี้ยวเล็กๆนั้นใกล้
จะอับแสงลงเต็มที บ่งบอกเวลาว่าอีกไม่นานครึ่งราตรีแรกกำลังจะผ่านพ้นไป
ติ๊ก.. ดวงตาทั้งสิบสามคู่จ้องมองไปยังเรือนเข็มนาฬิกาโบราณที่ห้อยเอาไว้กับกำแพง ลูกตุ้มทองเหลืองยังคงแกว่งไกว เคลื่อนไหวไปมา
ต๊อก..ก! โยกไปทางซ้าย ก่อนถูกเหวี่ยงกลับมาทางขวา
ติ๊ก...ก ไม่มีบทสนทนาอะไร ไม่มีเสียงหัวเราะใดๆปรากฏขึ้นนอกจากหูทั้งสองข้างยังรับรู้การเคลื่อนที่ของเข็มนาฬิกา
ยามที่เฝ้าจ้องมองลูกตุ้มทองเหลืองเก่าคร่ำครึนั่นแกว่งไกวไปมา ราวกับว่าพวกเขาทั้งสิบสามคนกำลังจ้องมองดูฆาตกร
ที่กำลังเอาศพของใครบางคนแขวนเอาไว้รอเวลาพญามัจจุราชมารับเอาดวงวิญาณไป
ทั้งดิ้นรน ทั้งเรียกร้องเพื่อเฝ้าถามหาอิสระ
คงทรมาณน่าดู... ไม่มีสิ่งใดให้ใช้ฆ่าเวลา โทรศัพท์มือถือหรือแม้แต่สัญญาณอินเตอร์เน็ตทั้งหลาย เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับผู้เข้าแข่งขัน
ทั้งสิบสามคน โดยก่อนที่หญิงสาวลึกลับจะพาพวกเขาทุกคนมายังบ้านหลังนี้ ได้ขอให้ทุกๆคนในเกมเอาอุปกรณ์สื่อสาร
ทุกชนิดไม่ว่าจะเก่าใหม่ให้ทิ้งไว้ที่ทีมงาน เมื่อเสร็จสิ้นเกมแล้วจึงจะคืนให้
ถือเป็นกฏที่ต้องแลก เพราะคุณคือผู้ที่ร้องขอให้ถูกเลือก!
“รถตู้มาแล้ว ข้าไปล่ะ” เสียงเข้มจากพี่คูณ ชายหนุ่มรูปร่างใหญ่โตเนื้อตัวเต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างคนใช้แรงงานเอ่ยขึ้นดัง
ขัดความเงียบทั้งปวง เขายืนเฝ้ารอเวลานี้อย่างใจจดใจจ่อ
ไม่มีเวลามัวมานั่งรีรอใครทั้งนั้น!
ถ้ากลัวกันนัก ก็อยู่กันเสียที่นี่แล้วยอมแพ้ไปเถอะ ไอ้พวกขี้ขลาด!
เมื่อมีคนหนึ่งเปิดนำ คนที่เหลือก็พร้อมตาม ชายหนุ่มที่ชื่อมิควิ่งตามหลังไปติดๆ ตามด้วยนลแล้วก็ต้นตระการ คนที่เหลือ
มองหน้ากันราวกับค้นหาลิ้นของตัวเองไม่เจอ ก่อนทั้งหมดจะตัดสินใจเดินตามออกไป
ในที่สุดผู้กล้าสำหรับเกมสยองทั้งสิบสามคนก็ขึ้นรถกันครบ
รถตู้ยุโรปถูกเลื่อนประตูปิดลง ก่อนจะขับมุ่งหน้าออกไป
โดยไม่มีใคร ได้หันหลังกลับมา...
……………………………………
ใช้เวลาไม่นานคนทั้งสิบสามคนก็มาถึงยังจุดหมายของตนเอง โดยที่อุปกรณ์ในการใช้เล่นเกมแรกวางอยู่บนเบาะรถ
เรียบร้อยอยู่แล้ว
สถานที่ในภารกิจแรกนี้คือพื้นที่รกร้างว่างเปล่า เห็นถนนใหญ่อยู่ในลานสายตาลิบๆ ไฟถนนก็ตั้งห่างกันออกไปหลาย
กิโลเมตร สองข้างทางมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นสูงปกคลุมโดยรอบ ไม่มีรถรา ไม่มีบ้านคนใกล้เคียง แม้กระทั่งสถานที่ที่พวกเขายืนอยู่
ยังไม่สามารถรู้ได้เลยว่าตอนนี้อยู่ในส่วนไหนของประเทศไทยกันแน่!
ของเพียงสิ่งเดียวที่ให้แสงสว่างกับผู้เข้าแข่งทั้งสิบสามคน คือไฟฉายกระบอกเล็กๆ ที่ดูไม่ค่อยจะมีประโยชน์
อะไรมากนักสำหรับคืนจันทร์แรมแถมยังมีเมฆลอยเกลื่อนฟ้าอยู่แบบนี้
ในกระดาษภารกิจ มีเพียงข้อความไม่กี่บรรทัดถูกระบุเอาไว้อย่างชัดเจนด้วยหมึกสีดำ ข้อความและเนื้อหาทั้งหลายถูก
เขียนแนะนำเอาไว้อย่างละเอียด ซึ่งทุกคนทราบอย่างดีว่านี่ต้องเป็นภารกิจแรกที่หญิงสาวลึกลับพูดถึงว่าให้เริ่มมันทันทีหลัง
มื้อเย็นของพวกเขาจบลง
“
พิธีเบิกเนตร” เสียงของผู้ที่กระดาษใบนี้เป็นคนแรกเอ่ยขึ้นฝ่าดงความมืดขึ้นมา
ภารกิจแรกของคนทั้งสิบสามคน นับว่าสำคัญมากต่อการทำภารกิจที่เหลือทั้งหมด ซึ่งนั่นคือการเปิดดวงตาที่สาม
ตามความเชื่อแบบโบราณ โดยที่พิธีกรรมนี้บอกเล่าสืบต่อกันมาว่าอีกว่า
สามารถทำให้ ‘
คนเป็น’ มองเห็นโลกของ ‘
คนตาย’ได้
เพราะโดยปกติทั่วไปนั้น ตาเนื้อของมนุษย์มักเลือกที่จะมองในสิ่งที่อยากมอง แต่หากเมื่อใดที่อยากเหยียบย่ำ
ก้าวเท้าเข้าไปหาโลกหลังความตายแล้วล่ะก็ การเปิดตาที่สามนี้จึงถือเป็นอย่างแรกสำหรับคนที่กล้าจะท้ายทายกับ
ความตายโดยที่ยังมีลมหายใจ พิธีนี้จึงถูกเลือกนำมาใช้เป็นภารกิจแรกของคนทั้งสิบสามคน
“แบ่งกลุ่มออกเป็นสี่กลุ่ม โดยผู้เข้าแข่งจะต้องหาใบของต้นโพธิ์อ่อนที่เพิ่งงอกออกมาจากต้นใหญ่ จุดธูปเทียน
พร้อมทั้งกล่าวคำขอขมา ระหว่างทำพิธีผู้เล่นทุกคนต้องดับไฟฉายทั้งหมดลง เมื่อรวบรวมของได้ครบให้ผู้ร่วมเล่นกลับมา
รวมกันที่จุดนัดหมาย แล้วเริ่มทำพิธีพร้อมกัน” หมอกอ่านรายละเอียดทั้งหมดอีกครั้งให้ทุกคนฟัง
“แค่นั้นเหรอหมอก” บัวถามขึ้นมาเสียงแผ่วๆ อีกฝ่ายไม่ตอบอะไร พลางก้มอ่านข้อความต่อ
“ข้อห้าม… ระหว่างทำพิธีหากดวงวิญญาณปรากฏร่างให้เห็นแล้ว ห้ามคนใดคนนึงในพิธีวิ่งหนีโดยเด็ดขาด ต้องอยู่ทำพิธี
ให้เสร็จจนจบ เมื่อเสร็จพิธีแล้วให้รีบเป่าเทียนให้ดับ”สิ้นเสียงอ่านข้อความในกระดาษทั้งหมดจบลง หมอกก็เงยหน้าขึ้นมามองปฏิกิริยาของคนทั้งกลุ่มที่ต่างแสดงออกมาแตกต่างกันออกไป
“ฉันอยู่กับแกนะยัยลิน” หญิงสาวร่างบอบบางกระโดดเกาะแขนเพื่อนตนแทบจะในทันที“ขี้กลัวไม่เข้าเรื่อง ปอดแหกไปได้” ดวงตาที่กรีดอายไลน์เนอร์มาอย่างคมกริบเหลือบมองเพื่อนตนเองพร้อมทั้งแสดงอาการเบื่อหน่าย ซึ่งพาขวัญก็ได้แต่มองไปรอบๆอย่างหวาดระแวง
“งั้นขอผมไปด้วยนะครับ” มิค หนุ่มหล่อสาวเท้าเข้าไปใกล้สองสาวแทบในทันทีพลางเผยยิ้มทรงสเน่ห์
“อย่าเป็นตัวถ่วงฉันล่ะกัน”
พูดจบร่างอรชรก็เดินแยกออกไปเพื่อรีบภารกิจโดยทันที
ยิ่งเริ่มไวเท่าไหร่ โอกาสชนะก็ยิ่งมากกว่าคนอื่นเท่านั้น! กลุ่มคนที่เหลืออยู่มองหน้ามองหลังกันอยู่สักพัก ผู้ชายที่ชื่อคูณก็เดินดุ่มๆไปไม่ได้ยี่หร่ะอะไรว่าตนจะมีกลุ่มก้อนหรือไม่
สาวใหญ่อย่างพริ้มเลยรีบวิ่งแจ้นตามหลังไปติดๆพร้อมกับผู้ชายอีกคนที่ชื่อนล
“เดี๋ยวผมแยกไปกับคุณวสุแล้วก็คุณนาลินเลยละกันนะครับ” ร่างสูงใหญ่ของปรกเอ่ยต่อขึ้นมา โดยที่หนุ่มแว่นข้างตัว
ก็พยักหน้าเห็นด้วย แล้วพลางพากันเดินแยกออกไปอีกทางตามกลุ่มของมิลินซึ่งหายไปตามแนวป่ารกครื้มขึ้นสูงนั่น
“งั้นกลับมาเจอกันจุดเดิมนะครับ” หมอกตะโกนไล่หลังไป แต่ไม่แน่ใจนักว่าทุกคนจะสนใจฟังเขาหรือไม่ กวินที่ยืนอยู่ใกล้ๆเลยส่งยิ้มแห้งตอบกลับมา
“ไหนๆก็ไหนๆหมอกกับต้นก็มาอยู่กับพี่ล่ะกัน คุณบัวด้วยนะครับ ยังไงมีผู้ชายเอาไว้อุ่นใจกว่า” ร่างสูงหันมาโชว์
ลักยิ้มใส่บุคคลเศษเหลือที่ยังยืนทำหน้างงกันอยู่ หมอกก็พยักหน้าไม่ได้พูดอะไรออกมา เขายังไงก็ได้อยู่แล้ว
“ดีคะ บัวอุ่นใจแน่ๆ”
“พี่หมอก ผมอยู่ด้วยนะพี่”
“ต้น! อย่าไปรัดคอพี่เขาแบบนั้น” กวินเอ่ยเสียงเข้มขึ้นมาเตือนต้นตระการที่แทบจะกระโดดขี่คอผู้ชายตรงหน้าอยู่รอมร่อ
จนเด็กมันหงอยไป พยักหน้าหงึกหงักแล้วคลายมือออกจากลำคอของหมอกเดินคอตกๆไปให้บัวต้องลูบหลังป้อยๆ
“ขอบคุณครับ” เจ้าตัวเอ่ยเสียงเบาหวิวเมื่อลับหลังต้นตระการ เพราะไม่อยากให้น้องรู้สึกแย่
“ไม่เป็นไร”
……………………………………
เสียงบินหวือแตกรังของเหล่าสกุณายามแทรกอากาศออกมาปะทะใบหน้าสร้างความหลอนเพิ่มมากขึ้นไปอีกเท่าตัวให้
กับกลุ่ม ‘คน’ ที่จู่ๆก็เข้ามารบกวนพวกมันถึง ‘ถิ่น’ ในยามวิกาลเช่นนี้
ความมืดมืดของป่ารอบๆตัว นอกจากแสงไฟฉายแล้ว เงาวูบไหวไปมาของพงไพรนั้นชวนให้หลอกหลอนพลอยพาให้
จินตนาการฟุ้งเฟ้อออกไปได้กว้างไกลยิ่งกว่าเดิมมากนัก
เหมือนเงาของปีศาจร้ายคอยจับจ้องอยู่ในทุกๆย่างก้าว ชั่วพริบตาก็เคลื่อนไหวดั่งสายลมไปหลบหลังไม้ใหญ่
เพื่อเฝ้ามองพวกเขาอยู่!
“นี่กลัวขนาดนี้ จะอยู่ถึงสิบสามวันมั้ยต้น” กวินเอ่ยถามเด็กมันที่เกาะแขนขาวแจ
“ผมยังไหวนะถ้าพี่หมอกยังอยู่”
“แต่เกมมันชนะได้คนเดียวไม่ใช่เหรอ? เกิดพี่โดนสอยร่วงไปก่อนล่ะ” คนที่ถูกพาดพิงถามแบบขำๆ
“ไม่รู้พี่ ไว้คิดอีกทีก็ได้ แต่ผมจะปกป้องพี่เอง!”
ท่าทีกับคำพูดที่ไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกันทำให้คนทั้งสี่ขำขัน หมอกเองก็รู้สึกถึงมวลอารมณ์ที่ผ่อนคลายลง บรรยากาศ
รอบๆเหมือนจะดีขึ้นมากันได้บ้าง ต้นตระการสาดไฟฉายไปทั่วๆเพื่อมองหาต้นโพธิ์ในแถบบริเวณนี้ ส่องไปก็สะดุ้งไป พาเอาบัว
ที่ยืนข้างๆสะดุ้งตามทุกครั้งไปด้วยจนเหมือนดูโชว์ตลกอยู่
“แล้วเราไม่กลัวเหรอไง?”
“ใคร? ผมเหรอครับ” หมอกหันกลับไปมองร่างสูงที่เดินอยู่ข้างๆ
“ เปล่า พี่ถามต้น” ตาสีเทาเขม่าควันขยับกลับไปมองก็เห็นแผ่นหลังเด็กมันเดินนำหน้าอยู่
“…….”
แล้วทำไมไม่เดินไปคุยกันเอง “พี่ก็คุยกับหมอกนั่นแหละ เห็นๆอยู่ว่าเดินข้างๆกัน”
“อ้าวเหรอ ผมนึกว่าพี่คุยกับต้นจริงๆนี่ครับ เลยเงียบดีกว่า”
“
เฮ้อ!” ถึงจะถอนหายใจออกมาเสียงดังแต่ในความมืดหมอกก็ยังเห็นลักยิ้มที่ข้างแก้มนั่น
“ตกลงกลัวมั้ย?”
แล้วเขาควรกลัวอะไรอย่างนั้นล่ะ “ให้ผมกลัวอะไรดีครับ?”
“ก็แบบว่า สิ่งที่เรากำลังท้าทายอยู่นี่ไง”
“
ผี น่ะเหรอครับ?” พอร่างโปร่งพูดจบ กวินก็แทบจะหันมาเบิกตาโพลงใส่ ทำหน้าตกใจจนคนตอบคำถามถึงกับงง
“เข้าป่าเขาห้ามพูดถึงเสือห้ามทักถึงผีนะ ไม่รู้เหรอ”
“พี่วินก็เพิ่งพูดออกมาเหมือนกันนี่”
“พี่แค่เปรียบเปรย”
จะเปรียบเปรยหรือพูดออกมาตรงๆ พวกเขาก็กำลังพูดถึงสิ่งๆเดียวกันอยู่ไม่ใช่เหรอ?
“ไม่รู้สิครับ ไม่เคยเจอมั้งเลยไม่แน่ใจว่าจะดีไซน์ความกลัวออกมาแบบไหนดี”
“ความกลัวคนเรามันออกแบบได้ด้วยเหรอไง”
หมอกไม่ได้ตอบคำถามกลับไปเพราะเขาจมลงไปในห้วงความคิดกับคำพูดตัว เขาก็แค่พูดไปตามสิ่งที่ใจตัวเองคิด
ก็เพราะถ้าจะถามเขาล่ะก็ ตั้งแต่เกิดมาหมอกไม่เคยได้พบเห็น หรือสัมผัสสิ่งเรียกว่าวิญญาณเลยสักครั้งเดียว ชายหนุ่ม
เลยไม่รู้ว่าเวลาพบเจอจริงๆนั้นแล้ว อาการหวาดกลัวจะเป็นเช่นไร?
จะตื่นตูมหวาดระแวงเหมือนกับที่ต้นตระการเป็นอยู่รึเปล่า?
หรือจะนิ่งจนเหมือนกับทะเลที่แสนสงบเหมือนกับกวินมั๊ย?
เขาไม่รู้... แซ่กๆๆ เสียงนกตัวใหญ่ที่บินโฉบไปเรียกสายตาทั้งสามคู่ให้หันมองไปรอบข้างอย่างตื่นตระหนก นอกจากความมืดของคืน
เดือนแรมที่โอบล้อมทุกคนเอาไว้อยู่นั้น ความหนาวเย็นยังแผ่ขยายปกคลุมเอาไว้ราวกับอ้อมกอดของวิญญาณ ซึ่งไม่ว่ามองไป
ทางไหนคนทั้งสามก็เห็นแต่เงาของต้นไม้ใหญ่ที่ไหวเอนไปมา ราวกับกำลังมีคนไม่พอใจในสิ่งที่พวกเขากำลังกระทำ!
“เราต้องจุดธูปกับก่อนนะคุณ ช่วยบังลมไว้ให้หน่อยสิ” มิค หนุ่มหล่อหน้าใสวัยใกล้เบญจเพศหันมาพูดกับสาวสวย
ข้างตัว ความต้องการจะชนะรางวัลจากเกมบ้าๆนี่ก็ยังมีอยู่เต็มเปี่ยม แต่เป้าหมายที่เขามุ่งหวังเอาไว้มันมากยิ่งกว่าเงินรางวัล
หนึ่งล้านบาทซะอีก
เผลอๆเขาอาจจะได้ตกถังข้าวสารก็เป็นได้!
“ยัยขวัญ แกไปช่วยเขาสิ” ใบหน้าสวยคมออกคำสั่งกับเพื่อนตนแทบจะในทันที
“
แต่...” หญิงสาวบอบบางเอ่ยเสียงอ่อยเบาหวิว แต่เมื่อได้รับสายตาการกดดันก็ต้องยอมทำตาม
ระหว่างคนข้างตัวเธอกับผีสาง บอกได้เลยว่าน่ากลัวพอกัน! “เดี๋ยวผมจุดแล้วคุณเอามือบังไว้นะ”
ฝ่ามือใหญ่กำธูปเอาไว้เป็นกำ แต่เพราะเป็นที่โล่งแจ้งแถมลมพัดอย่างแรงตอนนี้จึงทำให้การจุดไฟให้มันติด ยากซะยิ่งกว่าอะไร กลุ่มของมิลินพบต้นโพธิ์ก่อนกลุ่มอื่นๆที่ยังเดินตามหากันอยู่ในป่า นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้หญิงสาวรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง หากว่าเธอจะชนะอย่างรวดเร็วในเกมนี้
ไม่หรอก เธอหวังจะชนะในทุกๆเกมต่างหาก! แต่รอยยิ้มที่ถูกเคลือบไว้ด้วยลิปสติกราคาแพงก็ต้องมีอันหุบลง เมื่อความรู้สึกบางอย่างด้านหลังบอกให้เธอ
ต้องหันหลังกลับไปมอง!
มิลินรู้สึกถึงสายตา...
สายตาที่จ้องกลับมาจากเงามืดในป่าใหญ่นั่น!
“ฉันคงบ้าไปแล้ว” สาวสวยพึมพำกับตนเอง เมื่อหันกลับมามองก็พบว่าธูปนั้นยังไม่ถูกจุดขึ้น หญิงสาวร่าง
สะโอดสะองจึงเดินแหวกไปแล้วหยิบธูปในมือของร่างสูงมาถือไว้แล้วลงมือจุดเองเพื่อไม่เป็นการเสียเวลา
“บังลมดีๆซะยัยขวัญ ไม่งั้นกลับไปฉันจะฟ้องน้าเพ็ญ!”
คำขู่ที่ทำให้พาขวัญสลดลงไปยิ่งกว่าเดิม
..........
.....
เข็มนาฬิกาบนข้อมือใหญ่บ่งบอกว่าอีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงจะตีสอง เป็นช่วงสุดท้ายที่สามารถจะประกอบ
พิธีกรรมเบิกเนตรได้ กวินจึงบอกให้ทุกคนมารวมตัวกันยังจุดนัดพบที่เดิมผ่านวอที่ทางทีมงานเตรียมไว้ให้ก่อนลง
มาจากรถ ใช้เวลาเพียงไม่นานกลุ่มของคนที่แยกกันออกไปตามหาใบโพธิ์นั้นก็กลับมารวมตัวกันครบทุกคนตาม
ทางที่แยกกับไปทั้งสามทิศทาง
ตามขั้นตอนแล้วนั้น ผู้เข้าแข่งขันจะต้องดับแสงสว่างภายในบริเวณนั้นทั้งหมดให้มืดสนิทลง ห้ามให้มีแม้
แต่แสงไฟแม้เพียงสักดวงเดียว เพื่อจำลองเสมือนกับว่าตอนนี้ทุกคนกำลังยืนอยู่ในโลกหลังความตาย
‘
โลก’ ที่ที่ไม่ใช่ของ ‘
คนเป็น’ ควรเข้าไปยุ่ง
เพื่อ ‘
เห็น’ในสิ่งที่คนเป็น ‘
ไม่ควรจะเห็น’!
ทันทีที่แสงสว่างแหล่งสุดท้ายจากไฟฉายกระบอกเล็กดับลง ความมืดก็เข้าคลอบคลุมกลืนกินจิตใจไปทั่วทั้ง
บริเวณ สายตาทุกคู่ตกอยู่ใต้อาณัติแห่งรัตติกาล สรรพเสียงรอบข้างที่เคยหมุนเวียนก็กลับหยุดลง แม้เพียงแค่เสียงจิ้งหรีด
เรไรมันยังหยุดคร่ำควรญ ได้ยินเพียงแค่ลมหายใจของกันและกันดังแผ่วเบาหวีดหวิวผ่านปลายจมูก รอบๆตัวเหมือนถูก
ตีตราไปด้วยความเงียบงันแฝงกายอยู่ในทุกๆตารางนิ้วของพื้นที่หัวใจ
พรึ่บ!
…แปลกที่คราวนี้การจุดเทียนสีขาวเล่มน้อย ครั้งนี้มันกลับจุดติดอย่างง่ายดาย!
‘ นะ มะ พะ ทะ
จะ ตุ ระ ภู ตา
นัง อาคัจฉายะ อาคัจฉายะ
อาคัจฉาหิติ วัตตัพโพ อาคัจฉาหิฯ’
บทสวดภาษาสันสกฤตถูกเปล่งออกมาจากคนทั้งสิบสามคนโดยพร้อมเพรียง ต่างคนต่างกล่าวออกมา มีสมาธิตั้ง
มั่นจดจ่ออยู่กับเทียนตรงกลางเพียงเล่มเดียว เปลวไฟดูจะลุกโชติช่วงยิ่งนักในที่อับแสงเช่นนี้ ไม่มีแม้แต่ลมพัดให้มัน
ไหวเอน ไม่มีเสียงนกร้องหรือบินตระหนกตกใจ ช่างแตกต่างกับตอนที่เหยียบลงมาแตะพื้นดินแห่งนี้!
ความเย็นของผืนป่าโดยรอบโรยตัวหมุนวนลูบไล้ต้นคอให้ขนลุกชูชัน
ในหางตานั้นของคนที่กำลังท้ายทายทั้งสิบสามนั้น พวกเขารับรู้ได้ถึง ‘สายตา’ ของใครบางคนจากในเงามืด
ที่กำลังจ้องกลับมา…
ตัวแทนจากคนทั้งสี่กลุ่ม ซึ่งก็คือกวิน มิลิน คูณ แล้วก็ปรกเดินนำน้ำตาเทียนที่ถูกปักไว้ตรงกลางกลุ่มนั้น
มาหยดลงบนใบโพธิ์ทั้งสี่ใบ แล้วจัดการขยำก่อนจะใช้ครกไม้ใบเล็กๆที่ทางทีมงานเตรียมไว้ให้บดขยี้ใบอ่อนให้แหลก
ละเอียดคามือ แล้วจัดการขยี้ให้มีน้ำออกมาเพื่อใช้ประกอบพิธีกรรม
ครกไม้ใบเล็กถูกส่งต่อกันไปเรื่อยๆ โดยวิธีการก็คือนำน้ำจากใบโพธิ์นั้น มาแตะที่ตาของตนทั้งสองขณะแล้ว
ตั้งจิตคิดถึงดวงวิญญาณโดยรอบให้รับรู้ทั่วกัน หมุนวนกันไปจนเกือบครบกันทั้งกลุ่ม บางคนก็แตะนิดๆพอเป็นพิธี บ้างก็
แตะย้ำๆเพื่ออยากพิสูจน์ว่าพิธีกรรมนี้ศักดิ์สิทธิ์จริงรึไม่!
เมื่อวนจนเกือบจะครบทั้งกลุ่มแล้ว น้ำที่ขยำออกมาได้เพียงน้อยนิดนั้นจากใบโพธิ์ทั้งสี่ใบนั้นจึงแทบจะแห้งขอด
อยู่ก้นครกแล้ว เหลือแต่เศษซากสีเขียวของใบไม้ที่ครั้งหนึ่งเคยชูช่อไสวอยู่บนต้นของมัน แต่กลับไปพรากลงมาแล้วย่ำยีเสีย
จนไม่มีชิ้นดี!
เมื่อส่งต่อมาถึงมือกวินกับหมอกซึ่งเป็นสองคนสุดท้าย น้ำในครกนั้นก็แทบไม่เหลืออยู่แล้ว ชายหนุ่มหันมามอง
หมอก แล้วร่างสูงก็เผยลักยิ้มที่ข้างแก้มให้กับคนข้างตัว
หมอกรับครกไม้ใบเล็กมาถืออยู่ในมือ จดจ้องเศษซากนั้นที่ถูกป่นขยี้ เอื้อมมือไปแตะน้ำที่เหลืออยู่แทบจะแห้งขอดอยู่
ใต้ก้นครกพลางหลับตาลงแล้วนึกอธิษฐานอยู่ในใจ กำหนดดวงจิตให้นิ่ง
หวังว่าข้อความที่ตนต้องการสื่อสารไปนั้น ‘
พวกเขา’ คงจะรับรู้
‘
…ถ้ามีอยู่จริง ได้ยินผมไหม…
…….
.......
..
ผมอยากเห็นพวกคุณ!!’ ปึ้ง!
แกร๊บ!!
กริ๊ดดด...ด..ดดดด! เสียงหวีดร้องร้องดังขึ้นมาทันทีเป็นผลให้หมอกต้องรีบลืมตาขึ้นมามองตามสัญชาติญาณ พาขวัญที่ยืนอยู่ข้างๆมิลิน
กรีดร้องอย่างเสียสติโวยวายเสียงดังลั่น
“มีมือ!! มือที่ไหนไม่รู้จับแขนฉันเมื่อกี๊ กริ๊ด!”
ความตระหนกตกใจแผ่ซ่านไปยังผู้ร่วมเล่นเกมทุกคน เมื่ออยู่ดีๆได้รับรู้ถึงว่ามีบางอย่างกำลังคุกคามพวกเขาอยู่
หากแต่ว่าพิธีก็ยังไม่เสร็จสิ้น ไม่มีใครสามารถลุกหรือวิ่งหนีออกไปไหนได้ ทำได้เพียงแค่เตือนสติพาขวัญที่กำลังหลับตาเกาะแขน
เพื่อนของตนอยู่
“หมอกทำพิธีเสร็จแล้ว งั้นเรามาจบเกมนี้กันเถอะครับ” กวินที่ได้สติก่อนใครเพื่อนพูดแทรก ซึ่งทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วย
กับชายหนุ่ม ร่างสูงใหญ่เดินตรงไปยังแท่งเทียนที่ยังไม่ถูกลมพัดให้ดับ ชายหนุ่มกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบเทียนที่ถูกปักไว้ตรงกลาง
ของกลุ่มขึ้นมา หากแต่ว่าจู่ๆกระแสลมวูบหนึ่งก็พัดให้เปลวเทียนนั้นดับไปต่อหน้าต่อตา
ราวกับว่า มีใครบางคนจงใจเป่ามันให้มันดับ! “เห็นมั้ยลิน แกเห็นมั้ยเทียนมันดับเอง” หญิงสาวร่างบางยังไม่หยุดสติแตก ซึ่งคนอื่นๆเองก็อึ้งอยู่เหมือนๆกัน แต่ไม่มีใคร
พูดอะไรออกมา เพราะทุกคนเห็นอยู่กับตาว่าเทียนมันดับเองทั้งที่กวินยังไม่ทันได้เป่า
“ยัยขวัญ อย่าบ้า! เมื่อกี๊แค่กิ่งไม้มันหัก ลมมันก็พัดเทียนดับไง หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” มิลินวีนเพื่อนตัวเองเสียดัง
“ฉันจะกลับไปที่รถแล้ว จบแล้วนะไอ้เกมหลอกเด็กแบบนี้”
พูดจบมิลินก็ลากตัวพาขวัญออกไปยังบริเวณนั้นทันที ทิ้งให้คนที่เหลืออ้ำอึ้ง แต่ก็เห็นด้วยกับหญิงสาวว่า
ในเมื่อเทียนมันดับลง แม้จะไม่ได้ถูกเป่าดับ แต่ก็ถือว่าเสร็จสิ้นพิธีเรียร้อยแล้ว
หมอกมองดูของประกอบพิธีที่ถูกกองทิ้งเอาไว้ ชายหนุ่มจ้องไปยังไขเทียนที่ละลายไปเยอะแล้วจากความร้อน
ดวงตาสีเขม่าควันเหม่อออกไป พลางใช้ความคิดในหัวตน ไส้เทียนที่ครั้งนึงเคยเป็นสีขาวบริสุทธิ์บัดนี้ถูกไฟ
เผาไหม้จนเหลือแต่ตอตะโกทิ้งเอาไว้เป็นอนุสรณ์ถึงพิธีกรรมที่ผ่านมา ดำทมิฬไม่ต่างกับความมืดรอบตัวที่โอบล้อมเขา
อยู่ตอนนี้ เมื่อมีเสียงเรียกจากต้นตระการ ชายหนุ่มก็ผละหันหลังทิ้งเรื่องราวทั้งหมดเอาไว้ตรงนั้นกองรวมกับเศษ
ซากใบไม้แล้วก็เทียนสีขาวหนึ่งเล่ม
แกร๊บ..บบ!
.........
.....
...จบแล้วจริงๆน่ะเหรอ? เกมนี้น่ะ!!________________________________________________________________________
TBC
เนื้อเรื่องเริ่มกันแล้วนะครับ ยังไงขอฝากผลงานเอาไว้ด้วยตรงนี้
แล้วก็พิธีกรรมต่างๆหรือบทสวดอย่าเอาไปใช้เล่นกันเนอะ 5555
เจอกันใหม่นะครับ