Part 34
ผมนอนเอานิ้วจิ้มเปลือกตาที่ยุกยิกๆ ไปมาของเจ้าหนูประมาณสามสี่รอบได้แล้ว…มันก็ยังไม่ยอมตื่น นอนคิ้วขมวดหลับตาอยู่นั่น ปากก็งุบงิบๆ เหมือนกำลังบ่น ไม่ก็ละเมออะไรสักอย่างอยู่…ว่าแล้วเลยเขี่ยต่ำไปเรื่อย จนถึงปากสีชมพู… ลองเอานิ้วจิ้มเข้าไปดู ..อ๊ะ เย็น… เลียด้วยเว้ยเฮ้ย
ขายาวที่กำลังก่ายตัวผมเริ่มดิ้นไปมา มือก็ปัดหน้าเหมือนกำลังปัดแมลงวันยังไงยังงั้น
“อื้อ จะนอน!” แน่ะ…มีการดุอีก
“สิบเอ็ดโมงแล้ว จะลุกไม่ลุก”
และคำตอบที่ได้คือความเงียบ พร้อมกับเปลือกตาที่ขยุกขยิกเป็นการรับรู้เล็กน้อย…ก่อนที่จะกลายเป็นเสียงกรนคร่อกๆ เอาเข้าไป… เหนื่อยมาจากไหนวะ ถึงหลับเป็นตายขนาดนี้ อ้อออ… หึหึ
“…เฮีย” อ่าว อยู่ๆ ก็เรียกซะงั้น
“ว่าไง?”
“กี่โมงแล้วอ่ะ” เอ้อออ เพิ่งจะบอกไปหยกๆ ถามอีกแล้ว..แสดงว่าเมื่อกี้ไม่ได้ฟังเลยน่ะสิ -*-
“สิบเอ็ดโมงแล้ว …จะตื่นรึยัง” ผมบอกมัน พร้อมกับลูบผมนิ่มๆ บนอกที่ตอนนี้ฟูฟ่องเต็มมือไปหมด
“เรียนกี่โมงอ่ะ?”
“บ่ายโมง” ถามเหมือนกรูเป็นคนเรียนเองงั้นแหล่ะ
“ลุก…ก็ได้”
ไอ้มิกกี้งัวเงีย เอามือขยี้ตา… ค่อยๆ ยันตัวผมเพื่อลุกขึ้น ตอนนั่งบนเตียงมีการเอามือลูบๆ หัวที่ชี้โด่ชี้เด่ของตัวเองลงแล้วจัดทรง… จะห่วงหล่อไปไหน ส่วนผม พอไอ้ตัวยุ่งมันลุกออกจากตัวไปได้ก็เพิ่มขยับตัวจะลุกไปอาบน้ำ แต่เหน็บกินซะงั้น ก็เล่นโดนนอนทับมาทั้งคืนนี่ครับ ว่าแล้วเลยบอกให้อีกฝ่ายไปอาบน้ำก่อน มันก็ไม่ได้เอะใจอะไรเล้ยย พยุงตัวเอง เดินขาโก่งไปห้องน้ำลิ่วๆ นู่นแล้ว
หลังจากที่ค่อยๆ ขยับตัวที่ละนิดเพื่อให้หายปวดแขน… ผมนอนมองเพดานห้อง ได้ยินเสียงเปิดน้ำในห้องน้ำแล้วก็อดคิดถึงเรื่องเมื่อคืนไม่ได้ เป็นบ้าอะไรวะไอ้แดน! มรึงบ้าไปแลวแน่ๆ อายุอานามก็ไม่ได้น้อยๆ มานอนยิ้ม สองแขนหนุนหัว มีความสุขยังกับเพิ่งเจอรักแรก ทั้งๆ ที่ชีวิตก็ผ่านอะไรมาเยอะแยะ… ความรัก… ผ่านมามากมายจนไม่รู้จะอธิบายยังไงหมด
ดีใจ…ครั้งนี้มันแตกต่างจากครั้งไหนๆ ตัวผมเองก็ยังพูดไม่ถูกว่ายังไง.. รู้แต่ว่าสิ่งที่ต้องการมักจะไม่ได้มาเสมอ และสิ่งที่ได้มาครอบครองมักจะไม่ได้โหยหาเลยด้วยซ้ำ
นี่เป็นครั้งแรก… ครั้งแรกที่ผมต้องการ และได้มาไว้ในกำมือ… ให้ตายเถอะ… บ้าไปแล้วกรู
เสียงเปิดน้ำซู่ๆ หายไปแล้ว… ทำให้ผมเด้งตัวขึ้นจากที่นอน สะบัดแขนสองสามทีเพื่อคลายเมื่อย แล้วลุกขึ้นเก็บที่นอน ตามเจ้าหนูไปในห้องน้ำ…
ทันทีที่เลื่อนบานประตูกระจกมัวเข้าไป ผมก็ต้องตกใจ!!... เพราะฟองสบู่ที่ล้นอ่างอาบน้ำจนทะลักออกมาเรี่ยราดบนพื้นเกือบมาถึงประตู แถม… ไอ้ตัวแสบของผมก็หายไปแล้วด้วย
ใจผมหายวาบ….
“ฮ่าาาา” ในขณะที่ผมกำลังจะเปิดประตูออกไปตามหานั้น ไอ้หนูก็ผุดขึ้นจากน้ำในอ่าง พร้อมกับฟองสบู่ที่ติดหัวจนนูนขึ้นมาเป็นกอง… มันขยี้ตาสองสามทีในสภาพเปลือย นั่งในอ่างอาบน้ำ สูดอากาศเข้าปอด แล้วทำท่าจะมุดลงใต้น้ำอีกที
“เฮ้ๆๆๆ ทำอะไรน่ะ!?” ผมรีบเดินเข้าไปดึงแขนมันไว้ก่อนจะดำน้ำอีกที เล่นไรของมันวะเนี่ย!
“อะ อ้าว” เจ้าหนูทำท่างงๆ ปนตกใจ.. สักพักก็กวักน้ำขึ้นมาล้างตา ก่อนจะมองมาที่ผมด้วยแววตาใสซื่อ
“สระผมไง”
“หะ?” ผมยืนคิ้วกระตุกแหง่กๆ
“สระผม…”
ผมส่ายหัวด้วยความระอา ขนาดสระผมมันยังขี้เกียจได้ขนาดนี้ เฮ้อออ ตรูเครียด! ว่าแล้วเลยเดินไปถอดเสื้อผ้าตัวเองออก โยนกองไว้นอกห้องน้ำ แล้วเดินตัวเปล่าโทงๆ มาที่อ่าง… ไอ้มิกกี้รีบหันหน้าหนี จุ่มแก้มแดงๆ ลงไปในน้ำสบู่ฟองฟอดทันที
น้ำสีขาวขุ่นกระเพื่อมไปมาหลังจากที่มีคนอีกคนหย่อนตัวลงไปเพิ่ม… ผมพิงหลังเข้ากับขอบอ่างตรงข้ามกับเจ้าหนู แล้วผ่อนลมหายใจยาวๆ เมื่อเจอกับน้ำอุ่นสบาย…. อย่างกับคนแก่เลยกรู….
“เฮีย” ผมลืมตามองตามเสียงเรียก…อยู่ๆ ฟองก็เข้ามาแปะที่หน้าผมเต็มๆ!
“ฮ่าๆๆ” หนอย… เออ หัวเราะเข้าไป ขำ…ขำมาก
ปกติแล้วผมไม่ใช่คนที่ชอบมานั่งแช่อาบน้ำในอ่างแบบนี้เป็นเวลานานๆ หรอกนะครับ… ไอ้อ่างเนี่ย มีไว้ก็แค่ประดับเท่านั้นแหล่ะ อยู่มาไม่เคยใช้เลยสักครั้ง…. นี่เป็นครั้งแรกที่ได้แช่สบายๆ แบบนี้ เพราะมันเสียเวลา กะอีแค่อาบน้ำจะทำให้ยุ่งยากทำไม เอาน้ำราดๆ ตัว ฟอกสบู่ ขัดๆ ล้างน้ำ ก็เสร็จแล้ว
“เฮียๆ” เอาอีกแล้ว มันเรียกผมบ่อยซะจนเกือบคิดว่าตัวเองชื่อ ‘เฮีย’ ละ -*-
“อะไรอีกล่ะ?”
“รับๆ”
ผมลืมตาขึ้นมองหน้าอีกฝ่าย มันกำลังเป่าฟองสบู่ก้อนหนึ่งที่กำลังลอยอยู่บนอากาศไปมา และตอนนี้มันกำลังลอย ใกล้จะตกแปะลงมาบนหัวผมแล้ว… สุดท้ายเลยต้องเงยหน้าทำปากจู๋ๆ เป่าไอ้ก้อนฟองสบู่นั่นให้พ้นไปจากรัศมีหัว สักพัก…กลายเป็นว่าผมกับมันเป่าฟองเล่นกันไปมาซะงั้น จนกระทั่งผมขี้เกียจเป่านั่นแหล่ะ (ที่จริงคือหน้ามืด) เลยปล่อยให้ฟองมันร่วงลงมาแหมะเข้าที่ปลายจมูก ส่วนไอ้ตัวยุ่งก็ได้แต่หัวเราะชอบใจที่ตัวเองชนะ เอ้อ… เกิดมาเพิ่งเคยเล่นอะไรปัญญาอ่อนแบบนี้
เจ้าหนูล้อเลียนผมด้วยการเอาฟองมาแปะลงบนที่จมูกตัวเองบ้าง มีการยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ แลบลิ้นให้อีกต่างหาก ผมเลยแกล้งคืนด้วยการยื่นจมูกไปชนกับมัน แล้วจุ๊บซะเลย… แต่ทำไมมันไม่ค่อยเหมือนแกล้งเลยวะ ก็ไอ้มิกกี้แมร่งไม่ขัดขืน มีการยิ้มอีกต่างหาก… สกิลการกลั่นแกล้งของกรูตกต่ำหรือเพราะไอ้ตัวเล็กมันใจกล้าหน้าด้านขึ้นวะเนี่ย
“เฮียๆ” เอาอีกแล้ว…หลังจากที่เรียก ไอ้มิกกี้เอาคางจิ้มลงไปในฟองสบู่ที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ… จนฟองสีขาวนั่นติดเต็มคางมันไปหมด
“ซานตาคลอส”
ป้าดดดดดด…. กรูอยากจะหัวเราะเป็นภาษาปาปัวนิวกินี ผมหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง ท่าทางไอ้หนูเองก็จะชอบอกชอบใจเพราะมันยิ้มร่าที่ทำผมขำได้ขนาดนี้ มีการกวาดฟองมาแปะๆ ที่คางกับคิ้วตัวเองเพิ่ม
“อ่ะ…แสบตา” ก็แหงล่ะ… เล่นเอาฟองมาใส่ที่คิ้วแบบนั้นมันก็ย้อยเข้าตาสิ เฮ้อออ
“ขยับมานี่” ผมไม่รอให้มันทำตาม ดึงแขนอีกฝ่ายให้เลื่อนเข้ามาใกล้ พยุงตัวขึ้นคว้าฝักบัวและหมุนเปิดน้ำอุ่นอ่อนๆ ออกมาราดไปที่หน้าเจ้าหนูทันที อีกมือก็ถูๆ หน้า ช่วยขยี้ตาให้นิดหน่อย… มันร้อง อือๆ มือก็ปาดหนาปาดตาตัวเองไปด้วย
“เป็นไงล่ะ ไอ้ซานตาคลอส หึหึ แสบมั้ยล่ะ” ผมหัวเราะ ส่วนไอ้หนูน่ะเหรอ…ทำหน้าบึ้งไปแล้วครับ
ว่าแล้วเลยดึงต้นแขนอีกฝ่ายให้พลิกตัวหันหลังเข้ามาใกล้แนบกับด้านหน้าของผมทันที มือหยิบขวดแชมพูใกล้ๆ มาเปิดออก ขยี้เป็นฟองแล้วลงมือสระผมให้ไอ้หนู
มันดูจะงงๆ เล็กน้อย แต่ก็ยอมนั่งกอดเข่านิ่งๆ ให้ผมเกาทุกซอกทุกมุมของหนังหัว สงสัยมันไม่มีอะไรจะทำเลยดีดน้ำเล่นไปมา จนผมต้องยื่นมือไปตีเบาๆ เพราะน้ำกระเด็นไปทั่วห้องแล้วครับ ขี้เกียจมานั่งล้างห้องน้ำใหม่อีกรอบ…
“…เฮีย” เจ้าหนูเรียกผม (รอบที่ล้าน) ทั้งๆ ที่ยังก้มหน้าอยู่
“เจ็บ?” ก็กลัวว่าจะขยี้หัวมันแรงเกินน่ะสิครับ ปกติผมเกาหัวตัวเองแกรกๆ ไม่ค่อยจะรู้สึกอะไรกับเค้าเท่าไร
“เปล่า…”
“แล้วเรียกทำไม หืม?” ผมก้มลงจูบที่บ่าขาวโผล่พ้นน้ำของมันทีนึง
เจ้าหนูไม่ตอบ มันหลับตาลงแล้วนั่งนิ่งๆ อยู่แบบนั้นจนกระทั่งผมสระผมให้เสร็จ… สงสัยกลัวแชมพูเข้าตาล่ะมั้ง? พวกเราลุกขึ้นจากน้ำ ล้างเนื้อล้างตัวกันอีกนิดหน่อย เมื่อเสร็จแล้วก็ไล่ให้ไอ้มิกกี้มันไปแต่งเนื้อแต่งตัวก่อน เพราะมันต้องเตรียมตัวไปเรียน ส่วนผมก็จัดการอ้างล่างให้เรียบร้อย…
เมื่อเสร็จทุกอย่างก็เดินออกมาแต่งตัว… ผมเห็นไอ้มิกกี้มันใส่ชุดเตรียมไปเรียนเรียบร้อยแล้ว ที่จริงก็คือชุดไปรเวทนั่นแหล่ะ ไม่รู้ทำไมมหาลัยนี้นักศึกษาใส่ชุดธรรมดาไปเรียนได้เรียนดี อาจจะเพราะคณะมันด้วยแหล่ะมั้ง ต้องเขา workshop บ่อย… ใส่ชุดนักศึกษาไปก็ต้องหาที่เปลี่ยนอีกอยู่ดี


“เพิ่งตื่น ง่วงอีกแล้วรึไงเรา” ผมติดกระดุมเสื้อเชิ้ต เดินไปโยกหัวเจ้าหนูเอนไปเอนมา ส่วนมันยืนทำตาปรือหน้าง่วงนอนเต็มที่รออยู่ตรงห้องรับแขก
“อือ…เมื่อยตัวอ่ะ”
“ไหน เมื่อยตรงไหน”
“ทั้งตัวเลย…ปวดหัว มึนนิดๆ” มันบิดตัวไปมา ซ้ายทีขวาที แล้วก็หาววอดตบท้าย ยังกับแมวเลยวุ้ย
“จะไม่สบายรึเปล่าเนี่ย” ผมจับหน้าผากกับแขนมันนิดหน่อย ตัวก็ไม่ร้อนนะ..แค่รุมๆ
“ไม่หรอก… มั้ง ง่วงเฉยๆ”
“เรียนไหวมั้ย?” มันไม่ตอบ ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ เอาหน้าถูไถกับมือใหญ่ของผมเล่นไปมา
“มือเฮียเย็นอ่ะ”
ผมยิ้มกับท่าทางของอีกฝ่าย มันยืนยกมือขึ้นทับมือผมที่แนบแก้มตัวเองอยู่…แล้วหลับตา ไม่รู้ว่าหลับจริงหรือแค่พักสายตาเฉยๆ… ผมลองยื่นหน้าไปใกล้เพื่อดูว่ามันหลับหรืออะไรกันแน่ พอขยับเข้าไปใกล้…ใกล้เรื่อยๆ อยู่ๆ เจ้าหนูก็หัวเราะพรื่ด ยิ้มออกมาซะกว้าง เลยจัดการหอมแก้มมันไปสองทีด้วยความหมั่นไส้
“ไปๆ เดี๋ยวไปหาอะไรกินข้างนอกแล้วค่อยไปเรียน”
ผมเดินลูบหัวอีกฝ่ายไปที่หน้าประตูห้อง
แต่ในขณะที่กำลังเปิดประตูออกไปนั้น…
“ม…มาร์ช?”
“พี่แดน…”
ใบหน้าขาวคมที่คุ้นเคยตอนนี้กลับเบ้ลง คิ้วเรียวสองข้างขมวดแน่น และขอบตาแดงช้ำบ่งบอกอาการอดหลับอดนอน… และไม่แน่ว่าผ่านการร้องไห้มามากขนาดไหน ร่างนั้นเมื่อเห็นผมก็ค่อยๆ เดินเข้ามา แต่ด้วยระยะทางที่ไม่ไกลมากจึงทำให้ผมไม่ทันได้ตั้งตัวกับการถาโถมเข้ามากอดแบบนี้
สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านอกจากจะให้งงแล้ว ยังสับสนอีกต่างหาก… ผมเอื้อมมือขึ้นจะลูบหัวและกอดตอบ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อสายตาเหลือบไปมองอีกคน… อีกคนที่ยืนอึ้งและสับสนไม่แพ้กัน
“มาร์ช…มาร์ช เป็นอะไร? เกิดอะไรขึ้น?” จากมือที่จะกอดตอบนั้น กลับมาเป็นเพียงแบบแขนทั้งสองข้างแน่นเพื่อให้ออกห่างจากบ่าผม
อีกฝ่ายไม่ตอบ ได้แต่ก้มหน้าปากบึ้งอยู่แบบนั้น… เฮ้ออ เหมือนตอนเด็กๆ ไม่มีผิด เวลามีเรื่องอะไรมามักจะเงียบ ไม่พูด เก็บอะไรไว้คนเดียวเสมอ แต่พอจะลุกหนี.. กลับรั้งไว้ให้อยู่เป็นเพื่อน ครั้งนี้ก็คงเหมือนกัน
“ใจเย็นๆ…. มีอะไร บอกได้มั้ย?” ไม่ว่าจะพยายามคั้นแค่ไหน แต่คำตอบก็มีเพียงแค่ความเงียบ มันยืนนิ่ง… ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าสาเหตุมาจากอะไร ให้ตายเถอะ… จะมีเรื่องอะไรกันก็ช่วยไปมีไกลๆ ได้มั้ย ก็รู้ทั้งรู้ว่า…
“งั้นเดี๋ยวอยู่นี่ไปก่อน พี่ต้องไปส่งมิกกี้” ผมว่าอย่างงั้นเพราะเหลือบไปมองเจ้าหนูที่ยืนหน้างงๆ เป็นหมาหงอยอยู่ข้างประตู สองมือกำสายกระเป๋าสะพายของตัวเองแน่น
“…เดี๋ยวมันมา”
“มาร์ช…”
“เดี๋ยวมันมา!”
เสียงจากที่เบาค่อยๆ กลายเป็นดังขึ้นเมื่อไม่ได้รับสิ่งที่เจ้าตัวต้องการ เวลาที่เอาแต่ใจล่ะก็นะ…ทำได้สุดยอดจริงๆ ผมส่ายหน้าด้วยความระอา แล้วหันหน้าไปมองเจ้าหนู… มันเองก็มองผมตอบ เหมือนจะพูดอะไรออกมาซักอย่าง แต่ก็ได้แค่อ้าปากค้างไว้อย่างนั้น และหุบลง
ผมจึงดันตัวมาร์ชออก… เดินเข้าไปหาอีกคนที่ยืนนิ่ง มองผมทุกก้าวการกระทำ
“มิกกี้…ไปเรียนเองก่อนได้มั้ย?” มันนิ่งไปสักพัก ก่อนจะพยักหน้าหนึ่งครั้ง สองมือกระชับสายกระเป๋าเป้มากกว่าเดิมจนเอ็นขึ้น…
“…ครับ”
“ขอโทษนะ เลิกกี่โมง สี่โมงใช่มั้ย เดี๋ยวไปรับนะ” ผมว่าอย่างงั้น เอื้อมมือไปลูบหัวนิ่มๆ ของเจ้าหนูไปมา
“อื้ม” มันเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผม แต่รอยยิ้มนั้นกลับดูแตกต่างออกไป…ราวกับว่าเจ้าตัวกำลังฝืนเหลือเกิน

หลังจากนั้นไอ้มิกกี้ก็เดินหันหลังให้ผม ออกไปจากห้องอย่างเงียบๆ … ส่วนผมได้แต่ลอบถอนหายใจลึกๆ และหันมาดูอาการของน้องชายตัวเองต่อ มาร์ชเดินไปส่องกระจกบานใหญ่ในห้องโถงที่เห็นลงไปข้างล่าง มองซ้ายทีขวาที คิ้วขมวดติดกันจนแทบจะผูกโบว์ สักพักก็รีบปิดม่าน…แต่มีการแอบส่องมองลงไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“มีเรื่องอะไรกันมาอีกล่ะ” เสียงของผมคงดังไม่ใช่น้อย เพราะทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งจนตัวโยนได้ หรือไม่ก็เพราะกำลังใช้สมาธิจดจ่อกับบางสิ่ง ‘ข้างล่าง’ นั่นมากเกินจนไม่ได้สนใจคนข้างบนเลยก็เป็นได้
“…มัน”
แต่ก่อนที่จะได้คุยกันรู้เรื่อง เสียงทุบประตูปึงๆ ก็ดังขึ้นมาเสียก่อน ผมล่ะอยากจะออกไปฆ่าไอ้คนทุบนั่นทิ้งชะมัด! ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร!
“พี่แดนอย่าเปิดนะ!” มาร์ชส่งเสียห้ามทันทีเมื่อเห็นว่าผมกำลังเดินไปเปิดประตูด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“ไม่ได้ แบบนี้เดี๋ยวข้างห้องว่า”
และทันที่ที่ผมเปิดประตู ไอ้คนที่ผมกลียดขี้หน้านักหนาก็วิ่งเข้ามา สายตามันไม่ได้มองผมสักนิด…แต่ผมน่ะเห็นมันชัดเจน รอยที่แก้มกับปลายริมฝีปากบวมช้ำจนกลายเป็นสีเกือบม่วงแสดงว่ารอยนี้เกิดขึ้นนานแล้ว ไหนจะหน้าตาที่ดูโมโหนั่นอีก เอ้อออ เอาเข้าไปไอ้คู่นี้ กรูปวดกบาล!
“ปล่อยกู!” มาร์ชสะบัดแขนหนีเมื่อโดนกอบกุมอย่างแน่นหนา
“ไม่! หนีมาทำไม! ก็บอกแล้วว่าไม่มีอะไร!”
“กูไม่สน!”
“ต้องสน!”
“อย่ามาบังคับนะ!”
“มาร์ช!”
มันเถียงกันอีกมายมายยกใหญ่…เมื่อผมเห็นว่าท่าจะไม่ดี เพราะเสียงทั้งคู่ดังขึ้นเรื่อยๆ แถมมีการฉุดยึดกระชากกันไปมาจนเซเสียวชนเครื่องเรือนกระจาย ว่าแล้วเลยตัดสินใจหมายจะเดินเข้าไปห้ามทัพ… แต่ที่ไหนได้…
“อยากโดนอีกหมัดใช่มั้ย!”
….ผลั่กกกก….
เชี้ย นี่มันเกิดอะไรขึ้น… มึน มึนจนผมต้องยืนนิ่งๆ แต่ทำไมหน้ากรูหันวะ ผมมารู้สึกตัวอีกทีเมื่อมีเสียงตะโกนว่า ‘พี่แดน!’ ดังขึ้นมา พร้อมกับความชาที่แล่นขึ้นมาเวลาเดียวกับอาการปวดแปร๊บๆ ที่ข้างแก้ม อ้อ กรูโดนต่อย (รู้สึกช้าไปเปล่าวะ!?” )
หลังจากที่เอาตัวเองเข้าไปรับหมัดแทนไอ้..ไอ้นั่นแหล่ะครับ ไม่อยากจะเอ่ยชื่อ ทุกอย่างเลยกลับเข้ามาอยู่ในความสงบ ผมนั่งมือกุมปากตัวเอง ส่วนไอ้สองคนนั้นก็นั่งนิ่ง มองหน้ากันไปมา… แต่ไม่นานมันก็กลับมาทะเลาะกันใหม่ ด้วยความสุดจะกลั้น ผมเลยลุกขึ้น สองมือดึงแขนมันทั้งคู่เข้าไปในห้องนอน แล้วปิดประตูทันที!!
เสียงเงียบไปพักหนึ่งเหมือนทั้งสองกำลังงงๆ อยู่ สักพักก็ค่อยเปลี่ยนเป็นเสียงโหวกเหวกดังโวยวายไปมา ผมเดินส่ายหัวไปหยิบน้ำแข็งในตู้เย็นออกมาใส่ผ้าเช็ดหน้า แล้วพันๆ ประกบลงบนข้างแก้มตัวเอง
“ซี้ดด เจ็บว่ะ มือหนักขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”
ก็แหงล่ะครับ…เกิดมาไม่เคยโดนมันต่อยสักครั้ง แต่ก็พอจะเข้าใจ… เจ้านี่น่ะมือหนักใช่ย่อย ไม่งั้นเมื่อก่อนคงไม่เที่ยวชกต่อยมีเรื่องกับชาวบ้านไปทั่ว สงสารไอ้ซันเหมือนกันว่ะ ท่าทางจะเจอไปไม่ใช่น้อย หน้าถึงช้ำซะขนาดนั้น
ผมนั่งลงบนเก้าอี้ในครัว…แปลกแหะ ตอนนี้มานั่งคิดถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่ …คนที่ผมเคยรักและคนที่ผมเคยเกลียดขี้หน้า (เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่เถอะ) กลับไม่รู้สึกปวดหนักๆ ตรงหน้าอกแบบเมื่อก่อนเท่าไรแล้ว ปกติถ้ามันทะเลาะกันแบบนี้ผมคงไม่ปล่อยโอกาสให้ไอ้ซันกลับมาง้อมาร์ชแน่ๆ หึหึ แปลกดีนะ…คราวนี้ผมกลับยอมเดินไปเปิดประตูง่ายๆ
ปวด… ผมเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ มองดูวิวในครัวไปมา …จ้อกกก.. ยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลยนี่หว่า ให้ตายเถอะ… ลืมไปเลย ยิ่งผมมองที่เตาแก๊สข้างหน้า ภาพใครบางคนก็ผุดขึ้นมาทาบทับจางๆ
เสียงเรียก ‘เฮียๆ’ ยังคงดังก้องไปมาในหัว แม้ตอนเรียกจะสร้างความรำคาญให้ผมไม่ใช่น้อย แต่กลับสุขใจทุกครั้งเมื่อได้ยิน…
ผมนั่งนิ่งหลับตาคิดด้วยรอยยิ้มอยู่แบบนั้นพักใหญ่… จนกระทั่งเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกา เฮ้ย บ่ายสามกว่าแล้ว ทำไมเวลามันผ่านไปเร็วจังวะ!? เมื่อกี้เพิ่งจะเที่ยงอยู่แหมบๆ
ว่าแล้วผมจึงรีบเดินไปคว้ากุญแจรถ ‘ออกไปรับเจ้าหนูดีกว่า’ แค่คิด…หน้ามันก็บานเพราะรอยยิ้มเสียแล้ว เป็นเอามากเว้ยเฮ้ยเรา

ผมเดินตัวปลิวลงไปข้างล่างโดยลืมแม้กระทั่งบอกสองคนนั้นในห้องนอนด้วยซ้ำว่าจะออกไปข้างนอก… เอาเถอะ ออกมาไม่เห็นเดี๋ยวก็รู้เอง แต่อย่ามาใช้ห้องกรูเป็นโรงแรมก็แล้วกัน -*-
ก่อนที่จะก้าวฉับๆ ไปที่รถ… ไม่รู้ทำไม ตอนนั้นรู้สึกอยากดื่มกาแฟขึ้นมาตะหงิดๆ จึงตัดสินใจเดินผ่านเข้าไปในล็อบบี้คอนโดแทนที่จะตัดผ่านไปด้านหลังที่เป็นลานจอดรถ ผมเดินยิ้มไปซื้อกาแฟที่คาเฟ่เล็กๆ ข้างมินิมาร์ท ในขณะที่กำลังรับเงินทอนจากเด็กผู้ชายพนักงานขายตรงหน้า สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นร่างหนึ่งที่นั่งอยู่บนม้านั่งตัวประจำของผมกับเจ้าหนู เวลาลงมากินไอติมข้างล่าง…
ผมเลือกที่จะวางแก้วกาแฟลง และเดินเข้าไปดู…
มิกกี้…
ผมรีบเข้าไปหาด้วยความงุนงง ไหนบอกไปมหาลัย!? ทำไมมานั่ง… ไม่สิ นอนอยู่ตรงนี้ แถมตัวยังร้อนจี๋อีกต่างหาก!
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ฮ แดน ดีได้แค่วันเดียว เชอะ!