EP.5 จุดเริ่มต้น
Part'st ครูเขมชาติ ตั้งแต่เช้ามานี้ผมยังไม่เจอนายคริสโตเฟอร์เลย ผมเริ่มใจคอไม่ดี ผมกลัวว่าเขาจะไม่ยอมเข้าเรียนวิชาภาษาอังกฤษกับผม อย่างน้อยมันก็คือวิชาภาคบังคับที่เขาจำเป็นต้องเรียนและถ้าเขาไม่เรียนเขาก็จะต้องติดศูนย์หรือไม่ก็ติดรอ ทำไมผมถึงรู้สึกหงุดงหงิดได้ถึงเพียงนี้นะ
“Rrrrrr “ผมสะดุ้ง เมื่อเสียงมือถือของผมดังขึ้น ผมเหลือบไปมองณัฐากานต์นั้นเอง มันทำให้ความคิดของผมผุดเข้ามาในหัวผมทันที ผมจะไปนึกถึงนายคริสทำไม เพราะว่าผมมีแฟนแล้ว เขมชาติ ถึงแม้จะคุยกันทะเลาะกันบ่อย แต่ความรักของผมและณัฐกานต์ก็ดำเนินมาจนเกือบห้าปีแล้วนะ
//เขม //ณัฐกานต์เรียกชื่อผมผ่านมือถือ
//ว่าไงครับกานต์// ผมฟังน้ำเสียงของเขาวันนี้น่าจะอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย
//ทำไมไม่โทรหากานต์ //ณัฐกานต์ถามผม
//เขมไม่อยากทำให้กานต์โกรธนิ เลยคิดว่ารอให้กานต์โทรหาดีกว่านั้นแปลว่ากานต์พร้อมจะคุยกับเขมโดยที่ไม่ต้องมาหงุดหงิดใส่เขมยังไงละครับ //ผมบอกณัฐกานต์
//เขม กานต์ขอโทษนะ ก็ช่วงนี้โดนหัวหน้าด่าบ่อยอ่ะ //ณัฐกานต์ทำเสียงออดอ่อนใส่ผม
//เออเขม.... กานต์ไปเจอคอนโดโครงการใหม่ใกล้กับรัชดา// ณัฐกานต์บอกผม
//แล้วยังไงครับกานต์// ผมถามกานต์กลับ
//คือว่ามันสวยและใกล้กับย่านธุรกิจด้วย เราซื้อคอนโดใหม่กันไหมเขม// ผมถึงกับกุมขมับเลย อันเก่านี้ก็เพิ่งจะผ่อนหมด นี้จะให้ผ่อนคอนโดใหม่อีก ทั้งที่ผมกับณัฐกานต์เพิ่งจะเข้าอยู่กันได้ไม่ถึงสองปีด้วยซ้ำ
//กานต์แล้วคอนโดเก่าเราละ เราเพิ่งจะผ่อนหมดนะ และมันก็ยังไม่ได้เก่าเลยน่ะกานต์ มันยังดีอยู่และก็ใกล้แหล่งชอบปิ้งอยู่นะ แม้จะไกลจากรัชดดที่กานต์ชอบเที่ยวก็เถอะ// ผมพูด
//ที่นี้นะเหรอ ใกล้ตลาดสด เดินผ่านก็เหม็นพวกของคาว กลิ่นปลา และมีอะไรเซเว่นอีเลฟเว่น จะเรียกแท็กซี่ก็ต้องเดินออกไปห้าร้อยเมตร มันสะดวกไหมเขม// นั้นไงณัฐกานต์คนเดิม
//ไม่รู้ละ กานต์อยากอยู่คอนโดใหม่ ไม่ใช่ซอมซ่อแบบนี้! //ณัฐกานต์พูด
//กานต์ มันยังไม่เก่าเลยนะ และนี้ก็โครงการใหม่นะตอนที่เราซื้อนะ และกานต์ก็คะยั้นคะยอให้เขมซื้อมัน ทั้งที่เราทั้งคู่ยังเรียนไม่จบเขมก็เลยต้องไปทำงานร้านกาแฟเพื่อเอาเงินมาผ่อนคอนโดนี้นะกานต์ เพราะว่าที่จริงเขม อยากได้บ้านมากกว่าด้วยซ้ำ //ผมพูดตัดพอณัฐกานต์ ผมยืนเอามือเท้าซะเอว
//บ้านเหรอ อีกกี่สิบปีจะได้อ่ะเขม และบ้านที่เขม อยากได้ส่วนใหญ่ก็อยู่ต่างจังหวัด กานต์อยากอยู่ในกรุงเทพในตัวเมือง //ณัฐกานต์พูด
//และตอนนั้นเขมบอกว่าจะเข้าไปอยู่บ้านกับแม่ของเขมอ่ะ กาต์ไม่อยากไปอยู่บ้านกับแม่กับเขมนิ มันไม่ส่วนตัวอ่ะ // ณัฐกานต์พูด
//และที่กานต์ให้เขมซื้อคอนโดนี้ก็เพราะตอนนั้นคิดแค่แค่นั้น แถมห้องที่เราซื้อก็เป็นห้องมือสองไม่ใช่ห้องใหม่สักหน่อย เพราะเราซื้อต่อเขามาอีกทีไม่ใช่เหรอเขม //ณัฐกานต์ถามผม
//ทำไมอะ เขมไม่เป็นห่วงกานต์บ้างเลยเหรอที่อยู่คนเดียว ที่นี้ก็น่ากลัวนะเวลาเดินทางกลับกลางคืนนะ ยิ่งตีสองยิ่งน่ากลัว// ณัฐกานต์พูด
//ใช่ซิ เขมนะไม่เคยหวงกานต์เลยสักนิด จะเป็นยังไงก็ช่าง ไหนบอกว่า..//
//เอาละกานต์ .... ให้เขมคิดดูก่อนนะกานต์// ผมพูดตัดบททันที ก่อนที่จะไปไกลกว่านี้อีก
//ฟู่!!// ผมพ่นลมหายออกมาทันที
//วันเสาร์เราไปดูด้วยกันนะ กานต์จะได้โทรนัดเจ้าของโครงการ และเขาน่ารักมากเลยนะ// อันนี้ทำให้ผมขมวดคิ้วไปรู้จักเจ้าของโครงการด้วยเหรือ
//รู้จักเขาดีเหรอกานต์//
//พอดีเขามาทำธุรกรรมที่ธนาคารนะเขม ก็เลยคุยกัน อย่าหึงซิ ไม่มีอะไรแค่ลูกค้า// ณัฐกานต์พูด ผมพยักหน้า
//แค่นี้ก่อนนะหัวหน้าแม่งมาแหละ ตายยากฉิบหาย //ณัฐกานต์พูดก่อนจะรีบตัดสายผมทันที ผมก็ต้องพ่นลมออกมายาวๆ
//ติ้ง// และณัฐกานต์ก็ส่งลิงค์คอนโดที่เขาชอบมาในมือถือสมาร์ทโฟนรุ่นไม่ได้ใหม่แบบปัจจุบันซะทีเดียว
“ครูเขมค่ะ” ผมหันไปมองต้นเสียง นั้นคือครูลินดาเหมือนเดิม ครูลินดาเดินเข้ามาพร้อมกับส่งยิ้มหวานๆ มาให้ผม และถือกล่องอาหารมาด้วยหลายกล่อง
“ไปทานอาหารกันคะ นี้อาหารใต้ค่ะ วันนี้ลินดาเอาให้ทานค่ะ” ครูลินดาถามผม
“ไปด้วยกันนะคะ เพราะว่าครูเขมบอกว่าชอบอาหารใต้ไม่ใช่เหรอคะ” ครูลินดาถามผม ผมพยักหน้าก็แฟนผมณัฐกานต์เป็นคนใต้นี่ครับ ผมเก็บทุกอย่างใส่ไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงานและเดินลงไปพร้อมกับครูลินดา
“วันนี้ลินดามีขนมลาด้วยนะคะครูเขม พอดีว่าคุณป้าเขามาหาแม่ของลินดาจากใต้คะ เลยเอามาฝากค่ะครูเขม” ครูลินดาพูด ผมก็ก้มมองในถุง
“น่าทานดีนะครับครูลินดา” ผมพูด ขณะที่กำลังเดินผ่านนักเรียน
“แกครูเขาเป็นแฟนกันหรือเปล่าอ่ะ อกหักเลยพวกเรา” นักเรียนต่างพากันซุบซิบกัน ว่าผมกับครูลินดาเป็นแฟนกันไหม ผมก็คิดว่าคงใกล้ชิดครูลินดาเกินไป ค่อยๆ หางออกนิดหน่อย และผมสองคนก็เดินคุยกันเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปจนเดินไปหาโต๊ะนั่งทาน มีครูนั่งอยู่แล้ว ครูถาวรที่ส่งยิ้มมาให้ผมก่อน
“แม้มาพร้อมกันเลยนะคะครูเขมครูลินดา” ครูสมพิศแซวผมกับครูลินดาและครูลินดาที่ยิ้มเอียงอายเป็นคำตอบ ผมก็ยิ้มๆ ให้ ผมเองไม่ได้อะไรแต่ผมกลัวว่าถ้าเกิดการเข้าใจผิดกันไปแบบนี้ จนณัฐกานต์มาได้ยินเข้าผมจะเป็นเรื่องใหญ่ และไม่ใช่ใครครูลินดาจะซวยไปกับผมด้วยนะซิ เพราะว่าณัฐกานต์ไม่ธรรมดา บรรดาเพื่อนๆ ผมยังกลัวกันเลย ไม่ค่อยกล้ายุ่งกับผมกันถ้าณัฐกานต์อยู่ด้วย
“ครูลินดาผมไปซื้อน้ำก่อนนะครับ ครูจะเอาน้ำอะไรดีครับ” ผมถามครูลินดา
“น้ำเปล่าดีกว่าค่ะ ครูเขม “ครูลินดาตอบผม
“และครูท่านอื่นละครับ” ผมถามเช่นกัน
“ไม่ละคะชอบคุณคะครูเขม ดูแลครูลินดาเถอะค่ะ “ครูวงเดือนเป็นครูสอนวิชาภาษาไทย ก็ยิ้มให้ผม ผมพยักหน้าและผมคิดว่าควรจะคุยกับครูลินดาแบบสองต่อสองเรื่องของผมและเขา ผมเดินผ่านนักเรียนก็มีแต่คนซุบซิบเรื่องของผมกับครูลินดา
“รับน้ำอะไรดีคะครู” คนขายน้ำประจำโรงเรียนเอ่ยถามผม
“ขอน้ำเปล่าให้ผมสองขวดครับ” ผมตอบไป
“มึงเห็นไอ้คริสไหมวะ มันไปไหนวะ” เพราะชื่อคริสนี้แหละทำให้ผมหันไปตามเสียงนั้น คนนั้นผมจำได้ว่าเป็นเพื่อนของคริสแต่ชื่ออะไรผมไม่รู้
“มันหายไปตั้งแต่ก่อนเที่ยงแล้ววะ แต่ไม่แปลกหรอกเพราะว่าชั่วโมงภาษาอังกฤษของมันตอนบ่ายนี้และมันก็คงหาเรื่องชิ่งโดดไปเลย เหมือนทุกทีนั้นแหละ” ผมได้ยินที่เขาคุยกันระหว่างรอซื้อน้ำ ผมนี้ต้องระงับความโกรธของผมเอง นี้ตกลงนายไม่เขาวิชาฉันใช่ไหม ผมบ่นกับตัวเองในใจ แต่ก็อย่างว่าและจะเอาอะไรกับเด็กเลี้ยงแกะอย่างนาย ผมเดินกลับมาที่โต๊ะที่นั่งกับครูหลายๆ คน ผมเห็นว่าครูลินดาได้จัดจานอาหารไว้ให้ผมเรียบร้อยแล้ว
“แม้ดูแลดีขนาดนี้ ไม่ใช่แฟนทำแทนไม่ได้นะคะน้องลินดา” พี่สมพิศยังคงแซวผมสองคน ผมนั่งลงทานและมีคุยกันไปบ้างเขาก็ถามถึงครอบครัวของผมมีใครอะไรยังไงคุยกันไปจน
“ตายแล้ว พี่ต้องรีบไปก่อนนะ ผู้อำนวยการให้พี่ไปประชุมอำเภอกับท่านด้วยนะคะ” พี่สมพิศพูด
“พี่ก็ต้องรีบขึ้นไปเพราะว่ามีนัดติวเด็กที่จะไปสอบเอ็นทรานจ๊ะ “ครูถาวรและก็เหลือแค่ผมกับครูลินดาสองคน ผมก็มองครูลินดา เขาก็ยิ้มให้ผม
“ไม่อร่อยเหรอคะครูเขม” ครูลินดาถามผม
“คือเออ ครูลินดาครับผม” ผมก็กำลังจะบอกครูลินดา
“ครูลินดาค่ะ” มีนักเรียนหญิงเดินเข้ามาสองสามคนผมก็ไม่ได้บอกอยู่ดี
“ว่าไงจ๊ะเปรี้ยว”
“ครูลินดาคะ วันนี้มีซ้อมรำไหมคะ “เด็กผู้หญิงคนนั้นถามครูลินดา
“มีค่ะ เพราะว่าใกล้วันงานเต็มทีแล้ว “ครูลินดาพูดกับเด็กๆ
“งานอะไรเหรอครับครู” ผมก็เลยขัดจังหวะถามครูลินดา
“งานวันแข่งขันบาสเกตบอลประเพณีค่ะ โรงเรียนเรานี้เป็นแชมป์มาทุกสมัยนะคะ ปีนี้ท่านผู้อำนวยการอยากให้เรามีรำไทยโชว์ก่อนด้วยค่ะครูเขม” ครูลินดาพูดและครูลินดาก็หันไปคุยงานกับเด็กๆ ผมก็นั่งทานอาหารและมองไปด้วย จะหาโอกาสคุยยังไงนะ
“อุ้ย! ครูเขมคะ จะได้เวลานักเรียนเข้าแถวแล้วค่ะและขึ้นสอนตอนบ่ายค่ะ ครูมีวิชาสอนไหมคะ” ครูลินดาถามผม ผมทานเสร็จพอดีเลย
“มีครับ ผมคาบแรกของตอนบ่ายเลยครับ” ผมตอบครูลินดา
“ถ้าอย่างนั้นเราขึ้นห้องเตรียมตัวก่อนดีกว่าไหมคะ” ครูลินดาพูดและผมก็พยักหน้า ครูลินดาเก็บภาชนะทั้งหมดใส่กระเป๋าและลุกขึ้นพร้อมกับผม ผมก็จะช่วยแต่ครูลินดาร้องห้ามผมไว้ และเด็กๆ ก็พากันเดินตามครูลินดาขึ้นไปเช่นกัน ผมก็มีโอกาสได้คุยอีกแล้ว ผมเข้าไปในห้องและเตรียมตัวเพื่อทำการสอน แปรงฟันให้เรียบร้อย ผมก็มองตัวเองในกระจก
“จะเอาอะไรกับเด็กอย่างนายได้ละ นายคริสโตเฟอร์ “ผมพึมพำอยู่ที่หน้ากระจก และผมก็เดินออกมาจากห้องน้ำ ผมเห็นว่านักเรียนเตรียมตัวเดินเข้าห้องเรียนกันหมดแล้ว และผมก็หยิบหนังสือเตรียมขึ้นไปสอนห้องม.4/1 ผมเดินขึ้นไปยังห้องเรียนทำไมผมรู้สึก ผิดหวังแบบนี้นะ นายคริส นะนายคริส ผมเดินเข้าไปในห้องเรียน
“สวัสดีตอนบ่ายครับนักเรียน “ผมทักทายนักเรียนในห้อง ผมมองไปที่โต๊ะที่วางเปล่า นั้นคงเป็นที่นั่งของนายคริสโตเฟอร์ซะนะ
“เอาละทุกคนนั่งลงได้ครับ “ผมบอกทุกคนให้นั่งลงและผมก็เงยหน้ามองนักเรียนแต่ละคนและผมก็เช็กชื่อนักเรียนทุกคน ยกเว้นคริสโตเฟอร์ เขาก็คงไม่เข้าเรียนและผมก็ต้องทำเครื่องหมายว่าเขาขาดเรียนตามคุณครูท่านอื่นๆ เช่นกันซิน่ะ
“เอาละวันนี้เราจะเริ่มเรียนเลยนะครับ” ผมกำลังจะพูดก่อนจะเดินไปที่ตรงกระดานดำเพื่อจะได้ขึ้นหัวข้อเรื่องที่ผมต้องการจะสอนวันนี้
“ขออนุญาติครับ! “เสียงมีคนขออนุญาตผม ผมหันไปมองก็ต้องวางช๊อกลง เพราะว่าคนนั้นก็คือนายคริสโตเฟอร์นั้นเอง
“ผมขอเข้าไปจะได้ไหมครับ” เขาพูดขออนุญาตเข้าห้องเรียน ผมมองเขาด้วยสายตาที่ตกใจและดีใจไปด้วยกัน ที่ผมเจอเขา คนที่ผมต้องการจะเจอในคาบเรียนของผม
“เฮ้ยย พี่เขาเข้าเรียนวะ” คนในห้องพากันซุบซิบกันใหญ๋เลยแต่ผมไม่ได้นใจ ผมยิ้มให้เขา
“แน่นอน, เข้ามาซิ” ผมตอบนายคริสไปและนายคริสก็เดินเข้ามาแต่
“เราชื่ออะไร?” ผมถามคนที่เดินเข้ามาในห้องและเขาก็หยุดก่อนจะหันมามองหน้าผม
“ผมชื่อคริสโตเฟอร์ครับ “เขาตอบผม
“ยินดีตอนรับสู่ห้องเรียน, คริสโตเฟอร์.” ผมพูดเขาก็ส่งยิ้มอ่อนๆ มาให้ผม
“คริส, ครูอยากให้เธอแนะนำตัวเธอให้เพื่อนๆ ในห้องเรียนได้รู้จักจะได้ไหม .” ผมบอกนายคริสและชี้ให้เขาเข้ามายืนข้างๆ ผม ตรงหน้าห้องเรียน เขาก็หันมามองหน้าผม ผมรู้ว่าเขาไม่มั่นใจที่ยืนตรงหน้าเพื่อนๆ ของเขา แต่ผมพยักหน้าให้เขาว่าเขาต้องทำได้ และเขาก็หยุดยืนไม่ใกล้ไม่ไกลจากผม
“เอาละเพื่อน ๆ วันนี้เรามีเพื่อนเรียนด้วย อาจจะไม่ใหม่สำหรับวิชาอื่นแต่ดูแล้วใหม่สำหรับครูแน่นอน และครูคิดว่านักเรียนทุกคนยังไม่รู้จักนายคริสกันเท่าไหร่จริงไหม” ผมพูดและถามทุกคน มีแต่คนเงียบ
“แต่ผมเรียนมาหนึ่งเทอมแล้วนะครับครู” นายคริสหันมาพูดกับผม
“เอาละใครรู้จักชื่อกลางของนายคริสบ้าง” ผมถามทุกคน แต่ไม่มีใครยกมือขึ้นมาเลย ผมหันไปถามคริสโตเฟอร์ ผมหันมาเหล่ตามองนายคริสโตเฟอร์
“นายมีชื่อกลางใช่ไหม” ผมถามนายคริสโตเฟอร์
“มีครับ” เขาตอบผม
“เห็นไหมเพื่อนเขายังไม่รู้เลยว่าชื่อกลางของเราชื่ออะไร” ผมพูด
“ชื่อกลางของคุณชื่ออะไร, คริส? “ผมหันไปถามคริส เขาก็มองหน้าผมและ
“เบนครับ” นายคริสโตเฟอร์ตอบผม
“แต่เวลาเขียนเขาจะเขียนย่อว่า Christopher Ben Rizzo “ผมหันไปเขียนไว้บนกระดานดำ ให้เพื่อนๆ นักเรียนดู
“ชื่อกลางนี้อาจจะมีจากใครคนหนึ่งในครอบครัว ถูกต้องไหมคริส” ผมถามคริสโตเฟอร์ เขาหันมามองหน้าผม
“ชื่อกลางเป็นชื่อของปู่ผมครับ Benito แต่เรียกสั้นว่า เบนครับ “คริสโตเฟอร์บอกผม ผมพยักหน้า นั้นแปลว่าเขายังมีความทรงจำกับครอบครัวเขาอยู่
“ครูอยากให้เธอเล่าถึงชีวิตวัยเด็กของเธอ เอาเท่าที่เธอจำได้ ให้เพื่อนๆ ฟัง ว่าเธอเคยเรียนที่ไหน ทำกิจกรรมอะไรบ้าง คริส” ผมบอกนายคริสโตเฟอร์ เขาหันมามองผม ผมพยักหน้า ผมเชื่อว่าเขาต้องทำได้แน่นอน และนายคริสก็เริ่ม ผมก็หยิบเครื่องบันทึกมากดบันทึกเสียงเขาไว้
“Hi everyone, My name is Christopher Ben Rizzi. I’ m 16 years old. I’ m a mix- race person. My mum is Thai and my dad is an Australian…….” และก็บร้าๆ เขาพูดภาษาอังกฤษได้คล่องมากจนเพื่อนๆ ฟังกันเพลินเลย เขาบอกวาเขานั้นเป็นลูกครึ่ง แม่เป็นคนไทยพ่อเป็นคนออสเตรเลีย และแต่อันที่จริงครอบครัวทางพ่อของเขาเป็นคนอิตาลีและได้ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ออสเตรเลียนานมากแล้วตั้งแต่สมัยคุณปู่คุณย่าของเขายังเด็กๆ
“ไม่น่าเชื่อเลยว่ะ แกว่าพี่เขาพูดอังกฤษได้เก่งมาก นี้ขนาดไม่ได้เข้าเรียนนะแก” เด็กผู้หญิงที่อยู่แถวหน้าสุด
“คุณอยู่ที่ออสเตรเลียนานแค่ไหน คริส? “
“ผมอยู่ที่ออสเตรเลียตั้งแต่ผมอายุสี่ขวบครับ”
“มีใครเคยไปประเทศออสเตรเลียบ้างไหมครับ? ผมหันไปถามนักเรียนทุกคน และทุกคนก็ส่ายหัวกันหมดว่าไม่เคย
“ครูอยากให้เธอฟังเรื่องราวที่นายคริสจะเล่านะ เพราะว่าประเทศออสเตรเลีย เป็นประเทศที่นักเรียนไทยหลายคนไปศึกษาที่นั่นเยอะนะ เพื่อจะเป็นช่องทางการตัดสินใจหากต้องการไปศึกษาต่อต่างประเทศ” ผมบอกนักเรียนในห้อง
“เธออาศัยอยู่ที่เมืองอะไรคริส? “
“ผมอาศัยอยู่ที่เมลเบิร์นครับ” .
“นอกจากเมลเบิร์นแล้วมีเมืองไหนอีกไหมที่นายเดินทางไป?”
“ผมเคยอยู่กับยายผมครับที่เพิร์ทครับแต่ผมย้ายมาอยู่ที่เมลเบิร์นเพราะว่าพ่อผมได้งานที่นั้นครับ.คริสตอบแสดงว่าเขาก็ยังจำพ่อของเขาได้
“ผมไปศูนย์เด็กเล็กช่วงที่แม่กับพ่อของผมทำงานครับ” คริสโตเฟอร์พูด .
“Daycare ก็คือสถานที่รับดูแลเด็กเล็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 5 ขวบ สำหรับครอบครัวที่ไม่สามารถที่จะดูแลน้องได้ เพราะว่าต้องทำงาน ไปเช้าเย็นกลับ และอาชีพเดย์แคร์นี้ มีคนไทยที่ย้ายถิ่นฐานไปทำงานที่นั่นกันค่อนข้างเยอะนะ และรายได้ดี เพื่อใครสนใจแต่ต้องรักเด็กกันหน่อยนะ “ผมอธิบายให้นักเรียนในห้องฟัง
“ต่อเลยครับคริส” ผมหันไปบอกคริส.
“และผมก็ไปเข้าโรงเรียนก่อนวัยเรียนและไปเรียนชั้นประถมที่นั้นก่อนจะจะย้ายมาอยู่ที่ไทยครับ .” คริสพูด ผมพยักหน้า
“Preschool คือโรงเรียนก่อนวัยเรียนจะเริ่มรับตั้งแต่อายุสี่ขวบถึงหกขวบและหลังจากหกขวบนต้องไปเข้าเรียนชั้นประถม” ผมพูด
“kindergarten ก็คือชั้นอนุบาลก่อนเข้าเรียนชั้นประถมปีที่หนึ่ง “ผมก็จะอธิบายในบางคำศัพท์ให้เพื่อนในห้องได้เข้าใจตามไปด้วย
“คุณมีกิจกรรมอะไรที่ทำร่วมกันกับพ่อของคุณบ้างไหมคริส? “ผมถามคริสโตเฟอร์ เขาหันมามองหน้าผม ผมพยักหน้ากับ
“My dad likes to go to the beach and my dad really good to do surfing. My dad taugh me to do surfing when I was 4 years old. I love it. I always go with him every weekend...บร้า....” และเขา ก็เล่าว่าพ่อเขาชอบไปทะเลเพื่อ ไปเล่นเสิร์ฟบอร์ด และเขาก็จะไปกับพ่อเขาทุกวันหยุด และชอบไปตกปลา พาไปเล่นสกีตอนหน้าหนาว พ่อเขาจะพาไปที่หิมะตก แต่จะว่าไปเขาก็จำภาพดีดีของเขาและพ่อของเขาได้ดี ผมให้เขาพูดเป็นภาษาอังกฤษและถ้าคำไหนที่เพื่อนไม่เข้าใจผมก็จะแปลและอธิบายให้เขาฟัง พอนายคริสพูดจบ นั้นแปลว่า เขาไม่เคยลืมพ่อของเขา
“แปะๆ” ทุกคนในห้องปรบมือกันหมด
“ขอบคุณมากนะคริส ที่มาร่วมแชร์ประสบการณ์ดีดีให้กับเพื่อนๆ เธอไปนั่งได้แล้วคริส “ผมบอกนายคริสก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ของเขาได้
“ครูเขมค่ะ หนูอยากพูดเก่งได้เหมือนพี่คริสจังเลยค่ะ”
“ถ้าอยากพูดเก่งเราต้องฝึกฝนและขยันพูด ดังนั้น พอเวลาเข้าเรียนในคลาสกับครู เราจะสื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษกัน ครูเองก็ไปที่ออสเตรเลียเพื่อไปเรียนคลาสระยะสั้นๆ ครูไปเรียนที่TAFE” ผมพูดและหันไปเขียนบนกระดานดำ
“เพราะว่าพ่อของครูเป็นนักการทูตประจำที่ออสเตรเลีย ครูไปเยี่ยมพ่อทุกช่วงปิดภาคเรียน “ผมบอกนักเรียน
“แต่ก่อนที่เราจะเข้าเรียนในบทเรียน ครูมีคำหนึ่งอยากบอกทุกคน แต่ครูถามเราก่อนนะว่า ถ้าเราพูดถึงลูกครึ่งเราจะนึกถึงคำไหน” ผมถามเด็ๆ ในห้องเรียนของผม
“ยกเว้นนายคริส ให้เพื่อนตอบ” ผมหันไปชี้นายคริสโจเฟอร์ ผมว่าเขาน่าจะรู้เพราะว่าเขาได้ใช้คำนี้อย่างถูกต้องตอนแนะนำตัว
“มัด บลัด ครับผม”
“Mud- blood คำนี้ใช่ไหมที่เธอบอกครู อนุพงษ์” ผมเขียนบทกระดานดำ
“สงสัยนายจะแฟนคลับแฮร์รี่พอร์ตเตอร์” ผมพูดและเพื่อนๆ ในห้องพากันหัวเราะ
“ไม่ได้ครับ ผิดและไม่มีฝรังคนไหนเข้าใจ “
“ฮาร์ฟบลัดละคะครู”
“Half-Blood “ผมเขียนบนกระดานดำอีกเช่นกัน
“คำนี้ไม่สุภาพนะ ไม่ควรใช้จะดีที่สุดครับนักเรียน”
“Half-human “มีตะโกนมากผมก็เขียนให้ดูบนกระดานดำ
“คำนี้อาจจะโดนต่อยกลับมาได้ ใช้ไม่ได้นะครับนักเรียน และมันไม่มีครับ ครึ่งมนุษย์ ไม่มีใครหรือฝรั่งเข้าใจแน่ๆ”
“คำที่ควรใช้ได้คือ mix- race ตามที่นายคริสโตเฟอร์ใช้ในการแนะนำตัว หรือจะบอกว่า เป็นครึ่งไทย ครึ้งออสเตรเลีย อะไรแบบนี้ บร้าๆ “ผมก็สอนไป
“เอาละ คราวนี้พวกเธอคงรู้แล้วใช่ไหมว่าควรเรียกเพื่อนที่เป็นลูกครึ่งให้ถูกต้องยังไง เอาละเรามาเข้าบทเรียนกันได้แล้วนะ ทุกคนเปิดหนังสือ” ผมพูด
“โห่ครู อยากเรียนนอกบทเรียนเยอะๆ อ่ะ ครู”
“เอาไว้คราวหน้า ครูจะหานอกบทเรียนมาสอนพวกเธอกันนะ ตอนนี้กลับมาเรียนตามหนังสือก่อนและวันนี้ครูจะไม่ให้การบ้านเธอนะ แต่วันศุกร์ครูจะให้” ผมหันไปบอกทุกคน
“เย้ๆ ดีจังเลยครู เพราะว่าวันนี้ก็โดนคณิตศาสตร์ไปแล้วค่ะ เยอะเลยครู “ผมหันไปยิ้มให้นักเรียนและผมก็สอนตามตำรา ผมหันไปมองหน้าคริสโตเฟอร์ดูเขาตั้งใจเรียนอยู่นะ ผมแอบดีใจ ทำไมผมถึงรู้สึกดีแบบนี้นะ ผมสอนไปจนจบคาบภาษาอังกฤษ และก็ปล่อยให้นักเรียนไปเข้าห้องน้ำก่อนจะเรียนวิชาอื่นต่อ
“หมับ” ผมก็ต้องสะดุ้งเพราะว่านายคริสที่ยืนที่มุมตึกจับแขนผมไว้ ขณะที่ผมกำลังจะเดินผ่าน
“ขอบคุณนะครับ ครูเขม” เขาขอบคุณผม ผมก็ยิ้มให้เขา
“วันนี้ครูอัดเสียงเราตอนที่แนะนำตัว ครูว่าจะเอาไปให้ครูลิมาดูและอาจจะเอาตัวนี้มาแก้ศูนย์ของเธอที่ติดไว้เทอมที่แล้ว คริส” ผมบอกคริสโตเฟรอ์
“ขอบคุณครับครู “เขาบอกผมอีกครั้ง
“วันนี้ครูไปทานข้าวกับผมอีกได้ไหม” คริสโตเฟอร์ถามผม ผมก็พยักหน้า
“ผมไปรับครูที่บ้านพักนะครับเย็นนี้” นายคริสบอกผม ผมก็พยักหน้าและเขาก็ยิ้มให้ผม ก่อนจะเดินลงไป ผมก็กำลังจะเดินหันไป เข้าห้องอื่นก่อน ขณะที่ผมกำลังเดินเข้าห้องเรียนชั้นม.2/4 ผมเห็นมีเด็กผู้หญิงกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ และคนที่หันมาก็คือเด็กผู้หญิงที่ชื่อแก้ม เขาหันมามองผมและชักสีหน้า
“ครูเขามาสอนห้องเราแก เข้าเรียนกันดีกว่า” เด็กผู้หญิงคนอื่นพูดและพากันเดินเข้าห้องเรียน ส่วนแก้มก็ค่อยๆ เดินเยื้องย่างเข้าไปในห้องเรียน ผมก็เข้าไปทักทายนักเรียนตามปกติและระหว่างที่ผมขานชื่อนักเรียน ก็มีเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ เดินมาขออนุญาตผมเข้าห้องเรียน เสื้อผ้าที่ดูเก่าๆ รองเท้าที่ดูขาดจนเป็นรู ที่ผมสังเกตเพราะว่าเขาเดินมาขออนุญาตเข้าห้องเรียนที่หน้าชั้นกับผม ผมพยักหน้าและผ่านมือให้เขาไปนั่ง และผมก็ได้รู้ว่าเขาชื่อ อนุชิต และผมทำการสอนตามตำรามีเอามาเสริมบ้างและก็ให้งานกลุ่มทำ แต่ละคนจับกลุ่มกันยกเว้นอนุชิต ที่ได้แต่นั่งมองเพื่อนจัดกลุ่มกัน
“ทำไมเธอไม่ไปเข้ากลุ่มกับเพื่อนละอนุชิต” ผมลุกขึ้นไปถาม
“คือ...ผม..เออ ..ไม่มีกลุ่มครับ” อนุชิตตอบผม
“ทุกคนมีใครที่สมาชิกในกลุ่มยังไม่ครบบ้าง เพราะเท่าที่ครูดูจากจำนวนมันจะหารลงตัวกันนะ” ผมถามทุกคน
“มีกลุ่มหนึ่งยกมือแบบไม่ค่อยเต็มใจหนัก”
“ทำไมไม่เรียกเพื่อนไปละครับ”
“ก็ได้ค่ะครู” น้ำเสียงที่บ่งบอกว่าไม่ค่อยอยากได้ ทำให้ผมมองหน้าเด็กคนนี้
“ทำไมเธอไม่อยากได้เพื่อน บอกเหตุผลครูหน่อย ถ้าเหตุผลที่สมควรครูจะให้เขาทำงานคนเดียวและได้คะแนนเต็มๆ ส่วนพวกเธอคะแนนกลุ่มต้องหารกัน” ผมถามทุกคน แต่ละคนเงียบ
“เขาไม่ค่อยซักเสื้อผ้ามันเหม็นอ่ะครู”
“แค่นี้เหรอ” ผมถามเขากลับ
“ระหว่างสกปรกภายนอกกับใจที่สกปรก เธอเลือกอันไหน” ผมถามทุกคนกลับ
“ตอบครูซิ” ผมถามทุกคนอีกครั้ง ผมเดินไปหาอนุชิต
“อนุชิตลุกขึ้นยืนครับ” ผมบอกอนุชิต ผมประชิดติดตัวเขา ทุกคนมองมาที่ผม ผมก็โน้มตัวลงเพื่อดมดู มันไม่ได้เหม็นแบบคนไม่อาบน้ำหรอก
“ใช่เขาอาจจะไม่ได้หอมเหมือนพวกเธอทุกคน ที่มีผงซักฟอกดีดี มีน้ำยาปรับผ้านุ่ม หรือแม้กระทั้งน้ำหอมที่เธอใส่มาโรงเรียนทุกวัน” ผมพูด
“แต่มันไม่ใช่ตัวชีวัดว่าเขาเป็นคนไม่ดีจริงไหม” ผมถามทุกคน ผมเดินไปที่ไวท์บอร์ดก่อนจะเขียนคำหนึ่งบทกระดาน
“The basis of all good human behaviour is kindness”
“พื้นฐานของความประพฤติที่ดีของมนุษย์คือความเมตตา” ผมพูด หลวงลุงผมเคยสอนเอาไว้
“เมตตาคนที่เขามีไม่เหมือนเรา ไม่ใช่ใช้สิ่งที่เรามีมากกว่าเขามาตัดสินว่าเขาไม่ดี” ผมพูด
“คุณโชคดีกว่าเขาใช่แต่เขาก็ควรจะได้รับสิ่งทีดีจากคำว่าเพื่อนมนุษย์ ความเท่าเทียมและความเห็นอกเห็นใจจากเพื่อนๆ “ผมพูด ผมมองทุกคน
“อนุชิตมาอยู่กลุ่มเราก็ได้ เราครบแล้วแต่พวกเราเต็มใจที่จะหารคะแนน” อีกคนที่เรียกเขาเข้าไปอย่างเต็มใจ ผมพยักหน้าให้เขาไปหากลุ่มที่พร้อมจะรับเขาจะดีกว่า ส่วนอีกกลุ่มนั้นก็กลุ่มที่มีแก้มอยู่ด้วย และผมก็เดินดูทุกคนทำงานกลุ่มจนหมดคาบเรียน กลุ่มที่ได้อนุชิตเข้าไปเขาทำงานกลุ่มได้ดี ดีที่สุดด้วยซ้ำ
TBC…