Mysterious Stranger : คน(แปลกหน้า)ในฝัน
ผมมองเข้าไปในห้องอันเงียบเหงาที่ผมเพิ่งเข้ามาอยู่ได้ไม่นาน ก่อนจะปิดประตู แล้วเดินออกไปอย่างที่เคย
ทำไมถึงได้รู้สึกเหงาขนาดนี้กันนะ
ถ้ามีใครสักคนที่ทำให้เราหายเหงาได้ ก็คงดี
ผมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะยกมือขึ้นมาลองดีดนิ้วดู
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ก็แน่สิ ผมไม่ได้มีพลังวิเศษอะไรนี่นา
เฮ้ย คิดอะไรเนี่ย ไร้สาระจริง ๆ เลยเรา คงจะดูหนังเยอะเกินไปแล้วมั้ง รีบเดินไปเรียนดีกว่า
"ก้อง ไอ้ก้อง ตื่น ๆ เลิกคลาสแล้ว" เพื่อนที่นั่งข้างกันสะกิดเรียกผมให้รู้สึกตัว
"อือ..." ผมขานตอบเสียงยาน
"หลับงี้ เมื่อคืนดูหนังดึกอีกแล้วอ่ะดิ" เพื่อนอีกคนแซว
"เปล่า" ผมปฏิเสธเสียงอ่อน เมื่อคืนดูหนังก็จริง แต่ไม่ได้ดึกขนาดนั้น
"ปะ ไปกินข้าวกัน พวกนั้นไปรอหน้าห้องแล้วเนี่ย"
"อือ...ไป ๆ"
ผมเดินตามเพื่อน ๆ ไปเรื่อย ๆ จะเข้าร้านอะไรผมก็กินได้หมด ไม่มีปัญหา
หลังจากกินข้าวเสร็จ ผมก็แยกย้ายกับเพื่อน ๆ เพราะพวกนั้นจะไปนั่งดูสาวๆกัน แต่ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่ ก็เลยแยกตัวออกมา
ซึ่งตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว ผมจึงเดินกลับห้องของตัวเอง
วันนี้ก็คงเป็นอีกวันที่อะไรๆก็เหมือนเดิม
ผมเดินเนิบนาบไปที่หน้าประตูห้อง ก่อนจะหยิบกุญแจออกมาไขลูกบิดเปิดประตู
แต่กลับเจอคนแปลกหน้านั่งอยู่
"เอ่อ...ขอโทษครับ" ผมรีบปิดประตูทันที สงสัยจะเดินมาผิดห้อง นี่เราเหม่อถึงขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย แล้วห้องนี้ก็ไม่ล็อคไว้ซะด้วย อยู่ไปได้ยังไงกันเนี่ย
ผมเดินเลยออกไป แต่ก็ต้องก้าวถอยหลังกลับมาดูเลขห้อง ซึ่งดูยังไงๆมันก็เลขห้องของผมนี่หว่า
ผมจึงเปิดประตูเข้าไปดูอีกครั้ง
"มีอะไรรึเปล่าครับ" คำถามจากคนแปลกหน้าทำให้ผมขมวดคิ้วสงสัยเล็กน้อย ผมว่าดูเลขห้องแน่ใจแล้วนะว่าถูกต้อง ไม่ได้มึนอะไรขนาดนั้น
"นี่ใครครับ"
"พี่ชื่อไทม์ครับ น้องล่ะใคร" ผมรู้สึกสะดุดใจกับชื่อของเขา
"ผมก้อง เป็นเจ้าของห้องนี้"
"เอ้า นี่ห้องพี่"
"นี่ห้องผม"
"ถ้าเป็นห้องน้องอ่ะ พี่จะเข้ามาอยู่ได้ไง"
"ห้องผม เนี่ยกุญแจก็ไขอยู่" ผมกดล็อคประตูก่อนที่จะไขกุญแจตาม ซึ่งมันก็ไขได้
"โอเค งั้นนี่ก็เป็นห้องของเรา เข้ามาก่อนสิ" ห๊ะ แบบนี้ก็ได้เหรอ
"ท่าทางดูเหนื่อยนะ เข้ามานั่งพักก่อนไหม พี่ไม่ทำอะไรหรอกน่า"
ผมเดินงง ๆ เข้าไปในห้องของตัวเองตามคำเชิญของคนแปลกหน้า วางกระเป๋าพลางมองสำรวจไปรอบห้อง ถึงจะไม่ค่อยมีของอะไร แต่ของที่วางอยู่ก็ของ ๆ ผมทั้งนั้น
ไม่ว่าจะดูยังไงห้องนี้ก็เป็นห้องของผมชัด ๆ
จะว่าไปในหนังหลายๆเรื่อง มีพูดถึงช่วงเวลาสนธยา
ซึ่งเวลานี้จะเป็นเวลาที่สิ่งที่ไม่ใช่คนจะถูกปลดปล่อยออกมาและมีชีวิต
หรือว่า...ที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้จะไม่ใช่คน
"เฮ้ย ไม่ต้องกลัว พี่ไม่ใช่ผี ดูทำหน้าเข้า"
"งั้นพี่เป็นใครอ่ะ"
"พี่เป็น....เอเลี่ยน" เขาก้มหน้าลงไปทำอะไรสักอย่าง
"ตลกแล้วพี่"
"จริง ๆ นะ เปิดหน้าผากมาพี่อาจมีตาที่สามแบบไอ้ตัวนี้ก็ได้ เรื่องอะไรนะ ทอยสตอรี่...ใช่ไหม" เขาชี้ไปที่ตุ๊กตาตัวสีเขียวที่มีสามตา
"อือ" ผมพยักหน้าตอบกลับไป
"แฮร่" เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ พร้อมกับเปิดผมที่ปิดหน้าผากออก เผยให้เห็นกระดาษที่วาดรูปตาแปะอยู่บนหน้าผาก
"เฮ้ย เล่นอะไรเนี่ย" ผมตกใจเล็กน้อย ซึ่งไม่ได้ตกใจกับกระดาษรูปตาอะไรนั่นเลย ที่ตกใจก็เพราะหน้าของเขานั้นใกล้มาก
"แหม เล่นนิดเล่นหน่อยไม่ได้เลยนะ อุตส่าห์มาอยู่ห้องด้วย" ผมขมวดคิ้วนิดหน่อยกับคำพูดของคนตรงหน้า แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไรเขาก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้น จนทำให้ผมผงะถอย
"เอาออกให้หน่อย"
"ติดเองก็แกะเองสิ"
"นะ" เขาทำเสียงอ้อน ผมจึงตัดรำคาญด้วยการหลับหูหลับตาดึงออก "โอ้ย ๆ เบา ๆ สิครับ"
"เล่นอะไรก็ไม่รู้"
ผมเดินหนีไปที่ห้องนอน พอแอบมองออกไปก็ยังเห็นคนแปลกหน้านั่งดูโทรทัศน์อยู่ที่เดิม ก็เลยตัดสินใจอาบน้ำเปลี่ยนชุดให้สบายตัวสักหน่อย
แต่พอผมเข้ามาในห้องน้ำก็ต้องยืนนิ่งมองดูแปรงสีฟันที่เพิ่มขึ้นมา
เอาวะ อย่าไปกลัว อย่าไปคิดมาก เค้าก็ไม่ได้ดูเลวร้ายอะไรสักหน่อย และถ้าให้หนีตอนนี้ก็ไม่รู้จะไปที่ไหน เอาเป็นว่าตามน้ำไปก่อนก็แล้วกัน
แต่ก็คงต้องพิสูจน์อะไรสักหน่อยล่ะ เพื่อความสบายใจ
"อ้าว...จะนอนแล้วเหรอ เพิ่งสองทุ่มเอง" ผมยืนชั่งใจดูว่าเขาจะทำอะไรต่อ "ดูหนังด้วยกันก่อนดิ"
"เอ่อ..." ผมยืนมองดูเขาที่นั่งอยู่กลางโซฟา แล้วจะให้ผมไปนั่งตรงไหนได้กัน ซึ่งคงเพราะท่าทางเก้กังของผมเขาจึงเขยิบไปนั่งชิดที่โซฟาอีกด้าน ผมถึงได้นั่งลงหยิบโทรศัพท์ออกมาดูเล่น
"ปกติเวลานี้ทำอะไรบ้าง" พอผมเงียบไม่ตอบ เขาก็พูดเสียงดังขึ้น "ว่าไงครับ"
"ถ้าไม่มีงาน ก็ฟังเพลง เล่นเกม อ่านหนังสือครับ"
"หนังสือการ์ตูนอ่ะเหรอ"
"หนังสือเรียนผมก็อ่าน"
"อ้อ..." เขาทำหน้าไม่เชื่อ ก่อนจะหันกลับไปดูโทรทัศน์
ผมเพิ่งรู้ตัวว่าหนังที่ฉายอยู่เป็นหนังไล่ฆ่าสยองขวัญ เสียงดนตรีก็กระตุ้นหนักขึ้น พอถึงฉากโหด ผมก็เผลอสะดุ้งสุดตัว
ถึงคนเราจะชอบดูหนัง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะดูได้ทุกประเภทสักหน่อยนี่ จริงไหมล่ะ
"เฮ้ย กลัวเหรอ เปิดเรื่องอื่นก็ได้นะ" เขาหันมาทำหน้าแปลกใจ
"ไหน ใครกลัว"
"เก่งครับ...เก่ง" ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่เขาก็ก้มลงหยิบรีโมทมากดเปลี่ยนช่อง ซึ่งผมก็ได้โอกาสนี้ยื่นสร้อยพระออกไปตรงหน้าของเขา
"เฮ้ย เฮ้ย ร้อน ๆ เอาออกไป ๆ"
"กลัวแล้วครับ กลัวแล้ว พุทโธ ธัมโม สังโฆ นะโม โอมเพี้ยง" ผมขดตัวนั่งหลับตาพนมมือตัวสั่นกับท่าทางของคนตรงหน้า แต่เขากลับส่งเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ
"เฮ้ย พี่ไม่ใช่ผี เป็นไรเนี่ย มา ๆ เดี๋ยวใส่ให้ดูก็ได้ มา" ผมยังไม่ไว้ใจ แต่ก็ค่อยๆลืมตาออกมาทีละนิด ก็เห็นว่าคนแปลกหน้ายื่นมือมาขอพระจากผม ผมก็ได้แต่ยื่นไปให้แบบส่ง ๆ โดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่า เขากำลังแอบจับมือผมอยู่นาน กว่าจะหยิบเอาสร้อยพระออกไป
"เอ้า เห็นไหม พี่ไม่ใช่ผีจริงๆ นี่ไงใส่ให้ดูเลยยังได้"
"แล้วจะร้องทำไมอ่ะ" ผมโวยวาย
"พี่ชอบแกล้งคน"
"อายุเท่าไหร่กันเนี่ย" ผมถามเสียงฉุน ก่อนหน้านี้ก็เอากระดาษมาติดหน้าผากเป็นตาที่สาม ตอนนี้ก็ยังมาหลอกเป็นผีเล่นอีก
"อืม พันกว่าปีแล้ว"
"เว่อแล้ว"
"ก็พี่เป็นคนติดพัน" เขาเอาสร้อยพระมาพันข้อมือจนยุ่งเหยิง จนผมหลุดขำออกมาเล็กน้อย
"เอ้ย ยิ้มแล้ว งั้นพี่เป็นพ่อมดแล้วกัน เพราะพี่มีคาถาเสกให้คนยิ้มได้"
"บ้าบอ"
"เดี๋ยว...ช่วยแกะด้วยสิ" เขายื่นมือออกมาตรงหน้าผม
"ใช่ของเล่นไหมเนี่ย" ผมบ่น แต่ก็ต้องแกะเอาสร้อยพระออกมาแล้วเอากลับไปวางไว้ที่เดิม จึงกลับมานั่งเล่นโทรศัพท์เงียบ ๆ พลางมองคนที่กำลังสนุกกับการดูโทรทัศน์
ผมได้แต่นั่งนิ่ง เพราะว่าทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะทำยังไงดี แต่ระหว่างที่กำลังนั่งเล่นอยู่ ไฟก็ดับ เกิดความมืดไปทั่วห้อง
ผมจำได้ว่ามีไฟฉายอยู่จึงใช้แสงจากโทรศัพท์มือถือเพื่อไปหยิบออกมา ได้ไฟฉายมาสามกระบอก น่าจะเป็นของพวกเพื่อน ๆ ที่ฝากผมเก็บไว้ตอนไปค่าย แล้วก็ลืมไว้ ไม่เอากลับไปด้วย
"มาเดี๋ยวทำให้ มีกระจกไหม" เขาจัดแจงให้แสงสว่างจากไฟฉายส่องได้เกือบทั่วห้อง ซึ่งทำให้ผมแปลกใจสุด ๆ
พอจัดไฟเสร็จ เขาก็ทรุดนั่งบนเก้าอี้มองมาที่ผม
"หยิบกีต้าร์ให้หน่อย"
"กีต้าร์...ไม่มีนี่ครับ" ผมทำหน้างง มันจะไปมีได้ไงของแบบนั้น เขาจึงเดินข้ามตัวผมมาที่มุมห้องข้างโซฟา แล้วหยิบกีต้าร์ออกมา
"แล้วนี่เรียกว่าอะไรครับ"
"เฮ้ย มีได้ไง" ผมขมวดคิ้ว มาจากไหนล่ะนั่น หรือว่าเขาจะเอามาด้วย
"ก็บอกแล้วว่านี่ห้องพี่" เขาทำหน้าเหนือกว่า จนผมหมั่นไส้
ผมนั่งเล่นโทรศัพท์ไปเรื่อยเปื่อย พลางมองพี่ไทม์นั่งเล่นกีต้าร์ท่ามกลางแสงสลัวจากไฟฉายเป็นระยะ
"ร้อนว่ะ"
"เฮ้ย จะทำอะไร" ผมได้ยินเสียงแว่ว จึงเงยหน้าขึ้นไปดู ก็เห็นว่าเขากำลังจะถอดเสื้อ
"ถอดเสื้อไง อากาศมันร้อน"
"เฮ้ย ไม่ได้" ผมยังพูดไม่ทันจบ เขาก็ดึงเสื้อออกจากหัวไปวางพาดไว้บนเก้าอี้
"ถอดไปแล้ว" เขาทำหน้ากวน "ไฟดับบ่อยรึเปล่า ว่าไงครับ"
"ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่น่าจะเพราะฝนตกหนัก"
"นี่สินะภาวะพลังงานไม่เสถียร" เขาพึมพำ
"อะไรนะ"
"ไม่มีอะไร" เขาเฉไฉ
นั่งเล่นไปสักพัก ก็มีแสงสว่างวาบจากฟ้าแลบตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องอันดังลั่น จนผมเผลอสะดุ้งตัวโยน
"ขี้กลัวนะเนี่ย"
"ไม่ได้กลัว แค่ตกใจ"
"อ้อ ลืมไปว่าเก่ง"
เสียงกีต้าร์ดีดเบา ๆ เป็นเพลงที่ผมไม่รู้จัก แต่รับรู้ได้ถึงท่วงทำนองอันอ่อนโยน ผมจึงเพ่งมองไปยังชีเปลือยครึ่งท่อนที่กำลังนั่งเล่นกีต้าร์อย่างตั้งใจ
และเหมือนเขาจะรู้สึกตัวว่าผมกำลังจ้อง คนขี้แกล้งจึงได้เงยหน้ามายิ้มให้ผมแบบนั้น
แบบที่ทำให้หัวใจของผมกระตุก
ไฟติดอีกครั้งในเวลาเกือบเที่ยงคืน ผมจึงเดินเข้าห้องนอน โดยที่อีกคนก็เดินตามเข้ามาด้วย
"เดี๋ยวพี่"
"หือ"
"พี่จะนอนบนเตียงกับผมไม่ได้"
"เอ้า ก็นี่ห้องพี่ จะให้พี่ไปนอนที่ไหนล่ะ"
"มั่วแล้วพี่ นี่ห้องผม"
"นี่ก็ห้องพี่"
"ห้องผม"
"ห้องพี่"
"ห้องผม"
"ห้องเรา"
เกิดความเงียบไปชั่วขณะ แต่จะว่าไปแล้วที่หอนี้ก็มีการเปิดแชร์ห้องสำหรับลดค่าใช้จ่ายอยู่นี่นา หรือว่าเจ้าของหอจะจำผิดว่าห้องผมไม่ได้ขอแชร์
"เออ หรือเจ้าของหอจะดูผิดว่าห้องนี้เปิดแชร์ห้อง แล้วให้กุญแจมาแน่เลย พรุ่งนี้ผมต้องไปคุยกับเค้าสักหน่อย"
"ก็คิดได้"
"เอ้า แล้วจะให้ผมคิดยังไงล่ะ ถ้าไม่ใช่แบบที่ผมคิด พี่ก็เป็นผีที่สิงอยู่ในห้องแล้วมั้ง"
"เออ อันนี้สิเป็นไปได้"
"ดึกแล้ว ผมไม่เล่นด้วยนะ"
"ก็ไม่ได้เล่น หรือว่าพี่จะเป็นผีจริง ๆ แบบที่ยังไม่รู้ตัว"
"พูดดี ๆ นะ"
"พี่เป็นผี...เป็นผีผ้าห่มไง" เขาพูดเสียงเย็นพลางหยิบผ้าห่มมาคลุมตัว แล้วพุ่งเข้ามา ทำเอาขาผมสะดุ้งไปโดนลำตัวของเขาเต็ม ๆ "โอ้ย เจ็บนะครับ"
"สมน้ำหน้า" ผมเย้ย
"อ่ะ นอน ๆ ไม่แกล้งแล้ว"
"หึ..." ผมมองแบบไม่ไว้ใจ
"พี่จะนอนนิ่ง ๆ ไม่กระดิกตัวเลย"
"อือ..." ผมพยักหน้าแบบเสียไม่ได้ เพราะว่าง่วงเต็มที แต่ระหว่างที่ล้มตัวลงนอน หางตาก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง "เดี๋ยวพี่"
"หือ" เขาหันมามองแบบงง ๆ
"ใส่เสื้อก่อน" ผมพยักพเยิดว่าเขากำลังเป็นชีเปลือยอยู่ พอเขาก้มลงมอง ก็เงยหน้าขึ้นมาทำตาเจ้าเล่ห์ใส่ จนผมต้องยกเท้าขึ้นมาอีกรอบ ก่อนหน้านี้ไม่ได้ตั้งใจ แต่ครั้งนี้จะเล็งเป้าให้แม่นเลย
เขาอมยิ้มส่ายหัวเล็กน้อย ก่อนเดินออกไปหยิบเสื้อมาใส่ แล้วกลับมาล้มตัวลงนอนข้างผม
นี่ผมกำลังคิดอะไรอยู่กันนะ ถึงได้มานอนร่วมเตียงกับคนแปลกหน้า คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นคนจริง ๆ หรือเปล่า
"ฝันดีครับ"
แต่อย่างน้อย เขาก็ทำให้ผมยิ้มได้ ทำให้ผมไม่รู้สึกเหงาอีกต่อไป
ซึ่งมันก็เป็นความปรารถนาในส่วนลึกของผม ความปรารถนาที่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น จากความเศร้าของผม