Waiting for,Loving around:หาจนเจอ,เธอที่รัก-ซี่ซั่น2
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Waiting for,Loving around:หาจนเจอ,เธอที่รัก-ซี่ซั่น2  (อ่าน 1591 ครั้ง)

ออฟไลน์ keisarinna

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
          Lover Fire : 2 – ตะลุย(ป่า)รักข้างทาง!
          อยากสับต้นคอด้วยสันมือสักทีแต่ปล่อยไว้แบบนี้ณานเพื่อนรักก็ดูน่ารักดีเลยให้โวยวายต่อไป เปิดเพลงฟังแล้วมันไม่สบายใจฟังเสียงแหบแห้งร้องโวยวายดันทำให้จิตใจสงบได้ซะงั้น!...ถ้า
          แว้ปหนึ่งดันนึกถึงน้ำเสียงแปลกๆ ของณานในความฝัน เสียงลมหายใจหนักๆ เสียงอึกอักในลำคอ หัวคิ้วขมวดมุ่นเข้าหากัน เรียวปากขบกันแน่นจนเรียวกรามนูนชัด ให้ตายเถอะ! เพราะไอ้ฝันประหลาดนี่แท้ๆ ทำให้มองหน้าเพื่อนณานได้ไม่เต็มตาเสียที

          ไม่เพียงแต่คิดลามก เท้าน้อยๆ ขนาดเบอร์เก้าของนายตำรวจร่างเล็กกดคันเร่งรีบลบภาพจำไม่ดีออกจากความคิดโดยเร็ว ทำเอาคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ถึงกับอ้าปากร้องทักแทบไม่เป็นภาษาคนสักเชื้อชาติหนึ่ง
          “ที่ร้าก! เสียว!จน (ตัว) แข็งแล้วจ้า พอก่อนเดี๋ยว (ฉี่) แตกน้า!”  คำพูดสองแง่สองง่ามไม่ทำให้นักสืบหน้าหล่อละอายปากที่จะพูดหยอกเล่นกับเพื่อนรัก
          "กลั้นไว้อยาก(ฉี่) แตกใน(รถ) ไม่อยากล้าง" ไคจินไม่สนใจประโยคชวนจั๊กจี้ใต้สะเอว ยิ่งเหยียบคันเร่งเฆี่ยนรถเหมือนขี่ม้าเลี้ยวเข้าป่ารกร้างข้างทางสู่ถนนเส้นวิบาก
         "ที่รักผมชอบ...เสี่ยว...นะแต่ๆ...ขอเปิดงานบนเตียง...ก่อน โอ้ว!" เสียงตะกุกตะกักของณานแม้แต่ระบบขับเคลี่ยนที่ดีก็ไม่สามารถช่วยได้เพราะถนนที่กำลังวิ่งคือดินและก้อนหินเกลื่อนกลาดต่างขนาดกันเหมือนวิ่งบนธานน้ำที่เหือดแห้งมีแต่กองหิน
          "ชู่ว์!..." เสียงกระซิบสั่งให้เบาและปิดปากให้สนิท แต่คนสั่งไม่ได้ตระหนกตื่นกลัวแต่อย่างไรกับกระหายความตื่นเต้นเหมือนหนีตายจากผู้ล่าแต่หน้าตายิ้มกริ่มเหมือนได้เล่นสนุก
          "มายก็อด!" ฌานเห็นหน้าตาท่าทางสนุกสนานกับการขับรถกลางป่ายามค่ำคืนของไคจินได้แต่อ่อนใจ
นักสืบตาไวมองเห็นดวงไฟแล่นตามผ่านกระจกข้างจึงรู้ว่าถูกติดตาม เขาจนปัญญาที่ไม่รู้ว่าฝ่ายไหนกันแน่ที่ตามรังควานอยู่ตอนนี้เพราะช่วงนี้ต่อดีลไว้หลายฝ่ายเหลือเกิน ก็ไม่แต่ทำตามใจปราถนาของที่รักไปจะพาไปลงหลุมรักที่ไหนก็ยอมทั้งนั้น...
          พระเจ้า พระพุทธ พระอัลเลาะห์ พระโพธิสัตว์ โปรดเมตตามนุษย์ชายหน้าตาคมเข้ม สมาร์ทฮาร์ต ร่ำรวยอารมณ์ขัน สเน่ห์ชายชาตรีนั้นก็แพรวพราวคนนี้ด้วยเถิดเทอญ
          มนุษย์หนุ่มยังไม่ได้ดำเนินรอยตามอารยชนแพร่กระจายเมล็ดพันธุ์แห่งมนุษยชาติแม้แต่เมล็ดเดียว!...

          ใครจะไปคิดว่านั่งรถหรูหรายี่ห้อดังแต่สมบุกสมบันลุยป่าฝ่าดงตอนดึกมึดตื๋อแบบนี้ ความรู้สึกตื่นเต้นเกิดเถิดไปจนเริ่มตื่นตระหนกส่วนตัวเป็นคนรักสงบชอบอยู่กับเย้าเฝ้ากับเรือนผิดกับเพื่อนไคจินรายนั้นชอบความโลดโผนโจนทะยานรักการผจญภัย
          “โอ้ย!เอ่อ...ที่ระ”/ “เงียบก่อน!”
           ณานอ้าปากค้างหุบคำว่ารักไม่ได้เพราะได้ยินคำขาดว่าให้งับริมฝีปากกักเสียงอย่าให้หลุดรอดออกมาได้
          ไคจินถอยรถเข้าป่าเข้าพงแม้มองไม่เห็นทางแต่ทำอย่างชำนิชำนานเหมือนทำมาจนชิน พื้นที่ป่าและพื้นที่รกร้างบริเวณนี้เหมือนกับลานหน้าบ้านที่ไคจินวิ่งเล่นตั้งแต่เด็ก เขามีหลุมหลบภัยที่พลางสายตาคนต่างพื้นที่ได้ดี
          ที่แห่งนี้เป็นที่เล่นเกมส์ล่าทรชนคนเล่นจริงกับเพื่อนพ้องอันธพาลเมื่อเป็นวัยรุ่นพลังพุ่งพร่านชอบสิ่งเร้าอารมณ์กระตุ้นอะดรีนาลีน เพื่อนพวกนั้นเล่นจริงเจ็บจริงเสียด้วยสิถ้าไม่เอาตัวรอดก็ต้องนอนระบมนอนซมรอหยอดน้ำข้าว
          สองคนออกจากรถอย่างเงียบเชียบนำโดยนายตำรวจหน้าตี๋เป็นผู้คุมสถาณการณ์ คอยดึงณานให้เดินหลบซ่อนตัวใต้เงาร่มไม้ ช่างเป็นสถานการณ์กระตุ้มต่อมโรแมนติกในคืนอันมืดมิดท่ามกลางแสงจันทร์ จนมาเจอบ้านทิ้งร้างหลังหนึ่ง
          เหมือนฉากละครสักเรื่องล่ะนะแค่ฝนไม่ได้ตกพร่ำๆ โอ้ละหนอ! ชีวิตคือละคร พระนาง ตัวร้าย นางรองก็หนีไม่พ้นคุณๆเราๆ นี่แหล่ะท่าน
          ด้านในเชลเตอร์ทำให้แปลกใจทำลายภาพลักษณ์ของบ้านร้างที่เคยจำฝังใจจนหมดสิ้น เหมือนบ้านที่จงใจทำให้ด้านนอกดูโทรมซอมซ่อแต่โครงบ้านเองกำลังโดนต้นไม้และพืชพันธุ์ธรรมชาติเข้ากลืนกิน
          มีเครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับนอนพักค้างแรมชั่วคราว การใช้ชีวิตในนี้ดูไม่ลำบากนักถ้าเตรียมตัวเตรียมสัมภาระที่จำเป็นต้องใช้มาให้พร้อม
          “แฟนตาซีสุดขั้วเลยที่รัก บ้านคนแคระทั้งเจ็ดหรือ? ไหนสโนว์ไวท์ล่ะ” นักสืบหนุ่มเพ็งสายตาขยายม่านตาให้สุดขอบรับแสงจันทร์ที่ส่องมายังห้องหลบภัยขนาดเล็กนี่ หากแปลงร่างเป็นนกฮูกได้ตอนนี้คงจะใช้ชีวิตในค่ำคืนที่นี่ได้ง่ายกว่าร่างคน
          “ไม่ต้องตื่นเต้นไปน่า โชคดีพอมีแบตเตอรี่ให้ใช้ได้” ไคจินเคลื่อนไหวในความมืดอย่างคล่องแคล่ว ถอนหายใจยังไม่ทันสุด หลอดไฟดวงน้อยได้ส่องสว่างพอให้เห็นสภาพแวดล้อมรอบตัวให้ชัดขึ้น
          ถึงจะอยู่ไม่สุขสบายเหมือนบ้านตัวเองแต่ไม่ได้อยู่อย่างลำบากเหมือนเข้าแคมป์ลุยป่าอยู่เต้นท์ ร่างเล็กๆของเพื่อนหนุ่มหน้าตี๋จัดนั่นทำนี่อีหลุกขลุกขลัก ทำให้คนอยากจะช่วยได้แต่ส่งกำลังใจให้แทนและหันไปสำรวจบ้านน้อยกลางสวนป่า
          “เราพักที่นี่คืนนี้ก่อน เช้ามืดค่อยกลับไปคลับ” นายตำรวจจัดที่นอนสำหรับคืนนี้อย่างลวกๆ แต่พอจะนอนหลับลงได้ ถึงจะไม่สบายเหมือนนอนเตียงแต่ก็ดีกว่านอนบนพื้นดินหรือพงหญ้า
          “หลับไม่ลงหรอกที่รัก” คนติดบ้านติดความสบายแต่สไตล์โฮมมี่แบบมีรากไม้ต้นไม้เป็นฝาบ้านเป็นหลังคาทำเขาตื่นเต้นจนหลับไม่ลง
          “แล้วแต่นายล่ะกัน” ไคจินคว้าโทรศัพท์มือถือออกมาหวังจะโทรหามาเซอร์แพทริคแต่สัญญาณการสื่อสานไม่อำนวยนัก เขาทิ้งตัวนั่งพิงผนังต้นไม้แกว่งมือถือไร้ประโยชน์ไปมาฆ่าเวลา
          ณานเลิกคิ้วถามเพื่อนรักว่าทั้งหมดที่ถ่อสังหารเหมือนหนีการไล่ล่ามาที่นี่มีเพียงแค่นี้เท่านั้นหรือ เขานึกว่าจะมีอะไรน่าตื่นเต้นกระตุ้นการทำงานของหัวใจมากกว่านี้เสียอีก
          “จะรีบร้อนไปสู้ ยังไม่รู้เลยว่าศัตรูคือใคร” ไคจินเตือนสติเพื่อนชายให้ดำเนินชีวิตนักสู้ด้วยความระมัดระวังจะต่อยเตะต้องไม่ประมาท ให้ฝ่ายตรงข้ามสวนกลับเหมือนตัวเองเป็นกระสอบทราย
         “มีเพื่อนร่วมรัก เอ้ย! มีเพื่อนรักอยู่ด้วยเรื่องพละกำลังหายห่วง” นักสืบตีฝีปากใส่ไคจิน ส่งลูกล่อลูกชงจีบเพื่อนไม่หยุดหย่อน
         “นายไม่อยากพักบ้างหรือไง” พักทั้งหาเรื่องใส่ตัวและหยุดหยอดมุกจีบเขาเป็นแฟนเสียทีเถอะ อย่างน้อยๆ ก็ให้รู้เวล่ำเวลาเสียบ้างบางครั้งคำพูดเลี่ยนๆ หื่นเหียนเหล่านั้นไม่ได้เสริมสร้างโหมดหลงรักแก่เขาเลย
          จะให้หลงรักก็คงไม่ได้แล้ว ความรู้สึกมันเกินหลงจนรักนานแล้วแต่...ใจของไคจินยังติดคำว่า แต่ แม้จะยอมรับใจตัวเองส่วนร่างกายยังไม่พร้อมจะยอมรับณานเข้ามาเสียที เหมือนคนอยากมีแต่สามีไม่ยอมเสียตัว!
          หลายเหตุการณ์รุมเร้าความรู้สึกนึกคิดของไคจินมากไปในตอนนี้ ให้เวลาช่วยแก้ไปที่ละเปาะปัญหาแล้วกัน ไว้เขาสามารถแก้ปมได้ด้วยตัวเองเมื่อไหร่...เมื่อนั้น ก็เมื่อนั้นแหล่ะ คิดไปวางแผนไปก็แก้ปัญหาทางความคิดและจิตใจไม่ได้อยู่ดี
          “ชีวิตไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่เพื่อนรักคิดเสียหน่อย” แค่ต้องวางแผนนิดหน่อยหากจะเดินสายเป็นนักชักใยตัวยง หากเป็นคนธรรมดาชีวิตมันช่างแสนง่าย
          “ถ้านายไม่นอนก็หุบปากเจื้อยแจ้วย้อยๆ ของนายเสียทีเถอะ” มือเรียวตบแปะๆ ข้างตัวให้ณานมานั่งพักซึ่งเจ้าตัวเองเมื่อถูกเรียกก็ยอมมานั่งด้วยแต่โดยดี
          ร่างสูงหยุดปากพูดมากของตัวเองแต่โดยดีเหมือนสามีโดนภารยาออกคำสั่ง ใจจริงไม่อยากยั่วอารมณ์ให้คนน่ารักต้องโมโหโทโส แต่มันหยุดแหย่ไม่ได้ ใช่ว่าพึ่งทำเสียเมื่อไหร่ตัวตนของเขาก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด
          ไคจิเองก็ทำเป็นรำคาญที่จะฟังเขาพร่ำรำพันไปอย่างนั้นไม่ได้โกรธอะไรจริงจัง เคยได้ยินพวกผู้ชายพูดกันไหมล่ะ ยิ่งรักมากก็ยิ่งแกล้งเยอะ แบบว่าเรียกร้องความสนใจล่ะน้า
          นายตำรวจร่างเล็กหลับตาพักความวุ่นวาย สมองฟุ้งซ่านคิดมากบานปลายผูกเรื่องราวมากมายผสมปนเปมั่วไปหมด แขนยาวๆ ของคนข้างๆ ก็อ้อมหลังมาดึงร่างเล็กของเพื่อนให้ซบตรงอกพอดี
          “นายเนี่ยนะจะให้ฉันพักบ้างไม่ได้หรือไง” ปากเล็กๆ บ่นแต่ไม่ได้คิดอะไรด้วยนิสัยส่วนตัวต้องโวยวายนิดหน่อยหรือเว่อร์วังขึ้นอยู่กับสถานการณ์
          เสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอที่อยู่เลยหัวทุยเล็กๆ นั้นดูจะพอใจกับคำบ่นกระปอดกระแปด บ่นด่ามากๆ แสดงว่าคนๆนั้นรักเขามากจนต้องระบายออกมาเป็นคำด่า! ทัศนะคติคิดบวกแต่บางคนเขาด่าเพราะเขาเกลียดจริงก็มี ไม่เช่นนั้นบนโลกบนนี้คงไม่มีใครฆ่ากันหรอก แค่มองหน้ายังต่อยตีกันได้เลย
          “หึ! นายมันบ้าขนานแท้เลยสินะ” ไคจินไม่รู้ว่าณานคิดอะไรอยู่ตอนนั้น แค่อยากบ่นระบายความเงียบในห้องซ่อนตัวแห่งนี้
          ณานไม่พูดต่อความยาวสาวความยืดเยื้อ แค่กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น สองแขนยาวนั้นโอบคนตัวเล็กให้แนบลำตัวหวังช่วยคลายความหนาวเย็น
          เขาเคยเรียนในวัยเด็กว่าช่วงกลางคืนต้นไม้คายความเย็นและทำให้เกิดลม ถึงในบ้านนี้ไม่มีลมแต่ล้อมรอบด้วยต้นไม้จนเขารู้สึกเย็น เสียดายที่ถอดสูทชั้นนอกไว้บนรถไม่อย่างนั้นคงใช้คลุมทำให้อุ่นได้บ้าง
          เพื่อนรักสองคนนั่งเคียงกันมองดวงจันทร์ผ่านหลังคาที่แตกหักของบ้านหลบภัยกลางป่า ไคจินอยากหลับแต่หลับไม่ลง ผิดกับอีกคนที่ยอมนั่งถ่างตาไม่อยากหลับเพราะนานที่เพื่อนรักสุดดื้อดึงจะยอมเป็นเด็กน้อยว่านอนสอนง่าย
          “เลิกลูบฉันเถอะน่า มันจั๊กจี้ยังกับโดนหมาเลีย” นิ้วเล็กบิดไม่ยั้งแรงบนหลังมือที่เกาะกุมลูบคลำจนเริ่มรู้สึกวูบวาบแปลกประหลาด
          “ถ้าอย่างนั้น...คงไม่กลัวโดนหมากัดสินะ” เรียวปากไวงับหมับขบเม้นที่ใบหูของไคจิน ทำเอาคนในอ้อมอกถึงกับสะดุ้งโหยงความรู้สึกโยนขบกัดทำให้เกิดความรู้สึกบางอย่างที่ร่างบางอาจจะชื่นชอบเมื่อถูกกระตุ้น
          “ให้ตายเถอะ!...นายจะเร่งเร้าทำไมหนักหนา” ไคจินอยากจะยอมโอนอ่อนให้เพื่อนบ้างแต่ด้วยนิสัยชอบเอาชนะมักจะขัดความตั้งใจจริงอยู่เรื่อย
          ”ดูนายออกจะชอบให้มีสิ่งเร้า” ณานรุกหนักครั้งนี้เขาจะไม่ยอมให้ไคจินหาทางรอด มุดหนีจากความรู้สึกรักของเขาออกไปอีกแม้จะออกห่างแค่เซนติเมตรเดียว เขาก็จะกระชากกลับให้ตัวติดกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ
          “นายนี่มัน โอ้ย!” ยังไม่ทันได้บ่นคำด่า เขี้ยวทื่อๆ ขบเข้าให้บนต้นคอ ถึงจะงับหยอกเย้าแต่ทิ้งรอยฟันไว้บนผิวขาวๆ ของไคจิน
          คนโดนกัดเจ็บจี๊ดๆ แสบๆ คันๆ เสียหัวเราะขอบใจของณานยิ่งทำให้ไคจินหมั่นหน้าหมั่นไส้ ปากน้อยๆ ยื่นไปงับคางบุ๋มเข้าให้ คมฟันหน้ากดกัดเมื่อสัมผัสกับผิวเนื้อปลายคาง
          “พระเจ้า! ผมหล่อจนที่รักอยากกินเข้าไปเลยเหรอ” ณานคนชอบแหย่เย้าจนเจอตัวจนเจ็บตัว ถึงไม่เลือดตกยางออกแต่ความเล่นใหญ่แสดงโตรอไคจินตกลงมา
          เรียวฟันแข็งเปลี่ยนเป็นรอยจูบนุ่มนวลของตำรวจหน้าตี๋ทำให้ณานด้นบทสดต่อไปไม่ออก บทจะดุก็ร้ายบทจะอ่อยก็ทำใจสั่น คราวนี้เขาเองคงต้องกลับไปรักษาโรคใจแกว่งแทนโรครักเสียแล้ว
         “นายก็ยั่วแหย่ฉันตลอดก็นึกว่าอยากให้ก...!” จะจบด้วยคำว่ากินก็ยังทำไม่ได้เพราะปากเจ้ากรรมโดนเรียวปากซุกซนของณานฉกชิงไปครอบครองประคองป้อนด้วยจูบแสนรักไปเสียแล้ว
          ตาเรียวเล็กหรี่ปิดลงเปิดใจสัมผัสรสรักผ่านจูบที่ทำให้หัวใจแข็งกระด้างอ่อนยวบยาบ ห้วงเวลาแห่งความเคลิบเคลิ้มหลงใหลกินเวลาไปเรื่อยจนกว่าทั้งสองคนจะถอนถอยริมฝีปากออกจากกัน
          นักสืบหนุ่มไม่รอให้เวลานั้นมาถึงเร็วนัก เขากวาดปากส่งทักษะสู่ปลายลิ้น หนุ่มเพื่อนรักชะงักเล็กน้อยด้วยไม่คาดว่าเพื่อนจะกล้าส่งลิ้นละเลงเล่น
         หนุ่มหน้าตี๋พยายามดึงหน้าออกจากคนหน้าหล่อล่อลวงจูบแต่ไม่สำเร็จ พอดันตัวออกห่างก็โดนโอบรัดให้แนบอกอุ่นจนผิวเริ่มระอุร้อน นักสืบใช้กลยุทธหลอกให้ผ่อนคลายแล้วโต้กลับจู่โจมไม่ยอมหยุดไม่มีหย่อน
          สุดแรงที่จะต้านและแข็งขึนไคจินได้แต่ปล่อยเลยตามเลย อยากจะลากอารมณ์ไปสุดทางที่ตรงไหนให้ณานนำไป
          เมื่อคนจู่โจมรับรู้ว่าคนที่เขารุกไล่ส่งลูกล่อลูกชนเริ่มจนทางหนีและยอมจำนนต่อเขาแล้ว มีหรือจะยอมหยุดอยู่แค่จูบ ถึงจะจูบเร้าอารมณ์แค่ไหนวันต่อไปไคจินก็ทำตัวเอ้อระเหยลอยชายกับความรักที่เขามีให้อีกเหมือนเดิม
          ในเมื่อโอกาสมีวันนี้เขาจะไม่ละทิ้ง ถึงจะแอบทำไม่ดีเอาไว้บ้าง แต่จะให้ทิ้งเวลาตอนนี้เพื่อรอวันต่อไป ไม่มีทางเสียหรอกที่จะพลาด ต้องรีบฉวยโอกาสนี้ไว้
          ณานทำอะไรไม่สะดวกนักเพราะชุดพอดีตัวที่สวมอยู่วันนี้ เขาปลอดกระดุมคลายทรงเสื้อให้พอหลวมจากนั้นจึงเริ่มวุ่นวายกับเสื้อผ้าบนร่างกายคนตัวเล็กที่นอนพิงซุกตัวระหว่างขาของเขา
          “ที่นี่ตอนนี้ที่รักไม่ติดนะครับ” เสียงแหบกระซิบกระซาบข้างหูแดงแจ๊ดของไคจิน ณานจะรุกให้สุดและหยุดที่...นี่เลยหรือ
ไคจินเบี่ยงหน้าหนีแม้แสงสว่างจะมีไม่มากแต่ความร้อนผ่าบนใบหน้าและไอระอุร้อนใต้เสื้อผ้าหนาๆ ที่สวมอยู่นี้ อีกทั้งยังมือเรียวยาวที่เกาะกุมอยู่บริเวณท้องน้อยยิ่งเร่งปฏิกิริยาทางร่างกายได้ดีนัก
           “ติดไม่ติดฉันคิดเองได้! ไม่ต้องให้นายมาถามเหรอ” สุภาพบุรุษจอมปลอมล่ะไม่ว่าไคจินค้านในใจ เพื่อนณานดื้อดึงดันทุรังเร่งรัดอารมณ์เขามาถึงขนาดนี้แล้วยังกล้าขอ
          ร่างสูงไม่รอช้าให้ไคจินรวมพละกำลังขึ้นมาใหม่เพื่อต่อต้านการกระทำของเขา ถึงเพื่อนรักจะชอบคำตัวเก่งกร่างตะบี้ตะบันปลุกปั้นพละกำลัง มีความชอบที่เขาไม่สามารถเข้าถึงและไม่สามารถใช้ความคิดตัวเองวิจารณ์ความชอบและการกระทำนั้นได้ แต่เขามั่นใจอย่างหนึ่งว่าไคจินมีใจให้เขาแน่นอน
          คนเจ้าเล่ห์จัดท่าทางให้เพื่อนรักเปลี่ยนเป็นนั่งคล่อมบนหน้าตัก ก้มหน้าเข้าใส่คนหน้าใสให้หน้าผากดันใบหน้านายตำรวจหนุ่มให้เงยขึ้นแล้วจุมพิตเรียวปากบวมตุ่ยน่ารักนั้น
          เสียงอือออให้ลำคอขาวไม่ได้พึงพอใจแต่อยากจะก่นด่าใส่ณามมากกว่าเพราะแนวคิ้วขมวดมัดกันเป็นโบว์บนหน้าผาก หากชอบใจคงไม่นิ่วหน้านิ่งคิ้วชนกันแบบนี้ ณานจะทำร้ายเรียวปากจิ้มลิ้มน่ารักของเขามากไปจนเขาเริ่มหมดความรู้สึกเมื่อเรียวปากสัมผัสกันแล้ว
          “ขอโทษ ตื่นเต้นไปหน่อย” คนเผลอตัวเอ่ยขอโทษขอโพยเหตุที่คุมความต้องการของตัวเองไว้ไม่อยู่
          “คนนะไม่ใช่ตุ๊กตายาง นายนี่มัน!” สีหน้าไคจินไม่ได้แสดงอารมณ์ออกมามากนัก น้ำเสียงประชดประชันไม่ได้โกรธเกี้ยวเหมือนยามที่คุยกันตามปกติ
          ความใจกล้าหน้าทนของพ่อนักสืบถึงคราวต้องนิ่งคิดแล้วว่าจะหยุดอยู่ตรงนี้หรือลุยต่อไปให้สุดทาง เขาแนบร่างเพื่อนรักไว้กลางอกหนุนปลายคางบุ๋มไว้บนศรีษะทุยเล็กนั้น
          เวลามาถึงแล้วแต่จังหวะยังไม่ดีพอ น่าเสียดายจริงๆ 
          ชายร่างเล็กซุกหน้าลงกลางอกอุ่นรู้สึกจั๊กกะจี้เล็กน้อยเมื่อแก้มยุ้ยของตัวเองสัมผัสไรขนบนอกชวนเซ็กซี่นั่น ใจลึกๆ อยากจะต่อโชว์ให้จบแต่ความรู้สึกอยากยับยั้งความหวิวไหวครั้งนี้ไปเสียก่อน ตัวเขาเองอ่อนใจกับความคิดตัวเองในบางครั้งบางคราวเหมือนกัน
          ความเหนื่อยหน่ายน่าหนักใจกว่านั้น คือมันทำให้เขาเป็นคนยักเย้ยักยัน ความสุขมากองอยู่ตรงหน้าแต่กลับไม่มีความกล้าก๋ากั่นที่จะกระโจนลงแรงแลกตัวกับความรัก
          “นาย...” ไคจินอยากถามณานว่าเบื่อคนยึกๆยักๆ เล่นตัวกับความรักอย่างเขาหรือยัง
          “ผมรอได้ แต่อย่าให้รอจนหิวตายนะที่รัก” จูบนุ่มนวลที่แก้มยุ้ยน่ารักด้วยความรักใคร่และเอ็นดู ไคจินเหมือนเด็กน้อยน่ารักในอ้อมกอดพ่อยอดชายจอมเจ้าชู้มากเลห์ในทันที เขารู้แก่ใจว่าได้ตะกละตะกลามกวาดกินออเดริฟมามากพอสมควร รอกินจานหลักสุดอร่อยล้ำอีกซักหน่อยไม่ได้ทำให้เขากระหายหิวแต่อย่างใด
          “ฉันจะชดเชยให้ นายไม่ขาดทุนแน่นอน” เสียงแหบแนบคำให้สัญญาว่าฝ่ายที่รอจะไม่เสียประโยชน์ เขาจะตั้งใจจ่ายค่ารอให้คุ้มค่าเกินทุนที่อดทนรอ
          นักสืบหนุ่มเอ็นดูความใจกว้างเกินจำเป็นของตำรวจหนุ่ม อดที่จะใช้มือทั้งสองข้างบีบเค้นแก้มก้นงามงอนที่นั่งซ้อนบนตักไม่ได้ คำพูดคำจาอ่อยอ้อยั่วเยไม่รู้ไปเรียนมาจากใครฟังแล้วทั้งหมั่นไส้ทั้งใจเสีย ถ้าเจ้าเพื่อนตัวดีไปเสนอตัวแบบนี้ให้ชายอื่นตัวเขาเองต้องได้อกแตกตายแน่
          “ผมจะทบต้นทบดอกจนจ่ายไม่ไหวเลยคอยดู” สองมือที่วนเวียนหยิกเขยำก้มไล่ลามมาจ้ำจี้รอบเอวของคนบนตัก คนร่างเล็กดิ้นกระตุ๊กกระดิ๊กขลุกขลักบนหน้าตักของณานเพราะจั๊กจี๊
          เวลาความร่มรมณ์ผ่านไปไม่นานนัก เพื่อนร่างเล็กได้ฟุบหลับแนบอกนักสืบหนุ่มไปแล้ว ดวงตาคมโตเหม่อมองยังแสงจันทร์ผ่านหลังคาแตกหักในบ้านทิ้งร้างแห่งนี้
          ณานหรี่ตาลงและข่มให้หลับแต่ทำไม่ได้ง่ายเหมือนนอนทิ้งตัวบนที่นอนเพราะให้อ้อมกอดของเขาตอนนี้มีร่างเนื้อทับอกเขาไว้อยู่ คืนนี้เขานั่งถอนหายใจไม่รู้เป็นรอบที่เท่าไหร่เพื่อนรักกลับหลับคาอกเขาได้หน้าตาเฉยและดูจะนอนสบายหลับสนิทผิดกับตัวเขาที่กระวนกระวายทั้งกายและใจ
          หนทางเก็บต้นทบดอกของณานยังจะอีกยาวไกล เขาควรจะต้องเพิ่มพลังเก็บแรงไว้เมื่อถึงเวลาละเลงต้นทะลายดอกเมื่อไหร่ ไคจินจะพูดจาก๋ากั่นเชื้อชักยั่วเพศอีกไม่ได้ นอกจากนอนรับรักที่ถาโถมเข้าใส่เพียงอย่างเดียว คิดได้เช่นนี้คนหน้าเข้มเหยียดยิ้มหลับตาพริ้มอยู่ในภวังค์ทั้งที่ไม่ฝัน เพราะหลับไม่ลง!
          อีกนิดเดียว อีกนิ๊ดเดี๊ยวค่า....เจอกันตอนต่อไปนะทุกคน  :hao3:

ออฟไลน์ keisarinna

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ยินดีต้อนรับเข้าสู่ชะตาลิขิตอลวน ช่วงชีวิตอลเวง หากใครที่ไม่เคยผ่านชีวิตตกระกำย่ำแย่เป็นโอกาสดีที่พวกคุณจะได้เร่งทำดีหนีความวิบัติทางภัยกรรมที่พร้อมกระหน่ำย่ำให้คุณจมอยู่ใต้โคลนดิน!

Lover Fire 2 - The New Begining : ภัยร้าย กลายรัก

          คนรุ่นเก่ามักปลอบขวัญเด็กฝันร้ายจะมักกลายเป็นเรื่องดี แต่เขาฝันเรื่องเดิมๆ จนสับสนว่าตื่นอยู่หรือกำลังฝันเพราะลืมตาอีกกี่ครั้งก็ยังอยู่ในเหตุการณ์นี้ไม่สิ้นสุดเสียที
          เสียงใบพัดตีอากาศเสียงดังสนั่น เฮลิคอปเตอร์สองลำแผ่ดเครื่องยนต์กึกก้องแข่งกับมวลหิมะถล่มที่ม้วนตัวรวมกันเป็นเกลียวคลื่นขาวโพลนที่ไล่หลังกระแทกตัวลงมาเสียงดังครืดๆ สามแหล่งที่มาของเสียงประสานแข่งเร่งเสียงตนให้ดังกลบเสียงคนตื่นตระหนกตะโกนโวกเวกเหมือนชมละครใบ้
          คลื่นหิมะยักษ์รวมพลม้วนตัวลอยไถลเป็นระลอกเหมือนทิวเขาเป็นดั่งท้องทะเล คลื่นขาวตีเข้าขอบฝั่งคือที่ราบระหว่างเขาด้านล่าง
          เฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวของรัฐมนตรีช่วยฝ่ายบริหารและผู้ติดตามเร่งใบพัดบินหนีคลื่นขาวโพลนไปได้อย่างหวุดหวิด ควาวมแรงของหิมะกระเซ็นซัดพัดหางเสือแกว่งจนเครื่องโคลงเคลงสร้างความหวาดเสียวให้คนบนเรือบินเล็ก
          ส่วนลำที่สองเป็นเฮริคอปเตอร์ช่วยเหลือผู้ประสบภัย ออกตัวช้ากว่าเพราะวนหาผู้โดยสารที่พลัดตกเครื่อง เมื่อคนขับตัดสินใจทิ้งคนแล้วรีบเร่งนำเครื่องบินให้สูงขึ้นหนีภัยคุกคามจากหิมะ อีกเสี้ยวนาทีจะหลบพ้นคลื่นหิมะกองมหึมา...
          เสียงเหมือนของแข็งทุบโลหะดังปัง! ทุกอย่างดับเหมือนไฟตัดทั้งสติและชีวิตคนบนเครื่องเหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้าโดนถอดปลั๊ก
          สรรพชีวิตรอบตัวนิ่งสนิทและหนาวเย็น สติวูบวาบดับๆติดๆเหมือนรถขาดน้ำมัน เขาเคยได้ยินคนใกล้ตายมักเรียกหาลูกหลานหรือคนสนิท ไม่ได้กลัวตายแค่เสียดายที่จากนี้ไปอาจไม่ได้เจอคนที่เรารักได้อีก
          ‘ณาน! เคลาส์ตก...’ เรียกปากรูปกระจับขยับแผ่วเบาก่อนนอนนิ่งสลบไป

          บริเวณหลังเขายังคงเงียบสงบดั่งเช่นปรกติ ผิดอีกฟากฝั่งที่โดนหิมะถล่มใส่จนขาวโพลน หลังจากเสียงครางครืนของจำนวนหิมะมหาศาลไหลกรูมายังตีนเขา พร้อมกับเสียงประหลาดดังตุบเหมือนของหนักตกลงมา พื้นหิมะที่ตกทับถมกันเป็นเวลานาน ความหนานุ่มบรรเทาแรงกระแทกได้ส่วนหนึ่งให้ได้ยินเสียงฟุ่บฟับ
          เสียงของตกดึงความสนใจของจิตรกรหนุ่มให้หยุดหมกมุ่นในงานศิลป์ตรงหน้า อากิเจ้าชายแห่งงานจิตรกรรมร่วมสมัยเดินนวยนาดเหมือนตัวเองเป็นงานอาร์ตมายังที่เกิดเสียงดัง
          เจ้าตัวเบิกตากว้างเหมือนยืนมองดูงานศิลปะชั้นยอด แนวเสมือนจริงและหลอนประสาท!
          เขากรอกเสียงใส่โทรศัพท์มือถือแทบจะไม่ได้ฟังปลายสายพูดตอบกลับมา น้ำเสียงร้อนรนของเจ้าชายหาได้ยินไม่บ่อยนัก ส่วนใหญ่มักจะสาดคำพูดคำจาแข็งกระด้างกระดานยังเรียกพี่สภาพแวดล้อมการเลี้ยงดูที่ดีและเข้มงวดคงไปกระตุ้นต่อมต่อต้านสังคมในตัวให้ลุกโชนเป็นวัยรุ่นสร้างแรงกดดันให้คนรอบข้าง
          “มาที่บ้านหน่อยสิ... เปล่า ๆ สบายดี แต่มีคนเจ็บอยู่ที่นี่ เหมือนตกลงมาจากที่สูง ...
          “นอนไม่ขยับเลย ...
          “ได้ ๆ จะไม่แตะเลย...
          เสียงพูดคุยต่อท้ายยาวเป็นหางว่าว ตาก็คอยชำเลืองมองว่าคนตรงนั้นจะลุกขึ้นมาหาตัวเองหรือเปล่า
          “ถามแปลกนะ ก็ไม่เป็นอะไรนี่... แต่เมื่อกี้ได้ยินเสียงประหลาด ดังครืน ๆ อยู่บนภูเขา” คนพูดกรอกเสียงใส่คู่สนทนาไม่หยุดพักหายใจ
          “หา? ปิดเขตอันตราย! หิมะถล่ม!” น้ำเสียงฟังอยู่ร้อนลนไม่ใช่เพราะกลัวการขาดการติดต่อยังใช้ได้อินเตอร์เน็ตก็ยังมี แต่ปัญหาอยู่ที่ไอ้คนตรงนั้นน่ะใครจะพาออกไปล่ะ
          “ว่าแต่ ฮอล์ของโรงพยาบาลมารับได้ไหม อย่าให้ใครมาตายในบ้านนะ กลัวผีเว้ย...
          “อ้าวเฮ่ย! อาหมอ! ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย มาไม่มาเนี่ย” มือเรียวกดโทรออกซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ติดต่อกลับไปไม่ได้ สัญญาณเหมือนขาดหายไปซะดื้อ ๆ
          “โห้ย...ตัดไปแล้ว มันน่านัก ชิส์” บ่นจิกจั๊กแล้วก็เดินตรงมายังผู้ทำให้เกิดเหตุคนหล่นจากฟ้า
          “นี่...นี่นาย” มือเรียวเขย่าบ่าหนาอยู่ซักพักแต่ก็เหมือนนึกขึ้นได้ว่าคนเป็นหมอสั่งมาว่าห้ามไปขยับหรือทำอะไรกับคนเจ็บ ตากลมลอบมองใบหน้าของคนที่นอนสลบแน่นิ่ง ต้องจดจำรายละเอียดเอาไว้เผื่อเกิดเป็นผู้ร้ายจะได้บอกตำรวจถูก
          “หน้าคุ้น ๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหน อ๊ะ! หน้าโหลนี่เอง!” เพ่งพิจารณาอย่างถ้วนถี่แล้วประมวลผลออกมาตามความคิดเจ้าตัว
          “หน้าคนฝรั่งเหมือนกันหมดเปล่าว้า” พูดเองเออเองไปทั่ว รั่วและเรื่อยเปื่อยด้วยความตระหนกตกใจ กว่าจะรู้สึกตัวใบหน้าของตัวเองก็แทบจะแนบชิดกับคนตรงหน้าอยู่แล้ว และเหมือนจะนึกอะไรออกขึ้นอย่างอย่างกะทันหัน
          “ละ...เลือด!..บ้าเอ้ย! ทำไมไม่ยอมมารับซักที คนกลัวผีนะเว้ย เกิดมาตายอยู่นี่เป็นผีจะทำไง”
         เวลาผ่านไปพอควรจนคนคนเลิกลั่กเริ่มใจเย็นขึ้น นั่งรวบรวมสมาธิดึงสติกลับมาอยู่กับตัวได้มากขึ้น มือเรียวคอยจับชีพจรที่ใต้คางเป็นระยะ โชคดีที่หิมะหยุดตกมาได้ซักพักไม่เช่นนั้นคนที่หล่นตุบลงมากองตรงนี้คงได้มีหิมะฝังร่างโดยไม่ต้องใช้ดินกลบให้เสียเวลา
          หนุ่มสายศิลป์โลกส่วนตัวสูงผู้หลบลี้หลีกหนีสังคมมาอยู่บนเขา เดินเข้าบ้านไปหยิบผ้ามาสองผืน ผืนของตัวเองรีบนำมาห่มห่อกันความหนาว ส่วนอีกผืนนำไปคลุมร่างชายหนุ่มแปลกหน้าที่นอนนิ่งอยู่สวนหน้าบ้าน
          และแล้วการรอคอยที่เนิ่นนานก็จบลง เมื่ออาหมอมาพร้อมอุปการณ์ช่วยเหลือ โชคดีของพ่อหนุ่มนี่จริงๆ ถ้าเป็นหมอในระบบประจำการโรงพยาบาลอย่าหวังเลยว่าจะมารักษาคนป่วยนอกสถานที่ได้
          ด้วยความชำนาญในอาชีพไม่มัวมาเสียเวลากับการบาดเจ็บเล็กน้อยตามลำตัว มีแผลแตกที่ขมับคราบเลือดเริ่มแห้งและแข็งเกรอะบริเวณซีกหน้าขวา ที่สลบอาจไม่ใช่เพราะแผลที่หัวอาจเป็นอย่างอื่นเสียมากกว่า ต้องรอให้คนเจ็บฟื้นขึ้นมาแล้วค่อยตรวจละเอียดอีกครั้ง
          “ยังไม่ต้องรับการรักษาเร่งด่วน กระดูกไม่มีหัก มีรอยขีดข่วนตามตัว รอยช้ำอาจชัดขึ้นวันพรุ่งนี้แล้ววจะแวะมาตรวจซ้ำ ส่วนหัวที่น่าจะถูกกระแทกต้องรอเขาฟื้นและจะได้ดูอาการต่อไป” อาหมอร่ายยาวบรรยายอาการคนเจ็บมีหลานชายยืนฟังจะเข้าใจหรือไม่นั้นคาดเดาได้ยากใบหน้าดุจเทพปั้นไม่แสดงอารมณ์อะไรนอกจากเรียวปากได้อ้าออกเสียงเท่านั้น...ไฟบรรลัยกัลป์!
          “ก็น่าจะไม่เป็นไรเสื้อผ้าหนากว่าตัวเสียอีก”
          “แล้วคุณชายแตกตื่นไปทำไม กลัวเขาตายทำไมล่ะหลาน” หนุ่มใหญ่ที่ถูกเรียกว่าหมอตอบล้อเลียน ที่อย่างเนี่ยล่ะทำเป็นปากเก่ง คนที่กลัวหนักกลัวหนาเมื่อกี้คงวิ่งหนีเข้าป่าหิมะไปแล้ว
          “ก็เลือดอาบหน้าซะขนาดนั้น” ตอนตอบแก้ตัวเสียงอ่อย ๆ เขามีความทรงจำที่ไม่ดีกับสีแดงเท่าไหร่ ตื่นตระหนกทุกครั้งที่เห็นเหมือนเป็นของแสลง และครั้งนี้จะต้องโดนล้อเรื่องนี้ไปอีกนานจากอาหมอขี้แกล้งแน่นอน
          “แล้วนี่ไปเจอมาจากที่ไหน” ถามไปพรางนำอุปกรณ์ทำความสะอาดแผลต่างๆ ทำปฐมพยาบาลเบื้องต้นไปก่อน
          “ตอนเจอก็เห็นนอนสลบอยู่ใต้แนวสนหน้าบ้านแล้ว” เชิดปากโบ้ยไปที่สวน
          คนเป็นหมอเรียกคนที่ตามมาด้วยให้ช่วยย้ายร่างคนเจ็บเข้าไปในบ้าน มีห้องว่างอยู่หลายห้องน่าจะรับรองคนเจ็บให้หลับสบายดีกว่านอนหนาวอยู่หน้าบ้านท่ามกลางกองหิมะ
          “พรุ่งนี้ถนนคงเปิดใช้งาน อาจะมารับพาลาดินไปตรวจในโรงพยาบาล” หลานชายตามมุขไม่ทันไม่รู้ว่าพาลาตินที่อาพูดคืออะไรจะใช่นักรบในเกมสายแทงค์ผู้อึดทึกทนในเกมส์หรือเปล่า
          “อยู่คนเดียวอันตรายนะ กลับญี่ปุ่นไปอยู่เป็นเพื่อนท่านย่าเถอะ เป็นอะไรขึ้นมาอาจะหาลูกชายหน้า...งามหุ่นดีแบบนี้ไปคืนพ่อเราได้ยังไง”
          “คุณอา! ทำไม? เหยียดเพศเหรอ ยุคสมัยเปลี่ยนแล้วตามให้ไว” คุณหมอฟังหลานตัวดีพูดได้แต่ยิ้มรับ เอ็นดูหลานก็ใช่แต่อย่าให้เอ็นขาดมันจะไม่น่าดูนะหลานรัก! (คุณอาหมอคนอ่านจะคิดลึกนะคะ)
          “จ้า...หลานเป็นตัวเองให้เต็มที่ อย่าให้อาเดือดร้อนก็แล้วกัน...ฮ่าๆ”
          ตรวจอาการคนเจ็บเสร็จ หยูกยาต่างๆ จัดไว้พร้อมแล้วเตรียมตัวกลับหิ้วกล่องสัมภาระคู่ใจออกไปหน้าบ้าน เดินตรงไปยังรถจิ๊ปที่มีทหารพลขับรอพร้อมอยู่ก่อนแล้ว
          “คุณอา! เป็นถึงหมอพูดจาเรื่อยเปื่อย ผมยังไม่เดือนร้อนเลยมีหมอเป็นอาเนี่ย” เสียงแว๊ด ๆ ที่ตามหลังเขามาไม่ได้ทำให้เขาหันกลับไปมองเลยซักนิด
          “หึ...มีอาอย่างฉันจะเดือนร้อนก็บ้าแล้ว” เมื่อวันก่อนก็นอนซมเป็นไข้อยู่คนเดียว หากเขาไม่แวะมาหาก็คงต้องนอนตายคาบ้านแน่ๆ
          คาดเดาอารมณ์คนศิลปินเป็นงานหินและยากเกินคาด ดื้อก็ขนาดนั้น ขวางโลกก็ที่หนึ่ง แถมพูดยังไม่เสนาะหูอีกต่างหาก มีช่วงเวลาท้อใจแอบคิดเสียดายหน้าตาน่ามองย่างก้าวน่าดูกลับต้องมามัวหมองไม่ต้องใจผู้คนด้วยคำพูดของเจ้าตัวเองที่ห้วนทู่ระคายหูเสียจริง
          “เอ๋? หรือพระเจ้าอยากสั่งสอนหลานปากก๋ากั่นด้วยการส่งเทวทูตมาจัดการ!” อาหมอตบข่าตัวเองฉาดใหญ่จนพลขับหันมามองด้วยความตกใจ
          “ไม่มีอะไรๆ แถวนี้มีโบสถ์หรือวัดไหมพลทหารผมอยากสักการะเสียหน่อย”
          “บนเขาเนี่ยนะหมอ เฮ้อ! ผมจะถามคนในพื้นที่ให้นะครับ”
          ทหารหนุ่มส่งสัญณาณวิทยุเข้าศูนย์ได้รับคำตอบกลับว่ามีศาลเก่าแก่อยู่แห่งหนึ่งอยู่บนเขา แต่ยังเข้าไม่ได้ตอนนี้เพราะหิมะถล่มมากีดขวางทางขึ้นเขา และต้องเดินเท้าขึ้นไปเท่านั้นรถไม่สามารถขึ้นไปได้
          แรงศรัทธาของอาหมอลดลงมาเล็กน้อยเมื่อต้องถวายการบูชาด้วยการเดินเท้าไปสักการะ คนมีอายุแล้วอย่าเขาทุกวันนี้ต้องเสียเงินซื้อคอลาเจนกินเพื่อข้อขาข้อเข่าไม่รู้จะกี่ยี่ห้อ แต่ข้อต่อยังดังกึกกักอยู่เลย
          เมื่อไหร่จะมียาอายุวัฒนะซักทีนะ จะได้หล่อยืนยงคงกระพัน...
          เจอกันตอนต่อไปนะคะ อ่านเกริ่นนำไปก่อนเหมือนซีซั่นนี้เคลาส์จะเป็นพระเอกหลักนะเนี่ย ปัญหาชีวิตรุมเร้าเหลื๊อเกิ๊น
:hao4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-01-2024 16:05:33 โดย keisarinna »

ออฟไลน์ keisarinna

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Lover Fire 2 Part 2: The Lost Memory
ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน แล้วสมองของคนพิสูจน์อะไร?
     
         ชายหนุ่มรู้สึกถึงการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ทำให้เขานอนหลับลึกพักผ่อนเต็มอิ่มไม่อ่อนเพลีย แต่ที่ไม่อยากล้มตัวลงนอนเพราะความฝันซ้ำๆ ไม่เห็นหน้าค่าตาว่าเป็นใคร ฝันที่ว่างเปล่ากลับหนักหน่วงอัดแน่นด้วยความรู้สึกที่ระบายเป็นคำพูดไม่ได้
        “เ ค ล า ส์” เสียงเรียกของใครซักคนเรียกชื่อที่เจ้าตัวคุ้นเคย ชื่อของเจ้าตัวที่เจ้าของชื่อเผลอหลงลืม
          แผ่วเบา…ล่องลอย ใครกันนะร้องเรียกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าโรยแรง เสียงเรียกเดิมยังคงดังอย่างต่อเนื่องน้ำเสียงแตกพร่า สั่นครือคล้ายเสียงสะอื้น
          เสียงออกจะมาดแมนแต่ทำไมเรียกเขาด้วยน้ำเสียงเด็กน้อยอ่อนต่อโลกแบบนี้? หรือมีใครแย่งของเล่นไปเลยอยากฟ้องเขาอย่างนั้นหรือ....ไม่ใช่ละมั้ง เขาเองไม่ได้เป็นพี่ชายแสนดีให้ใครขนาดนั้น
          แต่ยิ่งได้ฟัง เสียงแรียกนั้นมันแสนจะเจ็บปวดจนหัวใจของเขารับรู้ถึงความร้าวราน อยากกอดปลอบขวัญเจ้าของน้ำเสียงนั้นเหลือเกิน อยากทำให้เจ้าของเสียงอุ่นใจว่าเขาไม่ได้ห่างหายไปไหน จะอยู่ใกล้ ๆ ไม่ร้างลาห่างจากไปไกลเลย
          ‘เคลาส์’ ...เสียงนี้!! ร่างกายสะดุ้งโหยงดึงตัวหนาให้ลุกขึ้นจากที่นอนชื้นเหงื่อ
          เหมือนเช่นเคยเมื่อลืมตาตื่นสมองเขากลับว่างเปล่า ชื่อที่เฝ้าฝันถึงแม้จะดังก้องอยู่ในหูแต่ก็ไม่รู้ที่มาว่าใครเป็นคนเรียกและยังเฝ้าร้องเรียกเขาด้วยเสียงเดิมๆ ทุกเมื่อเชื่อคืน
          "บ้าจริง! ฝันเดิมๆซ้ำซาก อยากจะบอกอะไรทำไมไม่พูดออกมา"
          ดวงตาคมกระพริบถี่ ๆ ไล่ความอ่อนล้าที่เกาะกุมไปทั่วร่างกาย แผ่นหลังกว้างเปียกชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อไหลเรียงเม็ดกลั่นตัวซึมชื้นเปียกเสื้อคลุมผ้าแข็งหนาสไตล์ประหลาด ถ้าเนื้อบางกว่านี้คงได้เห็นแนวการแต่งกายแบบใหม่ที่ไกล้เคียงกับบอดี้ฟิตเสื้อแนบลู่ลำตัว
          ชายหนุ่มลุกขึ้นจากที่นอนหนาที่วางลงแนบพื้นจากที่ไม่คุ้นชินก็เริ่มดำเนินชีวิตการนอนกับที่นอนแนวราบนี้ได้ดีขึ้น
          เขาเดินมานั่งพิงกายกับประตูบานใหญ่สักบานในบ้านแนวอนุรักษ์นิยมนี่ ที่ครั้งนี้เขาได้มองเห็นวิวทิวทัศน์ยามตะวันสีทองเริ่มสาดลำแสงแทรกซึมหมอกเมฆสีครามทึบ
          "สวยงามแต่เศร้าสร้อย...อยากดื่มอะไรสักแก้วจัง" ความเคยชินและนิสัยส่วนตัวที่ทำให้เขายังจดจำความรู้สึกได้อยู่แต่แค่หลงลืมไปบางส่วน
          เขามักรู้สึกปวดตึบๆ แสบเล็กๆ ที่บาดแผลหลากหลายแห่งที่พร้อมใจกันเบ็งตัวบวมตึง โดยเฉพาะแผลแตกที่ขมับ ผลมาจากแผลสดต่างที่เริ่มทยอยตกสะเก็ดพร้อมกันตามแขนขาและลำตัว
          เสียงทอดทอนใจยาวไม่ได้รุนแรงนัก สถานที่แห่งนี้สุขสงบเรียบง่ายหากเขาตัดตอนชีวิตช่วงก่อนทิ้งไปซะแล้วหันมาอาศัยอยู่ที่นี่จริงจังคงสุขกายสบายใจดี
          ดวงตาอ่อนล้าทั้งสองข้างหรี่เล็กและปิดลงพร้อมภาพความทรงจำที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ร่องรอยบาดแผลตามร่างกายไม่ได้สาหัญอะไร เขาเองคงเป็นเจ้ายักษ์ฮัลค์ตัวเขียวสินะที่ล่วงหล่นจากท้องฟ้าแล้วไม่ยักกะตาย
          เหตุการณ์ต่างๆไล่เลี่ยงภาพเหมือนสมองของชายหนุ่มกำลังฉายยอดภาพยนตร์ให้ตัวเองได้ชมเป็นการส่วนตัว
          เปรี๊ยะ! เสียงกิ่งไม้หักรับส่งกันเป็นทอด ๆ กิ่งไหนแข็งแรงหน่อยก็ชะลอแรงปะทะให้เบาลงแต่ก็ฝืนแรงโน้มถ่วงของโลกไม่ได้ ร่างหนัก ๆ ของใครบางคนร่วงลงสู่พื้นดินที่ขาวโพลนไปด้วยหิมะ
          ครืดดด! ซวบ! เสียงคลื่นหิมะพร้อมเสียงเสียดสีของผ้าเนื้อหนากับกิ่งไม้ ส่วนของผิวเนื้อที่โผล่พ้นร่มผ้าขูดครูดไปกับเศษกิ่งไม้แห้งๆ ช่วงหน้าหนาว จนเกิดรอยขีดข่วนตามแขนขาและลำตัวบางแห่ง
         ตุบ!เสียงหนักๆ เหมือนก้อนหินหล่นลงบนกองหิมะ ศีรษะเกร็งยกขึ้นลดแรงกระแทกก่อนตกลงพื้นอย่างแรงพร้อมเก็บคอป้องกันตัวเองการกระทำเป็นไปตามปฎิกิริยาตอบสนองตามที่ถูกฝึกมา
          เก่งและกล้าแค่ไหนแต่ดวงยังไม่ดีพอทำให้หลบหลีกเครื่องหินประดับสวนไม่พ้น ศีรษะชนเข้าเต็มรักร่างหนาแทบสิ้นสติในทันที เลือดสีแดงเข้มไหลย้อยลงมาจากรอยแผลแตกที่บริเวณขมับด้านซ้าย
          เขาพลิกตัวหมายจะลุกขึ้นเดินจากที่แห่งนี้ไป เพียงไม่กี่อึดใจ ซีกหน้าที่เคยแนบผิวหิมะก็ถูกปกคลุมไปด้วยเลือดจากแผลแตกไปครึ่งหน้าเสียแล้ว
          ชายที่เหมือนเทวดาตกสวรรค์เบิกตามองสภาพแวดล้อมให้ชัดขึ้นแต่ไม่เป็นผล ดวงตาทั้งสองหนักอึ้งเหมือนหนังตาจะปิดลงท่าเดียว ก่อนสติจะหลุดไปใครบางคนวิ่งตรงมาทางเขา เสียงฝีเท้าบนพื้นหิมะดังตึกตับเหมือนเสียงเพลงกล่อมให้เขาหลับได้สบายใจ
          “คุณ! เฮ้! ยังดีอยู่ไหม?”
          เหล่านี้คือภาพเหตุการณ์ครั้งสุดท้ายที่เขาจดจำได้ในปัจจุบัน
          เสียงเคลื่อนของแนวประตูทำให้หนุ่มผู้หลงลืมลืมตาขึ้นแล้วหันไปมองประตูอีกด้านของห้องที่เปิดออก ร่างสูงในชุดแปลกตาแบบเขาเดินเขามาหา
          ชุดประหลาดแบบเดียวกันแต่พออยู่ในร่างคนๆ นี้แล้วกลับดูสะโอดสะองอ่อนช้อนนุ่มนวล ไหนยังจะผมเผ้ายาวสีดำสลวยสวยเป็นเงางามที่ถูกมัดรวมไว้หลังท้ายทอยนั่นอีก เขาคงหลุดมาในยุควัฒนธรรมโบราณที่ใดสักแห่งเป็นแน่แล้ว
          "นายนอนไม่หลับหรือยูกิ"
          ผู้ที่ให้การช่วยเหลือไถ่ถามแล้วทิ้งตัวลงมานั่งเว้นระยะห่างเล็กน้อยอยู่ข้างๆ คนร่างสูงใหญ่ ชายสองคนนั่งมองหิมะโปรยปรายในช่วงเช้าตรู่ของวัน
          ชายร่างสูงนั่งท่าสบายๆ มือถืออุปกรณ์มีด้ามยาวไว้สูดและมีส่วนปลายไว้จุดเผาผงบางอย่าง เขาเดาเองว่าอาจจะเป็นบุหรี่หรือพวกยาสูบเพราะมีกลิ่มเฉพาะตัว การสูดจากท่อนโลหะยาวนั้นส่งควันออกมาเหมือนคนสูบบุหรี่
         "แม่ใหญ่บอกฉันบ่อยๆ ฝันร้ายมักจะกลายเป็นดี" พูดดีได้ไม่เท่าไหร่ตากลมโตสีน้ำตาลสดใสคู่นั้นก็ฉาบฉายแวววาวด้วยกลคนมากเล่ห์
          "ถ้ามนายฝันเปียกละก็ รีบไปทำให้มันเสร็จซะ!" 
          คนได้ฟังนิ่งงงงัน คนหน้าตาดีกริยามารยาทงามไม่น่าพูดจาทำลายภาพลักษณ์ตัวเองแบบนี้เลยจริงๆ เสียของหมด เสียดายแหล่งอารยะทรงคุณค่าที่เจ้าตัวดำเนินชีวิตมานักเชียว อุส่าห์หลงปลื้มอยู่ตั้งนานสองนาน
                   
          เจ้าบ้านเดินมาที่ห้องคนเจ็บนอนอยู่ตั้งใจจะแวะมาดูอีกครั้งก่อนจะกลับไปทำงานต่อ ร่างสูงนอนกระพริบตาถี่ ๆ เหมือนจะยังไม่รู้สึกว่ามีใครอีกคนได้เข้ามาอยู่ในห้องนี้อีกคน
          “ตื่นแล้วเหรอ”
          “ที่นี่...”
          “บ้านฉันเอง นายน่ะอยู่ดี ๆ ก็ตกลงมาจากฟ้าแถมด้วยหิมะหอบเบ้อเริ่ม รกหน้าบ้านไปหมด”
          “ผม...พร้อม หิมะ” น้ำเสียงเนือยเอื้อยเจื้อยฟังแล้วเหนื่อยแทนคนพูดจริง ๆ ให้นอนพักผ่อนก่อนแล้วกัน เลือดไหลโชกซะขนาดนั้นไม่ตายก็ดีแล้ว
          “ปวดหัว” คนป่วยหลับตาด้วยความเหนื่อยอ่อน รู้สึกปวดระบมเจ็บไปทั่วทั้งตัว
          “นายนอนเถอะ ตื่นขึ้นมาอีกที ถ้าอาการดีขึ้นแล้วฉันจะติดต่อทางบ้านนายให้”
          “บ้าน...ผม...โอ้ย!” น้ำเสียงที่ฟังดูยังไงมันก็เหมือนเด็กผู้ชายอ้อนแม่อย่างไงอย่างงั้นยิ่งทำให้คนฟังนิสัยแมนเกินหน้าถึงกับหนวดกระดิก! ตีนกระตุก?
          “นี่นายเป็นลูกผู้ชายเปล่าเนี่ย อ้อนเป็นเด็กไปได้ นอนซะตื่นมาแล้วว่ากัน” นี่ถ้าไม่เห็นว่าป่วยนะจะซัดเปรี้ยงเข้าให้ ผู้ชายบนโลกยิ่งน้อย ๆ อยู่ยังจะมาลดปริมาณอีก ผู้ชายใจอิสตรีอย่างฉันก็แย่ดิ
          “ว่าแต่...นายชื่ออะไร”
          “ผม…ผม”
          หนุ่มปากร้ายนึกขึ้นมาด้วยมายังมีเสื้อผ้าของคนเจ็บนี้อยู่คงจะมีหลักฐานแสดงตัวตนพกติดอยู่บ้าง ไม่รอช้ารีบบอกให้คนสับสนพักผ่อนเสียก่อนแล้วรีบออกไปยังกองเสื้อผ้าที่ถูกถอดออกไป
           อากิชมความรอบคอบของอาหมอทั้งเสื้อผ้าและของส่วนตัวของหนุ่มคนนั้นจัดวางรวมกันไว้อย่างเป็นระเบียบแล้วยังห่อใส่ถุงสวมให้เรียบร้อยรอใช้เป็นหลักฐานพิสูจน์ตัวตนได้เลย
           เขาเจอกระเป๋าพกมีเงินสดอยู่จำนวนหนึ่ง ส่วนใหญ่จะเป็นสารพัดบัตรแข็ง บัตรเครดิต บัตรประจำตัว บัตรข้าราชการ
          “อาหมอโครตเทพ! พาลาดินจริงๆ ด้วยเว้ยเฮ้ย!”  จิตกรอวยยศอาหมอผู้เฟี้ยวฟ้าวมาก่อนกาลทำนายอาชีพคนไข้เก่งยิ่งกว่าหมอดู
          อัยการเคลาส์ ฮอฟแมนน์ หน่วยงานสืบสวนสอบสวนพิเศษ จดจำชื่อสกุลนี้ไว้รอให้พาลาดินฟื้นสติเต็มที่เสียก่อนแล้วค่อยติดต่อเจ้าหน้าที่ภาครัฐที่พื้นราบติดต่อญาติจะได้กลับบ้านกลับช่องไปเสียที
          เจ้าของบ้านเดินกลับมายังห้องนอนคนป่วยอีกครั้งในรอบวัน จังหวะเดียวกับที่คนป่วยตื่นขึ้นพอดี เขาดันตัวเองลุกขึ้นนั่งหันมามองหน้าเจ้าบ้านแต่ไม่ได้พูดอะไร
          “ลุกไหวแล้วหรือ หัวนายเป็นไง” น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยฟังแล้วสบายหูขึ้นเยอะเลย ถึงจะไม่ไพเราะเสนาะหูแต่ฟังแล้วปล่อยผ่านทางความรู้สึกได้
          “ไม่ปวดแล้วครับ” เขาตอบยิ้ม ๆ
          “นายจำชื่อตัวเองได้ไหม” อากิถามข้อมูลเบื้องต้นจะได้ตอบอาหมอได้วันพรุ่งนี้ คำตอบที่ได้มีแต่ความว่างเปล่า
          ตากลมโตพิจารณาคนร่างสูงใหญ่ที่นั่งเหมือนเด็กหลงทางอยากจะพากลับไปหาแม่อยู่หรอก แต่ถ้าปล่อยเด็กน้อยไปเขาก็ต้องนั่งเหงานอนหง่าวอยู่คนเดียวบนเขาลูกนี้อยู่เป็นปีเลยกว่างานจะเสร็จ หาอะไรสนุกๆ ทำเล่นฆ่าเวลาคลายเหงาดีกว่า สิ่งที่กำลังทำไม่ถูกต้องนักแต่วิญญาณมารในร่างเทวาผู้งดงามคนนี้เริ่มแผลงฤทธิ์ส่งจิตด้านมืดเข้าครอบงำแล้ว
          “ยูกิ แล้วกัน...นายชื่อ ยูกิ”
          “ยูกิ...” เขาทวนชื่อของตัวเองที่อากิตั้งให้ นึกสงสัยชื่อตัวเองว่ามันใช่ชื่อนั้นจริงหรือเปล่า
          “อื้ม...ใช่นายหล่นมาพร้อมกับกองหิมะที่หน้าบ้านฉันตรงนั้น ยูกิ แปลว่าหิมะ” ชื่อนี้ฟังดูดีกว่ามนุษย์หินที่เจ้าตัวชนจนได้เลือดจนสลบไป
          “ยูกิ ผมคือยูกิ เหรอครับ” สุดท้ายคงต้องยอมจำนนต่อชื่อไม่คุ้ยหูนั่น ไม่มีความรู้สึกอะไรกับชื่อของตัวเองผิดกับชื่อในฝันที่ใครบางคนเฝ้าเรียกเขา ในฝันกลับเรียกเขาว่า ‘เคลาส์’
          “แล้วคุณหล่ะทำอะไรที่นี่! แล้วคุณชื่ออะไร? แล้วมาอยู่ที่นี่เพื่อ?”
          “ทีละคำถามสิ ฉันชื่ออากิฮิโระ มาเขียนภาพอยู่ที่นี่ ชิ้นงานเสร็จก็จะกลับญี่ปุ่น จัดงานประมูล รอเก็บตัง พักผ่อนหาแรงบรรดาลใจทำโครงการต่อไป ”
     “คุณเป็นคนญี่ปุ่นเหรอ” ยูกิพิจารณาชาติพันธุ์คนตรงหน้าละม้ายคล้ายแขกขาวซะมากกว่า จินตนาการถึงชายชาวญี่ปุ่นไม่ได้มีภาพลักษ์เหมือนอากิฮิโระคนนี้เลย
          “ใช่ล่ะมั้ง มอมกับแด๊ดอยู่ฮาวายแต่ฉันโตมากับคุณยายที่ญี่ปุ่น” คนตรงหน้าบรรยายชีวิตไปตามเรื่องตามราว มือเรียว ๆ จัดแจงยาที่คาดว่าเป็นของยูกิ ยาสองสามเม็ดถูกยื่นมาให้พร้อมน้ำสะอาดหนึ่งแก้ว ดวงตากลมโตดุใส่เมื่อเห็นคนทำท่าทางอิดออดไม่อยากกินยา
         “แล้วผมต้องเรียกคุณว่า ” มือหน้าต้องยอมรับยามากินอย่างเสียไม่ได้
          คนหน้าตาคมเผลอมองใบหน้างดงามไร้ที่ติ มองกี่ทีก็รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตา แต่บางทีก็รู้สึกเฉย ๆ พฤติกรรมนี้ไม่ได้หลุดรอดสายตาของอากิไปได้
         “นายอยากจีบฉันหรือไง”
         “ห๊า!...จีบ! เปล่าครับๆ ชื่อคุณผมยังจำไม่ได้เลย” คนสมองเบลอรีบแก้ตัวพัลวัน
          ไหนๆ ก็โดนจับทางได้ขอถือโอกาสสำรวจคนตรงหน้าให้ชัดขึ้น  ดวงตากลมโตที่ดูจะก้าวร้าวดุดันมองยังไงก็ไม่เหมือนดวงตาชาวเอเชีย จมูกโด่งได้รูปรับริมฝีปากอิ่มขนาดกำลังดี สัดส่วนคิ้วตาหูจมูกบนใบหน้ารับกับใบหน้าเรียวได้รูปอย่างลงตัว เสริมด้วยเส้นผมสีดำยิ่งขับความน่ามองของใบหน้าให้โด่ดเด่นขึ้นไปอีก
          เป็นคนมีใบหน้าละมุนละไมเหมือนรูปปั้นเทวดาในโบสถ์ แยกไม่ออกเสียทีว่าเพศอะไร มองปราดลงมายังหน้าอกและรูปร่างก็ยังบอกว่าเป็นผู้หญิงได้ไม่เต็มปาก จะบอกว่าผู้ชายก็ยังไงอยู่ เพราะชุดปิดมิดชิดเห็นแค่หัว คอและมือเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่บดปังสัดส่วน เครื่องแต่งกายเทรนใหม่ของชาวญี่ปุ่นหรือไงนะ? ปิดชิดชวนหายใจไม่ออก
          “ข้องใจอะไร” 
          มีบางอย่างรบกวนความอยากรู้ของเคลาส์ในชื่อยูกิ ผู้ที่ช่วยเหลือเขาถ้าเป็นผู้หญิงเขาคงไม่เหมาะที่จะอยู่กันเพียงลำพังที่บ้านหลังนี้คงต้องให้เธอช่วยเขาไปขอความช่วยเหลือยังชุมชนบริเวณตีนเขา
          ถ้าเป็นหญิงทำไมให้ความรู้สึกเหมือนวัยรุ่นเพศชายยังไงยังงั้นเลย? ห้าวเข็ดฟัน แค่ทำไมสำเนียงชาวอาทิตย์อุทัยช่างโหดร้ายต่อสุขภาพหูเสียจริงให้มองดูหน้าหล่อๆสวยๆอย่างเดียวดีกว่า
          “ชั่งเถอะ! ฉันหยอกเล่น ว่าแต่นายน่ะยังปวดหัวหรือเปล่า นอนครางบ่อยๆ ให้เรียกอาหมอมาเลยไหม” ความห่วงใยที่ผ่านน้ำเสียงแข็ง ๆ ก็ฟังดูอบอุ่นเหมาะกับสุขภาพผิวหน้าที่เจ้าตัวมีอยู่เป็นอย่างมาก
          “ไม่ต้องครับ มันไม่เป็นอะไรมากถ้าผมไม่คิดว่าตัวเองชื่ออะไร”
          “ใจเย็นๆ สมองมันเผลอลืมไปบ้างเดียวก็จำได้เองแหล่ะ ฉันเรียกนายว่า ยูกิไปก่อนแล้วกัน”
          รอยยิ้มกว้างส่งให้แทนการให้กำลังใจและปลอบใจ รู้ตัวอยู่แก่ใจว่ากำลังทำเรื่องร้ายแรงกับผู้ป่วยให้หวนคืนเป็นเคลาส์คนเดิม คนเหงาอยากมีเพื่อนทำชั่วนิดหน่อยแต่จะดูแลคลาส์เป็นอย่างดีไถ่โทษแทนกันไป
          “ผมขอออกไปเดินรอบๆ บ้านนะครับ คุณ...เอ่อ...”
          “อากิ เรียกฉันว่าอากิซัง ก็ได้ ฉันทำงานอยู่ห้องข้าง ๆ มีอะไรไปหาได้”
          ร่างสูงบางลุกขึ้นยืนเดินออกจากห้องไป ยูกิสำรวจอากิอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง พลันสมองฉายภาพซ้ำของใครบางคนทับร่างของอากิฮิโระเดินซ้อนทับกันไป เหมือนกันเหลือเกิน ใครกันนะ...
          “เราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกันใช่มั้ย แบบ…ชั่งมันเถอะครับ”
          “หืม?” คนได้ยินถึงกับแปลกใจแบบไหนที่ยูกิหมายถึง จะเหมือนแบบเดียวกับที่เขาคิดหรือเปล่า
          “เวลาผมมองคุณ มันแปลก ๆ เหมือนผมจะนึกอะไรขึ้นมาได้ แต่มันก็ขาดหายไป”
          เวลาเหมือนหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ทั้งสองคนหันกลับมามองหน้าและดวงตาประสาเข้าหากันด้วยความบังเอิญ แต่คนละความรู้สึก
          “อากิซัง...”
          “ฉันจะทำงานต่อ ขอตัวนะ” เจ้าตัวทำท่าทางรีบกลับไปทำงานตัดบทสนทนาให้ยูกิใช้เวลาส่วนตัว ก่อนจะหันมาพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดสั่งให้คนเจ็บนอนบนเตียงไปก่อน
          “ฉันว่านายนอนพักดีกว่า บ้านฉันมันไม่มีขา ดีขึ้นแล้วค่อยเดินก็ไม่สาย” สิ้นเสียงคำสั่งยูคิล้มตัวลงนอนอย่างว่าง่าย อาจเพราะไม่อยากขัดใจผู้ช่วยเหลือหรืออาจจะอยากพักผ่อนต่อ เหตุผลใดก็แล้วแต่กลับทำให้อากิเผยรอยยิ้มถูกอกถูกใจกับความว่าง่ายของนายพาลาดิน
          ปากบอกว่าจะทำงานแต่งานไม่คืบหน้าเสียเท่าไหร่ สุดท้ายต้องถอดใจปล่อยมือจากถาดสีและพู่กัน จังหวะนี้เสียงโทรเข้าจากอินเตอร์เน็ตเสียงปลายสายไม่ใช่ใครนอกจากอาหมอที่โทรถามอาการของพาลาดินเคลาส์
          อากิบอกอาการความจำเสื่อมของคนเจ็บ ซึ่งคนเป็นหมอคาดไว้ความทรงจำขาดหายอาจจะกลับมาเป็นปกติหรือจดจำเรื่องราวต่างๆ ได้ภายในสามเดือนหรือหนึ่งปีหรือนานกว่านั้นขึ้นอยู่กับแรงกระตุ้นหลายวิธี
          “มารับไปตรวจไหมพรุ่งนี้น่ะ”
          (“เฮ่เฮ้! เจ้าชายสนใจพาลาดินด้วยหรือเนี่ย ฮ่ะ ฮ่า”) คนปลายสายหัวร่อร่วนถูกอกถูกใจอาหมอเขาล่ะ เหตุการณ์นี้อาจเปลี่ยนหลานชายให้ทำตัวดีขึ้นมาบ้าง เขาคิดในแง่บวกหวังว่าหลานตัวดีคงไม่ทำอะไรแผลงๆ ให้ตกใจเล่น
           “เฮ้อ! พอเถอะน่า ตอบมาจะมารับหรือเปล่าแล้วกี่โมง ไม่ได้ว่างตลอดเวลานะอาก็รู้”
          นัดแนะเวลากันเสร็จเสียงปลายสายส่งต่อความห่วงใยของพ่อและแม่จิตรกรเอกได้รับรู้ บังคับให้ติดต่อกลับไปหาบ้างทั้งสองคนเป็นห่วงอย่างมากหลังจากได้ข่าวหิมะถล่มบริเวณใกล้ๆ ที่อยู่ของลูกชาย ไหนจะยังคุณย่าที่โทรหาหลายครั้งถามข่าวคราว
           “รู้แล้วๆ อาก็วางหูสิจะได้โทรหาไง” น้ำเสียงฟึดฟัดบ่นพึมพำที่ปลายสายและวางไป
          อากิทำหน้าที่ลูกและหลานชายที่ดีไม่ให้อาหมอต้องเสียน้ำใจ เขาเสียดายน้ำลายของอาหมอที่สาธยายความห่วงใยของผู้มีพระคุณทั้งสามให้เขารีบตอบรับความหวังดีนั้นอย่างรวดเร็วให้คนเหล่านั้นสบายใจ
          อากิฮิโระเป็นลูกติดของพ่อชาวญี่ปุ่นกับแม่ชาวต่างชาติ เขาไม่เคยเห็นหน้าแม่หรือมีรูปให้ดูต่างหน้า พ่อไม่เคยพูดถึงแม่ผู้ให้กำเนิดเขามากนัก เขาโตมากับแม่เลี้ยงอากิไม่ได้ขาดแคลนความรักกลับได้รับมากเกินจนเหลิงไปบ้างเพราะถูกเลี้ยงแบบตามใจ
           เมื่อแม่เลี้ยงตั้งท้องน้องชายต่างมารดา คุณย่ามารับเขาไปดูแลและผลักดันเขาได้เป็นผู้สืบทอดศิลปะแขนงต่างๆ ที่คุณย่าได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ สืบสานศิลปะประจำตระกูลและส่งเขาไปเรียนตามสถาบันอื่นๆ หลากหลายแห่ง ท่านเป็นคนเจ้าระเบียบเข้มงวดกวดขันขัดเกลาพฤติกรรมปั้นแต่งตัวเขาเป็นดั่งวัฒนธรรมตู้โชว์ เคลื่อนย้ายที่ไปใดทุกคนต่างมองมาที่เขาเป็นจุดรวมสายตา
          แม้จะเป็นหนุ่มลูกผสมแต่อาจด้วยหน้าตาต่างชาติต่างเผ่าพันธุ์ การปลูกฝังและบ่มเพาะวัฒนธรรมขั้นสูงเพื่อทดแทนความแปลกแยกเป็นความคิดที่แยบยลของคุณย่า โชคดีของผู้มีบุญคุณที่ตัวตนของเขาไม่ได้สันดารขบถเลี้ยงยากสอนลำบากให้คุณย่าต้องเหนื่อยใจ
          คนเป็นที่รักของเทพผู้สร้างท่านพิถีพิถันใบหน้ามนุษย์ที่รักแบบสุดโต่ง ด้วยใบหน้าชวนหลงใหลและเจ้าตัวเองดันเป็นคนโหยรัก อยากเป็นที่รักของใครๆ ไม่ว่าจะให้เขาทำอะไรเพียงโอบกอดเยินยอเขาก็พร้อมที่จะทำและทำได้ดีไปเสียทุกอย่าง
          งานศิลปะคือสิ่งที่ปลดปล่อยตัวตนให้เป็นอิสระ เขียนอักษร จัดดอกไม้ ภาพวาด งานปั้น เขาหลงใหลและหลอมรวมความเป็นตัวเองลงไปจนเป็นงานที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เหมือนนามปากกาของนักเขียน
          มีชีวิตมันไม่ง่าย แต่เขาก็สุขสบายดีอาจไม่ถึงเป็นราชาแต่เขาได้ฉายาว่าเป็นเจ้าชายต้องยกความดีความชอบให้คุณย่าที่สั่งสอนขัดเกลามารยาทกริยาและเปลี่ยนชื่อเขาเสียใหม่ ว่า อากิฮิโระ แปลว่าเจ้าชายผู้รุ่งโรจน์
          แต่...ข้อเสียที่เขาเองรู้ดีแต่ไม่พยายามแก้ไขคือสำเนียงการพูด จะเป็นอะไรไปไม่อ้าปากพูดซะอย่าง หลายสิ่งหลายอย่างก็สุดเฟอร์เฟ็คมากจนเกินพอแล้ว ดังนั้นจงเสพงานศิลป์ของเจ้าชายแห่งยุคคนนี้ไปเสียเถิด
          อาหมอจะมารับยูกิไปโรงพยาบาลตอนเช้าพรุ่งนี้เขาต้องไปบอกเจ้าตัวให้รู้ก่อน หวังว่าอาหมอสุดฉลาดคงไม่ระแคะระคายแผนการสร้างความสุขเสริมความสนุกให้ชีวิตเล็กๆ น้อยๆ กับพาลาดินยูกิเสียก่อน
          “ไม่ผิดเสียหน่อย เมื่อเจอคนบาดเจ็บต้องช่วยเหลือ เจอคนความจำเสื่อมก็ต้องช่วยดูแลสิ ช่วยเหลือเพื่อนมนุษยด้วยกันผิดตรงไหน” หนุ่มอารมณ์ศิลปเป็นอาร์ตตัวพ่อยกยอตัวเองให้เป็นคนดีมีมนุษยธรรมถือหลักทำความดีแต่มีความต้องการด้านมืดแอบแฝง!
         เจอกันตอนหน้าจ้า

ออฟไลน์ keisarinna

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Lover Fire 2 Part 3: The Lost Memory
ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน หากใจคนจะผันแปรไม่ต้องพิสูจน์
          อาหมอมารับยูกิไปโรงพยาบาลตรงตามเวลานัด เส้นทางน่าจะเริ่มกลับมาใช้งานได้บางส่วนแล้ว เพราะหมอขับรถจิ๊ปส่วนตัวมาด้วยตัวเองพร้อมนักศึกษาแพทย์อีกหนึ่งคน อากิไม่ได้เดินทางไปด้วยขอตัวทำงานอยู่ที่บ้าน
          จิตรกรหนุ่มหมดห่วงเรื่องคนเจ็บเพราะคุณหมอคนเก่งรับตัวไปดูแล อาหมอได้อธิบายให้ทราบถึงขั้นตอนการตรวจรักษาเมื่อเสร็จสิ้นทุกกระบวนการแล้วจะเป็นคนมาส่งยูกิให้เอง
          อาผู้แสนดียังนำเครื่องอุปโภคบริโภคอีกจำนวนหนึ่งมาให้เขาด้วย ส่วนอาหารสดถูกแปรรูปมาเรียบร้อยเพื่อการเก็บรักษาได้นานขึ้น แม่บ้านมักจะเป็นคนทำและเก็บใส่ตู้เย็นให้เขาหาอุ่นทานเองเพราะไม่เคยกินตรงมื้ออาหาร ทุกเวลาการกินผิดเวลาไปเสียหมด ไม่แปลกใจกับรูปร่างสะโอดสะองของเจ้าตัวถึงจะไม่เข้าขั้นอดๆอยากๆ แต่ก็กินขาดๆ ไม่ครบสามมื้อต่อวัน
          ก่อนขับรถออกไปยังตะโกนสั่งกำชับให้เขากินข้าวตามเวลาอีกด้วย ยูกิชะโงกหน้าโกงคอมองอากิหน้าละห้อยเมื่อรู้ว่าเขาจะไม่ตามไปด้วย น่ารักชะมัด!
          อากิหมกตัวอยู่ในห้องทำงานง่วนอยู่กับภาพวาดขนาดใหญ่กว่าทุกเฟรมและคาดหวังว่าผลงานชิ้นนี้จะต้องเป็นระดับมาสเตอร์พีชประดับอาชีพของเขาอีกภาพ
          ชายผู้ท่วมท้นด้วยพรสวรรค์ปล่อยจินตนาการให้มือบรรเลงพู่กันส่งวิญญาณจิตรกรเข้าสู่ภาพวาดสุดพิเศษที่สุดในเช็ทนี้
          เวลาทำงานผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนกำลังวิ่งกีฑา เริ่มสตาร์ทเริ่งฝีเท้าอย่างรวดเร็วพอได้กลางทางขาที่วิ่งเริ่มอ่อนล้าลมหายคุมได้ยากเพราะเริ่มเหนื่อยพอใกล้ถึงเส้นชัยต้องเร่งฝีเท้าเค้นพลังเฮือกสุดท้ายตะกายตัวพุ่งตรงคว้าชัย
          ชีวิตการเป็นศิลปินมันช่างน่าเบื่อเมื่อหมดแรงบรรดาลใจ ไม่น่าตื่นเต้นเร้าใจเหมือนตอนดิ้นรนสร้างชื่อเสียงเมื่อเริ่มต้นสร้างเงินสร้างอาชีพ ที่มาเปลี่ยววิเวกอยู่บนภูเขาอันห่างไกลถึงต่างแดนเพราะอยากได้สภาพแวดล้อมแปลกใหม่หาแนวทางสร้างสรรค์ผลงาน
          ดวงตากลมโตมองเฟรมภาพวาดในสมองมีแค่ภาพสีขาวของหิมะในช่วงเวลาใกล้พลบค่ำ มีคำหนึ่งผุดเข้ามาในจินตนาการ ‘ยูกิ’ เป็นภาษาญี่ปุ่นถิ่นกำเนิดของคุณย่าและพ่อของเขา เห็นทีคราวนี้ต้องรีบสร้างผลงานยามสมองกำลังบรรเจิดงานศิลป์
           เจ้าชายจิตรกรรมไม่ได้เป็นคำยกยอที่เกินเลย ทุกการกวาดวาดพู่กันดั่งการร่ายรำเทพสวรรค์อำนวยพร งานชิ้นนี้เขาสะบัดปลายแปรงแสดงการเคลื่อนไหวอยากให้ผู้ชื่นชมภาพไม่ว่ามองจากมุมไหนภาพจะเหมือนเคลื่อนที่ตามไปด้วย
          นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยในการสร้างสรรค์จินตนาการ ปลายพู่กันตวัดรับความรู้สึกนึกคิดผ่านปลายนิ้วมือที่คอยบังคับทิศทางแปรสัณญาณภาพจากสมองถ่ายทอดเรื่องราวลงบนภาพ
          อากิไม่เคยใช้เทคนิคนี้เท่าไหร่จนถึงกับไม่อยากใช้ในงานของเขา ฝีแปรงแบบพลิ้วไหวตื่นตาเร้าใจแต่ใช้ไม่ได้กับทุกภาพ เนื้อหาของภาพไม่ใช่สร้างเพื่อสิ่งเร้า แค่จิตกรต้องการแสดงจินตนาการ บอกเล่าเรื่องราว ความคิด ความรู้สึกขณะสร้างผลงานชิ้นนั้นให้ผู้ชมงานศิลป์ได้ชื่นชม
          จินตนาการโลดแล่นเท่าไหร่อะดรีนาลีนยิ่งหลั่งไหลพรั่งพรูกระตุ้นอากิให้โลดแล่นโลดโผนตามจินตนาการปาดป้ายฝีแปรงและสาดส่ายเส้นสีไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
          งานชิ้นเอกก้าวหน้าในทางที่ดี มือทั้งสองปล่อยแปรงลงข้างตัวเขายืนมองผลงานที่ใกล้จะสำเร็จด้วยใบหน้าเรียบเฉยแต่แย้มยิ้มพอใจ พื้นภาพเอนไหวดั่งใจประหนึ่งก้าวย่างเข้าสู่เฟรม
          ยังเหลือส่วนสุดท้ายผลงานชิ้นนี้จะเสร็จสมบูรณ์ อยากจะขยับมือหยิบภู่กันใหญ่แต่ไหนเลยเหมือนเขานอนหงายมองฝากฟ้ายามเย็นย่ำ เหมือนภาพที่เขาวาดไม่ผิดเพี้ยนนี่เขาเริ่มเข้าญาณแห่งวิชาชีพตามแนววิถีพุทธอันเป็นสุดยอดแห่งปัญญาหรือเปล่า เขาจะบรรลุเป็นพุทธศิลป์แล้วใช่ไหม?
          “หิวข้าวจังเลยน้า” แค่คิดท้องก็ร้องโครกครากประท้วงให้รีบส่งอาหารมาให้ย่อย เขาพยายามลุกขึ้นยืนจะเดินไปห้องครัวแต่ทำไมยังมองแผ่นฟ้าผืนเดิมอยู่ละนี่?
          ร่างใหญ่ตกใจรีบเข้าไปประคองร่างโงกเงกจะลุกจะนอนไม่ไปไหนเสียสักทาง มือหนาประคองร่างเจ้าชายแห่งภาพศิลป์อย่างระมัดระวัง ร่างบางโอนเอนแผ่นหลังแนบชิดอกอุ่นของยูกิที่กลับมาจากการตรวจรักษา
          มือเรียวเลอะสีเกรอะกรังลูบหน้าน่าเอ็นดู! ของยูกิแล้วนึกได้ว่า เวลาผ่านไปถึงสามวันเขาใช้เวลาอยู่กับภาพสุดรักผืนนี้นานเกินไป หากต้องตัดใจประมูลขายเขาจะยอมปล่อยให้หลุดมือได้อย่างไร
          “อ่า...ยูกิ” อากิได้แต่ส่งเสียงงึมงำแล้วเงียบไป


          รู้สึกตัวเบาหวิวเหมือนลอยได้เขาคงไม่ได้ถูกพระเจ้าเรียกตัวกลับสวรรค์ใช่ไหม? แต่เมื่อรู้ตัวอีกทีร่างของอากิก็อยู่บนอ้อมแขนของใครคนหนึ่งซะแล้ว
          “เอ้ย! ยูกิวางฉันลงเดี๋ยวนี้นะ”
          “เดี๋ยวได้ตกลงจริง ๆ หรอกครับ” เสียงทุ้มนุ่มนวลฟังแล้วเหมือนฟังเสียงพากย์บทพระเอกในการ์ตูนเอนิเมะ
          “จะพาไปไหนเนี่ย” อากิยอมหยุดดิ้นในที่สุด ไม่ใช่กลัวตกไม่ใช่เพราะตกใจ เขาประทับใจไออุ่นยามอยู่ในอ้อมอกทำให้รู้สึกสงบและปลอดภัย
          “ไม่รู้สิครับ” ชายหนุ่มตอนซื่อ ๆ มองซ้ายแลขวาก็ตัดสินใจไม่ได้ซักทีเปิดเข้าไปที่ห้องไหน ทั่วบ้านมีพนังขนานทางเดินเหมือนกล่องซ้อนกล่องทั่วทั้งบ้านเหมือนเขาเดินอยู่ในเขาวงกต
          “อยากจะพาไปไหนล่ะ”
          “พาอากิซังไปนอน นั่งหลับจะสบายได้ยังไง”
          “ตรงไปแล้วเลี้ยวขวา ห้องนอนนายอยู่ด้านซ้าย” คนฟังก็งงถามห้องตนตัวเองทำไมตอบเป็นห้องนอนของเขาหล่ะ  ภาวะจิตสับสนเห็นเขาเป็นพ่อหรือไงจะเข้านอนด้วยกัน! เป็นคนหล่อที่แปลกความคิดเกินคาดเสียจริง
          “เอ่อ...แล้วห้องนอนคุณอยู่ไหนครับ” คนในอ้อมอกเอี้ยวคอไปทางห้องตรงข้าม
          “ไม่นอนหิวข้าว” พอคนอุ้มก้าวขาจะเดินตรงไปยังห้องของอากิ เสียงทู่ท้วนก็พูดออกมาพร้อมใช้มือตบเบาๆ ที่ท้อง
          “นอนพักก่อนผมจะไปทำอะไรมาให้ทาน” คนพื้นฐานมั่นคงทางความคิดไม่คล้อยตามไปด้วยแต่เหตุผลที่ได้รับฟังทำให้ขัดอากิซังไม่ได้
          “ไปด้วย เดี๋ยวนายก็หลงเปิดปิดห้องมั่วไปหมด”
         ตามที่หนุ่มหน้างามพูด ยูกิเดินตามคำบอกของอากิเป็นระยะๆ เหมือนเปิดจีพีเอสบอกเส้นทาง บ้านหลังไม่ใหญ่โตแต่มีทางเดินและห้องบานเลื่อนทำให้คนไม่คุ้นเคยงุนงง เดินอุ้นเจ้าของบ้านมาถึงห้องครัวที่อยู่ทางด้านหลัง เครื่องครัวค่อนข้างทันสมัยแต่เหมือนคนอาศัยจะไม่ค่อยได้ใช้งานเสียเท่าไหร่
          “คุณแพ้อาหารอะไรครับ” สิ้นคำถามเขาหันมามอง อากิซังส่ายหัวจนหน้าสั่นแทนคำตอบ
          เขาสำรวจอาหารสดในครัวซึ่งส่วนใหญ่ถูกจัดเข้าซองเป็นแพ็คไว้อย่างเรียบร้อย เขาตัดสินใจเลือกทำอาหารที่ง่ายและเร็ว ซุปเห็ดสำเร็จรูปทำง่ายแค่ฉีกซอง แซลมอลสเต๊กย่างเนยปรุงรสเรียบร้อยแค่ลงกระทะย่าง ทานคู่กับพาสต้าผัดซอสกระเทียมและพาสลีย์ซอย
          เตรียมหม้อต้มเส้นจากนั้นใช้กระทะที่ย่างปลาใส่กระเทียมสับปรุงซอลการิคเครื่องเทศเล็กน้อยพอหอม ทำงานครัวกุกๆ กักๆ ไม่นานนักอาหารสำหรับหนึ่งคนก็ยกมาเสริฟให้อากิซังที่นั่งชะเงอคอมอง กลิ่มหอมของอาหารทำสดใหม่ยั่วให้อยากกินจนน้ำลายสอ
          หลังมื้ออาหารเจ้าชายอากิขอตัวไปอาบน้ำเขาอยากกลับไปทำงานต่อแต่สองมือล้าเกินกว่าจะจับแปรงสะบัดไปมา ยอมตัดใจเข้าห้องไปนอนพักเรียกเรียวแรงให้กลับมาพร้อมทำงานต่อวันรุ่งขึ้น
          ก่อนจะหลับไปพร้อมกับร่างกายอันอ่อนเพลียก็ต้องสะดุ้งลืมตาตื่นเพ่งตามองฝ่าความมืดเจอเงาตะตุ่มไม่คุ้นตาแต่เสียงจะเป็นใครไม่ได้นอกจากยูกิ
          “ขอนอนด้วยได้ไหมครับ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไรเลยล้มตัวลงนอนขดตัวหนา ๆ ลงบนเตียงหลังใหญ่ด้วยคน เจ้าของเตียงส่งผ้านวมให้เพราะตีความว่ายูคิคงจะหนาว
          “กอดหน่อยได้มั้ยครับ” คนถูกขอถึงกันนอนลืมตัวโพลง มีอ้อมแขนหนา ๆ โอบรอบเอวไว้แล้วเป็นที่เรียบร้อย มองมือใหญ่ ๆ ที่โอบเอวเอาไว้จนแน่นยิ่งคิดหมั่นไส้ จะมาอ้อนอะไรนักหนาไม่ใช่แม่ซักหน่อย
          “ขอ...”
          “อย่า! ไม่อนุญาตเว้ย!” อากิซังโวยวายลั่น ดิ้นตัวไปมาอยู่ในอ้อมกอดของคนฉวยโอกาส แต่ตัวเองก็เป็นคนปล่อยให้มันเป็นแบบนี้นี่นา
          “เปล่า แค่บอกว่าขอนอนแบบนี้ทุกคืนได้มั้ยครับ” ใบหน้าคมคายเปิดปากยิ้มมีเสียงหัวเราะขำความคิดในทางไม่ดี
          “อืม!ตามใจ” น้ำเสียงห้วนสั้นแสดงถึงความไม่พอใจแต่ยอมนอนให้คนตัวโตนอนกอด ให้ข้ออ้างกับตัวเองว่าตอบแทนอาหารอร่อยๆ ที่กินเข้าไปจนพุงกางอิ่มเสียจนตาจะปิด
          “มันคุ้นจัง เหมือนผมนอนแบบนี้เป็นประจำเลยครับอากิซัง” เสียงยานคางฟังแล้วน่าส่งสักหมัดเสยเข้าปลายเข้าให้จะได้คุยภาษาคนแบบชายธรรมดาได้ แล้วไอ้ผู้ชายขี้อ้อนนี่มันเห็นเรากลายเป็นตัวแทนของใครไปแล้วเนี่ย
          “เจ็บจังครับอากิซัง” อ้อมแขนโอบรัดจากลำแขนแข็งแกร่งรุนแรงขึ้นเล็กน้อย มือเรียวลูบท่อนแขนใหญ่เบาๆ จนแรงกอดคลายลงเหลือเพียงโอบกอดธรรมดานึกว่ายูกิคงปวดหัวขึ้นมาอีก
          ร่างสูงรู้สึกเจ็บปวดนอนกระวนกระวาย ปวดก็ไม่ใช่อ่อนล้าตามเนื้อตัวก็ไม่เชิง ปวดร้าวจนหายใจไม่ออกยามหลับ คืนนี้เคลาส์และยูกิพร้อมใจประสานร่างผ่านฝันอีกครั้ง
          ฝันถึงใครบางคนที่คล้ายจะจำได้แต่กลับลืม จากเสียงเริ่มเห็นเค้าโครงของใบหน้าแต่รางเลือนภาพตัดไปมาไม่ปะติดปะต่อ
          มือของจิตรกรหนุ่มนอนเกาะกุมให้กำลังพาลาดินตกจากฟ้า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาด้วยหรือเปล่าที่กักขังสร้างกรงขังเคลาส์ในร่างยูกิเพื่อตัวเองจะได้มีความสุขยามอยู่บนภูเขาเงียบงัน 
          ไออุ่นจากคนด้านหลังชับกล่อมคนคิดฟุ้งฟ้านจนหลับไปพร้อมกับคนความคิดอลวนตีกันวุ่นวาย เตียงนอนที่เคยกว้างมากเมื่อก่อนหน้า พอมีสองคนนอนกอดกายเคียงคู่กันดูน่าสุขกายสบายดีในคืนหิมะโปรยปรายเช่นฤดูหนาวปีนี้



ออฟไลน์ keisarinna

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
          วันเวลาที่สองหนุ่มอยู่ร่วมกันเหมือนอยู่คนละซีกโลกในบ้านไม้ทรงโบราณกลางเขา ไม่กี่วันก่อน อากิบรรเลงเพลงภาพดังกลายร่างเป็นพู่กันและฝีแปรง มาวันนี้ช่วงเวลาฝีมือขึ้นเริ่มเข้าสู่ช่วงฝีแปรงฝืด จิตกรหล่อหน้าเดียวนั่งทำงานแต่หงุดหงิดฟาดแปรงฟาดสีหงุดหงิดตัวเองที่ดึงเอาช่วงเวลาฝีแปรงเทพกลับมาอีกครั้งไม่ได้
          “อากิซัง ทานพักทานข้าวหน่อยไหมครับ” ยูกิเข้ามาป่วนเปี้ยนที่ห้องทำงานของอากิฮิโระ เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นภาพ งานที่เจ้าตัวนั่งวาดจนสลบอยู่ห้องนี้ น่าอัศจรรย์ถ้าภาพเสร็จสมบูรณ์จะสวยงามควรค่าแค่คำว่าศิลปะขนาดไหน
          “เงียบน่า...คนจะทำงาน”
          “เอ่อ...ครับ แต่!” ถามเหมือนฟังภาษาคนไม่ออก แต่เขาสาบานได้ว่าไม่ได้อยากกวนอารมณ์หรืออวัยวะเบื้องล่างของคนช่างศิลป์เลยซักนิด แค่เป็นห่วงที่ร่างบางโอนเอนนั่นยังไม่ได้ทานอาหารสักมื้อตั้งแต่เช้า
          “หุบปากได้มั้ยห๊า!”
         ความเงียบเริ่มเข้าปกคลุม อากิเข้าสู่โลกส่วนตัวกับผลงานของตัวเองโดยไม่สนใจคนมาใหม่ หางตาเห็นร่างหนานั่งหน้าหงอยอยู่ข้างๆ  อากิวางแปรงสีที่ถือไว้ลงรู้สึกตัวแล้วว่าตัวเองทำกิริยาไม่ดีและพูดทำลายน้ำใจ
          “จิส์...ขอโทษแล้วกัน นายก็อย่ามาทำให้ฉันโมโหได้มั้ย” จิกปากบอกขอโทษแบบไม่ตั้งใจแค่รู้สึกว่าตัวเขาเองน่าจะพูดจาดีๆ กับคนสมองเสื่อม
          “ปวดหัวอีกหรือเปล่า” เหมือนเป็นคำถามเอาใจชายขี้ใจน้อย แต่กลับมีความรู้สึกอยากถามออกไปแบบนั้นจริง ๆ
          “ไม่ครับ ผมสบายดีแต่คุณยังไม่ได้ทานอาหารตั้งแต่เช้า” คนโดนดุพูดเสียงอ่อยไม่กล้าสบตากลมโตที่จ้องมองมากลัวจะทำอะไรให้คนตรงหน้าไม่สบอารมณ์เข้าอีก
          “ฉันชินแล้วน่า จะกินไม่กินหิวก็หากินเอง” ร่างบางลุกขึ้นแล้วหันหลังให้กับภาพเฟรมใหญ่เหมือนยอมแพ้ความมือฝืดจนแปรงสีแห้งแข็งแผ่นภาพที่กำลังจะก้าวหน้ากลับไม่มีผลงานพิ่มเติมจากวันก่อน
          “โทษทีฉันอยู่คนเดียวมาตลอดเลยไม่ชิน” ใช้ชีวิตกับตัวเองเสียส่วนใหญ่ พอมีคนอื่นโผล่มาอยู่ด้วยมันทำตัวไม่ถูก ถ้าเป็นคนอื่นไม่ใช่คนสมองเสื่อมแบบยูกิ ป่านนี้คงหนีเตลิดไปไหนต่อไหนแล้ว
          “ผมคงวุ่นวายมากเกินไป พอมีงานให้ทำมั้ยครับ ผมจะได้ไม่กวนอากิซังทำงาน”
          “ทำอะไรได้บ้างไหนบอกมาสิ” คนมีโลกส่วนตัวสูงหันมาฟังคนอื่นอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก
          “ผมรู้สึกคุ้นเคยกับกฎหมาย คอรัปชั่น อาชญกรรม....เอ่อ! แล้วก็” อดีตกลับมาผ่านความทรงจำถึงงานที่เคยทำ รู้สึกผูกพันกับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายมากกว่าการทำอาหารถึงจะคล่องแคล่วแต่ไม่ได้เติมเต็มความต้องการเท่าไหร่
          “หยุด! ฉันไม่ต้องการทนาย” อากิทำท่าจริงจังตาโตคมกริบคู่นั้นตอกย้ำว่าความสามารถของคนหล่อร่างหนาไร้ประโยชน์กับจิตรกรอย่างเขา
          “หิวแล้ว อยากกินข้าว ทำอาหารให้กินแล้วกันขอให้อร่อยทุกมื้อก็พอ” ร่างเพรียวบางหันไปมองอาหารที่ยูกิยกเข้ามาถึงจะเย็นชืดแล้วแต่ก็อยากกินซักคำสองคำเพื่อให้คนทำไม่น้อยใจว่าทำแล้วไม่ยอมกิน นั่งหน้าหงอยคอตกหูลู่ให้เขาเห็นอีก
          กำลังจะตักข้าวเข้าปากมือของยูกิห้ามไว้ แล้วบอกให้ไปล้างมือล้างไม้ให้สะอาดและตามไปทานข้าวที่ห้องครัว เขาจะทำอาหารให้ใหม่อาหารที่ดีต้องกินร้อนๆ อาหารเย็นชืดไม่ดีต่อสุขภาพ
          “แล้วแต่อัยการเลย” คนแข็งกร้าวว่าง่ายทันทีผิดกับตอนที่เข้าไปขัดจังหวะเวลาทำงาน
          อากิใจคอไม่มี ความทรงจำเรื่องอาชีพเริ่มกลับมาแล้วมีเวลาอีกเท่าไหร่กันนะที่สามารถใช้เวลากับยูกิที่นี่ หากวันที่เคลาส์จำได้ทุกอย่างแล้วจะลืมเขาไหม?
          ว่าแต่แล้วทำไมจะต้องสนใจ ถึงวันนั้นเมื่อไหร่ก็แค่ยืดอกส่งเคลาส์กลับบ้าน แยกย้ายทางใครทางมันอยู่แล้ว
          “อากิซัง อาหารพร้อมแล้วครับ”  เสียงนุ่มทุ้มเรียกตามให้มาทานข้าวได้แล้ว
          “อืม จะไปแล้ว” ร่างบางขานรับเสียงเรียกเขาใช้เวลากับการล้างมือเลอะสีมากเกินไปเพราะใจลอยคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เขาเดินตรงไปยังครัวด้านหลังไม่คิดว่าอาหารจะเสร็จเร็วทันใจแบบนี้
          “ทานข้าวด้วยกันเลยนะครับวันนี้” ร่างสูงใหญ่ทำเรื่องละเอียดอ่อนได้น่าประทับใจ เขาเลื่อนเก้าอี้ออกรอให้อากิซังนั่งที่โต๊ะอาหารก่อนแล้วย้ายตัวไปประจำที่นั่งฝั่งตรงข้ามที่เป็นของตัวเอง
          บนโต๊ะวันนี้มีซีซาร์สลัดและสเต๊กเนื้อซอสพริกไทยดำ บริกรจำเป็นเปิดไวท์แดงรินทานคู่กับอาหารให้ผู้ร่วมโต๊ะและตัวเองในมื้อนี้ ยังมีของหวานเป็นผลไม้สดที่คุณป้าแม่บ้านพึ่งนำมาวันนี้ และเขาจัดการปลอกเปลือกรอไว้พร้อมทานตบท้ายมื้อเย็นนี้ด้วย
          เสียงตู้อบดังขึ้นร่างหนาลุกเดินไปเปิดแล้วนำมันผรั่งอบเนยมาเป็นเครื่องเคียง มือไม้ไวหยิบถาดขนมปังอบไหม่ที่แม่บ้านเตรียมไว้เป็นออเดิร์ฟมาให้อากิซังเผื่ออยากจะทาน
          คนขี้สงสัยนึกถึงเคลส์ใช้ชีวิตคนเดียวหรืออยู่กับคนรู้ใจ อาหารที่เขาได้ทานมักจะทำง่ายไม่ยุ่งยากรสชาติไม่ได้แย่เน้นความรวดเร็ว อัยการบ้านเมืองนี้งานมากมายจนไม่มีเวลาละเมียดละไมต่อมื้ออาหารหรือไง ถึงเขาทานข้าวมื้อเว้นสองมื้อแต่เขาก็ประดิษประดอยกับรูปลักษณ์รสอาหารที่กิน ไม่ได้รีบๆ เร็วๆ กินให้อิ่มๆ จบมื้อไม่กี่อึดใจ
          แต่ขอยอมรับตรงนี้เลยว่าอาหารง่ายๆ พอได้กินตอนร้อนๆ อร่อยจริงได้จริงจังไม่รู้จะติติงว่าอะไร

          มือเรียวบิขนมปังกินพอเป็นพิธีแล้วหั่นสเต็กเข้าปากเพราะทนกลิ่นเนื้อย่างยั่วให้น้ำลายไหลไม่ไหว พร้อมจิมไวท์แดงเพื่อเพิ่มอรรถรสให้อาหารมื้อนี้ ปิดท้ายด้วยสลัดและผลไม้สดแช่เย็นที่ยูกินำมาให้
          ระหว่างอาหารทั้งสองคนไม่ได้พูดคุยอะไรกันผิดกับความเคยชินของเคลาส์ที่มักคุยสารพันเรื่องราวระหว่างทานอาหาร จะอ้าปากคุยกับอากิซังก็เห็นคนตรงหน้าตั้งหน้าตั้งตากินอย่างอร่อยเลยไม่กล้าขัดจังหวะนั่งกินอาหารของตัวเองไปเงียบๆ
          ตาคมลอบมองคนหน้าตาตีใช้มีดตัดเนื้อมือบิดชิ้นขนมปังใช้ช้อนตักผักสลัดจริตจัดจ้านจับแก้วจิบไวท์ แค่ทานข้าวยังน่ามองขนาดนี้อากิใช้ชีวิตมายังไงก่อนที่จะมาเจอเขากันนะ หรือว่าจะเป็นเจ้าชายจริงๆที่ได้ยินมาจากอาหมอกล่อมบทบรรยายคุณสมบัติหลานรักให้ฟังตอนเขาอยู่โรงพยาบาลทุกครั้งที่เข้าตรวจเขา
          อากิซังศิลปินหนุ่มเคยชินกับการจับจ้องของผู้คน การที่ยูกิมองพฤติกรรมการทานอาหารของเขาไม่ได้ขัดต่อการเจริญอาหารแต่อย่างใด ไว้จะบอกคนจัดเตรียมอาหารให้เตรียมเค้กครีมสดหน้าสตอเบอร์รี่ไว้เขาอยากทานเป็นของหวาน ชิมผลไม้สดพอล้างปากเป็นอันจบอาหารมื้อเย็น
          ยูคิเดินอ้อมไปเก็บจานที่อากิทานเสร็จไปจัดการล้างเก็บให้เรียบร้อย เพราะแม่บ้านประจำกลับไปแล้ว ตัวเขาเองกินอิ่มปริ่มไวท์ได้ครู่ใหญ่อยากคลายความมึนตึงหลังดื่มแอลกอฮอล์เสียหน่อย ทำงานเล็กๆ น้อยน่าจะพอช่วยได้
          จัดเก็บจานช้อนเข้าที่เช็ดถูโต๊ะอาหารเสร็จสรรพ เขาเดินตามแสงไฟมาเจออากิที่ห้องรับรองด้านนอก เขาเห็นอากิซังนั่งคุกเข่าปลายเท้าขนานพื้นกำลังจัดดอกไม้บนแจกันที่คุณแม่บ้านสุมใส่ลวกๆ ไว้เมื่อเช้า
          มือเรียวแยกประเภทไม้ดอกพินิจมองดอกไม้ บรรจงเล็มกิ่งริบใบจัดวางบนแจกัน รูปแบบดอกไม้ที่จัดเสร็จรูปแบบแปลกตา เสมือนว่าแจกันนั้นคือพื้นดินและมีเหล่าดอกไม้หลากพันธุ์ผุดขึ้นเบ่งบานตามธรรมชาติ
          การจัดวางอ่อนช้อยท่วงท่างดงามไปเสียหมดเหมือนกำลังร่วมพิธีบูชาพืชพรรณของชาวเอเชีย ทุกสิ่งรอบกายอากิเป็นศิลปะแปลกใหม่ที่ติดตาตื่นใจเสียทุกอย่าง
          ดอกไม้ในแจกันหลากรูปทรงถูกวางประดับไว้ตามมุมต่างๆ ทั่วทั้งบ้าน คนที่วิ่งวุ่นวางตรงนั้นตรงนี้ไม่ใช่ใครก็คือยูกินี่เองเดินขาขวิดถือแจกันที่จัดแล้วไปรอบบ้านตามคำสั่งเจ้าชายเดินหน้านิ่งชี้มือชี้ไม้ นี่คงเป็นสไตล์คนแบบอากิซังสินะ!
          เดินถือแจกันดอกไม้ตามหลังเจ้านายบุผฝา นิ้วเรียวชี้ให้เขาวางแจกันตรงนั้นตรงนี้ ภายในบ้านเลยดูมีชีวิตชีวาน่าอยู่ขึ้นทันที
          เขาแปลกใจที่ไม่เห็นทีวีหรือเครื่องเสียงแม้แต่เครื่องเดียวแต่กลับมีวิทยุสื่อสารแทน เดาว่าคงเป็นที่ตั้งของบ้านหลังนี้ที่อยู่บนเขาต้องมีไว้ติดต่อคนภายนอกยามฉุกเฉิน
          หากไม่รวมมือถือและคอมพิวเตอร์พกพาของเจ้าตัวทุกอย่างที่นี่ล้วนปรกติดี เขายังเห็นไอแพดอีกเครื่องในห้องทำงาน อากิไม่ได้ตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างเด็ดขาด อาจจะแค่อยากมาพักผ่อนหรือหลบสถานการณ์บางอย่าง หรืออาจไม่มีเหตุการณ์ใดๆ ทั้งสิ้นแค่อยากขึ้นเขาวิเวกเปล่าเปลี่ยวอยู่ตัวคนเดียวสร้างงานศิลปะเพียงเท่านั้น
          ยูกิร่างทรงสวมทับร่างอัยการเคลาส์เริ่มแปลกใจกับความคิดตัวเองทำไมต้องคิดวิเคราะห์สถานการณ์ให้มันยุ่งยากซับซ้อน แค่รู้ว่าคนที่เขาร่วมชายคาด้วยไม่ได้เป็นโจรภูเขาก็น่าจะพอ แถมยังเป็นคนอารมณ์ปรวนแปรจับทางไม่ได้เข้าหาไม่ถูกอีกต่างหาก
          อากิพายูกิเดินรอบบ้าน เหมือนพาเจ้าเพื่อนยากสี่ขาออกเดินเล่น ทั้งคู่นั่งรับลมหนาวหิมะปรายลมพริ้วเบาที่ระเบียงข้างบ้าน ต้นไม้ดอกไม้ถูกหิมะจับตัวแข็งทื่อ ทุกยอดชูช่อเหมือนตุ๊กตาหิมะประดับเรียงรายสูงต่ำคละระดับกันไป

          ยูกิเว้นระยะห่างจากคนอารมณ์แกว่งไกวแล้วนั่งลงอย่างระมัดระวัง ตัดสินใจนั่งไม่ถูกว่าต้องลงท่าไหนถึงจะไม่ขัดตึงกับเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายชุดแปลกตานี้ เลยตัดสินใจนั่งขาห้อยริมชายระเบียบเป็นท่าง่ายสุดในตอนสวมชุดยาวคลุ่มข้อเท้าแบบนี้
          คนกิริยางามหยิบจับอะไรดูน่ามองไปทุกท่วงท่าแม้แต่ท่านั่งสูบยา พระเจ้าลำเอียงเสียจริงส่งเทวดามาเกิดไม่สร้างให้เหมือนมนุษย์มนาคนธรรมดาเสียหน่อยยังตัดใจทำไม่ลง
          เรื่องรักเรื่องใคร่ยอดชายที่นั่งอยู่ข้างเขาคงผ่านมาแล้วมายมายมีให้เลือกหลากหลายไม่มีเบื่อกระมังนั่น น่าอิจฉาชะมัด! หลายคนที่ได้เห็นอากิซังคงมีความคิดอิจฉาเล็กๆ แบบเขาเป็นแน่
          “อากิซังเป็นศิลปินหรือครับ” ยูกิทนความเงียบในบรรยากาศเหงาหงอยไม่ไหวเป็นคนเริ่มบทสนทนาก่อน
          “จิตรกร...บางที” ร่างบางพ่นควันยาสูบเหมือนจะพูดอะไรต่อแต่หยุดปากเงียบไว้
          “นายหล่ะ เป็นใครนึกได้หรือยัง หวังว่าไม่ใช่เป็นเซเลปคนดังหรอกนะ” น้ำเสียงแข็งกระด้างอ่อนลง เขาเปลี่ยนเรื่องเปลี่ยนบรรยากาศถามเรื่องส่วนตัวของยูกิบ้าง
          “ผมหล่อใช่มั้ยล่ะครับ” เห็นหน้าตัวเองในกระจกมองอย่างไม่เอาดีเข้าตัวก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร พูดเสร็จก็เอียงองศาเก็กหน้าด้วยมุมที่ดูดีที่สุด
          คนสูบยาแทบสำรักควันถึงจะพูดเรื่องจริงแต่ไม่อวยตัวเองเกินไปหรือไง อายบ้างไหมพูดต่อหน้าเขาเนี่ย นี่คนความจำเสื่อมคงไม่มาพูดขายขำให้เขาสนุกสนานใช่ไหม
          “ให้ตายเถอะอย่างนายเรียกหล่อแล้วหนังหน้าอย่างฉันเรียกอะไร”
          “โอ้ย! ผมไม่กล้าวิจารณ์หรอก เดี๋ยวเทพผู้ปั้นคุณจะเศร้าใจ” ยูกิเงียบความคิดไว้ดีกว่ายังไงเสียก็สู้ใบหน้าเทพบันดาลไม่ได้หรอก คนอะไรหล่อก็ดีสวยก็ได้เหมือนใครจงใจปั้น ไหนเลยจะกล้าบอกว่าหน้าตาดีเพราะว่าดีเกินเกณฑ์มาตรฐานไประดับอิปิคแล้ว
           “ชั่งหน้าฉันเถอะ พูดถึงฝันนายดีกว่านายเล่าให้ฉันฟังบ้างสิ”
          อากิอยากช่วยกระตุ้นความจำ ไม่ได้สำนึกผิดอะไรหรอกแค่ห่วงใยตามประสาเพื่อนร่วมโลก เคยรู้มาว่าความฝันก็คือความทรงจำชนิดหนึ่งที่สมองถูกสั่งให้กดมันเอาไว้ในเวลาปกติ และถูกปลดปล่อยในช่วงเวลาที่เผลอตัวไร้การควบคุม
           เมื่อหลับลึกความกดทับจะคลายตัวและพลั่งพรูให้เจ้าตัวได้รับรู้ว่าจิตสำนึกเก็บซ่อนอะไรไว้บ้าง หากปล่อยให้ยูกิอยู่ไปวัน ๆ ไม่ได้รื้อฟื้นความจำเลยเดี๋ยวจะกลายเป็นโรคสมองเสื่อมแทนความจำขาดหายเสียก่อนและยังเป็นภาระให้เขาอีกด้วย
          “ฝันที่ได้ยินแต่เสียงของผมหรือครับ” ร่างสูงใหญ่ดึงขาขึ้นในท่าขัดสมาธิ และเอนตัวไปด้านหลังใช้แขนแข็งแรงทั้งสองข้างยันร่างกายไว้ ดวงตาคมมีแววเศร้าที่ซ่อนไว้สุดลึกมองขึ้นไปยังห้องฟ้ามืดมนว่างเปล่าเหมือนยามเขาหลับตาฝัน
          “เคลาส์ เสียงในฝันพูดแค่คำนี้ครับ”
          “ชื่อนายเหรอ” อากิถามหยั่งเชิง ยูกิอาจเริ่มรู้ที่มาของตัวเองมาบ้างแล้วก็เป็นได้ เขารู้สึกทั้งดีใจและแสนเสียดายเวลาที่ได้อยู่กับพาลาดินหนุ่มสั้นเหลือเกิน
          “ไม่รู้สิครับ อาจเป็นชื่อผม หรือใครสักคนที่สำคัญมาก” รู้สึกปวดหัวจนได้ยินเสียงตุบ ๆ เหมือนสมองจะระเบิดออกมาจึงไม่อยากคิดถึงความฝันนั้นอีก
          “ใจเย็น ๆ ถ้าฝันอีกใช้ใจของนายเข้าไปด้วย...ในนี้” มือเรียวจิ้มไปที่หัวตัวเอง
          เขาให้คำแนะนำดีๆ ไม่ได้หรอก เพราะตัวเองก็คิดไม่ดีกับคนสมองกลับเหมือนกันอยากดีดหัวคิดด้านปีศาจร้ายของเขาทิ้งเสียจริงๆ จิตใจเขาบางครั้งกลับไม่ได้สดสวยเหมือนหน้าตาที่ทุกคนกล่าวชื่นชมยกยอ เขาดับยาสูบและลุกขึ้นกลับเข้าข้างในบ้าน
           “อากิซังจะไปทำงานต่อหรือครับ” ยูกิลุกขึ้นอย่างรวดเร็วรีบเดินตามจิตรกรหนุ่มไปแล้วปิดบานประตูไล่หลังมา
          “ถ้างานเสร็จแล้วฉันต้องกลับญี่ปุ่น นายจะทำยังไง” อากิถามชายหนุ่มที่กำลังตามหลังมาลอยๆ เขาไม่คาดหวังว่าคำตอบจะทำให้เขาปลื้มปริ่มหรือไม่ แค่อยากจะถามลองใจดูเท่านั้นว่าตอนนี้คิดอย่างไรกับการที่ต้องอยู่กับเขาที่นี่
          “คุณคงไม่ใจร้ายทิ้งผมไว้ที่นี่นะครับ” คนตอบคำถามพาซื่อถ้าไม่มีอากิอยู่ที่นี่แล้วจะไปที่ไหนได้
          “อย่าพึ่งคิดเลย งานฉันไม่เสร็จง่ายๆ หรอก ไว้ค่อยคุยกันอีกที” บางทีนายเองอาจรีบลงเขาหนีฉันไปก็ได้ถ้าจำทุกอย่างได้ขึ้นมา คำพูดที่อยากจะพูดแต่นิ่งเงียบไว้ไม่ได้เอ่ยปากพูดไป
          “อยากเข้าไปทำงานกับฉันไหม” คนอารมณ์ไม่มั่นคงเปิดบานประตูเลื่อนค้างไว้แล้วหันมาถาม ฝ่ายคนถูกเชื้อเชิญทำตัวไม่ถูกตัดสินใจก็ลำบากแต่พยักหน้ารับคำเดินคอตกไหล่ห่อย่อตัวเหมือนเดินเข้าห้องศักดิ์สิทธิ์ประหนึ่งเดินเข้าศาลครั้งแรก!
          เคลาส์ผู้หลงลืมยืนนิ่งทำตัวไม่ถูกไม่รู้ว่าต้องพาร่างกายตัวเองไปอยู่ส่วนไหนของห้อง เก้าอี้มีเพียงตัวเดียวรอบตัวมีแผ่นภาพเขียนวางทั่วไปหมด กลิ่นสีค่อนข้างรุนแรงจนเขาไม่กล้าสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด
          คนใช้ชีวิตอุดอู้อยู่ในห้องนี้เสียส่วนใหญ่รู้ถึงความอึดอัดที่กลิ่นสีอัดแน่นอบอวน เขาเดินไปเปิดที่ดูดอากาศบรรเทากลิ่นให้บางลงเพื่อยูกิจะได้ไม่หายใจลำบากนัก
          จิตรกรร่างบางนั่งบนเก้าอี้ทำงานตัวเดียวที่มีในห้องและกวักมือให้ยูกิมานั่งซ้อนด้านหลังบนเก้าอี้ตัวเดียวกัน ถึงจะเงอะๆ เงะๆแต่ก็นั่งคล่อมเก้าอี้ใช้ลำตัวเป็นพนักพิงให้อากิซังไปเสียแล้ว
          หนุ่มหน้างดงามดั่งเทพกลายเป็นตาแก่ขี้เมาถือขวดเหล้าแบบพกพากระดกดื่มเป็นน้ำเปล่า จนมือหนาต้องจับรั้งไม่ให้ดื่มเหมือนเทน้ำเปล่าเข้าปาก
          ได้ยินเสียงหัวเราะหึๆ ในลำคอไม่ได้ต่อว่าต่อขานจนเขาลนลานเหมือนตอนเย็น ใครที่ว่าน้ำเมาเปลี่ยนนิสัยคน เขาเห็นด้วยก็ต่อเมื่อมาเห็นกับตาตัวเองนี่แหล่ะ
          นึกถึงตัวเองตอนเมาจะเป็นแบบอากิหรือเปล่าเดาไม่ถูกจริงๆ อาจจะยิ่งกว่าก็ได้ ก็คนเมาใครกันเล่าจะถือจะสาหาว่าเอาความคนเมาไร้สติ   
          “นี่! โชจูยอดนิยมที่ญี่ปุ่นสักอึกดูไหม” อากิยื่นเหล้าหมักสุดหวงมาให้ยูกิชิมรสชาติ คนถูกชวนลังเลเพราะไม่มีแก้วให้รินออกมา ถ้าดื่มปากขวดเดียวกันประเดี๋ยวคงได้โวยวายเขายกใหญ่แน่
          “เฮ้อ!ใจเสาะเป็นปลาซิลปลาสร้อย ” อากิพลิกตัวหันหน้าคุกเข่าขึ้นคล่อมตักหนามือเรียวดึงผมไปด้านหลัง อาศัยจังหวะตกใจของยูคิประจบริมฝีปากส่งผ่านโซจูร้อนระอุเข้าปากไปเรียบร้อย
          ใช่สิ ...ใครจะใจใหญ่ใจโตยิ่งกว่าภูเขาทั้งลูกอย่างศิลปินขั้นเทพกันเล่าที่ทำได้ขนาดนี้!

           เอาล่ะสิ เจอของแร๊งส์ขนาดนี้จะหยุดอิท่าไหนหนอ... :katai3: เจอกัน่ตอนต่อไปจ้า

ออฟไลน์ keisarinna

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Lover Fire 3 : The Lost Mind New Guy
          น้ำเมาดีกรีแรงไหลลงคอร้อนผ่าวจนทั่วท้องเขาสติมึนตึงมาตั้งแต่หลังอาหารมื้อค่ำแล้ว พึ่งจะสร่างไม่ทันซากลับมาสะสมแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้นอีกรอบ
          รสสัมผัสคล้ายวิสกี้มีกลิ่นฉุนแฝงกลิ่นหอมที่ไม่คุ้นนึกไม่ออกว่ากลิ่นอะไรที่ตีขึ้นจมูกหลักจากดื่มเหล้าสีใสกลิ่นแรงรสแปลกแต่ไม่เลวร้ายคอวิสกี้อย่างตัวตนของเคลาส์พอรับได้

          “โชจูสูตรเฉพาะตระกูลฉันเอง แต่ชอบสาเกมากกว่าเสียดายยี้ห้อที่ชอบไม่มีขายที่นี่” เจ้าของสูตรพูดโอ้อวดภูมิใจเหล้าในขวดสแตนเลทขวดนี้มาก
          “นายรู้วิธีดื่มโชจูในหน้าหนาวไหม” คนน่าตาดีทำหน้าเจ้าเลห์ดูไม่น่าวางใจแต่คนจะถูกล่อลวงสุดจะต้านทาน
          “แค่ดื่มไม่พอหรือครับ” คนตามไม่ทันคิดว่าวิธีการดื่มคงเหมือนวิสกี้ จะดื่มเพียวหรือผสมกับเหล้าอื่นและผสมทำค็อคเทล
          อากิซังยังนั่งคล่อมอยู่แบบนั้นมือเรียวยกขวดเหล้าพกพาดื่มอีกครั้ง ไม่ยอมกลืนแต่อมโชจูให้อุ่นขึ้น ยูกิมองตามตาไม่กระพริบสงสัยว่าทำไมคนตรงหน้าไม่กลืนเหล้าเสียที
          ไอร้อนจากใบหน้าจิตกรหนุ่มเข้ามาใกล้หน้าของเคลาส์ นิ้วเรียวเชิดปลายคางคมสันให้ยกขึ้นก้มหน้าตัวเองประกอบริมฝีปากหนาอีกครั้งและส่งเครื่องดื่มอุ่นระอุให้คนไร้ประสบการณ์ดื่มโชจูในฤดูหนาวรู้วิธีการดื่มอย่างถูกวิธี
          ใบหน้าดุจเทพบุตรชิดใกล้ใช้ปากเอิ่มสวยแทนจอกโชจูให้ยูกิในร่างเคลาส์ดื่มด่ำเหล้าวัฒนธรรมที่ไม่มีประเพณีแบบนี้ในประเทศต้นกำเนิด…รูปแบบปากต่อปากที่ทำอยู่นี่ล่ะนะ
          จากบริการใช้ปากเป็นจอกเหล้าเริ่มเลยเถิด มือหนาประคองดวงหน้าชวนมองที่หมกหมุ่นรุกเร้าความรู้สึกเขาจนมากเกินไป
          ก่อนจะปล่อยใจปล่อยกายถล่ำไกลเกินกว่าจะยั้งได้ เรียวปากหนาถอนออกจากริมฝีปากซุกซนใช้หน้าผากตัวเองดันหน้าผากของอากิไว้ให้หยุดการกระทำตามใจลงเสียก่อน
          “ดื่มโชจูแบบนี้ไม่ดีเลยครับ”
          “คิดมาก! สมองนายมีกฎเกณฑ์มากไป”
          “อากิซัง” เห็นทัศนคติคนกร่างเมาเมื่อเหล้าเข้าปากก็อยากจะห้ามปราม
          “ฉันอยากวาดรูปนายช่วยกระตุ้นอารมณ์หน่อย”
          ฟังคำขอความช่วยเหลืออ่อนอ้อนเช่นนี้จิตสำนึกเคลาส์ถึงกับอึ้ง มวลสารทั่วร่างกายหยุดกึก คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเจอถ้อยคำชวนใจละลายแบบนี้มาก่อน
          ร่างบางไขว้ขาอ้อมร่างพาลาดินร่างใหญ่ไปนั่งด้านหลังเหมือนคนเล่นกายกรรม สองขาเรียวตวัดรอบเอวหนาของยูกิไว้หน้าหล่อล้ำโลกวางพาดอยู่แนวบ่าหนา นั่งมองภาพวาดปลายแปรงสะบัดของตัวเองพร้อมจิบขวดโชจูส่วนตัวพินิจงานศิลป์เป็นกับแกล้ม
          ลมหายใจอุ่นรดต้นคอชวนให้คนโดนกระทำใจหวั่นไหวต้องถอนหายใจระบายความอัดแน่นชวนอึดอัดบางอย่างของร่างกาย
          คนชอบหยอกเย้าหัวเราะกรุ้มกริ่มมือไม้เล่มไม่หยุดอยู่นิ่งปล่อยขวดโชจูอันว่างเปล่าล่วงหล่นพื้นแล้วมาคว้าลำบางอย่างที่คอขวดคอดบนร่างเคลาส์แทน
          “อา กิ ฮิ โระ ซัง!” ยูกิในร่างเคลาส์สะดุ้งแต่ไม่ถอยหนี ภาพอย่างอย่างตีกันวุ่นวายภายในสมองสับสนที่กำลังมึนงงด้วยน้ำเมาและแรงยั่วเย้าให้พลั้งเผลอจากจิตรกรใจกระหายกระหืน
          เคลาส์หันหลังกลับมากระจันหน้ายูกิโดยอัตโนมัติ ใบหน้าคมสันฝังหน้าตัวเองตรงซอกคอระหงสติเลือนปล่อยร่างกายให้ดำเนินตามความรู้สึก มือหนาสัมผัสคนในอ้อมอกเช่นเดียวกับมือเรียวกำลังบำบัดเฉพาะที่
          ดวงตางดงามหยาดเยิ้มด้วยความต้องการ รอยจูบเย้ายวนรอบลำคอเหมือนแมลงไต่คันยิบยับทั้งหัวเราะขันทั้งครางคราช่างชวนให้คนแปลกแยกเปล่าเปลี่ยวกระซ่านสันต์กว่าที่เคยมา
          “เคลาส์...” ยูกิบรรจบกระซิบแผ่วเบาใกล้ใบหูหนาให้เจ้าของชื่อได้ยิน
          เพียงแค่อยากระเซ้าแหย่เล่น ด้วยความคิดผิดแผลงกลับกระตุ้นเคลาส์ผู้หลับใหลลืมตาตื่นอย่างเชื่องช้า ใบหน้าหล่อเหลาสะบัดปัดไล่ใครบางคนที่กำลังเข้าควบคุมสติและร่างกายของยูกิ
          ทุกเหตุการณ์ใต้จิตสำนึกถาโถมเหมือนวิญญาณร้ายเข้าสิงสู่ เคลาส์บรรเลงรักเหมือนระบายความคลั่งใคล้ร่างกายโหยหาเรียกร้องใครบางคนที่สุดรัก
          อากิปล่อยกายให้ไหลตามแรงปรารถนาของยูกิเปิดใจรับอารมณ์รุนแรงท่วงท่าพลิกแพลงมาอยู่ในท่านั่งทับร่างหนาสนิทแนบหน้าตัก ลำแขนเรียวจับแขนแข็งแรงกระชับอกกระชั้นร่างของตนไว้
          จินตนาการล่องลอยและกว้างไกลเกินกว่าสมองของเขาจะจินตนการได้ ปลดปล่อยร่างกายให้หลั่งไหลความอัดอั้นจนทานทน
          ร่างกายแอนอ่นโยนโยกตามแรงดึงดันแข็งขึงของชายคุ้มคลั่งระบายอารมณ์สับสนงุ่นง่านไปในทางรุนแรงทางกายภาพ ยูกิครางต่ำในลำคอจับความไม่ได้เหมือนจะสุขสมหรือจะทุกข์ทนแต่มีอ้อมแขนไร้เรียวแรงโอบกระชับต้นคอปลอบประโลมไว้ไม่ห่าง
          เรียวปากบางเผยอรอรับจูบปลอบประโลมที่ยูกิมอบให้ไม่ได้ขาด ร่างกายกระเส่าสั่นไม่ได้จากอากาศที่หนาวเย็นหยาดเหงื่อที่สองคนหลอมละลายหาได้มาจากความร้อนชื้น ความหมายที่สองร่างก่อเกิดมาจากแรงอารมณ์ความอ่อนไหวแห่งสภาวะจิตใจโหยหา
          พายุอารมณ์กระหน่ำพัดโหมถึงขีดสุดสองร่างนอนราบทาบทับบนพื้นเปรอะเปื้อนสี ยูกิในร่างเคลาส์นอนนิ่งไม่ไหวติงทั้งที่ยังไม่ถอนตัวจากร่างอ่อนไหวไร้เรี่ยวแรงในอ้อมอก เสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอเป่ารดใบหูบางชวนจั๊กจี้จนต้องฝืนร่างกายลืมตาตื่น
          เหตุการณ์คืนวันนี้ทำให้จิตกรหนุ่มความคิดบรรเจิดรับรู้แล้วว่าฝ่ายรองรับพายุอารมณ์ร่างกายรับภาระหนักเพียงใด ทรมานร่างกายแบบนี้ถึงจะสุขสมกระตุ้นกามรมณ์ได้ดีแค่ไหน ประสบการณ์ชายใต้ชายครั้งเดียวกับเคลาส์เติมเต็มรสชาติเกินพอแล้ว
          ตากลมสวยนอนมองภาพผืนใหญ่ที่เขาทุ่มเทเวลาให้กับงานชิ้นนี้ ภาพสวยองค์ประกอบดีความรู้สึกได้แต่ยังไม่ถูกใจคนวาด เขานอนทอดสายตามองภาพอย่างเลื่อนลอยความพึงพอใจยังไม่ถูกเติมเต็มในผลงานนี้ เขาสร้างร่างกายให้ผืนภาพแต่ยังไม่ใส่จิตวิณญาณแห่งภาพลงไป
          อยู่ดีๆหัวใจกลับเต้นรำส่ำเกินต้านไหวมือไม้สั่นกระตุกอยู่ไม่สุขเวลาแห่งการจบผลงานกลับมาแล้ว เขาถอนร่างคลายอ้อมกอดของคนระเบิดพลังอารมณ์ให้หลับสนิทพักร่างกายจากกิจกรรมบันเทิงกาย ไม่แน่พรุ่งนี้ยูกิอาจจะจดจำทุกอย่างได้แล้วเดินจากเขาไปเหลือแค่ร่องรอยบนร่างกายให้คลายคิดถึง
          ร่างบางนั่งคุกเข่าวาดภาพด้วยจิตวิณญาณและความรู้สึก ผืนภาพงานชิ้นเอกกำลังถูกเติมเต็มให้เป็นงานศิลป์ที่สมบูรณ์
          อากิซังเทแรงกายแรงจินตนการและฝีแปรงภายในห้องงานศิลป์เสียหลายวันโดยมียูกิคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง ยูกิในร่างเคลาส์เริ่มคุ้นชินกับคนอารมณ์ฉวัดเฉวียนและปรับตัวให้อยู่ร่วมบ้านเดียวกับคนอารมณ์ดั่งงานอาร์ตระดับโลกได้ดี
          'ไม่ต้องเข้าใจแค่มองและชื่นชมทุกอย่างสมบูรณ์ในตัวของมันเอง'
          หลายวันมานี้ยูกิสับสนทางความคิดมากพอสมควร เขารู้สึกเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเองอยากหาที่สงบจิตสงบใจ ช่วงเวลาว่างเมื่อคนศิลป์ทำงานในห้องภาพเขาจึงใช้เวลานี้เดินเล่นบริเวณรอบๆ บ้าน เดินหาเพื่อนบ้านที่อยู่ในระแวกเดียวกัน
          มีเสื้อผ้าลำรองอยู่หลายชุดที่ไม่ใช่ชุดยาวแปลกตาที่สวมอยู่ ขนาดเสื้อผ้าใหญ่กว่าจิตรกรหนุ่มเขาเลยเปลี่ยนชุดคลุมยาวมาสวมใส่เสื้อผ้าธรรมดาทั่วไป ขนาดคับไปเล็กน้อยแต่พอถูไถ่ใส่ไปข้างนอกได้ ชุดเหล่านี้น่าจะเป็นของคุณอาหมอที่เคยอาศัยอยู่ที่นี่มาก่อน
          สภาพแวดล้อมสงบนิ่งไร้ลม ไม่มีหิมะโปรย ความหนาวเย็นไม่ทำให้ร่างกายสั่นสะท้านเหมือนวันแรกที่อยู่นี่ ทุกอย่างโดยรอบดูเหงาเงียบหงอยหากเป็นช่วงหน้าร้อนที่นี่คงจะมีชีวิตชีวามากกว่านี้ และวิวทิวเขาคงสวยงามมาก

          ยูกิคิดคำนวณเวลาที่อยู่บนเขากับอากิซังน่าจะครึ่งเดือนผ่านมาแล้ว ไร้การติดต่อจากโลกภายนอกเขาหาอดีตของตัวเองจากชุดที่เขาสวมใส่เมื่อพลัดตกลงมาที่นี่ แต่ไม่เจอบัตรประจำตัวหรือหลักฐานแสดงตัวตนอะไร
          หลายคืนที่ผ่านมาเขาเริ่มฝันมากขึ้น ไม่มีเพียงเสียงเหมือนตอนแรก สติของเขาหลอนภาพเก่าเก็บที่เคยบรรจุไว้หรืออาจจะเคยมีส่วนร่วมแต่ได้หลงลืมไป เรื่องราวมากมายไหลบ่าเหมือนน้ำป่าทะลักเข้าหมู่บ้าน แต่เขาก็ยากจะลืมเลือนคืนค่ำแห่งกายสัมพันธ์ระหว่างเขาและอากิซังคนหล่อเทพช่างปั้น
           เขาเฝ้าถามตัวเองถึงเหตุการณ์ที่ยากจะลืมในคึนนั้นเพราะเหตุใดทำไมใจเขาไหลตามเหล้าสีใสได้ถึงเพียงนั้น คิดทบไปทวนมากลับพบนิสัยส่วนเป็นคนชั่งสงสัยระแวดระวังยังกับหนังสืออ่านยากไม่น่าดึงดูดให้เปิดอ่าน หรือเป็นนิตยสารวิชาการที่ยากจะเข้าใจ
          เดินคิดอะไรไปเรื่อย สังเกตสังการณ์และตั้งคำถามหาที่มาที่ไปตลอดทางจนยูกิรำคาญตัวเองตบหัวเปาะแปะอยู่หลายทีในการเดินสำรวจวันนี้
          เขาเจอชาวบ้านกลุ่มหนึ่งตั้งแค้มป์อยู่ใกล้ทางลงเขา พูดคุยถามเรื่องราวเกี่ยวกับชุมชนบริเวณนี้ ได้ความว่าไม่มีชาวบ้านอาศัยมีแต่ขึ้นเขามาหาของป่าล่าสัตว์มักมาเป็นกลุ่มและตั้งแค้มป์บนเขาเป็นครั้งคราว
          ยังมีสถานที่โบราณบนเขาด้านบนน่าจะเป็นวัดหรือศาลเจ้าเก่าแก่อยู่แห่งหนึ่ง มีตำนานเล่าต่อกันว่าหากขอเรื่องความรักมักสัมฤทธิ์ผล
          เล่าเรื่องไปชาวบ้านก็เถียงกันเองว่าใครจะขึ้นมาขอพรให้ลำบาก หากมีรักทั้งทีสุดแสนจะยากเย็นก็เป็นโสดจนตายคงไม่ลำบากมากกว่าตอนนี้หรอก เรียกเสียงหัวเราะทั้งกับยูกิและคนที่นั่งฟังบริเวณนั้นอย่างพร้อมเพียง
          เสียเวลาพูดคุยไร้สาระได้พักใหญ่ต่างก็แยกย้ายกันไป ร่างสูงเงยหน้ามองหลังคาสถานศักดิ์สิทธิ์ที่โผล่พ้นยอดสนมาเล็กน้อย ก่อนจะเดินกลับไปเตรียมอาหารให้อากิซัง
          เขาเห็นความก้าวหน้าของผืนงานที่แสนจะแปลกตา ถึงไม่เข้าใจงานศิลปะแต่บอกได้เลยว่าไม่อาจหันหน้าหนีหรือกระพริบตาจากงานภาพของอากิฮิโระซังได้เลย รวยเมื่อไหร่เขาต้องไปประมูลงานชิ้นนี้ของอากิซังมาเป็นของประดับบ้านให้ได้
          ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำมามากแล้วขายาวรีบจ้ำอ้าวฝ่าพื้นหิมะที่เกาะตัวเป็นน้ำแข็ง เดินยากไปเสียหน่อยแต่ความใจร้อนของเขาเอาชนะอุปสรรคเล็กน้อยได้สบาย
          กว่าจะถึงตัวบ้านก็เป็นเวลาใกล้ค่ำ เห็นคนหน้าหล่อยืนหน้าบึ้งรอรับอยู่แล้วที่หน้าบ้าน รู้สึกถึงการกลืนน้ำลายครั้งนี้ฝืดหนึดคอเสียจริงๆ
          “เห็นทีขานายต้องมีโซ่ล่ามน่าจะดี”
          “อากิซังอย่าหงุดหงิดสิครับ เดี๋ยวผมไปทำอะไรให้ทาน”
          คนแข็งกร้าวเมื่อโดนน้ำเสียงอ่อนอ้อนเข้าลูบความโมโหคลายลงไปบ้าง ถึงไม่เข้าใจตัวเองว่าจะหงุดหงิดงุ่นง่านไปทำไม คนมีขาก็ต้องเดินนกมีปีกก็ต้องบินขนาดแมวยังปีนต้นไม้ได้เลยแล้วคนจะให้นั่งอุดอู้อยู่แต่ในบ้านได้อย่างไรกัน
          “เก็บรายละเอียดงานเสร็จแล้ว ฉันพานายเดินเล่นเอง”
          นี่อากิซังจะพาเขาไปเดินเล่นเหมือนเจ้าของหมาพาเพื่อนยากสัตว์หน้าขนเดินสี่ขาวิ่งจ็อกกิ้งตอนเช้าแบบเดียวกันใช่ไหม? เหนื่อยใจแทนคนรักในอนาคตอากิซังจังหนอชีวิตรักน่าสนุกตื่นเต้นจนขนหัวลุก
          เคลาส์หุบยิ้มไม่ลงได้แต่ก้มหน้าซ่อนมันไว้แล้วเดินตามจิตรกรหน้าหล่อขั้นเทพไป มีหรือการกระทำเล็กๆ น้อยๆ จะหนีรอดสายตาว่องไวจอมจับผิดได้พ้น แต่อาจจะเข้าใจและตีความไม่ตรงกันถึงรอยยิ้มนั่น

          “นายอยากเล่นกับโซ่จริงๆ สินะ”
          ความคิดหนึ่งผุดวาบขึ้นมาหน้าหล่อเหลาคมสันร้อนวูบหุบยิ้มอย่างฉับพลัน คอตั้ง ไหล่ลู่ แขนตก เสียงยานคางได้แต่เรียกชื่อคนอารมณ์ร้อนเบาๆ 'อากิซัง อย่ารุนแรงกับคนป่วยอย่างผมนักเลย...'

 :z10: เจอกันตอนหน้านะคะ ฉากเรทจิ้นกันนะคะท่านผู้อ่านคนแต่งยังหาฉากจูงใจไม่ได้ไว้ถ้าพบเจอได้เปิดโลกแล้วจะมาอิดิทนะจ๊ะ คอยส่องย้อนหลังกันด้วยนะทุกคน :laugh:

ออฟไลน์ keisarinna

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Lover Fire 4 : The Love Breeze
วอนลมฝากรัก
          นักเดินทางมักไม่หยุดแสวงหาความตื่นเต้นบนผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ ท้องทะเลทอดไกลสุดสายตายังอยากจะหาที่สุดของปลายทาง ไม่มีที่แห่งหนไหนที่มนุษย์ไม่เคยเดินทางไปอย่าว่าแต่อีกซีกโลก ต่อให้ไปนอกโลกมุ่งสู่จักรวาลยังคิดเดินทางสำรวจมาแล้ว
          จะใจเสาะไปทำไมกับแค่เดินขึ้นเขามีหิมะปกคลุม อาจจะยากกว่าเดินร้อนๆ บนทะเลทรายก็ตรงโดนหิมะกัดผิวที่น่าจะเจ็บกว่าโดนแดดเผากลางทราย
          บางทีเขาน่าจะรับงานกลางทะเลทรายดูบ้างถ้ายังไม่มีเคลาส์เป็นคนรักอาจจะได้พบกับเจ้าชายขี่อูฐถือนกเหยี่ยวบ้างก็ได้ แต่เมื่อมีคนรักแล้วต้องผจญภัยบนภูเขาหิมะแทน
          ขายาวก้าวช้าๆ ผ่านขั้นหินทีละขั้นๆ สงบจิตสงบใจก้มลงมองปลายเท้าตัวเองทีละก้าวอย่างระแวดระวังแและสุขุม หิมะรอบข้างละลายเปิดเส้นทางให้พอสันจรผ่านไปได้บ้าง
          ดาราดังหยุดมองทิวทัศน์รอบตัวเป็นระยะและแหงนหน้ามองฟ้าที่สดใสไร้กลุ่มเมฆ ดาช้ำแดงขอบตาคล้ำร่วงโรยแม้ไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายแต่ดวงตาคู่สวยรื้นชื้นด้วยน้ำตายามอยู่คนเดียว
          มองข้างหน้าเป็นทิวเขาลูกปกคลุมด้วยหิมะยังดีที่พื้นราบระหว่างเขาตรงนี้หญ้ายังเขียวชอุ่มดีแต่ลมเย็นพัดโบกไม่ขาดสายต้องเดินกระชับเสื้อโค้ทอยู่ตลอด
          ทุกครั้งที่หยุดเดินและเงยหน้ามองฟ้าเพื่อกลั้นน้ำตาไม่ให้ร่วงผลอยหยดลงอาบแก้ม ผ่านเรื่องราวความรักๆ ใคร่ๆ มามากมาย อกหักรักคุดโดนรักหลอกมีรักลวงยังไม่มีครั้งไหนที่เขาเศร้าซึมหนักจนต้องระบายออกด้วยน้ำตา นี่ถ้าได้เลิกกันจริงเขาคงไม่คิดมีชีวิตอยู่ใช่ไหมเนี่ย
         เอซิซเข้าร่วมโครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ทางสถานีขอความร่วมมือร่วมโครงการด้านสังคมเพื่อสาธารณประโยชน์ ตัวเขาเองตั้งใจอยากมาที่นี่อยู่ก่อนแล้วทันทีหลังจากที่ได้รู้ข่าวว่าเคลาส์มาทำภารกิจและผลัดตกเขาระหว่างการเดินทางลงพื้นราบระหว่างหิมะถล่ม
          "ไม่ไหวก็หาเรื่อง เฮ้อ! พี่เนี่ยนะ มาเดินข้างหน้าเดี๋ยวผมระวังหลังให้" ผู้จัดการรุ่นน้องดูแลความปลอดภัยของนักแสดงเต็มสปิริต โอลิเวอร์เห็นใจแต่ไม่เห็นด้วยที่จะมาแสวงหาความคาดหวังที่คนส่วนหนึ่งเรียกความศรัทธา
          เอซิซทำตามคำสั่งอย่างว่าง่ายไม่ได้ต่อปากต่อคำเหมือนเคย รู้ดีแก่ใจว่าต้องการมาที่นี่เพื่อตามหาเคลาส์ด้วยตัวเอง ส่วนงานอาสาถือว่าตัวเองมาทำบำเพ็ญประโยชน์ตอบแทนสังคมไป ไม่ได้คิดให้ใครเยินยอหรือเขียนเล่าข่าวให้ดาราหนุ่มดูดีขึ้นจากเดิม เขาไม่ได้ต้องการชื่อเสียงแต่ต้องการเพื่อนร่วมสังคมที่หลากหลายและสามารถหารายได้จากคนต่างกลุ่มต่างสังคม
          รุ่นน้องผู้จัดการไม่อยากให้เอซิซมาทำอาสาที่นี่ถึงผลลัพธ์รับงานเพื่อสังคมจะทำให้ชื่อเสียดูดีขึ้นมาบ้าง ด้วยภาพลักษณ์เป็นสิ่งที่ดาราต้องสร้างเป็นเรื่องจริง แต่พ่อดาราตัวดีทำลายชื่อดีจนมีชื่อเสียโด่งดังมานานแล้ว ไม่ต้องสร้างแสร้งทำดีเพื่อให้ผู้คนจดจำให้เสียเวลาหรอก พวกแอนตี้แฟนจะโจมตียิ่งกว่าเดิมว่าเป็นดาราจอมหลอกลวงชอบสร้างภาพเสียเปล่าๆ
          ไม่อยากจะคิดว่าคนไร้ศรัทธาอย่างเอซิซ เมื่อได้ยินตำนานเรื่องเล่าจากชาวบ้านถึงศาลเก่าบนภูเขาก็รีบยักย้ายร่างกายเหมือนซอมบี้มาขึ้นเขาทันทีไม่เสียเวลาคิด
          โอลิเวอร์เดินเกาหัวแกร๊กๆ ไม่เข้าใจหัวอกคนกำลังมีรัก แต่ก็อยู่เคียงข้างรุ่นพี่ตัวแสบทุกช่วงเวลาไม่ว่ายามทุกข์หรือสุขจนเขาหมั่นไส้ ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดนี่น่ากลัวจนขนหัวลุกซู่เลยทีเดียว
          ‘เ ค ล า ส์’ เสียงภายในใจเรียกขานชื่อคนรักไม่หยุดหย่อน ได้แต่ฝากชื่อคนรักผ่านสายลมช่วยพัดพาความคิดถึงและห่วงหาจากเอซิซคนนี้ไปถึงชายคนรักที่ยังหาตัวไม่เจอให้ด้วย
          “อย่าได้เจ็บได้ปวดหรือเกิดภัยอันตรายขอให้แคล้วคลาดปลอดภัย กลับมาเจอกันอีกครั้ง”
          “บ่นอะไรน่ะพี่ จะสวดมนต์ตั้งแต่ต้นทางเลยหรือไง” ผู้จัดการหนุ่มชะโงกหน้าไปดูดาราหน้าเศร้า ความจริงแล้วเป็นห่วงน่ะแหล่ะแต่ด้วยความปากไวพูดจากระแทกแดกดันกันอยู่ทุกวี่วัน จะมาให้พูดเห็นอกเห็นใจกันมันผิดวิสัย
          อย่างน้อยโอลิเวอร์รู้จักยับยั้งปากของตัวเองไว้ได้บ้าง ยอมเดินตามหลังเอซิซขึ้นเขาไปอย่างเงียบๆ คอยเตือนให้ระวังบ้างเป็นครั้งคราวเมื่อเห็นคนอ่อนกำลังทั้งกายและใจเดินขึ้นเขาด้วยความไม่พร้อม
          ‘บ้าเอ้ย!’ หลายวันมาแล้วดันไม่เศร้า คราวต้องเป็นกำลังใจหลักให้เอซิซก้าวผ่านวิกฤตชีวิตดันหมดแรงใจเอาตอนรุ่นพี่เริ่มละทิ้งความท้ออ่อนแอและเริ่มก้าวขาเดินหาความหวัง
          พยายามจับจดจับตามองคนเดินโอนไปเอียงมาไร้เรียวแรงแต่ไม่ยักจะหกล้มหกท่าราวกับสายลมคอยพยุงปีกของหมู่นกให้ดันร่างตีปีกทะยานขึ้นฟ้า
          สายลมยามหมดหิมะโปรยปรายไม่หนาวจับใจเหมือนอย่างที่กลัว ลมแรงโบกสะบัดประเดี๋ยวโชยแรงจนร่างประเดี๋ยวก็พัดโบกโบยเบาเหมือนเพื่อนปลอบประโลมคนช้ำใจ
          สองคนเดินกันไปเงียบๆ ทุกก้าวเดินต่างระวังกันและกันมีล้มบ้างเดินเซปัดเป๋บ้างต่างประคองกันไป จุดหมายเบื้องหน้าด้านบนคือศาลเก่าโบราณ
          “ไปถึงแล้วอย่าศรัทธาจนออกบวชนะพี่ ผมไม่ยอมหรอกขาดรายได้!” สุดท้ายคนปากไวต่อให้ความร่วมมือให้การช่วยเหลือมากแค่ไหนก็สุดจะอดกลั้นไม่ตัดกระดาษที่วางสอดเข้าปากกรรไกรได้
          เอซิซได้แต่ยิ้มรับ เขาอยากจะขอบใจที่ไม่ทำให้การเดินขึ้นเขามาขอพรไม่เหงาจนเกินไป เสียงลมพัดหวีดหวิวชวนใจหาย เขาถอนหายใจและผ่อนคลายความเหนื่อยล้าเหมือนจะหายไปพร้อมสายลมโบกโบย
          ดาราหนุ่มหน้ายิ้มแต่เศร้าสร้อยได้แต่ฝากฝังสายลมช่วยพัดพาชื่อของชายผู้นี้ไปให้ถึงเจ้าตัวให้เขารับรู้และรีบกลับมาหายอดรักของเขาคนนี้
          “เ ค ล า ส์”
          พยานรักทำหน้าที่อย่างไม่ย่อท้อ เร่งรัดสายลมโบกพลิ้วสะบัดพัดหาคนแห่งใจของคนโหยหาฝากฝังเหล่าหิมะพราวนภาช่วยส่งคำเรียกขานหาให้กลับมารักกันเร็วไว
          เสียงเศร้าโศกเรียกหาใครบางคน นิมิตฝันยามค่ำคืนทำหน้าที่เชื่อมจิตโยงความคิดถึงสู่คู่รัก ถึงไม่อาจเห็นหน้ากันแต่จิตผูกพันย่อมสานสัมพันธ์ไม่ว่าจะห่างกันกี่ร้อยไมล์
          ยูกิสะดุ้งตื่นกลางค่ำคืนเหมือนเช่นทุกวัน เสียงเรียกของใครซักคนเรียกชื่อคนคุ้นเคย น้ำเสียงแผ่วเบาร่องลอยใครกันนะพร่ำร้องเรียกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าโรยแรง
          แต่ตัวเขาไม่ได้ชื่อ เคลาส์ อากิซังเรียกเขาว่า ยูกิ เป็นชื่อสมมุติเรียกแทนตัวเองที่ความจำของเขาตอนนี้ขาดหายไป
          ช่วงหลังนี้เสียงในฝันเร่งเร้าความคิดและความรู้สึกของเขามากกว่าเดิม บางคืนฝันประหลาดจนร่างกายแสดงปฏิกิริยาตอบสนอง
          ช่วงแรกคิดว่าอากิซังเข้ามาแกล้งเล่นสนุกแปลกๆ กับร่างกายตัวเอง แต่เมื่อมองหากลับเจอจิตรกรเอกทำงานที่ห้องภาพหรือไม่ก็นอนหลับนิ่งสนิทอยู่ข้างเขา
          ร่างหนาล้มตัวลงนอนต่อเขากวาดมือควานหาคนนอนข้างๆ พบเพียงความว่างเปล่า อากิคงกลับไปทำงานในห้องรูปเช่นเคย
          ยูกิข่มตาให้หลับแต่ยากจะทำได้ เขาดันตัวลุกขึ้นเดินไปนั่งชมจันทร์ยามหิมะตกโปรยปรายที่ระเบียงข้างห้อง
          ลมหนาวพัดผ่านมายูกิหลับตาให้สายลมผ่านร่างของเขาไป น้ำเสียงในความฝันยังกึกก้องทั้งสองหู ความทรงจำของเขามันมืดมนหมองมัวเหมือนท้องฟ้าในฤดูหนาวยามค่ำคืน
          ร่างหนาเคลิอบเคลิ้มกับบรรยากาศ ในความง่วงงุนทำเขาวูบหลับนั่งคอตกภาพใครบางคนวูบวาบผ่านเข้ามาทางความคิด
          ในโลกแห่งฝันเขาทั้งสองมีสัมพันธ์กันลึกซึ้งร่างกายผูกพันทั้งจิตใจ คนนั่งฝันจดจำช่วงเวลาเหล่านั้นได้ดีต่อเมื่อหลับตาและเสียงคนเฝ้าถวิลหาส่งเสียงเรียกคร่ำครวญ
          ‘เ ค ลา ส์…’
          วันนี้จะลงอีกตอนแต่อาจจะเป็นดึกๆ นะชาวเล้าเป็ดรอกันนิดนึ่งนะคะ วางแผนจะอัพนิยายแฝดเป็นเรื่องต่อไปนะคะ ติดตามผลงานด้วยนะคะ ยินดีต้องรับนักอ่านทุกท่านด้วยค่ะอยากคอมเม้นท์นิยายส่งตรงมาหลังไมค์ได้เลยนะคะ :pig2:
   

ออฟไลน์ keisarinna

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Lover Fire 5 : หวนคืน
            หลังจากได้วางแผนออกเดินทางผู้จัดการหนุ่มได้ติดต่อรถที่สามารถพาขึ้นไปให้ได้ไกลที่สุดที่ทางเดินรถจะไปถึง สอบถามเส้นทางจากคนในพื้นที่ต้องใช้เวลาหลายวันผ่านเขาหลายลูกเพื่อไปยังโบราณสถานแห่งนี้
            จำเป็นต้องแบกสัมภาระจำเป็นต่อการตั้งแค้มป์พักระหว่างทาง ดังนั้นพวกเขาสองคนต้องการคนนำทางที่จะพาพวกเขาขึ้นไปยังศาลโบราณได้สำเร็จไม่เสียเที่ยว
            ผ่านการเดินทางได้สองวันการผจญภัยครั้งนี้ผ่านได้ด้วยดี เอซิซดูผ่อนคลายจากสภาพแวดล้อมสวยงามผ่านเขาลูกนี้เขียวเขาลูกต่อไปมีหิมะขาวโพลนปกคลุม โอลิเวอร์หยุดถ่ายภาพสวย ๆ ได้หลายร้อยช็อตเขาน่าจะเกษียณงานผู้จัดการมาทำงานช่างภาพน่าจะรุ่ง
            สองหนุ่มดาราและผู้จัดการพากันเดินขึ้นเขาลูกสุดท้ายแต่เช้ามืดกว่าจะขึ้นเขาสูงชันทั้งยังมีหิมะเป็นอุปสรรคการเดินทางที่คาดการณ์ถึงศาลเก่าในช่วงเช้าต้องเลื่อนไปยามสาย เมื่อสวรรค์เปิดทางอุปสรรคต่างๆ ล้วนง่ายดาย
            “โอ้ว! สุดยอดเลยพี่”
            “พระเจ้า!”
            สี่ขาสองคนก้าวเท้าเข้าสู่ประตูสวรรค์ นี่คือนิยามของเทวสถานที่ตั้งบนยอดเขา ชายสองคนหยุดมองสถานที่เบื้องหน้าจินตนาการถึงศาลเทพ ศาลเจ้า โบสถ์ หรือวัด มลายหายไปเสียสิ้นไม่มีส่วนไหนที่เทียบเคียงศาลที่วาดภาพจินตนาการก่อนหน้านี้ได้เลย
            ผ่านเวลามานับพันปีแต่ทุกหนแห่งของสถานที่แห่งนี้ค่อนข้างสมบูรณ์ แท่นบูชาเป็นฐานสี่เหลี่ยมกว้างเหมือนทรงพีระมิดที่ส่วนยอดตัดเป็นไปได้ว่าอาจเป็นสถาปัตรูปแบบโบราณ หากไม่เช่นนั้นอาจมีการพังทลายตามกาลเวลา กำแพงและทางเดินทำด้วยหินแข็งแรงหลากหลายขนาดเชื่อมด้วยกันโดยไม่มีซีเมนต์ แน่ล่ะยุคโบราณการก่อสร้างยังไม่เจริญก้าวหน้าเหมือนปัจจุบัน
            หินทุกก้อนวางทาบเชื่อมติดกันเหมือนตัวต่อที่เล่นตอนเด็กๆ ผิดแต่หินที่นี่มีหลากหลายขนาดแต่สามารถต่อตัวเรียงกันได้สวยงามและไม่ล้มระเนระนาด เรียบง่ายแต่ประทับใจร่างกายสุขสงบเพราะความนิ่งแข็งแรงของแผ่นหิน
            “ผมว่านี่ไม่น่าใช่ศาลที่ชาวบ้านเล่านะพี่ เรามาไม่ผิดที่ใช่ไหม?” ผู้จัดการโฮเอ่ยปากถามดาราหนุ่มหลังจากหายจากอาการตกตะลึง
            เอซิซได้ยินแต่ไม่ได้ตอบคำถามว่ามาผิดหรือใช่ที่นี่ มาถึงแล้วจะให้ย้อนกลับไปตั้งต้นใหม่ก็เสียเวลาเปล่า
            ชายหนุ่มทั้งสองเดินช้าๆ ฟังผู้นำทางทำหน้าที่บรรยายโบราณสถานแห่งนี้ไปด้วย มีช่องทางเข้าให้เดินไปยังโถงด้านใน เอซิซไม่อยากเดินเข้าห้องมืดทึบเขาขอตัวเดินชมด้านนอกเท่านั้น
            ส่วนผู้จักการมือทองผู้กระตือรือร้นรีบพาไกด์จำเป็นเดินนำเขาเข้าด้านในหายเงียบ ปล่อยให้ดาราในการดูแลอยู่กับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่พวกเขาเต็มใจมาเป็นผู้นำทาง
            เอซิซเดินลัดเลาะโบราณสถานหินโบราณ เขาสงสัยมีโบราณสถานใหญ่ขนาดนี้แล้วที่นี่ไม่มีหมู่บ้านรอบๆ บ้างหรือ บางที่ศาลเก่าตามคำบอกเล่าอาจจะอยู่ที่นั่นก็ได้
            ถามเจ้าหน้าที่ที่ตามมาคุยปรับบรรยากาศ จากคำตอบได้ความว่ามีชุมชนร้างทางด้านหลังเขาแต่ยังไม่ได้ทำการสำรวจอย่างเต็มรูปแบบ มีเพียงนักโบราณคดีที่ทำงานอยู่ไม่ได้เปิดให้เข้าชม
            เขาสวมแว่นกันแดดเพราะดวงอาทิตย์เริ่มสาดแสงแผดความร้อนมายังที่แห่งนี้ ดวงตาของเขาช่วงวนี้อ่อนแอและแพ้แสงจากการร่ำไห้เสียใจตั้งแต่รู้ข่าวของเคลาส์ แว่นตากรอบใหญ่สีเข้มยังช่วยปิดปังใบหน้าของตัวเองด้วยอีกสาเหตุหนึ่ง
            มีนักท่องเที่ยวเข้ามาชื่นชมความรุ่งเรื่องสมัยอดีตบ้างประปรายอาจเป็นเพราะที่นี่ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์หิมะถล่ม รวมทั้งเป็นที่นิยมการท่องเที่ยวแนวผจญภัยแต่ไม่ใช่ตัวเขาที่มาเพราะมีความต้องการแฝง
            เจ้าหน้าที่หน้าเข้มตาแข็งขรึมตามติดให้การดูแลดาราคนดังอยู่ห่างๆ คอยเดินอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยด้วยเจ้าตัวเป็นผู้มีชื่อแสงจึงได้รับการฝากฝังจากผู้ใหญ่ขององค์กร ที่สำคัญกลัวคนดังจะมีอันตรายหรือเกิดอุบัติเหตุไม่ควาดฝันเพราะมีผาหน้าตัดอยู่หลายแห่งนักท่องเที่ยวผู้ไม่ชำนาญทางอาจผลัดตกเขาได้
            เมื่อเอซิซถามถึงหมู่บ้านเขาเสนอตัวนำทางไปยังชุมชุมเล็กๆ ด้านหลังเขาที่กำลังทำการสำรวจอยู่ ดาราหนุ่มตัดสินใจไปเพราะได้ยินว่ามีโบสถ์อีกหลังหนึ่งฝังตัวอยู่กับภูเขาสร้างเพื่อรับพลังงานตามความเชื่อเพื่อบูชาดวงอาทิตย์ของอริยธรรมเก่าแก่
            เขาเดินตามทางเดินหินแคบๆ ของตัวโบสถ์มีช่องหินทุกระยะเพื่อรับแสงยามอาทิตย์ขึ้น ได้รับความรู้อีกว่าช่องว่างที่มีแต่ละห้องมีไว้ใช้ทำนายภูมิอากาศคำนวณเวลาและพยากรณ์วิถีชีวิต เจ้าหน้าที่บรรยายรายละเอียดด้วยความปิติที่มีการค้นพบที่แห่งนี้
            สถาปัตยกรรมที่สร้างจากหินดูน่าทึ่ง ผิวสัมผัสด้านหน้าของหินแต่ละก้อนเรียบเนียนจากการกัดกร่อนของลมและกาลเวลา หินแต่ละก้อนสะท้องเสียงลมเหมือนขับขนานเพลงอะคับเปร่าตามธรรมชาติ
            ขาเรียวยาวก้าวเดินวนตามแสงอาทิตย์ที่เริ่มสาดเข้าใส่ช่องว่างในตัวโบสถ์ ภาพจิตกรรมตามธรรมชาติทำให้ดาราคนเศร้าหลีกหนีการเซื่องซึมลงได้บ้าง แสงแดดสาดส่องผ่านหินแต่ละก้อนเหมือนนาฬิกาพลังแดดหมุนวนรอบโบสถ์ไปเรื่อยๆ จนหมดวัน
            ยังไม่ทันได้สวดภาวนาเพราะมัวแต่อัศจรรย์ใจกับความเจริญทางปัญญาของคนแห่งอณาจักรโบราณที่ในอดีตสามารถสร้างสถานที่แห่งนี้ขึ้นมาได้
            แสงแดดเริ่มจัดจ้าเขาเดินก้มหน้าหนีแสงเดินงุดๆ ไม่ได้มองดูสภาพแวดล้อมรอบตัว กำลังเดินอ้อมรอบโบสถ์เพลินๆ ร่างบางสะกุดร่างหนาของใครคนหนึ่งที่เดินอ้อมมาอีกทางแล้วเดินมาชนกันที่ช่องรวมแสงในห้องนี้พอดิบพอดี
            สายลมพัดมาวูบหนึ่งขับไล่รัศมีความร้อนของแสงอาทิตย์ที่กำลังร้อนแรงเจิดจ้า เหมือนเทพเทวดาประทานพรให้คำขอร้องที่เอซิซวิงวอนสัมฤทธิ์ผล
            หากขานชื่อครั้งนี้ได้พบคน! ต่อจากนี้ไปเอซิซดาราผู้มีชื่อเสีย (ง) จะขอสดุดีวายุเทพเป็นผู้คุ้มครองประจำกายนับแต่วินาทีนี้ไป
            “ขอโทษครับ!” เสียงทุ้มคุ้มหูของใครบางคนดังแว่วตามสายลมคนได้ยินหันขวับหัวขวิด
            “คา...เคลาส์! ใช่คุณจริงๆ ด้วย”
            สองคนพูดพร้อมกัน คนหนึ่งตกใจที่เสียงในฝันตามมาหลอนเขาอีกแม้ในชีวิตจริง ส่วนอีกคนสุดดีใจที่ได้เจอคนที่เผ้าคอย สองมือเรียวโอบรอบลำตัวหนาโถมหน้าเข้าอ้อมอกอุ่นที่คุ้นเคย น้ำตาที่เคยเหือดแห้งกลับเร่งรัดกลั่นตัวไหลอาบหน้าอีกครั้งด้วยความยินดี
            “คุณ...เอ่อ ครับ” มือหนาจับแขนเรียวสองข้างที่กำลังจับหน้าเขาเอาไว้ เขากระพริบตาถี่ๆ ไล่ความคิดและภาพจำต่างๆ ที่วิ่งแล่นเข้ามาในหัวเหมือนโดนหน่วยคอมมานโดเข้าจู่โจม
            “คุณไม่เป็นอะไรนะ” สองมือเรียวเย็นจัดด้วยความตื่นเต้นเอซิซประคองใบหน้าหล่อคมเข้มเพ่งมองอย่างละเอียดลออด้วยความเป็นห่วง พร้อมจะดึงใบหน้าสุดถวิลหาเข้ามาจูบรับขวัญ
             ดารางหนุ่มเริ่มเห็นความผิดปกติของเคลาส์ ยังไม่ทันได้ถามไถ่เสียงใครบางคนด้านหลังดังขึ้นขัดจังหวะทำให้คนหน้าสวยสวมแว่นกันแดดต้องหันมามอง
            “เขาเสียความจำ น่าจะเกิดจากการตกจากที่สูง” อากิเดินตามมาทีหลังเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด กริยาอาการคนหน้าตาดีสวมแว่นดำเป็นห่วงเป็นใยพ่อพาลาดินหนุ่มเสียเหลือเกิน น่าจะไม่ใช่คนใกล้ชิดธรรมดา
                 “คุณ...” เสียงเรียกชื่อของผู้มาใหม่ทำให้เอซิซต้องหันกลับมามองเคลาส์อีกครั้ง
            “อากิซัง” ยูกิเรียกชื่อจิตรกรหนุ่มแล้วขอตัวพาตัวเองจากอ้อมกอดคนรักแท้จริงของตนเอง
            “คุณมีเวลาคุยกันไหม บ้านพักฉันไม่ไกลจากที่นี่” อากิซังชวนให้เอซิซพูดคุยกันในที่สะดวกกว่านี้ แสงแดดเริ่มจะแรงขึ้นและกินพื้นที่ในโบสถ์เก่านี้มามากแล้วประเดี๋ยวได้ตัวไหม้ตายกันเสียก่อนทั้งสามคน
            “ได้ครับ ขอบคุณที่ดูแลเคลาส์ด้วยนะครับ ขอบคุณมากจริงๆ” ดาราดังตอบรับคำชวนและขอบคุณที่ให้การช่วยเหลือคนรักแม้จะสะดุดเล็กน้อยที่ได้ยินชายคนนี้เรียกชื่อเคลาส์ด้วยชื่อใหม่ที่ไม่คุ้นหูเขาเสียเลย
            “พอเถอะๆ ยูกิพาคนหน้าสวยนั่นมาที่บ้าน แค่เดินก็จะปลิวตามลมแล้ว”
            สิ้นเสียงห้าวห้วนทรงพลังอัยการร่างใหม่ทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย จูงแขนพยุงร่างชายแปลกหน้าคนดังตามหลังอากิซังไปพร้อมยิ้มให้กำลังใจคนรักในอดีตเสียด้วย
            ให้ตายเถอะ! ไม่ใช่ว่าเทพแห่งลมรักพัดพาคนรักเขาแรงไป จนวิณญาณหลุดออกจากร่างเพี้ยนไปหมดแล้วใช่ไหม! ทำไมพฤติกรรมท่าทางและการพูดการจาถึงได้กลายเป็นหนุ่มน้อยหงอยหงอเหมือนหมาเหงาได้ถึงเพียงนี้...


            
                ไม่น่าเชื่อว่าหลังเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะจะมีบ้านคนอาศัยอยู่ ตัวบ้านทำด้วยไม้หลังค่อนข้างใหญ่มองดูแข็งแรงรูปทรงแปลกตาแต่เขาเคยเห็นมาบ้างเมื่อไปทำงานต่างบ้านต่างเมืองของชนชาวตะวันออก
            เขาทำตามเคลาส์ที่ถอดรองเท้าหน้าบ้านก้าวขาเข้าบ้านแล้วสวมรองเท้าไหมพรมที่เตรียมไว้ให้ สายตามองไปด้านในเห็นหลังแม่บ้านไวๆ เดินนำพวกเขาทั้งสองไปยังห้องรับแขก

            ที่นี่คือแกลเลอรี่แสดงผลงานหรือไง!?เอซิซเดินตัวแข็งทื่อกลัวมือไม้จะไปปัดเอางานศิลปะทั้งหลายทั้งแหล่หล่นแตกเขาต้องจ่ายค่าเสียหายสุดคณานับ
            ความสวยงามของภาพวาด งานปูปั้นรอยตัว มีแม้กระทั้งชุดเครื่องแก้วจานชามดาหน้าโชว์ผลงานแบบจัดเต็ม ณ บ้านหลังเขาที่นี่ ความน่าจะเป็นมีน้อยมากหรือเจ้าบ้านเป็นเศรษฐีผู้คลั่งงานศิลป์ดูสมจริงและเป็นไปได้
            แดงบวมช้ำแต่ยังเบิกตาชมผลงานที่ยากจะเจอ ทุกชิ้นงานได้ถูกจัดวางบนชั้นกระจกทรงสูงขนาบข้างทอดยาวตามทางเดินเหมือนเข้าชมพิพิธภัณฑ์งานศิลป์
            ชื่อคนสร้างผลงานเป็นคนเดียวกันทั้งหมดแม้จะหลายหลายรูปแบบ ‘The Imperial Pride’ นามแฝงน่าหมั่นไส้คนสร้างผลงานเป็นชนชั้นราชวงศ์หรือไงเป็นความภาคภูมิใจที่ยโสโอหังชะมัด แต่ผลงานถือเป็นที่สุดหยุดโลกอย่างแท้จริงคนอ่อนด้อยศิลปะอย่างเขายังชื่นชมความสามารถของศิลปินท่านนี้
            หรือความรู้ทางงานอาร์ตของเขาเองนั้นน้อยนิดจึงชื่นชมผลงานต่างๆ จะดาษดื่นหรือมาสเตอร์พีชก็ตื่นตาตื่นใจไปเสียหมด...คงไม่ใช่? (ร้ายมากเอซิซ เธอจะข่มเจ้าชายอากิไม่ได้น้า)
            เอกิฮิโระนั่งรออยู่ในห้องก่อนแล้ว มือเรียวยาวประณีตชงชาตามวิถีทางตะวันออกให้ทั้งตัวเอง ยูกิ และแขกคนสำคัญ
            ดารานั่งเกร็งพิจารณาชายหน้าตาหล่อเหมือนคนจับปั้นตรงหน้า ผมสีดำยาวปะบ่า ผิวพรรณขาวผ่องดูน่าจะสูงพอสมควรเพราะเมื่อย่อตัวลงนั่งระดับศีรษะไม่ห่างจากเคลาส์มากนัก รูปทรงเครื่องหน้าตาจมูก ปากสอดรับกันสมสัดส่วนหาที่ให้ติแทบไม่มี
            เขาไม่ได้อิจฉาริษยาความหล่อเหลาของคนชงชาแต่เขากลัวใจเคลาส์มากกว่าว่าจะหวั่นไหวแค่ไหนเมื่อต้องอยู่กับคนสมบูรณ์แบบทั้งหน้าตาและท่าทางแบบเขาคนนี้เป็นเวลานาน
            เคลาส์เรียกคนตรงหน้าว่า ‘อากิซัง’ อย่างสนิทสนม ได้ยินแล้วยิ่งชวนให้โมโหทีกับแฟนตัวเองดันจำชื่อไม่ได้ เจ็บใจนัก!
           “สวัสดีครับ ผมเอซิซเป็นคนรักของเคลาส์”
            บรรยากาศระหว่างคนสามคนน่าอึดอัดเมื่อคนประกาศความสัมพันธ์บอกสถานะเป็นคนสนิทเกินกว่าเพื่อนระหว่างเคลาส์กับตัวเอง
            “ดื่มชาคลายหนาวเสียหน่อย” เอกิตอบรับการทักทายเล็กน้อยแล้วเชิญให้แขกดื่มชาพี่พึ่งชงเสร็จ มือเรียวยกถ้วยชามาตรงหน้าเหมือนบังคับแขกคนสำคัญจงดื่มชาต้อนรับเสียตอนนี้
            “ขอบคุณครับ” มือเรียวรับถ้วยชามาจิบเพิ่มความอุ่นให้ร่างกาย นึกติคนเจ้ากี้เจ้าการบังคับสั่งคนทำตามใจด้วยใบหน้าฟ้าประทานจนขัดแข้งคัดค้านเสียไม่ได้
            “เลิกพูดคำนี้ได้แล้ว พูดจนฉันนับไม่ถ้วนแล้ว” อากิซังยังคงแสดงความกระด้างทางคำพูดไม่เกี่ยงอายุมากอายุน้อยล้วนได้รับความเท่าเทียมเมื่อพูดกับเจ้าชายแห่งศิลปะ   
            “อยากพูดอะไรบอกตามที่คิดได้เลย ฉันรอฟังจนเมื่อยแล้ว” พูดพลางเปลี่ยนท่านั่งจากท่าคุกเข่าเท้าชิดเป็นนั่งขัดขาธรรมดา
            “ผมขอพาเคลาส์กลับไปกับผม เขาจะได้ฟื้นความจำด้วย” คนได้ฟังก็บอกความต้องการให้รู้ว่าต้องการพูดคุยเรื่องอะไร
            “ยูกินายอยากไปกับแฟนนายหรือเปล่า” อากิหันหน้ามาถามยูกิพูดจากกันต่อหน้าไม่ต้องไปไถ่ถามกันลับหลังเสียเวลาต้องมาบอกต่อกันอีกรอบ
           “อากิซังไม่พาผมกลับญี่ปุ่นแล้วหรือครับ” ร่างใหญ่นั่งจิบชาอย่างสงบเสงี่ยมตั้งใจฟังคำตอบด้วยลุ้นไปด้วยว่าจะได้ไปยังบ้านเกิดจิตรกรเอกด้วยไหม
             ศิลปินหน้าหล่อนั่งหน้านิ่งไม่ตอบคำถาม ใจหนึ่งก็อยากให้เคลาส์กลับไปใช้ชีวิตเหมือนก่อนจะเสียความจำ อีกใจก็อยากจะพายูกิไปกับเขาด้วยชีวิตที่มีคนสมองเสื่อมค่อยป้วนเปี้ยนติดพันทำให้คุ้นจนชินไปเสียแล้ว
           “มีความสุขหรือครับที่พาคนรักคนอื่นหนีไปอย่างนี้” เอซิซพยายามคุมความหงุดหงิดใจยิ่งเห็นใบหน้าหล่อเหลาไร้ความรู้สึกนั่นยิ่งทำให้เขาอยากเอาเท้ากระทุ้งให้ซักทีหน้าหล่อๆ จะได้แสดงความรู้สึกออกมาบ้าง
           “อย่างน้อยก็มีความสุขกว่าคุณตอนนี้” ใบหน้าเรียบเฉยไม่ได้แสดงดูถูกเย้ยหยันน้ำเสียงยังราบเรียบเมื่อตอนเจอกันเป็นแบบไหนตอนนี้ก็ยังเป็นเหมือนเติมคู่สนทนาหน้าตึงทันที
            “ผมนึกว่าคุณจะเป็นคนเข้าใจอะไรง่าย ๆ เสียอีก” ดาราหนุ่มยอมลดโทสะลงเขาเหนื่อยกับหลายสิ่งหลายอย่างมามากพอจะมานั่งทะเลาะกับคนไร้ความรู้สึกและหยาบคาย
            ไม่มีใครผิดใครถูกไปเสียหมดเป็นตัวเขาก็คงไม่ให้เคลาส์ไปกับใครง่ายๆ แค่บอกว่าเป็นคนรักเช่นกัน
            “ทุกอย่างดูง่ายอยู่แล้วถ้าคุณไม่หงุดหงิดใส่” น้ำเสียงอ่อนลงมาเล็กน้อยเมื่อเอซิซอ่อนให้ มือขาวๆ ที่โผล่พ้นชายเสื้อยาวยื่นซองเอกสารให้กับเอซิซ
             ยูกิมองเอกสารที่อากิซังยื่นให้คนหน้าสวยด้วยความสงสัย ชะเง้อคอมองสิ่งของที่มือเรียวนั้นหยิบออกมา มันคือกระเป๋าเงินและบัตรประจำตัวต่างๆ ที่เขาเคยหาในชุดเก่าตอนที่ตกลงมาแต่ไม่เจอ
            เอซิซส่งเอกสารแสดงตัวตนเหล่านั้นให้ยูกิได้ดู ซึ่งอาจกระตุ้นความจำในอดีตได้บ้างว่าตัวเองเป็นใครมีความเป็นมาอย่างไร
            “อัยการเคลาส์ ฮอฟแมนน์” งงกับชื่อจริงของตัวเองอยู่ไม่นาน มือก็จับบัตรประจำตัวอีกหลายใบที่แสดงสถานะของเขาขึ้นมาดู เหมือนจะจำอะไรขึ้นมาได้แต่เลือกที่จะตัดใจไม่คิดถึงปล่อยผ่านความรู้สึกนั้นไป
            “ถามเจ้าตัวแล้วกันว่าตัดสินใจยังไง” อากิซังขอตัวไปสูบยาที่ระเบียบข้างบ้าน ปลีกตัวเองออกมาให้คนทั้งคู่ได้พูดคุยกัน
            เคยคิดว่าเหตุการณ์นี้จะต้องเกิดขึ้นสักวันหนึ่ง วันเวลาใจร้ายกับเขาเหลือเกินเร่งวันเร่งคืนให้รวดเร็วก่อนที่ตัวเองจะทำใจปล่อยพาลาดินตกสวรรค์ให้เดินจากไป
            ส่วนลึกในใจอยากยื้อยูกิให้อยู่กับเขานานที่สุดจนนาทีสุดท้ายแม้ไม่ได้ไปด้วยกันก็อยากใช้เวลาที่พอมีเหลืออันน้อยนิดอยู่ด้วยกันไปก่อน แล้วค่อยตัดใจปล่อยยูกิกลับไปฟื้นคืนความเป็นเคลาส์
            จิตกรหนุ่มบ่นพึมพำเจ้าตัวได้ยินคำที่ตัวเองพูดก็ขำเบาๆ ไม่คิดว่าการต้องเสียยูกิที่เขาสร้างตัวตนขึ้นมาใหม่จะทำให้รู้สึกโหวงเหวงในใจได้ขนาดนี้

            “คนรักใครเขาก็หวงกันทั้งนั้นสิท่า” (คนแต่งอยากระซิบท่านอากิ มันแน่อยู่แล้วสิคะท่านคนรักใครใครเขาก็หวงน้า เสียทองท่วมหัวไม่ยอมเสียผัวให้ใคร เคยได้ยินไหมล่ะคะท่าน)
          เราสามคน....คงต้องมีใครเป็นฝ่ายไป เพลงเก่ามากแต่มันได้ฟีลมาก (แต่เพลงเก่าจริง :mew5:) มาต่อแล้วนะคะ เจอกันแล้วจะยังไงกันล่ะเนี่ย ติดตามตอนต่อไปนะจ๊ะ

ออฟไลน์ keisarinna

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Lover Fire 6 :  He's Mine!

          สองคนแปลกหน้าที่เคยเป็นคนรักกันก่อนความทรงจำของเคลาส์จะขาดหายไป ทั้งคู่นั่งข้างกันแต่ไร้คำพูดใดภายในห้องรับแขก
          ไม่มีใครเอ่ยถามไถ่เรื่องราวกันและกัน ใช้ความเงียบคุยกันได้อย่างออกรสออกชาติทั้งเคลาส์และเอซิซ สุดท้ายเป็นยูกิเสียเองที่เป็นฝ่ายทนไม่ไหวเริ่มต้นบทสนทนาขึ้นมาก่อน

          “คุณ...คือ” จะพูดต่อว่าเป็นคนรักแต่ปากเจ้ากรรมไม่กล้าพูดหางตาคอยมองหาอากิซังบ่อยๆ กลัวคนฉุนเฉียวจะน้อยใจ
          “เอซิซ... แอมโบรเซียส เอซิซ เวลส์ ” คนถูกถามตอบชื่อเต็มชัดถ้อยชัดคำ
          เห็นพฤติกรรมเคลาส์แล้วอยากจะเอาถ้วยชากระแทกหัวให้ความจำกลับมาแต่ก็กลัวทำไปแล้วถ้าความจำไม่คืนมา กลายเป็นชายเอ๋อเด๋อด๋ากว่านี้จะทำอย่างไร คิดไปทางแนวนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจก็ไม่พ้นความห่วงใยไม่อยากทำอะไรให้คนรักต้องเจ็บตัวอีก
          “เอซิซ...” เสียงของชายร่างบางคนนี้เป็นเสียงเดียวกับที่เขาฝันถึงซ้ำๆ ทุกคืน มีฝันเป็นภาพเหตุการณ์บ้างบางครั้งแต่ลืมตาตื่นกลับจำคนในฝันไม่ได้
          “ไม่พอใจพี่ผมพูดแบบนั้นกับอากิซังหรือเคลาส์…ผมก็แค่พูดความจริง” ใช่ว่าความทรงจำขาดหายไปแล้วทำให้ลบล้างความเป็นคนรักให้หายตามไปด้วยเสียเมื่อไหร่
          เคลาส์แค่อาจจะหลบไปพักผ่อนอยู่ที่ไหนซักแห่งในตัวของยูกิ
          “ความจริงอะไรครับ” ยูกิหันมาสนใจคนที่บอกว่าเขาเป็นคนรักของตัวเอง ถ้าหากเอซิซมีชีวิตชีวามากกว่านี้ต้องเป็นคนหล่อขั้นเทพอีกคนหนึ่งที่ไม่แพ้เอกิซังเลย
          “ความจริงที่ว่า เราเป็นคนรักกันไง ผมพูดความจริงนะ” น้ำเสียงจริงจังและจริงใจพูดชัดถ้อยชัดคำใบหน้าเชิดขึ้ดวงตาจ้องเขม็งแน่วแน่ไม่วอกแวกหรือหลบตา
          ยูกิในร่างเคลาส์เผลอมองดวงตาสีสวยแปลกไม่ซ้ำใครสีน้ำตาลอ่อนแทรกริ้วสีเทาน่ามองชวนหลงใหล เขาคุ้นสายตาคู่นี้เหลือเกินเหมือนใครสักคนที่ร่างนี้จำฝังใจ
          จ้องตาจนลืมตอบคำถามว่าเอซิซพูดว่าอะไร กว่าจะรู้สึกตัวกลับมาสู่บทสนทนาได้ดาราหนุ่มก็หมดความสนใจเสียแล้ว
          “ลืมกันจริงสินะ” คนหดหู่พูดเสียงเบาแต่ไม่พ้นคนนั่งข้างๆ ยังได้ยิน
          แล้วจู่ๆ มือทั้งสองข้างของเอซิซกระชากคอเสื้อโค้ตของยูกิเข้าหาตัวเอง คนโดนกระทำตกใจจนหน้าเหวอตาเบิกโต เพราะจูบกะทันหันที่เอซิซมอบให้
          ความคิดถึงถูกถ่ายทอดผ่านริมฝีปากซีดเซียว ดวงคู่สวยหลับตาพริ้มซึมซับตัวตนของคนรักควาณหาเคลาส์ที่ยังหลงเหลือควมทรงจำอยู่บ้าง อดีตอัยการถึงกับประมวลผลไม่ทัน ด้วยความตระหนกเขาดันตัวเองออกมาจากอ้อมอกคนโหยหา ยูกิเห็นรอยยิ้มโรยราของคนรักเคลาส์ใจของเขาก็หล่นวูบเหมือนตกลงเหวลึก
          “เอ่อ!...ครับ” น่าตีปากตัวเองนักด้วยความเคยชินที่อยู่กับอากิซังต้องรับคำไว้ก่อนเพื่อปรับจูนคนอารมณ์แปรปรวนยิ่งกว่าท้องทะเล
          “ไม่เป็นไร ลืมได้ก็ต้องจำได้สักวัน ขอแค่คุณกลับมาก็พอแล้ว” มือเรียวทาบใบหน้าคนสุดคิดถึงดวงตาคู่สวยระรื่นด้วยหยาดน้ำตายืนยิ้มยอมรับความจริงที่ว่าเคลาส์คนตรงหน้าเปลี่ยนเป็นคนละคน
          กรอกคำพูดใส่สมองสร้างกำลังใจให้ตัวเองแม้ความจำยังไม่กลับมาแต่ร่างกายยังอยู่ข้างกันก็อุ่นใจแล้ว ความจำหายเราก็สร้างความทรงจำใหม่ขอแค่เคลาส์และเขาได้อยู่ด้วยกันเหมือนเดิม
          ถ้ายังจำชื่อกันไม่ได้เอซิซจะเขียนป้ายแขวนคอไว้ให้เคลาส์เห็นทุกครั้งที่เจอหน้า ไม่อย่างนั้นก็ย้ายสำมะโนครัวมาอยู่ด้วยกันเสียเลย ให้มันรู้ไปตัวติดกันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงจะกระตุ้นความจำเก่าๆ ไม่ได้อะไรๆ ที่เคยทำด้วยกันไว้เขาจะจัดฉากลากความทรงจำเหล่านั้นออกมาให้หมดจนเคลาส์จำได้เอง
          มือหนาประคองดวงหน้าคนเหงาหัวใจเศร้า ยูกิก้มจูบริมฝีปากน่าเชยชมบรรจงประทับแทบแผ่วเบา มือเรียวของเอซิซจับกุมข้อมือหนาสายน้ำตาไหลรินรดมือทั้งสองของคนกอบคุมหน้าหวาน จุมพิตเปลี่ยนมาจูบซับความโหยไห้ ร่างกายทิ้งร่องรอยคนเคยรักเบียดร่างแนบสนิทชิดเชื้อ น้ำตาแห่งรักเหือดกายเรียวปากคนทั้งคู่กลับดูดดึงซึ้งในรักหลายคราครั้งภายใต้เงาแสงจันทร์อบอุ่นสุดถวิลหา
          สองร่างกกกอดกันและกันยูกิไม่ดึงดันอยากกระชับสัมพันธ์ผ่านร่างกายเหมือนเช่นเอซิซที่รบเร้าต้องการ คนหน้าสวยปลุกเร้าปรารถนาในเคลาส์บนร่างเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงตัวเองยอมปล่อยใจให้หัวใจนำร่างกายแต่ยังคงยึกยักไม่อยากเผลอไผลเหมือนตอนเอกิซังมอมเหล้ารสชาดบาดคอนั่น
           “ผมต้องไปกับคุณวันนี้ไหมครับ”
           “คุณเลือกเองว่าจะไปเมื่อไหร่”
           “ผมอยากชื่นชมคอลเลคชันภาพชุดนี้ทั้งหมดของอากิซังก่อน คุณจะอนุญาตได้ไหม” บทสนทนากระซิบกระซาบพูดคุยกันผ่านซอกคอ
            “หึ!นานแค่ไหน” คนฟังเริ่มจะไม่พอใจจากคนเคยเป็นหนึ่งที่เคลาส์เคยให้ความสำคัญเหนือใคร ไม่นับผู้บังคับบัญชาและคนเกี่ยวข้องในหน้าที่การงาน รู้สึกคุณค่าในตัวเองลดลงยิ่งปั่นทอนกำลังใจลงไปอีกจากที่ใจฟูเมื่อได้เจอคนรัก
            “พี่ต้องกลับไปซ้อมละครเวทีนะ!” เสียงโอลิเวอร์ผู้จัดการเอซิซดังเปรี้ยงเหมือนฟ้าผ่ากลางฤดูหนาว
           การเจรจาต่อรองยังไม่ทันสำเร็จเสียงสวรรค์ฝ่าเปรี้ยงกลางกระโหลกของดาราหนุ่มอย่างจัง ผู้จัดการคนเก่งไม่รู้ตามมาเจอเขาที่นี่ได้อย่างไร
          คนตั้งใจจะลงหลักพักอยู่ที่นี่จนกว่าจะลากตัวเคลาส์ไปด้วยกันถึงกับหน้าเซ็ง หน้าที่การงานก็ต้องทำคนสำคัญของใจก็ต้องดูแล ยิ่งเคลาส์เหมือนเป็นคนละคนแบบนี้มันยากที่เขาจะไว้ใจให้อยู่กับคนแบบอากิ จะบอกว่าห่วงก็ได้แต่ที่แน่ใจอย่างหนึ่งคือหึงและหวงมากๆ เลยตอนนี้

           คนอารมณ์อ่อนไหวริมระเบียงได้ยินเสียงรถจิ๊ปของอาหมอจึงลุกเดินอ้อมทางชื่อมรอบตัวบ้านมายังสวนด้านหน้า เห็นคนจำนวนหนึ่งพูดคุยกับอาตัวเองดวงตาคมกริบไม่พอใจที่มีจำนวนคนมาเยือน ยุ่งยาก โหกเหวก เสียงดังและรบกวนความเป็นส่วนตัวที่หวงแหนเป็นนักหนา
          อาคนสำคัญมองสายตาพิฆาตอย่างรู้ตารู้ใจ ยกมือทำสัญญาณขอโทษขออภัยล่วงหน้าไว้ก่อนที่เจ้าชายใจศิลป์จะระเบิดอารมณ์กับคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่
          ผู้จัดการเก่งฉกาจสะดุ้งโหยกเงียบปากทันที รีบเดินมานั่งหลบหลังดารารุ่นพี่เมื่อกวาดตาเห็นใครคนหนึ่งเดินผ่านประตูเข้ามา
           หุ่นสูงร่างเพียวหน้าหล่อหวานย้อยกระชากใจครบองค์ประกอบที่บนร่างกายอากิซังมี หน้าตาและรูปร่างแบบนี้คนปากกล้าที่ตะโกนแว้ดๆ แพ้ทางจริงจังไม่ได้แพ้ทางรักแต่แพ้ราบคาบยอมศิโรราบชนิดต้องหนีแบบไม่คิดชีวิต!
          ดาราในคอนโทรลใช้มือลูบหัวเบาๆ ให้กำลังใจ อ่อนอกอ่อนใจทำไมหน้าตาอย่างเขาถึงไม่ทำให้ผู้จัดการโฮเกรงอกเกรงใจจนหนีหางจุกตูดอย่างนี้บ้าง
          อาหมอเดินตามหลังทักทายหลานสุดรัก กลุ่มคนที่พามาด้วยเจอกันที่ต้นทางเมื่อสอบถามได้ความจะมานี้ที่นี่เลยอาสารับขึ้นรถมาด้วยไม่ต้องเสียเวลาเดิน บอกที่มาที่ไปเรียบร้อยจึงเดินมาทักทายเอซิซ เขารู้เรื่องราวมาจากผู้จัดการส่วนตัวตั้งแต่คุยกันบนรถรวมทั้งเรื่องของเคลาส์ด้วย
          โชคไม่เข้าข้างหลานสุดแสบเสียแล้วรักครั้งนี้ หวังว่าอากิจะทำใจได้ใช่ว่าจะไม่เคยมีคนรักแค่ครั้งนี้เหมือนหลานคนโปรดจะมีใจให้มากอยู่
          อาอย่างเขาก็เสียดายนิดหน่อยวาดหวังจะได้เขยดีๆ ต้องปล่อยให้หลุดมือ ไม่แน่หลานชายอาจจะอยากสู้กลับชะตารักให้เขาลุ้นสนุกๆ ก็ได้ เอาแน่นอนอะไรไม่ได้กับอารมณ์ศิลปิน
          ดูท่าว่าคืนนี้หลานตัวแสบจะกลายร่างเป็นหลานผู้เหงาหงอย แต่ไม่ต้องห่วงเขาจะเป็นคนปลอบใจหลานให้เองเชื่อมืออาหมอได้เลย...ถ้าไม่โดนโยนออกมาเสียก่อนล่ะนะ
          อาหลานขอแยกตัวกันไปยังห้องวาดภาพแยกตัวไปคุยธุระส่วนตัว ให้ทั้งสามคนที่เคยรู้จักกันเป็นอย่างดีพูดคุยถามสาระทุกข์สุขดิบกันให้หายห่วงและคลายความคิดถึง
          เอซิซออกมาเดินเล่นบริเวณสวนหน้าบ้านก้าวขาเดินสำรวจบริเวณที่เคลาส์ตกลงมา โชคดีที่มีแนวสนชลอการร่วงหล่นให้ช้าลงมายังสวนหน้าบ้านที่เต็มไปด้วยหิมะเสียดายที่หลบเสาประดับหินไม่พ้นถ้าไม่มีวางไว้ตรงนี้เคลาส์อาจจะไม่เสียสูญเสียความจำก็ได้
          สายลมยามที่พัดมากกระทบกายทำให้เขาใจเย็นขึ้น เขาคิดว่าถ้าเจอเคลาส์จะต้องร้องไห้ฟูมฟาย พอมาเจอยูกิในร่างเคลาส์กระชากอารมณ์เขาไปคนล่ะขั้วยิ่งกว่าหนังคนละม้วนเสียอีก
          “นึกว่าคุณจะสู้กับอากิซังแย่งผมเสียอีก” น้ำเสียงและจังหวะการพูดนี่คือเคลาส์ชัดเจนทำให้เอซิซหันหลังกลับอย่างรวดเร็วเกือบเสียการทรงตัวแต่มีมือหนาและลำแขนแข็งแรงของยูกิเข้ามาประคองไว้ทัน
           “เคลาส์ นี่คือคุณใช่ไหม?”
           “ผมไม่รู้หรอกว่าตัวเองเป็นใคร รออากิซังวาดรูปเสร็จเมื่อไหร่ผมจะลงจากเขาตามหาตัวเองกับคุณ” ผู้ชายคนที่บอกว่าเป็นคนรักของเขา เรียกเขาว่าเคลาส์ครั้งแล้วครั้งเล่าและชื่อนี้ทำให้เขาใจสั่นหัวหมุนทุกครั้งที่ได้ยิน เสียงคุ้นหูพูดชื่อซ้ำๆ กระตุ้นความคิดเขาแบบนี้รู้สึกเหมือนคนร่างเล็กตรงหน้ากดดันเขามากเหลือเกิน
          “จัดการเรื่องคุณให้เสร็จแล้วเราจะลงเขาไปพร้อมกัน” ดาราดังยอมให้แต่ยังไม่ยอมแพ้ดึงดันจะต้องลงไปพร้อมกันให้ได้
           น้ำเสียงหนักแน่นทำให้ยูกิในร่างเคลาส์ไม่รู้จะพูดอย่างไรให้คนตั้งปณิธานแข็งกร้าวเปลี่ยนใจ ดาราหนุ่มคนนี้มีงานที่ต้องกลับไปทำหากมาอยู่กับเขาไม่เสียงานเสียการหรือไง อีกเดี๋ยวได้โดนผู้จัดการส่วนตัวดุอีกครั้งแน่
           ตอนเย็นอากาศเริ่มลดอุณหภูมิลง หิมะหยุดตกแต่ลมหนาวยังพัดโชยอยู่ไม่ขาด เขากลัวคนอ่อนแอตรงหน้าจะเป็นไข้ไปเสียก่อนได้ลงเขาจึงชวนให้กลับเข้าข้างในบ้าน
          คิดหาคำอธิบายที่ต้องบอกอากิซังว่าแขกจะขอพักอาศัยด้วยหวังว่าเขาคงไม่โดนถาดใส่สีเขวี้ยงเข้าหัวหรอกคราวนี้ มีหวังสมองได้เสื่อมถาวรแน่ คิดแล้วทำใจลำบากไม่อยากเข้าไปเจอคนอารมณ์ร้อนที่ห้องทำงานเลย
          “ฉันไม่ชอบให้คนมาวุ่นวาย ครั้งนี้จะเว้นให้สักคน” คนยืนฟังอยู่นานตอบแทนความตั้งใจของยูกิโดยยังไม่ต้องเอยปากขอ เพราะรู้เรื่องที่พักของคนกลุ่มนี้ด้วยอาหมอบอกไว้ก่อนแล้วแต่ไม่คิดว่าคนรักของเคลาส์จะดันทุรังอยู่ต่อกับเขาที่นี่จนกว่ายูกิจะดูแลเขาทำงานจนเสร็จ
          เอซิซมีร่างหนาของเคลาส์ประคองเข้าบ้าน การกระทำแสดงความห่วงใยเกินหน้าโดยไม่ทันได้ใช้สมองตรึกตรองเหมือนเคยทำเช่นนี้เป็นประจำ คนในอ้อมแขนอุ่นใจขึ้นมาบ้างว่าเคลาส์คนเดิมไม่ได้หายไปเสียทีเดียว
          ขอบคุณสายลมที่พัดพาไอเย็นจนหนาวสั่นทำให้คนหลงลืมกันมองแล้วสงสารยอมกระชับอกอุ่นให้ซุกกายเหมือนครั้งเก่าเคยมา
          อากิซังเตรียมเสื้อผ้าหนาเป็นชุดคลุมยาวมาให้เอซิซและบอกยูกิให้พาแขกไปพักร่วมห้องกับเขา ส่วนคนอื่นๆแม่บ้านได้จัดเตรียมไว้และนำไปให้ที่ห้องเรียบร้อยแล้ว
          “นายลงเขาพร้อมอาหมอพรุ่งนี้ได้เลยยูกิ รีบกลับไปจัดการเรื่องตัวตนให้เรียบร้อยถ้าอยากเจอฉันให้มาที่นี่” พูดจบศิลปินสุดหล่อปิดประตูห้องและเดินจากไปทิ้งทั้งคู่ให้ใช้ชีวิตในห้องร่วมกันตั้งแต่คืนนี้         
          “ความรักมันลืมยาก ถ้าอยากรั้งไว้ทำไมไม่ทำซะตอนนี้” ร่างสูงของอาหมอยืนพิงเสามองเหตุการณ์ที่ด้านนอกพูดทักท้วง
          “ของอะไรเป็นของเราก็ของเรา ถ้าไม่ใช่ก็ปล่อยไปยื้อไว้ได้ต้องมีเรื่องให้จากกันอยู่ดี”
          อาหมอฟังหลานพูดรู้สึกปลงในชีวิตยิ่งกว่าหลานตัวแสบเสียอีก เขาโอบไหล่ศิลปินผู้ทรนงทานทนต่อมรสุมชีวิต ดันร่างดั่งเทพให้มานอนร่วมห้องเดียวกันจะทำหน้าที่หมอรักษาใจให้เอง ต้องหาทางปลอบขวัญหลานรักให้ฮึกเหิมก่อนจะแยกจากยูกิวันพรุ่งขึ้น
          อากิซังหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นอาตัวเองทำสีหน้ากระอักกระอ่วนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกจึงยอมอ่อนให้หน่อยในครั้งนี้เดินตามอาขี้แกล้งไปอย่างว่าง่าย
           หมอเดินเกาหัวแก้เก้อพ่อคนเทพสายศิลป์หัวร่อคงไม่มีสิ่งไหนทำแปลกใจเท่าวันนี้ ร้อยวันหมื่นปีหน้าหล่อชวนตีไม่เคยจะแย้มยิ้มกลัวใจหลานเหลือเกินอกเดาะครั้งนี้อาจกลายร่างจากหล่อขั้นเทพกลายเป็นหลอนเทพคลั่ง กลัวใจหลานคนดังเสียจริง

            หรือว่ารักเราสามคนพล็อตนี้ต่อไปดีไหมนะน้า :ling2: มาต่อให้นะค้าแล้วเจอกันตอนต่อไปจ้า

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด