เปิดเผยตัวตน
วันนั้นซือสือก็เลยได้พบหน้าคนที่อยากเจอสมใจอยากในระยะประชิดเสียด้วย แถมยังมีตัวแถมอย่างหมิงเจี้ยนเพิ่มมาด้วยอีกหนึ่งคน และการถูกเชิญเข้ามานั่งเผชิญหน้ากันแบบนี้ มันไม่ใช่อะไรที่คาดการณ์ไว้สักเท่าไหร่
“มีคำอธิบายไหม” หวังเหล่ยเป็นฝ่ายเปิดคำถาม
ซือสือกำลังจะส่ายหัวแทนคำตอบ แต่หมิงเจี้ยนดันพูดออกมาเสียก่อน
“ไอ้หมอนี่ จู่ๆ ก็ลากผมวิ่งอ้อมหลังตึกมาทำไมก็ไม่รู้” หมิงเจี้ยนทำเป็นใช้มือปัดเศษฝุ่นเศษใบไม้ออกจากตัวแล้วส่งสายตากวนประสาทมาให้
ซือสือทำได้แค่หันไปแยกเขี้ยวใส่ แล้วก็โดนกดดันด้วยสายตาเย็นชาที่มองมาอย่างคาดคั้น
“คือว่า..ผมหลงทาง” แสร้งทำหน้าโง่ๆ แล้วหัวเราะกลบเกลื่อน
“โกหกชัดๆ! ” หมิงเจี้ยนไม่ยอมรามือ
“หมิงเจี้ยน! ” ซือสือยกมือชี้หน้าอย่างหมดความอดทน ไอ้เด็กอวดดีทำเป็นยืนหน้าล้อเลียน ใช่สิวะ อยู่ต่อหน้าคุณอาก็เลยคิดจะทำอะไรก็ได้ใช่ไหม!
“นายต้องการอะไร มาทำลับๆ ล่อๆ แถวตึกคลาสพิเศษ” หมิงเจี้ยนหรี่ตามองอย่างจับผิด ในใจยังคงไม่ยอมรับคนที่เรียนธรรมดาจู่ๆ ก็เทียบกับคลาสพิเศษขึ้นมา
และคำว่าลับๆ ล่อๆ นั่นทำอาจารย์หวังเหล่ยหันมามองพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงถาม
“ใส่ความชัดๆ! ” ซือสือทำหน้าจริงจังเถียงคืน
“นายนี่มัน...”
“สำรวม” แค่เพียงคุณอาหลุดพูดออกมาคำเดียว ทำเอาหมิงเจี้ยนสะดุ้งหน้าเสีย แล้วก้มหน้าสำรวมกิริยาทันทีโดยไม่ต้องให้พูดซ้ำ
คราวนี้ซือสือได้ทีหันไปทำหน้าทะเล้นใส่บ้าง ‘สมน้ำหน้า’ ขยับปากพูดโดยไม่มีเสียง ก่อนจะโดนสายตาดุๆ ของอาจารย์หวังเหล่ยมองมา
หวังเหล่ยหยิบพลาสเตอร์แปะแผลให้หมิงเจี้ยนเมื่อเห็นรอยขีดข่วนตามตัว คงจะมาจากการที่ทั้งคู่วิ่งลัดเลาะด้านหลังตึกซึ่งมีแต่พุ่มไม้และกิ่งไม้แห้งที่อยู่นอกเหนือการดูแลของภารโรง หมิงเจี้ยนยื่นมือรับมาแกะปิดปากแผลด้วยสีหน้ายินดี หันไปยักคิ้วอวดอีกคนที่นั่งข้างๆ แต่แล้วก็ต้องนิ่งอึ้ง…..
เมื่อถึงคราวที่ซือสือจะยื่นมือไปรับพลาสเตอร์ แต่อาจารย์หวังเหล่ยกลับฉีกซอง แล้วลอกพลาสติกแปะปิดตรงรอยข่วนที่แขนให้ด้วยตัวเอง
“มีคำอธิบายไหม? ” คำถามเดิมแต่ในน้ำเสียงไม่ได้ฟังเย็นชาเหมือนในตอนแรก เมื่อหวังเหล่ยเงยหน้าถามซือสือ
คนถูกถามหลบสายตาใช้ปลายนิ้วเขี่ยจมูกด้วยความเคยชิน ก่อนจะส่ายหน้าพร้อมกับสบตาคนถาม
….และที่หมิงเจี้ยนงงหนักไปกว่านั้นคือคุณอาไม่คาดคั้นเอาเรื่องต่อ?
นี่มันสองมาตรฐานไม่ใช่เหรอ!!
“ผมขอตัวกลับห้องเรียนล่ะ” หมิงเจี้ยนลุกขึ้นโค้งให้คุณอา ส่งสายตาขุ่นเคื่องให้ซือสือ ก่อนจะถอยหลังออกจากห้อง
เมื่อเหลือกันแค่สองคน ทั้งห้องก็เงียบเสียจนเกือบจะได้ยืนเสียงหายใจอีกคน
“เมื่อกี้..หมิงเจี้ยน..เรียกคุณอา..? ” ซือสือเอ่ยถามเพื่อทำลายความเงียบ
หวังเหล่ยตอบด้วยการพยักหน้าแล้วพูดเพียงสั้นๆ “ลูกของลูกพี่ลูกน้อง”
ซือสือพยักหน้าตามทำเสียง ‘อืม’ ในลำคอ ดูจากการที่มองคุณอาด้วยสายตาชื่นชมเป็นประกายนั่น เดาได้ว่าตั้งเป้าจะเจริญรอยตามคุณอาจ้าวแน่ๆ ไม่รู้จะสงสารหรือควรเอาใจช่วยดี
“ทำไมถึงรู้จักกันได้” หวังเหล่ยเอ่ยถามเสียงเรียบ นั่นเพราะเด็กคลาสพิเศษจะถูกแยกออกมาจากคลาสธรรมดา
ซือสือคลี่ยิ้มด้วยแววตาสนุกสนานก่อนตอบ
“ไอ้หมอนั่นสอบได้อันดับหนึ่ง”
หวังเหล่ยมองใบหน้าคนพูด ถามต่อด้วยสายตาโดยไม่ต้องพูด อีกฝ่ายก็เริ่มยืดอกโออวดตัวเอง
“และปีนี้ผมคือที่สอง ชิ! ”
ด้วยเพราะซือสือกำลังยืดอกเชิดหน้าโอ้อวดตัวเอง เลยไม่ได้ทันเห็นว่ามุมปากของคนฟังกระตุกยิ้มเล็กน้อยตอนที่ได้ยินเรื่องราว
“อันดับสองสินะ”
“อาจารย์...กำลังหัวเราะเยาะผม? ” ซือสือหรี่ตามองอย่างจับผิดในท่าทางเฉยชานั้น
“.....”
คนอย่างหวังเหล่ยโกหกไม่เป็น เมื่อไม่ตอบแสดงว่าเป็นอย่างที่ซือสือคิด
“ชิ! คราวหน้าต้องได้อันดับหนึ่งให้ได้” ซือสือยกมือกอดอกด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“คุณชายที่สอง”
“ว่าไงนะ? ” ซือสือได้ยินไม่ถนัด
“คุณชายที่สอง” น้ำเสียงราบเรียบจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง และคราวนี้สายตาคู่นั้นก็จ้องมองมาที่ซือสืออย่างจงใจ
ซือสือรู้สึกเหมือนเดจาวู เหตุการณ์แบบนี้มันเคยเกิดขึ้นมาก่อน เพียงแต่สลับฝั่ง และ...ไม่มีทาง…
…..ไม่มีทางที่หวังเหล่ยจะรู้
ทำไม….? คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัว ใจหนึ่งรู้สึกยินดี หากแต่อีกใจกลับหวาดกลัว
ซือสือกัดริมฝีปากตัวเองแน่น แม้ว่าอยากจะถามคำถามมากมายแต่ไม่อาจจะเอ่ยออกมาได้ หากไม่ได้คิดไปเองแววตาของหวังเหล่ยยังคงจ้องมองมาราวกับรอคอยให้เปิดปาก และเมื่อซือสือยังคงดื้อดึงฝ่ามือนั้นถึงได้ยื่นมาตรงหน้า ซือสือเผลอนั่งตัวเกร็งตอนที่ปลายนิ้วเรียวเพียงแค่ปัดผ่านปลายผมแล้วหยิบเศษใบไม้ติดมือมา
“อย่าซนให้มาก” หวังเหล่ยเอ่ยปรามด้วยสีหน้าราบเรียบ
….หวังเหล่ย
….หวังเหล่ย
….หวังเหล่ย
เสียงตะโกนเรียกคนตรงหน้าในใจ แต่ความจริงซือสือยังเม้มปากแน่นกลัวว่าจะหลุดปากพูดอะไรออกไป
“ผะ..ผมต้องกลับห้องเรียนแล้ว” ซือสือลุกขึ้นยืน โค้งให้ก่อนจะหมุนตัววิ่งออกไปจากห้องโดยไม่หันกลับมามองคนข้างหลัง
มือข้างหนึ่งยื่นออกไปคว้าได้เพียงอากาศว่างเปล่ายังคงปล่อยค้างอยู่อย่างนั้น ริมฝีปากราบเรียบเอ่ยชื่ออีกฝ่ายแผ่วเบาหลังจากเสียงประตูปิดลง…
ซือสือไม่สามารถสงบจิตสงบใจได้เลยในนช่วงบ่าย ไม่มีกระจิตกระใจจะต่อล้อต่อเถียงกับอาจารย์ หรือแม้แต่ตอนที่เพื่อนรุ่นน้องในห้องชวนไปหาอะไรกินหลังเลิกเรียน ไม่สนกระทั่งคำว่าเลี้ยงต้อนรับกระชับสัมพันธ์ ทั้งยังส่งข้อความไปหาพ่อบ้านเถิงไม่ให้ม่รับวันนี้จะกลับเอง
‘พี่ชายจะไปไหนเหรอ’ วิญญาณหลิ่งซือลอยตามหลังถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ซือสือหยิบหูฟังมาเสียบทำเป็นว่ากำลังคุยโทรศัพท์
“ไปที่หนึ่ง”
‘ที่ไหน? ’
ซือสือเงียบ...สายตามองตรงไปข้างหน้า แววตาคู่นั้นไหววูบเศร้าสร้อย แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าไม่สามารถกลับไปที่นั่นได้อีกก็ตาม
“บ้าน”
คำตอบสั้นๆ ของซือสือพร้อมกับสาวเท้าไปตามทิศทางที่คุ้นเคยในความทรงจำ แม้ว่าสภาพแวดล้อมจะเปลี่ยนไปมากแล้วก็ตามที
‘พี่ชาย...’
เสียงเรียกของหลิ่งซือแผ่วเบาราวกับสายลม ซือสือพาตัวเองมาหยุดยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามหน้าบ้าน เพราะตอนนี้ไม่ได้เปิดเป็นร้านขายของเหมือนเมื่อก่อนแล้ว นั่นทำให้คนแปลกหน้าไม่มีเหตุผลอันควรที่จู่ๆ จะเดินเข้่าไป
เนิ่นนานจนท้องฟ้าเปลี่ยนสี จนแสงของวันหมดไปกลายเป็นแสงไฟ ซือสือยังคงยืนอยู่ตรงนั้นจ้องมองความเป็นไปตอนที่พ่อกลับมา แม่ออกไปซือของกับน้องสาว จนไฟในบ้านเปิด เงาคนในบ้านที่ให้เห็นแค่แวบผ่านไปมา
ถ้าหากเพียงชั่วเวลานี้
ถ้าหากได้ก้าวเข้าไปใกล้อีกสักหน่อย….
ขอแค่ได้เข้าใกล้…อีกนิดเดียว
ปลายเท้าขยับข้ามฝั่งไปอย่างที่ใจเรียกร้อง
‘พี่..ผมขอโทษนะ..ขอโทษ’ วิญญาณหลิ่งซือที่ลอยตามมาเอ่ยแผ่วเบา อย่างน้อยถึงแม้จะไม่มีใครเห็น แต่หลิ่งซือไม่ได้ยืนอยู่คนเดียว
ซือสือส่ายหน้าแทนคำตอบกลับของคำขอโทษนั้น วางมือลงบนกำแพงบ้านที่สูงตระหง่านราวกับจะซึมซับความรู้สึกคิดถึงทั้งหมดที่มี หูเหมือนจะแว่วได้ยินเสียงพูดคุยกันข้างในบ้าน ขอบตาเริ่มร้อนผ่าวขณะที่กำลังแนบหูเข้ากับกำแพงโดยไม่รู้ตัว
“นั่นใครน่ะ? ” เสียงผู้หญิงสูงวัยทักมาจากด้านหลัง
ซือสือสะดุ้งใจหายวาบ น้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมาจากขอบตาด้วยเพราะจำเสียงนี้ได้ดีแม้จะจากไปกว่าสิบปี ยังไม่ทันจะได้หันกลับไป ฝ่ามือของใครคนหนึ่งก็เอื้อมมาปิดหน้าเอาไว้พร้อมกับเกี่ยวเอวรั้งตัวให้หลบไปตรงหัวมุมถนนได้ก่อนที่เงาเจ้าของเสียงจะเดินเข้ามาเจอ…
“ซือสือ...”
เสียงเรียกที่ได้ยินนั้นทำเอาซือสือนิ่งงงงัน เป็นอีกเสียงทีจำได้แม้จะไม่ได้เห็นหน้า ปล่อยให้ฝ่ามือข้างนั้นปิดหน้าเอาไว้ทั้งที่น้ำตาไหลอาบแก้ม อ้อมแขนอีกข้างกอดกระชับแน่นแนบกับอกกว้างทางด้านหลังตอนที่ซือสือเริ่มสะอื้นหนักขึ้น ไม่สนใจแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้
‘ผมขอโทษ..’
เสียงของวิญญาณหลิ่งซือดังให้ได้ยินผ่านหูอีกครั้ง ตอนที่ซือสือหยุดสะอื้นและมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นแล้ว มีเพียงเงาของใครบางคนที่ทอดยาวมาจากด้านหลัง แล้วก็ต้องถึงคราวเผชิญหน้า…
เจ้าของใบหน้าราบเรียบยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเมื่อหมุนตัวกลับไป
“นายจำฉันได้ตั้งแต่เมื่อไหร่? หวังเหล่ย….”
คนถูกถามสีหน้าหม่นหมองลง ก่อนจะใช้ปลายนิ้วปาดน้ำตาบนใบหน้าของคนถาม สายตาที่เคยเย็นชามีแววเศร้าสร้อยชัดเจน
“ทำไมฉันจะต้องจำนายไม่ได้..ซือสือ” น้ำเสียงที่ตอบกลับมาฟังเจ็บปวดเสียยิ่งกว่า
ชื่อที่ถูกเรียกอีกครั้งทำเอาซือสือยืนนิ่งด้วยความรู้สึกหลากหลายในใจ….
***********************