1407
นาฬิกาบนฝาผนังบอกเวลาสิบหกนาฬิกายี่สิบเจ็ดนาที
บ้านไม่เล็กไม่ใหญ่หลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ห่างออกมาจากแหล่งชุมชน รั้วสีขาวมีร่องรอยของกาลเวลาย้อมให้มันเปื้อนเปรอะไปบ้าง พุ่มดอกไม้กับต้นมะม่วงที่เริ่มออกผลทำให้บ้านหลังนี้ดูร่มรื่นน่าอยู่ไม่น้อยเลย
แอ๊ด
ประตูไม้เรียบๆ ถูกเปิดจากคนด้านใน ร่างสูงในชุดง่ายๆ อย่างเสื้อยืดคอกลมกับกางเกงวอร์มขายาวหยุดยืนอยู่ที่กรอบประตูแล้วทอดสายตาเหม่อมองต้นมะม่วงต้นนั้นที่เติบโตขึ้นมามากจนต้องคอยตัดกิ่งที่ยื่นออกไปนอกรั้วอยู่บ่อยๆ
อีกไม่นานมะม่วงบนต้นก็คงสุกงอมและกลายเป็นสีเหลืองอ่อนๆ ให้เจ้าของได้สอยมันลงมาไว้ทานเองและแบ่งปันเพื่อนบ้านที่ออกจะอยู่ห่างกันไปสักหน่อย
ผู้ชายคนนั้นผ่อนลมหายใจให้หัวคิ้วที่ขมวดยุ่งคลายลง เขาเดินออกมาจากบริเวณบ้าน ดึงประตูบานเดิมงับปิดและลงกลอนเรียบร้อย
รถยนต์กลางเก่ากลางใหม่ถูกถอยออกจากรั้วบ้าน ประตูอัตโนมัติทำให้ไม่ต้องเสียเวลาลงไปปิดเปิดด้วยตัวเอง ยานพาหนะสีเทาหม่นเพราะเปื้อนฝุ่นเคลื่อนตัวพ้นจากบริเวณบ้าน แล่นไปบนถนนที่ทอดยาวเข้าสู่ตัวเมืองซึ่งเป็นแหล่งพลุกพล่านของชุมชน
ช่วงเวลาเย็นย่ำแบบนี้รถในเมืองนั้นติดพอสมควร ชายหนุ่มที่นั่งหลังพวงมาลัยพ่นลมหายใจออกมาอยู่หลายทีกว่ารถยนต์ของเขาจะพ้นจุดแออัดนั้นมาได้
จอโทรศัพท์บอกเวลาหกโมงเศษๆ แล้ว
ร่างสูงโปร่งในชุดง่ายๆ เอื้อมหยิบถุงกระดาษถุงใหญ่ที่เบาะหลัง ยกยิ้มให้ยามเฝ้าประตูอย่างเป็นมิตรก่อนเดินเอื่อยๆ ขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นที่ 14 ของคอนโดด้วยความคุ้นชิน
คอนโดแห่งนี้นับว่าเป็นสถานที่ที่ดีเพราะตั้งอยู่ในตัวเมือง ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าแค่เดินยี่สิบนาทีเท่านั้น ทั้งยังไม่คับแคบหรือใหญ่โตจนเกินไป เหมาะกับพนักงานกินเงินเดือนจะใช้เป็นที่พักอาศัยในสถานที่ที่ค่าที่ดินและบ้านแพงหูฉี่
1407ตัวเลขบนหน้าประตูห้องเป็นตัวเลขเดียวกับพวงกุญแจที่ห้อยอยู่กับกุญแจสองดอกในมือ เขาเสียบมันเข้าไปในลูกบิดประตู หมุนเล็กน้อยก็ได้ยินเสียงดังกริ๊กเพราะตัวล็อคถูกปลด
ภายในห้องร้อนอบอ้าวนิดหน่อย มีกลิ่นอับเล็กๆ เนื่องด้วยหน้าต่างและผ้าม่านถูกปิดเอาไว้
ชายหนุ่มวางถุงกระดาษไว้บนโต๊ะก่อนเดินไปเลื่อนผ้าม่านเปิดออกพร้อมเลื่อนบานหน้าต่างให้เปิดกว้าง ลมธรรมชาติโชยเข้ามาภายใน สร้างชีวิตชีวาให้แก่ห้องเงียบๆ ห้องนี้พอสมควร
ถุงกระดาษที่วางเอาไว้ในตอนแรกถูกหยิบขึ้นมาอีกครั้ง เขาเดินถือมันเข้าไปในห้องนอนด้วยรอยยิ้ม ไฟในห้องนั้นไม่เปิดอยู่ดังนั้นผู้มาเยือนจึงกดสวิตซ์เพื่อเปิดมัน
“ไง มึง” เขาเอ่ยทักทายคนที่มีดวงตาสีน้ำตาลเข้มดูดุดัน รอยยิ้มประดับไม่เลือนหายไปจากริมฝีปาก
ร่างโปร่งทรุดนั่งลงบนเตียงที่เริ่มส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเพราะมีอายุไม่น้อยเลย
เขาวางถุงกระดาษที่พกมาด้วยไว้บนโต๊ะข้างเตียง เมื่อมือทั้งสองว่างก็เลื่อนกลับมากอบกุมกันไว้และวางลงบนตัก
“ช่วงนี้ไม่ว่างเลยไม่ค่อยได้มาหา มึงคงไม่โกรธกันใช่ไหม”
องศา บอกด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ เขาย่นจมูกน้อยๆ แล้วลุกขึ้นไปเปิดบานหน้าต่างออกเพื่อรับลมและไอแดดเข้ามาภายใน
“ช่วงนี้อากาศไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ฝุ่นเยอะไปหมดจนจามแทบจะทั้งวันเลย”
คนบ่นว่าพลางควานหาของบางอยู่ในกระเป๋ากางเกงด้านหลัง คว้าซองบุหรี่เหี่ยวๆ ออกมาได้ซองนึง เมื่อคลี่ปากที่ฉีกแล้วออกดูก็พบว่าเหลือมวนสุดท้ายแล้ว ไฟแช็กที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงถูกหยิบขึ้นมาลนที่ปลายแท่งนิโคตินสีขาว
องศาคาบมันไว้ในปาก สูดไอร้อนผ่าวของมันลงคอแล้วพ่นควันขาวขุ่นผ่านริมฝีปากออกมากระจายทั่วห้อง
“ห้ามบ่นเรื่องบุหรี่นะ” คนที่กำลังทำเรื่องไม่ดีรีบแย้งเมื่อเผลอสบเข้ากับดวงตาดุๆ สีเข้มคู่นั้น นึกได้เลยว่าจะได้ยินคำบ่นว่าอะไรบ้าง
บุหรี่ไม่ใช่ของดี แต่ประชากรชายในไทยต่างสูบมันจนเป็นเรื่องปกติ
สมัยเขาเป็นนักกีฬา เขาหลีกเลี่ยงของพวกนี้เพราะไม่ดีต่อสุขภาพและกล้ามเนื้อ แต่เมื่อวางมือแล้วและหันมาเป็นพนักงานนั่งโต๊ะเต็มตัว การที่จะสูบมันเพื่อคลายเครียดคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ติดที่ว่าเจ้าคนที่ผมสีเดียวกับตานั่นจุกจิกเรื่องสุขภาพจนน่ารำคาญไปสักหน่อย
“นี่ กูมีเรื่องจะเล่าให้มึงฟังเยอะแยะเลย”
ควันบุหรี่ถูกพ่นออกมาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่มวนนิโคตินที่เพิ่งสูบไปไม่เท่าไหร่จะถูกโยนลงพื้นแล้วบดขยี้ด้วยปลายเท้าที่สวมสลิปเปอร์พื้นหนาอยู่
“วันก่อนกูเพิ่งไปเยี่ยมไอ้ดีมา ลูกชายออกมาหน้าเหมือนมันอย่างกับแกะ” คนพูดฉีกยิ้มกว้างเมื่อนึกไปถึงเด็กชายตัวเล็กๆ ที่เริ่มพูดได้แล้วแม้จะไม่ค่อยเป็นคำ แถมเวลาเห็นเขายังชอบทำนิ่วคิ้วขมวด ดุแบบเด็กๆ ด้วย
ถอดแบบพ่อมันออกมาแทบทุกส่วน
“แถมเมียมันก็ทำกับข้าวอร่อยมาก แต่จะว่าไปสปาเก็ตตี้ฝีมือมึงก็อร่อยเหมือนกัน ไม่ได้กินตั้งนานแล้วแฮะ”
นิ้วเรียวเคาะลงบนแก้มตอบของตัวเองอย่างครุ่นคิด เหม่อมองสบกับดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่เดิมแล้วคลี่ยิ้มออกมาบางๆ
“มึงว่าพวกเราจะเป็นคู่รักที่น่าอิจฉากันแบบนั้นได้ป่ะ”
มือขาวยกขึ้นมาไว้ในระดับสายตา แหวนวงเกลี้ยงบนนิ้วนางข้างซ้ายโดดเด่นกว่าทุกสิ่งเพราะองศาไม่มีเครื่องประดับอย่างอื่น
เขามองนิ้วนางของตัวเองอยู่อย่างนั้น รอยยิ้มบนริมฝีปากดูเหยเกอย่างประหลาด
“ต้นมะม่วงที่มึงปลูกเอาไว้ก่อนบ้านจะเสร็จโตแล้วนะ ลูกดกเสียด้วย ไว้มันสุกแล้วกูจะเก็บเอามาให้” น้ำเสียงที่เคยมั่นคงค่อยๆ สั่นระริกทีละน้อย “อ๋อ เมื่อตอนวันเกิดกูเอาของเล่นไปแจกเด็กกำพร้า มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งถอดแบบมึงออกมาอย่างกับแกะเลย หน้าก็นิ่ง ท่าทางก็ทื่อมะลื่อ พูดอะไรไปก็ได้แต่จ้องกลับมาเพราะตามไม่ทัน”
เด็กคนนั้นเหมือนเจ้าของผมสีเดียวกับดวงตาจริงๆ นั่นแหละ
“เห็นมึงบอกว่าอยากรับเลี้ยงเด็กสักคน ไว้กูจะติดต่อกับคุณครูที่นั่นให้ แล้วถ้าทำเรื่องเสร็จจะพามาแนะนำให้รู้จัก”
ดวงตาน้ำตาลเข้มคู่นั้นยังคงนิ่งสนิท ไม่มีร่องรอยการตอบรับถ้อยคำพูดใดๆ ของเขาเลย
“มึง...”
น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงออกมาจากดวงตาข้างซ้าย เคลื่อนที่ผ่านแก้มและหยดลงบนตัก ก่อนที่มันจะซึมหายเข้าไปในเนื้อผ้าราวกับไม่เคยมีมาก่อน
“ขอโทษนะ”
แหวนบนนิ้วนางข้างซ้ายหนักอึ้งจนมือข้างนั้นตกลงไปตามแรงโน้มถ่วง จากน้ำตาหยดเดียวเริ่มเพิ่มพูนเป็นสอง สาม และไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย
ร่างโปร่งบนเตียงสะอื้นตัวโยกโยน แต่ก็ยังฝืนลืมตาเพื่อจ้องใบหน้าของคนที่อยู่ในความทรงจำเสมอมา เขาเอื้อมหยิบเอาถุงกระดาษมาถือไว้ ดึงของด้านในออกมาวางไว้ข้างหมอน
“กูซื้อขนมของโปรดมึงมาฝาก” เสียงพูดนั้นสั่นจนจับใจความแทบไม่ได้ ทั้งยังกระท่อนกระแท่นราวกับจะพูดไม่จบประโยค
ลำคอของเขาแสบร้อน ศีรษะก็ปวดตุบจากการพยายามกลั้นแรงสะอื้น มือขวาขยำผ้าปูที่นอนจนยับย่นในขณะที่ใบหน้าบิดเบี้ยวขึ้นทุกขณะ
“ภูผา”
ถ้อยคำที่ร้องเรียกไปไม่มีการตอบรับ
“มึงจะให้อภัยกูรึยังวะ”
สองปีแล้วนะ นับจากวันนั้น...
แหวนบนนิ้วนางข้างซ้ายก็ถูกสวมมาสองปีแล้วเช่นกัน
องศาไม่สามารถกั้นทำนบน้ำตาได้อีกครั้ง เขารวบเสื้อยืดบนเตียงซึ่งเป็นตัวที่อีกฝ่ายใส่อยู่บ่อยๆ ขึ้นมากอดไว้แน่น ขาสองข้างยกขึ้นมาชันไว้บนฟูก กอดตัวเองแล้วซบใบหน้าลงบนเสื้อตัวนั้น แว่วเสียงร่ำไห้ดังออกมาราวกับคนๆ นั้นกำลังจะขาดใจตาย
สองปีแล้ว
สองปีแล้วที่เสื้อตัวนี้ไม่มีคนใส่
สองปีแล้วที่ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นเหลือเพียงแค่รูปถ่ายที่ตั้งเอาไว้บนหมอนใบเขื่องที่คอนโด
สองปีแล้วที่องศาย้ายออกจากคอนโดที่อยู่ด้วยกันมาตลอดตั้งแต่เรียนจบ เพราะทนไม่ได้ที่จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความทรงจำของคนๆ นั้นอยู่ทุกที่
มันช่างเป็นสองปีที่แสนทรมาน
สองปีที่ภูผาไม่มีลมหายใจอยู่แล้วบนโลกใบนี้อีกแล้ว
“กูขอโทษ ฮึก”
คำขอโทษ ไม่รู้จะส่งไปถึงคนๆ นั้นไหม
แหวนบนมือซ้ายร้อนผ่าวราวกับเป็นของร้อน มันเจ็บแสบเข้ามาถึงขั้วหัวใจ เพราะความทรงจำเมื่อสองปีก่อนนั้นยังชัดเจน
“แต่งงานกันนะ”
คนๆ นั้น... น้ำเสียงทุ้มต่ำกับท่วงท่าจริงจังในการคุกเข่าเพื่อร้องขอให้คนรักเข้ามาร่วมสร้างชีวิตด้วยกันอย่างจริงจัง
ภูผานั่งอยู่ตรงนั้น ที่ข้างๆ เตียงที่ในตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่
เข่าข้างหนึ่งของเขาคุกลงกับพื้น อีกข้างตั้งชันขึ้นมาเพื่อวางแขน ดวงตาดุดันทว่าเต็มไปด้วยความจริงใจจับจ้องมาที่เขาอย่างมีความหวัง
ในวันนั้นองศาเพียงแต่ส่ายหน้าแล้วกดฝากล่องแหวนปิดลงไป
คำพูดที่เขาบอกกับภูผาในตอนนั้นคือ “ยังไม่พร้อม”
และนั่นคือคำพูดสุดท้ายที่เขาได้พูดกับคนที่รักเช่นกัน
เพราะคนๆ นั้นฆ่าตัวตายในวันต่อมาหลังจากถูกปฏิเสธการแต่งงาน...
ในห้องน้ำนั่น...
ห้องน้ำที่อยู่ภายในห้องนอน...
ห้องน้ำที่เขาปิดตายไปเพราะไม่อยากเห็น ท่อนไม้มากมายถูกนำมาตอกปิดประตูบานนั้นไว้จนกลายเป็นกำแพงหลังจากร่างเย็นชืดของภูผาถูกยืนยันว่าหมดลมหายใจแล้ว
แหวนวงนั้นกับกล่องกำมะหยีสีแดงถูกกำไว้แน่นในฝ่ามือแกร่งที่เคยกุมมือเขาเอาไว้ในทุกคืนก่อนนอน ตำรวจยื่นมันมาให้ในตอนที่ร่างของภูผาถูกย้ายเข้าไปไว้ในโรงพยาบาลเพื่อรอให้ครอบครัวมาทำพิธี
กล่องเล็กๆ กล่องนั้น หนักยิ่งกว่าภูเขาลูกหนึ่ง
กดทับลงมาบนหัวใจของเขา ยามที่ต้องมองผ้าคลุมค่อยๆ ถูกเลื่อนมาคลุมใบหน้าซีดขาวของคนที่นอนนิ่งสนิทอยู่บนเตียง
และเมื่อกลับมาที่คอนโด...ที่เป็นบ้านของเรา
ทุกอย่างเงียบสงัดไปหมด
ไม่มีคนคอยเรียก “องศา” อีกต่อไป
ไม่มีคนตัวสูงที่มักซื้อขนมปังนมสดที่เขาชอบมายื่นให้อีกแล้ว
เหลือเพียงความว่างเปล่ากับแหวนวงหนึ่งบนนิ้วนางข้างซ้ายของเขา ซึ่งเจ้าของแหวนไม่ได้สวมมันลงมาด้วยตัวเอง
“กูขอโทษ ผา กูขอโทษ...”
คำขอโทษที่พร่ำบอกตอนนี้ใครจะได้ยินกันนะ
แต่องศาก็ทำได้ดีที่สุดเพียงเท่านี้
ภูผาเหลือตัวตนเพียงในความทรงจำของเขา กับรูปถ่ายหนึ่งใบที่เอาไว้คอยตอกย้ำไม่ให้เขาลืมเลือนใบหน้าของผู้ชายที่เขารักที่สุดในชีวิต
“ขอโทษ... ขอโทษจริงๆ”
นาฬิกาบนฝาผนังบอกเวลาสิบหกนาฬิกายี่สิบเจ็ดนาที
บ้านไม่เล็กไม่ใหญ่หลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ห่างออกมาจากแหล่งชุมชน รั้วสีขาวมีร่องรอยของกาลเวลาย้อมให้มันเปื้อนเปรอะไปบ้าง พุ่มดอกไม้กับต้นมะม่วงที่เริ่มออกผลทำให้บ้านหลังนี้ดูร่มรื่นน่าอยู่ไม่น้อยเลย
แอ๊ด
ประตูไม้เรียบๆ ถูกเปิดจากคนด้านใน ร่างสูงในชุดง่ายๆ อย่างเสื้อยืดคอวีกับกางเกงวอร์มขายาวหยุดยืนอยู่ที่กรอบประตูแล้วทอดสายตาเหม่อมองต้นมะม่วงต้นนั้นที่เติบโตขึ้นมามากจนต้องคอยตัดกิ่งที่ยื่นออกไปนอกรั้วอยู่บ่อยๆ
ต้นมะม่วงตอนนี้ไม่มีลูกเหลืออยู่แล้ว องศาเพิ่งตัดมันออกแล้วนำไปแบ่งเพื่อนบ้านเมื่อตอนเช้า เขาเหลือไว้กับตัวเองสองสามลูก ห่อด้วยหนังสือพิมพ์แล้วเอาใส่ถุงผ้าอย่างดี
รถยนต์กลางเก่ากลางใหม่ค่อยๆ ถูกถอยออกจากรั้วบ้านเมื่อเจ้าของบ้านลงกลอนประตูบ้านเรียบร้อยแล้ว ยานพาหนะสีเทาหม่นเพราะเปื้อนฝุ่นเคลื่อนตัวพ้นจากบริเวณบ้าน แล่นไปบนถนนที่ทอดยาวเข้าสู่ตัวเมืองซึ่งเป็นแหล่งพลุกพล่านของชุมชน
เวลาหกโมงเศษๆ รถยนต์ที่เริ่มมีเสียงแปลกๆ ก็จอดลงหน้าคอนโดกลางเมืองคอนโดหนึ่ง เขาแบ่งมะม่วงให้ยามลูกหนึ่งแล้วเดินเข้าไปในล็อบบี้เพื่อขึ้นลิฟต์
หมายเลข 1407 ยังคงเป็นจุดหมายปลายทางของเขา
ประตูห้องบานนั้นถูกเปิดเข้าไปอย่างที่มันถูกเปิดในทุกๆ วันที่ 10 ของทุกเดือน
กลิ่นอับและความมืดถูกทำให้จางหายด้วยการเลื่อนบานหน้าต่างเปิดออกพร้อมดึงม่านให้กว้างขึ้น เขาสำรวจเฟอร์นิเจอร์โล่งๆ ว่าไม่มีอะไรเสียหายก่อนจะเดินช้าๆ ตรงไปยังห้องนอนที่แสนคุ้นเคย
แอ๊ดด
“ผา วันนี้กูเอามะม่วงมาฝากมึงด้วย”
[END]
Ref song : 20 ตุลา - 20 ตุลา - SILLY FOOLS
ได้แรงบันดาลใจมาจากเพลงด้านบนค่ะ
ขอบคุณสำหรับทุกยอดวิวและยอดคอมเมนต์นะคะ รัก <3