Ghost Day - 6
Peacefully Sleeping Live - ชีวิตแสนสุขในร่างนิ่งสงบ
ผู้นำการผ่าตัดเรียกประชุมคณะแพทย์เข้าร่วมประมวณผลการรักษาและพิจารณาเลือกวิธีการผ่าตัด ศาตราจารย์แซคคารีนยังตัดสินใจเลือกวีธีการผ่าตัดสวมสร้อยให้กับตะวันยังไม่ได้ การเปลี่ยนถ่ายอวัยวะจะย้ายหัวใจของคนไข้ซูกุเทินมาใส่ให้เลยทำได้ยากเพราะหัวใจบอบช้ำอย่างมากจากการประสบอุบัติเหตุด้วยแรงระเบิด อาจารย์หมอถือโอกาสสอนรูปแบบของการปลูกถ่ายให้แพทย์ที่เข้าร่วมประชุมเพื่อเป็นวิทยาทานทางความรู้และเผยแพร่งานวิจัยทางการแพทย์ของเขาไปด้วย บรรดาแพทย์หลากหลายสาขาร่วมเข้าประชุมด้วยเพื่อเปิดรับความรู้และวิทยาการใหม่ๆ มีการเปิดหัวข้อให้ถกปัญหาทางการแพทย์เชิงวิชาการแลกเปลี่ยนทัศนะทางวิชาชีพ “ผมจะเริ่มประชุมเคสของคนไข้ตะวัน เพื่อสร้างทางเลือกเพื่อหาวิธีที่เหมาะสมและดีต่อคนไข้ที่สุด” ประธานประชุมเริ่มชักนำเข้าสู่หัวข้อหลักหลังจากแพทย์ผู้รักษาคนไข้ทั้งสองแถลงอาการโดยรวมของ’สร้อย’และ’หัวใจเพชร’
สังคมหมอก็เหมือนกับกลุ่มคนอื่นๆ มีคนรักย่อมมีคนเกลียด มีคนยกย่องยังมีคนติฉินนินทา คนเราแค่เห็นหน้ายังรู้สึกไม่ถูกโฉลกก็มี ผลงานความรู้ของอาจารย์หมอที่เด่นด้านงานวิจัยเฉพาะทางอาจไปขัดความแนวคิดความเชื่อของหมอกลุ่มอื่นย่อมเกิดขึ้นได้ แพทย์บางคนไม่เห็นด้วยกับการทำการผ่าตัดครั้งนี้ พวกเขาเข้าร่วมการประชุมเพื่อต้องการตั้งคำถามและรับฟังเพื่อพิจารณาจรรยาบรรณของแพทย์นักวิจัยชื่อดัง
หากจะมีการยื่นสอบวินัยต่อสมาคมแพทย์ต่อจากนี้ ก็ให้เพื่อนร่วมอาชีพดำเนินการได้เลยเขาเดินเข้าห้องสอบวินัยแพทย์นับครั้งไม่ถ้วนแล้วตั้งแต่ทำงานวิจัยเชิงก้าวหน้าเช่นนี้ ผ่านความกดดันเฉียดความหมิ่นแหม่หลายแหล่มาได้เพราะจำกัดการทดลองที่ใช้เฉพาะกับสัตว์เท่านั้นไม่ใช่ทำกับคนไข้ ครั้งนี้ความสุ่มเสี่ยงสูงเกินคาดการณ์ย่อมต้องหาเกราะคุ้มภัยมาปกป้องแต่ครั้งนี้เหมือนท่าน*
ฮิปโปเครติสรวมพลัง*
เทพแอสคลีเพียสส่งผู้พิทักษ์มาช่วยโดยเฉพาะ
ฮิปโปเครติส (Hippocrates) ได้รับการยกย่องว่าเป็น “ผู้ให้กำเนิดวิชาแพทย์” หรือ “บิดาแห่งการแพทย์” นำวิธีการรักษาแบบใหม่วินิจฉัยถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคแล้วทำการรักษา
แอสคลีเพียส (Asclepius) เป็นเทพเจ้าแห่งการแพทย์ การรักษา และการฟื้นคืนชีพ ในตำนานเทพปกรณัมกรีกในยุคกรีกโบราณคทาของแอสคลีเพียสใช้แทนสัญลักษณ์แทนการแพทย์ในสมัยกรีกและใช้มาจนถึงปัจจุบัน
“การผ่าตัดครั้งนี้ทำการวิจัยและปฎิบัติการทดลองเพื่อการรักษา เลือกทำ
*อีจีนนีซีซ ไม่ดีหรือครับ” ใครคนหนึ่งในที่ประชุมพูดถึงแนวทางการปลูกถ่ายอวัยวะยุคปฏิวัติวงการ และวิธีการนี้ถูกตัดออกเป็นตัวเลือกแรกโดยของหมอดีแลนท์และผู้ร่วมโครงการทดลองเห็นพ้องด้วยว่าไม่เหมาะสม
“นอกจาก
*ทำการทดลองกับสัตว์ตัดแต่งพันธุกรรมแล้วจึงปลูกถ่ายให้กับคนไข้ต้องใช้ระยะเวลาแล้ว เปอร์เซ็นการมีชีวิตรอดหลังการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะยังมีน้อยอยู่” หมอในทีมผ่าตัดพูดชี้แจงถึงผลเสียของวิธีการอีจีนนีซีซ
การทดลองด้วยการใช้สัตว์ทดลองที่ต้องตัดแต่งพันธุกรรมเพื่อคนๆ หนึ่งมันยังไม่ดีพอต้องจัดการกับโรคที่มาติดมากับสายพันธ์สัตว์ ไม่ให้ส่งผลกับคนที่รับอวัยวะส่วนนั้น การเสียสละยังไม่บังเกิดผลดีที่สุดเพราะผู้ที่ได้รับความหวังนั้นมีชีวิตต่อไปได้ไม่นานด้วยโรคแฝงจากสัตว์สู่คนที่ได้รับการปลูกถ่าย ทำให้เกิดการต่อต้านสิ่งแปลกปลอมทำลายอวัยวะนั้นและพรากชีวิตที่มีหวังให้สิ้นไป
“ทำ
*ทรีดี-ไบโอพริ้นติ้ง ทางเลือกนี้ไม่น่าสนใจหรือครับ” หมอผู้ร่วมประชุมอีกคนเสนอแนวทางล่าสุดที่ช่วยเรื่องการปลูกถ่าย
“คำถามนี้ดีครับ เทคโนโลยีที่มีแนวโน้มที่ประสบความสำเร็จสูงแต่มีข้อจำกัดเรื่องขนาดของอวัยวะ หัวใจดวงแรกที่ทำสำเร็จมีขนาดเท่าหัวใจกระต่าย” มือของหมอแซคคารีทำมือเป็นรูปหัวใจขนาดเล็กและขยายคำถามนี้ด้วยตัวเอง
3D Bioprinting พิมพ์ขึ้นแบบก่อนแล้วพิมพ์รายละเอียดด้วยหมึกแบบพิเศษมาจากเซลล์เนื้อเยื่อของผู้ป่วยคนนั้น ๆ เพื่อป้องกันการปฏิเสธอวัยวะจากร่างกายของผู้ป่วยเอง
เขาภูมิใจแพทย์รุ่นใหม่ที่ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลใหม่เอี่ยมสูงยิ่งใหญ่แห่งนี่อย่างมาก ทุกท่านศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ ได้ดีทีเดียวแม้ไม่เกี่ยวกับแผนกของตัวเอง เจ้าตัวไม่อยากคิดไปในทางติดลบคิดว่าที่กระตือรือร้นเช่นนี้ต้องการไล่บี้บีบเคล้นหมอที่มุ่งแต่งานวิจัยไม่ได้ลงประจำบ้านรักษาคนไข้อย่างเขาหรือเปล่า
“เคสแรกที่ทำการปลูกถ่ายสำเร็จและยังมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้คือเด็ก อวัยวะที่ทำการปลูกถ่ายคือกระเพาะปัสสาวะซึ่งมีขนาดเล็กและไม่มีความซับซ้อนเหมือนหัวใจ” หมอดีแลนท์เสริมผลการผ่าตัดที่ประสบผลสำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์
“ทำสเต็มเซลล์ดีไหมศาสตราจารย์ สร้อยคอยังอายุน้อยประสิทธิภาพของเซลล์ยังสมบูรณ์” เสียงหมอคนหนึ่งเสนอความคิดให้มองหาสิ่งใกล้ตัวความเยาว์วัยเป็นข้อดีของคนไข้ตะวัน
“ผมวางแผนการใช้สเต็มเซลล์ร่วมด้วยตอนปลูกถ่ายลงโฮสเข้าสู่การเพาะเลี้ยงเซลล์ต้นกำเนิดเพื่อกระตุ้นการทำงานก่อนการปลูกถ่าย” หมอแซคคารีนบอกขั้นตอนการดำเนินงานก่อนการผ่าตัดปลูกถ่ายที่วางลำดับขั้นไว้
“ตอนนี้เราทำได้แค่สเต็มเซลล์เม็ดเลือด” ข้อโต้แย้งยังมีมาไม่ลดละ ความจริงเป็นเช่นนั้นเพราะมีการทำการรักษาด้วยสเต็มเซลล์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในบางกลุ่มโรคเพราะให้ผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพและคนไข้หายจากอาการป่วยกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้
“ควรจะเป็นเช่นนั้นเพราะการทดลองใช้เวลาเป็นสิบยี่สิบปีในการค้นคว้าวิจัยกว่าจะใช้กับคนไข้” หมออีกคนให้การสนับสนุนวงการแพทย์มักไม่ชอบความเสี่ยงในการรักษาคนไข้ด้วยผลที่ตามมาสามารถทำลายอาชีพที่มีเกียรตินี้ได้
“หมออายุรกรรมอย่างผมได้ยินคำว่าสเต็มเซลล์ตั้งแต่เด็กแล้วครับ ไม่ใช่การรักษานะครับแต่เป็นครีมทาหน้า ’รกแกะ’ ของแม่” เสียงหมอหนุ่มพูดออกไมค์เจ้าตัวคงไม่ได้คิดว่าประโยคเด็ดของเขาจะทำให้บรรยากาศดีขึ้นเหมือนยกบรรยากาศริมทะเลมาไว้ในห้องประชุม เป็นเรื่องธรรมชาติคนเรามักตกเป็นเยื่อของการโฆษณาแต่เป็นความจริงที่ใช้โปรตีนสกัดจากรกแกะก็สามารถเรียกว่าใช้สเต็มเซลล์ได้เช่นกันถึงไม่ได้ใช้รักษาคนไข้
การถกเรื่องเคร่งเครียดหยุดชะงักไปชั่วครู่และตามด้วยเสียงหัวเราะของแพทย์ร่วมประชุม บรรยากาศหนักๆ อัดแน่นด้วยการไล่ต้อนผ่อนคลายลง ต้องขอบคุณแพทย์รุ่นน้องที่พูดประโยคเด็ดนั้นออกมา แอบอ้างแม่เป็นดั่งเกราะเหล็กป้องกันภัยใดๆ ให้มลาย อย่างน้อยก็นำพาให้ชีวิตเจอทางออกที่ดี
“ทราบดีทุกท่านเป็นห่วงจรรยาบรรณแพทย์ของตัวผม เมื่อการทดลองต้องทำมาใช้กับคนไข้ผมย่อมตระหนักถึงจริยธรรมนำหน้าเสมอ” ผู้เป็นศาสตราจารย์กวาดตามองหน้าแพทย์ทุกท่านด้วยสายตามุ่งมั่น
ความน่าเชื่อถือทางด้านงานวิจัยและน้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลแต่หนักแน่นสายตาดุดันจริงจังพร้อมเผชิญหน้าอุปสรรคต่างๆ ที่ต้องเผชิญ เมื่อผู้เข้าร่วมประชุมเจอบุคคลที่แสดงภาวะผู้นำออกมาชี้นำผู้ตาม
ศาสตราจารย์สวมบทบาทเป็นแพทย์และนักวิชาการทางการแพทย์ที่ดีมากพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องบรรยายรายละเอียดถี่ยิบเหมือนโดนตำรวจสอบปากคำ วันนี้ที่เขาเรียกประชุมแพทย์เพราะอยากเปิดเผยถึงการผ่าตัดด้วยความจริงใจเมื่อเข้าสู่กระบวนการทำงานเขาคือผู้ควบคุมเบ็ดเสร็จเพียงคนเดียว ทุกอย่างจบลงด้วยผลการวิจัยและการเขียนรายงานด้วยภาษาวิชาการปั้นคำแต่งภาษาอย่างไรล้วนอยู่ที่นิ้วมือของเขา คราวนี้แซคคารีนจะใช้มือคู่นี้เขียนถึงความสำเร็จที่จะพลิกงานวิจัยที่ใช้กับคนไข้จริงๆ
ไม่ต้องพูดชี้แจงมากมายตัดจบการประชุมตอนที่บรรยายกาศยังดีอยู่แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเอง สองหมอตำแหน่งสูงเดินพูดคุยเรื่องการดำเนินการผ่าตัดโดยมีหมอผู้ติดตามเดินเรียงแถวอยู่ด้านหลัง บริเวณที่ขบวนเดินผ่านได้รับการแสดงความเคารพจากแพทย์และพยาบาลด้วยความนอบน้อม หัวหน้าคณะแพทย์ทั้งสองแสดงภาษากายด้วยการยกมือก้มและหัวรับแต่ไม่ละทิ้งการพูดคุยถึงเคสสำคัญด้วยโดยเร่งรัดให้ช่วยกระชั้นเวลาให้กับท่านรองฯ ในช่วงที่ใช้อำนาจจัดการเรื่องราวให้ราบรื่นได้อยู่
“เก็บสเต็มเซลล์ของ
‘ลูกชาย’ ให้ผมด้วย ทางผมทำ
*TSIM นำไปก่อนแล้ว” ศจ.แซคคารีได้สั่ง
*การขึ้นรูปหัวใจจากโครงสร้างเนื้อเยื่อตั้งแต่มาถึงสถานวิจัยแห่งนี้วันแรกแล้ว ขณะนี้โครงหัวใจอยู่ในขบวนการเพาะเลี้ยงและกระตุ้นการทำงานเสมือนอยู่ในร่างกาย
“มีแผนหนึ่งแผนสองยังวางแผนสามระหว่างหัวจะระเบิด ผมรักษาไม่ได้นะโรคนี้น่ะ” หมอรุ่นพี่พูดเย้าแหย่คนชอบคิดซ้ำคิดซ้อนวางข้อสงสัยพินิจแนวทางแก้ไขไว้พร้อมสรรพ คุณสมบัติของนักวิจัยกระมังหากออกตรวจคนไข้มีหวังได้ตรวจครอบจักรวาลต่อหนึ่งโรคหนึ่งคนไข้
“ผมวางไว้สำหรับตัวสร้อย ถ้าปฏิหาริย์ดันมาเกิดตอนอยู่ในมือผมผลจะต้องดีที่สุด” หมอเน้นงานวิจัยอย่างเขามีจุดยืนเป็นของตัวเองหมอและคนไข้มุ่งเน้นการรักษาเพื่อให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้ด้วยการได้รับการรักษาที่เหมาะสมและดีที่สุด
ถึงเป็นเจ้าชายนิทราหากได้รับจุมพิตจากเจ้าหญิงแล้วฟื้นคืนมาได้ เขาจะมีชีวิตคู่แสนสุขได้อย่างไรในเมื่อหัวใจที่ได้รับมาคือปัญหาของชีวิต การบริจาคอวัยวะเป็นการทำมหากุศลแต่ผลบุญอาจจะไม่ส่งผลดีในชีวิตนี้เสมอไป
“โอ้! เสียดายหมออย่างคุณนะไม่น่าหมกตัวทำแต่งานวิจัย” หมอดีแลนท์กล่าวยิ้มๆ ใจจริงก็เสียดายความสามารถของรุ่นน้องที่อดีตเคยเป็นศัลแพทย์อนาคตไกล วาดฝันไว้อย่างดีจะได้มีรุ่นน้องคนสนิทมาเป็นศัลยแพทย์เฉพาะทางด้วยกัน
“หรือว่า...หมอมีปรสิตตัวไหนสิงหรือเปล่าเนี่ย แบบว่าประเภทสิงสู่น่ะ” รุ่นพี่เย้าแหย่ซ้ำอีกครั้งทำท่าทางจริงจังพร้อมหันมามองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าฉุกคิด หมอเอเลี่ยนกำลังเข้ายึดคนไข้ของเขาแล้วสินะ!
“ศัลยแพทย์อย่างรุ่นพี่เนี่ยมีเวลาไปดูหนังหรือไง เพ้อเจ้อ!” รุ่นน้องนักวิจัยส่ายหน้าในความคิดสุดจินตนาการที่มักจะเจอบนแผ่นฟิมล์หลอกคนดูส่งเสริมความบันเทิงเท่านั้น
กลุ่มแพทย์ด้านหลังที่ไม่เคยได้ยินคำพูดอาจารย์หมอพูดเล่นกับใคร ศาสตรจารย์นักวิจัยคงสนิทสนมกันมากทีเดียว แอบสะใจอยู่นิดหน่อยที่มีคนว่าอาจารย์หมอสุดเฮี้ยบได้เจ็บแสบจนเดินยิ้มน่าชื่นบาน ‘เพ้อเจ้อ!’ เจ็บจนทำให้โกรธได้เลยนะนั่นหมอแซคคารีนคงว่าคนได้แรงสุดแล้ว
ย้ายมาที่วันสบายๆ ของตะวัน วันนี้เป็นตารางเวลาแห่งศิลปะที่เด็กหนุ่มตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อ อาจารย์ผู้สอนวันนี้เป็นครูจบใหม่ที่กำลังศึกษาต่อความรู้ขั้นสูงมาแทนผู้สอนคนเดิม ตะวันนั่งลอยตัวแกว่งขามองคนสอนที่หน้าตาไม่ค่อยสดชื่นนักเดาว่าคงจะไม่ถูกใจเท่าไหร่ที่ต้องมาสอนคนนอนนิ่งอยู่บนเตียงแล้วพูดพร่ำอยู่คนเดียวในห้องคนไข้เช่นนี้ เขาเคยได้ยินมาว่าคนที่มีพรสวรรค์มักจะทำตัวแปลกๆ ครูคนนี้ต้องสอนสิ่งที่น่าสนใจแน่นอน คนสอนเผลอสะดุดจนหนังสือเล่มหนาสองสามเล่มที่นำมาด้วยหล่นกระจายสันหนังสือตกกระแทกพื้นทำให้ตัวหนังสือกางออกเผยรูปภาพด้านใน ตะวันลอยตัวแหวกอากาศไปมองหนังสือเหล่านั้นตื่นตาตื่นใจกับศิลปะแนวแปลกตา เหมือนภาพสะท้อนสังคม วิถีชีวิต หรือวัฒนธรรมบางอย่างที่คนไข้นอนไม่ตื่นอย่างเขาไม่เคยออกไปพบเจอ
“ว้าว!” ศิลปะแนวไหนกันเขาไม่เคยเห็นมาก่อนคงเป็นงานร่วมสมัยเพราะเคยเห็นรูปแนวแบบนี้มาบ้างแต่เอกลักษณ์เฉพาะในรูปภาพคงเป็นงานเฉพาะกลุ่มเสียมากกว่า หรือความรู้เขายังไม่เพียงพอไม่รู้ถึงที่มาของแหล่งกำเนิดศิลปะแนวนี้
หญิงสาวที่ทำหน้าที่เป็นครูในวันนี้ยังคงไม่กระดุกกระดิกนั่งหน้านิ่งอยู่หน้าเฟรมภาพที่ตั้งไว้หน้าตัวเองไม่มีทีท่าสนใจหนังสือภาพที่ตกเกลื่อนบนพื้น เด็กหนุ่มสูดอากาศธรรมชาติจนฉ่ำปอดกางแขนสัมผัสลมโชยที่พัดเข้ามาในห้อง ด้วยการวาดภาพจะมีกลิ่นของสีดังนั้นหน้าต่างทุกบานจึงเปิดออกรับลมธรรมชาติเพื่อระบายกลิ่นฉุ่นในองค์ประกอบของสีให้จางหายไป
เสียงถอนลมหายใจของครูผู้สอนเรียกความสนใจของตะวันให้หันกลับมาในห้องคนไข้ของตัวเอง เธอคนนั้นพูดจางึมงำฟังไม่ได้ความ เสียงและสำเนียงไม่คุ้นหูเหมือนผู้คนที่นี่คงจะเป็นคำพูดคนต่างแดนเสียมากกว่า เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าการมารับงานสอนคนไข้นอนนิ่งอย่างนี้น่าเบื่อขนาดนั้นเชียวหรือ ทำไมคนอื่นไม่เป็นเหมือนกันหรือค่าจ้างที่เคยจ่ายให้ต่ำกว่ามาตรฐานจากคนก่อนๆ แต่ช่างปะไร! ใครจะเป็นอย่างไรไม่ใช่เรื่องของเขาอยู่แล้ว
“เล่นอะไรน่ะแปลกคนจริง” เสียงคุ้นหูดังดูด้านหลังคนไร้ร่างที่ก้มหน้าลอยตัวดูภาพบนหนังสือลมพัดทีหน้ากระดาษก็ค่อยๆ พลิกไปอีกหน้าต้องคอยลุ้นทั้งลมทั้งกระดาษให้พัดและพลิกไปพร้อมกัน
“อย่าพึ่งกวนผมตอนนี้ พี่ไปหาอะไรทำก่อนสิครับ” เด็กหนุ่มยังคงสนใจกับหนังสือภาพตรงหน้าเขาก็อยากคุยกับพี่ซุกท์แต่คนสอนไม่ได้มาหาเขาบ่อยๆ เขาอยากจะเห็นอะไรด้านนอกบ้างได้แต่รอผู้ถูกว่าจ้างที่มาสอนเล่าให้ฟังเท่านั้น
“ทำตามที่นายอยากทำเถอะตาหวาน พี่ก็แค่คนไม่มีอะไรทำ” ประโยคข้างหลังเจ้าตัวพูดเบาๆ คนที่เคยได้รับความสนใจอยู่เสมอต้องยอมแพ้ให้กับหนังสือภาพ
เด็กหนอเด็ก! “หือ?” ตะวันหันขวับมามองชายหน้าคมเข้มแต่ดันมาน้อยใจเรื่องไม่เป็นเรื่อง ในหน้าน่าเอ็นดูส่ายไปมาแล้วกลับไปมองหน้ากระดาษใบต่อไปที่พึ่งจะพลิกหน้าใหม่มาจากแรงลม
คนเป็นพี่มองน้องทำท่าหน่ายแหนงไม่สนใจเห็นแล้วใจกระตุกคิ้วกระดิกได้แต่ทำเสียงฟึดฟัดผ่านจมูกโด่งคมสันของตัวเอง เขาถอยห่างออกมาหาที่นั่งมองดูตะวันกับอีกคนหนึ่งที่นั่งมองเฟรมวาดภาพอยู่ข้างเตียงคนไข้ ยังไม่เริ่มงานวาดภาพหรือทำการสอนอะไรสักอย่างส่วนลูกศิษย์ตัวจริงลอยเท้งเต้งท่านอนมองดูสมุดภาพอยู่ข้างๆ
สุดท้ายแล้วที่นั่งที่ซูกุเทินทิ้งตัวลงไปเกิดร้อนขึ้นมาเหมือนไฟรนให้ต้องลุกเดินมานั่งข้างๆ คนน้อง มองภาพแต่ละหน้าที่ค่อยๆ พลิกเปิดตามจังหวะลมพัด น้องตาหวานไม่มีทีท่าหงุดหงิดอะไรนอนลอยตัวรอหน้าต่อไปอย่างใจจดจ่อคนน้องจะเห็นความสำคัญของพี่หน้านิ่งอยู่บ้างเพราะเงยหน้ามายิ้มให้อยู่หลายครั้ง ทำให้คนย้ายตัวมานั่งข้างๆ ใจพองฟูเต้นตึกตักที่เขาไม่ได้โดนตะวันเขี่ยทิ้งเพราะเจ้าหนังสือภาพเล่มเดียวเสียหน่อย ถ้าหากเขาหายป่วยเมื่อไหร่จะกวาดหนังสือภาพอัดแน่นด้วยงานศิลปะให้หมดแผงมาเปิดให้ตะวันได้ดู ตะวันตาหวานนอนรอพี่ได้เลย!
(เอ๋! แปลกๆ นะคะคุณพี่) ผู้มาเยือนในฐานะอาจารย์ศิลปะเริ่มขยับฝีแปรง เริ่มต้นด้วยแม่สีถูกปาดป้ายไปมาด้วยหัวแปรงขนาดใหญ่ ขั้นตอนลงสีและวาดแปรงของคนสายศิลป์เรียกความสนใจจากตะวันให้กลับไปยืนลอยตัวข้างๆ ฝีแปรงเป็นช่วงๆ ทรงสี่เหลี่ยมแนวตั้งปาดขึ้นๆ ลงๆ มองเป็นรูปเป็นร่างไม่ออกว่าแนวทางภาพวาดจะไปในแนวทางไหน
ด้านหลังหนึ่งคนกับหนึ่งตนมีพี่ใหญ่ยืนคุมเชิงดูอยู่ไม่อยากพูดถึงงานศิลปะพูดถึงประเภทของปืนระเบิดรถถังยันเครื่องบินรบรวมถึงยุทธศาสตร์ความมั่นคงเป็นสิ่งที่เขาถนัดที่สุดคุยออกรสออกชาติไม่ใช่บทสนทนาน่าเบื่อแน่นอน บ้านเมืองไม่สงบจะมีชีวิตเป็นสุขเสพสุนทรียภาพสร้างสรรค์งานศิลปะไม่ได้หรอก สงครามหาใช่บ่อเกิดหรือสร้างแรงบรรดาลใจนอกจากวิ่งหนีระเบิดหลบลูกกระสุนเอาชีวิตให้รอด
“พี่ซุกท์ๆ นี่ๆ ดูสิครับรูปผมเอง” ตะวันขวักมือเรียกคนพี่ยิกๆ คนถูกเรียกด้วยความกระตือรือร้นพยักหน้าหงึกๆ รับรู้เพราะยืนดูด้วยกัน
ซูกุเทินมองเด็กหนุ่มตาหวานยิ้มแป้มแก้มแทบปริอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มมุมปาก เริ่มเข้าใจแล้วว่าคนสูงวัยชอบอยู่กับเด็กเพราะอะไร ชีวิตดูสดชื่นมีชีวิตชีวาหัวใจกระชุ่มกระชวยมันเป็นอย่างนี้นี่เอง
ตะวันลอยวนไปวนมาตื่นเต้นที่ได้เห็นภาพตัวเองถึงจะเป็นภาพนอนหลับธรรมดาไม่ได้เก็กท่าทางให้ดูเท่ห์แต่ยังไม่เคยมีวิทยากรหรือครูคนไหนวาดภาพตัวเขามาก่อน เหมือนได้ไปเดินเล่นในสถานที่ท่องเที่ยวแถบยุโรปที่มีศิลปินรับจ้างวาดรูปให้นักท่องเที่ยวเป็นที่ระลึกเป็นฝันที่เกิดขึ้นจริงถึงจะยังไม่ได้ไปเที่ยวดั่งหวังก็ตาม
“ผมไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นรูปผม พี่ซุกท์ดูสิครับ” เมื่อโดนเซ้าซี่คนเป็นพี่ต้องเดินเข้ามาดูใกล้ๆ เอาใจตะวันที่ดีใจออกนอกหน้าเสียหน่อย มองภาพวาดแล้วมองดูร่างจริงของเด็กหนุ่มดูคล้ายกันมาก
พี่ใหญ่ภาวนาอย่าให้ตะวันถามความคิดเห็นของเขาจากรูปวาดใบนี้ เพราะไม่รู้จะหาคำตอบอะไรมาเอาใจคนที่กำลังดีอกดีใจที่มีคนวาดภาพตัวเอง รูปน่ะสวยอยู่แล้วต้นแบบเป็นอย่างไรภาพก็เป็นเช่นเดียวกัน
ภาพวาดยังไม่เสร็จสมบูรณ์นักวาดภาพฝีมือดีตัดขอบไล่สีทำทุกส่วนบนในหน้าเด็กหนุ่มที่กำลังหลับใหลอย่างละเอียดละออเธอใส่ใจใส่ความรู้สึกสงบนิ่งมองการนอนนิ่งเป็นการนอนที่มีเปี่ยมด้วยความสุข ดีแล้วที่วาดภาพของตาหวานถ้ามาวาดภาพตัวเขาไม่รู้จะออกมาเป็นยังไง
สุดท้ายภาพออกมาเสร็จสมบูรณ์คนวาดมีรอยยิ้มให้กับผลงานตัวเองเป็นครั้งแรกตั้งแต่เข้ามาที่นี่ ส่วนเจ้าตัวลอยตัวหน้าปลื้มปริ่มปากยิ้มตาเยิ้มด้วยความสุขตั้งแต่ได้เห็นรูปวาดแผ่นนี้แล้ว คนวาดทิ้งรูปวาดไว้บนเฟรมแล้วไปเตรียมกรอบใส่ภาพวาดเจ้าของห้องทิ้งให้ตะวันลอยวนชื่นชมภาพตรงหน้าให้สมใจ ซูกุเทินขัดอะไรน้องไม่ได้นอกจากยืนมองพร้อมรอยยิ้ม
“เหมือนผมไหมครับ” ตะวันเทียบหน้าตัวเองกับรูปบนเฟรมที่พึ่งจะตัดขอบแต่งสีเสร็จเรียบร้อยถึงจะไม่คมชัดเท่าภาพถ่ายแต่ฝีมือระดับเอกสายศิลป์ไม่ได้ด้อยค่าภาพวาดแม้แต่น้อย
ความรู้สึกนุ่มนวลละมุนละไมด้วยโทนสีพาสเทลที่ใส่ลงในภาพเหมือนซูกุเทินมองภาพเทวดาในโบสถ์ แต่เขาชอบที่น้องตะวันเป็นเดวิลตัวน้อยๆ ชอบแกล้งชอบแหย่แสบๆ คันๆ มากกว่า อยากเอาหัวใจให้น้องตะวันขยุ้มเล่นคงจะเต้นตึกตักไม่น้อย
(อุ้ย! คุณพี่อาการออกแล้วนะคะ) ครูจำเป็นนำรูปเข้ากรอบลายไม้สำเร็จรูป เธอมองภาพวาดที่เสร็จสมบูรณ์แล้วด้วยความชื่นชมแล้วหันกลับมามองนายแบบของเธออีกครั้งเหมือนรอยยิ้มที่บางเบาแทบจะหายไปจากใบหน้าเธอพูดประโยคเบาๆในลำคอและบังเอิญซูกุเทินได้ยินเพราะยืนอยู่ใกล้ที่สุด
“เจ้าชายน้อยรีบตื่นจากฝันมาดูภาพที่ฉันวาดด้วยนะ” นักศึกษาศิลปะขั้นสูงแขวนภาพภาพของตะวันไว้บนผนังถัดจากรูปวาดใบอื่นๆ ก่อนหน้านี้
“มีอะไรหรือครับพี่ซุกท์” ตะวันลอยมาเกาะบ่าคนพี่ถามสถานการณ์ด้วยความสนใจ
“เธออยากให้ตะวันตื่นมาชื่นชมภาพวาดที่เธอวาดน่ะ” คนพี่พูดจบน้องก็หันไปมองยังครูสอนวาดภาพเด็กหนุ่มอยากจะตบปากรับคำว่าจะตื่นมาดูให้ได้แต่สองปีมาแล้วเขาก็ยังลากร่างตัวเองให้ลุกขึ้นตื่นไม่ได้เสียที
คนตัวโตอยากจะโอบกอดปลอบใจเด็กหนุ่ม เขาเห็นความหดหู่เล็กน้อยบนใบหน้าที่รอยยิ้มหวานๆ นั้นตะวันไม่ปล่อยให้บรรยากาศต้องหม่อนหมองเขาหันกลับมากล่าวขอบคุณที่คนพี่บอกให้เขารู้ว่าครูพูดพึมพำว่าอย่างไร ตะวันลอยตัวมองภาพวาดตัวเองอยู่นานสองนานจนครูศิลปินเก็บของเตรียมตัวจะกลับ เธอโบกมือลาร่างเด็กหนุ่มที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียงพร้อมกล่าวคำอำลา
ตะวันยังรื่นเริงเหมือนเดิมเขาโบกมือหยอยๆ ลอยขึ้นลอยลงรับคำกล่าวลา เจ้าตัวคงไม่รู้หรอกว่าการกระทำใสซื่อเช่นนี้ทำให้ใครบางคนเผลอคิดไปว่าไม่ใช่เด็กน้อยที่ทำแล้วน่ารักแต่ตะวันทำก็น่าเอ็นดูน่ามองไม่แพ้กัน!
ต่อส่วนของน้องแล้วจะตามไปอัพส่วนของพี่แล้วนะจ๊ะ ฝากติดตามด้วยนะจ๊ะกลับมาอัพเดตเรื่องนี้หลังจากค้างเพราะติดเรื่องปลูกถ่ายแนวแพทย์นี่ล่ะค่ะต้องหาความรู้แล้วปรับให้เข้าใจง่ายๆ ไม่ลงลึกเกินไปคนแต่งไม่ได้เป็นหมอจ้ามาลึกมาจะเครียด