ฟันเฟือง
เขียนโดย Blue-Legend
ตอนที่ 1
คุณเคยฝันอะไรซ้ำๆไหม?
“ไอ้สิง มึงจะไปไหนวะ”
เสียงทุ้มแหบเรียกรั้งร่างโปร่งบางให้ชะงักก้าว แสดงความเปิ่นด้วยการสะดุดขาตัวเองหกล้มหน้าทิ่มดิน ทำเอาเจ้าของเสียงทุ้มแหบหลุดหัวเราะพรืดยาว เดชะบุญไม่มีขี้หมากองอยู่แถวนั้น
ไร้เสียงตอบรับจากเจ้าของนาม ‘สิง’ เจ้าตัวเพียงชันเข่าหยัดร่างขึ้นโชว์ลาดไหล่กว้างสมชายแก่คู่สนทนาท่ามกลางความเงียบงันในวัยเบญเพส เรียกอารมณ์ฉุนเฉียวของร่างหนาเจ้าของเสียงแหบทุ้มให้เดือดปุด
“ถามไม่ตอบ หยิ่งนะมึง”
แม้จะอารมณ์เสียกับแผ่นหลังโปร่งที่เผชิญ แต่กลับเลือกที่จะเอ่ยแซว เหตุเพราะภายในใจตระหนักได้ถึงความวูบไหวบางอย่างที่ไม่ปกติ ฉุดให้บางสิ่งภายในสะท้านวูบ
เจ้าของร่างโปร่งเพียงไหวไหล่น้อยๆ
“ไอ้เงิน กู...ต้องไปแล้ว” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงลังเลปนหวาดหวั่น
“ไป? ไปไหนวะ? อย่าบอกว่ามึงปวดขี้” เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงล้อเลียนเต็มสตรีม หมายปลุกเร้าบรรยากาศหม่นที่ลอยตลบอบอวลจนน่าอึดอัด
เจ้าของร่างโปร่งเพียงผินหน้ากลับหยัดยิ้มหมองเศร้า เสี้ยวหน้าขาวเนียนของสิงมีแววหม่นอย่างเห็นได้ชัด และเป็นเพียงภาพเดียวที่เงินจดจำได้ ก่อนสิงจะเดินจากไป
“สิง! ไอ้สิง! เชี่ยสิงงงงง!” แม้จะร้องตะโกนดังเท่าไหร่ ร่างนั้นก็ไม่เคยหันหลังกลับ มีเพียงคำพูดเดียวที่สะท้อนก้องอยู่ในหัวซ้ำไปซ้ำมา
“ทะเล...กูชอบทะเล ช...ช่วย....” แล้วขาดหายไปก่อนจะจบประโยค
รองเท้าผ้าใบสีน้ำเงินเข้มหยุดอยู่กลางชานชาลารถไฟ พร้อมตั๋วโดยสารซึ่งมีหาดใหญ่เป็นจุดหมายปลายทาง สายตากวาดมองผู้คนคราคร่ำต่างเดินสวนกันไปมาอย่างขวักไขว่ เตรียมออกเดินทางไปยังจุดหมายที่แตกต่าง เพื่อนกลุ่มหนึ่งส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวอย่างตื่นเต้นอยู่ข้างขบวนรถไฟด่วนพิเศษสาย 35 มุ่งตรงสู่หาดใหญ่รอบเวลา 14.35 น.
เงินก้มมองตั๋วในมือระบุเลขขบวน ‘รถเร็ว’ สาย 171 ออกเดินทางเวลา 13.00 น. สลับกับนาฬิกาข้อมือ มีเวลาอีกราวครึ่งชั่วโมงก่อนรถไฟจะแล่นออกจากสถานี จึงตัดสินใจเดินไปทิ้งตัวลงบนม้านั่งที่ว่าง ปลดกระเป๋าเป้สีดำลงข้างตัว ควานหาหมากฝรั่งรสมิ้นต์ในกระเป๋าแจ็กเก็ตสีเขียวขี้ม้าที่มักมีติดตัวอยู่เสมอมาเคี้ยวหยุบหยับฆ่าเวลา หยิบหูฟังสีขาวสะอาดเสียบเข้าหูข้างขวา
เสียงหวูดเตือนครั้งที่ 1...
เงินเหลือบมองผู้คนเดินที่ผ่านไปมา กระทั่งสบเข้ากับเด็กชายตัวเล็ก ผิวขาวผ่องตากลมโตแป๋วคู่หนึ่งจ้องเขาไม่วางตา จำต้องเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย ก่อนจะรั้งสายตากลับมายังต้นขาอวบของตัวเองที่สั่นดิ๊กๆโดยไม่รู้ตัว ไม่ต้องใช้หมองนั่งมาธิเหมือนอิ๊กคิวซัง ก็เข้าใจได้ทันที
เสตามองตอบดวงตากลมแป๋วเล็กคู่นั้น พลางหยัดยิ้มเก้อๆ กลับได้รับรอยยิ้มมิดตาหยีตอบกลับ ก่อนเจ้าตัวเล็กจะถูกชายหนุ่มวัยกลางคนลากตัวจากไป
‘มึงหยุดสั่นขาซักทีได้มั้ยวะไอ้เงิน กูเวียนหัวตาลาย จะอ้วก’
‘แพ้ท้องหรือเปล่าไอ้สิง’
‘แพ้ท้องพระบิดามึงสิเงิน กูเป็นผู้ชาย ไอ้หน้าหมี...ถามจริงมึงสั่นขาเงี้ย ไม่เมื่อยบ้างหรือไงวะ’
‘เมื่อยตรงไหนวะไอ้โต เป็นการบริหารกล้ามเนื้อขา มึงลองดูบ้างสิ’
‘เอาจริงๆ’
‘กูชินจนเป็นปกติไปแล้วว่ะ ฮ่าๆ’
‘ถุ๊ยยยย ไอ้เงินเอ้ยยย...ปกติสำหรับมึง แต่ไม่ปกติสำหรับคนอื่น นั่งสั่นขาดิ๊กๆเป็นเจ้าเข้า ใครก็มองว่าประหลาด’
‘แล้วมึงล่ะเชี่ยสิง...’
‘ไม่ กูชิน เห็นมึงสั่นขาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่...’
‘แต่กูรำคาญลูกกะตา ไอ้สลัด! อีกอย่าง จะเรียกสิง หรือเรียกโต มึงก็เอาสักชื่อ ถ้าให้ดีก็เรียก สิงโตเต็มๆไปเลยไอ้ห่ารากเอ้ยยย’
นึกย้อนกลับไปให้ต้องคลี่ยิ้มออกโดยไม่รู้ตัว ไอ้สิงโตคือเพื่อนสนิท อ๊ะๆ แต่ไม่ใช่คิดไม่ซื่อนะ เพราะถ้าจะให้พูดจริงๆแล้ว สำหรับเขา สิงโตคือพรหมลิขิต เป็นคนเดียวกับที่เขาเคยฝันถึงอยู่บ่อยครั้งเมื่อเยาว์วัยแน่นอน เขามั่นใจแม้จะจำได้เพียงเสี้ยวหน้าด้านข้างที่หม่นเศร้า กับเสียงทุ้มนุ่มที่บาดลึกก็ตาม
อีกอย่าง ตั้งแต่เขารู้จักมัน เขาก็ไม่เคยฝันถึงคนชื่อ ‘สิง’ อีกเลย...
และเขาได้ตัดสินใจแล้ว หลังจากการเดินทาง เขาจะสารภาพความรู้สึกที่มีทั้งหมดกับมัน...
ถึงแม้จะยังไม่ค่อยมั่นใจ ถึงแม้ผู้ชายสองคนมันจะดูแปลกๆไปหน่อย และถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าผู้ชายสองคนมันทำกันยังไง? เอ่อ เขาไม่ได้หื่นนะ เพียงแค่...เขาจริงจังในความสัมพันธ์นี้ต่างหาก ก็ต้องคิดไว้บ้าง
เสียงหวูดเตือนครั้งที่ 2…
เงินเลือกทะเลเป็นจุดหมายปลายทาง...
จริงๆเขาชอบน้ำตก ซกเล็กนะ แซ่บดี...เอ้ยย น้ำตกมันเย็นสบายต่างหาก เขาชอบความรู้สึกครั้งนั่งเล่นอยู่บนโขดหินริมน้ำตกขนาดใหญ่ ทอดกายเปลือยเปล่ารับสัมผัสละอองขนาดเล็กที่ตกจากที่สูงแล้วสาดกระเซ็นกระทบทุกอณูทั่วผิวกายจนเปียกชุ่ม แต่ที่เลือกทะเลเพราะการเดินทางครั้งนี้...มันเกิดขึ้นเพราะไอ้สิง
‘ทะเล กูชอบทะเล’
เงินตัดสินใจหยัดตัวลุกขึ้นบิดตัวคลายความเมื่อยล้า และวางความคิดทุกอย่างลง ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังขบวนรถไฟสาย 171 อันเป็นจุดหมายปลายทางในการเดินทาง
กระชับแจ็คเก็ตสีเขียวขี้ม้าแนบตัว ก่อนคว้ากระเป๋าเป้สีดำสนิทขึ้นมาสะพายข้าง ปากเคี้ยวหยุบหยับรับรู้รสหมากฝรั่ง สาวเท้าออกเดิน
แต่กลับต้องชะงักเมื่อรู้สึกถึงแรงรั้งน้อยๆที่ชายเสื้อ ปรายตามองสบร่างเล็กๆยืนเบะปากกลั้นสะอึกสะอื้นฮึกๆ ร่างหนาพลันแข็งเกร็งขึ้นมาในทันใด
“ฮึก...พ...พ่อ...”
‘พ่อบ้านแกสิ ไอ้เปี๊ยก! กูยังไม่แก่ขนาดมีลูกโว้ยย’ เงินสบถในใจ
“พ...พ่อ...ห...หาย...ฮึก”
อารมณ์เดือดปุดกับเส้นเลือดปูดโปนข้างขมับพลันค่อยจางหาย เมื่อเข้าใจถึงสิ่งที่ไอ้เปี๊ยกตัวกระจ้อยเอ่ยสะอื้น รอยยิ้มมิดตาหยียังคงติดในความทรงจำ แต่โทษใครไม่ได้ เพราะเสือกโง่ไม่ทันได้สังเกตลักษณะชายที่มากับเด็กคนนี้เอง มือเล็กๆยังคงกำชายเสื้อแจ็คเก็ตสีเขียวขี้ม้าแน่นจนยับยู่ ราวกับจะยึดเป็นที่พึ่ง
ทอดตามองร่างเล็กที่สั่นน้อยๆพลันให้เกิดสงสารขึ้นจับใจ เสียเพียงอย่างเดียวว่า...
เงินคุยกับเด็กไม่เป็น! เวรตะไลไหมล่ะ
‘กูเกลียดเด็กโว้ยยยยยย’
เป็นเสียงจากความในใจของเงินผู้เป็นโรคไม่ถูกกับเด็ก ไม่รู้จะพูดจะวางตัวยังไง อย่าหวังว่าจะเห็นเขาคุยเล่นน่ารักๆปัญญาอ่อนแลบลิ้นแบร่ให้เด็กหัวเราะคิกคัก ร่างถึกหนาแต่ทำตัวปัญญาอ่อน แค่คิดสภาพเขาก็รับตัวเองไม่ได้ เพราะฉะนั้นเวลามีเด็กเข้าหาจึงมักเกิดตัวแข็งทื่อขึ้นมาโดยพลัน
สายตาปราดเหลือบเห็นกระดาษยับยู่ในมือเล็กๆที่ทิ้งลงข้างตัว จึงตัดสินใจนั่งยองๆ มือใหญ่เอื้อมคว้าแขนเจ้าเปี๊ยก หยิบกระดาษสีขาวมาเพ่งมอง จุดหมายปลายทาง ‘ชุมทางหาดใหญ่’ กระแทกเข้าตาอย่างจัง
เงินเหยียดตัวขึ้นสอดส่ายสายตาล่อกแล่กมองหาตัวช่วย สะดุดเข้ากับนายสถานีในชุดสีกากีหลบอยู่ข้างขบวนรถสาย 171 ไม่ไกล ก้าวเท้าหมายเข้าไปขอความช่วยเหลือ แต่ต้องชะงักอีกครั้ง เมื่อเจ้าตัวเปี๊ยกกระโดดกอดต้นขาอวบที่มีผ้ายีนส์เนื้อหนากั้น
“เฮ้ย ไอ้เปี๊ยก ปล่อยสิวะ”
เขาไม่รู้ว่านี่เป็นวิธีการพูดกับเด็กที่ถูกต้องหรือเปล่า สั้น ห้วนและกระชับตรงประเด็น เข้าใจง่าย คิดเหมาเองเสร็จสรรพว่าคงได้อยู่นะ
แต่เจ้าตัวจ้อยกลับส่ายหัวดิ๊ก เขาสะบัดขาเบาๆกะให้มันปล่อย แต่มันกลับยึดแน่นอย่างกับลูกหมีโคอาล่า กลายเป็นว่าหัวมันกระเด้งกระดอนกระทบต้นขาดึ๋งดั๋ง
ประสาทจะแดก นี่มันอะไรกับเขานักหนา เขาไม่ใข่แม่กาเหว่า และไอ้เปี๊ยกมันก็ไม่ใช่ลูกกาที่เพิ่งฟักออกจากเปลือกไข่ แต่ไหงมันถึงติดเขาแจอย่างนี้
ถ้าจะพูดจริงๆแล้ว เขาซะอีกที่ใกล้เคียงอีกาเพราะสีผิวที่ดำคล้ำ
เงินถอนหายใจยาวพรืดอย่างปลงๆ เอื้อมมือไปผลักหัวทุยๆของเจ้าตัวเล็กให้ห่างจากต้นขาเงยขึ้นสบมองดวงหน้า ตาเล็กๆยังคงสั่นไหวระริกมีหยาดน้ำเอ่อคลอ
เงินขบริมฝีปากอย่างช่างใจ
“เดี๋ยวพาไปหาพ่อ ปล่อยก่อน”
แม้เงินจะพยายามพูดอย่างนุ่มนวลที่สุด มันก็ยังออกมาเรียบแข็งอยู่ดี แต่กลับเป็นผลเมื่อมือเล็กๆคลายออกจากต้นขา มือข้างหนึ่งยังยื้อผ้ายีนส์เนื้อหนาไว้
ดวงตากลมโตใสแจ๋วยังคงจ้องชายร่างสูงบึกไม่วางตา แม้ร่างจะดูถึกทะมึนเหมือนโจรห้าร้อยกระจอกๆ ในสายตาของเด็กคนอื่นอาจกลัวจนร้องไห้จ้า แต่ภายในดวงตาเล็กๆกลับจดจำเพียงรอยยิ้มเป็นมิตรที่มอบให้ตน ทั้งที่กลัวแทบตายแต่ก็ยังเผลอจ้องเพราะหน้าขาที่สั่นไหว
ดวงหน้าน้อยๆยังหลงเหลือร่องรอยเปียกชื้นจากคราบน้ำตา นัยน์ตาคลอเคลียไปด้วยน้ำใสๆที่พร้อมจะแตกไหลพรั่งพรูออกมาได้ทุกเมื่อ แก้มขึ้นสีชมพูระเรื่อจากการกลั้นสะอื้นฮึก ตัดกับผิวขาวๆจนเห็นเด่นชัด
ดวงตาคมสบมองใบหน้าเล็กราวกับต้องมนต์สะกด ก่อนที่จะได้คิดทบทวนนิ้วใหญ่หนาก็เอื้อมไปเกลี่ยคราบน้ำตาที่ข้างแก้มบางเบา ผิวนุ่มนิ่มช่างต่างกับนิ้วมือสากกระด้างของหนุ่มวัยฉกรรจ์อย่างเงินโดยสิ้นเชิง จนหวั่นว่าจะไปสร้างริ้วรอยให้กับใบหน้าใสๆเข้า
ดวงหน้าเล็กเผยรอยยิ้มน้อยๆ แต่กลับทำให้ร่างสูงใหญ่ชะงักกึก เป็นรอยยิ้มเดียวกับที่เขาได้รับบนม้านั่งบนชานชาลารถไฟเมื่อไม่กี่นาทีก่อน แต่เมื่อได้พิศมองใกล้ๆ มันกลับทำให้เขาคุ้นเคยอย่างประหลาด รู้สึกถูกชะตาและทำให้เขาคิดถึง...
รอยยิ้มหม่นเศร้าบนเสี้ยวหน้าด้านข้าง
เสียงหวูดเตือนครั้งที่ 3…บ่งบอกว่าเหลือเวลาอีกเพียง 5 นาที รถไฟจะแล่นออกจากสถานี
...และเรียกร่างสูงใหญ่ให้ตื่นจากภวังค์ ส่ายหัวพรืดบอกกับตัวเองว่าเป็นไปไม่ได้ ความคิดสับสนปนเปจนมั่วเมจับต้นชนปลายไม่ถูก
หรือจะเป็นลูกของไอ้สิงโตที่แอบไปไข่ทิ้งไว้?
หรืออาจเป็นญาติห่างๆ?
จะอะไรก็แล้วแต่ เวลาก็เหลือน้อยลงทุกที ร่างหนาเหลือบมองนายสถานีคนเดิมทำหน้าที่โบกขบวนรถแนะนำผู้โดยสารอย่างวุ่นวาย ภายในสมองประมวลผลหาทางช่วยเหลือเจ้าตัวจ้อยที่ยืนนิ่งขยำกางเกงยีนส์สีเข้มแน่นสลับกับความคิดว่าไอ้เปี๊ยกคือลูกไอ้เพื่อนซี้จนตีรวน พลันจุดหมายปลายทางบนตั๋วในมือเล็กๆผุดขึ้นในสมอง
‘ชุมทางหาดใหญ่’
เวลาบีบคั้นเข้ามา เสมองขบวนรถกับนายสถานีทำหน้าที่เร่งผู้โดยสารระลอกสุดท้ายสลับกับไอ้เปี๊ยกอย่างลังเล ตัดสินใจคว้ามือเล็กๆโฉบถวาวิ่งสุดตัวไปยังท้ายขบวนได้ทันก่อนรถไฟจะแล่นออกในนาทีต่อมา
เมื่อมีจุดหมายปลายทางเดียวกันจะแปลกอะไรเล่าถ้าพ่อของเด็กคนนี้จะอยู่บนขบวนรถไฟคันนี้
มันอาจเป็นสิ่งที่เงินคิดไปเอง แต่นาทีที่อุ้งมือใหญ่หนากระชับมือเล็กแน่นกลับรู้สึกเหมือนได้ฉุดรั้งไอ้สิงในความฝันกลับคืน พร้อมเสียงกระซิบแว่วดังมาตามสายลมว่า...
...พาผมไปด้วย...
ชั่วขณะนั้น เงินเชื่อในการตัดสินใจของตัวเองอย่างยิ่งยวด พร้อมความรู้สึกที่เหือดหายไปนานจากความทรงจำที่ปะทุขึ้นจนแทบทะลัก
แต่ความเชื่อมั่นกลับคงอยู่ได้ไม่นาน เมื่อรถไฟแล่นออกจากสถานีได้สักพัก ร่างสูงหอบหายใจเหนื่อยแฮ่กได้พักใหญ่ ก่อนตัดสินใจเดินหาที่นั่ง ตระหนักได้ว่าควรตามหาพ่อให้ไอ้ตัวเล็กซะก่อน จึงคว้าตั๋วโดยสารในมือเล็กๆขึ้นมาเพ่งมองเลขที่นั่ง กลับต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจวิงเวียนคล้ายจะเป็นลมอยู่รอมร่อ เมื่อปรากฏตัวหนังสือ ‘รถด่วนพิเศษ’ สาย 35 บนตั๋วสีขาวสะอาดตา
ชิบหายแล้วมั้ยล่ะ ไอ้เงิน!