SUMMER KISSED THE SEA
[/size]
ใครก็ชอบเทศกาลสิ้นปีกันทั้งนั้น
แต่สองสามปีมานี้ ผมไม่ค่อยอยากให้มันมาถึงสักเท่าไหร่
เพราอะไรน่ะเหรอ
ก็เพราะว่าช่วงเวลานี้เรามักจะไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันแปลกเนอะ ทั้งที่มันควรเป็น Quality Time สำหรับเรา แต่กลายเป็นเราใช้มันสำหรับให้กับสิ่งที่เรารักมากที่สุดอีกเช่นกันนั่นคือ
‘ครอบครัว’“ลงเครื่องแล้วเหรอ”
[อื้อ หนาวมากเลย ดีที่เธอเตือนเราให้เอาเสื้อขนเป็ดมา]
“ก็ปีที่แล้วไปมาหนาวมาก”
[แล้วนี่อยู่ไหน]
“ตลาดน้ำ กำลังหาข้าวกลางวันกิน ที่นั่นเพิ่งเจ็ดโมงใช่ป่าว”
[ฮ้าววว~ อ่าฮะ โคตรง่วง โคตรหิว]
“งั้นไว้คุยกันก็ได้”
[…]
“...”
[เธอปีหน้าเราอยู่ด้วยกันบ้างดีมั้ย]
“ยังไงก็ได้ แค่ได้อยู่กับเธอ”
-
“น้องนิ่มปีนี้มึงไปเคานท์ดาวน์ไหนวะ” ฉายาที่เพื่อนสนิทชอบเรียกทั้งที่ชื่อจริงของผมแมนยิ่งกว่ามันอีกจะบอก
“ให้เรียกกู
คิมบ้างเถอะ อิจี้”
“ให้เรียกกูว่าจีน่าเถอะจ้ะ เฮ้อ~” เพื่อนสนิทนั่งเท้าคางไปนั่งดูน้ำลิ้นจี่สตาร์บัคไปพลาง ราวกับขี้เกียจเสียเต็มประดา แต่จะว่าจริง ๆ มันก็น่าขี้เกียจอยู่หรอก สอบมิดเทอมเพิ่งผ่านไปไม่กี่วัน เราเลยใช้ชีวิตกันแบบนั่ง ๆ นอน ๆ เดินเล่น กินลม ชมอากาศแบบนี้มาได้สองวันแล้ว หลังจากที่เป็นซอมบี้กระหายคะแนนให้พ้นมีน
“ถอนหายใจทำเชี่ยอะไร” เหมียวที่นั่งเหม็นเบื่อไม่ต่างกันถามขึ้น เมื่อผมและจีน่าถอนหายใจพร้อมกัน ก็จะไม่ให้เบื่อได้ยังไง ในเมื่อจะปีใหม่อยู่แล้วคนรักของเราทั้งคู่ดันไม่มีวี่แววว่าจะชวนไปไหนเลยนี่สิ
“แล้ว
ทะเลไม่ชวนไรมึงเลยเหรอ”
ครับ แฟนผมเอง คบกันมาเกือบสี่ปีแล้ว
และใช่เขาไม่ได้เอ่ยปากชวนอะไรทั้งนั้น แต่เดาว่าเขาคงไปเที่ยวต่างประเทศเหมือนทุกที แต่ทำไมนะเมื่อไหร่จะบอกกัน
ผมส่ายหัวแทนคำตอบ นี่ก็จะคริสต์มาสอีกไม่กี่วัน แต่เขาก็ยังเฉย แถมยังตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือสอบวิชาสุดท้ายอย่างเคร่งเครียด แทบจะขาดการติดต่อกันไปเลย ซึ่งผมก็เข้าใจดี เพราะเด็กเนิร์ดอย่างเขาเรื่องอะไรก็จริงจังไปซะหมด
“จริงเหรอวะ เป็นไปได้เหรอวะที่มันจะไม่พูดอะไร”
“มึงคิดว่ามันจะเป็นแฟนที่น่ารักเหมือนที่พวกมึงคิดเหรอวะ เหอะ”
การคบกันมานานมันทำให้อะไร ๆ ของเรากลายเป็นเรื่องธรรมดา จนบางทีผมก็คิดว่ามันธรรมดาเสียจนกลายเป็นเรื่องไม่น่าตื่นเต้นได้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“นี่ทะเลาะกัน?”
“เปล่า ไม่ได้คุยกันเลยต่างหาก”
“ไม่จริงน่า ทะเลที่กูรู้จักมันไม่ใช่คนจะห่างจากมึงได้นี่หว่า” จีน่าหรี่สายตามอง
“เออจริง กูเห็นมึงตัวติดกันตลอด”
“ไม่รู้ว่ะ กูว่ามันมีเรื่องที่น่าสนใจมากกว่ากูมั้ง”
เขาบอกทะเลช่วงโพล้เพล้มักจะสวยที่สุด แต่ตอนนี้ทะเลของผมกลับหว่าเหว้และเดียวดาย สีส้มนวลพาดผ่านท้องฟ้ายามเย็นสุดปลายคุ้งน้ำท้องมหาสมุทรที่ไกลสุดลูกหูลูกตา ดวงอาทิตย์สีอ่อนกำลังลับขอบทะเลอีกฝากฝั่งอย่างโดดเดี่ยว ไม่ต่างจากผมที่กำลังยืนมองมันด้วยความรู้สึกหลากหลาย
ทั้งที่เราเคยตกหลุมรักช่วงเวลานี้
‘The sun kissed the sea’สลักมันลงในแหวนที่แลกกันใส่ติดตัวเสมอ
เขายังจำมันได้อยู่หรือเปล่านะ
บทเพลงในค่ำคืนนั้นที่ร้องให้ฟังจนจำขึ้นใจว่ามันจะเป็นทำนองที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ได้ฟังเรายังจะจำช่วงเวลานั้นได้เสมอ...
ผมกำลังขับรถกลับบ้านด้วยความคิดที่หยุ่งเหยิง จีน่าและเหมียวชวนไปหาร้านนั่งฟังเพลงชิล ๆ ต่อ แต่อย่างที่เห็นว่าผมไม่ได้มีอารมณ์เท่าไหร่
ไม่อยากจะเชื่อวลีที่บอกว่า
‘ยิ่งนานยิ่งห่าง’ว่ากันว่าความรักก็ไม่ต่างจากการข้ามฟากของภูเขาอีกฟากเพื่อมาเจอใครบางคนที่ยังรออยู่ แต่มันไม่ได้จบแค่พบกัน เรายังต้องเดินข้ามภูเขาไปด้วยกันอีกหลายลูก ระยะทางระหว่างทางจะพิสูจน์ว่าเราจะจับมือกันไว้ หรือแยกทางกันไปก่อนจะถึงจุดหมายที่วางไว้ด้วยกัน
แต่ทำไมวันนี้ผมกลับรู้สึกว่าจุดหมายของเขาไม่มีผมอยู่ในนั้นแล้ว...
แค่เพราะเขาไปอ่านหนังสือแล้วหายจากการติดต่อไปอย่างนั้นเหรอ
ผมไม่ได้งี่เง่าขนาดนั้นนะแต่ความมั่นใจมันเลือนหายตั้งแต่ที่เขาทำราวกับว่าการมีผมอยู่ เท่ากับการไม่มีก็ได้
ช่วงหลังมานี้เขาไม่ค่อยบอกเวลาไปไหนมาไหน เขาไม่รับโทรศัพท์จากการโทรหาเพียงหนึ่งครั้ง หลายทีที่ไม่โทรกลับมาเพียงเพราะลืม และล่าสุดเขาจำวันครบรอบของเราไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะติดงานร้องเพลงที่ร้านของรุ่นพี่
เขาไม่เคยไม่ใส่ใจ
หรือจริง ๆ
เขาหมดใจ“แม่ คิมกลับมาแล้วนะ”
“กินอะไรมายังหรือยังคะ” เสียงหญิงวัยเกือบห้าสิบขานรับลูกชายคนเดียวของบ้านจากห้องโถงรับแขกขนาดใหญ่
“กินกับจีน่าแล้วก็เหมียวมาแล้ว เดี๋ยวคินขึ้นห้องก่อนนะ วันนี้เหนื่อย ๆ” เขาไม่อยากสบตาแม่เท่าไหร่ เพราะช่วงนี้เธอถามถึงทะเลบ่อยเกินบ่อเกินไปแล้ว
“น้องคิมเดี๋ยวนี้ทะเลไม่ค่อยมาบ้านเราเลยนะคะ” นั่นไง
“...”
“ทะเลากันหรอ”
“เปล่าครับ ทะเลมีสอบ”
“อ่อค่ะ ถ้าหิวมีสปาเก็ตตี้ในตู้เย็นนะคะ”
“ขอบคุณครับ”
“เฮ้อ~ นี่สรุปเราทะเลาะกันเหรอวะเนี่ย”
ผมเปิดมือถือที่ไร้การแจ้งเตือน ปกติผมเปิดการแจ้งเตือนสำหรับคนสำคัญเท่านั้น และตลอดหลายวันนี้มีแจ้งเตือนจากเขาน้อยมาก
‘กินข้าวแล้วนะ’
‘กินข้าวด้วย’
‘อ่านหนังสือก่อนนะ’วนเวียนอยู่แค่นี้ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น อยากได้ยินเสียงเขาผ่านโทรศัพท์สักนิดก็ยังไม่มีโอกาส เพราะเขาบอกว่าติวกับเพื่อน กลัวจะรบกวนเวลาอันมีค่านั้น
คิดถึงเมื่อก่อนจังไม่อยากได้ดราม่าขนาดนี้ แต่ความน้อยใจมันสะสมมากมายเหลือเกิน จนกลายเป็นสันดอนดินที่ทับถมความรู้สึกจนมันตื้นเขินรับไม่ได้อีกต่อไป หยาดน้ำใสค่อย ๆ ไหลออกจากดวงตาที่มักจะไม่ค่อยอยากต้อนรับมัน แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นสัญญาณความอดทนของเขาหมดลงอย่างช่วยไม่ได้
เข้าใจ
ใจเย็น
รอ
เหมือนที่เขาเคยทำกับผมเสมอผมพยายามที่จะทำแบบเดียวกัน แต่สิ่งที่ตอบแทนกลับเป็นความเงียบและเฉยชาจนผมสะท้อนในใจ ทั้งที่ตอนนั้นเรายังไม่ได้เป็นอะไรกันแท้ ๆ แต่ผมกลับไม่เคยเพิกเฉยกับเขาแบบที่เขาทำตอนนี้
‘กูมานั่งข้างมึงได้ป่ะตอนเรียนอะ”
‘ทำไมถึงอยากนั่งข้างเรา ที่ก็มีว่างเยอะออก’
‘ก็ไม่รู้ อยากนั่งด้วย’
‘นี่ที่ทำอยู่อะ เราไม่เข้าใจหรอกนะ”
‘แต่มึงก็ไม่เคยปฏิเสธ’สมัยที่ยังนุ่งกางเกงขาสั้นสีน้ำเงินคนละสถาบัน เขาเข้าหาผมด้วยท่าทีสบาย ๆ เพราะเป็นคนที่มักทำความรู้จักใครไปทั่ว เพื่อนเราก็รู้จักกัน เขาและผมโคจรมาช่วงเวลาที่ไม่ได้เหมาะสมสักเท่าไหร่ และนั่นก็ทำให้เราจับมือฝ่าฟันมันมาด้วยกันจนนี้
การยอมรับว่าทั้งหัวใจมีเขาอยู่ในนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
เพราะผมรู้ตัวเสมอว่าเขาไม่ใช่แบบที่จะชอบผู้ชายได้
แต่นี่ก็ผ่านมาหลายปี
ทุกช่วงเวลามีเขาเสมอไม่ว่าจะมองไปคราไหน
ผมไม่เคยจินตนาการในวันที่ไม่มีเขา ไม่เคยมีภาพนั้นในหัว เพราะถ้าถึงวันนั้นก็คงอยู่ไม่ได้เหมือนกันครืดดด ครืดดด
แจ้งเตือนจากปลายสายเป็นคนที่ผมคิดถึงมาตลอดหลายวัน เกือบเที่ยงคืนที่เขาโทรเข้ามา ผมไม่มั่นใจว่าทำไมอยู่ ๆ ก็เป็นเวลานี้
“ฮัลโหล”
[นอนหรือยัง]
“ยัง”
[พรุ่งนี้สอบเสร็จไปหานะ]
“อื้อ”
[เป็นอะไร โกรธหรือไง]
“เปล่า นี่อ่านหนังสือเสร็จแล้วหรอ”
[อื้ม กำลังขับรถกลับบ้าน ตอนแรกว่าจะแวะไปหา แต่ไม่ไหว]
“ไม่ต้องมาหรอก กลับบ้านเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยเจอก็ได้”
[งั้นพรุ่งนี้เจอกันนะ เดี๋ยวไปรับที่บ้าน]
เขาไม่เคยวางสายใส่ผมทั้งที่ไม่ได้เอ่ยคำบอกลาแบบนี้ อาจจะเพราะเหนื่อย ๆ ก็ได้มั้ง ไม่เป็นไรพรุ่งนี้ก็จะได้เจอแล้ว ความคิดถึง ความกังวล และความน้อยใจ มันอาจจะจบลงตอนนั้นก็ได้
ผมภาวนาให้มันเป็นแบบนั้น
ทั้งที่ไม่มั่นใจเลยสักนิด-
“
ทะเล ไอ้เหี้ย มึงทำกับน้องนิ่มมของกูแบบนี้ได้ไง หัวขวด”
“น้องนิ่มเป็นของมึงตั้งแต่เมื่อไหร่ เคยนั่งอยู่ ๆ แล้ววูบป่ะ” ทะเลเหวใส่กัปตันตอนที่เล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง
“ก็มึงแม่งเหี้ยอะ ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลยนี่หว่า”
“เอาน่า กูอยากให้เขาเซอร์ไพรส์”
“ห่า คิดเหี้ยไรเด็ก ๆ กูว่าก่อนที่มึงจะเซอร์ไพรส์เขานะ เขาเซอรไพรส์บอกเลิกมึงก่อนอะ ห่า คิดเหี้ยอะไร” กัปตันด่าเพื่อนไป พร้อมยกสายรุ้งสีหวานตกแต่งคอนโดของเพื่อนประสาทกลับไป
ทะเลวางแผนจะทำเซอร์ไพรส์คนรักในวันคริสต์มาสเพราะเจ้าตัวรู้ว่าอีกฝ่ายรักเทศกาลนี้แค่ไหน และเขาไม่ใช่คนโรแมนติกที่จะทำอะไรแบบนี้บ่อยนัก เลยกลัวจะโป๊ะแตกต่อหน้าด้วยที่โกหกไม่เก่ง และไม่เคยปกปิดอะไรกับอีกฝ่ายเลยสักเรื่อง ฉะนั้นการเลี่ยงการสนทนา หรือเจอหน้าเป็นอะไรที่ปลอดภัยมากกว่า มีเพียงกัปตันที่รู้ความคิดของเขา และโดนด่าทุกเมื่อเชื่อวันจากความคิดง่อย ๆ ของผม
เขาคือความสำคัญหนึ่งเดียวที่ผมยกให้ก่อนใครต้องอดทนแค่ไหนที่จะไม่รับโทรศัพท์เขาตอนที่โทรมา ไม่ใช่กำลังอ่านหนังสือ แต่เลือกซื้อของตกแต่งเพื่อทำเซอร์ไพรส์อีกคน
ไม่ได้ลืมวันครบรอบเมื่อเดือนที่แล้ว แต่ไปเรียนทำเค้กคอร์สสั้น ๆ ซึ่งตรงกับวันนั้นพอดี กว่าจะเลี่ยงบาลีว่าไปร้องเพลงที่ร้านรุ่นพี่ ทุกอย่างก็หมดวันไปเสียแล้ว
ไม่เจอหน้าหลายวันได้แต่นั่งมองหน้าจอมือถือที่เป็นรูปเขานอนตักตัวเองอย่างกับคนเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ อดทนไม่ไปเจอ เพราะคงทนไม่ได้ที่จะเห็นหน้าหงอย ๆ ของเขา ผมคงใจอ่อนที่เปิดปากเล่าเรื่องราวทั้งหมด
พรุ่งนี้แล้วนะคนดี
จะขอโทษทุกอย่างเลย
ทะเลอยากให้ฤดูร้อนของเขามีความสุขที่สุดคิมหันต์ ยังคงเป็นฤดูร้อนที่ผมเฝ้ามอง และหลงใหลเสมอมา เป็นความอบอุ่นที่เผยให้เห็นท้องฟ้าสีสดใสกว่าทุกฤดูกาล เป็นช่วงเวลาผ่อนคลายทุกครั้งที่ได้ใช้เวลาด้วย รอยยิ้มที่เหมือนแสงแดดอุ่นยามเช้าที่ส่องผ่านม่านที่มองเมื่อไหร่ก็ตกหลุมรักอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
เขายังเป็นคนนั้นคนเดียว
ตลอดมาทะเล เป็นทั้งชื่อเล่นและชื่อจริงที่ใครก็บอกว่ามันช่างยูนีค เหตุผลเดียวที่ผมชื่อนี้คือพี่ชายชื่อ สายลม และเหนือฟ้า ส่วนเขาเกิดมาผิวแทนกว่าใครเลยได้ชื่อทะเล ความกว้างใหญ่ไพศาลที่โอบอ้อมไปด้วยแสงอาทิตย์ทำให้นายทะเลคนนี้ทั้งเต็มไปด้วยความสดใส ทว่าร้อนแรง ใจกว้าง แต่ลึกล้ำ และไม่เคยมีใครล่วงรู้ว่าจุดที่ลึกที่สุดของทะเลอยู่ตรงไหน
จนฤดูร้อนพัดผ่านเข้ามา‘คน ๆ หนึ่ง
ได้เปลี่ยนแปลงทุก ๆ อย่างไป
คนที่ทำให้ยิ้มได้
ไม่ว่าเราจะเศร้าเพียงไหน’เพลงจากคลื่นวิทยุที่เปิดผ่าน ๆ ในรถ แค่ได้ยินยังยิ้มออกมา เพราะคนนั้นในเพลงมันเป็นคนเดียวมาหลายปีแล้ว เป็นคนที่เข้ามาเพื่อให้อะไรในชีวิตดีขึ้นอย่างที่พี่บอลพี่เมื่อยบอกจริง ๆ ทุกอย่างมีความหมายขึ้น เพียงเพราะมีเขาอยู่ในเรื่องนั้น
‘เธอคนหนึ่ง
ทำให้รักฉันเปลี่ยนไป
ก็ไม่รู้ไม่เข้าใจ
อาจเป็นเพราะคู่กัน’ดอกกุหลาบสีโรสโกลว์ถูกจัดช่ออย่างประณีตจากร้านชื่อดังที่คิมหันต์ชอบ ผมเหลือบมองมันและจินตนาการถึงตอนที่ยื่นให้คนรับ รอยยิ้มสว่างไสวนั้นคงทำให้ผมอุ่นไปทั้งใจ
ผมจอดรถบ้านหลังใหญ่ที่แวะเวียนมาเสมอ แต่ช่วงนี้หายไปนานจนหมาที่บ้านเขาอาจจะลืมหน้ากันไปแล้ว แล้วยิ่งแม่เขาล่ะไม่รู้จะตอบคำถามยังไงเลย ไลน์มาหาเมื่อไม่กี่วันว่าอยากให้เขามากินบัวลอยไข่หวาน แต่ผมก็ทำได้แค่ปฏิเสธจากการโกหกคำโตว่ากำลังจะสอบ ทั้งการสอบที่ว่าผ่านไปแล้ว
มัวจะวุ่นวายเตรียมของเซอร์ไพรส์เขาในวันคริสต์มาสอีฟในวันนี้
“สวัสดีครับแม่”
“อ้าวทะเล สวัสดีครับ หายหน้าหายตาไปหลายวันเลยนะ แม่คิดว่าลูกแม่จะอกหักซะแล้ว”
“ขอโทษทีครับ สอบคราวนี้ลากเลือดเลย”
“คิมอยู่บนห้องค่ะ บอกแม่ว่าไม่ค่อยสบาย” แม่ของคนที่ผมมาหาตอบขึ้นหลังที่ผมสอดส่าสายตาไปทั่วบ้านเพื่อหาคนที่เป็นเจ้าของดอกไม้ในมือ
“หรอครับ ถึงว่าไลน์มาไม่ตอบเลย งั้นผมขอขึ้นไปหาคิมนะครับ”
“ค่ะ คุยกันดี ๆ นะ” คุณวิภาลูบไหล่ของผมก่อนจะเดินกลับไปจิบชา ผมไม่เห็นคนอื่นในบ้าน สงสัยคุณพ่อคงออกไปทำงานแล้ว ส่วนน้องสาวเขาก็คงออกไปเรียนพิเศษ
ผมไม่ได้เคาะประตูเพราะกลัวจะรบกวนคนที่น่าจะกำลังนอนอยู่ แอร์เย็นปะทะใบหน้าอย่างจัง ไหนว่าไม่สบายทำไมยังเปิดแอร์เย็นขนาดนี้
“ไง”
“...” ไร้การตอบรับจากคนบนเตียงสีขาว
“เธอ ไม่สบายหรอ” คนที่นอนเอาหน้าซุกหมอนขยับตัวเพราะผมเอามือเย็น ๆ ของตัวเองแตะที่หน้าผาก เสียงงำงำของคนที่งัวเงียฟังไม่ได้ความว่าพูดอะไร จนเขาต้องเอาหูเข้าไปใกล้ ๆ
“คนใจร้าย”
“นิสัยไม่ดี”คิมหันต์พูดคล้ายกับละเมอ แต่มันกลับเป็นเรื่องจริงที่คงติดค้างอยู่ในใจเขา อยากจะรวบเจ้าตัวมากอดให้จมอก แต่ไม่อยากรบกวนเวลานอน เขาตัวอุ่น ๆ เห็นกระปุกยาข้างหัวเตียงก็แน่ใจว่าเขาได้กินยาแล้ว ใจเบาไปเปราะหนึ่งเพราะไม่ชอบเลยที่เห็นคนไม่สบายตัวแบบนี้
ปากแดงสดด้วยพิษไข้ยิ่งทำให้เขาน่ารักขึ้นกว่าเดิม แพขนตายาวแผ่กระจาย ผิวขาวเนียนละเอียดราวกับหิมะ ทุกอย่างคือเขาคนเดิมที่มองเมื่อไหร่ก็ไม่มีวันละสายตาได้สักวินาที
เกลี่ยเส้นผมที่ปรกใบหน้าชื้นเหงื่อแม้อากาศในห้องจะเย็นเพราะพิษไข้ ก่อนจะก้มลงไปกดจุมพิตเบา ๆ ที่หน้าผาก หวังอวยพรให้เขาหายและตื่นมาให้ผมอุ่นใจสักที
ช่อดอกไม้ถูกว่างข้างหัวเตียงคนป่วย ผมไถลตัวไปนอนข้าง ๆ พินิจพิจารณาคนที่ไม่ได้เจอกันหลายวัน ผมอยากจะตื่นมาเจอเขาทุกวัน อยากใช้เวลาทุกวินาทีเพื่อที่จะได้เห็นดวงตากลมโตคู่นี้ อยากจะนั่งมองริมฝีปากคู่นี้ และอยากได้รับทุกความรู้สึกจากเขา แต่ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็ไม่ต่างจากต้องขังเขาไว้ที่คอนโด ไม่ต้องได้เห็นเดือนเห็นตะวัน ซึ่งนั่นมันบ้า
ผมอยากบ้านะเพราะถ้ามาเห็นเขาตอนนี้ ก็คงไม่อยากให้ใครได้เห็นเขาทั้งนั้น
ฤดูร้อนของทะเล มันต้องเป็นแค่ของเขาเท่านั้นแหละ“อื้อออ”
“...”
“มาได้ไง”
“ก็บอกจะมารับ แต่ป่วยใส่เฉย”
“หึ”
คนตื่นมาเจอผมนอนข้าง ๆ หันหลังใส่กัน ผมคิดไว้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายมีท่าทีไม่ทางปกติ เพราะผมเองที่ทำตัวผิดปกติก่อน เอื้อมไปกอดคนที่แน่ใจแล้วว่างอนกันชัวร์ แต่เขาขยับหนีทั้งที่อีกนิดจะตกเตียง
“ขอโทษ” กระซิบข้างหูคนป่วยเบา ๆ แล้วกระชับอ้อมแขนเข้าหาตัวเอง แผ่นหลังของคนที่นอนห่มผ้านวมหน้าติดกับแผงอกของผม “แต่มีเหตุผลนะ”
“รอฟังมาเป็นอาทิตย์”
“...”
“ถ้าฟังไม่ขึ้นมีเจ็บแน่ ๆ คุณทะเล”
“โคตรเมียเลยว่ะ” อยากงับหูเล็กนั่น แต่ก็กลัวจะโกรธกว่าเดิม เพราะแค่พูดคำนี้หูคนที่โดนกอดก็แดงแจ๋
“เมียพ่อง”
“คำหยาบไม่เข้ากับน้องนิ่มเลยนะครับ”
“กวนตีน”