บนโลกนี้.. จะมีสถานที่ท่องเที่ยวสักกี่แห่ง..
ที่จะเชิญชวนให้เรา ดื่มด่ำไปกับความงดงามเหล่านั้นได้ โดยไม่รู้ตัว..
และสำหรับพวกเขา ‘ประเทศสวิตเซอร์แลนด์’ ก็เป็นหนึ่งในนั้น..กิจกรรมแรกสำหรับอดีตนักศึกษาที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ช่วงวัยทำงานอย่าง ‘ปิง’ ก็คงจะหนีไม่พ้น การเดินทางท่องเที่ยวด้วยเงินสะสม ที่หามาได้จากการทำงานพิเศษ บวกกับค่าขนม ที่จะต้องคอยเจียดมาหยอดกระปุกไว้เป็นเวลาสี่ปี รวมๆ กับพ็อกเก็ตมันนี่ของพ่อกับแม่อีกประมาณหนึ่ง
โดยที่ในอนาคต..นักเดินทางอย่างเขา จะต้องชำระหนี้สิน ด้วยเงินเดือนสักก้อน ที่หามาได้จากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง จึงทำให้ในเวลานี้ ชายหนุ่มผู้มีผิวขาวสะอาด อันเป็นเอกลักษณ์ของชาวเหนือ สามารถพาตัวเองมานั่งอยู่บน ‘รถไฟสายโกลเด้นพาส’ ที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘รถไฟสายที่โรแมนติกที่สุดของโลก’ ตั้งหลายครั้งหลายครา เพราะเนื่องจากการท่องเที่ยวในครั้งนี้ มันได้ก้าวเข้าสู่วันที่สามเข้าให้แล้ว
ซึ่งสถานีต้นทางสำหรับจุดหมายต่อไปจะเริ่มจาก ‘เมืองซไวซิมเมน’ และไปสิ้นสุดที่ ‘เมืองมองเทรอซ์’กระทั่งรถไฟขบวนดังกล่าวค่อยๆ เคลื่อนออกไป ชายหนุ่มนักท่องเที่ยวก็ยังคงตื่นตาตื่นใจกับความแปลกใหม่ของตัวโบกี้อันกว้างขวาง ที่มีการแยกที่นั่งอย่างเป็นสัดส่วน โดยที่ตู้โดยสารของรถไฟขบวนนี้ ได้มีการออกแบบให้เหมาะสมกับการท่องเที่ยวทางรถไฟ
จึงทำให้กระจกใสบานใหญ่ สามารถมองเห็นภาพของวิวทิวทัศน์ ในรูปแบบพาโนรามา โดยช่วงเวลาแห่งการดื่มด่ำไปกับธรรมชาติอันงดงามตลอดทั้งเส้นทาง จะมีเวลาจำกัดแค่เพียงสองชั่วโมงเท่านั้น หนุ่มชาวเหนืออย่างปิง จึงไม่พลาดโอกาสที่จะหยิบกล้องออกมาถ่ายรูปความประทับใจดังกล่าวเอาไว้อย่างมากมาย และในฤดูที่มันใกล้จะเข้าสู่ช่วงของใบไม้เปลี่ยนสี มันก็ทำให้ชายหนุ่มมองเห็นภาพของต้นไม้สีเหลืองบ้าง แดงบ้าง เขียวบ้างปะปนกันไป อีกทั้งกระไอหมอกสีขาวบริสุทธิ์ ก็ยังลอยคละคลุ้งจนปกคลุมภูเขาอันกว้างใหญ่ ที่มันตั้งตระหง่านอยู่ตรงเบื้องหลังเสียจนเกือบมิด หรือแม้แต่ลำธารเล็กๆ ก็ยังอวดโฉมอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าอันเขียวขจี ที่มีบ้านเรือนแต่งแต้มภาพดังกล่าวอยู่ประปราย
จึงส่งผลให้ชายหนุ่มชาวเหนือ ถือโอกาสซึมซับกับบรรยากาศของวิถีชีวิตทางแถบชนบทของประเทศในฝันไปเสียเลย“ปิง”สิ้นเสียงทุ้มนุ่มที่กำลังเอื้อนเอ่ยชื่อเสียงเรียงนามของตน หนุ่มชาวเหนือก็รีบหันหน้าไปมองยังต้นเสียง ด้วยความคาดไม่ถึง ว่าการเดินทางมายังประเทศในฝัน จะยังมีคนรู้จักที่บังเอิญมาเจอะเจอกันได้ กระทั่งดวงตาสีน้ำตาลอ่อนสบเข้ากับดวงตาสีนิลเข้มของชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งเพียงเสี้ยววินาที
ความแปลกใจทั้งหลายแหล่ ต่างก็พากันหนีหายจนหมดสิ้น“พี่น่าน” ทันทีที่หนุ่มนักท่องเที่ยวอุทานชื่อเสียงเรียงนามของคนตรงหน้า เจ้าของชื่อก็รีบคลี่ยิ้มอย่างสดใส
“ไม่นึกเลยว่าเราจะบังเอิญมาเจอกันที่นี่” หนุ่มชาวเหนือรุ่นพี่ร่วมมหาวิทยาลัย เอ่ยถ้อยคำดังกล่าวออกมาอย่างเหลือเชื่อระคนดีใจ จนแม้แต่แววตาก็ยังไม่สามารถปกปิดความรู้สึกเหล่านั้นได้
“ก็ที่นี่มันเป็นประเทศที่เราสองคนอยากจะมาเที่ยวอยู่แล้วนี่ครับ” ปวีกล่าวเสียงเรียบ ขณะที่สายตาของเขา ก็ต้องคอยลอบมองวิวธรรมชาติ สลับกับใบหน้าคมสันของบุรุษตรงหน้าเป็นระยะๆ
“นั่นสินะ” เสียงทุ้มกังวานเอ่ยตอบรับเพียงแค่นั้น แล้วบทสนทนาของสองหนุ่มชาวเหนือ ที่บังเอิญมาเจอกัน ในประเทศอันงดงามก็สิ้นสุดลง
“พี่..”
“…”
“สบายดีไหมครับ ?” หนุ่มชาวเหนือรุ่นน้องร่วมมหาวิทยาลัยทอดถามเสียงใส ขณะที่สายตาก็เพ่งเล็งไปยังช่องมองภาพ เพื่อหาจุดโฟกัส เมื่อรถไฟสายโกลเด้นพาสขับเคลื่อนมายังมุมๆ หนึ่ง ที่สามารถมองเห็นได้ทั้งบ้านเรือนที่มันตั้งอยู่อย่างกระจัดกระจายตามข้างทาง โดยที่สิ่งปลูกสร้างเหล่านั้น ก็ถูกโอบล้อมไปด้วยความงดงามของธรรมชาติ อย่างเช่น ทุ่งหญ้าสีเขียวขจี ที่ในตอนนี้บางส่วนของมัน ก็เริ่มจะกลายเป็นสีทองอร่าม กอปรกับกลุ่มหมอกควันที่กำลังลอยคว้างอยู่เบื้องบน
ทำเอาชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่า..ตนเองได้หลุดเข้ามายังดินแดนแห่งสรวงสวรรค์“ถ้าไม่เกิดอาการโฮมซิก ก็ยังถือว่าโอเคอยู่” หนุ่มนักเรียนนอกในระดับปริญญาโทกล่าวพลางกลั้วหัวเราะเพียงเบาๆ
“เอ้อ แล้วปิงได้งานทำหรือยัง ?” หนุ่มนักเดินทางส่ายหัวตอบ พลางยกยิ้มทันทีที่ได้ยินคำถาม ด้วยเพราะว่าหลังจากที่เขาได้รับปริญญาเพียงไม่นาน มันก็ถึงกำหนดการ ที่จะต้องแบ็คแพ็คมายังประเทศในฝันเข้าให้เสียแล้ว
กระทั่งบทสนทนามันเริ่มจะเงียบหายไป ปวีจึงถือโอกาสเล็งโฟกัสไปยังลำธารขนาดเล็ก ที่มันใกล้จะเหือดแห้ง จนมองเห็นโขดหินจำนวนมาก เกาะกลุ่มกันจนเต็มสองฟากฝั่ง
“แล้ว..” สิ้นคำกล่าวอย่างกล้าๆ กลัวๆ ราวกับคำเกริ่นนำของชายหนุ่มนักเรียนนอกอย่าง ‘เมืองน่าน’ ก็ทำให้ปิงจำต้องละสายตามาจากความงดงามของธรรมชาติ เพื่อหันมาให้ความสนใจกับคนที่กำลังนั่งอยู่ทางฝั่งตรงกันข้าม
“…”
“ปิงมีใครในใจหรือยัง ?” สิ้นคำถามดังกล่าว กล้องถ่ายรูปในมือของปวี ก็ค่อยๆ เลื่อนลงมาวางแหมะอยู่บนตักอย่างเชื่องช้า
“…”
“หรือว่า.. คนที่อยู่ข้างในนั้น ยังคงเป็นพี่เหมือนเดิม ?”ตึก ตึก..
ตึก ตึก ตึก..
สิ้นคำถามในประโยคสุดท้าย เสียงหัวใจของปวี ก็เต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง ด้วยเพราะใครอีกคน กำลังเอ่ยถามในเรื่องที่เขาเองก็ทราบมันดีอยู่แล้ว ว่าคำตอบจะเป็นเช่นไร เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเขาสองคนต่างก็ยังคบหากันอยู่ เพียงแต่ว่าความห่างเหิน มันกลับสร้างกำแพงบางๆ ที่ไม่อาจจะพังทลายลงได้
ซึ่งกำแพงที่ว่านั่น มันก็มีชื่อว่า ‘ความห่างไกล’ดังนั้นสถานะที่เป็นอยู่ มันจึงไม่ต่างกับการ ‘เลิกรา’“แล้วพี่ล่ะครับ ยังเป็นเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า ?” หนุ่มนักเดินทางย้อนถามคนตรงหน้า ที่กำลังมีสถานะไม่ต่างกับ ‘แฟนเก่า’ ด้วยเพราะความห่างไกล มันกำลังทำให้คนทั้งคู่ ค่อยๆ ห่างเหิน โดยเริ่มจากการพูดคุยทางโทรศัพท์ ในช่วงเวลาที่เอื้ออำนวย
หลังจากนั้นความถี่ในการติดต่อสื่อสาร มันก็เริ่มที่จะจางหายไป จนกลายเป็นว่า ทั้งสองคนไม่ได้ติดต่อถึงกัน เสียตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็ยังไม่ทันที่จะรู้ตัว แต่ถ้าหากถามว่า ยังคงมีความรู้สึกดีๆ ต่อกันอยู่อีกไหม..
คำตอบมันก็คงจะมีแค่เพียง ‘ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม’เพียงแต่ว่า ความรู้สึกเหล่านั้น มันกลับเลือนลางจนเต็มทีแล้ว“อืม” ชายหนุ่มนักเรียนนอกส่งเสียงตอบในลำคออย่างแผ่วเบา หากแต่หนักแน่นในความรู้สึก จึงส่งผลให้ตากล้องมือสมัครเล่น ได้แต่ลอบยิ้มตรงมุมปากเพียงลำพัง
“ผมก็เหมือนกัน” ปวีตัดสินใจเฉลยความรู้สึกของตนเองภายในเสี้ยววินาที ด้วยน้ำเสียงอันแผ่วหวิว ก่อนจะหันหน้าออกไปยังความงดงามของธรรมชาติเบื้องหน้า ที่มันปรากฏบ้านไม้สีน้ำตาลเข้ม ตัดกับสีเขียวอ่อนของทุ่งหญ้าอันสบายตา
และถ้าหากมองออกไปให้ไกลกว่านั้น ก็จะเห็นทิวต้นไม้ใหญ่หลากสี ผสมกลมกลืนกันอย่างน่าอัศจรรย์ “แล้วทำไมปิงไม่บอกกันก่อนล่ะ ว่าจะมาที่นี่ ?” ชายหนุ่มอายุมากกว่าเอ่ยถาม พลางมองไปยังวัวฝูงหนึ่ง ที่กำลังเล็มหญ้าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากโรงเลี้ยงสัตว์มากนัก ขณะที่ตากล้องมือสมัครเล่น ก็อดไม่ได้ที่จะเก็บภาพดังกล่าว ที่มันสื่อให้เห็นถึงวิถีชีวิตของชาวชนบทในต่างบ้านต่างเมือง โดยที่เบื้องหลังของภาพวัวฝูงดังกล่าว ก็ยังโอบล้อมไปด้วยทิวต้นไม้สีเหลืองอร่าม สลับกับสีเขียวแก่อย่างมากมาย
“ผมกลัวว่าพี่น่านจะกำลังยุ่งน่ะครับ” ชายหนุ่มนักเดินทางกล่าวพลางยกยิ้ม ก่อนจะยกกล้องขึ้นเล็งโฟกัสไปยังลำธารอันไหลเชี่ยว แม้ว่าคำตอบเมื่อครู่ มันจะเป็นคำตอบที่ไม่ใช่ความจริงในใจก็ตาม
แต่ว่าสุดท้ายแล้ว ปวีก็ยังเลือกที่จะรักษาน้ำใจของอีกฝ่ายอยู่ดี “สำหรับปิง พี่ไม่เคยมีคำว่ายุ่ง” สิ้นคำกล่าวนั้น นักท่องเที่ยวชาวไทยอย่างปิง ก็อดไม่ได้ที่จะนึกค่อนขอดอยู่ในใจ เมื่อ ‘ความห่างไกล’ ระหว่างทั้งคู่ มันก็มีบ่อเกิดมาจากคำว่า ‘ยุ่ง’ และการพยายามที่จะปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ อีกทั้งยังต้องทุ่มเทให้กับการเรียนในระดับสูงที่ไม่ใช่ภาษาบ้านเกิด
ซึ่งสาเหตุดังกล่าวที่ว่ามาทั้งหมด.. มันก็ไม่เคยที่จะทำให้ปิง คิดที่กล่าวโทษอีกฝ่ายแต่อย่างใดตึก ตึก
ตึก ตึก ตึก
ตึก ตึก ตึก ตึก
และแล้วท่าทีอันสุภาพนุ่มนวลของอีกฝ่าย รวมไปถึงคำพูดอันจริงใจ ก็ส่งผลให้หัวใจของปวี มันเต้นระรัวจนแทบจะกระเด็นกระดอนออกมานอกอกเสียให้ได้ ยิ่งช่วงที่สายตาปะทะกับความมืด ยามที่รถไฟกำลังวิ่งลอดอุโมงค์ขนาดใหญ่ด้วยความเร็วอันพอเหมาะ
หนุ่มนักเดินทาง ก็ยิ่งได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองอย่างชัดเจน“แล้วทำไมจู่ๆ พี่น่านถึงได้ขาดการติดต่อไปล่ะครับ ?” ปิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นไหวอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ปิงก็รู้ใช่ไหม ว่ามีช่วงนึงที่พี่เป็นโรคโฮมซิกหนักมาก ปิงเลยบอกให้พี่ลองออกไปเปิดหูเปิดตากับเพื่อน พอหลังจากนั้นพี่ก็ติดการปาร์ตี้อย่างหนัก กว่าจะดึงตัวเองออกมาได้ ชีวิตก็แทบเหลวแหลก เพราะว่าทุกๆ วัน จะต้องได้ไปเมาหยำเปอยู่ตลอด พอกลับมาถึงห้อง ก็สลบเหมือดจนไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้ว”
“…”
“มันก็เลยทำให้พี่ไม่กล้าที่จะสู้กับหน้ากับปิง เพราะว่าที่ผ่านมา พี่ละเลยความรู้สึกของปิงไปเยอะมาก” อดีตนักปาร์ตี้กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นไหว ขณะที่เจ้าของคำแนะนำอันเป็นสาเหตุแห่งความห่างเหิน ก็ได้แต่จ้องมองไปยังกระไอหมอก ที่กำลังลอยคละคลุ้งเหนือสิ่งอื่นใดอย่างเลื่อนลอย
“…”
“แล้วทำไมเมื่อกี้ พี่ถึงได้กล้าสู้หน้าผมได้ล่ะครับ ?” ปวีเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นคง
“…”
“หรือว่ามันเป็นเพราะตั๋วที่พี่จองได้ ?” หนุ่มนักเดินทางเม้มริมฝีปากของตัวเองแน่น ด้วยความต้องการที่จะอดกลั้นห้วงแห่งอารมณ์น้อยอกน้อยใจอย่างสุดความสามารถ
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้..” ชายหนุ่มนักเรียนนอกกล่าว พลางทอดสายตามองออกไปยังบ้านเรือนในรูปแบบต่างๆ ที่มันถูกโอบล้อมไปด้วยวิวธรรมชาติอันงดงามจนน่าอิจฉา
“…”
“แต่ว่าสาเหตุที่สำคัญที่สุด ก็คือพี่ดีใจที่ได้เจอกับปิง” ดวงตาคมอันคุ้นเคยหันมามองสบกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนแน่นิ่ง ส่งผลให้หัวใจสองดวง กำลังเต้นระรัวในจังหวะเดียวกัน
“…”
“แล้วพี่ก็อยากรู้ว่า.. ปิงยังคิดเหมือนกันอยู่หรือเปล่า” เมืองน่านกล่าวด้วยน้ำเสียงอันแหบพร่า คล้ายกับว่าในอกของเขา มันกำลังเจ็บแปลบ ที่ครั้งหนึ่งเคยละเลยอีกฝ่ายมาเนิ่นนาน จนส่งผลให้ความสัมพันธ์ มันเริ่มที่จะเริ่มสั่นคลอนทีละเล็กละน้อย
“แล้วถ้าหากว่าผมยังคิดเหมือนกันกับพี่ เรื่องของเรามันจะเป็นยังไงต่อไปล่ะครับ ?” ปวีหันกลับมาให้ความสนใจกับคนตรงหน้าอีกครั้ง เมื่อวิวข้างทางมันเริ่มจะแปรเปลี่ยนเป็นบ้านเรือนติดกันหลายๆ หลัง
บ่งบอกถึงการเดินทาง ที่มันเริ่มจะก้าวเข้าสู่เขตตัวเมืองของย่านชนบทแห่งนี้“เรามาเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้งได้หรือเปล่า ?” ชายหนุ่มอายุมากกว่า เอ่ยถามอย่างเว้าวอน
“…”
“พี่สัญญาว่าจะไม่ละเลยความรู้สึกของปิงอีก” น้ำเสียงทุ้มนุ่มกล่าวประโยคแห่งคำสัญญาอย่างหนักแน่น ขณะที่แววตาของเมืองน่าน ก็ทอประกายอย่างจริงจัง เหมือนกับครั้งแรกที่เจ้าตัวเคยสอบถามปวี ด้วยคำถามในลักษณะนี้ ตั้งแต่สมัยที่ยังเรียนอยู่ในระดับชั้นปีที่สามของมหาวิทยาลัย ซึ่งในตอนนั้นตนและอีกฝ่าย ยังมีสถานะเป็นเพียงแค่ ‘สายรหัส’ ก่อนจะเลื่อนขั้นมาเป็น ‘แฟน’ หลังจากที่ตน ใกล้จะเรียนจบอยู่รอมร่อ
ดังนั้นความรักในครั้งนี้.. มันจึงใช้เวลาบ่มเพาะมาตั้งแต่ปวี ยังคงศึกษาอยู่ในระดับชั้นปีที่หนึ่ง“ไม่ต้องสัญญาหรอกครับ ถ้าเกิดว่าทำไม่ได้ มันจะเสียความรู้สึกต่อกันเปล่าๆ” ปวีกล่าวถ้อยคำนั้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขณะที่สายตาก็จดจ้องไปยังเมืองน่านอย่างแน่วแน่
“แล้วก็..” หนุ่มนักเดินทางกล่าวเพียงแค่นั้น แล้วก็เงียบไปอึดใจหนึ่ง ด้วยเพราะเขากำลังผินหน้าออกไปให้ความสนใจกับธรรมชาติข้างนอกหน้าต่างอีกครั้ง เมื่อ ณ ตอนนี้ ขบวนรถสายไฟสายโกลเด้นพาส กำลังขับเคลื่อนออกมายังนอกเมืองอีกหน และวิวทิวทัศน์ของต้นไม้น้อยใหญ่อันมีสีเขียวปะปนกับสีเหลืองอร่ามก็ปรากฏขึ้นมาอีกรอบ
โดยที่ไฮไลท์ของภาพวาดจากธรรมชาติ ก็คือกระไอหมอกที่มันกำลังปกคลุมอยู่เหนือน่านฟ้าในระดับสายตา“อืม” ตากล้องมือสมัครเล่นส่งเสียงงึมงำในลำคอเพียงเบาๆ ซึ่งมันก็มีความหมายว่า ‘ตกลง’ ขณะที่ชายหนุ่มนักเรียนนอก ก็สามารถเข้าใจได้ในทันที ว่าอีกฝ่ายยินยอมที่จะเริ่มต้นด้วยกันใหม่หรือไม่
เ
พราะเนื่องจากว่า คำตอบในลักษณะนี้..มันก็คือคำตอบ ที่เขาเคยได้รับ เมื่อตอนที่กำลังขอคบอีกฝ่ายอย่างจริงจังในอดีต“ขอบคุณนะปิง ที่ให้โอกาสพี่” เมืองน่านผู้ซึ่งได้รับโอกาสอันดี รีบบอกกล่าวอย่างยินดีปรีดา จนส่งผลให้ตากล้องมือสมัครเล่น ถึงกับต้องหันหน้ามาส่งรอยยิ้มอันสดใส ที่มันทำเอาชายหนุ่มนักเรียนนอกรู้สึกราวกับว่า..
เขาได้ค้นพบความสุขที่เคยทำหายไปจนเจอแล้วซึ่งความสุขดังกล่าว มันก็คือความสุขที่มีชื่อว่า ‘ปวี’“เอ้อ แล้วปิงยังอยากจะทำกราฟฟิกดีไซน์อยู่หรือเปล่า ?” เมืองน่านเอ่ยถาม พลางมองไปยังวิวทิวทัศน์ที่มีแต่ทุ่งหญ้าสีเขียวอ่อนอันเป็นจุดเด่น และยังมีบ้านเรือนหลังน้อยใหญ่บวกกับต้นไม้หลากสีเป็นส่วนประกอบ โดยเบื้องหลังที่มันอยู่ห่างไกลออกไปอีกนั้น ก็มีภูเขาขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอย่างโดดเด่น จึงส่งผลให้ภาพรวมที่ได้เห็น มันงดงามจับตาจนไม่สามารถที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดใดๆ ได้อีก
“ผมก็ยังสนใจอยู่นะครับ แต่ว่ายังไม่ได้วางแผนที่จะสมัครงานอย่างจริงๆ จังๆ สักที” อดีตสายรหัสกล่าวพลางเบนสายตามองไปยังท้องฟ้าอันสดใส ที่ยังคงมีเมฆก้อนใหญ่ลอยละล่องอยู่บนนั้น
“ถ้าอย่างนั้นปิงลองไปสมัครที่นี่ดูสิ ไอ้กราฟมันกำลังจะลาออก เห็นว่าจะย้ายครอบครัวไปอยู่ทางใต้น่ะ” หนุ่มนักเรียนนอกในสถานะคนรักหมาดๆ รีบหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าสะพาย จากนั้นก็เปิดหาข้อมูลของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับงานทางด้านกราฟฟิกดีไซน์ ก่อนจะส่งให้อีกฝ่ายดูข้อมูลอย่างกระตือรือร้น
“ครับ ถ้ายังไงพี่น่านช่วยส่งข้อมูลเข้าไลน์มาให้ผมหน่อย” ปิงอ่านรายละเอียดเพียงครู่ จากนั้นก็บอกกล่าวพลางส่งโทรศัพท์มือถือคืนให้กับเจ้าของ
“ได้สิ” เมืองน่านรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ พร้อมกับก้มหน้าก้มตาทำตามคำเรียกร้องของคนรักด้วยความเต็มใจ
“แล้วนี่ปิงพักอยู่ที่เมืองไหน ?” เมื่อชายหนุ่มเจ้าของคำแนะนำส่งข้อมูลให้กับหนุ่มนักเดินทางจนเรียบร้อยแล้ว เขาก็เริ่มเอ่ยถามไปถึงเรื่องสำคัญสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวขึ้นมา
“ซูริคครับ” ปิงกล่าวความเท็จ เพื่อที่จะดูท่าทีของอีกฝ่าย ด้วยเพราะเขาทราบดีว่าคนตรงหน้าเองก็อาศัยอยู่ที่เมืองดังกล่าว กระทั่งความเงียบงันยังคงปกคลุมอยู่รอบๆ กาย ชายหนุ่มนักท่องเที่ยวจึงนั่งท้าวคางมองวิวเบื้องนอกอย่างเพลิดเพลิน ก่อนที่จะหลับตาและจินตนาการไปถึงกลิ่นไอของธรรมชาติ ที่มันอยู่ด้านนอกอย่างโหยหา เพราะว่าที่นั่งที่เขาจับจองได้ มันเป็นที่นั่งที่ไม่สามารถเปิดกระจก เพื่อสัมผัสกับความสดชื่นของธรรมชาติ แต่ถ้าหากย้ายไปนั่งตรงที่นั่งแบบธรรมดา ก็จะสามารถเปิดกระจกเพื่อชื่นชมมันได้ เพียงแต่ว่ามันจะต้องเดินทะลุออกไปยังอีกโบกี้หนึ่ง ในระยะที่มันแลดูห่างไกลสักหน่อย ความขี้เกียจจึงสามารถเอาชนะความต้องการที่จะชื่นชมธรรมชาติในอีกรูปแบบหนึ่งได้จนขาดลอย
“…”
“พี่น่านยิ้มทำไมครับ ?” ปวีเอ่ยถามคนรักพร้อมทั้งอมยิ้มตรงมุมปากแบบที่ชอบทำ ต่างจากชายหนุ่มเจ้าของชื่อลิบลับ เพราะรายนั้นเขาชอบฉีกยิ้มกว้างเสมอๆ
“พี่ก็แค่กำลังคิดเข้าข้างตัวเองนิดหน่อย” เมืองน่านกล่าวพลางปิดท้ายด้วยการยกยิ้มอันคุ้นตา
“ยังไงเหรอครับ ?” ชายหนุ่มอายุน้อยกว่าเอ่ยถามพลางยกยิ้มกึ่งเจ้าเล่ห์ เพราะเนื่องจากคนทั้งคู่ต่างก็เข้าใจบางสิ่งบางอย่างตรงกันดีแล้ว เพียงแต่ว่าต่างฝ่ายต่างก็ยังคงอยากจะเล่นแง่ต่อประโยคกันไม่ยอมเลิกรา
“พี่เองก็พักอยู่ที่ซูริค แล้วก็เรียนอยู่ที่เมืองนั้นด้วย..” เมืองน่านเฉลยเพียงแค่นั้น แล้วก็นิ่งเงียบไป ทำเอาปวีจำต้องเลิกคิ้ว พลางอมยิ้มบางๆ ให้กับปฏิกิริยาดังกล่าว ขณะที่ชายหนุ่มก็ต้องยอมต่อบทสนทนาจนจบประโยค
“อ้าว ก็เพราะว่าความบังเอิญ มันจะได้ช่วยให้เราสองคนมาเจอกันอีกครั้งไง”
“หึ พี่พูดเหมือนซูริคมันเล็กนิดเดียวเลยนะ” หนุ่มนักเดินทางกล่าวแกมประชด หากแต่ในเวลานี้ เขากลับฉีกยิ้มกว้างอย่างตลกขบขัน คล้ายกับว่าอันที่จริงแล้ว คำกล่าวอย่างประชดประชันเมื่อครู่
มันก็เป็นเพียงแค่การหยอกเย้าของคนสองคนที่มีใจให้แก่กัน“พี่ก็ถึงได้บอกไง ว่ากำลังเข้าข้างตัวเองอยู่”
“แต่ว่าการเข้าข้างตัวเองในครั้งนี้ มันก็ถือว่าถูกอยู่ครึ่งนึงนะครับ เพราะว่าจริงๆ แล้ว ซูริคมันก็เป็นอีกเมืองนึงที่น่าเที่ยว เพียงแต่ว่าผมยังไม่ได้ไปเที่ยวที่นั่นเลย เพราะว่าแพลนวันแรกของผมคือลูเซิร์น ส่วนวันที่สองกับสามและก่อนจะมาที่นี่ ผมก็เที่ยวอยู่แถวๆ อินเทอลาเคนนี่แหละ” ปวีกล่าวพลางเบนสายตามองออกไปยังด้านนอก ที่ปรากฏพื้นที่สีเขียวจากเนินราบจนถึงเนินเขา ซึ่งบริเวณดังกล่าว ก็เต็มไปด้วยบ้านเรือนหลังน้อยใหญ่เกาะกลุ่มกันบ้าง หรือปลูกกันอย่างกระจัดกระจายบ้าง แต่สุดท้ายแล้ว บ้านทุกหลังก็ยังคงถูกห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้เล็กๆ และกระไอหมอกที่กำลังลอยปกคลุมไปทั่วบริเวณอยู่ดี
“แล้ว..” เมืองน่านลากเสียงยานคาง เพื่อเปิดประเด็นขึ้นมาอีกครั้ง
“ครับ ?”
“หลังจากถึงเมืองมองเทรอซ์แล้ว ปิงมีแผนจะไปที่ไหนต่อ ?”
“ผมกะว่าจะไปที่ปราสาทชิลยอง”
“พี่น่าน.. ไปด้วยกันไหม ?” ชายหนุ่มอายุน้อยกว่าเอ่ยถาม พลางยกกล้องถ่ายรูปขึ้นเล็งโฟกัสไปยังเบื้องหน้าเป็นระยะๆ
“อื้อ แล้วเราได้จองที่พักเอาไว้หรือเปล่า ?”
“เปล่าครับ” ปวีส่ายหัวจนเส้นผมกระจุยกระจาย ทำเอาเมืองน่านนึกอยากจะจัดแต่งทรงผมให้อีกฝ่ายเหมือนอย่างเคย แต่ก็จำต้องยั้งมือเอาไว้ ด้วยเพราะรู้ดีว่าชายหนุ่มคนรัก มักจะไม่ค่อยชอบให้เขาใส่ใจมากจนเกินพอดี
“ผมล้อเล่น” ปวีกล่าวพลางฉีกยิ้มกว้างอย่างขี้เล่น คล้ายกับว่าเขาเริ่มที่จะปรับตัวกับความสัมพันธ์ในครั้งใหม่ได้บ้างแล้ว ทำเอาเมืองน่านแทบอยากจะยีหัวอีกฝ่ายแรงๆ จนสาแก่ใจ แต่ก็ยังไม่กล้าพอที่จะทำแบบนั้น
“สวยจัง..” หนุ่มนักท่องเที่ยวอุทานออกมาเพียงเบาๆ เมื่อเขาเผลอลดกล้องในมือลงบนตัก เพื่อที่จะได้สัมผัสกับภาพแห่งความเป็นจริง โดยที่อะไรบางอย่าง ที่มันอยู่ห่างไกลจนสุดลูกหูลูกตานั่น ก็คือทิวเขาอันเขียวขจี สลับทับซ้อนกันอย่างสวยงาม ขณะที่กระไอหมอกสีฟ้าคราม ก็ยังคงลอยคละคลุ้งปนเปเป็นเนื้อเดียวกับก้อนเมฆ และท้องฟ้าที่ยังคงร้างไร้แสงแดดสาดส่อง ก็ยังคงปกคลุมอยู่เหนือบริเวณเนินทุ่งหญ้าขนาดเล็ก ที่ปรากฏอยู่ในมุมที่ใกล้ที่สุดในสายตาของปวี
โดยมีบ้านหลังเล็กๆ เป็นไฮไลท์สำคัญของภาพวิวในมุมนี้“พี่จะมองผมทำไมนักหนาครับ หรือว่ามานั่งรถไฟเล่นจนเบื่อแล้ว ?” ปวีอดที่จะเอ่ยถามออกมาไม่ได้ เมื่อตลอดทั้งเส้นทาง ชายหนุ่มนักเรียนนอกเอาแต่มองมายังตน แล้วยังแอบนั่งอมยิ้มเป็นพักๆ จนทำให้เขาเริ่มไม่มีสมาธิในการถ่ายรูป หรือว่าชื่นชมธรรมชาติเอาเสียเลย
“รบกวนเหรอ ?”
“ครับ” ฝ่ายถูกซักถามเอ่ยตอบรับในลำคอ พลางย่นจมูกใส่เจ้าของสายตาชวนขาดสมาธิ ก่อนจะหันกลับมาชื่นชมวิวจากภายนอก ที่ยังคงสวยงามจับตา จึงทำให้ปวีนึกอิจฉาชาวเมืองสวิตไม่น้อย ที่ทุกเช้าพวกเขาก็จะสามารถตื่นขึ้นมาพบกับความสวยงามของธรรมชาติ ที่ไม่ว่าจะมองสักกี่ครั้ง
มันก็ยังคงงดงามจับตาและจับใจอยู่ดี “คิดถึง” สิ้นคำบอกกล่าวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ปวีก็สามารถเข้าใจได้ในทันทีว่า คำบอกกล่าวข้างต้นของตน กำลังถูกมองข้ามโดยคนดื้อดึงตรงหน้า และตลอดทั้งเส้นทางของรถไฟสายขึ้นชื่อของสวิตเซอร์แลนด์ ปวีก็ทำการเก็บภาพวิวทิวทัศน์จนแทบจะสามารถทำเป็นโฟโต้บุ๊กได้อยู่แล้ว เพียงแต่เขาก็ยังไม่สามารถที่จะหยุดยั้งการกดชัตเตอร์ได้แต่อย่างใด
เพราะเนื่องจากว่า..เขากำลังหลงใหลกับภาพของบรรยากาศ อันเป็นวิถีชีวิตแบบสโลวไลฟ์ ที่มันหาชมได้ยาก“อิจฉาพี่น่านชะมัด” ปิงกล่าวพลางย่นจมูก เมื่อรถไฟเคลื่อนมายังมุมๆ หนึ่งที่ตนรู้สึกชื่นชอบเป็นพิเศษ ซึ่งมุมๆ นั้น ก็คือภาพของเนินเขาสลับทับซ้อนกันเป็นระลอกคลื่น โดยมีกระไอหมอกลอยปกคลุมอยู่เบื้องบน ขณะที่เนินหญ้าขนาดย่อม ก็เต็มไปด้วยบ้านเรือนกระจุกตัวอยู่ตรงมุมๆ หนึ่ง โดยที่รอบๆ บริเวณก็ยังคงเต็มไปด้วยต้นไม้ขนาดกลางคอยโอบล้อมเป็นหย่อมๆ
“อะไรกัน เราจะมาอิจฉาพี่ได้ยังไง” หนุ่มนักเรียนนอกกล่าวพลางกลั้วหัวเราะ
“ก็พี่น่านได้มาอยู่ที่เมืองสวยๆ แบบนี้ แถมยังนึกอยากจะมานั่งรถไฟชมวิวแบบนี้เมื่อไหร่ ก็มาได้เลย” ปวีกล่าวพลางย่นจมูกอย่างขัดเคืองใจ
“นั่นก็ใช่ แต่อันที่จริง ปิงควรจะอิจฉาคนสวิตมากกว่านะ แล้วอีกอย่างพี่ก็ไม่ได้ชิวด์ขนาดมีเวลามาเที่ยวอะไรแบบนี้มากนักหรอก เพราะว่าวันหยุดก็ต้องมานั่งอ่านหนังสือ แล้วก็ทำเปเปอร์อีกเยอะแยะ แต่ที่วันนี้มาเที่ยวได้ ก็เพราะว่ามันเป็นวันหยุดยาวของที่นี่ต่างหากล่ะ” พอได้ฟังคำอธิบายดังกล่าวจากเจ้าถิ่น ปวีก็ทราบได้ในทันที ว่าทำไมวันนี้นักท่องเที่ยวชาวสวิตมันถึงได้เยอะแยะมากมายนัก
เพราะว่าตอนที่ตนดูรีวิวก่อนจะมาถึง คนก็ไม่ได้เยอะแยะแบบนี้หรอก!กระทั่งช่วงเวลาสุดท้ายใกล้จะเดินทางมาถึง ภาพวิวทิวทัศน์ที่เคยเต็มไปด้วยทุ่งหญ้า ภูเขา และต้นไม้ ก็แปรเปลี่ยนเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ ที่บริเวณริมฝั่งกลับเต็มไปด้วยบ้านเรือนจำนวนมาก จากนั้นไม่นานขบวนรถไฟคันที่ทั้งคู่โดยสารมา ก็ค่อยๆ จอดเทียบท่ายังสถานีประจำเมืองมองเทรอซ์ หลังจากนั้นไม่นาน ผู้คนก็เริ่มทยอยกันเดินลงมาจากยานพาหนะอันแสนสะดวกสบาย เพื่อเริ่มต้นการท่องเที่ยวยังเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนชายฝั่งทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของทะเลสาบเจนีวา
แต่เพราะว่าจุดหมายปลายทางของทั้งคู่คือ ‘ปราสาทชิลยอง’ ปวีจึงต้องฝากกระเป๋าเดินทางเอาไว้ในล็อกเกอร์ตามสถานีรถไฟ จากนั้นก็ค่อยนั่งรถเมล์สาย 201 เพื่อไปลงยังป้าย ‘Chllon’ อันเป็นหนทางที่สะดวกที่สุด และเมื่อเดินทางมาถึงยังที่หมาย ปราสาทสีน้ำตาลอ่อน อันเป็นปราสาทเก่าแก่ในสไตล์โกธิค ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า โดยที่ด้านหน้าของตัวปราสาทจะอยู่ติดกับถนน และยังสามารถมองเห็นป้อมปราการ ที่มีหอคอยจำนวนสามยอด ส่วนอีกด้านหนึ่งของตัวปราสาท ก็จะหันหน้าเข้าหาทะเลสาบและหุบเขา
ซึ่งภาพบรรยากาศที่ได้เห็น..ก็ทำเอาปวี รู้สึกราวกับตน กำลังหลงเข้ามาอยู่ในโลกของเทพนิยาย“เราจับมือกันได้ไหม ?” เมื่อทั้งคู่เดินเรียบริมทะเลสาบมาเรื่อยๆ ตัวปราสาทอันงดงาม ก็เริ่มใหญ่โตโอ่อ่า และเมืองน่านก็อาศัยช่วงเวลานั้น ถามไถ่ความคิดเห็นของคนรักอย่างแผ่วเบา
ฝ่ายปวี ก็เหลือบซ้ายแลขวาอยู่เพียงครู่จากนั้นพวกเขาต่างก็จับมือ และพากันก้าวเดินไปสู่จุดหมายปลายทางเบื้องหน้า..❀The End❀
(rewrite 15/07/2018 ปรับเนื้อหาให้สมูธและสมเหตุสมผล)
ฝากเรื่องสั้นชั่ววูบไว้ในอ้อมใจด้วยค่ะ เป็นแนวท่องเที่ยว เน้นบรรยายบรรยากาศของสถานที่นั้นๆ ค่ะ
เราพยายามจะฝึกเขียนแบบบุรุษที่ 3 อยู่ ไม่แน่ใจมันออกมาดีหรือเปล่า
เพราะไม่ได้เขียนมานานมากกกก ตั้งแต่ค้นพบการเขียนแบบบุรุษที่ 1 ที่มันรู้สึกว่ารัวมือได้เยอะกว่านี้ 555
ปล. มันจบค้างมั้ย แต่ตั้งใจจบแบบนี้ 555