“ก็เป็นเพียงแค่คน ที่ค้นหาทางเดิน”...
you have a text message...
“สวัสดีปีใหม่คับ ขอให้มีความสุข สมหวังในสิ่งที่ปราถนา เป็นอีกหนึ่งปีดีๆ พบเจอแต่สิ่งดีๆ”
ไอ้พี่แทนส่งมาในค่ำคืนนั้น ผมมองพลุ ที่เขาคงไม่เห็น เพราะอยู่ตั้งเชียงใหม่ ผมส่งอวยพรไปหาเขาเช่นกัน ไม่รู้เชียงใหม่จะเป็นยังไงบ้างนะตอนนี้
ผมได้แต่บอกพระจันทร์ที่ถูกประดับประดาไปด้วยพลุหลากสีสันระบำอยู่บนฟ้าไกลของเที่ยงคืนข้ามปี ฝากบอกคนนั้นว่าอย่าลืมห่มผ้าให้อุ่นๆนะ
หลังจากเคาท์ดาวน์เสร็จวันรุ่งขึ้นผมก็ไปเที่ยวเพชรบุรีกับไอ้พวกคุณเพื่อนที่หาดเจ้าสำราญ เตะบอลเล่นริมทะเล (แมนโคตรเลยกู) ดื่มเบียร์ เล่นน้ำ
แม้ทรายจะไม่ขาวแต่มันสงบ เงียบพอให้นอนแหงนมองแล้วคิดรำพึงในใจว่า แม่งท้องฟ้ามันสวยไรงี้วะ
“เฮ้ยมึง รูปตอนไปปายกูยังไม่ได้เลยนะ” ไอ้ฝุ่นบ่น
“ก็กูฝากไอ้แบงค์ไปให้แล้วไง” ผมบอกมัน มันก็เลยหันไปมองหน้าไอ้แบงค์ ที่ทำท่าไม่รู้กูบ้าอยู่ ฮ่าๆๆ กวนส้นตีนจริงๆ แต่งานนี้กูไม่มีเอี่ยวด้วยนะเว้ย
“กูลืมว่ะ ฮ่าๆๆกลับไปแล้วกัน เอาลงพร้อมรูปรอบนี้เลย ดีป่ะ” ไอ้แบงค์จอมกะล่อนบอกเพื่อนมัน(ซึ่งก็คือเพื่อนกูด้วยนั่นแล)
“รอบที่แล้วยังไม่ได้ ยังจะรอบนี้อีกนะมึง” ผมด่ามันไป
“เออ เอามาให้กูด้วยนะเว้ย กูก็ยังได้ไม่ครบ เหลือส่วนของกล้องฟิล์มไอ้เต้อ่ะ” ไอ้ทอปบอก พอดีผมเอากล้องฟิล์มไปถ่ายด้วยน่ะคับ แต่รอบนี้แสงสีห่วยบรม
“เออคร้าบ นายท่านทั้งหลาย” ไอ้แบงค์รับปาก ทำท่าก้วนส้นตีนก่อนจะรีบวิ่งหนีลงทะเลไปเพราะไอ้ทอปไล่เตะตูด เอหรือว่ามันจะทำอย่างอื่นกับตูดไอ้แบงค์วะ ฮ่าๆๆๆๆ
ผมวิ่งเล่นกับพวกมันจนเหนื่อยอ่อน เลยมานั่งแปะอยู่ที่ชายหาด แล้วก็นึกอะไรดีดีขึ้นมา กูเขียนสวัสดีปีใหม่บนผืนทรายดีกว่า เป็นแบคกราวน์ถ่ายรูปกับพวกมันเก็บไว้
เอาไว้ให้ได้จำว่า ปีใหม่ปีนี้กูมาทะเล มากับเพื่อนรัก อย่างน้อยมันก็มีบางสิ่งให้จดจำล่ะวะ
ว่าแล้วก็เดินไปหากิ่งไม้อันที่มันพอจะแข็งแรงมาวาดฝีไม้ลายมือบนทรายที่ไม่ได้ขาวละเอียดสักเท่าไหร่ของชายทะเลเมืองเพชร
HAPPY NEW YEAR 2009
พวกมันก็งงว่าผมมาขีดเขียนอะไรเลอะเทอะแถวนี้
“ไรวะ” ไอ้แบงค์วิ่งมาถาม
“มาๆถ่ายรูปกันมึงเป็นที่ระทึกหน่อย” ผมบอกพวกมันที่มาพอดี เลยปัดๆมือ แล้วเดินไปหยิบกล้องมาแชะเก็บไว้
พวกมันก็ให้ความร่วมมืออย่างดี แอ็คท่า เปลี่ยนมุมถ่าย แม่งพ่อมึงอย่างกับนายแบบมาเองทั้งนั้นนนนน (ว่าแต่คนอื่น ไอ้เต้นี่ตัวดีเลย แฮะๆ)
แล้วสักพักผมกับไอ้สามตัว รวมกันเป็นสี่ตัว ก็มานอนกระดกเบียร์เรียงกันให้คลื่นซัดขา แดดส่องฟ้าเป็นสีส้มยามตะวันรอนลับขอบแผ่นดินไปทางตะวันตก
ปล่อยให้ทะเลทางตะวันออกเคว้งคว้าง รอการมาถึงของราตรีมืดมิด
“จะจบกันแล้ว ไวเนอะมึง”
“อีกเป็นปี”
“ปีสี่มันก็เหมือนจบแล้วแหละมึง ต่างคนก็เตรียมตัวดิ้นรนงานใครงานมัน”
“ก็จริงของมึง ไวเนอะ”
“เออดิ” ผมมองท้องฟ้าอย่างเศร้าๆ ถ้าเราไม่โต เราจะมีความสุขแบบนี้ได้ตลอดไปใช่หรือเปล่าวะ ไม่สงสัยเพราะรู้คำตอบของตัวเอง
ถามแค่เพราะไม่อยากฟังคำตอบจริงๆแค่นั้นเอง
“ไอ้เต้ มึงจะทำงานไรต่อวะ” ไอ้แบงค์ที่นั่งชันตัวอยู่ข้างๆ ถามผม
“กูว่ากูคงเตรียมพอร์ท ทำพวกออกแบบทั้ง อยากออกแบบว่ะ งานเขียนด้วย แล้วแต่ว่ะ งานแบบนี้มันอยู่ที่โชคชะตา โอกาสด้วย กูคงได้แต่เตรียมพร้อม
ฝึกทำให้สิ่งที่อยากทำ แต่ไว้จะทำอะไร ดูไปอีกที”
“แม่ง เลื่อนลอยว่ะ”
“เออเหมือนกัน” ผมบอกไอ้แบงค์ ยังมองไม่ออกจริงๆ จบแล้วจะเดินไปทำงานอะไรดี แต่คิดอีกที กูยังไม่จบปีสามดีเลย เวลา สถานการณ์ ชีวิตมันคงพาเราไปเอง
“มึงคิดกันมากไปป่าววะ” ไอ้ฝุ่นหันมาบอก เออจริงของมัน
“กูไม่คิดมาก เพราะมึงไม่รู้หรอก ว่าอะไรจะเดินเข้ามาหามึงวันพรุ่งนี้ ปีหน้า มึงรู้แค่วันนี้ มึงทำวันนี้ให้ดีเหอะ” ไอ้ฝุ่นบอก นานๆทีมันจะปรัชญา
อืมมม ใช่ วันนี้กูอยู่กับเพื่อนที่รัก ริมทะเล เจ๋งขนาดนี้ เอาอะไรอีกวะ
... “เมื่อมีทางให้เดิน ก็จะเดินไป” ...
ผมนั่งคิดถึงตอนที่จะแยกจากเพื่อนสมัยม.ปลาย เหมือนชีวิตกำลังจะหล่นหาย แล้วเป็นไง วันนั้นก็กลายเป็นเพียง ความทรงจำดีๆ ที่ให้กลับไปก็ต้องบอกว่าไม่เอา
ปฏิเสธทั้งๆที่ตอนนั้นไม่อยากจากมาเลย พอมาตอนนี้ คงเหมือนกันแหละ ปีสี่ปี สิบปี ยี่สิบปี วันนี้จะลาง ลางเลือนจนแทบจะเป็นเพียงห้วงฝันล่ะมั้ง แต่ที่แน่ๆ
คงต้องบอกอำลาชีวิตวัยเด็กเต็มตัวเสียแล้ว วัยรัก วัยเรียน คงมีอีกหลายๆชีวิตรอพบกับมันอยู่ ส่วนผมน่ะหรอ ชีวิตผู้ใหญ่คือก้าวต่อไป มันรอผมอยู่เบื้องหน้านี้แล้ว
งาน เงิน ความเป็นจริง
“เพื่อเก็บดาวซักดวง ที่ฉันนั้นเคยใฝ่”...
หลังจากกลางคืนยาวนานนั้น พระอาทิตย์ขึ้นมา ทำให้อากาศที่เย็นค่อยๆเพิ่งอุณหภูมิ เมื่อคืนหน้าต่างไม่ได้ปิด และเครื่องปรับอากาศไม่ได้ถูกเปิด แสงจึงส่องตาผม
ให้รู้สึกตัว
เช้านี้ผมตื่นขึ้นมา ข้างกายคือไอ้พี่แทน ที่หลับสนิท หลับปุ๋ยอยู่เลย เป็นเด็กเลยเว้ยเฮีย
ผมตื่นแล้ว เพราะสิ่งที่ต้องทำวันนี้ คือ ผมต้องไปเรียน
“เฮียไม่ตื่นหรอ”
“ไม่อ่ะ”
“เต้ต้องไปเรียนนะ” ผมเขย่าตัวไอ้เฮียบ้าเล็กน้อย
“เด็กบ้า ปลุกทำไม จะนอนเว้ย ง่วง อาบน้ำก่อนเลย เดี๋ยวไปส่ง” ไอ้เฮียพูดเสร็จกลิ้งตะลุบตุบตับหนีไปริมเตียงอีกด้าน
ผมก็เลยนั่งงอแง เอาหัวไปนอนหนุนตัวไอ้พี่แทน ง่วงเหมือนกัน ไม่ไปดีมั้ยวะ อาจารย์ไม่เช็คชื่อด้วยนะเออ
จริงๆก็แปลก แทนที่จะกลัวไม่ได้ความรู้ ดันกลัวไม่ได้เช็คชื่อ เลวจริงๆกู
“ไอ้เต้ หนักเว้ย ไปอาบน้ำ”
“ง่ะ เฮียอ่า อย่าดุดิ” ผมพูดงอน แต่ก็ยังเอาหัวกลิ้งไปกลิ้งมาบนพุงเขา
นอนกลิ้งไปกลิ้งมา ให้คนข้างกายกอดให้ผมอุ่น
แต่ไม่กอดสักที คว้ามือเขามาพันรอบเอวก็ได้ฟะ
“ร้อน” ไอ้พี่แทนแมร่งงง ว่าอีกละ
“อ่ะ” ผมได้แต่ทำเสียงเซ็งเล็กๆ แล้วกลิ้งนี้มาอีกฝั่ง
“ไปอาบน้ำ เต้” เขาลืมมาขึ้นมาดุผม แล้วก็หลับลงไปอีก แต่ใครจะฟัง อิอิ นอนเล่นต่อดีกว่า
สักพัก ผมก็ต้องร้องโอ๊ยออกมาเบาๆ ก็ไอ้พี่แทนอ่ะดิ ไหนว่าหลับ เอาปลายเท้ามายันก้นไอ้เต้เกือบตกเตียงทั้งๆที่ยังหลับตา
แม่นจริงๆเว้ยเฮ้ย งานนี้สงสัยเล่นคุณไสยรึเปล่าเอ่ย
“โห่ แกล้งเด็ก ไปอาบน้ำก็ได้ฟะ”
“เออ ไปเร็วๆเลว สายแล้วเนี่ยะ” ผมหันไปมองนาฬิกา อืมสายจริงๆแฮะ อยากหยุดเวลาตอนเช้าๆอากาศดีๆแบบนี้ไว้สักสามชั่วโมงจริงๆ รู้งี้เรียนภาคค่ำก็ดี
“เต้ เสร็จยัง” เสียงเคาะประตูห้องน้ำดังเล็ดลอดออกมา ขณะที่ผมกำลังอาบน้ำ ฟอกสบู่ ร้องเพลง ฮ้ม ลัลลัลลา สบายอก สบายใจ สบายกาย สบายอารมณ์
“อีกแป๊บคร้าบบบ” ผมตะโกนตอบไป
“เร็ว สายแล้วเว้ย” เสียงไอ้เฮียบ้า ตอนไม่ตื่นก็เตะให้ตื่น พอตื่นยังมาเร่งคนอาบน้ำอีกวุ้ย
พอเปิดประตูเดินออกมาจะหยิบผ้าเช็ดตัว ซึ่งมันวางไว้นอกห้องน้ำ (ลืมหยิบเข้าไปอ่า) ไอ้พี่แทนก็ตะครุบตัวผมแล้วเอาผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่มาพันตัวผมไว้
โหยยย อุ่นจังเลย ผมก็เลย หลับคาอก ปล่อยให้พี่เขาเช็ดตัวให้ สบายจริงๆอ่ะ ชอบๆ
“ไอ้บ้า” ผมบอกไอ้พี่แทน แล้วขโมยจุ๊บเขาไปทีนึง อุ่นอ่า อยากให้กอดแบบนี้ตลอดไปเลยได้มั้ยเนี่ย เฮ้อออออ อยากตัวเปียกไม่มีวันแห้งโว้ย เอิ้กๆๆ
“เพื่อเจอคนที่ใจ เขาจะจริงจัง”...........
ผมนั่งตะล็อกต็อกแต็ก อยู่หน้าจอคอม อืมมม นิยาย อยากเขียนเรื่องของคนที่เรารู้สึกดีมากๆเก็บไว้ว่ะ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงรักบางๆ
ที่เจ้าตัวอาจจะไม่ได้รู้หรือสนใจเลยก็เป็นได้ ผมว่าเรื่องนี้แหละ เหมาะจะมาเป็นภาคจบ ของนิยาย ไตรภาค รัก สาม เศร้า ของผมได้อยากลงตัวที่สุดแล้วล่ะ
เพราะถ้าจบจากคนนี้ไป ถ้าผมเดินไปถึงวันที่ รัก ที่มีต่อเขาไม่เหลือแล้ว ความรักของผมคงเปลี่ยนไปทีเดียวล่ะ เพราะรักใสๆ รักฝันๆที่ผมมีนั้น
มันอยู่ที่เขาเสียจนหมดแล้ว วันนี้ผมยังรักเขาอยู่ ไม่ได้ยิ่งใหญ่ แต่เรื่อยๆ และสร้างรอยยิ้มตลอดเวลา ให้ทุกเช้า ทุกค่ำ และยิ้มกว้างทุกครั้งที่นึกถึง
เขาเอาความรักในใจผมไปตอนไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าคงรักใครใสๆแบบนี้ไม่ได้อีกถ้าไม่ใช่เขา ไม่ใช่รักใครไม่ได้ แค่รักใสๆแบบนี้ เหมือนเรารู้จักรักมากขึ้นอีกระดับ
ดีพอจนไม่หลงกลกับมายาของมันมากเท่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ หรือว่าอันที่จริง เพราะตูแก่เกินแกงแล้วหว่า ฮ่าๆ
............. “แต่ความจริงที่เจอ ชีวิตนั้นวกวน”
...... “ไม่เคยมีผู้คน ที่จะจริงใจ”...........
“พี่เลิกกับเขาแล้วว่ะ” เฮียตี๋บอกผม เขาคนนั้น ก็คือแฟนเฮียนั่นเอง ผมเชื่อว่าถ้าเป็นเมื่อก่อน เฮียคงร้องไห้ แต่วันนี้ ผู้ชายที่เป็นพี่ชายผมคนนี้ ดูเข็มแข็งขึ้น
ผมกลับดีใจมากกว่าเสียใจที่ได้เห็นรักจากเขาไป แต่เขายังยืนไหว ไม่พัดปลิวไปอย่างเดียวดายกลางสายลม
“อืมมม เดี๋ยวก็หายเศร้าคับ”
“ก็หวังว่านะ”
“รักมันแค่จากเราเร็วไปหน่อยเท่านั้นแหละเฮีย สักวันเขาก็ต้องจากไป” ผมไม่รู้ปลอบหรือคุยยังไง ผมไม่ชอบถามหาเหตุผลเวลาที่คนรอบตัวมีเรื่องอะไรแบบนี้
แล้วเราอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องยืนอยู่ข้างเขา ผมว่าเหตุผล เรื่องราวมันควรเป็นเรื่องระหว่างเขาสองคน สิ่งที่อยากทำมากกว่าคือให้กำลังใจ
ให้แง่คิด ให้เขาเดินต่อไปได้ แม้จะก้าวได้เพียงช้าๆ หรือทำได้เพียงหยุดยืน เอาเป็นว่า ไม่ล้มลงก็พอแล้ว
“ทำไมวะ”
“อย่าถามเลยว่าทำไม ถามไปก็ไม่มีวันจบน่ะเฮีย” เรื่องของคนอื่น เรามักจะปลอบโยนหาแง่คิดได้ดี แต่กับเรื่องของตัวเอง กูเชื่อ ไม่รอดหรอก ไอ้เต้เอ๋ย
“กูทำดีที่สุดแล้วใช่ป่าววะ” เฮียตี๋ถามผมเบาๆ
“ทุกคนนั่นแหละ”
“กูไม่รู้เขามาคบกูทำไม แล้วมาบอกว่ายังไม่อยากมีแฟน”
“ไม่มีใครรู้อนาคตหรอก ตอนแรกที่เราคบใครสักคน คงไม่มีใครตั้งใจว่าจะเลิก เต้เชื่อว่าทุกคนที่เขารักกันคบกัน เขาก็อยากให้เป็นรักแท้ทั้งนั้น แต่เราไม่รุ้ว่าพรุ่งนี้อะไรจะมาถึง
ถ้ารู้แต่แรกว่าไม่ใช่ ว่าต้องเลิกแบบเจ็บๆ คงไม่คบกันหรอก”
ผมนั่งกินข้าวกับเฮียแก ณ ย่านสยาม ที่เดิมที่พวกเราไม่เคยหนีพ้น หรือไม่ยอมหนีไปไหนก็ไม่รุ้ อยู่กันมาหลายปีดีดัก จนพารากอนผุด เซ็นทรัลเวิลด์โผล่
นี่ยังดีนะถ้าผมแก่กว่านี้ คงทันยุคเปิดใหม่ของสยามดิสฯ
“วันนี้ผมนัดพี่แซน กับพี่นิวกินข้าวด้วยเฮีย ไปเจอกันหน่อยป่ะ เจอคนโน้นคนนี้ ดีกว่ามานั่งอยู่แบบเงียบๆเหงาๆ เราไม่ได้มีคนรักแค่คนเดียวซะหน่อย”
“ก็ได้ แต่กูหน้าตาไม่ดี หงอยๆแบบนี้ เสียมารยาทแย่เลย” เฮียแกพยายามยิ้ม แต่ใครจะยิ้มออกวะหรอกอารมณ์นี้
“คนกันเองน่า ไอ้พลก็มาด้วยมั้ง”
“เออๆ เจอมันเพื่ออารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง” ฮ่าๆ ไอ้พลมันเป็นพวก life is beautiful คับ ยิ้มไว้โลกนี้ไม่มีสิ้นหวัง
ในวันหนึ่งนั้นเฮียตี๋ก็ได้พบกับการลาจากของอีกหนึ่งรัก ที่สอนให้รู้จักการยืนสู้กับพายุ
....... “จะมีเพียงแค่ดาว บนฟ้าแสนกว้างใหญ่” .....
วันเกิดกูละนี่หว่า ไปไหนดี
โสดสโม ตามคำขอ (พี่นิว) ละกันนะ ไหนๆพวกเพื่อนๆกูมันก็อยากเที่ยวอยู่แล้ว สรุปแล้ววันเกิดไอ้เต้ฉลองครบยี่สิบเอ็ดปี รวยรวมพลพรรคได้ร่วมยี่สิบชีวิต
เต็มเคาท์เตอร์บาร์ร้านโสดสโมสรกันทีเดียว (ชื่อร้านแมร่งงงง กูจะโสดตลอดขวบปีมั้ยวะเนี่ย)
“หวัดดีคร้าบ” ผมสวัสดีพี่ๆ ที่ทยอยกันมาถึงร้าน (ไม่ได้ไปต้อนรับหน้าร้านหรอก สวัสดีที่โต๊ะนั่นแหละ) มือก็ชงแก้วเหล้าแจกจ่าย สนุกสนาน
“ไงแก่แล้ว ไม่เด็กแล้วนะมึง” พี่นิวทักผม แฮะๆ แน่ล่ะคับ พี่ก็ปาไปเท่าไหร่แล้วหว่า งานนี้พี่แซนควงเด็กมาด้วย เป็นที่น่าอิจฉา สำหรับพลพรรคโสดสโมฯ เป็นอย่างยิ่ง
ไอ้เต้หรอคับ ฉายเดี่ยวสิงานนี้ ไร้เงาใดๆเคียงข้างกาย
“อ่ะชนคับชน” ผมคว้าแก้วไป ชนกับไอ้คุณเพื่อนที่ยังมากันไม่ครบ ไอ้แบงค์มันยังหายหัวไม่ยอมรับโทรศัพท์ผมเลยทั้งวัน แมร่ง เลวววว จะเบี้ยววันเกิดกูหรอ งอนนะมึง
“เฮียโจ้ เดินสูงโย่งมาแต่ไกล พร้อมกับพี่ตุ้ย เพื่อนเขาอีกคน ที่ผมก็สนิทเหมือกนันนั่นแหละ เห็นแล้วเรียกว่าเด่นเป็นสง่า พอมาถึง ทักทายยื่นแก้วให้ เฮียแกก็เข้ามุม
ไปยืนเก็กหล่อสุงโย่งมองสาวๆ(หรือหนุ่มๆหว่า) กันสองคน แบบเนี่ยแหละ พวกโสด(เฉพาะคืนนี้)
สักสี่ทุ่มกว่า พี่จีนก็ปรากฏกาย แต่เฮียตี๋ขอบายคับงานนี้ เขาไม่ชอบเที่ยว ไอ้พลก็ไม่มา เพราะมันมาไม่ได้ อยู่เชียงใหม่กับที่บริษัท เลยพาลให้พวกแก็งสัตว์โลก
หนู และ หมา และคนอื่นๆ ไม่มาไปด้วย แต่นี่ก็ยี่สิบคนได้แล้วล่ะ ที่เหลือไม่ใช่ไม่สำคัญ แต่เยอะเกินกว่าจะกล่าวถึงอ่ะคับ
แฮะๆ ชนนนนนนนนนนนน แต่ไม่เมากันแล้วนะวัย...รุ่นขนาดนี้ ฮ่าๆๆ
พอจะเที่ยงคืน ผมก็ลองโทรหาไอ้เพื่อนตัวดีอีก ไอ้เชี่ยแบงค์ ไม่มาอีกหรอวะ เลวๆๆๆๆๆ
สักพักเขาก็เริ่ม happy birthday กัน แสงเทียนเริ่มแหวกว่ายเข้ามาฝ่าฝูงชน โดยมามีหน้าไอ้เพื่อนเลวลอยมาแต่ไกล
happy birthday to มึง
happy birthday to มึง
happy birthday happy birthday
happy birthday to มึง
แล้วเค้กซึ่งมีเทียนสองเล่ม เป็นเลขหนึ่งกับเลขสองที่ว่างสลับตำแหน่งกันอยู่ก็เทียนดับไปทั้งๆที่ผมยังไม่ทันเป่า ฮ่าๆๆๆ งานนี้ที่อธิษฐานไปมันคงไม่เป็นจริงล่ะมั้ง
แต่ไอ้ที่จริงๆนี่ก็คือบรรดาคนที่อยู่ที่นี่ต่างหาก เพื่อนรักผมทั้งนั้น แค่นี้ล่ะพอแล้ว
.... “ที่เอื้อมมือเท่าไหร่ ยิ่งจะไกลห่าง”
“ว่าไงคับ” ผมรับโทรศัพท์ ชายหนุ่มคนเดิม หลังจากวันเกิดผมได้วันสองวัน
“happy birthday ทูยู ฮ่าๆๆ”
“อะไรเฮีย เลยละเว้ย”
“รู้แล้วว่าเลยคับ ซื้อของขวัญไว้ให้แล้วนะ”
“เหอะๆ อะไรอ่ะ”
“ไม่บอก ไว้มาเอาเอง”
“ไรหว่า”
“ว่างๆวันไหนอ่ะ”
“ก็ว่างบ้างยุ่งบ้าง แล้วแต่เฮียอ่ะ ว่างเมื่อไหร่”
“อืม อีกสองสามวันละกัน เดี๋ยวโทรบอก แล้วเป็นไงไปเที่ยวไหนมา”
“แถวๆเอกมัยแหละคับ ได้ของขวัญมาเป็นถุงยางด้วย”
“ฮ่าๆ เค้าดูหน้าเจ้าของวันเกิด เห็นว่าควรให้ใช่ป่ะ”
“ไอ้บ้า” ไอ้เต้เขิลเหมือนกันนะ แม่งเพื่อนดีจริงๆ ดีนะไม่เปิดกลางร้าน ไม่งั้นกูได้แทรกแผ่นปูนหนีแน่ๆเลย เหอะๆ
แล้วหลังจากนั้นผมก็ได้ของขวัญวันเกิดจากไอ้พี่แทน ซึ่งมาพร้อมกับคำใบ้ที่ว่า สามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวัน และใช้ได้กับถุงยาง (จริงๆก็ไม่เชิงนะ) เหอะๆ
เป็นของชิ้นแรกที่มีคนซื้อให้เลยนะ ไอ้สิ่งนี้ เฮ้อ อยากจะบอกว่า กูอายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย(แล้วใช่มั้ย)
แล้วผมกับเขาก็จบลง ในคืนนั้น ด้วยการจูบและดูดดื่ม
...กลายเป็นเพียงนิยายที่ยาวนานเรื่องหนึ่ง
ซึ่งถูกแต่งมาด้วยใจและด้วยความฝัน
แต่ในความจริงที่เจอคือผิดหวังเท่านั้น
ไม่เคยเหมือนที่ใจฝันสักที............. ........... ... . .. . . .
แล้วชีวิตก็ดำเนินไล่เรื่อยไป ไม่รู้ว่าชีวิตจริงจะเป็นเช่นไรต่อ เราไม่มีทางรู้ว่าเราจะตื่นมาเจออะไรในวันพรุ่งนี้
เรามีวันนี้ ตอนนี้ คืนนี้ อยู่กับมันอย่างมีความสุขก่อนแล้วกัน
ไอ้พี่เซนเคยทำให้รักแรกสดใส
มีคนบอกว่า ไอ้พี่เกียร์น่ะ เคยเป็นคนที่ผมเรียกว่า สเปค
ส่วนใครอีกคน คนนี้ รักรึเปล่าไม่รู้ แค่ยิ้มทุกครั้งที่นึกถึง และทุกวันสดใสตั้งแต่เขาเข้ามาในชีวิต แม้จะไม่ได้มาอยู่ เพียงแค่พัดผ่านไปๆมาๆ
แล้ววันหนึ่งพวกเขาทั้งหมดจะกลายเป็ยเพียงอดีต แต่เป็นอดีตที่อยากจะจดจำในปัจจุบัน
ว่าครั้งหนึ่งชีวิตผมเคยมี รัก...สาม...เศร้า
http://media.imeem.com/m/EEIKr8rQsJ