ขอขอบคุณคอมเม้นจาก กอป, พี่patee, พี่nOn†ღ, พี่pickki_a, พี่dahlia, พี่mantdash
และขอขอบคุณเป็นพิเศษจากพี่น้ำตาล และพี่supranee มากๆนะครับ..
ทุกคอมเม้น เป็นกำลังใจให้ผมอย่างยิ่งเลยครับ
. . . .
และนี่.. คือ 4 ตอนสุดท้ายของนิยายเรื่องนี้ นิยายที่ผมตั้งใจทำด้วยความปราณีตบรรจงมากๆ ตั้งใจค้นคว้าหาข้อมูลมาประกอบการเขียนอย่างมากมาย และเป็นการรวม 5 เรื่องสั้นที่ผมเคยเขียนไว้ มาผูกเป็นเรื่องให้ผสมผสานกันจน.. เป็นนิยายเรื่องนี้ นี่คือการทดลองทำในสิ่งที่ผมไม่เคยทำมาก่อนเลย หวังใจว่า.. นิยายเรื่องนี้.. คงพอจะให้ความบันเทิงและให้ข้อคิดบ้างนะครับ ติดตามบทสรุปจาก 4 ตอนสุดท้ายของนิยายเรื่องนี้ได้เลยครับผมหนทาง (1)
“ จะทำไงดีนะ? ทำไมถึงคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก? ”
ชีวินเอ่ยพึมพำกับตัวเองด้วยความรู้สึกอึดอัด กลัดกลุ้ม และเคร่งเครียด หลายวันที่ผ่านมา นับแต่. วันที่ชีวินได้รับรู้เรื่องราวของพี่เอ็มจากภาพนิมิต เขาก็พยายามคิดหาหนทางเพื่อช่วยเหลือพี่เอ็มและพี่ปอนให้ได้พบกันมาโดยตลอด หลายต่อหลายครั้งที่ชีวินส่งกะแสจิตเพื่อขอปรึกษาพี่เอ็มในเรื่องนี้ ก็ดูจะไม่ได้รับรู้คำตอบใดๆเลย เอ็มได้แต่เงียบงัน นิ่งเฉยอย่างน่าแปลกใจ เขาไม่เข้าใจเลยเหมือนกันว่า.. ก็.. พี่เอ็มดูจะอยากพบพี่ปอนมากนี่นา แต่.. ทำไม? พี่เอ็มกลับวางเฉยในเรื่องนี้? จะอย่างไรก็แล้วแต่.. เขาต้องหาหนทางให้ได้ เขาจะต้องทำให้ได้ เวลาคงจะเหลืออีกไม่มากแล้ว..
ทางฝ่ายเอ็ม เอ็มก็ได้แต่ล่องลอยอยู่เคียงใกล้ชีวิน และลอบมองชีวินอยู่เงียบๆเช่นนั้นโดยมิได้ส่งกระแสจิตพูดคุยกับชีวินเลย แม้ว่า.. เขาจะอยากทำเป็นที่สุดก็ตาม เขารู้สึกว่า.. มันอาจจะเป็นการไปรบกวนชีวิตที่กำลังครุ่นคิดหาหนทางที่จะช่วยเหลือเขา ดูชีวินจะคร่ำเคร่งและตั้งใจมากจริงๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ยามที่ชีวินมีเวลาเป็นส่วนตัว เขาและชีวินมักคลอเคลียแ ละพูดคุยกันด้วยความรักความเข้าใจกันเสมอ แต่.. ในระยะหลังมานี้.. เขาและชีวินแทบมิได้ปฏิบัติต่อกันเช่นนั้นอีกเลย ชีวินเอาแต่เงียบและจมอยู่กับความคิดเพียงลำพัง จะมีบ้าง.. ที่ชีวินพยายามที่จะปรึกษาเขา แต่.. เขาจะเอ่ยพูดเรื่องนี้ได้อย่างไร? มันผิดลิขิต และเขาก็มิอาจรู้หนทางเช่นกัน เอ็มรับรู้ถึงความรู้สึกอึดอัดของชีวินได้ดี เขารู้สึกเป็นห่วงชีวินมากเหลือเกิน เพียงแค่.. เขาได้รับรู้ถึงความตั้งใจจริงของชีวินเช่นนี้ เขาก็รู้สึกตื้นตันอย่างที่สุดแล้ว จนในที่สุด.. เขาก็ทนที่จะต้องเห็นชีวินต้องจมอยู่ในความทุกข์เพื่อหาหนทางช่วยเขาไม่ได้อีกต่อไป เขาจึงส่งกระแสจิตไปหาชีวิน เอ่ยบอกความนัย และความรู้สึกจริงๆของเขาให้ชีวินได้รับรู้ในทันที..
“ วิน พี่ขอโทษที่ต้องมารบกวนวินในตอนนี้ แต่.. ขอเวลาให้พี่ได้พูดอะไรครู่หนึ่งเถิด พี่อยากบอกวินว่า.. วินไม่ต้องคร่ำเคร่งจนหมดความสุขแบบนี้อีกเลยได้ไหม? พี่ไม่อยากเห็นวินเป็นแบบนี้ พี่ไม่สบายใจเลย พี่เป็นห่วงวินนะ ช่างมันเถิดนะวิน เรื่องราวของพี่ ก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามกระแสกรรมของพี่เองเถิด ถึงแม้พี่จะอยากพบปอนมากมายก็ตาม แต่.. พี่ก็ไม่นำพาตรงนี้อีกแล้ว ที่ผ่านมา.. ที่วินดีต่อพี่.. มันก็เป็นสิ่งที่เกินกว่าที่พี่จะตอบแทนวินได้อีกแล้ว แค่.. วินมีความรู้สึกอยากช่วยพี่ แค่นี้.. พี่ก็ตื้นตันเป็นที่สุดแล้วนะ วิน.. พี่รักวินนะ พี่อยากให้วินมีความสุข มีชีวิตที่สดใสตามวัย อย่ามัวมาจมกับความทุกข์ ความอึดอัดใจแบบนี้อีกเลยนะวิน ”
ชีวินรับรู้กระแสจิตจากเอ็มที่ส่งมาพูดคุยกับเขา เขาเข้าใจดีว่า.. พี่เอ็มคงเป็นห่วงและดูจะเกรงใจเขา แต่.. ในเมื่อมันเป็นความตั้งใจจริงที่เขาต้องการจะทำให้ได้ เขาจึงส่งกระแสจิตตอบกลับไปที่พี่เอ็มจากความรู้สึกที่มาจากใจจริงของเขา
“ พี่เอ็ม ผมรักพี่ ขอให้ผมได้หาหนทางช่วยพี่เถิดนะครับ เวลาของเราใกล้หมดลงเต็มที นี่คือความตั้งใจสุดท้ายที่ผมอยากทำให้พี่ ผมอยากให้.. ความรักอันสวยงามของพี่และพี่ปอนได้กลับมาบรรจบพบกันอีกครั้ง ถ้าเป็นเช่นนั้นได้ มันจะทำให้ผมสุขใจเป็นที่สุด ชีวิตของพี่จมอยู่ในความทุกข์ทรมานในความเดียวดายมานานพอแล้ว พี่ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกนะครับ ถ้าผมจะต้องอยู่ในความอึดอัดเพื่อช่วยเหลือพี่ ผมก็ยินดี ยังไงเสีย.. ผมต้องหาหนทางจนได้ ผมต้องทำให้ได้ครับ ”
เอ็มรับรู้เช่นนั้นก็มิอาจกล่าวอะไรได้อีก ความมุ่งมั่นของชีวินช่างแรงกล้าเสียเหลือเกิน คนที่จิตใจดีแบบนี้ คนที่มีความตั้งใจที่จะให้.. ด้วยความจริงใจแบบนี้ ช่างเป็นคนที่แสนจะประเสริฐที่สุด ชีวินช่างดีกับเขาเหลือเกิน เอ็มรู้สึกอยากร้องไห้ด้วยความซาบซึ้ง ถ้าเพียง.. เขาสามารถร้องไห้ได้ น้ำตาเขาคงจะรินไหลออกมาเนิ่นนานแล้วด้วยความตื้นตัน เมื่อได้รับรู้ดังนั้น เขาจึงมิอาจอยากรบกวนชีวินอีกต่อไป คงต้องปล่อยให้ชีวินครุ่นคิดด้วยความมุ่งมั่นเช่นนั้น แม้ว่า.. เขาจะรู้สึกห่วงใย และรู้สึกเกรงใจสักเพียงไหนก็ตาม..
หลังจากนั้น.. ชีวินก็มัวเฝ้าครุ่นคิดอยู่เช่นนั้นอย่างเหม่อลอยจนเหมือนจะลืมตัว ภายหลังจากที่กริ่งสัญญาณแจ้งหยุดพักรับประทานอาหารกลางวันได้ดังขึ้นมาได้ครู่หนึ่ง และอาจารย์ได้ปล่อยให้ไปพักได้แล้ว เขาก็ยังคงนั่งคิดอยู่เช่นนั้นจนแทบมิได้ขยับตัว ในสมองงเขามัวแต่ครุ่นคิดว่า.. จะทำเช่นไรดี? มันจะมีวิธีใดบ้าง? จวบจน.. เขาเริ่มรู้สึกตัวอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงคุ้นเคยที่เอ่ยทักเขา ปลุกเขาให้ตื่นขึ้นมาจากภวังค์ความคิดในขณะนั้น
“ วิน วิน นั่งเหม่ออีกแล้ว ”
“ อืม.. พัฒน์ มีอะไรเหรอ? ”
“ นี่ได้เวลาพักกินข้าวแล้วนะ ไม่ไปกินข้าวหรือไง? ไม่รีบไปตอนนี้เดี๋ยวคนแน่นไม่มีที่นั่งนะ ไปกินข้าวกันเถิดวิน ”
“ อืม.. จริงสิ งั้นไปก็ได้ ”
“ เออนี่วิน วันนี้.. เราเอาขนมมาเยอะเลย ตั้งใจจะเอามาเผื่อวินด้วยน่ะ เมื่อวานที่บ้านทำกล้วยบวดชีอร่อยมากๆ แล้วก็ทำเยอะมากด้วย งั้น.. เดี๋ยวเรามาแบ่งกันกินนะวิน ”
‘ กล้วยบวดชี? ’ ชีวินรู้สึกสะดุดกับคำคำนี้มากๆ จริงสิ.. ใช่แล้ว.. เขานึกออกแล้ว แม่ชี.. แม่ชีที่วัด.. แม่ชีที่วัดที่ประจำที่ตู้รับบริจาค วัดที่เขามักไปไหว้พระบ่อยๆอยู่ช่วงหนึ่งจนเขาได้พบกับพี่เอ็ม ในช่วงแรกๆที่เขายังไม่รู้ตัวว่าพี่เอ็มได้ตามเขามาแบบเงียบๆในตอนนั้น.. แม่ชียังได้เอ่ยทักเขาด้วยคำพูดแปลกๆจนเขารู้สึกเอะใจ เขายังจำคำพูดนั้นได้ดี.. คำพูดนั้นที่ว่า..
“ ดีแล้วละลูก หนูนี่เป็นเด็กดีจังเลย ดูจะเป็นคนใจบุญสุนทาน มิน่า.. ถึงได้มี.. เอ่อ.. เอ้อ.. ดอกไม้ธูปเทียนนั่น หนูหยิบเลือกเอาตามสบายเลยนะลูก ”
“ อืม.. หนูเนี่ยเป็นคนที่จิตใจดีมีเมตตานะ มีบุญบารมีด้วย ถึงได้.. เอ่อ.. มี.. เอ้อ.. ยังไงก็.. ดูแลกันดีๆนะลูกนะ กลับเถิดลูกนี่ก็เย็นมากแล้ว ”
ชีวินนึกมาถึงตรงนี้ เขาก็นึกออกแล้ว ใช่แล้ว.. ใช่แบบที่คิดแน่ๆ แม่ชีคงมองเห็น แม่ชีคงสามารถกำหนดจิตให้สงบจนเกิดสมาธิและสามารถสัมผัสรับรู้ความมีตัวตนของพี่เอ็มได้ดังที่เขาสามารถทำได้ในทุกวันนี้ หรือว่า.. บางที.. แม่ชีอาจจะมีสัมผัสพิเศษ จนสามารถมองเห็นดวงวิญญาณของพี่เอ็มได้ ถ้าเป็นเช่นนั้น แม่ชีอาจมีคำแนะนำอะไรดีๆให้แก่เขาก็ได้ เริ่มมีความหวังแล้ว ชีวินรู้สึกปิติและดีใจเหลือเกิน เขาเผลอตัวกอดเพื่อนรักด้วยความดีใจจนเต็มล้นหัวใจ
“ ขอบใจนะพัฒน์ ขอบใจจริงๆ ”
“ เอ่อ.. เอ่อ.. มะ มะ ไม่เป็นไร ”
พัฒน์รู้สึกงงงวยในท่าทีของชีวินเป็นอย่างยิ่ง เขานึกในใจว่า.. แค่เอากล้วยบวดชีมาเผื่อแค่นี้ มันทำให้วินดีใจขนาดนี้เลยหรือ? วินคงจะอยากกินกล้วยบวดชีมากๆแน่ๆ คงจะเป็นพราะเขาไม่ได้กินมานานแล้วจึงได้ดีใจขนาดนี้ กระมัง? แต่.. มันดูจะดีใจจนดูจะเวอร์ไปหน่อย ดีใจมากจนมากอดเขาเฉยเลย เจ้าวินนี่มันบ๊องจริงๆ เขารู้สึกขันจนต้องแอบอมยิ้มน้อยๆ จากนั้น.. ทั้งคู่ก็เดินเคียงกันตรงไปยังโรงอาหารเพื่อไปรับประทานอาหารกลางวันในช่วงเวลาพักเที่ยงที่โรงเรียนในวันนั้น..
.
.
.
.
ยามบ่ายคล้อยใกล้เวลาเย็น จวบจนจบสิ้นสุดคาบเรียนสุดท้ายในวันนั้น เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน ช่วงระหว่างกำลังเก็บข้าวของเพื่อเตรียมจะกลับพัฒน์ก็ได้เอ่ยกับชีวินว่า..
“ วิน เดี๋ยววันนี้ไปบ้านเรานะ ไปช่วยกันทำรายงานน่ะ จะได้เสร็จๆไป ”
พัฒน์เอ่ยชวนชีวินไปแบบนั้น แม้จะรู้ดีว่า.. รายงานที่ต้องช่วยกันทำ ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนนักก็ได้ เพราะยังมีเวลาอีกนานกว่าจะถึงกำหนดส่งงาน แต่.. เขากลับมีความรู้สึกอยากอยู่ใกล้ชิดชีวิน อยากทำอะไรต่อมิอะไรร่วมกัน อยากมีเวลาอยู่ใกล้กันมากๆ มันเป็นความรู้สึกที่เริ่มมีมากขึ้นทุกวัน เขาก็ไม่ค่อยเข้าใจจิตใจตัวเองเท่าไรนัก ว่า.. เขารู้สึกกับชีวินเช่นไร? เขารู้แต่เพียงว่า.. ช่วงเวลาที่เขาและชีวินได้อยู่ใกล้ๆกัน มันดูจะเป็นช่วงเวลาที่ดี ที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจเหลือเกิน บ่อยครั้ง.. ที่เขาลองถามใจตนเองว่า.. เขาเป็นเกย์ใช่ไหม? คำตอบในใจคือ.. เขาก็ไม่แน่ใจ เพราะเขาไม่เคยรู้สึกสนอกสนใจผู้ชายคนไหนเป็นพิเศษเลย เด็กหนุ่มรูปหล่อที่ดูจะมีดาษดื่นภายในรั้วโรงเรียนแห่งนี้ เท่าที่เขาเห็น.. เขาก็ได้แต่มองแล้วผ่านเลยไปโดยไม่ได้มีความรู้สึกอะไร ไม่มีความรู้สึกอะไรที่เป็นพิเศษเลยจริงๆ แต่.. กับชีวิน ทำไม? เขารู้สึก.. รู้สึกว่า.. เหมือนจะ.. ชอบ แบบนี้เขาจะเป็นเกย์หรือเปล่าหนอ? ดูจะเป็นข้อสงสัยในตัวเองที่เขาก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ด้วยความไม่แน่ใจ เขาเอ่ยถามชีวินไปเช่นนั้นแล้วก็เฝ้ารอคำตอบรับจากชีวินที่กำลังกุลีกุจอเก็บสมุด หนังสือ และเครื่องเขียนลงกระเป๋าเป้นักเรียน ขีวินแหงนขึ้นมองพัฒน์และเอ่ยตอบกับพัฒน์ว่า..
“ อืม.. พัฒน์ เอาไว้ก่อนได้ไหม? พอดีว่า.. เอ่อ.. เรา.. เรา.. เรามีอะไรจะต้องทำบางอย่างก่อนน่ะ ขอโทษทีนะพัฒน์ ”
“ ไม่เป็นไรหรอกวิน วินคงมีธุระ งั้นเอาไว้ก่อนก็ได้ ยังมีเวลาอีกนาน วินไปทำธุระของวินก่อนเถิด ”
พัฒน์เอ่ยตอบไปเช่นนั้น แม้จะรู้สึกผิดหวังอยู่เล็กน้อยก็ตาม แต่.. เขาก็เข้าใจ.. วินคงจะกำลังมีธุระจริงๆ เพราะเท่าที่เห็นในขณะนี้ ดูชีวินจะกำลังรีบร้อนอย่างไรชอบกล
“ ขอโทษอีกทีนะพัฒน์ เอาละ.. เราเก็บของเสร็จแล้ว งั้นเราไปก่อนนะ แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะพัฒน์ ”
“ อืม.. แล้วเจอกันนะวิน ”
กล่าวจบ ชีวินก็เดินแบบรีบๆจากไป พัฒน์ลอบมองตามพลางคิดในใจว่า.. นับแต่ช่วงเที่ยงในระหว่างพักรับประทานอาหารกลางวัน เท่าที่เขาแลเห็น ก็ดูจะรู้สึกว่า.. ชีวินดูจะอารมณ์ดี และมีใจจดจ่อกับบางสิ่งชอบกล นี่ใช่ไหม? คงจะเป็นธุระที่ชีวินต้องรีบไปทำในตอนนี้ น่าจะใช่ เขาคิดว่าน่าที่จะเป็นเช่นนั้น ว่าแต่.. แล้วทำไมเขาจึงต้องดูสนอกสนใจชีวินถึงขนาดนี้ด้วย? แปลกจริงๆเลย นี่เขาเป็นอะไรไปแล้วนะ? เขาถอนหายใจด้วยความรู้สึกที่ไม่ใคร่จะเข้าใจจิตใจตนเองนัก เขาจึงพยายามปัดความคิดนั้นออก แล้วก็คิดว่า.. เขายังไม่ค่อยอยากรีบกลับบ้านเท่าใดนักในเวลานี้ ไปเล่นเตะบอลให้เหงื่ออกจนท่วมน่าจะดีกว่า จะได้..ไม่ต้องฟุ้งซ่านอะไรมากมาย แล้วเขาก็หยิบกระเป๋าเป้ขึ้นสะพาย จากนั้น.. เขาก็เดินดุ่มออกจากห้องเรียนตรงไปยังสนามฟุตบอลตามที่เขาตั้งใจไว้..
.
.
.
.
ชีวินมาถึงวัดในเวลาไม่นานนัก เขาเดินตรงมายังตู้รับบริจาคที่มีแม่ชีท่านเดิมประจำอยู่ และกำลังส่งยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน ชีวินเห็นดังนั้นก็ยกมือไหว้ทำความเคารพ แม่ชีท่านนั้นก็เอ่ยทักทายชีวินด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเอื้ออารีย์ ที่เปี่ยมไปด้วยความเอ็นดูชีวินด้วยความจริงใจ
“ สวัสดีลูก มาไหว้พระอีกละสิ พักหลังนี้ไม่ค่อยเห็นหนูแวะมาเลย เป็นไง? คงจะกำลังยุ่งๆเรื่องเรียนใช่ไหมลูก? ”
“ ก็นิดหน่อยครับ ส่วนใหญ่ผมหาเวลาว่างปฏิบัติธรรม ฝึกสมาธิที่บ้านเอาน่ะครับ ข่วงหลังนี้เลยไม่ค่อยได้แวะมาเท่าไร? ”
“ อืม.. ดีแล้วละลูก ธรรมมะกล่อมเกลาจิตใจให้เราเป็นคนดี ทั้งยังส่งผลดีต่างๆให้อีกมากมาย น่าชื่นชมมากนะลูกนะ ”
“ ขอบพระคุณครับ ”
ชีวินตอบรับด้วยน้ำเสียงสุภาพและอมยิ้มละไมบนใบหน้า จริงอยู่ที่ว่า.. เขาก็ยังคงปฏิบัติธรรมสวดมนต์ไหว้พระ ฝึกสมาธิอยู่บ้างยามเมื่อมีเวลาว่าง แต่ช่วงหลัง.. ดูเขาจะห่างจากการปฏิบัติเช่นนี้ไปบ้าง นับแต่.. เขาได้เปิดใจพบกับพี่เอ็ม เวลาส่วนใหญ่จึงหมดไปกับการคลอเคลียอยู่กับดวงวิญญาณพี่เอ็ม เอ่ยพูดคุยสนทนากันกับพี่เอ็มด้วยความรักเสมอมา จนดูจะเลยสิ่งนี้ไปบ้าง เขารู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย แต่เขาก็มิได้กล่าวปดอะไรนี่นา เขายังคงปฏิบัติอยู่เช่นเคยจริงๆ ในตอนนี้.. เขากำลังคิดว่า.. เขาจะถามสิ่งที่เขาตั้งใจนั้นกับแม่ชีดีไหม? เขานิ่งครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ แล้วเขาก็ตัดสินใจแล้วว่า..
“ เอ่อ.. แม่ชีครับ ผมมีเรื่องจะเรียนถาม? ”
“ ว่าไงละหนู ถามมาได้เลยลูก ”
“ คือ.. คือ.. ผมอยากจะทราบว่า.. เอ่อ.. ในตอนนั้น.. ช่วงแรกๆที่ผมแวะมาไหว้พระที่นี่น่ะครับ ผมจำได้ว่า.. ดูเหมือนแม่ชีจะทักผมด้วยคำพูดแปลกๆ เหมือนกับว่า.. แม่ชีเห็น.. เอ่อ.. เอ่อ.. ไม่ทราบจะพูดเช่นไรดี คือ.. เหมือนกับว่า.. ที่แม่ชีพูด แม่ชีจะเห็นอะไรบางอย่างน่ะครับ? ไม่ทราบว่าผมจะคิดไปเองไหม? แต่.. ผมรู้สึกสงสัยนิดหน่อยครับ ”
“ ถ้าแม่ชีตอบตามตรง แล้วหนูจะกลัวไหม? ”
“ มะ มะ ไม่กลัวครับ ไม่กลัวอีกแล้วครับ ”
“ หึหึ ดีแล้วละลูก ใช่แล้ว หนูเข้าใจถูกแล้ว แม่ชีเห็น เขาเป็นสิ่งดี ปรารถนาดีต่อหนู ติดตามหนูเพื่อคอยปกปักรักษาหนู และอาศัยพึ่งพาบุญบารมีของหนู ตอนนี้เขาก็ยังคงอยู่กับหนู แม่ชีเห็นเขานะลูก ”
“ อ่า.. เป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆด้วย แล้ว.. แล้ว.. ทำไม? แม่ชีจึงสามารถมองเห็นละครับ? ”
“ จิตไงลูก ถ้าเราฝึกจิตจนเกิดสมาธิ สามารถรวมจิตให้นิ่งสงบ และเปิดใจ ก็จะสามารถรับรู้ถึงสิ่งที่เหนือธรรมชาติได้ และแม่ชีก็คิดว่า.. คนที่มีบุญบารมีอย่างหนู ในตอนนี้ หนูก็คงสามารถทำเช่นนั้นได้แล้ว หนูคงจะได้พบกันแล้ว จึงไม่กลัวอีกแล้วละสิ เพราะดวงวิญาณนั้นเขาดูจะมีความสุข และดูจะใสสะอาดขึ้น แม่ชีรู้สึกเช่นนั้นนะลูก ”
ใช่แล้ว.. ชีวินคิดว่าเขามาถูกทางแล้ว เป็นเช่นที่เขาคิดจริงๆ เขานึกใจใจว่า.. คงต้องเล่าเรื่องราวของพี่เอ็มทั้งหมดให้แม่ชีได้รับทราบ เพราะ.. ไม่แน่ว่า.. บางที.. แม่ชีอาจมีคำแนะนำดีๆให้กับเขาก็ได้ เขาชำเลืองมองไปทางพี่เอ็ม ก็เห็นว่า.. พี่เอ็มพยักหน้าตอบรับพร้อมกับอมยิ้มละไม นี่พี่เอ็มคงกำลังอ่านความคิดของเขาอยู่ละสิ ว่าเขากำลังคิดเช่นไร? ในเมื่อ.. เขาเห็นพี่เอ็มยอมรับ และอนุญาติเช่นนั้น ชีวินจึงเอ่ยเล่าเรื่องราวทั้งหมดนั้นให้แม่ชีฟังในทันที..
“ แม่ชีครับ.. ถ้าเช่นนั้น ผมขอเล่าอะไรบางอย่างให้แม่ชีฟังสักหน่อยนะครับ เผื่อว่า.. เมื่อแม่ชีฟังเรื่องราวทั้งหมดจบลง แม่ชีอาจจะมีคำแนะนำอะไรดีๆให้ผมได้บ้าง คืองี้นะครับ เรื่องมันมีอยู่ว่า.. ”
********