A 133
“มึงเป็นไงมั่งวะไอ้โจ.....” ผมพูดขึ้นท่ามกลางความมืดที่ห้อมล้อมเราสองคนอยู่ “มึงหลับไปยังวะ”
“ยัง” เขาตอบกลับมาสั้นๆ
“แล้วรู้สึกยังไงมั่งแล้ว” ผมถามซ้ำ แต่ทว่าหนนี้เขาไม่ยอมตอบ
หลังจากที่นัทเดินออกจากห้องไปและเราปิดไฟลงแล้ว เราสองคนก็นอนเงียบๆ ไม่ได้พูดคุยอะไรกันไปอีกพักใหญ่ เสียงจากสภาพแวดล้อมที่เราได้ยินเบาๆจึงมีแต่เสียงครางหึ่งๆของเครื่องปรับอากาศ และเสียงพูดคุยของเพื่อนๆข้างนอกห้องที่เล็ดลอดเข้ามาข้างในได้นิดหน่อยเท่านั้น
“นี่ ไอ้โจ.....”
“นี่ตกลงมึงจะยังไม่นอนรึไง”
“ก็กูนอนไม่หลับนี่หว่า.....” ผมพลิกตัวหันไปหาเขาที่นอนอยู่อีกฟากของเตียง “มึงง่วงแล้วเหรอวะ มึงจะนอนก่อนมั้ยอะ กูไม่กวนแล้วก็ได้”
“อืม”
ผมหันกลับมานอนหงายลืมตามองเพดานเงียบๆเหมือนเดิม พยายามจะไม่คิดอะไรให้ฟุ้งซ่าน และพยายามที่จะไม่พูดอะไรรบกวนเขาอีก
“....นี่ ไอ้โจ”
“อะไรของมึงวะ”
“มึงว่าตอนนี้พวกไอ้แม็กซ์มันจะทำอะไรอยู่วะ”
เขาขยับตัวเล็กน้อย “มึงจะไปคิดถึงแม่งทำไม”
“กูก็ไม่ได้อยากคิดหรอก” ผมถอนหายใจ “แต่หัวกูมันเอาแต่จะวนกลับไปคิดถึงเรื่องเมื่อกี้ตลอดเลยอะว่ะ”
ซึ่งก็เป็นความจริง เพราะพอผมได้มานอนอยู่เงียบๆ ห่างจากเพื่อนๆ ห่างจากความวุ่นวายทั้งหมดทั้งปวงแล้ว ใจของผมมันกลับรู้สึกสงบไม่ลงเลยแม้แต่นิดเดียว ความตกใจ ความโกรธ และความหวาดกลัวจากการจมน้ำเมื่อครู่นี้มันเฝ้าเอาแต่จะวนเวียนกลับมาหลอกหลอนผมอยู่ทุกนาที และแค่ผมนึกถึงความรู้สึกในตอนที่ผมจมอยู่ในน้ำแบบนั้นขึ้นมาอีกครั้ง เส้นขนบนลำแขนและหลังคอของผมก็ตั้งชูชันขึ้นทันที
เสียงที่โจกระแอมออกมาเบาๆ ปลุกให้ผมตื่นจากห้วงความคิดที่หนาวเหน็บและน่าสะพรึงกลัว
“เจ็บคอเหรอวะ” ผมหันไปถามเขา
“นี่ ไอ้นนท์” เขาเลื่อนตัวและยื่นมือมาคว้ามือของผมไปกุมเอาไว้ “มึงเลิกคิดได้แล้วเหอะว่ะ”
“กูบอกแล้วไงว่ากูเองก็ไม่ได้อยากคิดหรอก แต่แม่งงงง.....” ผมถอนหายใจอีกครั้ง จากนั้นก็หันไปมองหน้าเขา ถึงแม้ว่าภายในห้องจะมืด แต่ผมที่นอนลืมตาท่ามกลางความมืดนี่มานานก็ทำให้สายตาของผมเริ่มชินกับมันจนสามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน “เฮ้ย ไอ้โจ มือมึงร้อนจี๋เลยว่ะ”
“กูต้องทำยังไงมึงถึงจะไม่ต้องคิดเรื่องพวกนั้น” เขาไม่สนใจคำพูดของผม
“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน..... แต่ไม่เป็นไรหรอกมึง เดี๋ยวกูก็คงหลับไปได้เองแหละ” แต่พอผมพูดจบ เขาก็กลับหัวเราะในลำคอเบาๆ “เอ้า ขำเหี้ยอะไรของมึงวะ”
“เปล่า กูก็แค่ว่ามันตลกดีที่คนอย่างมึงจะนอนไม่หลับและพูดแบบนั้นเป็นกับเค้าด้วยน่ะ”
“ไอ้เหี้ยยยย คนอย่างกูนี่มันยังไงวะ ไอ้สาดดดดด กูเองก็มีคิดมากมีนอนไม่หลับเหมือนคนอื่นๆนะเว้ยยย แม่งงงง นี่มึงเห็นกูขี้เซาขี้เกียจขนาดนั้นเลยรึไงวะ”
“เออ” เขายังคงยิ้มอยูj
“เชี่ยแม่งงงง มึงไม่ต้องมาจับมือกูเลย สาดดดด” ผมดึงมือออก
“นอนได้แล้ว” เขาพลิกตัวกลับไปเป็นนอนหงายพร้อมกับเขยิบกลับไปนอนที่ตำแหน่งเดิมอีกครั้ง ทำให้ผมเหวอๆและรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย เพราะตอนแรกผมคิดว่าเขาจะตื๊อขอจับมือต่อหรือไม่ก็จะเขยิบเข้ามาหาผมมากกว่านี้เสียอีก
“นี่ไอ้โจ......” ผมพูดขึ้นหลังจากที่เราเงียบกันไปอีกพักหนึ่ง
“อะไรอีก”
“ขอบใจมากจริงๆนะเว้ย”
“เออ”
“กูไม่ได้หมายถึงแค่ที่มึงช่วยกูนะ”
“กูรู้”
“แต่กูหมายถึงทุกๆอย่างเลย”
“ก็บอกแล้วไงว่ากูรู้”
“มึงรู้จริงเหรอวะ”
“เออดิ”
“แล้วมึงรู้ได้ไง”
“กูรู้สึกได้ มึงเคยบอกกูแล้ว และที่สำคัญ มึงก็ลองไม่รู้สึกขอบคุณกูดูสิ”
“ทำไมวะ ถ้ากูไม่รู้สึกแล้วจะเป็นยังไง”
“เปล่า ไม่ได้เป็นเหี้ยอะไรหรอก กูก็แค่คิดว่ามันคงไม่ใช่คนอย่างมึงหรอก ถ้าแบบนั้นน่ะ”
“อืมมม.....”
แล้วจากนั้นเราก็เงียบกันลงไปอีกครั้ง
“นี่ไอ้นนท์....”
“หือ”
“กูชอบมึงว่ะ”
“เออ.... กูรู้แล้ว”
“เออ”
แล้วจากนั้นบทสนาทนาของเราก็จบลง จากตอนแรกที่ผมเอาแต่คิดถึงเรื่องของพวกแม็กซ์กับเคและความรู้สึกตอนที่จมน้ำ ก็กลับกลายเปลี่ยนเป็นคิดเรื่องของเขาและเราสองคนไปด้วยคำพูดสั้นๆแค่ไม่กี่คำนี้ไปโดยปริยาย จนกระทั่งหลังจากนั้นไม่นานนัก ผมก็ผล็อยหลับลงไปในที่สุด.....
ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งในกลางดึกเพราะเสียงละเมอของโจ เขาบิดตัวไปมาและส่งเสียงครางในลำคออย่างหวาดกลัว ผมที่ยังสะลึมสะลืออยู่จึงเขยิบตัวเข้าไปกอดเขาเอาไว้พร้อมกับลูบหัวของเขาเบาๆไปด้วย ผมกระซิบปลอบใจเขาซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่สักพักหนึ่งจนกระทั่งเขาสงบลง แล้วจึงค่อยลุกออกจากเตียงเงียบๆเพื่อออกไปกินน้ำในห้องครัว ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นเวลากี่โมงแล้ว แต่ผมรู้สึกแปลกใจที่ห้องรับแขกดูเงียบและมืดผิดปกติ ผมจึงค่อยๆเดินย่องออกมาดู และเห็นว่าทุกคนกำลังนอนหลับกันอย่างสงบเรียบร้อยต่างจากเมื่อคืนซึ่งเป็นคืนแรกอย่างเห็นได้ชัด วายุ เจย์ ป๊อป และตี๋เล็ก นอนเรียงกันอยู่กลางห้อง และทางฝั่งซ้ายก็มีพี่แม็ทกำลังนอนกอดเคนจากทางด้านหลังอยู่ ส่วนถัดจากสองคนนั้นลงมาตรงปลายเท้าก็คือนัทที่กำลังนอนอยู่ข้างๆคริส
ผมเดินข้ามขาของเจย์กับวายุและคนอื่นๆอย่างเงียบเชียบและระมัดระวังจนกระทั่งไปถึงตัวของนัท ผมเคยเห็นใบหน้ายามหลับของเขาแบบนี้มาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วก็จริง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกแบบนี้ ผมไม่เคยรู้สึกสับสน ผมไม่เคยไม่มั่นใจกับความรู้สึกของตัวเอง แม้แต่ในตอนนี้ ผมก็ยังเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ผมมีให้แก่เขาและสิ่งที่เรามีให้แก่กันนั้นเป็นของจริง เพียงแต่ว่าเรื่องของโจในช่วงหลังๆที่ผ่านมานี้กลับทำให้ผมต้องรู้สึกเสียใจและโกรธตัวเองมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน....
ผมกำลังทำให้นัทเสียใจ ผมรู้ตัวดี และผมก็ไม่อยากทำแบบนี้ด้วย แต่ผมกำลังสับสนมาก ผมพยายามปฏิเสธตัวเองมาตลอดว่าผมไม่ได้คิดอะไรกับโจมากไปกว่าเพื่อนสนิท แต่ก็เพราะไอ้คำว่าเพื่อนสนิทนั้นนั่นแหละที่มันยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นทุกวันๆ จนทำให้ใจของผมเริ่มหวั่นไหวอย่างที่ผมไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งผมจะต้องมารู้สึกแบบนี้ ผมรู้สึกมีความสุขที่ได้อยู่กับโจ และผมก็รู้สึกเสียใจเวลาเห็นเขาต้องน้อยใจเรื่องของผมด้วยเหมือนกัน ในขณะเดียวกัน ผมก็ยังรู้สึกผูกพันกับนัท และก็รู้สึกเสียใจที่ตัวเองกำลังเกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้นกับโจด้วย
ผมรู้ตัวว่าผมมันเลว แต่ผมก็ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้เลย ผมไม่ได้อยากจะรู้สึกแบบนี้กับคนสองคนพร้อมๆกัน ผมไม่อยากทำให้ใครต้องเสียใจ ถ้าหากว่าจะมีใครต้องเสียใจ ผมก็พร้อมที่จะเป็นคนๆนั้นเสียเองมากกว่า
ผมยืนมองนัทอยู่แบบนั้นแล้วจู่ๆน้ำตาของผมมันก็ไหลออกมา ในตอนแรกผมก็ไม่รู้ตัวหรอกว่าผมกำลังร้องไห้ แต่เมื่อผมรู้สึกตัวขึ้นมาแล้ว ก็ดูเหมือนว่าผมจะยิ่งไม่สามารถหยุดมันได้เลย และนอกจากผมจะไม่สามารถห้ามตัวเองได้แล้ว ผมกลับยิ่งร้องหนักมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
“เฮ้ยย ไอ้นนท์ มึงเป็นอะไร”
ผมสะดุ้งและหันไปมองยังที่มาของเสียงทันที
“มึงร้องไห้เหรอวะ มึงเป็นไร” เจย์ถามซ้ำอีกครั้งเบาๆพร้อมกับค่อยๆขยับตัวลุกขึ้นนั่ง
“เปล่า ไม่มีอะไร” ผมรีบเช็ดน้ำตาและหันไปทางอื่น “มึงนอนไปเหอะ เดี๋ยวคนอื่นจะตื่นขึ้นมาเปล่าๆ”
เขาหันไปมองเพื่อนๆที่นอนอยู่รอบข้างแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมาหาผมอีกครั้ง ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงกระซิบ “ถ้ามึงไม่บอกกูว่ามึงเป็นอะไรนะ กูจะปลุกพวกมันให้มึงดู”
“ไอ้เจย์....” ผมนิ่วหน้า รู้สึกไม่มีอารมณ์จะต่อล้อต่อเถียงกับเขาจริงๆ
เขาลุกขึ้นยืนและจ้องหน้าผม “ไอ้นนท์ กูรู้ว่ากูไม่ใช่ไอ้นัท ไม่ใช่ไอ้ยุ กูอาจจะไม่ได้เป็นคนที่คอยรับฟังปัญหาของมึงมาตลอด แต่กูก็เพื่อนมึงนะเว้ย กูเองก็รักมึงไม่แพ้ที่พวกมันรักมึงเหมือนกัน”
“กูไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ไอ้เจย์” ผมออกตัว “กูไม่ได้หมายความว่ากูไม่อยากคุยกับมึง แต่กูแค่....”
“มึงคิดมากเรื่องวันนี้เหรอวะ มึงคิดเรื่องเมื่อหัวค่ำใช่มั้ย”
ผมส่ายหน้า “เปล่า ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก กูไม่เป็นไรจริงๆ”
“งั้นมึงก็กำลังคิดมากเรื่องไอ้นัทจริงๆด้วยสินะ” คำถามของเขาทำเอาผมถึงกับต้องอึ้งและตอบกลับไปไม่ถูกเลยทีเดียว “มาเถอะ” เขาพยักหน้า “ไปคุยที่อื่นกันดีกว่าว่ะ เดี๋ยวพวกมันจะตื่นมาซะเปล่าๆ”
ผมตัดสินใจเดินตามเขาออกจากห้องนั่งเล่นไปยังห้องนอนที่พวกเราใช้วางกระเป๋ากัน เจย์รอจนผมเดินเข้าไปนั่งลงบนเตียงเรียบร้อยแล้วจึงปิดประตูห้องลง เขาเดินมานั่งลงข้างๆผมแล้วดึงทิชชู่บนหัวเตียงมาให้ผม
“เอ้า เช็ดน้ำตาซะก่อนมึง”
“อืออ” ผมรับการดาษทิชชู่มาจากเขาและซับน้ำตาตัวเอง
“มึงชอบไอ้โจจริงๆสินะ ไอ้นนท์”
ผมก็รู้หรอกนะว่าเขาเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา แต่ผมก็ไม่คิดว่าเขาจะเริ่มเรื่องด้วยคำถามนี้จริงๆ
“มึงไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นหรอก กูรู้มาสักพักแล้ว ไม่ดิ จริงๆต้องบอกว่ากูเอะใจอยู่แล้วมากกว่า กูก็ไม่รู้หรอกนะว่าไอ้คนอื่นๆมันคิดยังไง แต่กูอะ พอจะดูออกก็เพราะกูเองก็เคยเป็นแบบมึงไง”
“หมายความว่าไงวะ”
“เอ๊า มึงลืมไปแล้วรึไงว่าตอนกูยังคบกับไอ้พี่แจ๊คอยู่ กูก็ชอบไอ้คริสเหมือนกันน่ะ มึงเองก็ยังเคยโทรมาถามกูเรื่องนี้อยู่เลยไม่ใช่รึไง”
“นี่ตกลงมึงเลิกกับแฟนมึงเด็ดขาดแล้วเหรอวะ ไอ้เจย์”
เขายักไหล่ “ก็คงงั้น.... แต่เรื่องของกูน่ะช่างแม่งเหอะ มึงสนใจเรื่องของตัวเองก่อนดีกว่า กูอะ เป็นห่วงมึงนะเว้ย แล้วก็เข้าใจมึงด้วย”
“มึง..... เข้าใจกูเหรอวะ”
“เออ กูเข้าใจมึง มึงไม่ผิดหรอกเว้ย มึงไม่ต้องคิดมาก มึงจะชอบไอ้โจมันก็ไม่แปลกหรอก ก็แม่งเล่นบทพระเอกเพื่อมึงมาตั้งเยอะซะขนาดนั้น กูน่ะไม่ได้ชอบขี้หน้าแม่งหรอกนะ เช็ดเข้ เอาจริงๆก่อนหน้านี้กูโคตรจะไม่ชอบแม่งเลยด้วยซ้ำ แม่งขี้เก๊ก ท่ามาก ปากดี อวดเก่ง สารพัด แต่กูก็เห็นแหละว่ามันก็ เออ แบบว่าเปลี่ยนไปนิดนึงอะ ไม่ได้สุงสิงกับพวกไอ้เชี่ยแม็กซ์เหมือนเมื่อก่อน แล้วก็ยังไหนจะตั้งแต่เรื่องไอ้ปั๊กอีกอะไรอีก และเวลามึงอยู่กับมัน มึงก็ดูมีความสุขดี ถึงกูจะไม่อยากยอมรับนะ แต่กูว่ามึงกับมันก็ดูเข้ากันได้ดีอะว่ะ เผลอๆอาจจะดีกว่าตอนที่มึงอยู่กับไอ้นัทซะอีกด้วยซ้ำมั้ง”
เจย์เริ่มพูดยาวโดยที่ไม่ได้มองมาที่ผม ส่วนผมที่นั่งฟังเขาอยู่นั้นก็เริ่มน้ำตาไหลออกมาอีกครั้งอย่างช้าๆ
“เรื่องของเรื่องคือกูอะ สงสัยว่ามึงจะคิดอะไรกับไอ้โจรึเปล่ามาตั้งแต่แรกแล้ว แต่พอมึงมาบอกว่ามึงกับไอ้นัทเป็นแฟนกัน กูเลยอารมณ์ว่า ‘เออออ รอดไปมึง’ แบบเนี้ย แต่ไปๆมาๆ กูว่าตอนมึงอยู่กับไอ้นัทมึงแม่งไม่ค่อยเหมือนแฟนกันเลยว่ะ ไม่รู้ดิ ไม่ใช่ว่ามึงดูไม่รักกันนะ มึงดูรักกันมากกกก มากจนมันดูเกินกว่านั้นยังไงไม่รู้ด้วยซ้ำไป แล้วในขณะเดียวกันมึงก็ยังดูเกร็งๆกัน ดูเกรงใจกัน บอกไม่ถูกด้วยว่ะ แต่กับไอ้โจมึงก็ดูเป็นห่วงมัน ดูสนิทกับมันเหมือนเพื่อนสนิทกันทั้งๆที่มึงก็ไม่ได้รู้จักมันไม่ได้ใช้เวลากับมันมากเท่าที่อยู่กับพวกกู แค่นี้กูก็เริ่มเอะใจอีกรอบแล้ว แต่มึงไม่ต้องคิดมากหรอก ไอ้นนท์ กูอะเข้าใจมึงเว้ย เรื่องแบบนี้มันไม่มีผิดมีถูกหรอก ความรักยังไงมันก็ต้องใช้ใจไม่ใช่สมองเพียงอย่างเดียว กูรู้ว่ามึงคงกำลังสับสน กำลังโทษตัวเอง แต่มึงต้องถามตัวเองให้ดีๆก่อนเว้ยว่า......” เสียงของเขาขาดช่วงไปเมื่อเขาหันมาเห็นผมกำลังนั่งน้ำตาไหลอยู่ “เฮ้ยยย ไอ้นนท์ กูขอโทษเว้ย กูไม่ได้ตั้งจะพูดขนาดนั้น กูลืมตัวไป”
“ไม่ๆ ไม่เป็นไร มึงพูดต่อเถอะ....”
เจย์ถอนหายใจเบาๆแล้วนั่งลงข้างๆผมก่อนจะรวบตัวผมเข้าไปกอด “ไม่เป็นไรเว้ย มึงไม่ต้องฝืนหรอก อยากจะร้องก็ร้องเลย แต่มึงจำเอาไว้ว่ามึงไม่ผิดจริงๆ พวกกูจะไม่มีใครว่าอะไรมึงเลยที่มึงคิดแบบนี้ ไม่ว่ามึงจะเป็นยังไง ตัดสินใจอะไร พวกกูพร้อมจะเดินไปข้างๆมึงเหมือนเดิมตลอดไม่มีวันเปลี่ยนนะเว้ย”
คำพูดของเจย์ยิ่งทำให้ผมร้องไห้หนักมากขึ้นกว่าเดิมจริงๆ ผมกอดเขาตอบแล้วเริ่มพูดความรู้สึกและความคิดที่ผมมีทุกอย่างออกไปให้เขาฟัง น้ำตาของผมหลั่งไหลออกมาเป็นสายพร้อมกับความรู้สึกที่พรั่งพรูอย่างห้ามไม่ได้ จนกระทั่งเมื่อผมพูดจบ เจย์ก็ยื่นทิชชู่แผ่นสุดท้ายจากในกล่องให้แก่ผม
“ไง รู้สึกดีขึ้นบ้างรึยัง.....” เขายิ้มให้ผม “กูดีใจนะเว้ยที่มึงได้ระบายออกมาซะบ้างน่ะ เพราะไอ้วายุมันก็ไม่ได้เป็นเกย์ ไอ้นัท ไอ้ป๊อป ไอ้ตี๋ แม่งก็มือใหม่ พวกแม่งจะให้คำปรึกษาหรือจะเข้าใจอะไรมึงได้ดีเท่ากูล่ะวะ มึงอย่าลืมว่าอย่างน้อยๆกูก็เป็นเกย์มานานกว่าพวกมึงนะเว้ย สาดดดด”
ผมอดที่จะยิ้มน้อยๆออกมาไม่ได้ “......มึงว่ากูไม่ผิดจริงๆเหรอวะ”
“เออ แค่มึงชอบคนสองคนพร้อมๆกัน มึงจะผิดจะเลวเหี้ยอะไรได้ขนาดนั้นวะ มึงอย่าคิดมากเลย ของแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ว่ะ ไม่ว่ากับใครก็ตามเหอะ”
“อืมมม....”
“แต่มึงจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปนานๆก็ไม่ได้นะเว้ย ไอ้นนท์”
ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ “.....กูรู้”
“ไม่ มึงไม่รู้หรอก” เจย์จับหัวไหล่ทั้งสองข้างของผม “เมื่อกี้มึงพูดความรู้สึกของมึงออกมาแล้ว มึงบอกแล้วว่ามึงเครียด มึงไม่สบายใจ มึงยอมรับแล้วว่ามึงก็รู้สึกชอบไอ้โจเหมือนกัน แต่มึงยังไม่ได้พูดมาอีกอย่างนึงตรงๆให้กูฟังเลย ไอ้นนท์.....” เขาจ้องตาผมไม่กะพริบ “มึงชอบไอ้โจมากกว่าไอ้นัทรึเปล่า”
อีกครั้งที่ผมต้องอึ้งไปเพราะคำถามของเขา “กู.... กู..... กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ”
“เออ กูเชื่อว่ามึงไม่รู้.... แต่มึงไม่รู้ตัวไง ไอ้สัตว์ เพราะแค่ไอ้การที่มึงพูดมาว่า ‘ถ้าหากกูเจอไอ้โจเร็วกว่านี้ เรื่องมันก็คงไม่เป็นแบบนี้หรอก’ นั่นก็ชัดเจนแล้วว่ะ ว่ามึงรู้สึกชอบไอ้โจมากกว่าไอ้นัทน่ะ”
“กู.......”
“กูบอกตรงๆว่ากูก็ไม่ได้อยากให้มึงไปคบกับไอ้โจหรอกนะเว้ย กูไม่อยากให้ไอ้นัทเสียใจ กูรักมัน แต่กูก็รักมึงด้วยเหมือนกัน เห็นมึงเป็นแบบนี้กูก็ไม่สบายใจ เพราะงั้นกูขอบอกมึงแค่ว่า กูเคารพการตัดสินใจของมึงก็แล้วกันอะว่ะ กูปรับตัวได้”
“ไอ้เจย์....”
“อย่าคิดมากเลย ไอ้นนท์ มึงเลือกเอาสักทางเถอะ อย่าปล่อยให้มันเรื้อรังไป ถ้ามึงเลือกไอ้นัท กูก็ดีใจ ถ้ามึงเลือกไอ้โจ กูก็โอเค และถ้าไอ้พวกเหี้ยนั่นตัวไหนมีปัญหา กูจะต่อยหน้าแม่งให้ดูเด่ะ”
“ขอบใจมากเลยว่ะ ไอ้เจย์.....”
“ไปนอนเหอะ ไอ้นนท์” เขาขยี้หัวผม “เสน่ห์แรงแม่งก็เหนื่อยใช่มะล่ะ”
“กูไม่ได้เสน่ห์แรงสักหน่อยเหอะ มึงก็พูดไป”
“เอาเหอะๆ ถึงไงมึงก็อย่าลืมแล้วกันว่ากูเองก็อยู่ข้างมึงเหมือนกันนะเว้ย ถ้ามึงไม่รู้จะปรึกษาใคร และถึงจะเห็นกูเป็นอย่างนี้ แต่กูก็ไม่ได้ไบแอส..... อืมมม ไม่ได้อคติหรืออะไรแบบนั้นหรอกนะเว้ย มึงเชื่อใจกูได้น่า”
“ขอบใจมึงมากจริงๆเว้ย ขอบใจจริงๆ”
“มึงไปนอนพักได้และ ไอ้นนท์ แล้วถ้าเกิดว่ามึงจะคิดมากเรื่องพวกไอ้แม็กซ์ มึงก็ไม่ต้องคิดอีกเลยด้วยเหมือนกันนะเว้ย จำเอาไว้เลย รกหัวเปล่าๆ เรื่องไอ้พวกเหี้ยนั่น เอาไว้หลังจากนี้ปล่อยให้กูจัดการเองก็พอ”