ซุบซิบ ซุบซิบ
ในขณะที่ผมจับชายเสื้อก้มหน้าก้มตาเดินตามหลังคนตัวสูงผ่านเข้ามาในรั้วโรงเรียน สายตาของผู้คนรอบข้างหันมามองพวกเราอย่างสนอกสนใจและพากันกระซิบคุยกัน เมื่อผมลองเงยหน้ามองคนรอบข้างดู พวกเขาก็หลบสายตาของผมไป ทำอย่างกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เรื่องที่ผมกลัวนั้นได้เกิดขึ้นแล้ว…
ปึ้ก
“อ๊ะ!” ผมที่เอาแต่ครุ่นคิดกับสิ่งรอบตัว ก็ไม่รู้เลยว่าคนตัวสูงหยุดฝีเท้าลงและชนเข้ากับแผ่นหลังกว้าง ๆ ของเขาเข้าเต็ม ๆ “ธ เธอจะหยุดทำไมไม่บอกเลยล่ะ”
หมับ
“มาเดินข้าง ๆ เรานี่” ขุนศึกคว้ามือผมมาประสานเข้าไว้ด้วยกันและดึงให้ผมก้าวขึ้นมายืนอยู่ข้าง ๆ แล้วเริ่มออกเดินอีกครั้ง การกระทำนั้นของคนตัวโตทำให้ผมตกใจอยู่ไม่น้อยเลย แต่คนที่แปลกใจมากกว่าผมก็คงเป็นคนรอบข้างนั่นแหละ จากที่ซุบซิบกันเฉย ๆ ก็พูดกันเสียงดังมากขึ้น บ้างก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปพวกเรา บ้างก็ร้องออกมาเสียงดังตอนที่ขุนศึกจับมือผมไว้
ในขณะที่ขุนศึกกล้าหาญที่จะแสดงออกให้ทุกคนรู้ถึงตัวตนที่ตัวเองเป็น สิ่งที่ตัวเองทำ ผมกลับรู้สึกกลัวสายตาคนอื่นจนไม่กล้าทำอะไร ในตอนที่มือใหญ่ ๆ นั่นประสานเข้ากับมือของผมอยู่แบบนี้ผมรู้สึกอุ่นใจและสบายใจ รู้สึกว่ามันจะต้องไม่เป็นไรแน่ ๆ
แต่ก็ไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้ตอนที่เขาไม่ได้อยู่ด้วยจะเป็นยังไงบ้าง…
“เธอไม่ต้องไปฟังเสียง ไม่ต้องไปสนใจสายตาของคนอื่นหรอกนะ” ขุนศึกกระชับมือข้างที่จับแน่นกว่าเดิมและพูดขึ้น “ฟังสิ่งที่เราพูด สนใจสายตาของเราคนเดียวก็พอ ไม่งั้นเราจะถือว่าเธอนอกใจเรา”
“อื้อ…เข้าใจแล้ว”
“ถ้าเธอนอกใจเรา เราจะทำให้เธอนึกออกเองว่าเรื่องเมื่อคืนทำให้ตอนนี้เราเป็นอะไรกัน”
“พ พูดมากน่า เราเข้าใจแล้วไง” ประโยคนั้นของเขามีอิทธิพลกับผมมากเสียจนรู้สึกเหมือนหน้าระเบิด มีไอออกมาจากหูจากจมูก และแดงแจ๋เป็นลูกตำลึง
ขุนศึกคนนั้นน่ะ ร้ายได้ขนาดนี้เลยนะ
วันนี้ผมไม่ได้นั่งกับพวกเพื่อน ๆ ที่โต๊ะในสวนหลังโรงเรียนเหมือนอย่างเคย ผมเดินมาขึ้นลิฟต์ไปยังห้องเรียนพร้อม ๆ กับขุนศึก ตลอดเวลาหลังจากที่เราจับมือกัน ไม่มีตอนไหนเลยที่ขุนศึกยอมปล่อยแม้ตอนนี้เหงื่อจะไหลออกมาจนชุ่ม
แต่ผมก็ต้องหน้าถอดสีเมื่อเดินมาถึงหน้าลิฟต์…
บนป้ายประกาศมันมีรูปของพวกเรากอดกันเมื่อวานนี้ ถูกถ่ายจากมุมหนึ่งของโรงอาหาร มีตัวอักษรเขียนเอาไว้ว่า ‘ไส้เดือนผสมพันธุ์’
“ไม่เป็นไรนะ…เราไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อยนี่” ขุนศึกพูดพร้อมกับกระชับมือให้แน่นขึ้นกว่าเดิมและหันมายิ้มให้
“ขอบคุณนะ”
เมื่อถึงเวลาเรียนเราจึงต้องแยกย้ายไปอยู่ในห้องเรียนของตนเอง ถึงแม้จะตั้งอยู่ข้างกันแต่ผมก็รู้สึกวังเวงและโดดเดี่ยวอย่างช่วยไม่ได้ ไม่ใช่แค่เพราะคิดถึงเขาแต่เป็นเพราะ…คนรอบข้างหลายคนที่ปฏิบัติกับผมเปลี่ยนไป โดยเฉพาะเพื่อนในกลุ่ม
ถึงพวกเราจะนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเดิมอย่างเคย แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนโต๊ะของผมตั้งอยู่ห่างกับโต๊ะของเพื่อน ๆ ในกลุ่มออกไปแม้ขอบโต๊ะของเราจะชิดสนิทกัน
ไม่มีเพื่อนในกลุ่มคนไหนคุยกับผม…เมื่อผมพยายามเข้าวงสนทนาด้วย ก็เห็นได้ชัดว่าถูกเมิน
ไม่หรอกน่าเซียน แกน่ะคิดมากไปเอง มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก
ผมคิดอย่างนั้นเพื่อหวังจะปลอบตัวเอง…
เวลาพักเที่ยง คาบก่อนหน้านั้นผมเผลอหลับไปเพราะความอ่อนล้าจาก ’ครั้งแรก’ ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน โชคดีที่อาจารย์ท่านนี้ใจดีถึงไม่ว่าอะไร คงเข้าใจว่าผมทำกิจกรรมต่าง ๆ หนักมากไปเลยเพลีย แต่ก็ต้องรู้สึกหวิวในใจอีกครั้งเมื่อตื่นขึ้นมาเพื่อน ๆ ในกลุ่มของผมได้หายไปแล้ว…
โชคดีที่เมื่อเดินออกจากห้องมาขุนศึกยังไม่เลิกเรียน ผมเลยนั่งรอที่ระเบียงหน้าห้อง ขุนศึกนั่งอยู่ที่โต๊ะหน้าห้องติดกับประตู เมื่อผมเดินออกมานั่งรอที่ระเบียงเขาจึงสังเกตเห็นผมได้ในทันทีและโบกมือส่งมาพร้อมกับรอยยิ้มบาง
วันนี้ผมได้ไปกินข้าวกับขุนศึกและเพื่อน ๆ พวกเขาอ้าแขนต้อนรับผมเป็นอย่างดีและอบอุ่น แต่แน่นอนว่าโรงเรียนนี้ไม่ได้กว้างใหญ่ขนาดจะหากันไม่เจอ โรงอาหารเล็ก ๆ นี่แค่ผมเดินมาซื้อข้าวก็เจอกับเพื่อนที่หายไปแล้วล่ะ
พวกเขาพูดคุย และหัวเราะกันโดยไม่มีผมอยู่ในนั้น เมื่อสังเกตเห็นผมก็พยายามหลบสายตาหรือพยักเพยิดหน้า ส่งสายตากับคนในกลุ่มให้หันมามองและหันกลับไปพูดคุยกันตามเดิม
ขุนศึกที่เดินตามมาเมื่อเห็นเข้าก็เอาแขนมาโอบไหล่ผมให้เขยิบเข้าไปชิดพร้อมกับพูดปลอบว่า ‘ไม่เป็นไร ไม่นานมันจะดีขึ้นนะครับ’
ผมพยักหน้าและยิ้มอย่างฝืน ๆ แต่ก็เชื่อในคำพูดของคนข้างกาย
สามวันถัดมา ผมสนิทกับเพื่อน ๆ ของขุนศึกมากขึ้นกว่าเดิม จากไปนั่งที่โต๊ะในสวนหลังโรงเรียนตอนเช้ากลายเป็นโต๊ะประจำในโรงอาหารของกลุ่มขุนศึกแทน
จากโต๊ะที่เคยนั่งข้างกันมาตลอดตั้งแต่มอสี่กลายเป็นผมย้ายไปนั่งโต๊ะแถวหน้าสุดติดประตูเหมือนที่ขุนศึกนั่งเพื่อรอโบกมือและส่งยิ้มทักทายเวลาเขาเดินไปห้องน้ำหรือไปที่ไหนสักที่
จากที่รู้สึกแปลก ๆ เมื่อเพื่อนร่วมโต๊ะทานข้าวเปลี่ยนหน้าไปตอนนี้เริ่มคุ้นชินจนเป็นธรรมชาติมากขึ้นกว่าสามวันที่แล้ว
แต่ทุก ๆ ครั้งที่เดินผ่าน หูของผมยังคงเงี่ยฟัง สายตายังเหลียวมอง คาดหวังให้พวกเขาทักทายผมสักนิดก็ยังดี ทว่าสิ่งที่ได้ยิน คือ คำนินทาว่าร้ายอย่างที่ไม่คิดว่าจะเคยได้ยินจากปากของคนที่เป็นเพื่อนกันพูด สิ่งที่ได้เห็น คือ สายตารังเกียจเดียดฉันท์หรือขยะแขยงกันอย่างที่ไม่คิดว่าจะคนเป็นเพื่อนกันจะมองแบบนั้นของแบงค์
หัวใจของผมกระตุกวูบและห่อเหี่ยวทุกครั้งได้ยินคำพูดพวกนั้น เห็นภาพพวกนั้น
คำว่า เพื่อน ตลอดระยะเวลาสองปีที่ผ่านมาของพวกเราทุกคน… ถูกกลบลงหลุมเพราะคนที่เป็นหัวโจกซึ่งรังเกียจคนอย่างพวกเราแบบแบงค์เพียงคนเดียว…
เจ็ดวันผ่านมาแล้ว วันนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากกว่านี้นอกจากความสนิทชิดเชื้อระหว่างผมกับเพื่อน ๆ ของขุนศึกที่สนิทกันมากขึ้นเรื่อย ๆ พวกเพื่อน ๆ จะคอยเผาเรื่องของขุนศึกเวลาอยู่กับพวกเขาให้ผมฟังว่าเพ้อถึงผมบ่อยขนาดไหน มันเป็นอีกด้านหนึ่งของคนตัวโตที่ไม่เคยคิดว่าจะมี
แต่ถ้าสิ่งใหม่นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลง…ก็คงมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจริง ๆ นั่นแหละ
กลับมาถึงห้องเรียนหลังจากกินข้าวเที่ยงก็เจอโต๊ะของตัวเองล้มอยู่ หนังสือในเก๊ะใต้โต๊ะกระจัดกระจาย เก้าอี้คว่ำอยู่ห่างออกไป โต๊ะของผมถูกขีดเขียนด้วยปากกาเคมีและลิขวิดด้วยถ้อยคำหยาบคายมากมาย มีแต่ถ้อยคำที่แสดงความเกลียดชัง รังเกียจ
บนกระดานหน้าห้องก็ถูกเขียนไว้ตัวเบ้อเริ่มว่า ‘เซียนยอดชาย ขายตูด ขุดทอง’ และถ้อยคำอื่น ๆ มากมาย ในขณะที่เรียนอยู่ผมก็มีอาจารย์ประจำชั้นมาเรียกให้ไปพบหลังเลิกเรียนที่ห้องแนะแนว
ผมส่งข้อความบอกขุนศึกให้รู้ และขุนศึกก็บอกว่าให้รอเขาเลิกเรียนแล้วเราก็ไปหาอาจารย์พร้อมกันโดยที่เขารออยู่ด้านนอก
พวกเขาถามผมถึงเรื่องราวต่าง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมลำบากใจที่จะบอกในสิ่งที่พวกเขาก็รู้อยู่แล้ว และแน่นอนว่าพวกเขาไม่เข้าใจ เขายังบอกอีกต่างหากว่าถ้ายังไงให้ผมลองไปพบกับจิตแพทย์ดู เขาสามารถแนะนำให้ผมได้ว่าจะรักษาได้อย่างไร
น่าตลกไหมล่ะที่ผมจะต้องไปปรึกษาจิตแพทย์เกี่ยวกับตัวตนจริง ๆ ที่ผมเป็น…ผมควรจะเป็นคนอื่นใช่หรือเปล่านะ คนรอบข้างถึงจะพอใจ ? แถมหาว่าผมป่วยทางจิตอีกต่างหาก
เมื่อคุยเสร็จ ผมขอไปนั่งพักที่ห้องขุนศึก ผมรู้สึกเหนื่อยและอ่อนล้าจนเกินกว่าจะคิดอะไร แต่ในหัวก็วนเวียนแต่เรื่องเดิม ๆ คือเรื่องนี้
โชคดีที่บนเตียงนี้มีเขากอดผมไว้จากด้านหลัง พอหันกลับไปใบหน้าของผมก็จมลงกับอกแกร่งนั่นอีกครั้ง พยายามหาที่ซุกราวเก็บเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ หาความอบอุ่น
โชคดีที่ผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว
หนึ่งเดือนผ่านมาแล้ว…
โต๊ะของผมแทบไม่เหลือพื้นที่อะไรให้เขียนอีก ทว่ารอยเก่า ๆ บนนั้นมีร่องรอยของการถูกลบออกไป ไม่รู้เหมือนกันว่าใครทำ แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีอยู่บ้าง
ขุนศึกผ่านมาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องของผมพอดี เลยเดินเข้ามาพร้อมกับหยิบแปรงลบกระดาน ลบทุกอย่างที่ถูกเขียนไว้บนนั้นทิ้งไปด้วยตัวเอง ก่อนจะหันมามองไปยังกลุ่มเด็กหลังห้องที่ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ก่อนเดินมาลูบหัวและยิ้มให้
ราวกับจะบอกว่าไม่เป็นไร ยังมีเขาอยู่ตรงนี้
ตอนแรกผมนึกว่าตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ทุก ๆ อย่างมันดีขึ้น แต่เปล่าเลย…ทุก ๆ อย่างมันดูจะแย่ลงเพราะคนที่เกลียดผมเพียงคนเดียวอย่างแบงค์
ถึงจะแค่คนเดียวแต่ก็เกลียดผมมาก ๆ เสียจนมันมีอิทธิพลกับคนรอบข้างให้ทำและรู้สึกแบบเดียวกัน
ยิ่งเวลาผ่านไป นานวันเข้าคนพวกนั้นก็ยิ่งเข้ามายุ่งวุ่นวายกับผมมากขึ้นเท่านั้น คอยตะโกนโหวกเหวกเหน็บแนมผมเวลาอยู่ในห้อง คอยพยายามทำให้ผมเป็นเหมือนตัวตลกในสายตาคนอื่น ตลอดเวลาที่เจอหน้า
อึดอัดจนรำคาญ…
วันนี้อาจารย์ประจำชั้นเรียกผมไปพบอีกแล้ว ทว่าไม่ได้ขอให้ไปพบตอนหลังเลิกเรียนแต่ให้ไปหาตอนหลังทานข้าวเสร็จ
“เธอ…อย่าพึ่งคิดมากนะ” ขุนศึกดึงมือของผมไปกุมไว้และใช้นิ้วโป้งไล้ที่หลังมือไปมา วาดยิ้มส่งมาให้เป็นกำลังใจ “ไว้ค่อยคิดหลังจากพบอาจารย์แล้วก็ได้ แต่ตอนนี้เรายังไม่รู้เลยว่าอาจารย์จะพูดเรื่องอะไร ฉะนั้นอย่าพึ่งคิดมากไปก่อนล่ะ”
“ใช่เว้ย มึงอย่าคิดมาก มึงไม่ได้ตัวคนเดียวนะเซียน มึงยังมีพวกกูแล้วก็ผัวมึงอีก”
“ถูกต้องเลยเว้ย มีผัวเป็นชายอันดับหนึ่งของโรงเรียนจะกลัวอะไร!” เพื่อน ๆ ในกลุ่มของเขาพากันเข้ามาให้กำลังใจ บางคนก็กอดคอ บางคนก็ยีหัวจนผมผมยุ่งไปหมด
“ง เงียบเลย…แต่ก็ขอบใจพวกมึงมากนะ”
“เดี๋ยวเราเดินไปด้วยนะ”
หลังจากที่ทานข้าวเสร็จ ผมก็ขอตัวเดินแยกออกมาก่อนเพื่อไปพบกับอาจารย์ที่ห้องพักครูโดยมีขุนศึกจับมือเดินไปด้วยเป็นเพื่อน
“ขอบคุณนะศึก อยู่กับเซียนตลอดเลย” ผมเอ่ยปากขอบคุณอีกฝ่ายในสิ่งที่ตนเองได้รับมาตลอดทั้งก่อนหน้าที่จะเป็นแฟนกันหรือหลังจากนั้น ขุนศึกยังคงเป็นขุนศึกเหมือนเดิมเสมอ คนที่จับมืออยู่ข้าง ๆ และเดินไปพร้อม ๆ กับผม
“ครับผม แฟนศึกทั้งคน ถ้าไม่ให้อยู่กับแฟนแล้วจะให้ไปอยู่กับใครที่ไหนล่ะ”
“ถ้าเธอไปอยู่กับคนอื่น เราจะตามไปบีบคอเธอ”
“ไม่มีวันนั้นหรอกครับ”
ตลอดทางที่เราจับมือเดินกันไปเรื่อย ๆ สู่จุดหมาย เราต่างยิ้มและหัวเราะให้กัน ผมที่เป็นคนชอบคิดมากมีเขาคนนี้คอยเป็นยาแก้ปวด คลายอาการปวดหัวให้หายไปเป็นปลิดทิ้ง เรื่องราวต่าง ๆ ที่เคยกังวลก็หายไปจากความคิด มีเสียง รอยยิ้ม และใบหน้าของเขาเข้ามาแทนที่
แต่ก็อย่างที่เขาบอกกันว่าช่วงเวลาที่มีความสุขน่ะมันสั้น ดำรงอยู่ได้ไม่นานก็มีเรื่องชวนปวดหัวเข้ามา
“เฮ้อ ทำไมคนเรามันนิยมขุดทองกันจังเลยว้า” เสียงทุ้มที่แสนคุ้นเคยเอ่ยขึ้นพร้อมกับร่างสูง ๆ ของแบงค์ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเดินเคียงบ่าเคียงไหล่ไปไหนต่อไหนด้วยกันตลอด เดินมาพูดอยู่ข้าง ๆ หูพร้อมกับกลุ่มเพื่อนของเขาที่เดินตามมาด้านหลัง “ก็รู้อยู่หรอกว่าเศรษฐกิจมันแย่ ๆ อยู่บ้างแต่ก็ไม่คิดว่าคนสมัยนี้มันจะอดอยากปากแห้งขนาดหันมาขุดทองกันขนาดนี้”
ประโยคเหล่านั้นถูกพูดขึ้นมาลอย ๆ แต่ฟังดูก็รู้ว่าเจตนาของแบงค์ที่เดินเข้ามาพูดแบบนี้คืออะไร
มือของขุนศึกกระชับแน่นขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่ส่งมา ทำปากบอกผมว่า ไม่ต้องไปสนใจ
“เฮ้ย ไอ้เซียน ช่วงนี้มึงขายขนมช่วยที่บ้านเหรอวะ ฟักทองบดอร่อยมั้ยวะ” ผมกลอกตาและเม้มปากแน่น มือข้างหนึ่งก็กำหมัดไว้จนเริ่มเจ็บ พร่ำบอกตัวเองในใจว่าให้อดทน
ขุนศึกคงจะเห็นว่าแบงค์ล้ำเส้นมายุ่งกับผมมากเกินไปเลยสลับที่กับผมและประจันหน้ากับอีกฝ่ายแทน ถึงเขาจะยิ้มให้กับอีกฝ่ายแต่ดูก็รู้ว่าตอนนี้ขุนศึกเขาอารมณ์เริ่มไม่ดีแล้ว
“อ้าว กูแค่เข้ามาคุยด้วยแค่นี้ทำเป็นหวงเหรอวะศึก ตามประสาเพื่อนไง” แบงค์พูดอย่างยียวนและเหยียดยิ้มที่มุมปาก
“คุยกับกูแทนก็ได้ คุยกับกูก็เหมือนคุยกับแฟนกูแหละ”
“อ้อ งี้นี่เอง…งั้นเป็นไงบ้างวะ ขุดทองไปกี่ล้านละ ระเบิดถังขี้ไอ้เซียนสนุกมั้ย เละเลยดิ”
“อ๋อ…ก็ฟิน ๆ ดีนะเสียงตอนแฟนกูโดนสว่านทิ่มหวานมากเลยหวะ ค่อยคุ้มค่าที่กูหมายตามาตั้งนาน แต่กูยังไม่เคยเจอทองเลยว่ะ มึงถามงี้แปลว่ามึงเคยขุดเจอหรอแบงค์ ไปขุดกับใครมาล่ะ” ร่างสูงตอบกลับไปอย่างยียวนยิ่งกว่าพร้อมกับยิ้มให้อย่างจงใจประสาท จนคนที่ตั้งใจเข้ามารังควาญชีวิตในตอนแรกอย่างแบงค์ไปต่อไม่เป็น
“ไอ้เหี้ยศึก!! ขุดกับพ่อมึ--” แถมหันมาตั้งใจจะดึงคอเสื้อ ง้างหมัดเตรียมจะต่อยลงไปบนแก้มขาว ๆ ของขุนศึก แต่ก่อนที่จะทำแบบนั้นแบงค์ก็โดนขุนศึกต่อยเข้าไปเต็มแรงจนหน้าหันและล้มลงไปกองกับพื้น ตามมาด้วยเสียงกรี๊ดเพราะความตกใจของคนรอบข้างที่เห็นเหตุการณ์
ผัวะ!
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นแววตาโกรธแค้นของขุนศึก คนที่ใจเย็นเป็นน้ำแข็งคนนั้นตอนนี้ร้อนอย่างกับไฟ
“เชี่ยแบงค์!” เมื่อเพื่อน ๆ ของแบงค์ที่เดินตามมาเห็นแบบนั้นก็รีบพากันวิ่งเข้ามาประคองเพื่อนและกันไม่ให้ขุนศึกเดินเข้ามาทำอะไร ในขณะที่เจ้าตัวกำลังสะบัดมือคลายความเมื่อยล้า
“ถ้าปากมึงพูดอะไรดี ๆ ไม่ได้กูแนะนำให้ไปหาหมอแล้วขอให้เขาเย็บปากมึงนะ หวังว่าจะเลิกยุ่งกับแฟนกูสักที”
“ถ้ากูจะเสือกมึงจะทำไมวะ! ไอ้ขุนศึก นักเรียนอันดับหนึ่งของโรงเรียนที่ใคร ๆ ก็ภาคภูมิใจนักภาคภูมิใจหนา ที่แท้มึงกับมันแม่งก็เป็นแค่หนอนแค่ไส้เดือน สัตว์ชั้นต่ำที่ไม่รู้แม่แต่เพศของตัวเอง!!”
“ไอ้แบงค์ มึงเงียบ พอได้แล้วน่า” เพื่อนคนหนึ่งรั้งและห้ามแบงค์ไว้เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายลุกขึ้นเตรียมกระโจนเข้ามาเอาคืนขุนศึกอย่างกับหมาบ้า “พอ ไอ้สัดพอ”
“ทำไมวะ มีเหตุผลอะไรที่กูต้องพอ ไอ้เหี้ยที่หลบอยู่หลังผัวมันสวมเขากูว่าเป็นเพื่อนกันมาเป็นปี ที่แท้แม่งก็เป็นพวกตุ๊ดพวกผิดเพศที่หลบซ่อนอยู่ในกลุ่มพวกกู! หรือว่ามึงเป็นพวกเดียวกันกับไอ้ตัวประหลาดพวกนี้หรือไง”
“ไอ้เหี้ยแบงค์ พูดเกินไปแล้วนะเว้ย” เพื่อนอีกคนเริ่มพูดบ้าง
“เกิดมาเป็นผู้ชายมันก็ต้องคู่กับผู้หญิง นี่อะไรวะเกิดมาเป็นผู้ชายเสือกชอบผู้ชายผิดแผกไปจากชาวบ้าน เสียชาติเกิดซะเปล่า ๆ ว่ะ ให้หมามันมาเกิดยังจะดีซะกว่า”
“มันผิดมากเหรอ…”
“หืม?”
“มันผิดมากเหรอวะ…” เสียงหนึ่งที่สั่นเครือดังขึ้น เจ้าของเสียงนั่นไม่ใช่ใครนอกจากคนที่ผมคอยปกป้องและให้ยืนหลบอยู่ด้านหลัง เซียนที่เนื้อตัวสั่นเทาก้าวขึ้นมาข้างหน้า ดวงตาวาววับเอ่อล้นไปด้วยน้ำตาที่เตรียมตัวไหลลงอาบแก้มได้ทุกเมื่อ
“การที่กูจะชอบใครสักคนหนึ่งมันผิดมากหรือไงวะแบงค์ กูถามจริง ๆ นะว่ากูไปฆ่าใครมาเหรอ”
“มันมีใครตั้งกฎเกณฑ์หรือนิยามไว้หรือไงว่ากูที่เกิดมาเป็นผู้ชายห้ามชอบผู้ชายด้วยกัน กูถามจริง ๆ นะว่าถ้าเกิดเป็นผู้หญิงที่ชอบผู้หญิงด้วยกันมึงจะมาทำตัวสถุน ๆ รังควาญเขาแบบนี้มั้ย”
“มึงหาว่ากูผิดเพศ หาว่ากูเป็นตุ๊ด เป็นเกย์ พวกอาจารย์ก็มาหาว่ากูป่วยเป็นโรคทางจิต…กูอยากจะรู้จริง ๆ ว่ามึงกับพวกอาจารย์เคยถามกูบ้างหรือยังวะว่ากูเป็นอะไร”
“กูก็เป็นกู ไม่ได้เป็นตุ๊ด เป็นเกย์ เป็นกะเทยหรืออะไรที่มากกว่านั้นเป็นแค่ผู้ชายธรรมดา ๆ แบบพวกมึง แต่กูแค่ไม่ได้ชอบผู้หญิง รสนิยมของกูคือชอบผู้ชาย…ทำไมวะ กูจะอยากถูกใครสักคนปกป้องไม่ได้เหรอ”
“หาว่ากูเป็นหนอนเป็นไส้เดือนเป็นสัตว์ชั้นต่ำ แล้วคนที่มองคนไม่เท่ากันอย่างมึงล่ะเป็นอะไร ถ้าถามกูกูยังให้คำตอบไม่ได้เลยเพราะมึงต่ำกว่าสัตว์นรกอีกถ้าให้พูดกันตรง ๆ”
“กูไม่เคยคิดเลยนะว่ากูจะต้องมาพูดอะไรแบบนี้กับมึง”
“ทำไมกูจะต้องถูกคนรอบข้างมองด้วยสายตาเหมือนกูเป็นตัวประหลาด คอยซุบซิบนินทาว่าร้ายต่าง ๆ วิจารณ์เกี่ยวกับคนที่กูชอบ เหมาะสมบ้างไม่เหมาะสมบ้าง เสียดายบ้างล่ะ”
“พูดออกมาได้ยังไงอะว่า ‘เสียดายถ้าเขาเป็นผู้ชายล่ะก็’”
“แฟนผมเขาก็เป็นผู้ชายไง และผมก็เป็นผู้ชาย เอาจริง ๆ พวกเราไม่ได้ชอบผู้ชาย เราแค่ชอบกันและกัน…มันก็แค่นั้น”
“ทำไมจะต้องเป็นกูที่คอยถูกอาจารย์เรียกไปคุยอะไรก็ไม่รู้ทั้ง ๆ ที่กูเป็นฝ่ายถูกกระทำวะแบงค์ ทำไมกูต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างอึดอัด ทำไมกูต้องมาคอยอดทน ทำไมกูต้องมานั่งใช้ชีวิตอยู่ในกรอบที่คนอื่นตีให้กูเป็น ทั้ง ๆ ที่เรื่องมันก็แค่…กูกับศึก เรารักกันอะ มันไม่ที่สำหรับความรักของกูเลยใช่มั้ยวะ ฮึก…ฮืออออ”
“พอแล้วครับ ไม่ต้องพูดแล้วนะ” ผมดึงคนร่างเล็กเข้ามากอดไว้จนจมอก น้ำตาที่สั่งสมมานานถูกปล่อยให้ไหลจนอาบแก้มและเปียกเสื้อของผมจนชื้นแฉะ
“ไอ้เซียน…กูขอโทษนะเว้ย แต่กูก็ไม่รู้จะทำยังไง มึงก็เพื่อนกู ไอ้แบงค์ก็เพื่อนกู…”
“กูก็…ลำบากใจเหมือนกัน กูพยายามห้ามแล้วแต่กูห้ามมันไม่ได้ กูขอโทษนะเว้ย”
เพื่อนในกลุ่มของเซียนต่างเดินเข้ามากอดและขอโทษร่างเล็กในอ้อมกอดของผม คนรอบข้างที่เคยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายวิดีโอบันทึกเหตุการณ์ตอนนี้ก็ต่างพากันเม้มปาก ก้มหน้ารู้สึกผิด ส่วน…
แบงค์ยังคงนั่งอยู่ที่พื้น นั่งอยู่ด้านหลังพวกเราอย่างโดดเดี่ยวเหมือนกับเหล่าอาจารย์ที่คาดว่าลงมาห้ามปรามเหตุทะเลาะวิวาทและบังเอิญได้ยินทุกสิ่งทุกอย่างที่เซียนพูดพอดี
เหตุการณ์ในวันนี้คงทำให้เซียนไม่ต้องอดทนและอึดอัดอีกแล้ว หากจะยังมีใครมารังควาญพวกเราและขัดขวางความสุขของเซียน คน ๆ นั้นก็คงจะหน้าด้านเกินไปแล้วล่ะ
วันรุ่งขึ้น ทุก ๆ อย่างที่เซียนเคยมีได้กลับมาอีกครั้ง กลุ่มเพื่อน ความสดใส ความสุข และชีวิตปกติ
รวมถึงรอยยิ้มของเซียนก็กลับมาให้เห็นบ่อยกว่าเดิม
ในวันนี้แบงค์ยังคงมาเรียนเหมือนปกติ แต่ต้องนั่งเรียนที่โต๊ะมุมหนึ่งหลังห้องเพียงคนเดียว ไม่มีใครคุยกับแบงค์อย่างที่เซียนเคยเจอมาก่อน ต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้สายตาที่ให้ความรู้สึกประหลาดมากมายหลายคู่จากคนรอบข้าง
อาจารย์ที่ปรึกษาและอาจารย์แนะแนวของโรงเรียนย้ายไปสอนที่อื่นกะทันหัน เห็นว่าเพราะถูกสอบเกี่ยวกับการละเลยการตรวจสอบและลงโทษในสิ่งที่แบงค์ทำและปฏิบัติหน้าที่กับนักเรียนผิดคน จึงต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองและผลกระทบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
วันถัดมาแบงค์ก็ถูกอาจารย์ฝ่ายปกครองเรียกไปคุยพร้อมกับผู้ปกครอง หลังจากวันนั้นมาไม่มีใครได้เจอแบงค์ที่โรงเรียนอีก อาจเป็นเพราะคลิปเหตุการณ์วันนั้นในโซเชียล มีคนพูดถึงแบงค์และโรงเรียนในแง่ลบเป็นจำนวนมาก ทำให้แบงค์ถูกไล่ออกหรือขอให้ลาออกเนื่องจากทำให้โรงเรียนเสื่อมเสียชื่อเสียง และสิ่งที่แบงค์ทำเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองควรทราบ ผู้ปกครองของแบงค์ก็คงจะอายเกินกว่าให้ลูกตัวเองเรียนต่อที่นี่
ภายในเวลาไม่นานก็มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย…แต่สิ่งหนึ่งที่อาจจะยังเหมือนเดิมก็คือภายนอกรั้วโรงเรียนแห่งนี้ก็ยังคงมีคนที่มองคนไม่เท่ากันด้วยเรื่องของเพศอยู่
อย่างที่เซียนบอกไปว่าผมกับเซียนเราไม่ได้เป็นเกย์ ตุ๊ด กะเทย หรืออะไรที่ผู้คนมากมายสรรหาสรรสร้างคำมาเรียกพวกเรา พวกเราต่างก็เป็นผู้ชายธรรมดา ๆ เหมือนกับทุก ๆ คน เพียงแค่เรามีรสนิยมความรักที่แตกต่างจากคนอื่นเท่านั้น
แล้วหากวันหนึ่งพวกเราที่ถูกเรียกว่าคนที่ชอบเพศเดียวกันกลายเป็นส่วนมากในสังคมและคนที่ชอบเพศตรงข้ามกลายเป็นส่วนน้อยล่ะ พวกเราจะยังถูกมองว่าประหลาดอยู่ไหม หรือคนที่ชอบเพศตรงข้ามน่ะประหลาด ?
อาจเพราะความเป็นส่วนน้อยของพวกเราถึงได้ถูกคนส่วนใหญ่มองว่าพวกเราประหลาด แต่ถึงอย่างนั้นไม่ว่าจะกับใคร หรือเขาเป็นเพศอะไรก็ไม่ใช่เหตุผลในการปฏิบัติกับเขาอย่างไม่เท่าเทียมกับคนอื่น ๆ เพราะหากตัดเรื่องเพศและรสนิยมออกไป สุดท้ายพวกเราก็เป็นคนเหมือนกัน
…
…
“เธออย่าซน ให้เขานอน…ช้ำไปทั้งตัวแล้วเนี่ย” ผมบอกคนที่กำลังโอบกอดมาจากทางด้านหลังในสภาพเนื้อแนบเนื้อ มือไม้ป่ายสะเปะสะปะไปทั่วร่างของผม ทั้ง ๆ ที่เมื่อคืนเขาก็น่าจะ ‘กิน’ ไปมากพอแล้ว
“เขายังอยากอยู่เลย ตามใจหน่อยหน่า นะคะ”
“ไม่!”
“ใจร้ายอะ แต่ก่อนใจดีกับเขาจะตาย ทำไมเธอถึงเปลี่ยนไปกันนะ”
“เธอนั่นแหละ มักมากในกามเกินไปแล้ว! ขุนศึกที่แสนจะสุภาพบุรุษคนนั้นหายไปไหนแล้ว”
“หึหึ สุภาพบุรุษแบบมิสเตอร์เกรย์ในฟิฟตี้เฉดไง”
“น่ากลัวอะเธอ…นี่” ผมลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงและเบ้ปากใส่คนที่ยอมปล่อยผมออกจากพันธนาการ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องสำคัญที่ต้องบอก
“ว่าไง”
“ขอบคุณนะ…ที่เป็นความรักของเรา เราดีใจที่ความรักของเรา…อยู่ที่นี่” ผมเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า ลากนิ้วขึ้นมาชี้ไปที่นั่น ที่ที่ความรักของผมอาศัยอยู่
ชี้ไปที่ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของขุนศึกซึ่งกำลังเต้นแรง
- จบบริบูรณ์ -