จิ้งจอกแต่งเมีย...
บทนำ
ท้องฟ้าแจ่มใสปลอดโปร่ง ดวงอาทิตย์ลอยสูงสาดแสงสว่างจ้า ครอบครัวลู่ทั้งหมดสามชีวิตออกเดินทางไปปิกนิก ถึงจะบอกว่าไปปิกนิกก็เถอะ แต่กลับไม่มีความเบิกบานของการปิกนิกสักนิด สาเหตุก็คือหัวหน้าครอบครัวลู่ “ลู่ฉือ” คนนี้นี่เอง
“แม่ เมื่อไหร่จะได้กินข้าวสักที?” ลู่เหรินที่อายุแปดขวบเต็ม แบกกระเป๋าเดินทางหนักอึ้งไว้บนหลัง เดินไปข้างหน้าอย่างฝืนใจเต็มที มือของเขาจับจูงน้องสาวที่อายุเพิ่งจะครบสามขวบ ขมวดคิ้วพลางจ้องไปยังแม่ของตัวเอง
“ใกล้จะถึงศาลาเล็กแล้วล่ะ! น่าจะอีกห้าสิบเมตรนะ” ปากของลู่ฉือพูดเช่นนี้ ทว่าสายตากลับอดไม่ได้ที่จะเสมองไปทางอื่น
“คนโกหก!”
ลู่เหรินไม่อาจเชื่อน้ำคำที่มารดากล่าวออกมาได้อย่างสนิทใจ คราวก่อนที่ไปบ้านยาย นางก็พูดว่าห้าสิบเมตร ผลคือต้องขอความช่วยเหลือจากคุณตำรวจ นั่งรถตำรวจเสียสามชั่วโมงกว่าจะถึงบ้านยาย
“งั้นพวกเราก็พักสักหน่อยละกัน” ลู่ฉือว่าพลางหาก้อนหินนั่งง่ายๆ
“ช่วยด้วย...” เสียงอ่อนระโหยเสียงหนึ่งดังแว่วมา
“เอ๊ะ?” ลู่เหรินเงยหน้าขึ้น มองหาต้นเสียง หากมองแล้วกลับมีแต่ต้นไม้ใบหญ้าเท่านั้น “แม่...ได้ยินเสียงอะไรไหม?”
“ได้ยินสิ ก็เสียงของธรรมชาติไงล่ะ” ลู่ฉือพูดอย่างสบายอารมณ์ ทั้งยังสูดหายใจเข้าปอดลึกๆอีกหนึ่งที “ตอนนั้นประจวบเหมาะฟ้าดินเป็นใจ พ่อของแกกับแม่ก็เลยตกลงเริ่มคบกันที่นี่นี่แหละ ตอนนี้คิดแล้วมันช่างโรแมนติกจริงเชียว!”
“ช่วยข้าด้วย!” เสียงนั้นค่อยๆ ดังขึ้น
“ไม่ใช่! มีคนกำลังขอความช่วยเหลืออยู่!” ลู่เหรินสำทับอีกทีด้วยความร้อนใจ เขาได้ยินจริงๆ
“จริงหรือ?” ลู่ฉือตั้งใจฟัง
หนึ่งวินาทีผ่านไป นางก็ไม่ได้ยินเสียงใดๆ สามวินาทีผ่านไปก็ยังคงไม่มีเสียงอะไรทั้งสิ้น
ทว่าหูของลู่เหรินกลับได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังชัดเจน ทั้งยังดังขึ้นเรื่อยๆ ประหนึ่งกำลังร้องอยู่ข้างหูเขาอย่างไรอย่างนั้น
“ไม่มีอะไรนี่” ลู่ฉือกล่าว นอกเสียจากเสียงลมพัดยอดหญ้าแล้ว นางก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก
“มีจริงๆ นะ! เสียงดังซะขนาดนี้ ไม่งั้นแม่ก็ลองถามน้องดูสิ” ลู่เหรินขอให้มารดาถามน้องสาว หวังจะพิสูจน์ว่าสิ่งที่ตนพูดเป็นความจริง มีคนตะโกนให้ช่วยอยู่จริงๆ
“เสี่ยวฝาน หนูได้ยินคนร้องขอความช่วยเหลือไหมลูก?” ลู่ฉือดึงลู่เสี่ยวฝานมาถาม ทีแรกหนูน้อยก็พยักหน้า จากนั้นก็ส่ายหน้า ลู่เหรินมองมารดาอย่างผิดหวัง ดูแล้วน้องสาวไม่ทราบว่าพวกตนกำลังทำอะไรกันอยู่ ถึงจะถามไปก็เหมือนไม่ได้ถาม
“เหรินเหริน ลูกต้องเหนื่อยมากแล้วแน่ๆ ถึงได้หูแว่วแบบนี้ เหมือนที่เห็นปรากฏการณ์ภาพลวงตาไง” ลู่ฉือพูดอย่างสมเหตุสมผล แล้วตบหัวลูกชายเบาๆ
“ปรากฏการณ์ภาพลวงตาคืออะไรน่ะ?” ลู่เหรินถามขึ้นอย่างงุนงง
“ใครจะสนว่ามันคืออะไร! รีบมาช่วยข้าเร็วเข้า!” ขณะนั้นเองเสียงที่เจือความเดือดดาลก็ดังขึ้นมาอีก
“ผมหูแว่วอีกแล้ว” ลู่เหรินยกมือขึ้นปิดหูแน่น เร่งมารดา “พวกเรารีบเดินไปให้ถึงศาลาเล็กนั่นแล้วกินข้าวกลางวันกันเถอะ!”
“จ้ะ คงใกล้จะถึงแล้วล่ะ” แล้วทุกคนก็เริ่มขยับตัวอีกครั้ง
แต่กระนั้น เสียงร้องให้ช่วยกลับยังไม่หายไป ศาลาเล็กก็ยังไม่ปรากฏเสียที ครอบครัวลู่สามชีวิตเดินทางมาไกลทั้งเหนื่อยทั้งหิว ป่าในตอนนี้ดูแล้วพิศวงชวนสับสน เดินเท่าไหร่ก็ไปไม่ถึงจุดหมายสักที
“ขอแค่เจ้าช่วยข้า ข้าจะช่วยบอกทางให้กับพวกเจ้า” เสียงนั้นดังขึ้นมาอีกครั้ง ยกเอาผลประโยชน์มาเป็นเงื่อนไขล่อใจลู่เหริน
“รู้ทางหรือครับ?” เขาถาม ลู่ฉือที่เดินอยู่เบื้องหน้าได้ยินเข้า นึกว่าลู่เหรินกำลังพูดกับตน จึงตอบอย่างไม่ใคร่จะพอใจนัก... “ก็รู้บ้างล่ะน่า!”
“ข้าคุ้นเคยกับที่นี่มากนะ” เสียงนั้นตอบเขา
“คงได้แต่เสี่ยงดูแล้ว!” ลู่เหรินพูดอย่างหมดหนทาง ลู่ฉือดันได้ยินเข้าอีก นางตอบลูกชายอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ยังไม่ถึงกับสิ้นหวังหรอก ฮ่าๆ มั้งนะ...”
“แม่ ผมปวดฉี่” ลู่เหรินคิดจะใช้โอกาสนี้ไปช่วยเจ้าของเสียง
“ที่ไหนก็ได้เลย ป่าไม้แบบนี้ ใช้เป็นส้วมได้ทุกที่นั่นแหละ” ลู่ฉือโบกมือ หวังจะให้เขาปลดทุกข์ที่ไหนก็ได้
“ไม่เอา!” ลู่เหรินถลึงตาใส่มารดาไปหนึ่งที
“เอาเถอะ แม่รู้ว่าแกอาย ไปไป๊ อย่าเดินไปไกลนักล่ะ!”
“ดีมาก ทีนี้เจ้าเดินมาทางด้านซ้าย แล้วตรงมาเรื่อยๆ ก็จะเห็นข้าแล้ว เร็วหน่อย!” เสียงบอกทางให้เขา แถมยังเร่งเขาอีกด้วย
ลู่เหรินรีบวิ่งมาตลอดทาง อาศัยเสียงที่คอยบอก ในที่สุดก็เจอต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ขนาดใหญ่โตมโหฬารต้นหนึ่ง ยืนต้นตระหง่านอยู่เพียงต้นเดียว ไม่มีต้นไม้ใดอยู่รอบๆ เลย
“คุณอยู่ที่ไหนล่ะ?”
“ใต้ต้นไม้!” ลู่เหรินก้มหัวลงมอง เห็นสุนัขจิ้งจอกสีแดงเพลิงตัวหนึ่ง
“คุณเองเหรอ!” ลู่เหรินชี้ที่มันแล้วร้องขึ้นด้วยความตกใจ
“ใช่แล้ว ข้าเอง รีบมาช่วยข้าเร็วเข้า!” สุนัขจิ้งจอกบิดกาย ตอนนี้เองที่เขาพบว่าบนขาของมันมีรอยเลือด
“คุณเลือดออกนี่!”
“เหลวไหล เจ้าพูดจาส่งเดช! ยังไม่รีบมาช่วยข้าอีก!” เจ้าจิ้งจอกสบถ สวรรค์ก็รู้ว่าตัวมันลำบากอยู่ตรงนี้มานานขนาดไหน ขาเป็นแผลเลือดออกยังไม่ว่า ซ้ำร้ายคนที่ส่งมาช่วยกลับเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ซวยถึงขีดสุดจริงๆ!
“ให้ช่วยยังไง?” ลู่เหรินขยับเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง แล้วหยุดอยู่ตรงจุดที่ห่างกับสุนัขจิ้งจอกหนึ่งเมตร
“เจ้าแกะแผ่นกระดาษบนต้นไม้ออกมาก่อน” จิ้งจอกพูด ตามองไปยังกระดาษบนต้นไม้ ซึ่งเป็นกระดาษยันต์ที่นักพรตปราบปีศาจแปะไว้ ใช้เฉพาะกับภูตผีปีศาจ ถ้าไม่เป็นเพราะตนเองประมาทเลินเล่อ คงไม่หกล้มเข้าไปติดอยู่ในกิ่งไม้จนขาบาดเจ็บเลือดไหลอย่างนี้
“โอ๊ะ” เพียงลู่เหรินดึงยันต์ออกจากต้นไม้ ก็พลันเกิดเสียงดังอึกทึกขึ้น ลมกรรโชกแรงตีเข้าใส่หน้าของเขาอย่างไร้ความปรานี
“อา ปลดปล่อยออกมาทั้งหมดแล้ว”
“ปลดปล่อยอะไรออกมา?” ลู่เหรินถามสุนัขจิ้งจอก
“เจ้าดูเอาเองสิ” พอสุนัขจิ้งจอกร่ายมนตร์ใส่ วินาทีต่อมาเขาก็มองเห็นภูตผีปีศาจมากมายลอยทะลุออกมาจากต้นไม้ บางตนก็หันมาคลี่ยิ้มให้ จากนั้นเหล่าปีศาจก็กระจายกันไปคนละทิศละทาง
“กินได้ไหม?” เด็กผู้หญิงอุ้มตุ๊กตาฝรั่งซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าลู่เหรินเอียงหัวถามขึ้นด้วยท่าทางบริสุทธิ์ไร้เดียงสา
“ไม่ได้ เขาเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิต กินไม่ได้” สตรีสวยสะคราญนางหนึ่งปรากฏกายขึ้นห้ามเด็กหญิง ทว่าร่างกายท่อนล่างของนางเป็นหางงูเหลือมขนาดใหญ่
“จริงหรือ?”
“จริงหรือ?”
ลู่เหรินได้ยินหลายเสียงดังกึกก้องซ้อนๆ กัน ด้วยความผิดหวัง
“น่าเสียดายจริงๆ เลย”
แล้วบรรดาภูตผีปีศาจกลุ่มดังกล่าวต่างก็หายตัวไปทุกทิศทาง เหลือเพียงเจ้าสุนัขจิ้งจอกที่นอนอยู่ใต้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น
ลู่เหรินถอนหายใจ แล้วล้มลงไปบนพื้นดินด้วยอารมณ์อันหลากหลาย บอกไม่ถูกว่าหวาดกลัวหรือตกใจ
“เจ้าช่างกล้าหาญจริงๆ ถ้าเป็นคนธรรมดา ป่านนี้สลบไปนานแล้ว” สุนัขจิ้งจอกพูดพลางหัวเราะ รู้สึกว่าพลังปีศาจของตนกำลังฟื้นฟูขึ้นมาทีละน้อย
ลู่เหรินกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะยืนขึ้น เขาเดินเข้าไปใกล้สุนัขจิ้งจอก แล้วนั่งยองๆ “อย่าลืมที่คุณตกลงไว้ล่ะ” หน้าของเขาซีดเผือด สั่นไปหมดทั้งตัว แต่ยังคงยืนยันจะพันแผลให้เจ้าจิ้งจอก เขาหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินเข้มออกมา บนผืนผ้าปักอักษรย่ออันเป็นชื่อของตนเอาไว้ อักษรเหล่านี้ลู่ฉือเป็นคนปักให้
เขาเอาผ้าเช็ดหน้าผูกทับแผลบนขาของสุนัขจิ้งจอก เขาพันแผลไม่เป็น ได้แต่พันมั่วๆ ไปตามที่เรียนมาจากโทรทัศน์ แต่สำหรับปีศาจจิ้งจอกแล้วเรียกได้ว่าไม่มีประโยชน์สักนิด
“เฮอะ! เจ้ายังไม่รีบกลับไปอีก ปีศาจพวกนั้นถึงจะทำร้ายเจ้าไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ทำร้ายคนในครอบครัวของเจ้านะ ทางที่ดีเจ้าควรรีบกลับลงเขาไปจะดีกว่า!” สุนัขจิ้งจอกเตือนเขาอย่างไม่สบอารมณ์ ทั้งที่ใจจริงแล้วรู้สึกซาบซึ้งในความช่วยเหลือ แต่กลับปั้นหน้าเอ่ยคำขอบคุณออกมาไม่ได้
“แย่แล้ว!” ลู่เหรินกระโดดขึ้นยืน แล้วรีบเร่งจากไป เกือบจะลืมเรื่องนี้เสียแล้ว! (ปกติเวลาคนเราพูดว่าเกือบจะลืม อันที่จริงก็มักจะลืมไปหมดแล้ว)
“ไปทางซ้าย!”
“อืม อืม” ลู่เหรินรีบเร่งเลี้ยว วิ่งกลับไปหาครอบครัวอย่างรวดเร็ว
“แม่!” ลู่เหรินร้องเรียกอย่างตกใจ เขามองเห็นแมงมุมตัวใหญ่ยักษ์ยืนอยู่ข้างลู่ฉือ มิหนำซ้ำศีรษะของแมงมุมยังเป็นหญิงสาว มันกำลังออกล่าเหยื่อที่หยุดพักอยู่
“ผู้มีพระคุณช่วยชีวิตนี่เอง” เมื่อนางแมงมุมเห็นเขาก็บุ้ยปากแล้วเก็บขาทั้งแปด
“พวกเรากลับบ้านกันเถอะแม่! ไม่ต้องไปสนใจศาลาเล็กนั่นแล้ว ผมอยากกลับบ้าน ผมยังมีการบ้านที่ไม่ได้ทำอีกตั้งเยอะ!” ลู่เหรินพูดพลางเข้าไปใกล้มารดาและน้องสาว เขาพามารดาออกจากขอบเขตอำนาจของนางแมงมุมอย่างระมัดระวัง
“พรุ่งนี้ทำก็ได้น่า ยังไงก็ยังมีวันหยุดเสาร์อาทิตย์อีกสองวัน” ลู่ฉือพูดยิ้มๆ
“ไม่เอา! อีกอย่างเสี่ยวฝานก็อยากกลับบ้านแล้วด้วย ใช่ไหม?” ลู่เหรินหันกลับไปถามน้องสาว แต่กลับมองเห็นเด็กหญิงอุ้มตุ๊กตาฝรั่งยืนอยู่ข้างๆ เสี่ยวฝาน ลู่เหรินตกใจแทบแย่ รีบกอดน้องสาวเอาไว้ ขืนช้ากว่านี้อีกนิด น้องสาวอาจจะถูกปีศาจเด็กผู้หญิงนี่จับกินไปแล้ว
“พวกเรารีบๆ กลับบ้านเถอะ!” ลู่เหรินพูดอย่างร้อนใจ ทั้งโวยวายทั้งร้องไห้ ยืนกรานให้รีบกลับบ้าน ท้ายสุดลู่ฉือก็ยอมลูก ตัดสินใจพากันกลับไป
ขากลับนี้เร็วมาก เนื่องจากมีสุนัขจิ้งจอกคอยช่วยบอกทางให้ ถ้าหากเดินไปผิดทาง มันจะบอกทันทีว่า “ทางขวา!” จากนั้นลู่เหรินก็ดึงมารดาให้เดินไปทางขวา ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงลงเขาได้อย่างรวดเร็ว
ยังคิดว่าจากนี้ไปคงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับภูเขาลูกนี้อีก แต่บังเอิญว่าสวรรค์คงไม่ฟังความปรารถนาของมนุษย์ตัวเล็กๆ ฟันเฟืองแห่งชะตากรรมจึงเริ่มหมุนนับตั้งแต่เขาดึงแผ่นยันต์ออกจากต้นไม้นั่นเอง
**************
ครอบครัวลู่สามชีวิตที่กลับถึงบ้าน เดินโซซัดโซเซด้วยเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด ลู่ฉือเองหลังจากเปิดไฟแล้วก็นั่งลงบนโซฟาอย่างแรง
“พี่จ๋า... เหนื่อยจังเลย...” เสี่ยวฝานนั่งอยู่ข้างกายของลู่เหริน พูดขึ้นอย่างเหนื่อยล้า เสียงของเด็กน้อยดังสะท้อนฟังไม่ชัดเจน
“เหนื่อยมากเหรอ? อยากดื่มน้ำไหม?” ลู่เหรินถาม ตะกายตัวขึ้นมาอย่างยากลำบาก ความจริงแล้วตัวเขาเองก็เหนื่อยจนแม้แต่จะขยับตัวยังขี้เกียจ แต่เพื่อน้องสาวที่แสนจะน่ารักแล้ว เขาก็ยังอุตส่าห์ลุกขึ้นมาเทน้ำใส่แก้ว
“อ๋า! เหรินเหรินลำเอียงดีแต่กับเสี่ยวฝาน แม่ก็อยากดื่มน้ำเหมือนกันนะ” ลู่ฉือทำเป็นงอนใส่ลูกชาย
“หนูอยากนอน...” เสี่ยวฝานล้มลงนอนหลับสนิทบนพื้น
“แบบนี้เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก” ลู่เหรินกล่าวแล้วไปเรียกมารดามาอุ้มน้องกลับห้องนอน
“เสี่ยวฝานคงเหนื่อยแย่แล้วเนี่ย” ลู่ฉือที่อุ้มเสี่ยวฝานขึ้นมาพูดพลางหัวเราะ เปลี่ยนเสื้อให้ลูกสาว และในชั่วพริบตาที่ลู่เหรินปิดประตูนี้เอง เขาพลันมองเห็นเด็กผู้หญิงอุ้มตุ๊กตาฝรั่งยืนอยู่ข้างกายน้องสาว เธอจ้องมาทางเขาแล้วยิ้ม
“แม่ฮะ! ” ลู่เหรินร้องเรียกเสียงดัง ชี้ไปที่เด็กผู้หญิงแล้วพูด “ข้างๆ เสี่ยวฝานมี... มีผี!”
“เหรินเหริน ลูกเหนื่อยมากแล้วล่ะ! บนโลกนี้ไม่มีผีหรอก!” ลู่ฉือหัวเราะแล้วตบหัวลูกชายทีสองที เตรียมจะออกจากห้อง “ให้น้องนอนหลับสบายๆ ลูกอย่าทำเสียงดังรบกวนน้องตรงนี้” นางเร่งลู่เหริน
“มีผีจริงๆ นะ! เป็นผีผู้หญิง ยืนอยู่ข้างเตียงน้องอ่ะ! มีจริงๆ นะแม่! ” ลู่เหรินตะโกนเสียงดัง ใกล้จะร้องไห้เต็มที ทำไมแม่ถึงไม่ยอมเชื่อเขา?
“เหรินเหริน ลูกก็เหนื่อยมากแล้ว รีบไปนอนไป” ลู่ฉือลากลู่เหรินออกไปจากห้อง แต่เขาคว้าบานประตูไว้ไม่ยอมไป ได้แต่ตะโกนไม่หยุด “อยู่ข้างในจริงๆ แม่รีบไล่เขาไปสิ!”
“เหรินเหริน หยุดโวยวายได้แล้ว เดี๋ยวน้องตื่นเพราะเสียงของแกหรอก!” ลู่ฉือเริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมาเช่นกัน พูดก็ไม่ยอมฟัง นางเหนื่อยมากเหลือเกินแล้ว ยังจะมาโวยวายใส่อีก
“ชั่วร้าย! ออกห่างจากน้องเดี๋ยวนี้นะ ที่นี่ไม่ต้อนรับแก!” ลู่เหรินด่าทอผีเด็กหญิงโดยตรง เขาว่าอย่างโกรธแสนโกรธ เอาแต่ตะโกนเสียงดังว่าไม่ต้อนรับแก!
เพี้ยะ!
ลู่ฉือตีลู่เหรินไปหนึ่งที แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็สงบลง
ทว่าลู่เหรินไม่ได้เงียบเพราะว่าถูกลู่ฉือตี แต่เป็นเพราะว่าชั่วขณะที่ถูกแม่ตีนั้น เขาได้ยินเสียงที่เล็กเหมือนเด็กของผีตนนั้นดังขึ้นว่า “น้องของเจ้าเชิญข้าเข้ามาเองนะ”
“มีผีจริงๆ” ลู่เหรินถลึงตามองผีเด็กผู้หญิงด้วยความโกรธ แม่ไม่ยอมเชื่อเขา พูดอย่างไรเด็กผู้หญิงนี่ก็ไม่ยอมไป เขาช่างไร้กำลังสุดๆ เลย
“เหรินเหริน ลูกเหนื่อยมากแล้วจริงๆ รีบๆ ไปพักผ่อนเถอะ” ลู่ฉือถอนหายใจ คราวนี้นางออกแรงดึง ลากลู่เหรินออกไป แล้วพากลับไปยังห้องของตัวเอง
ลู่เหรินมองประตูห้องที่ปิดสนิทอย่างไม่ยินยอม น้ำตาเม็ดโตๆ ไหลกลิ้งออกมาทีละหยดทีละหยด
แล้วใครจะช่วยน้องสาวล่ะ?
***************
สองวันถัดมา ลู่ฉือถึงพบว่าเสี่ยวฝานแปลกไป
ทีแรก นางคิดว่าเสี่ยวฝานง่วงนอน จึงให้นอนมากหน่อย แต่จนค่ำก็ยังไม่ตื่น ลู่ฉือเริ่มจะร้อนใจขึ้นมาแล้ว เสี่ยวฝานไม่ได้เป็นไข้ และไม่ได้มีอาการไม่สบายอะไร แต่ไม่ว่าจะเรียกอย่างไรลูกก็ไม่ยอมตื่น เชิญคุณหมอมาตรวจก็ไม่พบอะไรผิดปกติ
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้นะ?” ลู่ฉื่อร้อนอกร้อนใจอยู่ข้างๆ เสี่ยวฝาน ดวงตาของนางแดงก่ำ มองไปยังลูกสาวอย่างเสียใจ คิดแต่ว่าเป็นความผิดของตัวเอง ต้องโทษนางคนเดียวที่ไม่ดูแลลูกสาวให้ดี ไม่ควรจะไปเขาลูกนั้นเลยจริงๆ
ลู่เหรินมองมองผีเด็กหญิงที่เริ่มจะปรากฏกายชัดขึ้นก็ยิ่งเป็นห่วง คงไม่ใช่ว่าผีตนนั้นกำลังกินน้องสาวของตนอยู่ใช่ไหม?
ใครจะช่วยน้องได้นะ?
ช่วย...
เขาพลันคิดถึงสุนัขจิ้งจอกบนเขาลูกนั้น
ลู่เหรินกลับห้องตัวเอง ทุบกระปุกออมสินที่เก็บมานาน เอาเงินยัดใส่กระเป๋า รีบร้อนไปบอกมารดาว่า “ผมออกไปข้างนอกแป๊บนึง!” แล้วก็วิ่งออกจากบ้าน เขารู้ว่าแม่ต้องเป็นห่วง แต่ก็ไม่มีเวลามาสนใจแล้ว เขานั่งรถแท็กซี่ไปจนถึงเขาลูกเดิม จ่ายเงินจนแทบจะหมดตัว
เด็กน้อยยืนอยู่ที่ตีนเขา กลืนน้ำลายเอื๊อก ความกลัวจากเหตุการณ์คราวก่อนยังฝังลึกอยู่ในใจ ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากจะขึ้นเขาเลยจริงๆ ลู่เหรินจึงลองตะโกนเรียกสุนัขจิ้งจอกจากตีนเขา
“คุณจิ้งจอกครับ คุณจิ้งจอก คุณจิ้งจอก!” เขาไม่รู้ว่าสุนัขจิ้งจอกชื่ออะไร รู้แต่ว่าเป็นสุนัขจิ้งจอกเท่านั้น หรือบางทีมันอาจจะไม่ชื่ออยู่แล้วก็เป็นได้
ไม่มีเสียงตอบรับ
อาจจะต้องเข้าไปใกล้ๆ หน่อยถึงจะได้ยิน เขาคิดแล้วเดินไปข้างหน้าอีกก้าว “คุณจิ้งจอก คุณจิ้งจอกครับ คุณจิ้งจอกกก...” ก็ยังคงไม่มีเสียงตอบรับ
เขาเดินไปข้างหน้าทีละก้าวทีละก้าว เดินหนึ่งก้าว ความกลัวก็เพิ่มขึ้นอีกนิด เดินไปตะโกนเรียกจิ้งจอกไป
“คุณจิ้งจอก...” เขารู้สึกหมดหวัง หมดหวังจนอยากจะร้องไห้ อยากจะช่วยน้องสาวเร็วๆ เสียงสะอึกสะอื้นถี่ขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ตะโกนเรียกสุนัขจิ้งจอกต่อไม่ย่อท้อ
“ส่งเสียงจิ๊จ๊ะอะไรอยู่ได้น่ะ? เดี๋ยวจับกินซะเลย!” ในที่สุดเสียงของสุนัขจิ้งจอกก็ดังขึ้น พร้อมกับเจ้าตัวที่กระโดดออกมาจากพงหญ้า
“ขอร้องล่ะคุณช่วยน้องสาวผมหน่อยเถอะ ผีบนภูเขานี่จะฆ่าน้องสาวผม... น้องหลับมาทั้งวันแล้ว...” ลู่เหรินพูดไปร้องไห้ไป
“ทำไมข้าจะต้องช่วยน้องสาวเจ้า?”
“ก็ผม... ผมเคยช่วยคุณนะ”
ข้าก็ส่งพวกเจ้าลงเขาแล้วไง ช่วยครั้งตอบแทนครั้ง ข้าไม่ติดค้างอะไรเจ้าแล้ว!”
พอลู่เหรินได้ยินปีศาจจิ้งจอกพูดว่ายังไงก็จะไม่ยอมช่วยแล้ว ในสถานการณ์สิ้นหวังอับจนหนทางแบบนี้ เขาเลยปักหลักร้องไห้เสียงดังเสียเลย ร้องไห้ไปตะโกนไป...
“อ๊ากๆๆๆๆๆ...”
“ร้องบ้าร้องบออะไรของเจ้าเนี่ย! ไม่กลัวข้าจับกินซะเลยนะ!”
เจ้าจิ้งจอกสบถใส่ พลันเนรมิตกายให้ใหญ่ขึ้น ดูแล้วดุร้ายอย่างยิ่ง ปากแดงสดดุจเลือดของมันแสยะเขี้ยว ทำท่าทางประหนึ่งจะจับเขากินทั้งตัวในคำเดียว
“จะกินผมก็ไม่ว่าหรอก ขอร้องล่ะช่วยน้องสาวผมเถอะ” แม้ว่าลู่เหรินจะกลัว แต่ยังอ้อนวอนอยู่
“ทำไมข้าต้องสนใจเจ้าด้วย! ” ปีศาจจิ้งจอกหัวเราะเยาะ แค่มันจับเจ้าเด็กนี่กินคำเดียวก็สิ้นเรื่องแล้วจะต้องช่วยน้องสาวไปทำไม?
“ขอร้องละครับ จะให้ผมทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่คุณช่วยน้องสาวผม” ลู่เหรินขอร้อง ขอเพียงแค่จิ้งจอกยอมตกปากรับคำจะช่วย
“จะอะไรก็ยอมจริงๆ หรือ?” ปีศาจจิ้งจอกโดนประโยคที่ว่า ‘อะไรก็ยอม’ ดึงดูดเข้าเสียแล้ว มันคิดสรตะถึงความน่าเชื่อถือของเขา
“จริงนะ จะกินผมก็ไม่เป็นไร” ลู่เหรินพยักหน้าสุดแรง เน้นอีกครั้งว่าจะจับตนกินเสียก็ได้
“กินเจ้ามันง่ายไป เอางี้ละกัน ข้าขอลูกคนแรกของเจ้า” ทารกแรกคลอดจะอร่อยที่สุด เนื้อนุ่มสดอร่อย เจ้าจิ้งจอกเผยโฉมหน้าตะกละตะกลามออกมาให้เห็น
“ไม่มีปัญหา!” ลู่เหรินตกปากรับคำทันที ด้วยไม่เข้าใจนัยยะที่แท้จริงว่าหมายถึงสิ่งใด “พวกเรารีบกลับกันเถอะ มีรถเมล์มาทุกครึ่งชั่วโมง” ลู่เหรินเร่ง
“จะนั่งรถเมล์ไปทำไม? เดินไปก็ได้”
“แบบนี้จะไม่ทันเอานะครับ”
“กลัวอะไร? พวกเราจะไปทางปีศาจกัน” จิ้งจอกเพลิงเดินนำอยู่ข้างหน้า “จริงสิ เจ้าจะต้องพูดว่า... ยินดีต้อนรับคุณมาเที่ยวบ้านผม”
“ยินดีต้อนรับคุณมาเที่ยวบ้านผม”
“ดีมาก”
เพียงแค่ลู่เหรินและปีศาจจิ้งจอกเดินหน้าหนึ่งก้าวก็ถึงประตูใหญ่ของครอบครัวลู่ทันที ลู่เหรินตกใจหันกลับไปมอง รอบกายล้วนแต่เป็นถนนที่คุ้นเคย ไม่มีป่าไม้หรือทางเดินบนเขาอีกแล้ว
“ยังไม่เชิญข้าเข้าบ้านอีก”
“เชิญเข้าบ้านครับ” ลู่เหรินเปิดประตูนำ แล้วให้สุนัขจิ้งจอกเข้าไปก่อน
“ไอ้ความรู้สึกที่ได้ออกมานี่มันดีจริงๆ” มันเดินแกว่งไกวเข้าไปในตัวบ้าน
“ช่วยน้องสาวผมด้วยครับ” ลู่เหรินขอให้ช่วยอีกที
เจ้าจิ้งจอกเดินไปที่ห้องของเสี่ยวฝานด้วยตัวเอง ลู่เหรินเปิดประตูให้มันเข้าไปในห้อง เขามองเห็นผีเด็กหญิงที่ปรากฏกายชัดเจนขึ้นกว่าเดิม ชัดกว่าตอนที่เขาออกจากบ้านเสียอีก
“เร็วหน่อยครับ”
“เหรินเหริน แกหายหัวไปไหนมา?” ลู่ฉือถาม เจ้าเด็กสองคนนี้ชอบทำให้คนอื่นเป็นห่วงเสียจริง
“รู้แล้วน่า” ปีศาจจิ้งจอกเดินเข้าไปใกล้เด็กหญิง
“เจ้าอย่ามาขวางข้านะ คนอื่นข้าก็ให้เจ้ากินหมด แต่คนนี้เจ้าต้องให้ข้า” เด็กหญิงพูดขึ้นด้วยหน้าตาน่ารังเกียจ คิดจะต่อรองกับปีศาจจิ้งจอกดู
“ไม่ได้หรอก เจ้ามนุษย์นั่นมีประโยชน์ต่อข้า ข้ายังกินมันไม่ได้เลย” สุนัขจิ้งจอกพูดยิ้มๆ “ส่วนเจ้าน่ะ...” เช่นเดียวกับเมื่อครู่ มันเปลี่ยนร่างให้ใหญ่โต มองดูเด็กหญิงแล้วอดไม่ได้ที่จะน้ำลายสอ
“เจ้าคงไม่ได้จะ...” กินข้านะ ยังไม่ทันจะได้พูดอีกสามคำออกจากปาก ก็ถูกปีศาจจิ้งจอกกินคำเดียวทั้งตัวเสียแล้ว
มันเรอออกมาทีหนึ่ง จากนั้นก็คายดวงวิญญาณของเด็กหญิงออกมา “ว้า เสียดายจริงๆ จะกินวิญญาณแสนอร่อยนี่ก็ไม่ได้”
ชั่วขณะนั้นเอง เสี่ยวฝานก็ตื่นขึ้นมา มองไปที่มารดาอย่างอ่อนแรง แล้วยังพี่ชายที่เข้ามากอดเสียแน่นโดยที่ยังไม่ทันจะตั้งตัว รู้สึกแค่ว่าไม่สบายตัว
“เจ็บจัง” เสี่ยวฝานโดนกอดรัดจนเจ็บ หนูน้อยร้องไห้จ้า
“ขอบคุณฟ้าดิน ขอบคุณฟ้าดิน” ลู่ฉือพูดไม่หยุดปาก ซาบซึ้งเหลือประมาณ
“ต้องขอบคุณข้าสิถึงจะถูก” เจ้าจิ้งจอกกล่าวเคืองๆ
“ขอบคุณครับคุณจิ้งจอก” ลู่เหรินพูดอย่างซาบซึ้งใจ สายตาเหลือบขึ้นมองจิ้งจอกที่ตัวยังคงใหญ่
“เหรินเหริน ลูกพูดอะไรอยู่ได้คนเดียว?” ลู่ฉือถาม สนใจบุตรชายที่พูดเองเออเองคนเดียวตั้งแต่เมื่อครู่
“แม่ ดูตรงนั้นสิว่าเห็นจิ้งจอกไหม? เขานี่แหละที่ช่วยน้อง” ลู่เหรินถามแม่พลางชี้ไปที่ปีศาจจิ้งจอก
“ไม่เห็นมีเลย นี่แกยังไม่เลิกพูดเพ้อเจ้ออีกเหรอ?” ลู่ฉือพูด
“อืม” ลู่เหรินไม่พยายามยืนยันว่ามีผีปีศาจอยู่จริงๆ อีกต่อไป เขาได้รับบทเรียนแล้ว ถ้ายังพยายาม สุดท้ายก็มีแต่จะโดนด่าเท่านั้น
“อย่าลืมสัญญาของเราเสียล่ะ ข้าขอลูกคนแรกของเจ้า” สุนัขจิ้งจอกกำชับ แล้วก็หายตัวจากไปไม่เหลือแม้แต่เงา
ลู่เหรินในตอนนั้นอาจจะยังจำสัญญาได้อยู่ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปนานเข้า เขากลับลืมเสียแล้ว ลืมไปว่าครั้งหนึ่งเคยมีสุนัขจิ้งจอกช่วยชีวิตน้องสาวเอาไว้ ซ้ำยังตกลงกับเขาว่าจะมาเอาตัวลูกคนแรกไปอีก
จวบจนภรรยาของเขาตั้งครรภ์ ก็ยังจำสัญญานั้นไม่ได้
เขาไม่มีวันรู้ไปตลอดกาลว่าตอนที่ภรรยาคลอดนั้น เธอพยายามขัดขวางจิ้งจอกที่จะมาขโมยลูกไปอย่างสุดชีวิต เขาไม่รู้ถึงปณิธานอันแรงกล้าของภรรยาที่จะปกป้องลูกน้อยโดยเอาชีวิตของตัวเข้าแลก
ลูกชายอยู่รอด แต่ชีวิตของคนเป็นแม่กลับดับสิ้น
ที่ลู่เหรินคิดไปเองว่าคลอดยากนั้น ที่แท้มีปีศาจจิ้งจอกบงการอยู่เบื้องหลัง
เขาตั้งชื่อให้ลูกชายว่า ‘ลู่เหยียนเซิน’ พ้องเสียงกับเหยียนเซินที่แปลว่า ยืดขยายออก ชีวิตที่ยืดต่อจากภรรยาของเขา
TBC