“แกคิดว่ายังไง เจ้าโอม” เสียงของคุณท่านถามโอม ก่อนที่โอมจะขับรถไปรับคุณหนูของเขาที่โรงเรียนสอนพิเศษ คำพูดของคุณท่านก่อนหน้านั้น ทำให้โอมรู้สึกชาไปทั้งตัว “ฉันรู้ดีว่าลูกชายของฉัน” คุณท่านเอามือมาแตะที่ไหล่ของโอม “คุณหนูของแก ชอบอะไรแบบไหน” โอมได้แต่ยืนนิ่งอยู่แบบนั้น ความวุ่นวายในใจไหลวนปะทะปนกันอย่างหนักหน่วง “ฉันไม่ห้ามลูกของฉันหรอก เรื่องชอบผู้ชายด้วยกัน แต่ฉันก็อยากจะให้คุณหนูของแก ได้กับคนที่ดี เหมาะสมกับเขา แกว่ายังไง ในฐานะพี่ชาย” โอมรู้สึกแบบนั้นเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่น้ำตาของเขาไหลย้อนกลับเข้าไปล้นในหัวใจ
“ตกลงมันยังไง นี่ป๊ามาพูดอะไรกับนายหรือเปล่า” คำถามของคุณหนูทำให้โอมคิดถึงสิ่งที่คุณท่านถามเขาเมื่อวันก่อน ที่ว่าท่านจะเลือกใครมาเป็นคู่ให้กับคุณหนู ลูกชายคนเดียวของท่านดี ไม่ว่าจะเป็นลูกชายของท่านรัฐมนตรี อีกคนก็ลูกชายท่านทูตกระทรวงการต่างประเทศ และอีกคนก็ลูกชายเจ้าสัวใหญ่ที่กำลังจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง คุณสมบัติทั้งหมดที่คนอย่างเขา ไม่มีทางเทียบติดได้เลย
“คุณหนูควรจะกลับขึ้นเรือนใหญ่ได้แล้วนะครับ ดึกแล้ว” โอมไม่ตอบ แต่บอกให้อีกฝ่ายกลับออกจากห้องเขาไปจะดีกว่า “เดี๋ยวนี้นายจะเป็นคนสั่งกับเราอย่างนั้นหรือ อยากจะทำตัวเป็นพี่เลี้ยงขึ้นมาซะงั้น” เสียงของคุณหนูแสดงความไม่พอใจออกมา “คุณหนูครับ กลับขึ้นเรือนใหญ่เถอะครับ” โอมพยายามจะดันตัวให้คุณหนูเดินออกจากห้อง แต่กลับต้องรู้สึกว่า ของที่โตงเตงอยู่ในกางเกงบ็อกเซอร์ ถูกคุณหนูคว้าหมับเอาไว้ในมือ
“คุณหนู ทำอะไรครับ อย่าทำแบบนี้” โอมดึงมือของคุณหนูออก เพราะไม่อย่างนั้น ของที่มันอ่อนตัว มันจะตั้งแข็งขันขึ้นมาอย่างแน่นอน “ผมอยู่ในฐานะพี่ชายของคุณหนูนะครับ” คำพูดของคุณท่านที่เตือนถึงสถานะของเขาดังก้องอยู่ในหัว “พูดความจริงสิ พูดความจริงสักครั้งในชีวิต มันจะตายมั้ย” คุณหนูตะโกนใส่หน้าโอม ที่โอมเองทำได้แต่สะกดใจข่มความต้องการของเขาให้เก็บเอาไว้
“ความจริงก็คือ ผมไม่มีอะไรจะพูดครับคุณหนู” โอมพูดได้เพียงเท่านั้นจริง ๆ แม้ว่าจะมีคำพูดมาอัดแน่นอยู่ภายในใจของเขามากมายก็ตาม “ป๊ามาพูดอะไรกับนายใช่มั้ย” คุณหนูถามย้ำอีกครั้ง เพราะจากที่เคยสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก ความจริงก็ตั้งแต่คุณหนูเองจำความได้ จนมาระยะนี้ที่ความห่างเหินเข้ามาแทนที่ความใกล้ชิดนั้น
“คุณหนูควรจะกลับขึ้นเรือนใหญ่ไปได้แล้วครับ ดึกแล้ว” โอมต้องฝืนใจแสดงท่าทีไล่อีกฝ่ายออกไปให้ได้เห็น “นายมันขี้ขลาด” เสียงของคุณหนูสั่นเครือ “นายมันไม่เอาไหน นายมันขี้ขลาด ทำไมกันนะ ป๊าว่ายังไง นายต้องทำตามทุกอย่างเลยใช่มั้ย ทำไมไม่มีความคิดเป็นของตัวเองบ้าง ความกล้าสักนิดก็ไม่มี นายเป็นพี่ชายที่ห่วยมาก ที่ไม่เคยรู้จักน้องของตัวเองเลยสักนิดเดียว” โอมขบกรามจนแน่น พยายามกลั้นความรู้สึกที่กำลังท่วมท้นหัวใจของเขาอยู่
“ได้” คุณหนูของโอมพูดด้วยเสียงขึ้นจมูก เมื่อน้ำตามันไหลล้นลงมาจากขอบตา “ป๊าส่งลิสต์รายชื่อผู้ชายมาให้เลือกตั้งหลายคน สามคนแรกโปรไฟล์ดีทั้งนั้น” น้ำเสียงของคุณหนูนั้นเจือไปด้วยความน้อยใจอย่างถึงที่สุด และไม่ยากเลยที่โอมจะรู้สึกถึงมัน “ในเมื่อป๊าเลือกมาแล้ว ของดี ๆ อย่างนี้ เราจะไปทดสอบทดลองให้ครบทั้งสามคน” โอมเอื้อมมือไปคว้าแขนของคุณหนูเอาไว้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าจะเดินออกไป
“นี่คุณหนูคิดจะทำอะไร” เสียงถามของโอมทั้งดุทั้งจริงจัง กับทุกครั้ง น้อยครั้งมากที่โอมจะยอมใช้น้ำเสียงโทนนี้กับคุณหนูของเขา “นายจะสนทำไมว่าเราจะทำอะไร” น้ำที่คลอหน่วยของคุณหนูในตอนนี้ ทำให้โอมรู้สึกไม่โอเค “เราจะไปทำเรื่องอย่างว่า ที่นายได้แต่คิด แต่ไม่ยอมทำกับเรา เพราะนายมันคือคนขี้ขลาด นายมันไม่มีน้ำยา นายมันก็แค่” คุณหนูของโอมพูดได้เพียงแค่นั้น
“อยากฟังนักใช่มั้ย อยากให้ผมพูดนักใช่มั้ย ว่าผมรู้สึกยังไง ผมอยากทำอะไร” เหมือนกับว่า โอมเองก็ความอดทนมันเกิดสิ้นสุด และสติขาดผึงไป ณ วินาทีนั้น เมื่อได้ยินคุณหนูของเขา พูดว่าจะไปทำอะไร ๆ อย่างว่ากับผู้ชายคนอื่น โอมดึงเอามือของคุณหนูมาล้วงเข้าไปใต้บ็อกเซอร์ตัวเดียวที่เขาใส่อยู่ แล้วสั่งให้คุณหนูของเขาใช้มือรูดท่อนเนื้อนั้นขึ้นลง
“ใช่ นี่คือสิ่งที่ผมอยากจะทำกับคุณหนู” โอมออกคำสั่งเสียงเข้ม “เดี๋ยวพอมันแข็งดีแล้ว ผมจะให้คุณหนูก้มลงไปใช้ปากกับมัน” โอมที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้อีกต่อไป พูดจาลามกกับคุณหนูของตัวเองแบบนั้น “ต่อจากนั้น คุณหนูจะถูกไอ้ท่อนดำทะมึนนี่ เด้งสวนกลับขึ้นลง เพราะคุณหนูจะต้องนั่งทับโยกมันให้ผม” โอมไม่เก็บสิ่งที่เขาได้แค่คิด แต่ไม่กล้าที่จะทำจริงออกมาทั้งหมด
“ทำไมน่ะหรือ เพราะอะไรใช่มั้ย” โอมกำลังจะพูดบอกกับคุณหนูของเขา ให้รับรู้เป็นครั้งแรก “ก็เพราะว่าผมแอบรักคุณหนูไง แอบรักมาตั้งนานแล้ว ทั้งหวง ทั้งห่วง ผมอยากจะครอบครองคุณหนูเอาไว้แค่เพียงคนเดียว อยากจะทำเรื่องลามกสัปดนกับคุณหนู แต่ก็ทำให้ได้แค่ ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะว่าไอ้โอมคนนี้ มันเป็นแค่เด็กรับใช้ในบ้านที่คุณท่านเก็บมันมาชุบเลี้ยง ให้ข้าวให้น้ำ ให้ที่ซุกหัวนอน แต่มันคิดอยากจะกินบนเรือน ขี้รดบนหลังคา ทำอะไรที่มันเกินวาสนาของมันไงครับ เข้าใจหรือยัง” สิ้นเสียงพูดของโอม ทั้งเขาและคุณหนู ก็หันไปเห็นคุณท่านยืนอยู่ที่หน้าประตูห้อง
“ซัพพอร์ตอะไรวะ” เพื่อนสนิทอีกคนในกลุ่มที่เพิ่งจอดมอเตอร์ไซค์ ถามขึ้น เมื่อเห็นทั้งกลุ่มนั่งหน้าหงอยกันอยู่แบบนั้น“ก็คุณมินของไอ้เชนแม่งอ้ะดิ หมั้นแล้ว กับเสี่ยกระเป๋าหนัก” อีกคนตอบคำถามนั้นแทน “คุณมินเนี่ยนะ” คนที่เพิ่งมาใหม่ถามด้วยความแปลกใจ “มันจะเป็นไปได้ยังไงวะ” เพื่อนคนนี้ที่กำลังกิ๊กกั๊กอยู่กับสาวผู้ช่วยในร้านของมิน ที่รับรู้เรื่องซุบซิบเกี่ยวกับมินมาโดยตลอด “แค่กูเห็นแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายนั้น กูก็ต้องยกธงยอมแพ้แล้วว่ะ” เชนพูดด้วยความน้อยใจขั้นสุด ที่รู้ตัวว่า ตัวเขาเองนั้นสู้ไปยังไงก็แพ้
“โธ่ไอ้เชน ไอ้โง่ ไอ้ควาย ไอ้เหี้ย มึงนี่แม่งโคตรงั่งฉิบหาย” เพื่อนที่เพิ่งมาด่าเชนไป หัวเราะเยาะในความรู้น้อยของเพื่อนไป “มึงรู้เอาไว้เลยนะไอ้เชน ว่าตั้งแต่คุณมินประสบอุบัติเหตุพร้อมครอบครัว จนต้องสูญเสียทั้งพ่อและแม่ไป และต้องฝึกพูดใหม่อย่างหนัก เพราะการได้ยินเสียงมีปัญหา ก็เพื่อจะได้กลับมายืนอีกครั้งได้ ด้วยลำแข้งของตัวเอง ส่วนไอ้เสี่ยอะไรนั่น มันก็เรื่องจริง แต่” เพื่อนสนิทของเชน เบรกเขาเอาไว้ที่ตรงนั้น
“กูถามมึงจริง ๆ เถอะวะไอ้เชน” เพื่อนสนิทอยากจะเอาที่เปิดปลากระป๋อง มาแงะดูสิ่งที่อยู่ในกะโหลกศีรษะของเพื่อนตัวเองเสียจริง ๆ ว่าอะไรกันแน่ที่อัดแน่นอยู่ในนั้น แทนที่จะเป็นสมอง “มึงนี่คิดว่าคนอย่างคุณมิน เขาเป็นคนยังไงวะ เขาเป็นคนอย่างที่มึงเก็บเอามานอย เอามาหงุดหงิดคิดน้อยใจ โกรธเองแต่ไม่หายเอง อย่างนี้เนี่ยนะ” เพื่อนสนิทของเชนได้แต่ส่ายหน้า ที่ไม่คิดว่าจะมาเห็นเชนเพื่อนรัก ในสภาพแบบนี้
“เรื่องหมั้นอะไรนั่น กูก็ไม่รู้หรอกว่าคุณมินเขาตอบตกลงไปหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นเรื่องแหวน เด็กที่ร้านของคุณมินยืนยันกับกูได้ ว่านั่นเป็นแหวนแต่งงานของแม่คุณมิน ที่พ่อของคุณมินมอบเอาไว้ให้ มึงรู้อย่างนี้แล้ว ถ้ามึงจะทำได้แค่นั่งมองถุงขนมนั่น ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวเขา เป็นคนเอามาให้เองแล้วล่ะก็” เพื่อนสนิทหวังใจว่า “มึงก็นั่งอยู่ตรงนี้เนี่ยแหละ แล้วก็ทำตัวเป็นไอ้ขี้แพ้ ไอ้หมาวัด เห่าเครื่องบินต่อไป อย่าไปรบกวนชีวิตของคุณมินเขาเลย” เมื่อพูดขนาดนี้แล้ว เชนคงจะตัดสินใจทำอะไรดี ๆ เพื่อให้เรื่องราวมันจบลงด้วยดีสักครั้ง
“พี่มินปิดร้านคนเดียวได้จริง ๆ นะคะ” ปากถามมาแบบนั้น แต่ท่าทางที่ลุกลี้ลุกลน คอยลอบมองนาฬิกาบ่อยขนาดนั้น คงไม่ต้องให้มินทำความเข้าใจอะไรให้มากมาย “ไปเถอะ พี่อยู่ได้ วันเกิดทั้งที โน่นแฟนมารับแล้ว” ที่หน้าร้าน มินเห็นหนึ่งในเพื่อนสนิทของเชนในกลุ่มพี่น้องไรเดอร์ มาจอดคร่อมมอเตอร์ไซค์รอแล้ว “อ้ะนี่” มินยัดเงินหนึ่งพันบาทใส่มือพนักงานช่วยงานในร้าน
“สุขสันต์วันเกิดนะ เอาไปหาอะไรกินอร่อย ๆ” พนักงานสาวยกมือไหว้ขอบคุณ รู้ดีว่า วันนี้ มินเพิ่งปฏิเสธข้อเสนอของเสี่ยใหญ่คนนั้นไปอย่างจริงจังแล้ว โดยที่เสี่ยคนนั้นโมโหเป็นอย่างมาก ด่ากราดมินว่า เป็นเกย์ที่โง่มากที่กล้าบอกปัดความหวังดีของเสี่ย พนักงานสาวเองได้ฟังแบบนั้น ทั้งคำด่าหยาบคาย ทั้งท่าทางเหยียดหยาม เธอเองก็ถึงกับทนไม่ได้ ลุกขึ้นยืนเท้าเอวไล่ไอ้เสี่ยบ้าคนนั้น ให้ไปพ้น ๆ หู พ้น ๆ ตา
“รีบไปเถอะ ฝนตั้งเค้ามาแล้ว” มินรีบดันตัวให้น้องพนักงานรีบออกไปจากร้าน ถือเป็นคำขอบคุณที่มินรับรู้ได้ ที่น้องพนักงานคนนี้ ลุกขึ้นมาปกป้องเขา ทั้ง ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นก็ได้ เพราะเรื่องนี้ มันเป็นความรับผิดชอบของตัวเขาเอง เมื่อปฏิเสธข้อเสนอของเสี่ย ที่ให้เขาเอาตัวเข้าแลก เพื่อเสื่อจะปลดหนี้สินที่มีทั้งหมดของทางร้าน มินก็ต้องดิ้นรนหาทางใหม่เอาเอง และมันคงเหลือตัวเลือกให้มินไม่มากนัก
มินก้มลงมองที่แหวนบนนิ้วนางข้างซ้ายของตัวเอง แหวนแต่งงานของแม่ ที่พ่อซื้อให้ ที่มินสัญญากับตัวเองว่า จะไม่มีวันขายสมบัติที่เหลืออยู่ของพ่อและแม่ชิ้นสุดท้ายนี้กินเป็นอันขาด แต่แล้วก็ต้องรู้สึกผิดหวังกับตัวเอง และรู้สึกผิดกับพ่อและแม่ ที่ตัวเองจะไม่สามารถรักษาแหวนวงนี้เอาไว้ได้อีกต่อไป ก่อนหน้านี้ มีร้านเพชรประเมินราคาให้แล้ว แม้ว่าจะถูกกดราคาลงมามาก เพราะเห็นว่ามินกำลังร้อนเงิน แต่เงินจำนวนที่ทางร้านว่ามา ก็มากพอที่จะปลดหนี้สินของร้านลงได้ เพื่อที่จะเคลียร์ทุกอย่าง ก่อนจะปิดร้านนี้ลง
“ว่ายังไง ลืมของหรือเปล่า” เสียงเตือนหน้าร้านดังขึ้น เมื่อประตูกระจกของร้านถูกดันออก มินหันไปทักถาม เมื่อนึกว่า น้องพนักงานกลับมาเพื่อเอาของที่ลืมเอาไว้ แต่คนที่มินเห็นว่า ยืนอยู่ที่อีกด้านของประตู ที่เพียงดันประตูเข้ามาเพื่อให้เกิดเสียง แต่กลับไม่ได้เดินเข้ามาในร้านนั้น คือเชน เสียงฟ้าร้องที่ก่อนหน้าดังมาจากที่ไกล ๆ เริ่มดังถี่และใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ฟ้าด้านนอกครึ้ม และลมเริ่มพัดแรง
“คุณมินครับ” เชนพูดผ่านกระจก เขาไม่กล้าที่จะพูดสิ่งที่อยู่ในใจกับมินโดยตรง เชนมองเห็นมินเดินเข้ามาหยุดยืนที่อีกด้านหนึ่งของประตูร้าน “ผมมันทั้งโง่ ทั้งขี้ขลาด” เชนสบตากับมิน ที่มินนั้นยืนมองกลับมาที่เชนตรง ๆ “ผมไม่รู้ว่า ถ้าผมพูดบอกคุณมินกับความรู้สึกที่ผมมีนี้แล้ว ผลมันจะออกมาเป็นยังไง เพราะผมไม่ใช่คนที่ดีพร้อมอะไร แต่ผมรักคุณมินนะครับ และก็อยากให้คุณมินรับรักตอบกลับผม” มันเหมือนกับว่า เชนได้ยกภูเขาทั้งลูกออกจากอก ที่กล้าพูดอะไรแบบนี้ออกไป
เสียงฟ้าร้องดังครืน ก่อนที่สายฝนเย็นเฉียบจะกระหน่ำตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เชนที่ยืนอยู่ที่ด้านนอกร้าน สายฝนที่ซัดลงบนตัวของเขา ทำให้ตอนนี้เชนนั้นยืนตัวเปียกโชกอยู่ที่หน้าร้านของมิน โดยที่เชนไม่คิดจะขยับเดินหนีไปไหน อยากจะฟังคำตอบจากมิน อยากให้มินรับรู้ถึงสิ่งที่เชนเก็บอยู่ในใจมาโดยตลอด ตั้งแต่วันแรกที่ได้พบหน้ากัน ได้ทำความรู้จักกัน
“เป็นผมได้มั้ยครับ” มินมองริมฝีปากของเชน ที่มินนั้นมีความคุ้นเคยมานานกับการอ่านปากของคนอื่น ตั้งแต่แรก ๆ ที่รู้ตัวว่า มินนั้นมีปัญหาเรื่องการได้ยินที่เกิดจากอุบัติเหตุ “เป็นผมได้มั้ย ที่จะขอดูแลคุณมิน ที่จะขอรักและซื่อสัตย์กับคุณมิน ผมพร้อมที่จะเดินไปกับคุณมิน ถ้าคุณมินจะให้โอกาส ถ้าคุณมินจะคิดเหมือนกันกับผม” เชนมองมินที่ยื่นมือไปแตะอยู่ที่ตัวล็อกประตู เชนเองก็เอื้อมมือไปแตะที่อีกฝั่งของตัวล็อก รอคอยว่า มินจะหมุนล็อกไปทางไหน เปิดประตูให้เชนเข้าไป หรือปิดประตูตายให้แทนคำตอบนี้
“มันเป็นไปไม่ได้ เคนตะ เธอเองก็น่าจะรู้ดีนะ” ผู้จัดการพูดออกมาด้วยอาการไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ได้รับรู้จากเคนตะ “พี่ขอให้เธอหยุดติดต่อกับเด็กคนนี้ในทันที” ผู้จัดการออกคำสั่งห้ามเคนตะ และส่ายหน้าไม่เห็นอย่างเดียว เมื่อเคนตะพยายามจะพูดอธิบายออกไป “นี่เธอไม่เข้าใจจริง ๆ เลยใช่มั้ย มันจะเป็นไปได้ยังไง นั่นมันเด็กคนงานชั่วคราว ที่เข้ามาช่วยป้าตัวเองถูพื้นตึกนะ ฝ่ายแม่บ้าน ฝ่ายทำความสะอาดสถานที่” ผู้จัดการทำเสียงอย่างอ่อนอกอ่อนใจไปกับศิลปินภายใต้การดูแลของเธอ
“เป็นคนถูพื้นแล้วมันผิดตรงไหนครับ” เคนตะถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมสิ่งที่หนมต้มทำ ที่มันเป็นงานสุจริต ถึงถูกมองว่าเป็นความไม่ถูกต้องไปได้ “ในเมื่อคนในตึกนี้ มีตึกที่สะอาดได้ก็เพราะสิ่งที่หนมต้มทำ” เคนตะทำหน้าไม่เข้าใจกับสิ่งที่พี่ผู้จัดการบอกกับเขามา “พี่ไม่ได้บอกว่าสิ่งที่เด็กคนนี้ทำมันผิด พี่ไม่ใช่คนที่เที่ยวไปเหยียดคนอื่น ดูถูกใครต่อใครอะไรแบบนั้น” ผู้จัดการของเคนตะรีบพูดออกตัวทันที
“แต่มันคือความไม่เหมาะสมกันด้วยประการทั้งปวง” ผู้จัดการพยายามพูดถึงเหตุผลจริง ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ กับสายตาของเคนตะที่เห็นได้ชัดว่า เคนตะนั้น ทั้งไม่เข้าใจและไม่ถูกใจ “เธอเป็นใคร แล้วเด็กนั่นเป็นใคร เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะมองไม่เห็น” พี่ผู้จัดการมีท่าทางการพูดที่จริงจังขึ้น “เคนตะ เธอเป็นศิลปิน เป็นป๊อปสตาร์ที่กำลังดังที่สุดของตึก เธอกำลังไปได้ดีในเส้นทางบันเทิง เพลง ซีรี่ส์ หนัง เดินแบบ ถ่ายแบบ งานอีเวนต์” ผู้จัดการรู้ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่ตอนนี้ ก็รับงานมาแทบจะไม่หวาดไม่ไหว จัดคิวที่แน่นเอี้ยดไม่ทันกันอยู่แล้ว
“นี่ยังไม่รวมงานโฆษณา การรับเป็นพรีเซนเตอร์ ที่ต่อคิวจ่อป้อนงานให้เธออีก ไม่ต่ำกว่าสิบตัว” สิ่งที่เลวร้ายที่สุด ที่คนเป็นผู้จัดการศิลปินอย่างเธอจะทำ ก็คือการปล่อยโอกาสดี ๆ เหล่านี้ให้หลุดลอยไป โดยเฉพาะกับเคนตะ ที่เธอรู้ดีว่า ชายหนุ่มคนนี้ทำมันได้อย่างแน่นอน และทำมันได้ดีเสียด้วย “แต่เด็กคนนั้น ถูพื้นตึก พีเรียด เอ็น ออฟ สตอรี่” ผู้จัดการไม่คิดว่า เธอต้องพูดอะไรเยอะไปกว่านี้ ไม่จำเป็นต้องสาธยายอะไรให้มากความ
“ชีวิตตอนนี้ของเธอนะเคนตะ มันคือการมีสัญญาอยู่รายล้อมตัว ไม่ว่าจะหันไปทางไหน คิดจะทำอะไร มันก็เสี่ยงที่จะผิดสัญญา ถูกบอกยกเลิกสัญญา และถูกฟ้องร้องตามมาได้ทุกเมื่อ จากสัญญที่เธอเซ็นไปแล้ว” เคนตะรู้สึกว่า เขากำลังถูกมัดมือชก ไม่ว่าจะทำอะไร มันไม่มีช่องว่างให้ได้หายใจ ให้เคนตะได้เป็นตัวของเขาเองได้เลย “คราวที่แล้ว ที่อยู่ ๆ เธอก็หนีหน้าหายไป ทางผู้ใหญ่เขายอมปล่อยผ่านไป ก็นับว่าโชคดีเท่าไหร่แล้ว” เคนตะนั้น รู้สึกว่าเขาไม่สามารถที่จะรับมือกับความกดดันที่ถาโถมเข้ามาได้ และนั่นทำให้เคนตะได้มีโอกาสได้เจอกับหนมต้ม
“หวังว่าเรื่องนี้ มันจะไม่ลอยไปเข้าหูพวกผู้ใหญ่ที่ชั้นสามสิบกว่าอีกรอบนะ เพราะถ้ามันเป็นแบบนั้น ทั้งงาน ทั้งเงิน ทั้งโอกาสดี ๆ ในชีวิตของเธอ มันไม่ได้มีมาให้ได้คว้าไว้บ่อย ๆ เพราะพี่ก็ไม่คิดว่าเธอจะเป็นแมวเก้าชีวิตอะไรขนาดนั้น มันมีเด็กที่หนุ่มกว่า สดกว่า เก่งกว่า และไม่เรื่องมาก รอที่จะผลักเธอให้กระเด็นออกไปจากวงการนี้ทุกเมื่อ” ผู้จัดการของเคนตะเอง ก็เหนื่อยใจและเหนื่อยกาย กับการที่จะต้องเริ่มต้นจากศูนย์ กับเด็กใหม่ ๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย กว่าจะพาให้เคนตะมาอยู่ในจุดที่รับงานแต่ละครั้ง รายได้นั้นเกินเจ็ดหลักแบบนี้
เคนตะรู้สึกเซ็งกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ยิ่งการที่เขาต้องหลบหน้าหลบตาหนมต้ม ตั้งแต่ถูกผู้จัดการจับได้ และสัญญาที่ได้ให้กับหนมต้มไปเป็นมั่นเป็นเหมาะ ว่าจะชวนหนมต้มไปกินข้าวด้วยกันแค่สองคน แต่พอหนมต้มโทรมาหา กับเบอร์มือถือลับที่เคนตะแอบไปเปิดเอาไว้ เขากลับไม่รับสายหนมต้ม และนั่นเป็นเพียงสายโทรเข้ามาเพียงครั้งเดียวของหนมต้ม หลังจากนั้น เคนตะก็ไม่เห็นเบอร์ของหนมต้มโทรหาหรือส่งข้อความใด ๆ มา
“เธอไปเตรียมตัวดีกว่า เดี๋ยวเธอจะต้องขึ้นร้องเพลงกับงานดนตรีแฟนมีตติ้งแล้ว อย่าให้เรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนี้มาทำลายสิ่งที่ได้สร้างมาด้วยความยากลำบาก ต้องสูญเปล่า” ผู้จัดการพูดจบ ก็ขอตัวไปคุยกับเบอร์ที่โทรเข้ามาติดต่อเรื่องงานคอนเสิร์ตรวมศิลปินของทางค่าย ที่จะจัดเป็นงานใหญ่ ขายบัตรขั้นต่ำก็เลยครึ่งหมื่นขึ้นไป และเคนตะก็สร้างกระแสให้กับคอนเสิร์ตครั้งนี้ได้เป็นอย่างดี ผู้จัดการหมายมั่นปั้นมือว่า งานนี้มันจะทำเงินให้เธออย่างเป็นกอบเป็นกำ จากส่วนแบ่งรายได้ที่เคนตะจะได้รับมา
หนมต้มพยายามจะไม่คิดอะไรอีก คนเรานั้นสามารถเปลี่ยนใจ เปลี่ยนแปลงความต้องการกันได้ ต่อให้สัญญากันเป็นมั่นเป็นเหมาะยังไงก็ตาม แถมมันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรสลักสำคัญขนาดนั้น ก็แค่การไปกินข้าวเย็น หนมต้มบอกกับตัวเอง เขาก็คงจะมีคนไปกินข้าวด้วยแล้ว หรือไม่ก็แค่ไม่ต้องการไปกับหนมต้ม ก็แค่นั้น ไม่จำเป็นต้องเก็บเอามาใส่ใจอะไรให้มันหนักสมอง หรือให้มันรบกวนจิตใจอย่างที่เป็นอยู่นี้
“วันนี้คนมาที่ตึกเยอะจัง” หนมต้มที่ได้รับคำสั่งให้เอาของไปส่งที่ห้องสตูดิโอ พึมพำกับตัวเอง เมื่อวันนี้บรรดาแฟนคลับพากันมารวมตัวกันอย่างหนาแน่น โดยที่หนมต้มที่ไม่ได้ติดตามอะไรในโซเชียล มีเดีย ไม่รู้การเคลื่อนไหวใด ๆ ของศิลปินดารา ไม่รู้จักนักร้องหรือไอดอล อินฟลูเอนเซอร์ที่กำลังเป็นกระแสแต่อย่างใด จึงไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นหรือยินดียินร้ายไปด้วย ทำได้แค่เดินหลบหลีกฝูงชนเพื่อไปส่งของที่ห้องดังกล่าวเท่านั้น
หนมต้มไม่แน่ใจนัก ว่าตัวเองมาผิดห้องหรือเปล่า แต่เมื่อแทรกตัวผ่านประตูสตูดิโอเข้าไป ก็ได้ยินแต่เสียงกรี๊ดของบรรดาแฟนคลับที่กำลังชื่นชอบกับสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้า หนมต้มมองเห็นเคนตะกำลังร้องเพลงอยู่บนเวที ก็ยืนมองด้วยความตกตะลึง ไม่เข้าใจสักเท่าไหร่กับสิ่งที่เห็น ก่อนที่จะรู้ตัวอีกที เคนตะก็กระโดดลงมาจากเวทีเตี้ย ๆ ที่ยกขึ้นจากพื้นนั้น แล้วเดินตรงมาหาหนมต้ม
“เป็นแฟนกันนะ หนมต้ม” เสียงพูดออกไมค์ดังไปทั่วทั้งสตูดิโอ พลันคนในนั้นกลับเงียบเสียงลงในทันที “นะครับ” หนมต้มได้แต่อึ้ง พูดอะไรไม่ออก ทำอะไรไม่ถูก เมื่อตัวของเขาถูกเคนตะรวบเข้าไปกอด แล้วริมฝีปากของหนมต้มก็ถูกประกบ ด้วยริมฝีปากของเคนตะ โดยที่มีแสงแฟลชจากกล้องโทรศัพท์มือถือวูบวาบไปทั่วบริเวณ จนทำให้ตาพร่าไปหมด รวมทั้งจากรอยจูบนั้นด้วย
*********************************************************************************
คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J
แน่ใจไหม - นนท์ ธนนท์
https://www.youtube.com/watch?v=Ux35pBro240(แน่ใจไหมว่าเธออยากฟัง)
Are you sure you wanna hear this?
(แน่ใจไหมว่า... แน่ใจไหมว่า แน่ใจ แน่ใจ...)
Are you really sure, for sure, for sure, so sure?
ดูเหมือนมีอะไรที่มันแปลกไปหรือเธอ
Is there something different to you that you feel?
คนที่เธอเคยเจอ ไม่เหมือนที่เธอคุ้นเคยใช่ไหม
This person you’ve met, not the one you’ve been familiar with
คนที่เคยสนิท ที่เขาไม่เคยห่างไป
Someone you are close, that never leaves your side
แต่ในวันนี้ ทำไมกลับหาย ไปจากเธอ
But today, not around, missing out, not with you
เธอสงสัย มากใช่ไหม เกิดอะไรที่เธอไม่รู้รึเปล่า
You’re now wondering why, what’s really happening you don’t know
ที่เธอถาม คนคนนี้ ทำไมเปลี่ยนไป ถ้าเธออยากรู้
You then ask why this guy now that he’s changed, you wanna know
แน่ใจใช่ไหมว่าพร้อมจะฟังจะฟังคำตอบนั้น
Are you sure that you’re ready to hear the answer to it?
จะรับได้ไหมถ้าเธอได้ฟัง Baby
Will you be able to handle it if you listen to it, baby?
เรื่องจริงที่ฉันพูดไป
The truth that I am spilling it out
ตั้งแต่พรุ่งนี้เรื่องระหว่างเรา
From tomorrow, what’s going on between us
อาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
It may not be the same forever
จะรับได้หรือไม่
Will you be able to accept it?
แน่ใจนะ ว่าจะรับมันเอาไว้ ถ้าฉันจะบอก
Are you sure that you’ll take it if I say it?
แน่ใจไหมว่าเธออยากฟัง
Are you sure that you wanna hear me say?
แน่ใจนะว่าเธออยากฟัง
Are you sure that you wanna listen to what I have in mind?
แน่ใจนะว่าพร้อมจะรับฟังคำว่ารักที่เก็บเอาไว้
Are you sure that you’re ready to hear me out, my secret love for you?
ขอโทษเธอจริงจริง ถ้าทำให้เธอหนักใจ
I do truly apologize if I am now seriously troubling you
แค่คนที่เก็บอาการไม่ไหว
I am just a guy that he cannot hold it back no more
ที่มันคงเผลอทำเธอรู้
And might give you some hints without knowing
ตั้งแต่วันพรุ่งนี้จะดีจะร้ายฉันพร้อมเข้าใจ
From tomorrow whether it will be food or bad, I’ll understand
อยู่ที่เธอจะทำอย่างไร
It depends on what you’ll decide to do
กับคนคนนี้ที่รักเธออยู่
With me, the guy who’s in love with you here
เธอสงสัย มากใช่ไหม เกิดอะไรที่เธอไม่รู้รึเปล่า
You’re now wondering why, what’s really happening you don’t know
ที่เธอถาม คนคนนี้ ทำไมเปลี่ยนไป ถ้าเธออยากรู้
You then ask why this guy now that he’s changed, you wanna know
แน่ใจใช่ไหมว่าพร้อมจะฟังจะฟังคำตอบนั้น
Are you sure that you’re ready to hear the answer to it?
จะรับได้ไหมถ้าเธอได้ฟัง Baby
Will you be able to handle it if you listen to it, baby?
เรื่องจริงที่ฉันพูดไป
The truth that I am spilling it out
ตั้งแต่พรุ่งนี้เรื่องระหว่างเรา
From tomorrow, what’s going on between us
อาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
It may not be the same forever
จะรับได้หรือไม่
Will you be able to accept it?
แน่ใจนะ ว่าจะรับมันเอาไว้ ถ้าฉันจะบอก
Are you sure that you’ll take it if I say it?
แน่ใจใช่ไหมว่าพร้อมจะฟังจะฟังคำตอบนั้น
Are you sure that you’re ready to hear the answer to it?
จะรับได้ไหมถ้าเธอได้ฟัง Baby
Will you be able to handle it if you listen to it, baby
เรื่องจริงที่ฉันพูดไป
The truth that I am spilling it out
ตั้งแต่พรุ่งนี้เรื่องระหว่างเรา
From tomorrow, what’s going on between us
อาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
It may not be the same forever
จะรับได้หรือไม่
Will you be able to accept it?
แน่ใจนะ ว่าจะรับมันเอาไว้ ถ้าฉันจะบอก
Are you sure that you'll take it if I say it?
(แน่ใจไหมว่าเธออยากฟัง
Are you sure you want to listen to what I have to say
แน่ใจนะว่าเธออยากฟัง
Are you certainly willing to hear what my heart says?
แน่ใจนะว่าพร้อมจะรับฟัง คำว่ารักที่เก็บเอาไว้)
Are you so sure you’ll listen the love that’s coming out of my heart?
แน่ใจนะ ว่าจะรับมันเอาไว้ ถ้าฉันจะบอก
Are you sure that you’ll receive it if I say that I love you?