ตอนที่ 2 : จังหวะต้องห้าม“... แล้วพอย้ายข้างสมการ ก็จะได้คำตอบ” พูดจบจีก็ทำเครื่องหมาย '#' กำกับหลังตัวเลขที่เป็นคำตอบ ... โคตรเทพ คนอะไรแก้โจทย์เลขยากๆได้ง่ายเหมือนปลอกกล้วย ไม่นับรวมว่าสามารถอธิบายให้คนโง่เลขอย่างผมเข้าใจได้ ต้องขอบคุณจีที่ทำให้การสอบเก็บคะแนนครั้งสุดท้ายก่อนสอบ final ของผมได้คะแนนดีกว่าที่คาด นับเป็นครั้งแรกของมนุษย์ต่ำกว่า mean แบบผม
“พวกมึงงงงง กูมาแล้ว” ไอ้บอนยิ้มหน้าระรื่นมาแต่ไกล ผมเหลือบมองเข็มบนนาฬิกาข้อมือ ... มาทำไมตอนนี้วะ อีกชั่วโมงนึงก็จะเลิกแล้ว
“มึงยังยิ้มหน้าระรื่นอีก ในห้องก็ไม่เรียน ไอ้จีมาติวให้มึงก็โดดไปแรด” ผมเปิดฉากด่าทันทีที่มันหย่อนตัวลงที่นั่งข้างๆ
“มึงนี่ขี้บ่นจังวะ กูซื้อขนมมาฝาก” มุกเดิม ไม่เพิ่มเติมอะไรซักนิด
“โอ้ยยยยยยยยยย!!! กูบอกมึงกี่ครั้งแล้วว่าไม่แดกรสสตอเบอร์รี่ ถ้ามึงจะซื้อมาไถ่โทษก็ช่วยซื้ออะไรที่กูแดกได้หน่อย” บ่นแต่ก็ฝืนหยิบขนมในถุงเข้าปาก
“ก็แดกได้นิ บ่นไรนักหนาวะ” มันไหวไหล่เหมือนไม่แคร์อะไรทั้งนั้น
“มาแล้วก็ตั้งใจเรียน อยากน้อยจะได้มีอะไรติดสมองกลับไปบ้าง”

ป๊าบ!!!!!!!!!
“เหี้ยมิลค์ กูเจ็บไหมมึง ฟาดมาได้” ขอเอาสมุดฟาดหัวมันซักที หมันไส้กับสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวของมัน
“นอกจากขี้เลื่อยแล้ว ก็เอาตัวขี้เกียจออกไปด้วย” ผมกับบอนยังต่อล้อต่อเถียงกันอีกหลายประโยคจนกระทั่งจีเอ่ยปากบอกว่าจะเริ่มติวต่อแล้ว
... เริ่มได้ไม่ถึง 10 นาที โทรศัพท์มือถือของไอ้บอนก็ดังขึ้น
“ฮาโหล มินต์เหรอ คุยได้ ... กับมินต์ เราคุยได้อยู่แล้ว” ไอ้บอนกรอกคำหวานผ่านโทรศัพท์มือถือ ก่อนจะลุกออกจากโต๊ะ รองจากแมลงสาบแล้วก็เสียงเวลาคุยกับสาวๆของมันนี่แหละที่ผมเกียจเข้าไส้
“มึงทำหน้าตลก” จีแซว เพราะอดไม่ได้ที่จะเบ้ปากมองบนให้กับเสียง 3 ของไอ้บอน คนอะไร เปลี่ยนแฟนเหมือนเปลี่ยนถุงเท้า
“เหม็นความรักวะ!!!”
“Final ไอ้บอนมันจะรอดไหมเนี่ย” คิ้วของผมขมวดกันเป็นปมเมื่อได้ยินประโยคคำถามของจี
“ไม่รู้จะทำยังไงกับมันแล้ว พูดก็โกรธ” ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เป็นห่วงมันแหละ ในขณะที่สอบครั้งล่าสุดผมทำคะแนนได้ค่อนข้างดี แต่บอนกลับแย่ลงไปกว่าเดิม ความตั้งใจในการเรียนของมันลดลงกว่าเดิมมาก วันๆไม่ทำอะไรนอกจากเล่น แอบหลับในห้องเรียน แล้วก็โดดเรียนไปหาสาวๆ ... เมื่อก่อนมันไม่ใช้คนแบบนี้ แม้จะเรียนไม่เก่ง แต่ยังใส่ใจมากกว่านี้ ผมว่าเป็นเพราะมันสนใจแต่เรื่องจีบหญิง ปฏิเสธไม่ได้ตั้งแต่มันขึ้น ม.2 รูปลักษณ์ภายนอกของมันก็เปลี่ยนไป ตัวสูงขึ้น กล้ามเนื้อเยอะขึ้น ใบหน้าคมขึ้น พูดง่ายๆคือหล่อขึ้น บวกกับความอัธยาศัยดีของมัน บ่อยครั้งผมก็เริ่มแยกไม่ออกแล้วว่ามันแค่เป็นคนเข้าถึงได้ง่าย หรือว่าเจ้าชู้กันแน่ ... เคยเตือนหลายครั้ง มันก็ทำตลกแดกเฉไฉไปเรื่อย พอต้อนจนมุมก็อารมณ์เสียกลบเกลื่อน
“งั้นเรากลับมาติวต่อเนอะ”
ติวจบแล้วก็ไม่มีวี่แววของไอ้บอน มันหายไปเลยตั้งแต่รับสาย เหนื่อยใจกับมัน แม้ผมกับจีสลับกันโทรหาแต่มันไม่รับ
“เอาไงกับกระเป๋ามันดี” จีถาม เพราะเรานั่งรอมันมาครึ่งชั่วโมงแล้ว
“เดียวกูเอากลับเอง ... ไปเถอะ มันอาจจะกลับไปแล้ว นึกได้เดียวก็โทรมา”
"ไอ้บอน อะ!!! ของมึง” ผมวางกระเป๋าลงบนโต๊ะของมัน ดูสีหน้าก็รู้ว่ามันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าลืมกระเป๋า
“เออ ขอบใจวะมึง ... กูลืมไปแล้วนะเนี่ยว่าลืมกระเป๋าไว้ที่โรงเรียน” คำตอบของมันทำให้ผมอยากจะฟาดกระเป๋าใส่หน้า
“วันนั้นมึงไปไหนมาวะ” ผมถามพร้อมกับหย่อนตัวลงนั่ง จีมาถึงก่อนผม มันกำลังหันไปคุยอะไรซักอย่างกับแอมป์
“ไปหามิ้นต์มาแป๊บนึง กลับมาโรงเรียนอีกทีคิดว่าพวกมึงน่าจะกลับกันแล้วเลยไม่ได้โทรหา ... อะ อันนี้รายงานวิชาสังคม กูเช็คคำผิด จัดหน้า พิมพ์หน้าปกให้เรียบร้อย”
“เออ โอเค” ผมรบมาแล้วเปิดดูความเรียบร้อย หน้าแรกๆทุกอย่างปกติดี แต่พอเข้ากลางเล่มถึงได้เห็นความ ‘ฉห’ อยู่รำไร
“ไอ้บอน!!!”
“อะไร / ไรวะ” ทั้งมันกับจีประสาทเสียขึ้นพร้อมกัน สีหน้าแตกตื่น
“มึงไม่ได้ดูก่อนเย็บเล่มมาเหรอวะ ข้างในมันตัวอักษรอะไรของมึงเนี่ย” ผมแหกรายงานให้มันดูชัดๆ เจ้าตัวหน้าเสียไปทันทีที่เห็น
“กูว่ากูเช็คแล้วนะ เอาไงดีวะ” แล้วรอยยิ้มเจือนๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าเพื่อนสนิท
“ไอ้เหี้ย อีก 10 นาทีจะเข้าแถวแล้วด้วยจะทำอะไรก็ต้องรีบทำแล้วมึง”
“กูคิดออกแล้ว ...” คำพูดของจีเหมือนประตูสวรรค์ของพวกเรา
“... มึงเอา floppy disc ที่ save งานมาปะ”
“เอามาดิ” มันล้วง floppy disc ออกมาจากกระเป๋า
“โดดออกไป print ที่ร้านเจ้ซอยข้างโรงเรียน”
“ไอ้บอนมึงรีบไปเลย” ผมหันไปบอกมัน
“ไม่ได้ๆ เมื่อเช้ากูเจอจารย์นกแล้วถ้ากูหายไปเขาก็รู้ว่ากูโดดซิวะ ... ไอ้จีมึงรู้นิว่ามันอยู่ไหน มึงไปดิ”
“กูก็เจอแล้วเหมือนกัน” แล้วสายตาของทั้ง 2 คนก็จ้องมาที่ผม เพราะวันนี้มาสายกว่าปกติ เลยยังไม่เจอครูประจำชั้น
“กูไม่รู้จักร้าน” คำตอบของผมทำให้ความหวังของทั้งกลุ่มพังทลาย
“กูรู้แล้ว ... แอมป์ วันนี้มึงเจอจารย์นกยัง” จีหันไปหาเพื่อนร่วมห้องเมื่อปีก่อน
“ยังวะ”
“มึงรู้จักร้านเจ้ที่อยู่ถัดไป 2 ซอยปะ ปีก่อนที่โดดไป print งานกันนะ”
“รู้ ทำไมวะ”
“มึงพาไอ้มิลค์ไปหน่อย ...”
“... พวกกูเลี้ยงข้างกลางวันมึงทั้งอาทิตย์เลย” พอเห็นแอมป์ขมวดคิ้ว จีก็รีบยื่นสินบนให้ทันที
“ไอ้มิลค์จะไหวเหรอ มันเรียบร้อยซะขนาดนี้” บอนกระซิบถามจี แต่ผมบังเอิญได้ยิน
“มันไม่มีทางเลือกวะ กูกับมึงเกมแล้วเหลือแต่มัน” จีตอบ สายตาทั้ง 2 คนมองผมด้วยความหวัง
“ก็ได้ ไปดิ ... มึงเคยโดดเรียนไหม ...” ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบ แอมป์ก็ตอบรับข้อเสนอ ประโยคแรกมันพูดกับจี ประโยคถัดมาพูดกับผม พอผมส่ายหัว แอปม์ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“...เอากระเป๋าเรียนไปด้วย ...” ผมขมวดคิ้ว จะเอาไปทำไมวะ
“...ขากลับเข้าประตูหน้า จะได้อ้างได้ว่ามาสาย...” ที่พูดมาก็มีเหตุผล สงสัยมันจะโดดเรียนบ่อยเลยรู้ technique
“...ทำตามที่กูบอก แต่ถ้าถูกจับได้ก็ตัวใครตัวมันนะ” ผมไม่มีทางเลือกนอกจากพยักหน้า แล้วเดินตามแอมป์ออกจากห้อง... คนเหี้ยอะไร ดุฉิบหาย
หลังจากออกมาได้ไม่เท่าไหร่ เพลงประจำโรงเรียนก็ดังขึ้นเป็นสัญญานให้นักเรียนออกมาตั้งแถวหน้าห้อง รอบๆเลยวุ่นวายเล็กน้อยเพราะทุกคนทยอยออกมาจากห้องเรียน ผมรีบก้าวเท้าตามแอมป์ที่อาศัยจังหวะชุลมุนหลบไปหลังโรงเรียนได้อย่างรวดเร็ว เพราะถ้าเพลงจบเมื่อไหร่พวกเราจะเป็นจุดสนใจของครูและพี่ยามทันที ... พวกเราเลี้ยวมาหลบหลักตึกได้ทันก่อนเพลงจะจบพอดี
“โอ้ย... โทษๆ” เพราะมัวแต่ระแวงหันมองซ้ายทีขวาทีเลยชนเข้ากับแอมป์ที่หยุดเดินกะทันหันจนเจ้าตัวเดินเซไปข้างหน้าหลายก้าว
“ระวังซิวะ...” มันหันกลับมามองผมตาเขียว ผมเลยได้แต่ผงกหัวเป็นเชิงขอโทษ เราไม่สนิทกันเท่าไหร่ ตั้งแต่เปิดเทอมน่าจะเคยคุยกันไม่กี่ประโยค
“...มึงเห็นตรงนั้นไหม” ผมไล่สายตาตามนิ้วมือของแอปม์ ผ่านลานจอดรถหลังโรงเรียน มุมกำแพงสุดริมรั้วมีถังขยะใบใหญ่ตั้งอยู่
“เห็น”
“เดียวกูไปดูต้นทางให้ก่อน มึงตามหลังกูมา ก้มหัวไว้อย่าให้ยามที่เดินตรวจจับได้ พอถึงตรงนั้นปีนถังขยะข้ามกำแพงไปฝั่งโน้น ...”
“... อย่าให้โดนจับได้ แล้วที่สำคัญอย่าเสือกโง่ตกลงไปในถังขยะ” สายตามันโคตรจะดูถูกผม ผมไม่เคยโดดเรียน แม้จะไม่ใช้เด็กเนิร์ดแต่ผมก็ไม่เคยทำผิดระเบียบของโรงเรียนแม้แต่น้อย
“เออ!!!” ถึงจะเป็นเรื่องจริง แต่ก็อดไม่ได้เลยกระแทกเสียงใส่มะนไปที
แอมป์ยื่นหน้าออกจากมุมตึก ผมเห็นพี่ยามเดินอยู่ฝั่งตรงข้ามของลานจอดรถ คำนวณจากระยะห่างแล้ว เราน่าจะแอบออกไปได้ไม่ยากอย่างที่คิด
“ไป!!!” พูดจบมันก็ย่อตัวแล้วเดินเลียบกับตัวรถไปเรื่อย ทิ้งระยะห่างครู่หนึ่งผมถึงเดินตามออกมา หัวใจผมเต้นแรง เหงื่อออกเต็มมือ ไม่คิดว่าจะตื่นเต้นขนาดนี้กับการแหกกฎโรงเรียนครั้งแรก
มาได้ครึ่งทาง ผมก้มตัวต่ำ เดินๆหยุดๆตามจังหวะของคนข้างหน้า ทุกอย่างดูง่ายกว่าที่คิดเพราะพี่ยามอยู่ไกลเลยไม่มีอะไรน่ากังวล หรือจริงๆแล้วผมก็มีพรสวรรค์กับการแหกกฎโรงเรียนอยู่บ้าง
... 'Bon'
อวยตัวเองได้ไม่ถึงนาที แล้วความ ‘ฉห’ ก็มาเยื่อน ไอ้เหี้ยบอนจะโทรมาทำไมตอนนี้วะ เสียง ringtone ดังลั่นลานจอดรถ ผมรีบล้วงมือเข้าไปหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเปากางเกง แต่ด้วยความตกใจกว่าจะตั้งสติแล้วกดปิดเสียงได้ก็ใช้เวลาไปพอสมควร
“เฮ้ย!!! ไปดูซิว่ามีนักเรียนแบบอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า” เสียงยามตะโกนคุยกันข้ามลาน ผมรีบก้มตัวลงมองผ่านใต้ท้องรถ เห็นฝีเท้าพี่ยามกำลังเดินใกล้เข้ามา หัวใจเต้นแรงจนสั่น หันซ้ายขวาไม่เห็นแม้แต่เงาของแอมป์ มันชิ่งผมไปแล้ว ... กลัวจนขาก้าวไม่ออก ตายแน่ไอ้มิลค์ ถ้าโดนจับได้ต้องเข้าห้องปกครอง โดนตัดคะแนน ตายๆๆๆๆๆๆๆ
“มานี่”
“แอมป์”
“หุบปากแล้วตามกูมาเงียบๆ” มันกดเสียงต่ำ ก้มมองผ่านใต้ล้อรถเหมือนที่ผมทำ พอมันขยับ มือของผมก็คว้าต้นแขนมันไว้แน่น แอมป์หันกลับมา คิ้วหนายกสูงเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว
“กูก้าวขาไม่ออก” ผมสารภาพแบบไร้ซึ่งความอาย
“ภาระสัส ๆ” น้ำเสียงของมันไม่สบอารมณ์อย่างมาก ก่อนที่มือหนาจะคว้าเข้าที่ข้อมือของผม ผมก้าวขาตามคนข้างหน้าราวกับคนไร้สติ มันเดินแล้วหยุดก้มตัวมองผ่านใต้ท้องรถเป็นระยะๆ เราเดินเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาจนผมหลงทิศ ก่อนจะหยุดอยู่หลังรถตู้คันใหญ่ มือหนายังกำรอบข้อมือของผมไว้ ผมหายใจหอบ ขาสั่นจนต้องทรุดตัวลงนั่งกับพื้น เชี่ยแม่ง ไม่ไหวจริงๆ เรี่ยวแรงหายไปไหนหมดวะ
“แดกซะ” บางอย่างถูกยื่นมาตรงหน้า ยังไม่ทันได้ตอบสิ่งนั้นก็ถูกยัดเข้ามาในปาก
ลูกอมค่อยละลายในปาก ทันทีที่รับรสได้ว่ามันคือลูกอมรสสตอร์เบอร์รี่ ความคิดแรกคือคายทิ้ง แต่ถ้าผมคายออกมามีหวังโดนแอปม์บีบคอตายอยู่หลังโรงเรียน เลยได้แต่ฝืนอมไว้ ... น่าแปลกใจที่ความหวานและกลิ่นหอมของสตอเบอร์รี่ช่วยเรียกสติของผมให้กลับคืนมา
“ไปได้แล้ว...” แรงกระตุกที่ข้อมือทำให้ผมค่อยๆยันตัวขึ้นจากพื้น แล้วก้าวขาตามแอมป์ทุกฝีก้าว
“...ตอนจะข้ามกำแพงต้องรีบหน่อย เดียวยามเห็น กูไปก่อนจะได้ดูต้นทางฝั่งโน้นให้ ...”
“...กูนับ 1 2 3 แล้วตามกูมา...” ผมพยักหน้า
“1 ... 2 ... 3 ... ไป!!!” มือหนากึ่งดึงกึ่งลากให้ผมเดินตาม ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ขาของผมก้าวเหยียบลงบนถังขยะตามคนตรงหน้า รู้ตัวอีกทีผมก็โดดลงมาจากกำแพงเรียบร้อย
“เหี้ย!!!” จังหวะที่ลงพื้น ผมเบรกตัวเองไม่ได้เลยไถลไปอีกหลายก้าว ถ้าไม่ได้แอมป์คว้าเอวไว้รับลองว่าได้จับกบอยู่หลังโรงเรียน
“มึงนี่ทำเหี้ยอะไรเป็นบ้างวะ ...” ผมหันกลับไปมองคนที่ประกบซ้อนอยู่ข้างหลัง ยังไม่ทันได้เถียง แอมป์ก็พูดเสียงแข็งใส่
“... เขยิบไป ...เหยียบตีนกู” อิเหี้ย!!! ดุอย่างกับหมา
“ขอโทษ” ผมพูดในจังหวะที่ต้องก้มตัวเอามือยังหัวเข่าเอาไว้ เหนื่อยราวกับหมาหอบแดด
“มึงไหวไหม” น้ำเสียงที่ลดโทนเข้มๆลงดังขึ้นจากด้านหลัง
“ไหว แต่ขอพัก ... แป็นนึง ... ขอบใจ ... ไม่ได้มึง กู ... แย่แน่เลย” ประโยคที่พูดออกมาขาดๆหายๆ ทำให้ตอกย้ำว่าที่ผ่านมาตัวเองออกกำลังกายน้อยไป ใช้แรงแค่นี้ถึงกับเหนื่อยจนหายใจแทบไม่ทัน
“เหนื่อยก็เก็บแรงไว้หายใจ พูดมากจนเป็นลมไป ลำบากกูต้องหิ้วมึงไปส่งห้องพยาบาลอีก” ความรู้สึกดีประมาณสิบแต่ความรู้สึกเกียจเกินล้าน คนอะไรมนุษยสัมพันธ์ติดลบ
“ไอ้มิลค์ กูคิดว่ามึงจะไม่รอดซะแล้ว” ไอ้บอนหันมากระซิบทันทีที่เห็นผมเดินเข้ามานั่ง ผมกลับเข้ามากลางคาบที่ 2
“จะไม่รอดก็เพราะมึงเนี่ยแหละ โทรมาทำเหี้ยอะไรกูเกือบถูกจับได้” ผมพูดออกมาตามไรฟัน มองหน้ามันตาเขียวปัด มันยิ้มแห้ง แต่มองจากดาวอังคารก็รู้ว่าไม่ความสลดอยู่ในนั้นเลย
“ไอ้แอมป์ละ” จีกระซิบถามมาจากด้านหลัง ยังไม่ทันได้หันไปตอบแอมป์ก็เดินเข้ามาในห้อง
ร้านเจ้ไม่ได้อยู่ห่างจากโรงเรียนเท่าไหร่ เดินไม่ถึง 10 นาทีก็ถึง ขากลับ เพื่อความแนบเนียน แอมป์ให้ผมเดินเข้าโรงเรียนมาก่อน มันบอกจะไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อก่อนแล้วค่อยเข้าโรงเรียน
“เป็นไงบ้างวะ โดดเรียนครั้งแรก” จีถามทันทีที่หมดคาบเรียน ผมเลยหันหลังกลับไปคุย
“ตื่นเต้นโคตร เกือบไม่รอด ...”
“...ถ้าไม่ได้แอมป์ช่วยกูโดดจับได้ชัวร์” ภาพจำย้อนกลับไปยังเหตการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้า ในจังหวะที่เขาถามผมว่าไหวไหม ทำให้ผมรู้ว่าภายใต้ภาพลักษณ์ที่ดูเป็นคนแข็งกระด้างลึกๆแล้วกลับมีความอ่อนโยนซ่อนอยู่
สายตามองข้ามไหล่ของจีไปยังคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งของห้อง ในจังหวะเดียวกันนั้นแอมป์หันมาสบสายตาของผมพอดี ผมส่งยิ้มให้ แต่เจ้าตัวกลับทำหน้าตึงใส่แล้วก็หันกลับไป
ชั่ววินาทีที่สบตาผมรู้สึกเหมือนมือของแอมป์ยังคงกำรอบข้อมือของผม สัมผัสเพียงชั่วครู่แต่กลับฝังรากลึกลงในจิตใต้สำนึก ไอร้อนจากฝ่ามือหนา แรงบีบไม่ได้มากจนผมรู้สึกเจ็บแต่ก็ไม่ได้เบาจนรู้สึกสบายตัว น้ำเสียงที่ออกคำสั่งแกมกึ่งบังคับ ทันใดนั้นจังหวะการหายใจก็เหมือนจะขาดหายไปดื้อๆ หัวใจกระตุกเหมือนถูกไฟช๊อต เลือดลมสูบฉีด เป็นความรู้สึกที่ผมไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนแต่ที่แน่ๆมันใช้ความกลัว ... แต่เป็นอะไรบางอย่างที่ผมไม่กล้ายอมรับออกมา