เด็กหนุ่มผู้ซึ่งมีความชอบ ความต้องการ ความอยากเป็นเจ้าของ และสิ่งที่ขาดไม่ได้ ความพยายามที่จะทำให้สิ่งที่ความคาดหวังนั้นสำเร็จ เขาเป็นเด็กหนุ่มธรรมดาเพียงคนหนึ่งเท่านั้น แต่ในความธรรมดาของเขา เขาก็มีเป้าหมายที่อยากจะทำเช่นกัน เป้าหมายที่ได้มาจากสิ่งที่ชอบ ถึงแม้จะเป็นเป้าหมายที่คนบางกลุ่มคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระก็ตาม เด็กหนุ่มคนนี้เขาเป็นหนึ่งในคนรักสุนัข อยากจะมีสุนัขไว้เลี้ยงสักตัวหนึ่ง แต่ด้วยในยุคปัจจุบัน สุนัขเป็นสัตว์ที่ไม่ได้มาครอบครองอย่างง่ายดายอีกต่อไป โดยเฉพาะสายพันธุ์ที่ตนเองต้องการจะนำมาเลี้ยง กล่าวได้คือต้องมี ‘เงิน’ หรืออีกทางเลือกหนึ่งก็คือ ‘ญาติ’ แต่เขามีตัวเลือกเพียงอย่างเดียวคือ ‘เงิน’ เท่านั้น แต่ตอนนี้เขายังเป็นเพียงแค่นักศึกษาและฐานะทางครอบครัวก็ไม่ได้มีเงินทองมากมาย แต่เขาก็ไม่แม้แต่คิดจะขอครอบครัวของเขาหรอก เพราะเขาคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ตนเองต้องการเองมิใช่หรือ? แล้วถ้าเป็นเช่นนั้นทำไมไม่คิดที่จะเก็บเงินทองเอง และเหตุก็เกิดเพราะความคิดที่เด็กหนุ่มนึกคิดเอง เขาคิดที่จะทำงานพาร์ทไทม์เพื่อเก็บเงินเพื่อที่จะเก็บไว้เพื่อซื้อสุนัขสักตัว และงานที่เขาได้ทำก็คือ....
“กัน เสิร์ฟนมสดโต๊ะ3 คาปูและปังปิงโต๊ะ8”
“ครับ” กันหรือกฤษกรขานรับรุ่นพี่ที่ทำงาน ก่อนนำของว่างทั้งหลายของลูกค้าวางลงบนถาดเพื่อที่จะนำไปเสิร์ฟ เขาสมัครเป็นพนักงานเสิร์ฟของร้านนมสดเล็กๆแห่งหนึ่ง เหนื่อยมิใช่น้อยแต่มันก็คุ้ม เพราะที่นี่ก็ไม่ได้เป็นร้านนมสดธรรมดา แต่เป็น...
“โต๊ะ3 นมสดครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
โฮ่ง โฮ่ง!
“อุ้ย! ตกใจหมด อย่ากระโดดสิน้องหมา ดื้อจริงๆเลย”
ใช่แล้ว ที่นี่เป็นคาเฟ่น้องหมาด้วยเพราะสิ่งนี้ทำให้กฤษกรตัดสินใจเลือกงานที่แสนจะหนักและเหนื่อยแห่งนี้ เพราะงาน
นี้ไม่เพียงที่จะบริการลูกค้าแล้ว เขาก็ต้องดูแลสุนัขที่แสนจะดื้อและซนเป็นอย่างมาก เสมือนเขาจะได้ฝึกการเลี้ยงสุนัขไปในตัวเลยทีเดียว
“พักทานข้าวได้นะกัน เดี๋ยวพี่ดูแลต่อเอง”
“ครับ ขอบคุณมากครับ”
กฤษกรนั่งพักทานข้าวที่พักของพนักงาน นั่งทานไปสักพักมีลูกสุนัขตัวน้อยวิ่งเข้ามาหาเขา แต่เมื่อวิ่งมาใกล้ถึงเขาก็เบรกตัวไม่อยู่ชนขาของเขาอย่างจัง ช่างน่ารักจริง
“ฮ่าๆ เบรกไม่อยู่ล่ะสิเนี่ย แล้วมาจากไหนเนี่ยเรา หรือเพิ่งเข้ามาใหม่?”
“ตัวนี้พี่เพิ่งซื้อเข้ามาใหม่ พี่ยังไม่กล้าให้มันไปเล่นกับแขก” เสียงของผู้มาเยือนอีกคน เจ้าของร้านที่พ่วงกับตำแหน่งผู้จัดการร้านร้านนมสดและคาเฟ่หมา แต่ไม่ได้มีเพียงเท่านี้เขายังเป็นเจ้าของร้านตัดขนสัตว์และคลินิกสัตว์ที่อยู่ติดกันนี่ด้วย กล่าวคือพี่เขาเป็นสัตวแพทย์และยังสามารถสร้างธุรกิจที่เกี่ยวข้องในสิ่งที่เขาสามารถดูแลได้อย่างใกล้ชิดทั้งที่อายุยังไม่มาก ถ้าให้กฤษกรหาคำมาบรรยายในตัวพี่เขาคำว่า ‘อัจฉริยะ’ ยังน้อยไป
“จริงหรือครับพี่เมล มิน่าล่ะตัวเล็กเชียว แล้วนี่พันธุ์อะไรหรอครับ?” กฤษกรถามอย่างสงสัย ก็แน่สิลูกสุนัขตัวเล็กนิดเดียวแล้วดูออกก็ยากด้วย แต่หารู้ไม่สายพันธุ์ของลูกสุนัขตัวนี้เป็นสายพันธุ์ที่กฤษกรเก็บเงินเพื่อที่จะได้มันมาครอบครองสักตัว
“หึหึ นี่เราไม่รู้จริงๆหรือ?”
“ไม่รู้ครับ”
“สายพันธุ์ที่เราอยากเลี้ยงพันธุ์อะไรล่ะ หืม?” ผู้จัดการร้านหนุ่มถามกลับไป กฤษกรครุ่นคิดสักพักก่อนจะอุทานออกมาอย่างไม่เชื่อ
“นี่พันธุ์ปอมเมอเรเนียนหรอครับ!!? ทำไมสีขาวล้วนอย่างนี้ล่ะครับ!”
“เป็นปอมเมอเรเนียน สีขาวน่ะ คนส่วนใหญ่เรียกว่าหน้าหมี”
“งั้นหรือครับ สุดยอดไปเลย ราคาเท่าไหร่ครับ?”
“2*.*** บาทน่ะ” เมื่อได้ยินราคานั้นออกมาก็ทำให้เด็กหนุ่มอ้าปากค้างโดยทันที ราคาขนาดเลยหรือเนี่ย ต้องเก็บเงินสักเท่าไหร่กันถึงจะได้มาครอบครอง
“แพงมากขนาดนี้เลยหรือครับ...”
“อย่าท้อไปเลย เก็บเงินไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็ได้เอง ในระหว่างที่เก็บเงินก็เลี้ยงเจ้าตัวเล็กไปก่อนละกัน” กฤษกรมองไปยังเจ้านายอย่างไม่ว่างตา ก่อนจะถามออกไปอีกเพื่อความแน่ใจ
“จริงหรือครับ?”
“ก็ไม่รู้จะโกหกกันไปทำไม ฝึกเลี้ยงไงพี่อุตส่าห์ช่วยเห็นเราอยากเลี้ยงพันธุ์นี้”
“แต่ผมไม่เคยเลี้ยงหมาเลยนะครับ อีกอย่างผมเพิ่งจะได้ทำงานที่นี่แค่อาทิตย์เดียวเอง ผมกลัวว่า...”
“พี่ถึงอยากให้กันฝึกไง เมื่อถึงวันที่กันได้มาเลี้ยงสักตัวจะได้ไม่ลนลานมากไง”
“ผมจะพยายามนะครับ” กฤษกรตอบรับ
“เอาล่ะพี่ไม่กวนเวลาพักเราแล้ว มานี่มาเตี้ยไปอาบน้ำป่ะ” มนชิตพูดกับสัตว์เลี้ยงก็จะเดินออกไป กฤษกรเองก็รีบทานข้าวให้เสร็จก่อนจะไปทำงานต่อ
3 สัปดาห์ต่อมา
กฤษกรได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงสุนัข มันไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำได้อย่างง่ายดาย มันยากมากกว่าที่เขาคิดมาก เขายังแปลกใจอยู่ว่าพี่เมลสามารถเลี้ยงสุนัขทั้งหลายพวกนี้ได้อย่างไร แค่ตัวเดียวเขาก็แทบทรุด
“ตัวเล็ก ตัวเล็ก ตัวเล็กมานี่ เฮ้อ เมินเฉยเลย” กฤษกรรู้สึกน้อยใจ เมินกันได้ทุกวัน ยิ่งโตยิ่งหยิ่ง ตอนนี้ขนาดตัวของสุนัขก็เริ่มใหญ่ขึ้นมาแต่ก็ยังไม่มาก อยู่ดีกินดีก็งี้
“กัน พี่เมลเรียกเราให้พาตัวเล็กไปฉีดวัคซีนน่ะ” จริงสินะ ตัวเล็กอายุ2เดือนแล้ว
“ครับ ขอบคุณนะครับที่มาบอก ผมก็ลืมไปเสียได้”
“จ๊ะ ไปเถอะพี่เมลเขารออยู่”
“ครับ” หลังจากพูดจบ ก็เดินไปคลินิกสัตว์ที่อยู่ติดกันกับร้านเลย เป็นเรื่องที่สะดวกสบายเป็นอย่างมาก ถึงแม้ร้านจะอยู่ติดกันก็สามารถรักษาความสะอาดได้เป็นอย่างดี
“พาตัวเล็กมาแล้วครับ”
“กันพาตัวเล็กไปวางบนนั้นนะ” มนชิตบอกพร้อมชี้ไปยังโต๊ะโลหะสำหรับฉีดวัคซีนของสัตว์
“นั่งนิ่งๆนะ รอก่อนเนอะ” แล้วก็เมินต่อ
“มาเจ้าตัวเล็กมาฉีดยา” กฤษกรยืนมองมนชิตที่กำลังจะฉีดยา เข็มที่เตรียมไว้ไม่รู้ว่ามีอะไรบ้างตัว เล็กเท่านี้ทำไมต้องฉีดอะไรเยอะขนาดนี้นะ
“มันมีวัคซีนอะไรบ้างหรือครับ? ทำไมมันมีหลายอัน”
“อันนี้วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า อันนี้....” มนชิตอธิบายให้กฤษกรฟังไปเรื่อยๆ มีทั้งวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า เห็บหมัด โรคที่เกี่ยวกับพยาธิทั้งหลาย เยอะมากๆเลย แล้วค่าใช้จ่ายจะสูงมากไหมเนี่ย?
“ค่าใช้จ่ายประมาณเท่าไหร่หรือครับ?”
“มันราคาไม่เท่ากัน แต่ถ้าคิดแบบโดยรวมนะ ถ้าจะพาสัตว์เลี้ยงมาฉีดวัคซีนเนี่ย ต้องเตรียมเงินมาประมาณ 1,000 – 3,000 บาทเลยต่อตัวนึงนะ” กฤษกรได้ยินเช่นนั้นก็เกิดการคิดขึ้นในใจ
“เยอะมาก แค่เลี้ยงสุนัขต้องเสียเงินมากขนาดนี้เชียว”
“มันไม่ใช่แค่เลี้ยงนะกัน สุนัขหรือสัตว์เลี้ยงอื่นๆเขาก็เหมือนคนในครอบครัวของเรานี่แหละ เคยได้ยินเกี่ยวกับคนญี่ปุ่นที่อยากจะเลี้ยงสัตว์บางไหม?”
“ไม่ครับ”
“เท่าที่พี่ทราบมานะ ถ้าคนญี่ปุ่นจะเลี้ยงสัตว์เขาต้องมีเงินเก็บเตรียมไว้ประมาณ 300,000 เยน ตีเป็นเงินไทยก็ประมาณหนึ่งแสนบาท เยอะมากเลยใช่มั้ยล่ะ”
กฤษกรเมื่อได้ยินที่มนชิตพูดมาทั้งหมดนั้นก็เกิดอาการตัดพ้อขึ้นมา มันทำให้เขาเริ่มคิดอะไรได้หลายอย่างเกี่ยวกับการที่จะเลี้ยงสุนัข
“ผมว่าผมยังไม่พร้อมหรอกครับ”
“หืม? หมายความว่าเราจะไม่เลี้ยงแล้วหรือ?”
“เปล่าครับ แต่สามสัปดาห์ที่ผ่านมาจากที่ผมได้ดูแลตัวเล็กมาผมว่าผมยังดูแลไม่ดีพอน่ะครับ อีกอย่างผมว่าช่วงในตอนที่มหาวิทยาลัยเปิด ผมคงดูแลไม่เต็มที่หรอกครับ ผมว่าผมจะรอให้ตัวเองพร้อมกว่านี้ก่อน ทั้งตัวผมเอง ทั้งเงิน ทั้งการดูแลที่จะไม่ปล่อยให้มันเหงา”
“คิดได้ดีนะเรา วางแผนได้ดี พี่จะรอวันที่เราพร้อมทุกอย่างนะ ไว้วันนั้นมาถึงพี่จะพาเราไปฟาร์มสุนัขเลย เดี๋ยวช่วยต่อรองราคาให้”
“ขอบคุณนะครับ แต่ก็ไม่รู้ว่าถ้าถึงวันนั้นผมจะดูแลน้องหมาได้ดีหรือเปล่าน่ะสิครับแค่กับตัวเล็กและอีกทั้งในร้านก็เหนื่อยใช่ย่อยเหมือนกัน”
“ยังไม่ทันที่จะได้เลี้ยงก็บ่นแล้วหรือ? จะไหวไหมเนี่ย?”
“ไหวครับไหว แต่ถ้าถึงวันนั้นก็อยากให้มีคนเลี้ยงช่วยเหมือนกันนะครับ”
“อยากหาคนเลี้ยงช่วยด้วยว่างั้นเถอะ”
“ประมาณนั้นครับ แต่ผมก็กลัวว่าเขาจะทิ้งผมกับสุนัขไว้กลางทาง ฮ่าๆ” กฤษกรพูดติดตลก แต่เมื่อมนชิตพูดประโยคต่อมาก็ไปแทบไม่เป็น
“หึหึ ไม่ต้องห่วงหรอกพี่ยังอยู่ทั้งคน พี่ไม่ทิ้งเราไปไหนหรอก”
“...”
“...”
“..ครับ”
หลังจากกฤษกรตอบรับมนชิตด้วยคำอันแสนสั้น ความเงียบก็ปกคลุมแต่ในความเงียบก็มีสายตาของทั้งสองจ้องกัน
โดยไม่วางตา จนลืมไปเสียว่ามีอีกหนึ่งชีวิตกำลังรอทั้งสองอยู่
โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง!
จบ