[re-print] เปิดสั่งซื้อ จิ้งจอกแต่งเมีย เล่ม 1 และ เพลิงรักวายุทะลุเมฆา (2 เล่มจบ) ค่า
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [re-print] เปิดสั่งซื้อ จิ้งจอกแต่งเมีย เล่ม 1 และ เพลิงรักวายุทะลุเมฆา (2 เล่มจบ) ค่า  (อ่าน 4621 ครั้ง)

pungseon

  • บุคคลทั่วไป





เปิด reprint ...จิ้งจอกแต่งเมีย เล่ม 1... (นิยายเรื่องนี้มี 2 เล่มจบค่ะ แต่เป็นจบในเล่มนะคะ รับรองว่าอ่านแล้วไม่ค้างคาใจแน่นอน ส่วนเล่ม 2 กำหนดออกประมาณปลายปีค่ะ)





เรื่อง :ไกว้เต้าหง

ภาพ : ม่อฉ่วน

จัดทำโดย : Chromatic

ราคา : 260 บาท



เรื่องย่อ


  “ฉันมีจิ้งจอกน้อยอยู่ตัวหนึ่ง แต่ก็ไม่เคยขึ้นขี่ จนมาวันนี้ เกิดอยากจะขี่มันไปดูงิ้วสักที ~ ~

   ช่างไร้มารยาทเสียจริง!
อายุของเซียนจิ้งจอกอย่างข้า ขนาดว่าใส่สแควร์รูทแล้วยังมากกว่าเจ้าเด็กผีลู่เหยียนเซินเสียอีก!
เรื่องคดีฆาตรกรรมที่ตลาดเอย เรื่องเล่าลึกลับในโรงเรียนเอย ปีศาจขอความช่วยเหลือบ้าบออะไรกัน!
มันไม่มีวัน ไม่มีวันจะช่วยอะไรเจ้าเด็กนี่เป็นอันขาด!


“จิ้งจอกน้อย อยากกินฟองเต้าหู้ทอดไหม?”
“หือ?...”

   ...อะแฮ่ม! ถ้าลองคิดถึงฟองเต้าหู้ทอดแล้ว ช่วยนิดช่วยหน่อยคงไม่เป็นไรน่า...





เปิด reprint 'เพลิงรักวายุทะลุเมฆา' มี 2 เล่มจบนะคะ



เล่มต้น







เรื่อง : เติ่งมู้

ภาพ : หลิ่วเว่ย

จัดทำโดย : Chromatic

ราคา : 600 บาท



เรื่องย่อ


ฟงเหว่ยชิงเริ่มก้าวเข้าสู่ยุทธภพเมื่อสี่ปีก่อน เขาได้ช่วยชีวิตชายหนุ่มชุดขาวผู้หนึ่งเอาไว้ และไม่คิดเลยว่าคนผู้นั้นจะกลับมาแทนคุณเขาด้วยการแก้แค้น โดยทิ้งให้เขาต้องทนเจ็บปวดกับพิษร้ายในวัดร้างแห่งหนึ่งเพียงลำพัง
สี่ปีต่อมา...ฟงเหว่ยชิงได้สำเร็จวรยุทธ์ เขาเพียงแค่อยากพบหน้าชายหนุ่มผู้นั้นอีกสักครั้ง เพียงเพื่อเอ่ยถามนามของเขา แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะต้องถูกชายหนุ่มผู้นั้นหลอกให้พบกับทางตันอีกครั้ง 
คนเพียงคนเดียวกับภาพที่แสนจะคุ้นเคย หยาดน้ำตาบนใบหน้าของชายหนุ่มกลายเป็นหยดน้ำที่ไหลรินเพื่อตัวเขา หรือว่า…





เล่มปลาย





ในที่สุดก็โน้มน้าวจนฉู่อวิ๋นเลิกล้มความคิดในการแก้แค้นได้สำเร็จ ฟงเหวยชิงได้ใช้ชีวิตคู่กับจิงฉู่อวิ๋นเป็นระยะเวลาสั้นๆ สมใจปรารถนา
ช่วงเวลาแห่งความสุขที่ทั้งคู่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันเหมือนดั่งคู่รักเทพบุตรผู้สุขสันต์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว แล้วทั้งสองก็ถูกอำนาจของมหาคลื่นนำพาพวกเขาให้กลับเข้าไปสู่ยุทธภพอีกครั้ง
ด้วยวรยุทธ์อันเลิศล้ำของฟงเหวยชิง ผนวกกับสถานะลึกลับของจิงฉู่อวิ๋ ล้วนกลายเป็นหมากที่เฮยเป่าใช้เดินในแผนการลับ
ผู้คนที่รายล้อมรอบกายพวกเขาอยู่นั้น แท้ที่จริงแล้วหวังดีหรือประสงค์ร้ายกันแน่?
หนทางสีครามทอดไกลสุดหล้าฟ้าเขียว เส้นทางในเจียงหูกว้างสุดลูกหูลูกตา จะมีสักวันไหมที่สองสายใยจะได้มาบรรจบกันอีกครั้ง.....



สั่งจองโดยการแจ้งรายละเอียดเข้ามาที่ pungseon_neul [แอท] เมลร้อนดอทคอม




โดยตั้งหัวข้อว่า 'จอง...รายชื่อหนังสือที่ต้องการจอง'


รายละเอียดในเมล

ชื่อ-นามสกุล :
e-mail :
ชื่อหนังสือ/จำนวน :



เื่มื่อทางเราได้รับเมลจองแล้ว จะส่งรายละเอียดการชำระค่าหนังสือ และ คำนวณค่าหนังสือ + ค่าส่งกลับไปให้นะคะ


ระยะเวลาในการเปิดจองและโอนเงิน : วันนี้ - 20 ตุลาคม 2556
จัดส่งหนังสือ : 25 - 30 ตุลาคม 2556




ตามอ่านตัวอย่างการแปลของทั้งสองเรื่องได้ที่ Reply ต่อไปค่ะ


V

V

V

V
Share This Topic To FaceBook

pungseon

  • บุคคลทั่วไป

จิ้งจอกแต่งเมีย...


บทนำ


ท้องฟ้าแจ่มใสปลอดโปร่ง ดวงอาทิตย์ลอยสูงสาดแสงสว่างจ้า ครอบครัวลู่ทั้งหมดสามชีวิตออกเดินทางไปปิกนิก ถึงจะบอกว่าไปปิกนิกก็เถอะ แต่กลับไม่มีความเบิกบานของการปิกนิกสักนิด สาเหตุก็คือหัวหน้าครอบครัวลู่ “ลู่ฉือ” คนนี้นี่เอง

“แม่ เมื่อไหร่จะได้กินข้าวสักที?” ลู่เหรินที่อายุแปดขวบเต็ม แบกกระเป๋าเดินทางหนักอึ้งไว้บนหลัง เดินไปข้างหน้าอย่างฝืนใจเต็มที มือของเขาจับจูงน้องสาวที่อายุเพิ่งจะครบสามขวบ ขมวดคิ้วพลางจ้องไปยังแม่ของตัวเอง

“ใกล้จะถึงศาลาเล็กแล้วล่ะ! น่าจะอีกห้าสิบเมตรนะ” ปากของลู่ฉือพูดเช่นนี้ ทว่าสายตากลับอดไม่ได้ที่จะเสมองไปทางอื่น

“คนโกหก!”

ลู่เหรินไม่อาจเชื่อน้ำคำที่มารดากล่าวออกมาได้อย่างสนิทใจ คราวก่อนที่ไปบ้านยาย นางก็พูดว่าห้าสิบเมตร ผลคือต้องขอความช่วยเหลือจากคุณตำรวจ นั่งรถตำรวจเสียสามชั่วโมงกว่าจะถึงบ้านยาย

“งั้นพวกเราก็พักสักหน่อยละกัน” ลู่ฉือว่าพลางหาก้อนหินนั่งง่ายๆ

“ช่วยด้วย...” เสียงอ่อนระโหยเสียงหนึ่งดังแว่วมา

“เอ๊ะ?” ลู่เหรินเงยหน้าขึ้น มองหาต้นเสียง หากมองแล้วกลับมีแต่ต้นไม้ใบหญ้าเท่านั้น “แม่...ได้ยินเสียงอะไรไหม?”

“ได้ยินสิ ก็เสียงของธรรมชาติไงล่ะ” ลู่ฉือพูดอย่างสบายอารมณ์ ทั้งยังสูดหายใจเข้าปอดลึกๆอีกหนึ่งที “ตอนนั้นประจวบเหมาะฟ้าดินเป็นใจ พ่อของแกกับแม่ก็เลยตกลงเริ่มคบกันที่นี่นี่แหละ ตอนนี้คิดแล้วมันช่างโรแมนติกจริงเชียว!”

“ช่วยข้าด้วย!” เสียงนั้นค่อยๆ ดังขึ้น

“ไม่ใช่! มีคนกำลังขอความช่วยเหลืออยู่!” ลู่เหรินสำทับอีกทีด้วยความร้อนใจ เขาได้ยินจริงๆ

“จริงหรือ?” ลู่ฉือตั้งใจฟัง

หนึ่งวินาทีผ่านไป นางก็ไม่ได้ยินเสียงใดๆ สามวินาทีผ่านไปก็ยังคงไม่มีเสียงอะไรทั้งสิ้น

ทว่าหูของลู่เหรินกลับได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังชัดเจน ทั้งยังดังขึ้นเรื่อยๆ ประหนึ่งกำลังร้องอยู่ข้างหูเขาอย่างไรอย่างนั้น

“ไม่มีอะไรนี่” ลู่ฉือกล่าว นอกเสียจากเสียงลมพัดยอดหญ้าแล้ว นางก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก

“มีจริงๆ นะ! เสียงดังซะขนาดนี้ ไม่งั้นแม่ก็ลองถามน้องดูสิ” ลู่เหรินขอให้มารดาถามน้องสาว หวังจะพิสูจน์ว่าสิ่งที่ตนพูดเป็นความจริง มีคนตะโกนให้ช่วยอยู่จริงๆ

“เสี่ยวฝาน หนูได้ยินคนร้องขอความช่วยเหลือไหมลูก?” ลู่ฉือดึงลู่เสี่ยวฝานมาถาม ทีแรกหนูน้อยก็พยักหน้า จากนั้นก็ส่ายหน้า ลู่เหรินมองมารดาอย่างผิดหวัง ดูแล้วน้องสาวไม่ทราบว่าพวกตนกำลังทำอะไรกันอยู่ ถึงจะถามไปก็เหมือนไม่ได้ถาม

“เหรินเหริน ลูกต้องเหนื่อยมากแล้วแน่ๆ ถึงได้หูแว่วแบบนี้ เหมือนที่เห็นปรากฏการณ์ภาพลวงตาไง” ลู่ฉือพูดอย่างสมเหตุสมผล แล้วตบหัวลูกชายเบาๆ

“ปรากฏการณ์ภาพลวงตาคืออะไรน่ะ?” ลู่เหรินถามขึ้นอย่างงุนงง

“ใครจะสนว่ามันคืออะไร! รีบมาช่วยข้าเร็วเข้า!” ขณะนั้นเองเสียงที่เจือความเดือดดาลก็ดังขึ้นมาอีก

“ผมหูแว่วอีกแล้ว” ลู่เหรินยกมือขึ้นปิดหูแน่น เร่งมารดา “พวกเรารีบเดินไปให้ถึงศาลาเล็กนั่นแล้วกินข้าวกลางวันกันเถอะ!”

“จ้ะ คงใกล้จะถึงแล้วล่ะ” แล้วทุกคนก็เริ่มขยับตัวอีกครั้ง

แต่กระนั้น เสียงร้องให้ช่วยกลับยังไม่หายไป ศาลาเล็กก็ยังไม่ปรากฏเสียที ครอบครัวลู่สามชีวิตเดินทางมาไกลทั้งเหนื่อยทั้งหิว ป่าในตอนนี้ดูแล้วพิศวงชวนสับสน เดินเท่าไหร่ก็ไปไม่ถึงจุดหมายสักที

“ขอแค่เจ้าช่วยข้า ข้าจะช่วยบอกทางให้กับพวกเจ้า” เสียงนั้นดังขึ้นมาอีกครั้ง ยกเอาผลประโยชน์มาเป็นเงื่อนไขล่อใจลู่เหริน

“รู้ทางหรือครับ?” เขาถาม ลู่ฉือที่เดินอยู่เบื้องหน้าได้ยินเข้า นึกว่าลู่เหรินกำลังพูดกับตน จึงตอบอย่างไม่ใคร่จะพอใจนัก... “ก็รู้บ้างล่ะน่า!”

“ข้าคุ้นเคยกับที่นี่มากนะ” เสียงนั้นตอบเขา

“คงได้แต่เสี่ยงดูแล้ว!” ลู่เหรินพูดอย่างหมดหนทาง ลู่ฉือดันได้ยินเข้าอีก นางตอบลูกชายอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ยังไม่ถึงกับสิ้นหวังหรอก ฮ่าๆ มั้งนะ...”

“แม่ ผมปวดฉี่” ลู่เหรินคิดจะใช้โอกาสนี้ไปช่วยเจ้าของเสียง

“ที่ไหนก็ได้เลย ป่าไม้แบบนี้ ใช้เป็นส้วมได้ทุกที่นั่นแหละ” ลู่ฉือโบกมือ หวังจะให้เขาปลดทุกข์ที่ไหนก็ได้

“ไม่เอา!” ลู่เหรินถลึงตาใส่มารดาไปหนึ่งที

“เอาเถอะ แม่รู้ว่าแกอาย ไปไป๊ อย่าเดินไปไกลนักล่ะ!”

“ดีมาก ทีนี้เจ้าเดินมาทางด้านซ้าย แล้วตรงมาเรื่อยๆ ก็จะเห็นข้าแล้ว เร็วหน่อย!” เสียงบอกทางให้เขา แถมยังเร่งเขาอีกด้วย

ลู่เหรินรีบวิ่งมาตลอดทาง อาศัยเสียงที่คอยบอก ในที่สุดก็เจอต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ขนาดใหญ่โตมโหฬารต้นหนึ่ง ยืนต้นตระหง่านอยู่เพียงต้นเดียว ไม่มีต้นไม้ใดอยู่รอบๆ เลย

“คุณอยู่ที่ไหนล่ะ?”

“ใต้ต้นไม้!” ลู่เหรินก้มหัวลงมอง เห็นสุนัขจิ้งจอกสีแดงเพลิงตัวหนึ่ง

“คุณเองเหรอ!” ลู่เหรินชี้ที่มันแล้วร้องขึ้นด้วยความตกใจ

“ใช่แล้ว ข้าเอง รีบมาช่วยข้าเร็วเข้า!” สุนัขจิ้งจอกบิดกาย ตอนนี้เองที่เขาพบว่าบนขาของมันมีรอยเลือด
“คุณเลือดออกนี่!”

“เหลวไหล เจ้าพูดจาส่งเดช! ยังไม่รีบมาช่วยข้าอีก!” เจ้าจิ้งจอกสบถ สวรรค์ก็รู้ว่าตัวมันลำบากอยู่ตรงนี้มานานขนาดไหน ขาเป็นแผลเลือดออกยังไม่ว่า ซ้ำร้ายคนที่ส่งมาช่วยกลับเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ซวยถึงขีดสุดจริงๆ!

“ให้ช่วยยังไง?” ลู่เหรินขยับเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง แล้วหยุดอยู่ตรงจุดที่ห่างกับสุนัขจิ้งจอกหนึ่งเมตร

“เจ้าแกะแผ่นกระดาษบนต้นไม้ออกมาก่อน” จิ้งจอกพูด ตามองไปยังกระดาษบนต้นไม้ ซึ่งเป็นกระดาษยันต์ที่นักพรตปราบปีศาจแปะไว้ ใช้เฉพาะกับภูตผีปีศาจ ถ้าไม่เป็นเพราะตนเองประมาทเลินเล่อ คงไม่หกล้มเข้าไปติดอยู่ในกิ่งไม้จนขาบาดเจ็บเลือดไหลอย่างนี้

“โอ๊ะ” เพียงลู่เหรินดึงยันต์ออกจากต้นไม้ ก็พลันเกิดเสียงดังอึกทึกขึ้น ลมกรรโชกแรงตีเข้าใส่หน้าของเขาอย่างไร้ความปรานี

“อา ปลดปล่อยออกมาทั้งหมดแล้ว”

“ปลดปล่อยอะไรออกมา?” ลู่เหรินถามสุนัขจิ้งจอก

“เจ้าดูเอาเองสิ” พอสุนัขจิ้งจอกร่ายมนตร์ใส่ วินาทีต่อมาเขาก็มองเห็นภูตผีปีศาจมากมายลอยทะลุออกมาจากต้นไม้ บางตนก็หันมาคลี่ยิ้มให้ จากนั้นเหล่าปีศาจก็กระจายกันไปคนละทิศละทาง

“กินได้ไหม?” เด็กผู้หญิงอุ้มตุ๊กตาฝรั่งซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าลู่เหรินเอียงหัวถามขึ้นด้วยท่าทางบริสุทธิ์ไร้เดียงสา

“ไม่ได้ เขาเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิต กินไม่ได้” สตรีสวยสะคราญนางหนึ่งปรากฏกายขึ้นห้ามเด็กหญิง ทว่าร่างกายท่อนล่างของนางเป็นหางงูเหลือมขนาดใหญ่

“จริงหรือ?”

“จริงหรือ?”

ลู่เหรินได้ยินหลายเสียงดังกึกก้องซ้อนๆ กัน ด้วยความผิดหวัง

“น่าเสียดายจริงๆ เลย”

แล้วบรรดาภูตผีปีศาจกลุ่มดังกล่าวต่างก็หายตัวไปทุกทิศทาง เหลือเพียงเจ้าสุนัขจิ้งจอกที่นอนอยู่ใต้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น

ลู่เหรินถอนหายใจ แล้วล้มลงไปบนพื้นดินด้วยอารมณ์อันหลากหลาย บอกไม่ถูกว่าหวาดกลัวหรือตกใจ

“เจ้าช่างกล้าหาญจริงๆ ถ้าเป็นคนธรรมดา ป่านนี้สลบไปนานแล้ว” สุนัขจิ้งจอกพูดพลางหัวเราะ รู้สึกว่าพลังปีศาจของตนกำลังฟื้นฟูขึ้นมาทีละน้อย

ลู่เหรินกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะยืนขึ้น เขาเดินเข้าไปใกล้สุนัขจิ้งจอก แล้วนั่งยองๆ “อย่าลืมที่คุณตกลงไว้ล่ะ” หน้าของเขาซีดเผือด สั่นไปหมดทั้งตัว แต่ยังคงยืนยันจะพันแผลให้เจ้าจิ้งจอก เขาหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินเข้มออกมา บนผืนผ้าปักอักษรย่ออันเป็นชื่อของตนเอาไว้ อักษรเหล่านี้ลู่ฉือเป็นคนปักให้

เขาเอาผ้าเช็ดหน้าผูกทับแผลบนขาของสุนัขจิ้งจอก เขาพันแผลไม่เป็น ได้แต่พันมั่วๆ ไปตามที่เรียนมาจากโทรทัศน์ แต่สำหรับปีศาจจิ้งจอกแล้วเรียกได้ว่าไม่มีประโยชน์สักนิด

“เฮอะ! เจ้ายังไม่รีบกลับไปอีก ปีศาจพวกนั้นถึงจะทำร้ายเจ้าไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ทำร้ายคนในครอบครัวของเจ้านะ ทางที่ดีเจ้าควรรีบกลับลงเขาไปจะดีกว่า!” สุนัขจิ้งจอกเตือนเขาอย่างไม่สบอารมณ์ ทั้งที่ใจจริงแล้วรู้สึกซาบซึ้งในความช่วยเหลือ แต่กลับปั้นหน้าเอ่ยคำขอบคุณออกมาไม่ได้

“แย่แล้ว!” ลู่เหรินกระโดดขึ้นยืน แล้วรีบเร่งจากไป เกือบจะลืมเรื่องนี้เสียแล้ว! (ปกติเวลาคนเราพูดว่าเกือบจะลืม อันที่จริงก็มักจะลืมไปหมดแล้ว)

“ไปทางซ้าย!”

“อืม อืม” ลู่เหรินรีบเร่งเลี้ยว วิ่งกลับไปหาครอบครัวอย่างรวดเร็ว

“แม่!” ลู่เหรินร้องเรียกอย่างตกใจ เขามองเห็นแมงมุมตัวใหญ่ยักษ์ยืนอยู่ข้างลู่ฉือ มิหนำซ้ำศีรษะของแมงมุมยังเป็นหญิงสาว มันกำลังออกล่าเหยื่อที่หยุดพักอยู่

“ผู้มีพระคุณช่วยชีวิตนี่เอง” เมื่อนางแมงมุมเห็นเขาก็บุ้ยปากแล้วเก็บขาทั้งแปด

“พวกเรากลับบ้านกันเถอะแม่! ไม่ต้องไปสนใจศาลาเล็กนั่นแล้ว ผมอยากกลับบ้าน ผมยังมีการบ้านที่ไม่ได้ทำอีกตั้งเยอะ!” ลู่เหรินพูดพลางเข้าไปใกล้มารดาและน้องสาว เขาพามารดาออกจากขอบเขตอำนาจของนางแมงมุมอย่างระมัดระวัง

“พรุ่งนี้ทำก็ได้น่า ยังไงก็ยังมีวันหยุดเสาร์อาทิตย์อีกสองวัน” ลู่ฉือพูดยิ้มๆ

“ไม่เอา! อีกอย่างเสี่ยวฝานก็อยากกลับบ้านแล้วด้วย ใช่ไหม?” ลู่เหรินหันกลับไปถามน้องสาว แต่กลับมองเห็นเด็กหญิงอุ้มตุ๊กตาฝรั่งยืนอยู่ข้างๆ เสี่ยวฝาน ลู่เหรินตกใจแทบแย่ รีบกอดน้องสาวเอาไว้ ขืนช้ากว่านี้อีกนิด น้องสาวอาจจะถูกปีศาจเด็กผู้หญิงนี่จับกินไปแล้ว

“พวกเรารีบๆ กลับบ้านเถอะ!” ลู่เหรินพูดอย่างร้อนใจ ทั้งโวยวายทั้งร้องไห้ ยืนกรานให้รีบกลับบ้าน ท้ายสุดลู่ฉือก็ยอมลูก ตัดสินใจพากันกลับไป

ขากลับนี้เร็วมาก เนื่องจากมีสุนัขจิ้งจอกคอยช่วยบอกทางให้ ถ้าหากเดินไปผิดทาง มันจะบอกทันทีว่า “ทางขวา!” จากนั้นลู่เหรินก็ดึงมารดาให้เดินไปทางขวา ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงลงเขาได้อย่างรวดเร็ว

ยังคิดว่าจากนี้ไปคงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับภูเขาลูกนี้อีก แต่บังเอิญว่าสวรรค์คงไม่ฟังความปรารถนาของมนุษย์ตัวเล็กๆ ฟันเฟืองแห่งชะตากรรมจึงเริ่มหมุนนับตั้งแต่เขาดึงแผ่นยันต์ออกจากต้นไม้นั่นเอง



**************


ครอบครัวลู่สามชีวิตที่กลับถึงบ้าน เดินโซซัดโซเซด้วยเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด ลู่ฉือเองหลังจากเปิดไฟแล้วก็นั่งลงบนโซฟาอย่างแรง

“พี่จ๋า... เหนื่อยจังเลย...” เสี่ยวฝานนั่งอยู่ข้างกายของลู่เหริน พูดขึ้นอย่างเหนื่อยล้า เสียงของเด็กน้อยดังสะท้อนฟังไม่ชัดเจน

“เหนื่อยมากเหรอ? อยากดื่มน้ำไหม?” ลู่เหรินถาม ตะกายตัวขึ้นมาอย่างยากลำบาก ความจริงแล้วตัวเขาเองก็เหนื่อยจนแม้แต่จะขยับตัวยังขี้เกียจ แต่เพื่อน้องสาวที่แสนจะน่ารักแล้ว เขาก็ยังอุตส่าห์ลุกขึ้นมาเทน้ำใส่แก้ว

“อ๋า! เหรินเหรินลำเอียงดีแต่กับเสี่ยวฝาน แม่ก็อยากดื่มน้ำเหมือนกันนะ” ลู่ฉือทำเป็นงอนใส่ลูกชาย

“หนูอยากนอน...” เสี่ยวฝานล้มลงนอนหลับสนิทบนพื้น

“แบบนี้เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก” ลู่เหรินกล่าวแล้วไปเรียกมารดามาอุ้มน้องกลับห้องนอน

“เสี่ยวฝานคงเหนื่อยแย่แล้วเนี่ย” ลู่ฉือที่อุ้มเสี่ยวฝานขึ้นมาพูดพลางหัวเราะ เปลี่ยนเสื้อให้ลูกสาว และในชั่วพริบตาที่ลู่เหรินปิดประตูนี้เอง เขาพลันมองเห็นเด็กผู้หญิงอุ้มตุ๊กตาฝรั่งยืนอยู่ข้างกายน้องสาว เธอจ้องมาทางเขาแล้วยิ้ม

“แม่ฮะ! ” ลู่เหรินร้องเรียกเสียงดัง ชี้ไปที่เด็กผู้หญิงแล้วพูด “ข้างๆ เสี่ยวฝานมี... มีผี!”

“เหรินเหริน ลูกเหนื่อยมากแล้วล่ะ! บนโลกนี้ไม่มีผีหรอก!” ลู่ฉือหัวเราะแล้วตบหัวลูกชายทีสองที เตรียมจะออกจากห้อง “ให้น้องนอนหลับสบายๆ ลูกอย่าทำเสียงดังรบกวนน้องตรงนี้” นางเร่งลู่เหริน

“มีผีจริงๆ นะ! เป็นผีผู้หญิง ยืนอยู่ข้างเตียงน้องอ่ะ! มีจริงๆ นะแม่! ” ลู่เหรินตะโกนเสียงดัง ใกล้จะร้องไห้เต็มที ทำไมแม่ถึงไม่ยอมเชื่อเขา?

“เหรินเหริน ลูกก็เหนื่อยมากแล้ว รีบไปนอนไป” ลู่ฉือลากลู่เหรินออกไปจากห้อง แต่เขาคว้าบานประตูไว้ไม่ยอมไป ได้แต่ตะโกนไม่หยุด “อยู่ข้างในจริงๆ แม่รีบไล่เขาไปสิ!”

“เหรินเหริน หยุดโวยวายได้แล้ว เดี๋ยวน้องตื่นเพราะเสียงของแกหรอก!” ลู่ฉือเริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมาเช่นกัน พูดก็ไม่ยอมฟัง นางเหนื่อยมากเหลือเกินแล้ว ยังจะมาโวยวายใส่อีก

“ชั่วร้าย! ออกห่างจากน้องเดี๋ยวนี้นะ ที่นี่ไม่ต้อนรับแก!” ลู่เหรินด่าทอผีเด็กหญิงโดยตรง เขาว่าอย่างโกรธแสนโกรธ เอาแต่ตะโกนเสียงดังว่าไม่ต้อนรับแก!

เพี้ยะ!

ลู่ฉือตีลู่เหรินไปหนึ่งที แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็สงบลง

ทว่าลู่เหรินไม่ได้เงียบเพราะว่าถูกลู่ฉือตี แต่เป็นเพราะว่าชั่วขณะที่ถูกแม่ตีนั้น เขาได้ยินเสียงที่เล็กเหมือนเด็กของผีตนนั้นดังขึ้นว่า “น้องของเจ้าเชิญข้าเข้ามาเองนะ”

“มีผีจริงๆ” ลู่เหรินถลึงตามองผีเด็กผู้หญิงด้วยความโกรธ แม่ไม่ยอมเชื่อเขา พูดอย่างไรเด็กผู้หญิงนี่ก็ไม่ยอมไป เขาช่างไร้กำลังสุดๆ เลย

“เหรินเหริน ลูกเหนื่อยมากแล้วจริงๆ รีบๆ ไปพักผ่อนเถอะ” ลู่ฉือถอนหายใจ คราวนี้นางออกแรงดึง ลากลู่เหรินออกไป แล้วพากลับไปยังห้องของตัวเอง

ลู่เหรินมองประตูห้องที่ปิดสนิทอย่างไม่ยินยอม น้ำตาเม็ดโตๆ ไหลกลิ้งออกมาทีละหยดทีละหยด
แล้วใครจะช่วยน้องสาวล่ะ?


***************


สองวันถัดมา ลู่ฉือถึงพบว่าเสี่ยวฝานแปลกไป

ทีแรก นางคิดว่าเสี่ยวฝานง่วงนอน จึงให้นอนมากหน่อย แต่จนค่ำก็ยังไม่ตื่น ลู่ฉือเริ่มจะร้อนใจขึ้นมาแล้ว เสี่ยวฝานไม่ได้เป็นไข้ และไม่ได้มีอาการไม่สบายอะไร แต่ไม่ว่าจะเรียกอย่างไรลูกก็ไม่ยอมตื่น เชิญคุณหมอมาตรวจก็ไม่พบอะไรผิดปกติ

“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้นะ?” ลู่ฉื่อร้อนอกร้อนใจอยู่ข้างๆ เสี่ยวฝาน ดวงตาของนางแดงก่ำ มองไปยังลูกสาวอย่างเสียใจ คิดแต่ว่าเป็นความผิดของตัวเอง ต้องโทษนางคนเดียวที่ไม่ดูแลลูกสาวให้ดี ไม่ควรจะไปเขาลูกนั้นเลยจริงๆ

ลู่เหรินมองมองผีเด็กหญิงที่เริ่มจะปรากฏกายชัดขึ้นก็ยิ่งเป็นห่วง คงไม่ใช่ว่าผีตนนั้นกำลังกินน้องสาวของตนอยู่ใช่ไหม?

ใครจะช่วยน้องได้นะ?

ช่วย...

เขาพลันคิดถึงสุนัขจิ้งจอกบนเขาลูกนั้น

ลู่เหรินกลับห้องตัวเอง ทุบกระปุกออมสินที่เก็บมานาน เอาเงินยัดใส่กระเป๋า รีบร้อนไปบอกมารดาว่า “ผมออกไปข้างนอกแป๊บนึง!” แล้วก็วิ่งออกจากบ้าน เขารู้ว่าแม่ต้องเป็นห่วง แต่ก็ไม่มีเวลามาสนใจแล้ว เขานั่งรถแท็กซี่ไปจนถึงเขาลูกเดิม จ่ายเงินจนแทบจะหมดตัว

เด็กน้อยยืนอยู่ที่ตีนเขา กลืนน้ำลายเอื๊อก ความกลัวจากเหตุการณ์คราวก่อนยังฝังลึกอยู่ในใจ ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากจะขึ้นเขาเลยจริงๆ ลู่เหรินจึงลองตะโกนเรียกสุนัขจิ้งจอกจากตีนเขา

“คุณจิ้งจอกครับ คุณจิ้งจอก คุณจิ้งจอก!” เขาไม่รู้ว่าสุนัขจิ้งจอกชื่ออะไร รู้แต่ว่าเป็นสุนัขจิ้งจอกเท่านั้น หรือบางทีมันอาจจะไม่ชื่ออยู่แล้วก็เป็นได้

ไม่มีเสียงตอบรับ

อาจจะต้องเข้าไปใกล้ๆ หน่อยถึงจะได้ยิน เขาคิดแล้วเดินไปข้างหน้าอีกก้าว “คุณจิ้งจอก คุณจิ้งจอกครับ คุณจิ้งจอกกก...” ก็ยังคงไม่มีเสียงตอบรับ

เขาเดินไปข้างหน้าทีละก้าวทีละก้าว เดินหนึ่งก้าว ความกลัวก็เพิ่มขึ้นอีกนิด เดินไปตะโกนเรียกจิ้งจอกไป

“คุณจิ้งจอก...” เขารู้สึกหมดหวัง หมดหวังจนอยากจะร้องไห้ อยากจะช่วยน้องสาวเร็วๆ เสียงสะอึกสะอื้นถี่ขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ตะโกนเรียกสุนัขจิ้งจอกต่อไม่ย่อท้อ

“ส่งเสียงจิ๊จ๊ะอะไรอยู่ได้น่ะ? เดี๋ยวจับกินซะเลย!” ในที่สุดเสียงของสุนัขจิ้งจอกก็ดังขึ้น พร้อมกับเจ้าตัวที่กระโดดออกมาจากพงหญ้า

“ขอร้องล่ะคุณช่วยน้องสาวผมหน่อยเถอะ ผีบนภูเขานี่จะฆ่าน้องสาวผม... น้องหลับมาทั้งวันแล้ว...” ลู่เหรินพูดไปร้องไห้ไป

“ทำไมข้าจะต้องช่วยน้องสาวเจ้า?”

“ก็ผม... ผมเคยช่วยคุณนะ”

ข้าก็ส่งพวกเจ้าลงเขาแล้วไง ช่วยครั้งตอบแทนครั้ง ข้าไม่ติดค้างอะไรเจ้าแล้ว!”

พอลู่เหรินได้ยินปีศาจจิ้งจอกพูดว่ายังไงก็จะไม่ยอมช่วยแล้ว ในสถานการณ์สิ้นหวังอับจนหนทางแบบนี้ เขาเลยปักหลักร้องไห้เสียงดังเสียเลย ร้องไห้ไปตะโกนไป...

“อ๊ากๆๆๆๆๆ...”

“ร้องบ้าร้องบออะไรของเจ้าเนี่ย! ไม่กลัวข้าจับกินซะเลยนะ!”

เจ้าจิ้งจอกสบถใส่ พลันเนรมิตกายให้ใหญ่ขึ้น ดูแล้วดุร้ายอย่างยิ่ง ปากแดงสดดุจเลือดของมันแสยะเขี้ยว ทำท่าทางประหนึ่งจะจับเขากินทั้งตัวในคำเดียว

“จะกินผมก็ไม่ว่าหรอก ขอร้องล่ะช่วยน้องสาวผมเถอะ” แม้ว่าลู่เหรินจะกลัว แต่ยังอ้อนวอนอยู่

“ทำไมข้าต้องสนใจเจ้าด้วย! ” ปีศาจจิ้งจอกหัวเราะเยาะ แค่มันจับเจ้าเด็กนี่กินคำเดียวก็สิ้นเรื่องแล้วจะต้องช่วยน้องสาวไปทำไม?

“ขอร้องละครับ จะให้ผมทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่คุณช่วยน้องสาวผม” ลู่เหรินขอร้อง ขอเพียงแค่จิ้งจอกยอมตกปากรับคำจะช่วย

“จะอะไรก็ยอมจริงๆ หรือ?” ปีศาจจิ้งจอกโดนประโยคที่ว่า ‘อะไรก็ยอม’ ดึงดูดเข้าเสียแล้ว มันคิดสรตะถึงความน่าเชื่อถือของเขา

“จริงนะ จะกินผมก็ไม่เป็นไร” ลู่เหรินพยักหน้าสุดแรง เน้นอีกครั้งว่าจะจับตนกินเสียก็ได้

“กินเจ้ามันง่ายไป เอางี้ละกัน ข้าขอลูกคนแรกของเจ้า” ทารกแรกคลอดจะอร่อยที่สุด เนื้อนุ่มสดอร่อย เจ้าจิ้งจอกเผยโฉมหน้าตะกละตะกลามออกมาให้เห็น

“ไม่มีปัญหา!” ลู่เหรินตกปากรับคำทันที ด้วยไม่เข้าใจนัยยะที่แท้จริงว่าหมายถึงสิ่งใด “พวกเรารีบกลับกันเถอะ มีรถเมล์มาทุกครึ่งชั่วโมง” ลู่เหรินเร่ง

“จะนั่งรถเมล์ไปทำไม? เดินไปก็ได้”

“แบบนี้จะไม่ทันเอานะครับ”

“กลัวอะไร? พวกเราจะไปทางปีศาจกัน” จิ้งจอกเพลิงเดินนำอยู่ข้างหน้า “จริงสิ เจ้าจะต้องพูดว่า... ยินดีต้อนรับคุณมาเที่ยวบ้านผม”

“ยินดีต้อนรับคุณมาเที่ยวบ้านผม”

“ดีมาก”

เพียงแค่ลู่เหรินและปีศาจจิ้งจอกเดินหน้าหนึ่งก้าวก็ถึงประตูใหญ่ของครอบครัวลู่ทันที ลู่เหรินตกใจหันกลับไปมอง รอบกายล้วนแต่เป็นถนนที่คุ้นเคย ไม่มีป่าไม้หรือทางเดินบนเขาอีกแล้ว

“ยังไม่เชิญข้าเข้าบ้านอีก”

“เชิญเข้าบ้านครับ” ลู่เหรินเปิดประตูนำ แล้วให้สุนัขจิ้งจอกเข้าไปก่อน

“ไอ้ความรู้สึกที่ได้ออกมานี่มันดีจริงๆ” มันเดินแกว่งไกวเข้าไปในตัวบ้าน

“ช่วยน้องสาวผมด้วยครับ” ลู่เหรินขอให้ช่วยอีกที

เจ้าจิ้งจอกเดินไปที่ห้องของเสี่ยวฝานด้วยตัวเอง ลู่เหรินเปิดประตูให้มันเข้าไปในห้อง เขามองเห็นผีเด็กหญิงที่ปรากฏกายชัดเจนขึ้นกว่าเดิม ชัดกว่าตอนที่เขาออกจากบ้านเสียอีก

“เร็วหน่อยครับ”

“เหรินเหริน แกหายหัวไปไหนมา?” ลู่ฉือถาม เจ้าเด็กสองคนนี้ชอบทำให้คนอื่นเป็นห่วงเสียจริง

“รู้แล้วน่า” ปีศาจจิ้งจอกเดินเข้าไปใกล้เด็กหญิง

“เจ้าอย่ามาขวางข้านะ คนอื่นข้าก็ให้เจ้ากินหมด แต่คนนี้เจ้าต้องให้ข้า” เด็กหญิงพูดขึ้นด้วยหน้าตาน่ารังเกียจ คิดจะต่อรองกับปีศาจจิ้งจอกดู

“ไม่ได้หรอก เจ้ามนุษย์นั่นมีประโยชน์ต่อข้า ข้ายังกินมันไม่ได้เลย” สุนัขจิ้งจอกพูดยิ้มๆ “ส่วนเจ้าน่ะ...” เช่นเดียวกับเมื่อครู่ มันเปลี่ยนร่างให้ใหญ่โต มองดูเด็กหญิงแล้วอดไม่ได้ที่จะน้ำลายสอ

“เจ้าคงไม่ได้จะ...” กินข้านะ ยังไม่ทันจะได้พูดอีกสามคำออกจากปาก ก็ถูกปีศาจจิ้งจอกกินคำเดียวทั้งตัวเสียแล้ว

มันเรอออกมาทีหนึ่ง จากนั้นก็คายดวงวิญญาณของเด็กหญิงออกมา “ว้า เสียดายจริงๆ จะกินวิญญาณแสนอร่อยนี่ก็ไม่ได้”

ชั่วขณะนั้นเอง เสี่ยวฝานก็ตื่นขึ้นมา มองไปที่มารดาอย่างอ่อนแรง แล้วยังพี่ชายที่เข้ามากอดเสียแน่นโดยที่ยังไม่ทันจะตั้งตัว รู้สึกแค่ว่าไม่สบายตัว

“เจ็บจัง” เสี่ยวฝานโดนกอดรัดจนเจ็บ หนูน้อยร้องไห้จ้า

“ขอบคุณฟ้าดิน ขอบคุณฟ้าดิน” ลู่ฉือพูดไม่หยุดปาก ซาบซึ้งเหลือประมาณ

“ต้องขอบคุณข้าสิถึงจะถูก” เจ้าจิ้งจอกกล่าวเคืองๆ

“ขอบคุณครับคุณจิ้งจอก” ลู่เหรินพูดอย่างซาบซึ้งใจ สายตาเหลือบขึ้นมองจิ้งจอกที่ตัวยังคงใหญ่

“เหรินเหริน ลูกพูดอะไรอยู่ได้คนเดียว?” ลู่ฉือถาม สนใจบุตรชายที่พูดเองเออเองคนเดียวตั้งแต่เมื่อครู่

“แม่ ดูตรงนั้นสิว่าเห็นจิ้งจอกไหม? เขานี่แหละที่ช่วยน้อง” ลู่เหรินถามแม่พลางชี้ไปที่ปีศาจจิ้งจอก

“ไม่เห็นมีเลย นี่แกยังไม่เลิกพูดเพ้อเจ้ออีกเหรอ?” ลู่ฉือพูด

“อืม” ลู่เหรินไม่พยายามยืนยันว่ามีผีปีศาจอยู่จริงๆ อีกต่อไป เขาได้รับบทเรียนแล้ว ถ้ายังพยายาม สุดท้ายก็มีแต่จะโดนด่าเท่านั้น

“อย่าลืมสัญญาของเราเสียล่ะ ข้าขอลูกคนแรกของเจ้า” สุนัขจิ้งจอกกำชับ แล้วก็หายตัวจากไปไม่เหลือแม้แต่เงา

ลู่เหรินในตอนนั้นอาจจะยังจำสัญญาได้อยู่ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปนานเข้า เขากลับลืมเสียแล้ว ลืมไปว่าครั้งหนึ่งเคยมีสุนัขจิ้งจอกช่วยชีวิตน้องสาวเอาไว้ ซ้ำยังตกลงกับเขาว่าจะมาเอาตัวลูกคนแรกไปอีก

จวบจนภรรยาของเขาตั้งครรภ์ ก็ยังจำสัญญานั้นไม่ได้

เขาไม่มีวันรู้ไปตลอดกาลว่าตอนที่ภรรยาคลอดนั้น เธอพยายามขัดขวางจิ้งจอกที่จะมาขโมยลูกไปอย่างสุดชีวิต เขาไม่รู้ถึงปณิธานอันแรงกล้าของภรรยาที่จะปกป้องลูกน้อยโดยเอาชีวิตของตัวเข้าแลก

ลูกชายอยู่รอด แต่ชีวิตของคนเป็นแม่กลับดับสิ้น

ที่ลู่เหรินคิดไปเองว่าคลอดยากนั้น ที่แท้มีปีศาจจิ้งจอกบงการอยู่เบื้องหลัง

เขาตั้งชื่อให้ลูกชายว่า ‘ลู่เหยียนเซิน’ พ้องเสียงกับเหยียนเซินที่แปลว่า ยืดขยายออก ชีวิตที่ยืดต่อจากภรรยาของเขา



TBC

pungseon

  • บุคคลทั่วไป
คดีที่ 1:ตลาดผักเขย่าขวัญ


“ฉันมีจิ้งจอกน้อยอยู่ตัวหนึ่ง แต่ก็ไม่เคยขึ้นขี่ จนมาวันนี้ เกิดอยากจะขี่มันไปดูงิ้วสักที ~ ~”

ลู่เหยียนเซินฮัมเพลง ‘ลาน้อยขนปุย’ ที่ดัดแปลงใหม่เป็น ‘จิ้งจอกน้อยขนปุย’ อย่างมีความสุขขณะเดินไปบนถนนใหญ่ เขาเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่ออกมาจ่ายตลาด
เขาเห็นผู้คนมากมายเบียดเสียดกันอยู่สุดสายตา เด็กหนุ่มเดินหลบหลีกอย่างระมัดระวัง อันที่จริงแล้วเขาไม่ได้มองเห็นมนุษย์เท่านั้น แต่ยังมีวิญญาณและสิ่งมีชีวิตครึ่งผีครึ่งคนปะปนอยู่ด้วย หากบังเอิญไปชนเข้า อาจจะประสบเคราะห์ร้ายได้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมบางคนมักจะโชคร้ายอยู่เสมอๆ

“นี่ ! ไร้มารยาท! ร้องเพลงบ้าบออะไรของเจ้า!” ถ้าสังเกตดีๆ แล้ว ตรงขาของเหยียนเซินมีสุนัขจิ้งจอกสีแดงเพลิงอยู่ด้วยตัวหนึ่ง น้ำเสียงของมันไม่สู้ดี สีหน้าดูไม่ได้ จ้องเหยียนเซินที่อยู่ด้านบนเขม็ง

เหยียนเซินมองเจ้าจิ้งจอกแล้วหัวเราะมีเลศนัย ตั้งหน้าตั้งตาร้องเพลงล้อเลียนต่อไปอย่างจงใจ

ตั้งแต่จำความได้ ข้างกายเขาก็มีสุนัขจิ้งจอกตัวนี้ตามอยู่แล้ว เด็กหนุ่มคิดว่ามันต้องเป็นเทพคุ้มครองประจำตัวของเขาแน่ๆ!

เพียงแต่ว่า เทพคุ้มครองตัวนี้ติดจะขี้โมโห ชอบทะเลาะกับเขา แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยจะช่วยเหลืออะไร ทว่าคิดดูแล้วมันอาจจะยื่นมือช่วยเหลือบ้างยามคับขันกระมัง
“จิ้งจอกน้อย อยากกินฟองเต้าหู้ทอดไหม?” เหยียนเซินเดินเข้าไปในตลาดผัก ถามสุนัขจิ้งจอกที่เท้า

“ข้าเคยบอกแล้วไง อย่ามาเรียกข้าว่าจิ้งจอกน้อย ! ” เจ้าจิ้งจอกขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด ถึงอย่างไรมันก็อยู่มาสามร้อยกว่าปีแล้ว แก่กว่าเจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนี่ตั้งไม่รู้กี่เท่า ยังไม่นับเรื่องที่ว่าปีนี้เหยียนเซินอายุแค่เท่าไหร่เลยนะ? แค่สิบเจ็ดขวบ! อายุของปีศาจจิ้งจอกอย่างข้า ขนาดว่าใส่สแควร์รูทแล้วยังมากกว่าเด็กนั่นตั้งเยอะ!

“ทำท่าแบบนี้แสดงว่าไม่อยากกินใช่ไหมน้า?” เหยียนเซินพูดพลางยิ้ม

“ข้าอยากกิน !” สุนัขจิ้งจอกตอบโกรธๆ โหดร้าย มันชอบกินฟองเต้าหู้ทอดเหลือเกิน

“งั้นก็ซื้อยี่สิบหยวน”

“ห้าสิบละกัน !”

“สามสิบหยวน?

“ตกลง !”

แล้วการต่อราคาซื้อฟองเต้าหู้ทอดของหนึ่งคนหนึ่งจิ้งจอกก็ตกลงกันได้ที่สามสิบหยวน

ปกติเมื่อซื้ออาหารเย็นเสร็จพวกเขาจะตรงกลับบ้านเลย แต่วันนี้มีคุณยายขายผลไม้คนหนึ่งเรียกเหยียนเซินไว้ คุยนั่นคุยนี่ หลังจากเปิดประเด็นสนทนาแล้ว เหยียนเซินก็กลายร่างจากเด็กวัยรุ่นเป็นหนึ่งในสมาชิกยายป้าฮาเฮทันที

“เมื่อวานฉันได้ยินว่าร้านขายเนื้อของเหล่าเฉิน ไอ้ร้านที่อยู่ตรงหัวมุมนั่นน่ะ เครื่องบดเนื้อมันทำงานเองตลอดเวลาเลยนะ สงสัยแกจะไม่ปิดให้ดี” คุณยาย ก. พูด
“ฉันก็ได้ยินเหล่าเฉินเถียงข้างๆ คูๆ ว่าปิดสนิทแล้วเหมือนกัน” คุณยาย ข. พูดบ้าง

“ไอ้หยา คนแก่แล้วก็อย่างนี้แหละ ลืมนู่นลืมนี่” คุณยาย ก.พูด

“จริงด้วย นี่พ่อหนุ่ม เราช่างกตัญญูเหลือเกิน ถ้าลูกสาวยายช่วยยายซื้อกับข้าวเหมือนเรา ยายคงดีใจตายเลย” ยาย ก. พูด

“ผมแค่อยู่ว่างๆ น่ะครับ” เหยียนเซินพูดภาษาถิ่นไม่คล่องนัก

“โถพ่อหนุ่ม ถ่อมตัวจริงๆ เอ้า... ยายให้มันฝรั่งสามสี่หัว เอาไปกินนะ” คุณยาย ก.ไม่เปิดโอกาสให้ขัด เปิดถุงพลาสติกในมือเหยียนเซินแล้วยัดหัวมันลงไปให้ทันที

“ขอโทษนะครับยาย ขอบคุณครับ” ใบหน้าของเหยียนเซินปรากฏรอยยิ้มเคอะเขิน

“ไม่เป็นไรจ้ะ เป็นเด็กดีจังเลยเรา”

จากนั้นคุยกันต่อสักพัก เหยียนเซินจึงกล่าวลากับคุณยาย


***************


“สร้างภาพ” สุนัขจิ้งจอกเหยียดหยาม

“ว้า... รู้สึกไม่อยากทำเต้าหู้ทอดกะทันหัน” เหยียนเซินหัวเราะคิกๆ

“เจ้ามีอยู่มุกเดียวเหรอไง?” มันจ้องเขาทีหนึ่ง เริ่มงอน

เหยียนเซินหัวเราะเสียงดัง รู้สึกเบิกบานใจ ขณะเดินหลบ ‘คน’ บนถนน เขาคุยกับสุนัขจิ้งจอก “พูดก็พูดเถอะ ร้านขายเนื้อของเหล่าเฉินคงมีผีสิงเนอะ”

“แค่คนแก่ความจำเลอะเลือน เจ้าดันโยนความผิดให้ผี”

“ฟังนายพูดแบบนี้ฉันยิ่งมันใจว่ามีผีสิง จิ้งจอกน้อยขี้โกหกเอ๊ย” เหยียนเซินรู้จักนิสัยชั่วร้ายของมันดี จึงไม่ใคร่จะเชื่อคำพูดของมันสักเท่าไหร่

“ข้าแค่พูดเล่นๆ เจ้ารู้จักข้าดีแบบนี้ก็ต้องรู้สิว่าข้าล้อเล่น ฮ่าๆ...” มันพูดพลางหัวเราะ

เหยียนเซินเองก็หัวเราะบ้าง แล้วเริ่มฮัมเพลง ‘จิ้งจอกน้อยขนปุย’ ของตน

“ในมือฉันถือแส้ สุดแสนจะภูมิใจ...~”

เจ้าจิ้งจอกฟังไปสีหน้าเริ่มดูไม่ได้ขึ้นทุกที ทำไมมันต้องถูกคนๆ นี้เล่นงานเสียหมอบด้วย ไม่เต็มใจเล้ย...

กลับถึงบ้าน ลู่เหรินยังไม่กลับมา เหยียนเซินรีบเข้าครัวเตรียมข้าวเย็นก่อน

บ้านของเขามีเตาแก๊สสองเตา เตาหนึ่งใช้ต้มน้ำแกง อีกเตาใช้ผัดกับข้าว สุดท้ายค่อยทำฟองเต้าหู้ทอด เวลาแบบนี้จิ้งจอกน้อยจะนั่งสงบเสงี่ยมเป็นเด็กดีอยู่ข้างๆ คอยมองเหยียนเซินทำกับข้าว แน่นอนว่าจุดมุ่งหมายสูงสุดของมันคือเต้าหู้ทอด

“จิ้งจอกน้อย ช่วยฉันจัดชามจัดตะเกียบหน่อยสิ” เหยียนเซินสั่ง เจ้าจิ้งจอกก็จัดชามกับตะเกียบอย่างเชื่อฟัง มันกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะด้วยความปราดเปรียวคล่องแคล่ว จัดวางทีละชิ้นๆ

“จะเชื่อฟังที่สุดก็ตอนนี้แหละน้า” เหยียนเซินกล่าวขำๆ

ปึง

ประตูใหญ่เปิดออก ลู่เหรินกลับมาแล้ว

“อ๊ะ ผีขี้แยกลับมาแล้ว” สุนัขจิ้งจอกพูด มันได้กลิ่นของลู่เหริน พร้อมกับแสดงท่าทางรังเกียจออกมา แค่คิดถึงเรื่องที่ลู่เหรินไม่รักษาสัญญา มันก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟแล้ว

“ถ้าไม่เลิกโวยวายจะอดกินฟองเต้าหู้” เหยียนเซินเตือน เขาฟังมันเรียกผีขี้แยมาสิบเจ็ดปีแล้ว ปฏิกิริยาเลยค่อนข้างจะเบาบางลงบ้าง แอบคิดว่าบางทีเจ้าจิ้งจอกกับบิดาอาจจะเคยเป็นปรปักษ์กัน

“เจ้าก็ดีแต่ใช้ลูกไม้นี้ !” ตามันจ้องเขม็ง ความจริงแล้วดวงตาของจิ้งจอกน้อยเป็นสีแดง แต่เพราะแสงไฟสะท้อน เลยยิ่งแดงสดขึ้นอีก

เหยียนเซินชอบดวงตาของจิ้งจอกน้อยที่สุด ช่างสวยงามเหลือเกิน แต่เขาไม่มีวันจะบอกมันหรอก

“ใช้แค่ลูกไม้นี้ก็พอแล้ว” เหยียนเซินพูดจาร้ายกาจ ต้องเป็นเพราะอยู่กับสุนัขจิ้งจอกตัวนี้ทั้งวันทั้งคืนแน่ๆ เลยทำให้นิสัยเขาชั่วร้ายตามมัน

“โหดร้าย !” ปีศาจจิ้งจอกได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“หอมจังเลย!” ลู่เหรินถูกกลิ่นหอมของอาหารดึงดูดให้เดินมาจนถึงห้องครัว

“อืม ใกล้เสร็จแล้วครับ” เหยียนเซินลำเลียงจานให้ลู่เหรินเอาไปข้างนอกห้อง รอจนบิดาออกไปแล้วจึงเริ่มลงมือต้มฟองเต้าหู้

“พ่อฉันอาจจะมองเห็นนายก็ได้นะ ทำตัวให้สงบเสงี่ยมเรียบร้อยหน่อย” เหยียนเซินเตือนเสียงต่ำ ฟองเต้าหู้ทอดเสร็จอย่างรวดเร็ว อย่างไรเสียสุนัขจิ้งจอกก็ชอบกินฟองเต้าหู้กึ่งสุกกึ่งดิบอยู่แล้ว เลยไม่ต้องสนใจเรื่องความสุกมากนัก

“เขามองไม่เห็นหรอกน่า สบายใจได้ๆ” มนตร์ที่เขาร่ายใส่ตอนนั้นเสื่อมไปตั้งนานแล้ว แต่ถึงมี ก็เหลืออยู่นิดหน่อย ไม่พอมองเห็นเขาแน่นอน!

“แบบนี้แหละดีที่สุด” เหยียนเซินพูด เอาฟองเต้าหู้ใส่จานแล้วส่งให้จิ้งจอกน้อย

“หอมสุดยอด!” มันน้ำลายยืด อดใจไม่ไหวกัดเข้าปากคำโต

เหยียนเซินถอดผ้ากันเปื้อน เดินไปยังโต๊ะทานข้าวที่บิดานั่งรออยู่ก่อนแล้ว

ลู่เหรินเป็นคริสเตียน ดังนั้นก่อนทานข้าวทุกครั้งจะต้องอธิษฐานขอพร เหยียนเซินก้มหน้าอธิษฐานร่วมกันกับบิดา

“อาเมน”

“อาเมน”

พอกล่าวจบพร้อมกัน สองพ่อลูกก็หยิบตะเกียบลงมือกินข้าว บ้านหลังนี้แม้จะขาดมารดาไป แต่ก็ยังอบอุ่น สองคนพ่อลูกพูดคุยกันไม่หยุดปากยิ่งกว่ากลุ่มยายป้าฮาเฮเสียอีก

“พวกเจ้าจะคุยกันไปถึงไหน !” เจ้าจิ้งจอกแอบเดินมาที่ข้างกายเขา แล้วพูดอย่างอดรนทนไม่ไหว

สองคนนี้ก็ประหลาดนัก พ่อลูกทั่วไปมักจะชอบทะเลาะกัน มิเช่นนั้นก็อาจไม่พูดจากันไปเลย แต่เหยียนเซินกับบิดาจะคุยกันได้นานมากเสมอ เทียบกับยายป้าตลาดผักแล้วเรียกได้ว่าไร้สาระกว่ากันมาก

“ผมอิ่มแล้วครับ” เหยียนเซินวางตะเกียบลงนิ่งๆ ปล่อยให้หน้าที่เก็บจานชามเป็นของบิดา

เมื่อกลับถึงห้อง เขานั่งลงบนเตียงแล้วอุ้มจิ้งจอกน้อยที่สองขาหน้าของมัน... “นายนี่ขี้หึงเกินไปแล้วนะ” ว่าแล้วก็จับตัวมันเขย่าเบาๆ เหมือนเล่นกับสัตว์เลี้ยง

“ใครหึง !” เจ้าจิ้งจอกยกเท้าขึ้นยันเหยียนเซิน พูดด้วยความโมโห มันไม่ได้หึงเสียหน่อย! เจ้าเด็กผีร้ายกาจ ชอบคิดเองเออเองตลอดเลย!

“นายเนี่ยน้า” เหยียนเซินยิ้มแล้วจูบเบาๆที่ปลายจมูกของจิ้งจอกน้อยอย่างรวดเร็ว

“อ๊าก ! เจ้าจูบข้าอีกแล้ว!” มันจ้องเขาเขม็ง แผดเสียงดังลั่น

“ใครใช้ให้นายน่ารักขนาดนี้เล่า” เหยียนเซินอารมณ์ดี หัวเราะเสียงดัง จิ้งจอกน้อยเหมือนสัตว์เลี้ยงของเขาจริงๆ เสียดายอารมณ์ร้อนเกินไป ถ้าลดท่าทางลงหน่อยคงดีมาก

“น่ารัก ! เจ้าว่าข้าน่ารัก!” เจ้าจิ้งจอกกางเล็กแหลมคมตะปบไปมามั่วซั่ว มือของเหยียนเซินมีรอยเล็บของมันเพิ่มขึ้นทีละรอยสองรอย แต่ยังไม่ยอมปล่อย

“สบายจังเลย” เหยียนเซินพูดยิ้มๆ แม้ว่ารอยเล็บจะเป็นสีแดงคล้ำน่ากลัว แต่ก็ไม่ได้เจ็บปวดอะไร อย่างน้อยสำหรับเขา เขาชอบไอ้ความรู้สึกแสบๆคันๆนี่เหลือเกิน อีกอย่างคือจิ้งจอกน้อยก็ไม่ได้ข่วนแรงอยู่แล้ว

“เจ้าคนมาโซฯนี่ !” ปีศาจโกรธจนข่วนเขาไปอีกหลายที

ซวยแท้... จะข่วนแรงหน่อยก็ไม่กล้า ไม่เช่นนั้นคนที่เจ็บจะเป็นตัวมันเอง ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ทำไมเหยียนเซินเป็นแผล คนที่เจ็บถึงเป็นมัน! ขัดใจสุดชีวิต!

เหยียนเซินมองดูจิ้งจอกน้อยที่ห่อเหี่ยวอยู่ก็รีบให้กำลังใจ “นายเองก็เจ๋งไม่หยอกนะ เก่งที่สุดในบรรดาภูตผีปีศาจเลย!” เป็นคำปลุกใจที่มีเจตนาแอบแฝง

“ฝันไปเถอะว่าข้าจะช่วย” เจ้าจิ้งจอกพูดอย่างเย่อหยิ่ง ต้องเป็นเพราะเรื่องที่พูดกับคุณยายในตลาดแน่นอนเลย เขาไม่ยอมหรอก!

“ฟองเต้าหู้ทอดห้าสิบหยวน”

“ร้อยหยวน !”

“ฟองเต้าหู้ทอดห้าสิบหยวน” เขาประกาศซ้ำ แสดงนัยยะว่าใกล้ถึงขีดจำกัด

“เฮอะ !” ทำท่าไว้ตัว แสดงนัยยะว่าไม่ยอมอ่อนข้อให้

“ฟองเต้าหู้ทอดห้าสิบหยวน” เขาประกาศซ้ำ แสดงนัยยะว่ากำลังเตือน

“เฮอะ !”

เงียบไปชั่วขณะ

“ห้าสิบหยวนก็ห้าสิบหยวน” รังแกสัตว์ตัวน้อยเห็นๆ มันถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง เห็นรอยยิ้มร้ายๆที่ลำพองใจในความสำเร็จก็รู้สึกคันยิบๆ ในหัวใจ

“พรุ่งนี้พวกเราค่อยไปดูที่ตลาดผักละกัน” พูดแบบไม่ให้ปฏิเสธ

“ครับ ครับ คร้าบ”

“ครับทีเดียวก็พอแล้ว” เหยียนเซินไล้ไปตามขนของมัน แล้วกอดไว้แนบอก ทุกครั้งที่ลูบขนจิ้งจอกน้อยก็คิดว่าไม่อยากจะเชื่อเลย ทั้งที่ไม่มีกายเนื้อแต่กลับสัมผัสถึงความนิ่มของขนและจับตัวมันได้ เขาก้มมองรอยแผลที่ข้อมือ ขนาดแผลยังเป็นของจริง

“ข้านอนก่อนล่ะ !” มันหาว ค่อยๆ เคลิ้มหลับตามจังหวะที่เหยียนเซินลูบขน

เขาวางจิ้งจอกน้อยบนเตียงแผ่วเบา จากนั้นนั่งลงไปที่โต๊ะ ตั้งใจอ่านหนังสือ ปีนี้เขาอยู่ ม.6 แล้ว เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่จะเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย
เหยียนเซินหยิบหนังสือเตรียมสอบภาษาอังกฤษขึ้นมา ลงมือทำแบบฝึกหัด


******************



pungseon

  • บุคคลทั่วไป
วันรุ่งขึ้น

พอโรงเรียนเลิกเหยียนเซินก็ไปตลาดผักกับสุนัขจิ้งจอกทันที เขายังไม่ทันได้เปลี่ยนชุดนักเรียน คุณยายคุณป้าในตลาดจึงพากันให้ความสนใจ

“ตรงมาที่นี่ไม่แวะบ้านเลยหรือจ๊ะ?”

“ครับ”

“นี่ชุดนักเรียนโรงเรียนไหนกันละเนี่ย?”

“โรงเรียนมัธยมปลายเซิ่งกงครับยาย”

“อยู่ชั้นไหนแล้วล่ะเรา?”

“ม.6 ครับ”

“ว้าว เรียนพิเศษรึเปล่าจ๊ะ”

“เปล่าครับ”

คำถามมากมายทยอยมาให้เหยียนเซินตอบ ทำให้เจ้าจิ้งจอกเริ่มหมดความอดทนขึ้นทุกที ยายๆ ป้าๆ พวกนี้ยิ่งพูดก็ยิ่งเลยเถิด ถึงขนาดหวังดีจะไปช่วยพวกเขาทำกับข้าวที่บ้านเลยทีเดียว!

“น่ารำคาญชะมัด !”

เหยียนเซินตอบคำถามสบายๆ ขณะที่เท้าเดินไปทีละก้าวจนในที่สุดก็ถึงร้านขายเนื้อของเหล่าเฉิน

ที่นี่เป็นร้านขายเนื้อหมูร้านหนึ่ง แผงหน้าร้านก่อขึ้นหยาบๆ ด้วยอิฐ ด้านบนแขวนเนื้อหมูที่ชำแหละแล้วหลายส่วน บนราวแขวนมีตะขออันใหญ่เกี่ยวซี่โครงไว้ทั้งแผง เลือดสดๆ หยดเลอะไปทั่ว แมลงวันมากมายบินตอมอยู่โดยรอบ หากมองจากภายนอก ดูเป็นร้านขายเนื้อหมูธรรมดาร้านหนึ่ง ทว่าเถ้าแก่ร้านกลับไม่ปกติอย่างยิ่ง
เหล่าเฉินยืนเหม่อลอยอยู่เบื้องหน้าพวกเขา ขอบตาดำคล้ำเห็นชัดเจน ใบหน้าเหลืองซูบตอบ แต่เดิมเหล่าเฉินเป็นชายรูปร่างกำยำล่ำสัน มาบัดนี้กลับดูคล้ายคนติดยาขาดสารอาหาร

ดวงตาของเหล่าเฉินมองมาทางเขาอย่างไร้จุดโฟกัส

เหยียนเซินมองแล้วอดรู้สึกกลัวไม่ได้

“เถ้าแก่ ซี่โครงหมูห้าสิบหยวน” เขาพูด

เหล่าเฉินไม่หือไม่อือ หยิบซี่โครงที่ราวมาตัดขายให้เขาห้าสิบหยวน

“ขอบคุณครับ” เหยียนเซินจ่ายเงิน รับซี่โครงมา ชั่วขณะที่เขาสัมผัสกับมือเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็งของเหล่าเฉิน ตัวพลันสั่นน้อยๆ

เย็นเหลือเกิน

ไม่เหมือนอุณหภูมิร่างกายมนุษย์

เหยียนเซินรีบออกจากร้านขายเนื้อหมู ไปจากตลาดผัก หนีกลับบ้านประหนึ่งกำลังลี้ภัยอย่างไรอย่างนั้น

เขานั่งยองๆข้างหน้าประตูบ้าน ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

บรรยากาศหนักหน่วงในร้านขายเนื้อทำให้ร่างกายสั่นเทา แม้ว่าจะไม่เห็นผีที่สิงอยู่ในตัวเหล่าเฉินก่อปัญหาอะไร กระนั้นท่าทางแปลกประหลาดของเหล่าเฉินผนวกกับอุณหภูมิร่างกายที่ต่ำผิดปกติ เขาบอกได้เลยว่ามีปัญหาแน่นอน

“บอกแล้วเจ้าอย่าตกใจล่ะ” สุนัขจิ้งจอกดมซี่โครงในถุงพลาสติก คล้ายกับว่าพบอะไร

“พูดมาสิ”

“เนื้อข้างในถุง...” มันพูดด้วยท่าท่างชั่วร้าย “...เป็นเนื้อมนุษย์ เน่าแล้วด้วย”

เหยียนเซินตกใจสุดขีด ทิ้งถุงลงที่พื้น ทวนคำสยดสยอง “เนื้อมนุษย์?”

“เนื้อมนุษย์” มันมั่นใจเต็มร้อย มีแต่เนื้อมนุษย์เท่านั้นที่จะส่งกลิ่นเหม็นได้ขนาดนี้! บนโลกใบนี้เนื้อมนุษย์นี่แหละเหม็นที่สุด

เขาซื้อเนื้อมนุษย์มาห้าสิบหยวน? เนื้อมนุษย์ห้าสิบหยวน?

รสเปรี้ยวของน้ำย่อยทะลักขึ้นมาถึงคอหอย เขาปิดปากแน่นจนถึงอ่างล้างจานจึงอาเจียนออกมาอย่างแรง กระทั่งไม่มีอะไรให้อาเจียนถึงหยุด

“เจ้าอยากเอามาต้มกินไหม?” รู้ทั้งรู้ว่าเหยียนเซินรับไม่ได้ มันก็ยังจะพูด ทั้งยังคอยกวนประสาทอย่างต่อเนื่อง

แค่คิดเรื่องทำกับกินเนื้อมนุษย์นั่นเข้าไป เหยียนเซินก็อาเจียนออกมาอีกรอบ

“ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยน้ำเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ถ้าต้มนานเกินไปจะระเหยนะ” เจ้าจิ้งจอกนิสัยไม่ดียั่วเขาไม่หยุด

เหยียนเซินอาเจียนจนไม่สบายเอามากๆ แม้แต่จะบอกให้มันหุบปากยังไม่มีแรง เขาหันกลับไปมอง เห็นมันกำลังคาบถุงพลาสติกยืนอยู่ข้างหลัง

เมื่อเกินจะทานรับไหว เหยียนเซินสลบพับไปในที่สุด

ฟื้นขึ้นมาอีกทีก็เป็นเวลาสามทุ่มสี่สิบนาทีแล้ว

เขาลืมตามองเห็นใบหน้าเป็นกังวลของบิดา กับท่าทางลำพองใจของเจ้าจิ้งจอก

“พ่อ” เด็กหนุ่มลุกขึ้นนั่ง ผ้าขนหนูบนหน้าผากหล่นลง เขาเก็บมันส่งให้บิดา

“ลูกสลบอยู่ในห้องครัว พ่อตกใจแทบแย่”

“ผมไม่เป็นไรครับ”

ลู่เหรินถอนใจ “ลูกชอบทำอวดเก่ง”

“ผมไม่เป็นไรจริงๆครับพ่อ” เหยียนเซินยิ้มฝืดฝืน บวกกับใบหน้าซีดขาวราวกระดาษด้วยแล้ว ทำให้ฟังดูไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด

“หิวไหม? พ่อต้มข้าวต้มไว้แน่ะ”

เหยียนเซินส่ายศีรษะ ไม่รู้สึกอยากอาหารแม้แต่น้อย เขาพลันคิดถึงถุงใบนั้นขึ้นมาได้

“ซี่โครงที่ผมซื้อมาล่ะ?” เขาตะลีตะลานถาม มองไปที่บิดาที ปีศาจจิ้งจอกที

“อ้อ พ่อเอามาทำข้าวต้มแล้วไง”

“พ่อกินไปแล้ว?”

“กินแล้ว” สุนัขจิ้งจอกยิ้มอย่างมีเลศนัย มันนั่งดูเจ้าผีขี้แยกินลงไปด้วยตาตัวเองเลยทีเดียวเชียว

“ทำไมเหรอ?” ลู่เหรินเห็นสีหน้าลูกซีดเผือด ก็กังวลใจ

“พ่อ...” เหยียนเซินเบือนหน้าหนี “...อย่าเพิ่งมาคุยกับผม ขอร้องล่ะ ออกไปห่างๆ หน่อย”

ลู่เหรินตื่นตะลึงประหนึ่งถูกสายฟ้าฟาดลงกลางกระหม่อมก็มิปาน เขาจากไปอย่างเจ็บปวดใจ แต่ก่อนออกจากห้องยังมิวายกำชับ... “ลูกพักผ่อนให้มากๆนะ” แล้วปิดประตูห้องตามหลังกล่าวจบ

เจ้าจิ้งจอกหัวเราะร่าเมื่อเห็นว่าสองพ่อลูกทุกข์ทรมาน หัวเราะกลิ้งไปมาบนพื้น หัวเราะจนน้ำตาเล็ด หัวเราะจนจิตใจเบิกบานเป็นที่สุด

“ช่างน่าสนุกเหลือเกิน” มันพูดแล้วปีนขึ้นมาบนเตียงของเหยียนเซิน

เหยียนเซินผุดลุกขึ้นยืน สุนัขจิ้งจอกตกตะลึง เหยียนเซินคว้าตัวของมันโดยไม่เตือน ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังห้องอาบน้ำ

“นี่ ! เจ้าทำอะไร?”

“อาบน้ำ” พูดจริงทำจริง เขาหยิบฝักบัวเปิดน้ำใส่ตัวเจ้าจิ้งจอกน้อย

“ทำบ้าอะไร !”

“นายคาบถุงพลาสติกใบนั้น”

“ข้าไม่ได้กินสักหน่อย !”

“อยากจะขึ้นเตียงฉันก็ต้องอาบน้ำให้สะอาด!”

“จะอาบก็ไปอาบให้เจ้าผีขี้แยนู่น ! ข้าไม่ได้กินนะ ข้าไม่ได้กิ๊น!”

“ใครสน” ถ้าจะทำก็ต้องทำให้สำเร็จ เหยียนเซินอาบน้ำให้มันแรงๆ จนกระทั่งพอใจถึงหยุด จากนั้นออกไปหยิบแปรงสีฟันมาด้ามหนึ่ง

“อย่าบอกนะว่าเจ้าจะให้ข้าแปรงฟัน...”

“นายก็ไม่โง่นี่” เขาไม่สนว่าตัวจะเปียก คว้าขากรรไกรล่างของจิ้งจอกไว้ จับให้มันพิงร่างเขา แล้วยัดแปรงสีฟันเข้าไปแปรงโดยแรง

“เจ็บๆๆๆๆ~”มันร้องเสียงเจ็บปวด เลือดออกแน่ๆ เลย

ครั้นแปรงฟันเสร็จ เหยียนเซินเช็ดตัวให้จิ้งจอกน้อย จากนั้นไล่มันออกไปนอกห้องน้ำ แล้วอาบให้ตัวเองบ้าง

“ข้าจะหนีออกจากบ้าน”

เหยียนเซินเปิดประตูออกมาทันที เขาถอดเสื้อไปแล้วครึ่งหนึ่ง ร่างท่อนบนเปลือยเปล่า มองเจ้าจิ้งจอกด้วยสายตาเย็นเยียบ พูดไร้อารมณ์ว่า “ตามใจ” จบคำก็ปิดประตูตามหนักๆ

ปีศาจจิ้งจอกไหนเลยจะทนไหว ด่าเสียงดัง “คนเฮงซวย!” หายใจฟืดฟาดด้วยความโกรธแล้วออกไป

เหยียนเซินได้ยินชัดเจน แต่ทำเป็นไม่สนใจ

กว่าจะอาบน้ำเสร็จก็ปาไปสี่ทุมห้าสิบห้านาทีแล้ว เขาใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว เสื้อนอกสีน้ำตาลเข้ม และกางเกงยีน รีบร้อนออกจากบ้าน

บนถนนใหญ่มีผู้คนบางตา เขาจำได้ว่าหน้าร้านสะดวกซื้อมีโทรศัพท์สาธารณะ พอเลี้ยวมุมก็เจอพอดี เขากดเบอร์โทรศัพท์

เด็กหนุ่มแนะนำตัวเสร็จจึงเล่าสถานการณ์ที่ร้านของเหล่าเฉินให้ตำรวจฟังอย่างละเอียด

“พ่อหนุ่ม อย่ามาล้อเล่นเรื่อยเปื่อยน่ะ!”

แน่ล่ะ ตำรวจไม่เชื่อคำพูดของเขาสักนิด เพราะว่าน้ำเสียงสงบราบเรียบเกินไปกระมัง? หรือว่าเขายังเด็กเกินไป?

เหยียนเซินวางสาย เดือดดาลใจมาก แม้ภายนอกจะดูใจเย็นก็ตามที

เอาเถอะ เขาไปเองก็ได้

เนื่องจากโมหะที่มากเกิน เขาเลยขาดความสามารถในการวินิจฉัยปัญหา ตัดสินใจลงไปด้วยความโง่เขลา

เหยียนเซินมุ่งหน้าไปตลาดผักคนเดียว ขณะนั้นเป็นเวลาห้าทุ่มครึ่ง

ถ้าเพียงแต่ว่าเขาไม่โมโหขนาดนี้ ถ้าเพียงแต่เขาไม่ขาดสติ คงนึกถึงคำพูดที่เจ้าจิ้งจอกเคยเตือนตนเองขึ้นมาได้


**************


เที่ยงคืนตรง เวลาปาร์ตี้ผีหลอน

ไอ้ที่ควรออกมา หรือไม่ควร ถึงเวลานี้จะออกมาเดินเพ่นพ่านกันให้ว่อน

ตอนเขามาถึงตลาด เป็นเวลาห้าทุ่มสี่สิบนาที

ตอนเขามาถึงร้านขายเนื้อหมูของเหล่าเฉิน เป็นเวลาห้าทุ่มห้าสิบนาที

ตอนเขามองเห็นเหล่าเฉินที่ยังคงทำตัวน่าพิศวงไม่หยุด เวลาก็ผ่านไปอีกห้านาที

เคร้ง เคร้ง เคร้ง เคร้ง~

เหล่าเฉินหันหลังให้เขา ก้มตัวตั้งอกตั้งใจลับมีดซ้ำๆ ไม่ยอมหยุด ทั้งตลาดเงียบสงัดเหลือเพียงแต่เสียงลับมีด ฟังจากเสียงก็รู้ได้ว่ามีดเล่มนั้นคมเพียงใด

“เหล่าเฉิน ไม่ต้องลับแล้วครับ” เหยียนเซินอยากจะตะคอกใส่ชายชรา เสียงลับมีดช่างบาดหูเหลือเกิน ทำให้คนฟังรู้สึกขนพองสยองเกล้า บรรยากาศทั่วทั้งตลาดผักชวนให้คนหวาดผวา

เหล่าเฉินยืดกายขึ้น หยุดชะงักแล้วหมุนหัวมาช้าๆ ลักษณะที่เขาหมุนหัว ให้ความรู้สึกไม่เหมือนว่ามันเชื่อมต่อกัน

ขณะที่เหยียนเซินรู้สึกถึงความผิดปกตินั้นเอง ศีรษะของเหล่าเฉินก็ร่วงลงมาจากคอ กลิ้งๆๆ กลิ้งจนถึงปลายเท้าของเขา เมื่อหัวนั้นหมุนหันมาเผชิญหน้ากับเหยียนเซินก็เริ่มส่งเสียงหัวเราะแปลกประหลาด

เหยียนเซินจะร้องก็ร้องไม่ออก ได้แต่จ้องมองหัวของเหล่าเฉินด้วยความกลัว เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าว

บนกำแพงกลางตลาดมีนาฬิกากุ๊กกูเรือนใหญ่แขวนอยู่ คอยบอกเวลาเข้าออกงานอย่างแม่นยำหาใดเปรียบ ซึ่งบัดนี้มันก็ดังขึ้นมา

ก๊อง ก๊อง ก๊อง ก๊อง ก๊อง ก๊อง ก๊อง ก๊อง ก๊อง ก๊อง ก๊อง ก๊อง ทั้งหมดสิบสองครั้งพอดี

เที่ยงคืนตรง เวลาปาร์ตี้ผีหลอน

เหยียนเซินคิดออกพอดี แต่ไม่ทันกาลเสียแล้ว

ที่ด้านหลังของเหล่าเฉิน เขามองเห็นมือของหญิงสาวโอบล้อมรอบอยู่ในลักษณะซึ่งมนุษย์ธรรมดาทำไม่ได้ หัวของเธอค่อยๆ ปรากฏให้เห็น แต่ว่ากลับหัวลง มองมาทางเขาอย่างเศร้าโศก

ช่วยฉันที เหยียนเซินทราบจากท่าทางที่เแสดงว่าเธอกำลังขอความช่วยเหลือ

ร่างของเหล่าเฉินถือมีดปังตอเดินเข้าใกล้เขา ทุกก้าวที่เดินจะได้กลิ่นเน่าเหม็นรุนแรงของศพแผ่ออกมาจากร่าง

เขาถอยหลังอีกก้าว หัวของเหล่าเฉินกลิ้งตามมาหยุดที่ข้างเท้าเขาเหมือนเดิม

“เหอๆๆๆ” เหล่าเฉินส่งเสียงสุดสยองออกมา เบิกบานสุดขีด

เขาอยากวิ่งหนี ทว่าเพียงแค่ย่ำเท้าลงไปหนึ่งที ขาของเขาก็ถูกมือมากมายนับไม่ถ้วนจากใต้ดินยื่นมาคว้าไว้ ทำให้ขยับไปไหนไม่ได้

เหล่าเฉินและวิญญาณพเนจรจากใต้พิภพจำนวนหนึ่งคงกะเอาเขาให้ตายเลยทีเดียว

ร่างกายของเหล่าเฉินห่างจากเขาไปเพียงก้าวเดียว มันชูมีดปังตอขึ้นสูง เพื่อจะฟันลงมาอย่างเหี้ยมโหด

เหยียนเซินหลับตา ไม่อยากมองฉากสยองนี้

การกระทำของเหล่าเฉินหยุดชะงักฉับพลัน มือยังคงชูค้างไว้สูงกลางอากาศ ราวกับว่าถูกหยุดเวลา

“ขอโทษข้าก่อน แล้วข้าจะช่วยเจ้า” ทันใดนั้นเอง เจ้าจิ้งจอกก็ปรากฏตัวขึ้นทางด้านหลังของเหยียนเซิน ที่แท้มันแอบสะกดรอยตามเขามานานแล้ว

เทพอารักษ์สำนักไหนเขาต่อรองกับมนุษย์บ้าง?

“นายทนเห็นฉันบาดเจ็บได้เหรอ?” เหยียนเซินพูด ไม่เชื่อว่ามันจะทนไหว

ปีศาจจิ้งจอกชักสีหน้าบึ้งตึงทันที นาทีนี้ ในอกมันเหมือนมีม้าป่าแถบชายแดนกำลังวิ่งห้อบนผืนหญ้า โหมกระหน่ำรุนแรง ตื่นเต้นแทบจะระงับไม่อยู่ ภายในใจร้องตะโกน ‘ข้าทนได้สิ ข้าทนได้! ข้าอยากให้เจ้าตกนรกใจจะขาด ให้ดีตกนรกขุมที่สิบแปดไปเลย แล้วปีนขึ้นมาทีละชั้นๆ อย่างทรมาน! ข้าจะถอดเล็บเจ้า! ตัดเอ็นที่ขา! กรอกน้ำปรอท! ถลกหนัง! กินเนื้อเจ้า! ไม่ต้องกลับมาเกิดใหม่ตลอดไปจะดีที่สุด แม้แต่ขี้เถ้าก็ขอให้ปลิวหายไปกับสายลม!’

แต่ทว่ามันกลับตีสีหน้าเรียบสงบ “ทนไม่ได้อยู่แล้ว เจ้าเป็นสุดที่รักของข้านี่นา!”

“ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ทำไมยังไม่รีบมาช่วยฉันอีก!” เหยียนเซินเร่งมัน

“มาแล้วไงเล่า !” หลังจากที่ปีศาจจิ้งจอกกำจัดมือที่จับข้อเท้าของเขาออก มันก็กระชากวิญญาณผีสาวออกมาจากด้านหลังเหล่าเฉิน ลำตัวที่บิดเบี้ยวกับใบหน้าโศกสลดของเธอช่างน่ากลัวโดยแท้

ร่างไร้หัวของเหล่าเฉินยังคงทำท่าเดิมไม่ขยับเขยื้อน หนึ่งคนหนึ่งจิ้งจอกถอยออกห่างจากเหล่าเฉิน ตัดสินใจว่าจะถามคำถามผีสาวสองสามข้อ

ในสถานการณ์ที่ทั้งคู่เกี่ยงกันให้อีกฝ่ายไปถาม เจ้าจิ้งจอกซึ่งถูกข่มตลอดกาลก็ถูกผลักดันให้ไปถาม

“เจ้า... ปีนี้อายุเท่าไหร่?”

“ชิ! อายุของผู้หญิงเป็นความลับ เข้าใจไหม? ถามอย่างอื่น”

“เจ้า... ตายทรมานมากสินะ”

“ไร้สาระ แค่ดูก็รู้แล้ว”

“ความเห็นเยอะเหลือเกินนะ ทำไมเจ้าไม่มาถามเองซะเลยล่ะ?” มันพูดหงุดหงิด เริ่มโกรธขึ้นมาแล้ว

“ฉันถามเองก็ได้” เหยียนเซินส่งเสียง เฮอะ ออกมาเบาๆ ก่อนจะถามขึ้นอย่างจริงจัง... “ผีสาว...พี่สาวพี่ตายยังไงครับ?” พอมองผีสาวที่ตัวบิดเบี้ยวผิดรูปทั้งร่าง ดวงตาเบิกโพลงจ้องมาที่เขา เหยียนเซินรู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย

ผีสาวร้อง อา แค่ทีเดียว เผยให้เห็นภายในโพรงปากว่างเปล่า ไม่มีฝันสักซี่ ไม่มีลิ้น เป็นปากที่ว่างเปล่าไม่มีอะไรทั้งสิ้น

“แสดงว่าก่อนตายเหยื่อต้องถูกทรมานอย่างทารุณ” ขอบคุณเจ้าจิ้งจอกที่ยังมีแก่ใจใช้น้ำเสียงเหมือนนักสืบเวลาไขคดีในซีรี่ย์ญี่ปุ่น มันไม่รู้สึกเห็นอกเห็นใจผีสาวเลยแม้แต่นิดเดียว

หากด้วยน้ำเสียงสบายๆ แบบนี้ เหยียนเซินเลยผ่อนคลายขึ้นมาก “เธอพูดไม่ได้ จะถามคำถามได้ยังไง?” เหยียนเซินถามสุนัขจิ้งจอก

“เข้าไปในความทรงจำของนางก็รู้แล้ว” มันพยักเพยิดใส่เหยียนเซิน

“ฉันเหรอ?” เหยียนเซินเบ้ปาก

“ข้าทั้งร่ายมนตร์ ทั้งเข้าไป แบบนี้อัตราตอบแทนไม่คุ้มกับที่ลงทุนสุดๆ เลยนะ” มันพูด คิดว่าต้องเป็นเพราะมันดูรายการวิเคราะห์ตลาดหุ้นตอนเที่ยงมากไปแล้วแน่ๆ

“ชิ! ฉันเข้าไปเองก็ได้” เด็กหนุ่มได้แต่ตกลง เขาสูดลมเข้าปอดลึกๆ เตรียมใจให้พร้อม... “เอาเลย”

ปีศาจจิ้งจอกเป่าลม พัดความทรงจำของผีสาวลอยเข้าไปในสมองของเหยียนเซิน

เธอชื่อ เฉินจาวตี้ โตมาภายใต้สังคมที่เห็นลูกชายดีกว่าลูกสาวในหมู่บ้านจ้วน ทำให้ชีวิตวัยเด็กของหญิงสาวลำบากเหลือประมาณ พอจบชั้นประถมเธอก็ออกจากหมู่บ้าน ที่จริงเรียกว่า‘หนีออกจากหมู่บ้าน’จะเหมาะสมกว่า เธอหนีออกจากบ้านไปหางานทำในเมืองหลวง แต่คนบ้านนอกจะหางานอะไรทำในตัวเมืองได้เล่า ไปที่ไหนก็มีแต่คนดูถูก พอเถ้าแก่เห็นว่าเป็นเด็กบ้านนอกหลอกง่าย ก็กดเงินเดือนที่น้อยมากอยู่แล้วให้น้อยลงไปอีก

เดิมทีหญิงสาวคิดว่า ถึงงานจะไม่ดี ค่าแรงต่ำ แต่อย่างน้อยสามารถเลี้ยงตัวเองได้ น่าจะพอรับไหว เธอพอใจกับสภาพชีวิตที่เป็นอยู่แล้ว

จนกระทั่งวันนั้น วันที่เธอพบกับปีศาจร้ายที่จะเปลี่ยนทั้งชีวิต

เหล่าเฉินเป็นพ่อค้าขายหมูในตลาดผัก เขาเงียบขรึมพูดจาน้อยคำ แต่ว่าเนื้อหมูของที่นี่จะหนักกว่าร้านอื่น ด้วยเหตุนี้ลูกค้าจึงกลับมาซื้ออีกเรื่อยๆ

แค่เธอมองเหล่าเฉินก็รู้สึกเหมือนกับว่าไม่สบายไปทั้งตัว ไม่ได้พูดคุยกันสักคำแท้ๆ เพียงแค่ตาประสานตา ก็รู้สึกไม่ชอบมาพากล

เฉินจาวตี้ออกจากตลาดรวดเร็วเหมือนกำลังหนีอะไรบางอย่าง ลืมไปหมดสิ้นว่าจะซื้ออะไร เธอหวังเพียงแค่อยากรีบกลับบ้านให้เร็วที่สุด

หญิงสาวไม่คิดไม่ฝันว่าพ่อค้าขายหมูซึ่งเห็นหน้ากันเพียงครั้งเดียวคนนั้น จะหาบ้านของตนพบ ในมือเหล่าเฉินถือมีดปังตอ มันใช้กำลังบังคับขืนใจเธอ เพราะเธอกรีดร้องเสียงดังมันเลยถอนฟันของเธอจนหมดปาก แล้วบังคับให้ใช้ปากช่วยมันอีก

เวลานั้นเธอคิดว่าตัวเองคงตายแน่

กระนั้น เหล่าเฉินก็ยังไม่ฆ่าเธอทันที มันกลับขังไว้ในตู้เสื้อผ้าเล็กแคบที่บ้านมัน ร่างกายของเธอคดงออย่างร้ายแรง เจ็บปวดเหลือประมาณ เธอกรีดร้องโหยหวน มองเหล่าเฉินใส่กุญแจตู้อย่างไร้ความรู้สึก เธอเข้าใจแจ่มแจ้ง คนๆนี้เป็นบ้าไปแล้ว

เฉินจาวตี้ถูกขังอยู่ในตู้เสื้อผ้าเป็นเวลานาน นานจนร่างกายคดงอผิดรูปตลอดกาล ไม่สามารถยืดได้เหมือนเดิม

ทุกวันเธอได้เพียงกลืนหนังหมูดิบหนึ่งแผ่น กับน้ำหนึ่งแก้ว

เธอคล้ายกับเป็นนักโทษของมัน ถูกขังอยู่ในตู้เสื้อผ้าเล็กแคบนี้ ทั้งกินนอนขับถ่าย เธอมองดูเหล่าเฉินที่บ้าขึ้นทุกวัน น่ากลัวขึ้นทุกวัน ผ่านรอยแตกเล็กๆ ของตู้

วันหนึ่งมันปล่อยเธอออกมา มองดูร่างกายที่บิดเบี้ยวจนน่ากลัวของเธอแล้วหัวเราะเบิกบาน มันมีความสุขสุดขีด ใช้กำลังข่มขืนเธอครั้งแล้วครั้งเล่า

หลังจากนั้นก็เอากรรไกรมาตัดลิ้นของเธอจนขาด เอาใส่ปาก เคี้ยวราวกับมันอร่อยล้ำเลิศ แล้วกลืนลงไป

นับวันจิตสำนึกของเธอยิ่งลางเลือน ภายในมีปากเลือดสดๆ ไหลทะลักออกมาไม่หยุด เธอต้องกลืนเลือดตัวเองลงคอ จากนั้นก็ตายไป...

“ลู่เหยียนเซิน !” เหยียนเซินถูกผลักหนึ่งที เจ้าจิ้งจอกปลุกเขาให้ตื่นขึ้น

เหยียนเซินมองมันอย่างงุนงง สายตาเลื่อนลอย พอกะพริบตา น้ำตาก็ไหลออกมาไม่หยุด เขาสัมผัสประสบการณ์ทั้งชีวิตของหญิงสาว ชีวิตที่ทุกข์ทรมานขนาดนี้ เพียงแค่ไม่กี่นาที เขากลับเจ็บปวดจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกแล้ว

เขาพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ส่ายศีรษะ

เจ็บปวดเหลือเกิน เจ็บปวดเหลือเกิน

เด็กหนุ่มกุมหน้าอกแน่น น้ำตาไหลไม่หยุด และเขาเองก็ไม่คิดจะหยุดมันด้วย

“ดูท่าผีขี้แยจะเปลี่ยนคนสิงเสียแล้ว” เจ้าจิ้งจอกล้อเลียน ไม่ว่าเวลาใดมันก็ไม่เคยสงสารเห็นใจมนุษย์

มนุษย์ สกปรกโสมมในตัวเองอยู่แล้ว

เหยียนเซินไม่สนใจปีศาจจิ้งจอก เขาหันไปพูดกับผีสาว “เขาช่วยคุณให้แยกออกจากผู้ชายคนนั้น คุณเป็นอิสระแล้วครับ ไปเถอะ”

ผีสาวหลับตาลง ยิ้มบาง เธอเลือนหายไปช้าๆ จากโลกมนุษย์แห่งนี้ไป

“หมดเรื่องแล้วใช่ไหม พวกเรากลับกันได้แล้ว” สุนัขจิ้งจอกพูด ให้ความรู้สึกเหมือนกับกำลังปิดบังเรื่องใหญ่ไว้ มุ่งความสนใจไปที่ประเด็นรอง เพราะรู้ดีว่าปัญหาจะตามมาทีหลัง

“ยังก่อน”

“ข้ารู้อยู่แล้วเชียว” มันหมดความอดทน

“ซี่โครงที่ฉันซื้อ ไม่ได้มีแค่ผีสาวตนนี้” เหยียนเซินเช็ดน้ำตา สบตากับแววตาหมดความอดทนของเจ้าจิ้งจอก “ยังมีคนอื่นอีก”

“เจ้าไม่ต้องยุ่งแล้ว ที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของตำรวจเถอะ” เจ้าจิ้งจอกอารมณ์เสีย

เหยียนเซินมองมัน เขาถอนหายใจ “นายพูดถูกแล้ว”

ว่าแล้วก็ลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นบนตัวออก

“ถึงคนๆ นี้จะตายไป แต่พฤติกรรมชั่วช้าของมันต้องถูกเปิดโปงจนได้แหละ” เด็กหนุ่มมองหัวของเหล่าเฉินอย่างเป็นต่อ เขาเชื่อว่าเหล่าเฉินได้รับผลกรรมที่ตัวเองก่อไว้เรียบร้อยแล้ว

“ถูกต้อง ก็เป็นแบบนี้แหละ

“ไปกัน”

“ไปกัน”

ภูตผีวิญญาณบนท้องถนนต่างพากันหลีกทางให้เขาสองคน เพราะปีศาจจิ้งจอกเป็นเหตุ ทั้งคู่เดินอย่างเงียบขรึม มีคำถามมากมายในใจ

“พูดก็พูดเถอะ เหล่าเฉินนี่ตายยังไงเหรอ?”

“ฆ่าตัวตาย”

“มันโรคจิตขนาดนี้ยังฆ่าตัวตายได้อีก?”

เจ้าจิ้งจอกมองเหยียนเซินด้วยสายตาเหยียดหยาม “หรือเจ้าอยากจะเข้าไปในความทรงจำของมันดู? แต่ข้าไม่แนะนำให้ใช้เวทมนตร์อีกนะ”

“ไม่เอาแล้ว” เหยียนเซินปฏิเสธด้วยความเกรงใจ

“มนุษย์ล้วนแต่ฆ่าตัวตายเพราะยึดมั่นถือมั่นทั้งนั้น คนๆ นั้นก็เหมือนกัน ชอบการเข่นฆ่ามากเหลือเกิน สุดท้ายฆ่าคนอื่นไม่พอ ยังคิดอยากลิ้มรสการฆ่าตัวเองดูบ้าง จิตวิปริตสุดๆ”

เหยียนเซินเงียบไป เขาหลับตา คล้ายกับว่ายังมองเห็นร่างกายบิดเบี้ยวของผีสาว ร่างไร้หัวของเหล่าเฉิน แล้วยังมีชิ้นเนื้อที่ไม่รู้ว่าเป็นของใครวางอยู่บนแผงหน้าร้าน
กลับถึงบ้าน สิ่งที่รอเขาอยู่คือตบฉาดใหญ่ของลู่เหริน

“ลูกไปไหนมา?”

เหยียนเซินถูกตบเข้าไปเสียหน้าหัน เผลอกัดริมฝีปากจนแตกไม่ตั้งใจ เขาขมวดคิ้วมองตอบบิดา

คนโดนตบคือเขาแท้ๆ แต่พ่อกลับร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างกับคนที่โดนคือตัวเอง ความจริงเจ้าจิ้งจอกต่างหากที่เจ็บ เพราะว่าความเจ็บปวดใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นบนร่างกายของเขาจะส่งผ่านไปยังร่างกายของเจ้าจิ้งจอกทั้งหมด

“ข้าจะฆ่ามัน!” ใบหน้าของปีศาจจิ้งจอกเจ็บแปลบขึ้นมาวูบหนึ่ง เจ้าผีขี้แยตบไม่เบาเลย! มันแสยะปากแยกเขี้ยวร้องโวยวายใส่ลู่เหริน ตั้งท่าจะกระโดดกัด

“เลิกโวยวายได้แล้ว!” เหยียนเซินใช้เสียงดังกำราบมัน

“ลูกนั่นแหละเลิกโวยวายได้แล้ว! ลูกไปไหนมาดึกขนาดนี้? คิดบ้างไหมว่าพ่อจะเป็นห่วง?” ลู่เหรินเข้าใจผิด ยังคิดว่าเหยียนเซินว่าตัวเอง เขาโกรธมาก ร้องไห้ออกมาหนักกว่าเดิม

สถานการณ์วุ่นวายแหลือเกิน เหยียนเซินไม่พูดอะไรอีก ตรงเข้าสวมกอดบิดา ตัวเขาสูงร้อยเจ็ดสิบแปดเซนติเมตร ลู่เหรินสูงร้อยหกสิบเก้าเซนติเมตร ดูจากสายตาก็รู้ ลู่เหรินตัวเล็กกว่าลูกเสียอีก

เหยียนเซินใช้มือหนึ่งดึงเจ้าจิ้งจอกที่พยายามจะกระโจนขึ้นมาไว้ ทั้งปลอบพ่อแล้วยังขัดขวางการโจมตีของปีศาจจิ้งจอกตัวนี้ได้อีก วิธีนี้ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวโดยแท้

“พวกเจ้าสองคนต้องมีปัญหาชัวร์ ! พ่อลูกผิดผี! อินเซสต์!” เจ้าจิ้งจอกขัดใจ ตะโกนโหวกเหวกเสียงดัง

“คราวหน้าผมจะไม่ทำอีกแล้ว ขอโทษครับพ่อ” เหยียนเซินปลอบพ่อต่อ ทำเป็นไม่ได้ยินมัน

“ครั้งนี้ก็แล้วไปเถอะ เจ็บหน้าไหมลูก?” ลู่เหรินยอมรับคำขอโทษ มองหน้าลูกอย่างเป็นกังวล

“ไม่เจ็บครับ ไม่เจ็บเลยสักนิด” เหยียนเซินกล่าวยิ้มๆ

“ข้าเจ็บมาก เจ็บมากกก !”

“ลูกรีบไปพักผ่อนเถอะ”

“อืม ราตรีสวัสดิ์ครับ” เหยียนเซินพยักหน้า คว้าตัวเจ้าจิ้งจอกเดินกลับห้อง

พอปิดประตู เหยียนเซินเริ่มลูกไล้ใบหน้าของมันเบาๆ แท้จริงแล้วควรจะเป็นเขาที่โดนตบ บนหน้าเขาปรากฏรอยแดงเป็นปื้นก็จริง แต่กลับไม่เจ็บเลย

“ข้าเกลียดแบบนี้ชะมัด !” ทำไมชีวิตของมันกับเด็กนี่ต้องรวมกันด้วยนะ!

“พรุ่งนี้ฉันจะซื้อฟองเต้าหู้ทอดให้ร้อยหยวนเป็นการไถ่โทษดีไหม?” เหยียนเซินมีสีหน้าละอายใจ

“เฮอะๆ !”

“แต่ว่ามีเรื่องหนึ่งอย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำอีก” เหยียนเซินไล้ใบหน้าจิ้งจอกน้อยอย่างอ่อนโยน น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้น

“ถ้าฉันได้ยินนายพูด พ่อลูกผิดผี หรือ อินเซสต์ อีกละก็ จะโดนปรับไม่ให้กินฟองเต้าหู้ไปหนึ่งอาทิตย์”

“เจ้ากล้าพูดเหรอว่าไม่ได้คิดอะไรเกินเลย ! เจ้ากอดเขาด้วยนะ พ่อลูกทั่วไปเขาทำแบบนี้กันหรือไง?” มันบ่น

“ทำสิ ถ้าสนิทกันก็แบบนี้ทั้งนั้น” เหยียนเซินพูดมีเหตุผล

นั่นมันพ่อลูกที่มีปัญหาแล้ว! เจ้าจิ้งจอกอยากจะเถียง แต่คิดๆ แล้วก็ช่างเถอะ มันไม่อยากจะแหย่ท่านพญามาร

“เจ้าจิ้งจอก คงไม่ใช่ว่านายกำลังหึงอยู่นะ?” เหยียนเซินหัวเราะถาม จับหน้าเล็กๆ ของมัน จ้องเข้าไปในดวงตาสีแดงเพลิงแสนสวยงาม

“ลู่เหยียนเซิน! อย่าพูดเกินจริงนะ!” มันโกรธจนยกเท้าขึ้นมาข่วนมั่วๆ

เหยียนเซินหัวเราะเสียงดัง ใช้ตัวบังกรงเล็บของมัน


**************


แต่พูดก็พูดเถอะ โจ๊กซี่โครงมนุษย์ในครัวหม้อนั้น วันรุ่งขึ้นเขาใส่ชุดป้องกันเต็มยศจัดการเททิ้งลงชักโครกแต่เช้า

คนในตลาดก็โทรศัพท์แจ้งตำรวจหลังเจอศพของเหล่าเฉิน แน่นอนว่าสถานการณ์วุ่นวายอยู่พักหนึ่ง จนตำรวจมาควบคุมสถานที่เกิดเหตุถึงเป็นระเบียบขึ้น

ได้ยินว่าในบ้านเหล่าเฉินพบศพสองศพ ศพหนึ่งเป็นศพผู้หญิงที่คดงอจนไม่เหมือนร่างกายมนุษย์ อีกศพเป็นชายถูกแล่เนื้อจนเกือบจะครึ่ง

ข่าวสยองขวัญนี้ฉายทางโทรทัศน์แค่ห้านาที และบนหน้าหนังสือพิมพ์ก็ลงแค่มุมเล็กๆ ในหนังสือพิมพ์เท่านั้น

กระนั้น กลับเป็นชีวิตบริสุทธิ์สองชีวิต กับคนกระทำความผิด รวมเป็นสามชีวิต

เหล่าเฉินเดิมทีก็เป็นผีตนหนึ่ง อาศัยสิงร่างของมนุษย์ทำเรื่องชั่วช้า

ผีประเภทนี้ ยังปะปนกับมนุษย์อยู่อีกเท่าไหร่กัน?

เวลานี้ นาฬิกากุ๊กกูในตลาดผักก็ดังขึ้นมาอีก ประหนึ่งเป็นเสียงเตือน ทว่ากลับไม่มีใครใส่ใจฟัง


TBC

pungseon

  • บุคคลทั่วไป
เพลิงรักวายุทะลุเมฆา


บทนำ


หุบเขาเงียบสงัด แมกม่านหมอกเงา ลมหนาวพัดผ่าน ใบหญ้าเปลี่ยนสี ดอกไม้โรยรา ใบไม้ปลิวร่วง สายฝนตกปรอยๆ ไม่ขาดสาย จะมีสิ่งใดที่จะย่ำแย่ไปกว่านี้มิมีเทียบแล้ว

สายฝนในฤดูหนาว เยือกเย็นสั่นสะท้าน...

ในวัดร้างกลางหุบเขา เด็กหนุ่มรูปงามดึงชุดให้แนบกายยิ่งขึ้น เขาลุกขึ้นปิดประตูที่ถูกลมแรงกระโชกพัดเปิดออก และบ่นงึมงำไม่หยุด

“ปัดโธ่เว้ย! น้ำฝนลบกลิ่นไปซะหมดเกลี้ยงเลย กว่าจะตามหาได้ก็ยากเย็นแสนเข็ญ ไม่นึกเลยว่าจะมาจบลงเพราะฝนห่าใหญ่เยี่ยงนี้”

เด็กหนุ่มดึงปิดประตู ขณะที่กำลังจะหมุนตัวกลับนั้นก็ได้ยินเสียงกระแทกปึงอย่างแรง สายลมหนาวลูกใหญ่หอบเอาละอองฝนสาดเข้าผ่านรอยโหว่ของประตู กองไฟที่เขาก่อขึ้นมาอย่างยากลำบาก แสงไฟริบหรี่ซึ่งเป็นที่พึ่งในคืนอันมืดมิดมอดดับลงในพริบตา

เด็กหนุ่มนั่งห่อไหล่ ทันใดนั้นแสงสว่างแวบเดียวนั่นเองก็พอจะทำให้เขามองเห็นร่างในชุดขาวที่นอนล้มฟุบอยู่ข้างกองเนินหินได้อย่างชัดเจน มองจากรูปร่างแล้วคนผู้นั้นไม่น่าจะอายุเกินสิบสองสิบสามปี ผมดำขลับยุ่งเหยิง แม้น้ำฝนได้ซัดกระหน่ำร่างนั้นจนเปียกปอน แต่ก็ไม่สามารถชะล้างคราบโลหิตบนร่างนั้นให้หมดไปได้

“อาจารย์เคยบอกไว้ว่าอย่าไปยุ่งเรื่องของชาวบ้าน แต่ในหนังสือได้เขียนไว้ว่าช่วยชีวิตคนหนึ่งชีวิตจะได้ขึ้นสวรรค์อีกเจ็ดชั้น จะทำอย่างไรดีนะ…”

เด็กหนุ่มเกาหัว

“หรือว่าช่วยคนนั้นให้เข้ามาในวัดนี้ก่อนดี”

“ช่างเถอะ.. หากอาจารย์จะตำหนิข้า ก็ค่อยบอกเหตุผลกับอาจารย์ทีหลังก็แล้วกัน”

เด็กหนุ่มก่อกองไฟ พลันรอยยิ้มบนมุมปากก็เผยอขึ้น เมื่อนึกถึงทุกครั้งที่อาจารย์อบรมสั่งสอนด้วยเหตุด้วยผลก็หนีไม่พ้นที่ต้องพูดพาดพิงถึงตัวเขาอยู่ร่ำไป รอยยิ้มบนมุมปากแย้มออกอย่างมีความหมาย เขาต้องติดตามอาจารย์ไปในหุบเขาที่เงียบสงัดอยู่บ่อยครั้ง น้อยนักที่จะได้พบปะผู้คน แต่นั่นกลับทำให้เขามีนิสัยเป็นคนร่าเริง ซุกซน ใครจะยอมเป็นเหมือนเช่นอาจารย์เล่า เฉยชาอย่างกับท่อนไม้ไร้ความรู้สึก คราวนี้ยิ่งเจอคนที่รุ่นราวคราวเดียวกัน มีหรือที่เขาจะอดกลั้นนิสัยเดิมๆ ไว้ได้

เขาเปิดผมเผ้ายุ่งเหยิงที่ปรกใบหน้านั้นออก ทันใดนั้นเขาก็ต้องถอนหายใจออกอย่างแรง บุคคลผู้นั้นมีเค้าโครงใบหน้าที่งดงามยิ่ง ผิวละเอียดอ่อนละเมียดละไมดั่งหยกชั้นดี คิ้วเรียวยาวดั่งคันศร ขนตายาวหนาเป็นแพ จมูกงอนงามรับพอดีกับริมฝีปากเรียวเล็ก ช่างงดงามดั่งภาพวาดที่วิจิตรเพริศพริ้ง
“งดงามเช่นนี้คงเป็นสตรีไม่ผิดเพี้ยนแน่นอน อาจารย์เคยสอนไว้ว่าชายหญิงมิอาจชิดใกล้ แล้วข้าต้องทำอย่างไรถึงจะดีนะ”

ใจนั้นอยากจะวางคนผู้นั้นลง แต่มือกลับโอบกอดร่างที่เย็นเฉียบให้แนบแน่นยิ่งขึ้น เขาคิดพลางใช้นิ้วเขี่ยคราบโลหิตบนมุมปากออกอย่างอ่อนโยน

“แต่อาจารย์ก็ไม่ได้บอกว่ามิอาจชิดใกล้มันเป็นเช่นไร ไม่สนแล้ว… ช่วยคนไว้สำคัญกว่า”

เมื่อเห็นคราบโลหิตที่บาดตาบนชุดขาวนั้นได้ขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ เด็กหนุ่มกัดฟันตัดสินใจถลกเสื้อของคนผู้นั้นขึ้น

“เฮ้อ! ดีนะที่เป็นผู้ชาย”

เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอกและรีบจัดการบาดแผลให้อย่างช่ำชอง บาดแผลมีอยู่ทั้งหมดสามแห่ง ที่หัวไหล่และเอวมีรอยกระบี่ แขนมีรอยถูกอาวุธลับ บาดแผลทั้งหมดนั้นไม่ถึงกับรุนแรงมากนัก เพียงแต่เสียเลือดมากไปเท่านั้นเอง
นอกจากนั้นก็ยังมีรอยถลอกอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับชายหนุ่มเลย

“ ถือว่าเป็นวาสนาของเจ้านะเนี่ยที่ได้พบกับข้า อาจารย์เคยพูดว่าวิชาการแพทย์ของข้าแม้ไม่อาจทัดเทียมกับท่าน แต่อย่างไรเสียบนโลกนี้ก็ยังถือว่าข้าเป็นที่สองที่สามได้อยู่นะ”

เมื่อจัดการกับบาดแผลจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มก็ถอดเสื้อของเขาออกคลุมให้กับคนผู้นั้นและนั่งมองใบหน้าเรียวงามอยู่อย่างเงียบๆ ไม่นานนักเปลือกตาของคนตรงหน้าก็ค่อยๆ ลืมขึ้นสายตาที่หยาดเยิ้มเริ่มขยับ บ่งบอกถึงอาการงุนงงและเลอะเลือน

เด็กหนุ่มตะลึงกับดวงตาที่สวยซึ้งเหมาะเจาะกับใบหน้าเช่นนี้ มิน่าเล่า… หนังสือถึงได้กล่าวว่าดั่ง ‘หยาดหยดน้ำค้างในฤดูใบไม้ผลิ’ ที่แท้ก็มีความงามเช่นนี้อยู่จริง...

“ข้ามีนามว่า ฟงเหวยชิง แล้วตัวเจ้าล่ะ”

เด็กหนุ่มเอ่ยถามแต่ยังไร้คำตอบ คนผู้นั้นดิ้นรนอยู่หลายครั้งแต่กลับถูกเด็กหนุ่มกอดรัดให้แนบเนื้อมากยิ่งขึ้น เหลืออยู่ก็เพียงลูกตาเท่านั้นที่ยังกลิ้งได้

“ข้าเป็นคนช่วยชีวิตเจ้าไว้นะ เจ้าพอจะบอกนามของเจ้าได้หรือยัง”

“ถ้าเจ้าไม่พูด ข้าก็จะตั้งชื่อเจ้าเอาเองก็แล้วกัน เอาล่ะ...จะเรียกว่าอะไรดีน้า...”

แต่เขาก็ช่างไม่มีพรสวรรค์ในด้านการตั้งชื่อเอาเสียจริงๆ คิดจนครึ่งค่อนคืนก็ยังหาชื่อที่ความหมายดีๆ เหมาะกับหน้าตาที่งดงามเช่นนี้ไม่ออกเสียที เด็กหนุ่มมองคนในอ้อมกอดที่หลับใหลอย่างไม่สนใจใยดีและไม่อยากจะออกความเห็นด้วย

“หมาน้อยบ้านข้ามีขนสีดำ ข้าเลยเรียกมันว่า ‘เจ้าดำ’ เจ้าใส่ชุดขาว… ข้าก็เรียกเจ้าว่า ‘เจ้าขาว’ ก็แล้วกันนะ”

ขนตาที่หนาเป็นแพกระพริบอยู่สองครั้ง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เอ่ยปากพูด แต่ฟงเหวยชิงก็ยังไม่ละความพยายาม

“เมื่อได้รับการช่วยเหลือก็ต้องมีการแทนคุณ ข้าไม่ได้ต้องการให้เจ้าตอบแทนสิ่งใดให้ข้าหรอก ขอเพียงแต่เจ้ารับปากข้าว่าต่อไปจะเป็นเพื่อนเล่นกับข้า แค่นี้ก็พอแล้ว”

เขาผู้นั้นลืมตาขึ้น แสงอาทิตย์สาดส่องสว่างไสว

“ใครหน้าไหนก็ช่วยข้าไม่ได้สักคน ถ้าเจ้าไม่อยากตายก็รีบออกจากที่นี่ไปเดี๋ยวนี้!”

เสียงของเขาช่างไพเราะน่าฟัง ก้องกังวานดั่งเสียงธารน้ำไหล ฟงเหวยชิงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างสนุกสนาน

“เจ้าขาว เจ้า...”

ฉับพลันเขาก็ต้องหยุดชะงัก เงี่ยหูฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ

ข้างนอกนั้นไม่รู้ว่าฝนตกหนักตั้งแต่เมื่อไหร่ เสียงฝนที่ตกปรอยๆ กลายเป็นเสียงดังสนั่นเหมือนเสียงน้ำตกอันน่าประหวั่นพรั่นพรึง ท่ามกลางเสียงฝนสาดแรงหนาวเหน็บ ฟงเหวยชิงก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าวิ่งตรงมาเป็นระยะๆ เขาขมวดคิ้วอย่างสงสัย

“ศัตรูของเจ้าใช่หรือไม่”

เด็กน้อยตัวสั่นเทาไร้ซึ่งเสียงตอบ ฟงเหวยชิงขยับเข้าไปจ้องแล้วก็จ้องใบหน้าคนตรงหน้า จนกระแทกชิดกับใบหน้าของเขาพลางหัวเราะดัง

“ เจ้าขาว... เพราะว่าข้าได้ช่วยชีวิตเจ้าไว้ เจ้าต้องรับปากข้าอย่างนึงนะ”

เด็กน้อยเอียงหน้ามองเขาอย่างเอือมระอา...

“เจ้าหาที่ตายเอง ข้าช่วยอะไรเจ้าไม่ได้”

“พวกเขาจะฆ่าเจ้าใช่ไหม”

เด็กน้อยผู้นั้นสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นเคร่งครึมในทันใด ร่างนั้นหยุดนิ่งชะงัก ดวงตาใสแป๋ว ฟันขาวสะอาดเม้มกัดริมฝีปากแน่น ขนตางอนยาวเป็นแพหนากระพริบถี่ๆ แต่ยังคงนิ่งอึ้งไม่พูดสิ่งใด

ฟงเหวยชิงใจเต้นแรง ประคองกอดร่างนั้นอย่างเบามือ เขามีแต่ความรู้สึกที่อยากจะจุมพิตริมฝีปากที่ขาวซีดคู่นั้น ช่วงเวลานั้นเองตัวเขาก็ต้องตกใจกับความคิดของตนเองเมื่อครู่ เด็กหนุ่มพยายามรวบรวมสติอารมณ์

‘ทำไมถึงคิดเหลวไหลไร้สาระสิ้นดี’

หนังสือก็เขียนไว้ว่า ชายกับหญิงเท่านั้นถึงจะมีความรู้สึกต่อกันเช่นนี้ได้ ถึงเขาคนนั้นจะหน้าตางดงามเพียงใด เขาก็เป็นผู้ชายอยู่วันยันค่ำ ทำไมถึงมีความคิดเช่นนี้ออกมาได้นะ... แต่ความรู้สึกที่อยากจะปกป้องคุ้มครองตัวเขาผู้นั้นยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทางที่ยับยั้งความคิดไว้ได้ เขาหยิบยาในห่อยัดใส่ปากเด็กน้อย ฟงเหวยชิงพูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า

“อาจารย์บอกว่าตัวข้าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ด้านวิทยายุทธ์ ข้าแข็งแกร่งมาก ข้าสามารถปกป้องเจ้าได้ ต่อไปไม่ว่าใครหน้าไหน เจ้าก็ไม่ต้องเกรงกลัวทั้งนั้น”

พูดเสร็จก็นำเด็กน้อยรวมถึงห่อสัมภาระเข้าซ่อนไว้ใต้โต๊ะบูชา แล้วก็ใช้ฟางปิดคลุมไว้อย่างดี ตัวฟงเหวยชิงนั้นเปรียบเหมือนหุบเขาที่อยู่สุดลึก ไม่ประสีประสาในเรื่องความหัวใจเอาเสียเลย แต่พอได้เห็นใบหน้าที่งดงามของเด็กน้อยผู้นี้ จิตใจก็เริ่มหวั่นไหว ความรักได้แตกรากผลิงอกในหัวใจของเขาเสียแล้ว คิดเพียงอยากจะเก็บคนผู้นั้นเอาไว้ เขาไม่เสียเวลามาซักถามอีก และเริ่มลงมือช่วยเหลือในทันที

เสียงฝีเท้าม้าวิ่งเข้ามาใกล้ทุกที ๆ และหยุดลง

“ที่นี่มีวัดร้างอยู่แห่งนึง มันต้องอยู่ข้างในนี้แน่ๆ ข้าบอกแล้วว่ามันหนีไปได้ไม่ไกลหรอก”

“ชิ! ไอ้สารเลว.. หลอกพวกข้าเสียยับเยิน ดูสิว่าถ้าจับได้จะจัดการกับมันยังไง”

“พวกเจ้าสองคน หุบปากเดี๋ยวนี้!”

ทันใดนั้นประตูวัดก็ถูกกระแทกเปิดออกอย่างแรง คนทั้งสามโถมบุกเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว แล้วก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งผิงไฟ ร่างผอมสูงเอ่ยถามขึ้นว่า

“เจ้าหนู เห็นเด็กหนุ่มชุดขาวผ่านมาทางนี้บ้างหรือไม่”

ฟงเหวยชิงสั่นหัว เสียงแหลมเล็กดังแทรกขึ้นมา

“ที่นี่มีหยดเลือด ไอ้สารเลวนั่นจะต้องอยู่แถวนี้แน่นอน”

ชายแก่ชุดเทาที่ยืนอยู่ด้านหลังเดินมาหยุดอยู่ใกล้ฟงเหวยชิง ตะคอกเสียงถาม

“เจ้าหนู พูดความจริงออกมาซะดีๆ แล้วจะไม่เจ็บตัว!”

ฟงเหวยชิงลุกขึ้นยืนสังเกตชายทั้งสาม ดวงตาสีเข้มกลอกขึ้นลงไปมา ลักษณะท่าทางหยาบคาย หน้าตาก็ดูเหี้ยมโหดดุร้าย ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่ชอบขึ้นทุกที ดูลักษณะท่าทางของพวกเขาแล้ว คงจะไม่ใช่คนดีแน่นอน ซ้ำยังรังแกเด็กน้อยที่บาดเจ็บอีก ช่างไร้ยางอายสิ้นดี…

ร่างผอมสูงขู่ตะคอก

“ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา! ท่านอาจารย์ลุง.. มันจะต้องเป็นพวกเดียวกับไอ้เด็กหนุ่มคนนั้นแน่นอน”
ชายแก่พยักหน้า

“ยังไม่ต้องฆ่าคน จับมันมาถามความจริงก่อน แล้วค่อยว่ากัน”

ชายผอมสูงรับคำสั่ง ยื่นมือเข้าไปรัดหน้าอกของ ฟงเหวยชิงไว้แน่น ฟงเหวยชิงก็ยังหัวเราะคิกๆ ไม่หยุด พลันมือก็คว้าไปหยิบท่อนฟืนจี้ไปยังข้อมือของชายคนนั้นอย่างรวดเร็ว ร่างนั้นสะดุ้งโหยงตกใจอย่างสุดขีด รีบหดมือกลับในทันที ฟงเหวยชิงยังไม่เปลี่ยนกระบวนท่า เมื่อได้โอกาสก็พุ่งตัวลอยหวิวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วหนึ่งก้าว ในชั่วพริบตานั้น ร่างผอมสูงก็ถูกท่อนฟืนจี้สกัดจุดที่หน้าอก ท่อนฟืนที่แดงร้อนเมื่อถูกกับเสื้อที่เปียกชุ่ม เสียงดังชี่ๆ กลิ่นเนื้อที่ถูกเผาไหม้ตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ ร่างนั้นร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดแล้วล้มกลิ้งลงกับพื้น

ชายผอมสูงที่ล้มกลิ้งหลุนๆ กับพื้นนับเป็นมือดีคนหนึ่งของยุทธภพแต่กลับโดนจัดการจนหมดท่า สองคนที่เหลือได้แต่ตะลึงตกใจพูดพึมพำอย่างแผ่วเบา กระบวนท่านี้ดูง่ายดาย แต่ถ้าดูให้ละเอียดแล้วเป็นท่าที่วิจิตรสวยงามยิ่ง ชั่วชีวิตนี้ยากนักที่จะได้พบเห็น

ชายร่างเตี้ยเตรียมที่จะบุกเข้าโจมตี แต่กลับถูกชายแก่ดึงกระชากไว้แน่น

“มิทราบว่าคุณชายน้อย เป็นศิษย์ของสำนักใดหรือขอรับ

เมื่อสู้ไม่ได้ก็ยอมอ่อนข้อลง เห็นได้ชัดว่าได้แต่พวกมันรังเกียจจงชังแต่คนที่อ่อนแอกว่า ฟงเหวยชิงเบะปากหัวเราะอย่างเย้ยหยัน

“พวกเจ้าพูดว่าข้าเป็นพวกเดียวกับเด็กคนนั้นไม่ใช่หรอกรึ”

ชายแก่เห็นท่าทางที่เอาเรื่องของเขา ถึงแม้ในใจจะโกรธแค้น แต่เมื่อเห็นวรยุทธ์ที่ไม่ธรรมดาของชายหนุ่มแล้วก็หวาดเกรงถึงเจ้าสำนักของฝ่ายนั้นขึ้นมาทันที แต่ยังถามอย่างเกรงใจออกไปว่า

“หากแม้นว่าคนผู้นั้นมีวรยุทธ์ถึงขั้นนั้นก็คงไม่ไปขโมยสาสน์ลับของพรรคเรา แล้วหากคนของพรรคมารยังหลงเหลืออยู่ ชาวยุทธ์คนแล้วคนเล่าก็คงถูกสังหารเป็นแน่”

สิ่งที่ยุทธภพเกรงกลัวที่สุดคือ การที่มีคนลักลอบแอบฝึกวิทยายุทธ์ หากถูกจับได้จะมีโทษหนักถึงประหารชีวิต ถึงแม้ว่าพรรคเตี่ยนซังจะเป็นพรรคที่ไม่เก่งกาจนัก แต่อย่างไรก็ถือว่าเป็นพรรคที่มีชื่อพรรคหนึ่ง หรือว่าเจ้าเด็กคนนั้นจะเป็นคนของพรรคมารที่หลงเหลืออยู่… และที่ถูกตามล่าก็เพราะว่าได้ขโมยสาสน์ลับจากพรรคเตี่ยนซังไป…

ฟงเหวยชิงขมวดคิ้ว สายตาลอบมองใต้โต๊ะบูชา

ชายแก่ส่งสายตาให้ชายร่างเตี้ย เขากระหยิ่มยิ้มพูดว่า

“คุณชายน้อยคงถูกคนชั่วหลอกใช้อย่างแน่นอน ในเมื่อไม่รู้ก็ถือว่าไม่ผิด ข้าก็จะไม่…”

ในขณะนั้นเองชายร่างเตี้ยก็ตวัดกระบี่แทงเข้าไปใต้โต๊ะบูชานั้นทันที เมื่อมองเห็นฝักกระบี่ที่คมกริบหมายเด็ดชีวิตคนในนั้นให้ดับสิ้น ฟงเหวยชิงทั้งตกตะลึงทั้งเดือดดาล เพราะไม่สามารถแย่งกระบี่นั้นได้ เขาจึงใช้ท่อนฝืนในมือขว้างไปยังกระบี่ที่กำลังตวัดอยู่ไกลๆ เสียงท่อนฝืนหักออกเป็นสอนท่อน เสียงกระบี่หักออกเป็นเสี่ยงๆ ดังเปรี้ยง คมกระบี่บางส่วนลอยเข้าตัดขาโต๊ะข้างหนึ่ง เสียงโต๊ะล้มดังปึง หนุ่มน้อยก็กลิ้งออกมาจากใต้โต๊ะ ฟงเหวยชิงยังเคียดแค้น เขาตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด

“รังแกแม้แต่คนที่บาดเจ็บ ไร้ยางอายสิ้นดี!”

ชายร่างเตี้ยยื่นกระบี่ขวางหน้าอกฟงเหวยชิงไว้ แล้วหัวเราะอย่างเลือดเย็น

“จะไปพูดดีกับคนพรรคมารทำไม เด็กน้อย… ถ้าเจ้ายังไม่หลีกก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”

ชายแก่คิดอย่างเงียบ ๆ เพื่อที่จะแย่งคัมภีร์ลับของพรรคกลับมาให้ได้ ถึงเจ้าหนุ่มคนนี้แม้จะมีกระบวนท่าสวยงามแต่ว่ายังเยาว์วัย กำลังภายในคงไม่เพียงพออย่างแน่นอน จะต้องถ่วงเวลาไว้จนถึงที่สุด จะต้องไม่ทำให้เป็นที่สงสัย อีกทั้งที่นี่ก็ยังเป็นป่าเขา

‘ฆ่าปิดปากมันซะ แล้วก็ฝังร่างมันที่นี่ ถึงแม้อาจารย์ของมันจะเก่งกาจเพียงใด แล้วจะมาทำอะไรข้าได้เล่า’

เมื่อคิดถึงจุดนี้ชายแก่ก็ถอยหลังไปสองก้าวอย่างเงียบกริบ

ชายร่างเตี้ยเห็นชายแก่ให้สัญญาณก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขาใช้พลังทั้งหมดตวัดกระบี่แทงอย่างสุดแรง ฟงเหวยชิงผลักร่างหนุ่มน้อยคนนั้นไปข้างหลังของเขา แล้วยืนตั้งท่าไม่ขยับเขยื้อน ไม่ถอยและไม่หลบ สายตาเพ่งมองปลายกระบี่ยาวที่พุ่งตรงมาถึงยังด้านหน้า แล้วจึงขยับเอียงลำตัวให้กระบี่แนบผ่านลำตัว จากนั้นก็หมุนตัวกลับอย่างรวดเร็วกระแทกชนหน้าอกของชายร่างเตี้ยเข้าอย่างแรง ฟงเหวยชิงใช้นิ้วสกัดจุด ร่างนั้นชะงักแข็งอยู่กับที่

เมื่อเผชิญหน้ากับการต่อสู้ที่ดุเดือดรุนแรง คนทั่วไปจะต้องป้องกันตัวก่อนแล้วถึงคิดวิธีบุกกลับ ไม่ว่าจะเป็นกระบวนท่าที่ยอดเยี่ยมเพียงใดก็ตามจังหวะที่ลงมือย่อมต้องเปิดช่องว่าง การจะดูว่าเป็นเขาคนที่ฉลาดมีฝีมือหรือไม่ ก็แค่ดูว่าเขาจะสามารถป้องกันจุดอ่อนได้ทันทีหรือไม่ เมื่อศัตรูโจมตีหากทำได้แค่ป้องกันตัวอย่างเดียว นั่นก็คือปล่อยโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามได้เปรียบ คนในยุทธภพส่วนใหญ่แสวงหาแต่ท่าที่มีทั้งบุกและรับแต่ไร้โอกาสที่จะชนะศัตรู นั่นคือความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง

ฟงเหวยชิงไม่ถอยกลับรุกหน้า เขาจัดการศัตรูอย่างราบคาบในกระบวนท่าเดียว มองดูแล้วเหมือนจะง่าย แต่กว่าจะทำได้ถึงจุดนี้ก็ถือว่ายากแสนยาก ประการแรกสายตาต้องเฉียบไวพริบตาเดียวก็สามารถเห็นจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้าม ถัดไปคือไม่ป้องกันตัวแต่ก็ต้องสามารถคิดวิธีหลบหลีกที่เฉียบคม ร่างกายนั้นต้องเร็วและแม่นยำ

เมื่อเห็นกระบวนท่าที่นำมาสู่ชัยชนะของเขาอีกครั้ง ชายแก่หน้าถอดสี ไร้ท่วงท่า ไร้ทำนอง บุกตีไร้ป้องตัว เทพปีศาจไร้เทียมทานปราบศัตรูดั่งฟ้าแลบ

“เล๋ยจ่วนฟง เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า…”

“เป็นอาจารย์ข้า”

ชายแก่เค้นคำราม

“อาจารย์เจ้าเลื่องชื่อลือนาม ใต้ยุทธภพฝีมือไร้เทียมทาน มือกระบี่คุณธรรม วีรบุรุษผู้อาจหาญ แต่เจ้ากลับช่วยเหลือคนพรรคมาร แล้วจะให้อาจารย์เจ้าอภัยได้อย่างไร”

ฟงเหวยชิงหัวเราะ

“อาจารย์ให้ข้าช่วยเหลือคนที่ประสบภัยอันตราย ช่วยผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก มีอย่างที่ไหนข้าเห็นพวกเจ้ายอดฝีมือสามคนตามฆ่าเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่บาดเจ็บ ไม่ต้องพูดแล้ว! จะลงมือก็เข้ามาเลย!”

ชายแก่มองเขาคิดอย่างเนิ่นนาน

“ยุติเพียงเท่านี้”

มือทั้งสองข้างทั้งลากทั้งดึงศิษย์ทั้งสองเดินหนี ยังเดินไม่ถึงสิบก้าวพริบตานั้นเด็กน้อยก็ชี้กราดไปยังคนเหล่านั้นรวมทั้งฟงเหวยชิง ชายแก่คิ้วขมวดเป็นกระจุก เคราสั่นระริก พยายามประคับประคองร่างไม่ให้ล้มลงกับพื้น แต่แล้วก็แน่นิ่งไม่ไหวติง

ฟงเหวยชิงตะลึง รู้เพียงว่าร่างกายอ่อนปวกเปียกไร้พละกำลังไม่มีแรงจะยืน เขาจึงคิดได้ว่าโดนยาสลบเข้าเสียแล้ว ขณะกำลังยื่นมือเพื่อหยิบยา เด็กน้อยคนนั้นกลับตีเข้าที่ไหล่ของเขาอย่างแรงหนึ่งหมัด ฟงเหวยชิงล้มครืนลงกับพื้น ร่างอ่อนปวกเปียก มองเด็กน้อยอย่างคั่งแค้น

“เจ้า… เจ้า… ทรยศ…”

“ข้าไม่ได้ขอให้เจ้าช่วย เจ้าเองต่างหากที่หาเรื่องใส่ตัว โทษข้าไม่ได้”

“แต่ก็เห็นแก่เจ้าที่ช่วยชีวิตข้าไว้ วันนี้ข้าจะเว้นชีวิตเจ้า”

เด็กน้อยหัวเราะอย่างเลือดเย็น ก้มลงเก็บกระบี่ยาวฝักหนึ่ง ฆ่าสามคนนั้นทีละคน เขาลงมือเฉียบไวและแม่นยำอย่างไม่กระพริบตา

ฟงเหวยชิงรู้สึกหนาวเยือกตัวสั่นระริก กระซิบอย่างแผ่วเบา

“โหดเหี้ยมนัก...”

เด็กน้อยแกว่งข้อมือ หันกลับมองฟงเหวยชิง

“ยาของเจ้าวิเศษมาก ข้าไม่เกรงใจล่ะนะ”

พลางก็ยื่นมือเข้าหยิบกระปุกยาในสัมภาระของเขาออกมาหลายกระปุก แล้วยัดลงในสัมภาระของตนเอง เด็กน้อยนิ่งไปพักหนึ่งแล้วพูดว่า

“โดนยาสลายวิญญาณของข้าตั้งนานแล้วยังมีสติอยู่ได้อีก วรยุทธ์ของเจ้าสูงส่งขนาดไหนกันนะ ภายหลังหากถูกเจ้าแก้แค้นจะรอดได้หรือนี่… ข้าทำลายวรยุทธ์ของเจ้าเสียจะดีไหมนะ... ท่านผู้ช่วยชีวิต”

เสียงของเขาไพเราะชวนฟัง ใบหน้าอมยิ้ม เหมือนดั่งคุยกับสหายรักอย่างเปิดอก ฟงเหวยชิงได้ยินคำพูดของเขาเพียงไม่กี่ประโยคก็กระอักเลือด ได้แต่มองเด็กน้อยผู้นั้นอย่างเคียดแค้นจนพูดไม่ออก

ฟงเหวยชิงคบคนไม่มาก ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส เปิดเผย ใครบ้างจะเคยพบเห็นคนที่หน้าตางดงามแต่ใจอำมหิตเช่นนี้...

เด็กน้อยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เม้มริมฝีปาก ยืดร่างยืนขึ้น แล้วเดินออกไป

ฟงเหวยชิงมองตามร่างนั้นอย่างเงียบๆ ทันใดนั้นความรู้สึกปวดร้าวพลันเข้าทิ่มแทงหัวใจ เขากัดฟันถาม

“เจ้า… เจ้า... นามว่าอะไร”

เด็กน้อยหันกลับมายิ้ม ไม่ปริปากพูด สีหน้าเขาเปลี่ยนไป

ฟงเหวยชิงจองมองใบหน้าที่งดงามอย่างหาผู้ใดเทียบอย่างโกรธแค้น ทันใดนั้นเขาก็กระตุกวูบลืมสิ่งรอบกายหมดสิ้น เจ็บปวดแล่นมาจากบริเวณขาขวา เหลือบก้มลงดูก็เห็นงูลำตัวสีแดงเรื่อความยาวของตัวลำตัวไม่น่าจะเกินเมตร กัดอยู่บนขาของเขา งูตัวนี้คืองู ‘เงาอัคคี’ ที่หายาก มันคือจุดมุ่งหมายที่พาตัวของเขามาจนถึงสถานที่แห่งนี้ เพื่อจะจับงูเงาอัคคีเขาจึงทายาที่สามารถล่อและทำให้มันสลบได้บนตัวของเขา เมื่อมันกัดโดนยาเข้าแล้วตัวงูจะแข็งกระด้างไปพักหนึ่ง พิษของงูเงาอัคคีเป็นพิษที่ร้ายแรงมาก แต่หากพิษเงาอัคคีนั้นสามารถล้างพิษได้ทั้งมวล ยิ่งกว่านั้นพิษของมันยังช่วยเพิ่มพละกำลัง เพราะฉะนั้นเมื่อโดนงูเงาอัคคีกัดเข้าแล้วต้องรีบกินดีของมันถึงจะปลอดภัย แต่ว่าตอนนี้ร่างกายของเขาไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ เหลือแค่รอความตายที่เยื้องย่างเข้ามาอย่างช้าๆ เขามองเด็กน้อยตรงหน้าอย่างกระวนกระวาย แข็งใจเอ่ยว่า

“ดีของมันสามารถ… แก้..พิษ... “

เด็กน้อยกัดริมฝีปากแน่น สีหน้าสับสนแปรปรวนอย่างสุดคาดคะเน นัยน์ตาที่สวยดั่งหยดน้ำในฤดูใบไม้ผลิมองจ้องฟงเหวยชิงอย่างลังเล ถ้าเกิดไม่ทำลายวรยุทธ์ของเหวยชิงตั้งแต่ตอนนี้แล้วจะเก็บความหายนะไว้ภายหลังหรืออย่างไรกัน ตอนนี้จิตใจของเด็กน้อยสับสนวุ่นวายอย่างยิ่ง แล้วจะทำอย่างไรเพื่อช่วยชีวิตของคนผู้นี้เล่า... สถานการณ์เช่นนี้ถ้าดูแลจนเด็กหนุ่มอาการดีขึ้นมาก็ยากที่จะปลีกตัว หากเป็นเช่นนี้ก็ให้ฟ้าดินเป็นผู้ลิขิตเถิด

เด็กน้อยตวัดกระบี่ฟัน ‘เงาอัคคี’ ขาดเป็นสองท่อน แล้วหันหลังเดินออกไปอย่างไม่ลังเล ฟงเหวยชิงมองเงาของคนที่เดินลับตาหายไป น้ำตาของเขาค่อยๆ รินไหล

“ทำไมจะต้องรู้สึกเศร้าโศกถึงเพียงนี้... ทำไมจะต้องทำกับข้าถึงเพียงนี้….

จิตใจแสนจะปวดร้าวจนทำให้ต้องกำหมัด ปรากฏว่ามือนั้นขยับได้แล้ว ขณะที่กำลังตะลึง ฟงเหวยชิงก็เข้าใจแจ่มแจ้งในบัดดล ที่แท้พิษงูได้ควบคุมพิษยาสลบไว้นอกจากนั้นยาสลบก็ได้ยังถ่วงรั้งการออกฤทธิ์ของพิษงู นี่แหละคือเหตุผลของพิษล้างพิษนั่นเอง กำลังภายในของเขาเริ่มก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ ฟงเหวยชิงเดินลมปราณรักษาชีพจร รอจนกว่ามือและเท้าสามารถเคลื่อนไหวได้จึงค่อยควักเอาดีงูออกมากิน

เวลานี้ท้องฟ้าสว่างแล้ว ฟ้าหลังฝนสว่างสดใส แสงอาทิตย์ที่อบอุ่นลอดเข้ามา แต่กลับไม่สามารถสาดส่องถึงหัวใจเด็กหนุ่มได้สักนิด

ครั้งหนึ่งเมื่อได้ผ่านเรื่องทั้งราวดีและร้าย รักมากแค้นมาก เกือบเป็นเกือบตาย

ฟงเหวยชิงก็จะไม่ใช่เด็กหนุ่มจิตใจโอบอ้อมอารีใสซื่อบริสุทธิ์อีกต่อไป


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด