สืบลับ สืบรัก: CLSI ๙๒. The Reason to Trust _ 9.08.2024
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: สืบลับ สืบรัก: CLSI ๙๒. The Reason to Trust _ 9.08.2024  (อ่าน 13217 ครั้ง)

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0


Crime and Love Scene Investigation


๕๘. THE SHOW MUST GO ON



“มาที่นี่บ่อยมั้ยครับ น่ารักแบบนี้ ไม่เคยเห็นหน้าเลย” ชื่นจิตได้ยินคำถามนั้น ส่ายหน้าแทนคำตอบก่อนจะยิ้มออกมา แล้วก้มลงดูดเครื่องดื่มจากแก้วที่ถืออยู่ในมือ สมองตอนที่กำลังเตือนชื่นจิตจากรสชาติและปริมาณแอลกอฮอล์ที่เข้าสู่ร่างกาย ว่ามันชักจะมีผลต่อร่างกายแล้วในตอนนี้ จนต้องตั้งสติดี ๆ ตอนวางแก้วลงบนโต๊ะที่อยู่ด้านหน้า

“เร้าอารมณ์ดีจังครับ เวลาเจอนิวบี้ เด็กใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวในสถานที่แบบนี้” เสียงของชายหนุ่มคนเดียวกันกับที่หยอดเหรียญลงตู้เพลงให้ และตามมาที่หน้าบาร์ พูดกับชื่นจิตด้วยน้ำเสียงที่เปิดเผยว่า กำลังให้ความสนใจกับเธอเป็นอย่างมาก โดยที่ประโยคของเขาทำให้ชื่นจิตเริ่มคิดว่า หรือว่าชายหนุ่มอาจจะเป็นเป้าหมายที่ทีมกำลังตามหา

“ถ้าแน่ใจแล้ว พูดโค้ดลับออกมาได้ทันที ชื่นจิต” เสียงบอกจากอุปกรณ์หูฟังเตือนมาหา สารวัตรรัฐนนท์เองก็ไม่อยากให้ชนธัญนั้น ต้องปฏิบัติการยืดเยื้อเกินความจำเป็น หากว่าชนธัญเองมั่นใจแล้วว่า ผู้ชายคนนื้คือเป้าหมายอย่างที่ว่า “คุณชื่ออะไรคะ” สารวัตรรัฐนนท์ถึงกับถอนหายใจพรวดออกมา เมื่อได้ยินชื่นจิตพูดแบบนั้น พลางเห็นมือที่ยื่นไปแตะที่หน้าอกของชายหนุ่มตรงหน้า

“เรย์ครับ” ไม่ตอบคำถามเพียงแค่นั้น รอยยิ้มที่ชอบใจ ที่อยู่ ๆ ก็ถูกอีกฝ่ายแตะเนื้อต้องตัวมาแบบนี้ มันจะแปลความหมายเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากว่าคนงามตรงหน้าเขานี้ มีใจให้เขาด้วยเช่นกัน “ทำอะไรของคุณกันเนี่ย” สารวัตรรัฐนนท์พูดผ่านมาทางอุปกรณ์หูฟัง เมื่อเห็นชนธัญให้สัญญาณว่า เขาขอเวลาเพิ่มเติม จากการที่แตะหน้าอกของเรย์ ทั้ง ๆ ที่ตอนสารวัตรรัฐนนท์นัดแนะสัญญาณลับกัน สารวัตรหนุ่มหล่อไม่คิดว่า ชนธัญจะต้องใช้โค้ดลับนี้

“แล้วคุณล่ะครับ ชื่นจิตใช่มั้ย” ไอ้อาการก้อร่อก้อติกอย่างที่ผู้ชายด้วยกันดูออกในทันทีของเรย์ ที่แสดงออกมาผ่านกล้องสอดแนมจิ๋วบนชุดของชื่นจิต ทำให้สารวัตรรัฐนนท์ถึงกับหลุดปากพูดออกมากับทีมงานตรงนั้น “ไอ้หมอนี่ มันเคลมแน่” ทีมงานตรงนั้น ที่นั่งดูอยู่ด้วยกัน ก็เห็นพ้องไปในทางเดียวกัน ว่าถ้าเนิ่นนานไป ชื่นจิตได้ตกเป็นของเจ้าหนุ่มนี่แน่ ๆ

“ชื่นจิตนี่ น่าจะชื่นใจดีไม่เบา” ชื่นจิตยิ้มแก้เขิน ก่อนจะค่อย ๆ ดึงมือของตัวเองออกจากการเกาะกุมของเรย์ ที่คว้ามือของชื่นจิตไปกุมเอาไว้ที่กลางหน้าอก แล้วไม่ยอมปล่อย “คนหล่อ ๆ นี่ เขาพูดจาหวาน ๆ เก่งกันจัง” ชนธัญต้องการความแน่ชัดมากกว่านี้ ก่อนจะเห็นเรย์ยิ้มกว้างชอบใจ โดยที่สารวัตรรัฐนนท์ทำหน้าเบ้ออกมา

“คุณเรย์คงมาที่นี่บ่อย และก็เคยพูดอะไรแบบนี้แล้ว กับอีกหลาย ๆ คน” กับประโยคนี้ รอยยิ้มนั้นค่อย ๆ เลือนหายไปจากใบหน้าของเรย์ ก่อนจะมองมาที่ชื่นจิตนิ่ง ๆ “ผมจริงจังมากกว่านั้น” เสียงทีมงานดังเข้ามาในหูฟังของชนธัญ “คำถามทริกเกอร์ กระตุ้นอะไรบางอย่างได้ใช่มั้ย” ชนธัญเองสังเกตถึงท่าทีของเรย์ที่ดูแปลกไป

“ชื่นจิต คุณอยากไปนั่งคุยกันเฉพาะเราสองคนมั้ย” เรย์หันไปมองทางมุมด้านไกลของร้าน ที่เป็นมุมอับกว่าตรงส่วนอื่น และมืดกว่าด้วยเช่นกัน “เราควรจะทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้ ไปเถอะ” เรย์พูดจบก็จับข้อมือของชื่นจิต พร้อมกับดึงให้เดินตาม ชื่นจิตที่นั่งพาดอยู่ที่ขอบของเก้าอี้ โดยวางแค่ปลายเท้าเกือบ ๆ แตะพื้นไว้ ทำให้ตัวถลำไปข้างหน้า

“โอ๊ะ เดี๋ยว” ชื่นจิตร้องออกไป สายตามองเห็นอะไรบางอย่างเล็ก ๆ ร่วงลงมาบนตัก ก่อนจะไวเท่าสายตา มือก็คว้าหมับไปที่อุปกรณ์หูฟังที่หลุดออกจากหู ชื่นจิตเงยหน้ามองไปที่เรย์ทันทีเช่นกัน เพื่อสังเกตดูว่า ชายหนุ่มได้เห็นมันหรือเปล่า “โอ้ ผมขอโทษที ผมดึงคุณแรงไปหน่อย ชื่นจิตเป็นอะไรมั้ยครับ” ไม่ใช่เพียงแค่ชนธัญเท่านั้น ที่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ยังรวมถึงทีมที่นั่งมองอยู่ในรถตู้ แน่นอนสารวัตรรัฐนนท์ด้วย

“เอายังไงดีบอส ถ้าไม่มีโอกาสใส่หูฟังกลับเข้าที่ เราจะไม่สามารถสื่อสารกับคุณชนธัญได้เลยนะ” หนึ่งในทีมสืบ หันมาถามสารวัตรรัฐนนท์ ซึ่งทำหน้าครุ่นคิด ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ดูเอาไว้อย่าให้คลาดสายตานะ” สารวัตรหนุ่มหล่อพูดจบก็รีบเปิดประตูรถตู้ ก่อนจะออกจากรถไป ไม่ทันให้ทุกคนในทีมทักท้วงอะไรได้ทัน

สารวัตรรัฐนนท์เปิดประตูบาร์เข้าไป โชคดีที่ตอนนี้ ไม่มีใครสนใจทองมาที่ประตูร้านมากนัก เพราะต่างพากันเริ่มสนใจกันเองอยู่ภายในร้านมากกว่า สารวัตรรัฐนนท์เดินเลียบเคียงไปที่หน้าบาร์ สายตาจับจ้องไปที่ชนธัญที่นั่งอยู่กับเรย์ ที่โต๊ะด้านไกลนั่น “ดื่มอะไร” สารวัตรหนุ่มหล่อสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อถูกทักจากด้านหลัง ก่อนจะหันไปเจอบาร์เทนเดอร์ทอมป๋ายืนจ้ออยู่ก่อนแล้ว

“เอ่อ เบียร์ครับ เบียร์ขวดนึง” สารวัตรรัฐนนท์เองยังมีตะกุกตะกักเล็กน้อย กับท่าทางและสายตาเหมือนสำรวจตรวจตราจากทอมป๋า ที่พอได้รับออเดอร์แล้ว ก็หยิบเบียร์มาเปิดให้ สารวัตรรัฐนนท์ยื่นเงินค่าเครื่องดื่มให้ไป โดยที่เหลือบสายตาไปมองทางชนธัญว่ายังอยู่ที่เดิมหรือไม่ แบบไม่ให้มีพิรุธมากไปนัก ทางด้านทอมป๋าบาร์เทนเดอร์ประจำร้าน ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ก็หันไปรับโทรศัพท์ร้านที่มีคนโทรเข้ามาเสียก่อน

“ตอนที่ผมเห็นชื่นจิตเต้น ผมชอบมากเลยนะครับ” เรย์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้กับชื่นจิต ที่ตอนนี้นั่งหันหลังเข้ากับผนังที่ถูกกั้นขึ้นมาอยู่ประมาณกลางหลัง และดูแล้ว หากต้องการที่จะขยับหนีไปทางไหน ก็ดูจะทำได้ยาก “ชื่นจิตทำให้ผมสนใจแล้ว หวังว่าค่ำคืนต่อจากนี้ จะเป็นความสนุกของเราสองคนนะครับ” ชนธัญถึงกับต้องเม้มริมฝีปากจนแน่น เมื่อเรย์ไล่ปลายนิ้วไปบนต้นแขนของเขาอย่างแผ่วเบา

สารวัตรรัฐนนท์ที่กำลังเดินผ่านมาพอดี มองเห็นอาการของชนธัญ ก่อนจะเห็นว่านิ้วมือของเรย์นั้น ไล้ขึ้นลงต้นแขนของชนธัญอย่างชอบใจ ชนธัญกำหูฟังนั้นเอาไว้ในมือจนแน่น มองเห็นสารวัตรรัฐนนท์ที่เดินถือขวดเบียร์เลยไป ก่อนจะไปนั่งที่โต๊ะอีกด้านหนึ่งของผนังกั้นเตี้ย ๆ นั้น ที่ทางร้านทำไว้เพื่อเพิ่มจำนวนโต๊ะสำหรับลูกค้า

“ที่ชั้นล่างของร้าน มีลานกว้าง ๆ ทำเอาไว้ให้” เรย์กระซิบที่ข้างหูของชื่นจิต ที่ตอนนี้ถึงกับต้องขืนตัวขึ้น เมื่อได้ฟังดังว่า สารวัตรรัฐนนท์พยายามเงี่ยหูฟังให้ได้ยินมากที่สุด เรย์ขยับเข้ามาใกล้ชื่นจิตเพิ่มขึ้นอีก “ปกติ มันก็จะมีคนลงไปเล่นกันพอสมควร แต่เดี๋ยวผมจะลงไปเคลียร์ให้ก่อน แล้วจะขึ้นมารับชื่นจิต เราจะได้ลงไปมีเวลาของเราสองคนแบบส่วนตัวที่สุด” โดยไม่รอให้ชื่นจิตพูดตอบตกลงแต่อย่างใด เรย์ก็ลุกเดินไปทางด้านหลังร้าน แล้วผลุบหายผ่านม่านสีดำเข้าไปในทันที

สารวัตรรัฐนนท์ที่นั่งฟังอยู่ตรงนั้น ได้รอจนเรย์พูดจบ ก่อนจะได้ยินชายหนุ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้ สารวัตรหนุ่มหล่อค่อย ๆ เงยหน้ามองตามเรย์ที่เดินไปทางด้านหลังร้าน นายตำรวจหนุ่มมองเห็นเรย์เดินหายเข้าไปที่ด้านหลังม่านสีดำนั้น ทันทีที่คล้อยหลังเรย์ผลุบหายไปแล้วนั้น สารวัตรรัฐนนท์ก็รีบหันมาทางชนธัญทันที โดยที่อีกฝ่ายหันมารออยู่ก่อนแล้ว

“สารวัตร” ชนธัญเรียกนายตำรวจหนุ่มด้วยน้ำเสียงที่ตอนนี้ สั่นไปด้วยความกลัวผสมกับความกังวลอย่างชัดเจน “คุณไม่เป็นอะไรนะ” สารวัตรหนุ่มหล่อถามกลับไปในทันทีเช่นกัน ด้วยความเป็นห่วงอีกฝ่าย และตอนนี้สารวัตรรัฐนนท์เองก็กำลังคิดว่า นี่อาจจะไม่ใช่ความคิดที่ดีอย่างที่นึกเอาไว้ตอนแรก เมื่อตอนชนธัญตกปากรับคำทำงานนี้

“ผมยังไหว ผมทำได้” ชนธัญไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมถึงไม่ยอมบอกสารวัตรรัฐนนท์ไปว่า เขาอยากจะยกเลิกภารกิจนี้ กลับบอกอีกฝ่ายไปว่า ต้องการจะทำงานนี้ให้สำเร็จลุล่วง “มันจะน่าเสียดายมาก ถ้าหากว่าเราพลาดชี้ตัวเป้าหมายไปในคืนนี้ เพราะเรามาถึงขั้นนี้แล้ว” สารวัตรรัฐนนท์มองสบตากับชนธัญ ก่อนจะหยิบเอาชุดหูฟังจากมือของอีกฝ่าย เอามาใส่ให้กับชนธัญอีกครั้ง แล้วเอาปอยผมด้านข้างมาปิดเอาไว้

“ผมอยู่ตรงนี้แล้ว ถ้าคุณเห็นว่ามันไม่ชอบมาพากล ผมพร้อมเข้าชาร์จ คุณส่งสัญญาณพูดรหัสลับทันที ห้ามรั้งรออะไรทั้งสิ้น คุณเข้าใจนะ” สารวัตรรัฐนนท์พูด พลางสบตากับชนธัญที่เม้มปากจนเป็นเส้นตรง พลางพยักหน้ารับทราบและเข้าใจถึงสิ่งที่สารวัตรหนุ่มหล่อบอก “มันคือคำสั่ง” สารวัตรรัฐนนท์เน้นย้ำ ด้วยความเป็นห่วงอย่างที่สุด

“เป้าหมายกลับมาแล้ว ย้ำ เป้าหมายกลับมาแล้ว” ทันทีที่ทางทีมสืบมองเห็นเรย์กลับขึ้นมาจากชั้นล่าง สารวัตรรัฐนนท์ดีดตัวผึง ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ทำทีเดินถือขวดเบียร์เดินเลี่ยงไปที่ด้านข้าง ก่อนจะหันกลับมามองทางชนธัญ ที่รีบหันกลับไปมองทางด้านหลังร้าน ตรงนั้น เรย์ยืนมองมาทางนี้อยู่ก่อนแล้ว

ชนธัญส่งยิ้มกลับไปที่เรย์ ที่เขามีสีหน้าเรียบเฉย มองนิ่ง ๆ ตรงมาทางชนธัญ ซึ่งตอนนี้หนุ่มหน้าใสในรูปร่างลักษณะของชื่นจิต กำลังใจเต้นโครมคราม พยายามตั้งสติให้จิตนิ่งที่สุด แล้วเริ่มคิดหาทางหนีทีไล่ มองหาทางเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้เช่นกัน ชนธัญมองไปยังเรย์ ที่ตอนนี้พยักหน้าเป็นเชิงให้ชื่นจิตเดินเข้าไปหาเขา ที่ยืนรออยู่ด้านหลังร้าน

ชื่นจิตก้าวขาเดินไปหาเรย์ แม้ว่ามันจะสั่นจนเจ้าตัวรู้สึกได้ ที่ด้านหลังนั้น โดยไม่ได้หันไปมอง มีสารวัตรรัฐนนท์ลอบมองอยู่อ่างไม่ให้ผิดสังเกต นายตำรวจหนุ่มนั้นหวั่นใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ที่ต้องปล่อยให้ชนธัญปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนจบ สารวัตรรัฐนนท์มองตามไป ก่อนจะเห็นว่า ทางด้านของบาร์เทนเดอร์ทอมป๋าก็จับจ้องสายตาไปที่ชื่นจิตและเรย์อยู่เช่นกัน ที่เห็นว่าทั้งสองคนกำลังจะลงไปด้านล่างด้วยกัน

ชื่นจิตเดินจนมาหยุดยืนอยู่ที่ตรงหน้าของเรย์ ก่อนจะเห็นชายหนุ่มยิ้มจาง ๆ ผุดขึ้นมาบนใบหน้า แล้วทำท่าเชื้อเชิญให้ชื่นจิตเดินเข้าไปด้านหลังนั้นก่อนเขา ชื่นจิตทำท่าลังเล ก่อนที่เรย์จะใช้มือดันหลังของชื่นจิตให้เดินต่อไป จนชื่นจิตต้องลอบผ่อนลมหายใจออกมา เพื่อระบายความกลัวและความเครียดที่เกาะกุมความรู้สึกในขณะนี้

เมื่อมองไปที่ม่านสีดำ แล้วใช้มือค่อย ๆ ผลักม่านนั้นออกไปข้าง ๆ เผยให้เห็นความมืดที่อยู่ด้านหลังนั้น ที่มันทำให้ใจของชื่นจิตเต้นแรงไม่เป็นส่ำ ขาแทบอ่อน เข่าแทบทรุด เมื่อต้องตัดใจเดินเข้าไปด้านใน โดยได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ของเรย์ตามหลังมา ก่อนที่ทางด้านนอกนั้น สารวัตรรัฐนนท์จะเห็นว่าเรย์ได้เดินตามชนธัญผ่านม่านนั้นไป และสารวัตรหนุ่มทำให้แค่หักห้ามใจและอดทนเฝ้ารอเท่านั้น

*******************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาไทย โดย KADUMPA

Smooth - Sanatna feat. Rob Thomas

https://www.youtube.com/watch?v=QcUxrpIwuQ4


Man, it's a hot one

โอ๊ยเพื่อน คนนี้สิเด็ดจริง

Like seven inches from the midday sun

แผดเผาดุจดังห่างตะวันเพียงไม่กี่มากน้อย

I hear you whisper and the words melt everyone

ยิ่งได้ยินเสียงกระซิบของคุณหลอมละลายใครต่อใคร

But you stay so cool

แต่คุณยังดูไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด


My muñequita, my Spanish Harlem Mona Lisa

แม่คุณแม่ขนุนหนัง ดุจดั่งโมนาลิซ่าที่เร่าร้อน

You're my reason for reason

คุณคือเหตุผลที่เหนือเหตุผลทั้งปวง

The step in my groove

ที่ได้เข้ามาในห้วงอารมณ์ของผม


And if you said this life ain't good enough

หากว่าคุณจะคิดว่าชีวิตนี้ยังไม่ดีมากพอ

I would give my world to lift you up

ผมก็พร้อมจะมอบโลกทั้งใบเพื่อพาคุณไปให้ถึง

I could change my life to better suit your mood

ผมก็ยังสามารถเปลี่ยนชีวิตผมให้เข้ากับปรารถนาและอารมณ์ของคุณ

Because you're so smooth

เพราะคุณนั้นช่างนุ่มนวลต่อใจดีเหลือเกิน


And it's just like the ocean under the moon

และคงเหมือนผืนท้องทะเลภายใต้แสงจันทร์

Oh, it's the same as the emotion that I get from you

และมันคงเป็นอารมณ์เดียวกันกับที่ผมได้รับจากคุณ

You got the kind of lovin' that can be so smooth, yeah

คุณมีห้วงความรักที่เป็นไปในแบบลงตัวลุ่มลึก

Give me your heart, make it real, or else forget about it

มอบหัวใจมาให้ผม ทำให้มันเป็นจริง ไม่งั้นก็ล้มเลิกมันไปทั้งหมดได้เลย


But I'll tell you one thing

ผมจะบอกอะไรคุณให้อย่างหนึ่ง

If you would leave it'd be a crying shame

หากคุณคิดจะร่ำลากันไปคงจะต้องมีคนเสียใจอย่างที่สุด

In every breath and every word

ในทุกลมหายใจ ในทุกคำจำนรรจา

I hear your name calling me out

ผมได้ยินคุณเรียกร้องคร่ำครวญชื่อผม


Out from the barrio

พูดได้เลยในย่านนี้

You hear my rhythm on your radio

จังหวะของผมส่งผ่านไปตามกระแสคลื่น

You feel the turning of the world, so soft and slow

คุณสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงในโลก นุ่มนวลและอ่อนหวาน

It's turning you round and round

และมันจะทำให้คุณเคลิ้มลอยครั้งแล้วครั้งเล่า

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0


Crime and Love Scene Investigation


๕๙. EPITOME OF HORROR



“อ้าว หายไปไหนกันหมด” ด็อคเตอร์ดรุณีที่เพิ่งเดินมาถึงหน่วยสืบลับ พึมพำกับตัวเอง เมื่อเดินถึงเอกสารการตรวจชันสูตรมาถึงที่นี่ แต่กลับไม่พบใครสักคน ไม่ว่าจะเป็นสารวัตรรัฐนนท์ ชนธัญ ไม่แม้แต่กระทั่งบรรดาลูกทีมหน่วยสืบลับของสารวัตรหนุ่มหล่อ ที่มักจะนั่งทำงานกันอยู่ที่ตรงนี้กันเป็นประจำ เมื่อไม่มีเคสใหม่เข้ามา

“โทรหาทั้งวันก็ไม่มีใครรับสายเลย ก็นึกว่ายุ่ง ๆ กันอยู่ที่นี่” ด็อคดุรู้สึกประหลาดใจตั้งแต่เช้าแล้ว ว่าทำไมถึงไม่มีใครรับสายเธอเลย เมื่อเธอต้องการจะคุยเรื่องหลักฐานในเคสผู้หญิงถูกทำร้ายล่าสุด ที่ทางทีมของสารวัตรรัฐนนท์สืบสวนอยู่ ว่ามันมีอะไรแปลก ๆ และดูเหมือนจะไม่ตรงกับรายงานแรกที่ลงบันทึกเอาไว้

ด็อคเตอร์ดรุณีกดสายโทรหาสารวัตรรัฐนนท์อีกครั้ง แต่สายก็ตัดไปด้วยการไม่มีคนรับอย่างเคย ด็อคเตอร์สาวก้มดูเวลาบนนาฬิกาที่ข้อมือ เวลาล่วงจนดึกดื่นแล้ว เธอกำลังลังเล แต่ก็ลองกดโทรหาชนธัญด้วยอีกครั้ง แต่ผลที่ได้ ก็เป็นเช่นเดียวกัน ก็คือสายถูกปล่อยให้ตัดไปเองแบบไม่มีใครรับ

“ไปไหนกัน” ด็อคเตอร์ดรุณีนึกสงสัยว่าทุกคนหายไปไหนกันหมด เพราะไม่ได้รับรู้ว่า ทางทีมสืบลับออกปฏิบัติการพิเศษ เนื่องด้วยเป็นการร้องขอเอาไว้จากเหยื่อทางคดี เธอจึงหันหลังเพื่อจะเดินกลับไปที่ห้องชันสูตร แต่พอนึกได้ว่าจะต้องทำงานต่อในคืนวันนั้น และคงจะยาวจนเกือบรุ่งเช้า ด็อคเตอร์ดรุณีจึงเดินไปที่ตู้กดกาแฟร้อน ที่ตั้งอยู่ด้านนอกตึก ตรงทางเดินเชื่อม ก่อนจะถึงทางเดินเข้าห้องชันสูตร

คืนนี้เจ้าหน้าที่ดูน้อยกว่าปกติ มีสองคนที่เพิ่งเดินผ่านด็อคดุไป ตอนยืนรอกาแฟให้ชงเสร็จ ด็อคเตอร์สาวยิ้มทักทั้งสองคน ที่กำลังเดินไปด้านหน้าอาคารเพื่อกลับบ้าน จริง ๆ ด็อคดุก็ชอบบรรยากาศเงียบ ๆ ตอนทำงาน เพราะมันทำให้เธอมีสมาธิดีมาก ใจจดจ่อกับงานตรงหน้าโดยไม่มีอะไรมารบกวนให้เสียสมาธิ แต่ในคืนนี้ ต้องยอมรับว่า มันเงียบมากจริง ๆ เงียบจนผิดสังเกต

ด็อคดุหยิบกาแฟจากช่องรับเครื่องดื่มที่เพิ่งเลื่อนเปิดขึ้น ความหอมของกาแฟลอยโชยมาแตะจมูก ด็อคเตอร์สาวเดินไปตามทางเชื่อมอาคาร เพื่อเดินต่อไปที่ห้องทำงานของเธอ ที่ห้องชันสูตรนั้นอยู่เยื้องไปทางด้านหลังของอาคาร เพื่อความเป็นส่วนตัว และไม่ทำให้ใครต้องรู้สึกหวาดหวั่น เมื่องานของด็อคเตอร์ดรุณีนั้นเป็นงานเฉพาะทางอย่างยิ่งยวด

อีกไม่เท่าไหร่ ด็อคเตอร์ดรุณีก็จะถึงทางเข้าห้องชันสูตร ตอนนี้เธอได้ยินแต่เสียงรองเท้าของเธอดังก้องไปทั้งทางเดิน ซึ่งมันฟังดูดังกว่าในช่วงกลางวันที่มีเสียงจอแจดังอยู่ทั่วไป ด็อคเตอร์ดรุณีนึกขำ ว่านี่ถ้าเธอไม่ได้ผ่านการฝึกฝนมาอย่างมากมาย บรรยากาศอย่างนี้คงทำให้เธอสติแตกได้ไม่ยากนัก คิดแล้วก็ให้นึกขันตัวเองตอนสมัยยังเป็นแพทย์ฝึกหัดอยู่ ที่ต้องเข้าเวรดึกคนเดียวตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา

ด็อคเตอร์ดรุณีหยุดที่หน้าบอร์ดประชาสัมพันธ์ ยกแก้วกาแฟในมือขึ้นจิบ พลางอ่านประกาศสำคัญบนบอร์ดนั้น ทีแรกด็อคดุเองก็ไม่ได้เอะใจอะไร เพราะเพิ่งได้ยินเสียงฝีเท้าของตัวเองตอนที่เดินมาดังก้องไปทั่ว แต่ตอนนี้ เธอได้ยินเสียงรองเท้าของใครบางคน ย่ำดังขึ้น และค่อย ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ ดังมาจากที่ไกล ๆ จนฟังดูแล้วว่า มันใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ด็อคดุแน่ใจว่าเสียงมันมาทางที่เธอยืนอยู่ จึงหันไปมอง

ด็อคดุโฟกัสไปตรงมุมมืดที่เป็นมุมฉากเลี้ยวไปทางแผนก Homicide เสียงย่ำเท้ามันดังมาจากทางนั้น และตรงเข้ามาเรื่อย ๆ ก่อนที่ด็อคเตอร์ดรุณีจะเห็นร่างร่างหนึ่งปรากฏขึ้นที่ตรงนั้น ด็อคดุนึกแปลกใจอย่างที่สุด ที่ได้เห็นผู้หญิงคนนี้มาอยู่ ณ ที่นี้ ในเวลานี้ ทั้ง ๆ ที่เธอควรจะต้องอยู่ในโรงพยาบาล เพื่อรักษาตัวจากการถูกทำร้ายในเคสล่าสุดของทีมสืบลับ

“สวัสดีค่ะด็อคเตอร์ดรุณี เราได้เจอกันสักทีนะคะ” เสียงทักนั้น ทำให้ด็อคเตอร์ดรุณีชะงัก ก้าวเท้าไปด้านหลังสองสามก้าว “เจออะไรใหม่ ๆ ในผลชันสูตรสินะคะ ไม่น่ารักเลย” เสียงนั้นพูดต่อเนื่อง “คุณไม่ควรมาอยู่ที่ในเวลานี้” ผู้ที่เพิ่งมาถึงหยุดเดิน เมื่อได้ยินด็อคดุพูดออกไปแบบนั้น “คุณกลับไปที่โรงพยาบาลก่อนดีมั้ยคะ” ด็อคดุบอกกับตัวเองว่า นี่มันไม่ชอบมาพากลอย่างแรง ทั้งกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูด ท่าทาง และรอยยิ้มประหลาด ๆ แฝงไปด้วยความลึกลับน่ากลัวนั่น

“เอกสารในมือนั่น ขอได้มั้ยคะ ถือว่าพูดกันดี ๆ” ด็อคเตอร์ดรุณีกระชับเอกสารผลการตรวจในมือแน่น เมื่อคิดว่า ห้องชันสูตรอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ เธอจึงรีบหันหลังแล้วเร่งฝีเท้าเพื่อไปให้ถึงที่นั่นโดยเร็วที่สุด เสียงหัวเราะฟังดูเยือกเย็นดังตามมาด้านหลัง ด็อคดุเกือบสะดุดตรงทางเลี้ยว ไม่สนแก้วกาแฟที่ร่วงหลุดจากมือไปเมื่อสักครู่ รีบก้าวเท้าโดยเร็วที่สุด

พอถึงห้องชันสูตร ด็อคดุผลักบานประตูแบบสวิงนั้นเข้าไป ในหัวรีบประมวลผลว่าจะทำยังไงต่อไป ก่อนจะบอกตัวเองให้เดินผ่านเตียงชันสูตรเข้าไปที่ตัวออฟฟิศจริง ๆ ที่ด็อคดุใช้นั่งทำเอกสาร เธอรีบหมุนลูกบิดประตูไม้กึ่งกระจกของห้องทำงานนั้นโดยเร็ว ก่อนจะแทรกตัวเข้าไปในห้อง ปิดประตูลงทันที ก่อนจะกดล็อก พอเงยหน้าขึ้นมอง ก็เจอเข้ากับใบหน้าของคนที่เคลมว่าเป็นเหยื่อในคดี ประชันหน้ากันพอดี

ด็อคเตอร์ดรุณีตกใจไม่น้อย เมื่ออยู่ ๆ ก็เห็นอีกฝ่ายตามเธอมาจนทันอย่างไม่น่าเป็นไปได้ แถมยังไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า ที่ว่าถ้าจะมาทันกันเร็วขนาดนี้ ก็ต้องวิ่งตามมาอย่างเร็วจี๋ แต่นี่ ด็อคดุไม่ได้ยินอะไรแบบนั้นเลยสักนิด ด็อคเตอร์สาวมองตามสายตาของอีกฝ่าย ที่จับจ้องไปที่ลูกบิดประตู ก่อนจะเห็นเธอคนนั้นจับมันเขย่า ด็อคเตอร์ดรุณีเอื้อมมือไปจับลูกบิดน้นเอาไว้จากทางฝั่งด้านนี้ของประตูเช่นกัน ฝ่ายนั้นผงะ ชักมือออกทันทีที่มือของด็อคดุสัมผัสลูกบิดประตู

แววตาแห่งความโกรธเกรี้ยว ฉายออกมาจากอีกฝ่ายชัดเจน จนด็อคเตอร์ดรุณีสังเกตเห็นได้ แล้วด็อคเตอร์ดรณีก็ต้องสะดุ้งจนสุดตัว เมื่อมีมือมาแตะที่ไหล่ของเธอจากทางด้านหลัง ด็อคเตอร์สาวเกือบหวีดเสียงร้องออกมา ก่อนจะเห็นว่าเป็นใคร เจ้าหน้าที่หนุ่มเนิร์ดจากแผนก Ballistic ยืนถือปืนพกประจำกาย ส่องปากกระบอกปืนไปที่คนที่ยืนอยู่อีกฝั่งประตู

“ถอยออกมาก่อนครับด็อค ผมไม่แน่ใจว่าเรากำลังดีลอยู่กับตัวอะไร” ด็อคเตอร์ดรุณีขยับเท้าเดินไปอยู่ทางด้านหลังของหนุ่มเนิร์ด ก่อนจะเห็นว่า มีควันไอร้อนจากการถูกแผดเผาลอยออกมาจากมือของเหยื่อในคดี และมันเป็นรอยลูกบิดประตูที่บนมือนั้น ที่ด็อคดุเองยังไม่อยากที่จะเชื่อสายตา

“แองเจิ้ล” เสียงคำรามดังออกมาอย่างน่าสะพรึงกลัว “ความดีปกป้องตัวอย่างนั้นหรือ” เสียงตะคอกออกมาอย่างเกลียดชัง และตอนนี้ ใบหน้าของคนที่ทุกฝ่ายเข้าใจมาตลอดว่า เป็นเหยื่อถูกทำร้ายร่างกาย ก็ดูบิดเบี้ยวผิดรูปไป จนมันดูแล้วน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก และแทบไม่น่าเชื่อว่า มันกำลังเกิดขึ้นกับตาของทั้งด็อคเตอร์ดรุณีและหนุ่มเนิร์ดเช่นกัน

ภาพเงาของด็อคดุและหนุ่มเนิร์ดในกระจก ที่เหยื่อในคดีที่ตอนนี้กลับกลายร่างผิดเพี้ยนไปจากความเป็นมนุษย์มองเห็น ทั้งสองคนแผ่กางปีกสีขาวเต็มแผ่นหลัง แสงเรืองรองที่เปล่งประกายออกจากตัวของคนทั้งคู่ ประหนึ่งแสงที่กางกั้นไม่ให้ความมืดมนและความชั่วร้าย ย่างกรายเข้าใกล้ทั้งสองคนได้

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ด็อคเตอร์ดรุณีหลุดคำพูดออกมา หลังจากที่เหยื่อจากคดีคนนั้น ค่อย ๆ เดินถอยหลัหายกลับเข้าไปในความมืด “เราเห็นเหมือนกันใช่มั้ย” ด็อคดุหันมาถามหนุ่มเนิร์ดจากหน่วย Ballistic ด้วยอาการที่ยังตื่นเต้นไม่หาย “ไม่ต้องถามเลยด็อค เต็ม ๆ สองตา” หนุ่มเนิร์ดเก็บปืนลงใส่ซองเหน็บข้างเอว

“บอกได้มั้ยด็อค ว่านั่นใครที่ตามด็อคมา” แน่นอนที่หนุ่มเนิร์ด อดไม่ได้อย่างแน่นอน ที่จะต้องถามคำถามนั้นออกไป เมื่อตัวเขานั้น เห็นด็อคดุเปิดประตูเข้ามาอย่างรีบร้อน ก่อนที่จะเห็นทุกอย่างที่ตามมา อย่างที่เพิ่งจะเกิดขึ้นไป “นั่นควรจะเป็นเหยื่อที่ถูกทำร้าย ในคดีที่ทีมสืบลับของสารวัตรรัฐนนท์กำลังทำอยู่ แต่ที่เราเพิ่งเห็นกันไป หมอชักไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร” ด็อคเตอร์ดรุณีนั้น จำใบหน้าของคนคนนั้นได้จากรูปถ่าย ที่ถูกส่งมาพร้อมประวัติการถูกทำร้ายของเจ้าตัว

“และเขาควรจะอยู่ที่โรงพยาบาล” ด็อคดุพูดเพิ่มเติม “แล้วเขาตามด็อคมาเพราะว่า” หนุ่มเนิร์ดทำปลายเสียงเป็นคำถามอีกฝ่ายได้ตอบ ด็อคดุชูเอกสารผลตรวจร่างกายของเหยื่อ “มีหลายอย่างที่ไม่ชอบมาพากล ทั้งผลดีเอ็นเอที่มันเหมือนถูกปนเปื้อน คือหมอจะพูดว่ายังไงดีล่ะ คือตัวแซมเปิ้ลที่ได้มา มันไม่สามารถทำให้หมอให้ผลสรุปได้ว่า เป็นดีเอ็นเอของอะไรกันแน่ แล้วดูนี่” ด็อคดุเปิดรูปถ่ายหลักฐานให้หนุ่มเนิร์ดได้ดู

“รูปถ่ายรอยช้ำตามร่างกายที่ถูกถ่ายเอาไว้ ชุดแรกคือรูปพวกนี้” หนุ่มเนิร์ดมองดูรอยฟกช้ำดำเขียวที่ปรากฏอยู่ตามร่างกายของเหยื่อ “ส่วนชุดที่สองนี่เป็นรูปถ่ายที่ถ่ายอีกครั้ง โดยเหมือนว่าจะไม่มีอะไร แต่ดูสามสี่รูปนี้ ที่เจ้าหน้าที่ถ่ายติดเหยื่อโดยไม่ตั้งใจ ดูสิ ไม่มีรอยฟกช้ำปรากฏอยู่ในรูปพวกนี้” หนุ่มเนิร์ดมองดูรูปถ่ายสองชุด ที่หากจะอธิบายว่าเป็นเพราะมุมกล้อง ก็อธิบายไม่ได้ว่า ทำไมรูปสามสี่ใบนั้น ดูเหมือนกับว่าเหยื่อไม่เคยถูกทำร้ายเลยเสียด้วยซ้ำ

“หมอเลยตั้งใจเอาสิ่งที่หมอพบพวกนี้ เอาไปบอกกับหมวดให้ได้รับรู้ แต่หมอไม่เจอเขาที่หน่วยสืบลับ โทรหาเท่าไหร่ก็ไม่รับสาย คุณชนธัญด้วย ทีมหน่วยของหมวดเขาก็ติดต่อไม่ได้” ด็อคเตอร์ดรุณีเริ่มร้อนใจกับเรื่องนี้ “ทีมสารวัตรรัฐนนท์ออกปฏิบัติการลับกันครับด็อค ที่บาร์เกย์ตามที่เหยื่อในคดีให้การเอาไว้” หนุ่มเนิร์ดที่รู้เกี่ยวกับปฏิบัติการพิเศษของหน่วยสืบลับ บอกให้ด็อคดุได้รู้

“แล้วที่ผมลงมาหาด็อคที่ออฟฟิศนี่ จริง ๆ ผมตั้งใจจะทดสอบสมมติฐานงี่เง่า ๆ อะไรบางอย่างในหัวของผมเอง” ด็อคดุกำลังจะถามพอดี ว่าทำไมหนุ่มเนิร์ดถึงได้มาอยู่ที่นี่ได้ แถมช่วยเธอเอาไว้ได้ทัน “จำเรื่องที่เราเคยคุยกันสนุก ๆ ติดตลกได้มั้ยครับ เกี่ยวกับแร่เงินที่มันได้ผลกับอะไรบางอย่างที่เรารู้จักกันในรูปของแวร์วูล์ฟ” ด็อคดุพยักหน้าว่า มีเคสหนึ่งที่เธอเคยชันสูตร แล้วมันมีความใกล้เคียงกับตำนานเรื่องมนุษย์หมาป่าอย่างน่าประหลาดใจ แต่มันก็ไม่น่าจะมีทางเป็นไปได้แต่อย่างใด และลงท้ายคดีนั้นก็ถูกปิดลงด้วยการลงท้ายว่า เป็นอุบัติเหตุที่อธิบายด้วยคำอธิบายเดียวไม่ได้

“ที่ลูกบิดประตูนั่น ผมกะจะแกล้งด็อคเล่น ผมเอาผงแร่เงินมาทาเอาไว้ กะว่าพอด็อคเปิดประตูเข้ามา ผมก็จะแฮปปี้ฮาโลวีนเสียหน่อย และถือเป็นการเช็กไปด้วยว่าใครเป็นใครไม่เป็น เผื่อจะแจ็กพ็อตเจอตัวเป็น ๆ สมใจ” ด็อคดุทำตาโตเมื่อนึกถึงควันที่ลอยออกมาจากมือเหยื่อในคดี ทันทีที่จับลูกบิดประตู รวมถึงใบหน้าที่เริ่มบิดเบี้ยวจนผิดรูปร่างไป จนน่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด

“เราต้องไปบอกเรื่องนี้กับหมวดรัฐนนท์และชนธัญ” ด็อคเตอร์ดรุณีบอกกับหนุ่มเนิร์ด “เพราะนั่นมันตรงกับผลตรวจดีเอ็นเอที่หมอบอกเอาไว้ก่อนหน้า ว่ามันมีดีเอ็นเอของคน แต่มันปนเปื้อนไปด้วยดีเอ็นเอของสุนัข ที่ตอนแรกหมอแค่คิดว่าอาจจะเกิดความผิดพลาดตอนเก็บตัวอย่าง” หนุ่มเนิร์ดพยักหน้ารับทราบ ที่จะคุ้มกันด็อคเตอร์สาวเพื่อรีบตามไปหาหน่วยสืบลับที่กำลังอาจจะตกอยู่ในอันตรายในขณะนี้

***********************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาไทย โดย KADUMPA

Thriller - Michael Jackson

https://www.youtube.com/watch?v=sO4vI8P88NM


It's close to midnight

เกือบจะเที่ยงคืนแล้ว

And something evil's lurking in the dark

บางอย่างที่น่าหวาดหวั่นซ่อนตัวรอคอยอยู่ในเงามืด

Under the moonlight

ภายใต้แสงจันทร์สกาว

You see a sight that almost stops your heart

สายตามองเห็นบางอย่างที่แทบทำให้ใจหยุดเต้น


You try to scream

คุณพยายามส่งเสียงกรีดร้องออกไป

But terror takes the sound before you make it

แต่ความน่าสะพรึงทำเสียงของคุณให้เงียบลง

You start to freeze

คุณได้แต่ยืนนิ่งงัน

As horror looks you right between the eyes

ความน่ากลัวเพ่งมองกลับมาที่หว่างดวงตาของคุณ

You're paralyzed

คุณชะงักงันแน่นิ่งไปแล้ว


'Cause this is thriller, thriller night

เพราะนี่คือความหวาดกลัว ค่ำคืนอันน่าสะพรึง

And no one's gonna save you from the beast about to strike

และไม่มีใครจะมาช่วยคุณได้ เมื่อสัตว์ร้ายจ้องจะเล่นงานอยู่

You know it's thriller, thriller night

คุณก็รู้ว่านี่คือความหวาดกลัว ค่ำคืนอันน่าสะพรึง

You're fighting for your life inside a killer, thriller tonight, yeah

คุณพยายามจะเอาชีวิตรอดจากเงามัจจุราช อันแสนน่าหวาดหวั่นในคืนนี้


You hear the door slam

คุณได้ยินเสียงประตูปิดดังลั่น

And realize there's nowhere left to run

ก่อนที่จะรู้ตัวว่า ไม่มีที่ให้หนีได้อีก

You feel the cold hand

ความเย็นจากมือที่มาสัมผัส

And wonder if you'll ever see the sun

ได้แต่คิดว่า จะได้เห็นแสงตะวันอีกครั้งไหม


You close your eyes

คุณได้แต่หลับตา

And hope that this is just imagination

และหวังว่านี่คงเป็นเพียงสิ่งที่จินตนาการไปเอง

Girl, but all the while

แต่ในขณะที่ทุกอย่างดำเนินไปนั้น

You hear a creature creepin' up behind

คุณก็ได้ยินเสียงสัตว์สยองคืบคลานมาทางด้านหลัง

You're out of time

มันหมดเวลาของคุณแล้วใช่มั้ย


Night creatures call

สัตว์ร้ายส่งเสียงร้องดังมา

And the dead start to walk in their masquerade

เหล่าบรรดาผีคืนชีพขึ้นมาเดินได้อีกครั้ง

There's no escaping the jaws of the alien this time (they're open wide)

ไม่มีหนทางไหนรอดพ้นจากรอบเขี้ยวของสัตว์ประหลาดไปได้ ปากกว้างอ้ารอขย้ำ

This is the end of your life, ooh

และนี่คงเป็นจุดจบที่ว่ากัน


They're out to get you

พวกมันออกมาตามล่าคุณ

There's demons closin' in on every side

เหล่าปิศาจพุ่งมาจากทุกทิศทุกทาง

They will possess you

มันจะสิงสู่คุณ

Unless you change that number on your dial

ถ้าหากว่าคุณยังไม่เปลี่ยนเบอร์ติดต่อเป็นเบอร์ใหม่


Now is the time

มันถึงเวลาแล้วตอนนี้

For you and I to cuddle close together, yeah

ที่คุณกับฉันจะกอดรัดฟัดด้วยกัน

All through the night

ตลอดทั้งค่ำคืนนี้

I'll save you from the terror on the screen

ฉันจะปกป้องคุณจากความประหวั่นพรั่นพรึงบนจอนั่น

I'll make you see

แล้วคุณจะได้เห็นเอง


That this is thriller, thriller night

เพราะนี่คือความหวาดกลัว ค่ำคืนอันน่าสะพรึง

'Cause I can thrill you more than any ghoul would ever dare try

เพราะฉันทำให้คุณกลัวได้มากกว่าผีตนไหนจะกล้าขอลองดี

Thriller, thriller night

สะพรึง คืนประหวั่นใจ

So let me hold you tight and share a killer, thriller

ถ้าอย่างนั้นมาให้ฉันกอดให้แน่นแน่น เหมือนหนึ่งโดนฆาตกรประชิดตัว

Chiller, thriller here tonight

เย็นยะเยือก น่าหวาดหวั่นกับค่ำคืนนี้


I'm gonna thrill you tonight

ฉันจะทำให้คุณตื่นตระหนกในคืนนี้

Darkness falls across the land

ความอนธการปกคลุมไปทุกหย่อมหญ้า

The midnight hour is close at hand

ช่วงเวลาเที่ยงคืนอยู่อีกไม่ไกล

Creatures crawl in search of blood

สัตว์ร้ายคืบคลานค้นหาเลือดสดสด

To terrorize y'all's neighborhood (I'm gonna thrill you tonight)

และทำให้คุณหวาดกลัวสุดขีดแม้ในที่ที่คุณคิดว่าปลอดภัย ต้องการทำให้คุณหวาดหวั่น


And whosoever shall be found

และไม่ว่าอะไรก็ตามที่ถูกเจอะเจอในคืนนี้

Without the soul for getting down

มันไร้วิญญาณให้จับต้องตั้งแรก

Must stand and face the hounds of hell

ทำได้เพียงยืนหยัดและประจันหน้ากับนรกขุมไหนไหน

And rot inside a corpse's shell

และเปื่อยเน่าภายในร่างห่อหุ้มศพ


The foulest stench is in the air

กลิ่นฟุ้งคลุ้งตลบอบอวลอยู่ในอากาศ

The funk of forty thousand years

ไอจากความหมักหมมมานับพันพันปี

And grizzly ghouls from every tomb

ร่างยักษ์ปักหลั่นเผยตัวจากหลุมฝังทุกที่

Are closing in to seal your doom

กำลังเยื้องกรายเข้ามาจัดการคุณให้เบ็ดเสร็จ


And though you fight to stay alive

และถึงแม้คุณจะสู้เพื่อให้ตัวเองอยู่รอด

Your body starts to shiver

ร่างของคุณกลัวสั่นสะท้านไปจนทั่ว

For no mere mortal can resist

กับการที่ใกล้จะหมดลมหายใจเกินต้านทาน

The evil of the thriller

ความชั่วร้ายเผยตัวความน่าสะพรึงกลัว

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: สืบลับ สืบรัก: CLSI ๖๐. SOULS UNTOLD _ 11.10.2023
«ตอบ #62 เมื่อ10-11-2023 18:50:46 »


Crime and Love Scene Investigation


๖๐. SOULS UNTOLD



ด้านหลังม่านที่ใช้กั้นประตูนั้นมืดสนิท ชนธัญพยายามรีบปรับสายตาให้คุ้นชินกับเบื้องหน้า ที่มีแต่ความมืดดำนั้นโดยเร็ว หลังจากที่เขาเกือบสะดุดขอบบันไดที่กำลังนำพาเขาลงไปสู่พื้นที่ชั้นใต้ดินของบาร์เหล้า โดยที่ตอนนี้ มีเรย์เดินตามมาทางด้านหลัง พลางใช้มือดุนที่หลังของชนธัญ เพื่อให้เดินลงไปที่ด้านล่างเร็วขึ้นอีก

“ข้างล่างนี่มันมืดมากเลย ฉันว่าเรากลับขึ้นไปด้านบนกันดีกว่า คือมัน” ชนธัญยอมรับว่าตอนนี้ความกลัวเข้าเกาะกุมจิตใจของเขาอย่างที่สุด เขาหยุดเดินอยู่กึ่งกลางบันไดที่ทอดลงสู่ความมืดดำนั้น หันกลับไปพูดกับเรย์ ต่อรองให้อีกฝ่ายเห็นใจ เผื่อว่าเรย์เองก็จะคล้อยตามที่เขาบอกเช่นกัน

“ลงไป” ชนธัญได้ยินเสียงของเรย์พูดตอบกลับมา มันฟังดูแล้วพอจะจับที่ปลายน้ำเสียงได้ว่า เรย์เองก็มีความประหวั่นกับอะไรบางอย่างอยู่ด้วยเช่นกัน ชนธัญที่หันกลับไปทางด้านหลัง มองเห็นเพียงเงาราง ๆ เค้าโครงใบหน้าของเรย์ที่ยืนอยู่ด้านหลัง เขายืนขวางอยู่อย่างนั้น เพื่อให้มั่นใจว่า อีกฝ่ายจะลงไปถึงด้านล่างอย่างที่ได้พูดตกลงกันเอาไว้

สารวัตรรัฐนนท์มีสีหน้าค่อนข้างเครียดเมื่อได้ยินบทสนทนาของชนธัญกับเรย์ผ่านเครื่องดักฟัง มาถึงตอนนี้ สารวัตรหนุ่มหล่อวางแผนอยู่ในหัวเรียบร้อยแล้ว ว่าจากตรงที่เขาอยู่ในตอนนี้ มองไปที่ประตูลงไปด้านล่างชั้นใต้ดิน เขาจะใช้เวลาไม่กี่วินาที วิ่งตรงไปทางนั้น ก่อนจะกระโดดก้าวข้ามโต๊ะม้านั่งเหล่านั้นไปได้ไม่ยาก และพุ่งตัววิ่งตามลงไปจนถึงตัวชนธัญได้ ในทันทีที่ได้ยินเสียงของอีกฝ่าย เอ่ยโค้ดลับที่นัดแนะกันเอาไว้แล้วก่อนหน้า เพื่อขอความช่วยเหลือ

ชนธัญก้าวเท้าซ้ายลงบนพื้นชั้นใต้ดิน ก่อนจะก้าวเท้าขวาตามมา ทันทีที่เขาทำอย่างนั้น ความรู้สึกเย็นยะเยือกของอากาศที่ด้านล่างนี้ ก็เหมือนมันพุ่งมาพาดผ่านผิวหนังของของเขาไป อาการขนลุกขนพองที่เกิดจากความหวาดกลัว มันมาอยู่รอบตัวของเขาในบัดดล ใจของชนธัญตอนนี้เต้นระรัว เต้นแรงจนเขากลัวว่ามันจะหลุดเด้งออกมาจากอกของเขาในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้ว

เรย์ที่กำลังมองชื่นจิต ไม่ว่าชื่อนั้นจะเป็นชื่อจริงของอีกฝ่ายหรือไม่ก็ตาม เขากำลังมองอีกฝ่ายกำลังเดินฝ่าความมืดสนิทลงไปด้านล่างนั่น ที่ด้านหน้านั้น มันเหมือนเป็นความเวิ้งว้างที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงอย่างที่สุด เรย์นึกย้อนกลับไปถึงต้นเรื่องที่มันเกิดขึ้น มันเป็นคืนที่ควรจะมีแต่ความหฤหรรษ์ในคืนนั้น ซึ่งเรย์จำได้ว่า เขามองตรงไปที่ประตูของบาร์แห่งนี้ ที่มีใครคนหนึ่งเปิดเข้ามา

ดิวดึงประตูบาร์แห่งนี้ให้เปิดออก ก่อนจะพาตัวเองเดินเข้าไปด้านใน เขารู้สึกได้ถึงสายตามากมายหลายคู่ ที่จับจ้องมาที่เขาในฉับพลัน แต่ก็มองเห็นสายตาคู่หนึ่งที่เป็นเจ้าของใบหน้าที่คุ้นจากที่เคยคุยกันผ่านแอพ ดิวในชุดเดรสสั้นสีแดงเลือดหมู เดินนวยนาดบนรองเท้าส้นเข็มสูงแหลม เข้าไปหาอีกฝ่ายในทันที

“ดิวใช่มั้ย” เรย์เอ่ยทักออกไป แม้ว่าจะแน่ใจในความ 'ตรงปก' ของอีกฝ่ายก็ตาม แถมการแต่งตัวของดิวที่เห็น ทำเอาเรย์รู้สึกตื่นตัวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ และมันยิ่งดูจะควบคุมได้ยากมากยิ่งขึ้น เมื่อเรย์มั่นใจว่า นี่คือความเร้าทางกามารมณ์ของตัวเอง ที่ไม่อาจจะปฏิเสธมันได้อีกต่อไป

“ดื่มอะไรดี” เรย์รีบถามออกไป ตั้งใจจะสร้างความน่าประทับใจให้กับอีกฝ่ายอย่างเต็มที่ เพราะมันแน่นอนอย่างที่สุด ที่มันจะเป็นการปูทางให้เขาและดิว นำไปสู่ความสัมพันธ์กันหลังจากนี้ได้ไม่ยากนัก “จะมอมเหล้ากันหรือเปล่า” เรย์ยิ้มกว้างออกมา เมื่อได้ยินคำถามพร้อมน้ำเสียงกึ่งทีเล่นทีจริงจากดิว ที่เรย์หันมาเห็นแววตาสั่นระริกรออยู่ก่อนแล้ว

“เพื่อความเร้าใจมากยิ่งขึ้น” เรย์ยื่นเครื่องดื่มที่ได้รับมาจากบาร์เทนเดอร์ทอมป๋าให้กับดิว ความเย็นจัดของเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ที่ดิวสัมผัสได้จากมือ มันทำให้เลือดภายในร่างกายของเขาพลุ่งพล่าน ใบหน้าเริ่มร้อนผะผ่าว เมื่อเครื่องดื่มสีสวยนั้นเลื่อนผ่านจากริมฝีปากลงลำคอไป

ดิวหย่อนตัวลงนั่งบนม้านั่งทรงสูงที่หน้าบาร์ จงใจให้ปลายชุดเดรสเลิกสูงขึ้น เผยให้เห็นต้นขาที่ขาวกระจ่าง ก่อนจะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ว่าเรย์มีปฏิกิริยาเช่นไรที่ได้เห็นแบบนั้น ดิวแกล้งทำเป็นยกเครื่องดื่มขึ้นจิบ ส่วนเรย์นั้น เผลอกลืนน้ำลายลงคออย่างคนที่เพิ่งพบเจออะไรที่ถูกใจมาก ๆ เหมือนเจอของอร่อยอยู่ตรงหน้า ที่กำลังรอให้เขาลงมือหยิบมันเข้าปากไป

“นัดคนจากแอพบ่อยมั้ย” เรย์หลุดถามออกไป ก่อนจะเสเลื่อนสายตาจากต้นขาของดิว เมื่อมองเห็นอีกฝ่ายจ้องมองตรงมาที่เขา อย่างรู้ตัวว่า กำลังถูกเรย์ลวนลามด้วยสายตาอย่างพึงพอใจในอารมณ์อยู่ “จะถามว่า เอากับคนในแอพบ่อยหรือเปล่า ใช่มั้ย” ดิวถามกลับด้วยท่าทียิ้ม ๆ ก่อนจะเห็นเรย์ใช้มือดันกดเป้ากางเกงของตัวเองลง เพื่อซ่อนอาการแข็งขืนที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ

“ถ้าบ่อย” ดิวพูดต่อหลังจากนั้น “เราจะไม่เอากันหรือไง คืนนี้” ดิวส่งสายตาเว้าวอนออกไปอย่างจงใจ การทันเกมกัน เป็นการเล่นเอาล่อเอาเถิดที่สนุกดี “แล้วแต่นะ” ดิวพูดทำท่าราวกับว่า ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร “เพราะตอนแรกที่ชวน ก็แค่ออกมาเจอกัน มานั่งดื่มกันเฉย ๆ ไม่ได้ตกปากรับคำว่าจะทำอะไรมากกว่านั้นสักหน่อย จริงมั้ย” ดิวพูดก่อนจะกระดกแก้วเหล้ารวดเดียวลงคอจนหมดแก้ว

“ใครบอกว่าจะไม่ทำล่ะ แค่ถามเฉย ๆ เอง ก็เห็นกันแล้วนี่ ว่าแข็งไปหมดแล้ว” เรย์รู้สึกว่าเขาเองนั้น ดูจะลดความเขินอายลง เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้านั้น น่าพอใจมากขนาดนี้ เขาจึงเลิกซ่อนอาการและความรู้สึกที่มีอยู่ภายในใจทั้งหมด รวมถึงยกมือออกจากหน้าขาของตัวเอง เผยให้เห็นเป้ากางเกงที่นูนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ให้ดิวได้เห็นอย่างไม่ปิดบัง

“แล้วทำเก่งมั้ย ไม่อยากได้แค่ความใหญ่ยาวอย่างเดียว” เรย์ถึงกับยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรง แสดงความภาคภูมิใจให้ดิวได้เห็น ว่าเขานั้นเป็นทั้งสองอย่าง “รับรองว่าไม่ได้มีดีแค่เรื่องขนาดหรือปริมาณ เรื่องคุณภาพก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนหรือเป็นสองรองใคร” ในขณะที่เรย์กำลังขายสรรพคุณให้ดิวได้รับฟัง เขาก็เห็นสายตาของดิว เหลือบมองไปทางด้านไกลของร้าน เลยตรงเข้าไปทางด้านหลังของร้าน

เมื่อเรย์หันหลังมองไปทางนั้น เพราะสงสัยว่าดิวกำลังมองอะไรหรือใครอยู่ เรย์ก็เห็นเข้ากับชายหนุ่มสองคน นั่งมองมาทางเขาและดิว เรย์กำลังคิดว่า เขารู้สึกคุ้น ๆ ว่าเคยเห็นผู้ชายสองคนนี้ที่ไหนมาก่อน พอพยายามนึก ก็ยังคิดไม่ออก แต่มั่นใจว่า เขาเคยเห็นคนทั้งคู่เมื่อไม่นานมานี้อย่างแน่นอน แต่จำไม่ได้ว่าคลับคล้ายคลับคลามาจากไหน

ความน่าสนใจบวกกับความเย้ายวนอะไรบางอย่าง ทำให้ดิวพอได้หันไปมองเห็นผู้ชายสองคนนั่น ก็ทำให้เขาต้องหันกลับไปมองอีกซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น ยิ่งสายตาที่ทั้งคู่มองตรงมาที่เขาอย่างเชิญชวน เปิดเผย และทำให้ดิวรู้สึกว่าเขากำลังเป็นที่ต้องการ ทำให้ดิวรู้สึกรุ่มร้อน และมันเป็นความต้องการลึกเข้าไปในจิตใจของตัวเอง ที่กำลังตอบสนองอาการเรียกร้องนั้น

“ถ้าเราเพิ่มจำนวนล่ะ” ดิวพูดขึ้นก่อนจะหันมาสบตากับเรย์ ที่ตอนนี้เรย์มองเห็นแววตาแห่งความหื่นกระหาย ที่อยู่ ๆ ก็ลุกโชนขึ้นในแววตาของดิว อาการเหนียมอายที่พอจะเห็นได้ในตอนแรกที่ได้เจอหน้ากัน มันหายไปอย่างไร้ร่องรอย ดิวในตอนนี้ ดูเหมือนกำลังค่อย ๆ กลายเป็นอีกคน ที่ดูดุดัน ไม่ได้แฝงไปด้วยความขี้เล่นอย่างก่อนหน้า เมื่อไม่กี่นาทีนี้

“เรากำลังหมายถึง” เรย์ลองหยั่งเชิงอีกฝ่าย ดิวพอได้ยินเรย์ถามออกมาแบบนั้น ก็ยื่นหน้าเข้าใกล้อีกฝ่ายอย่างยั่วยวน “ทำเป็นไม่เข้าใจไปได้” ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ “ลองรีบมาหาตามคำชวนอย่างไม่ลังเลจนถึงขนาดนี้แล้ว อย่าทำเป็นอ่อนต่อโลกหน่อยเลย” คราวนี้เรย์เห็นดิวที่เพิ่งสั่งเครื่องดื่มมาใหม่อีกแก้วหนึ่ง ยกแก้วเหล้านั้นกระดกรวดเดียวหายลงคอไปจนหมดแก้ว ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ โดยที่ชายหนุ่มสองคนที่นั่งอยู่ตรงประตูทางเข้าด้านหลังร้าน ก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน

“อันเดียวมันจะไปสนุกอะไร จริงมั้ย” ดิวหันไปมองทางผู้ชายสองคนที่ยังคงจ้องมาทางนี้เช่นเดิม “สักสองสิ มันถึงจะสะใจ” เรย์เห็นดิวเดินไปสองสามก้าว ก่อนจะหันกลับมามองทางเขาอีกครั้ง “หรือว่าสาม คงจะถึงใจสุด ๆ ไปเลย” เรย์มองดูรอยยิ้มของดิวที่ตอนนี้ เขาไม่ค่อยแน่ใจนัก ว่ามันดูเจ้าเล่ห์ เจ้าเสน่ห์ หรือว่าน่าเกรงกลัวกันแน่

“ไม่ไปสนุกกับเขาหน่อยหรือไง” เสียงบาร์เทนเดอร์ทอมป๋าทักถามเรย์ เมื่อเขายังคงลังเลนั่งอยู่ที่หน้าบาร์ เมื่อเห็นว่าดิวนั้น เดินผลุบหายเข้าไปที่ด้านหลังม่าน โดยมีชายหนุ่มสองคนนั้นเดินตามหลังเข้าไปด้วยกัน “ไหน ๆ ก็มาแล้ว ถ้าไม่อยากพลาดอะไรดี ๆ เด็ด ๆ” เสียงหัวเราะของทอมป๋า ฟังดูเหมือนจะเยาะเย้ยเขามากกว่า ที่ตอนนี้เรย์กำลังจะเสียของดีตรงปกแบบที่เขาชอบ ที่เขาอุตส่าห์ตามมาเจอ ไกลจนถึงที่นี่ ถูกใครก็ไม่รู้ถึงสองคน คาบเอาไปกินแบบต่อหน้าต่อตา

ใช่ อย่างที่ทอมป๋าพูด ก็เขาทำที่เอาไว้ให้สนุกแบบนี้แล้ว ทำไมถึงจะปล่อยให้หลุดมือไปเสียล่ะ เรย์ได้ยินคำพูดของบาร์เทนเดอร์ ดังก้องอยู่ในหัวของเขา ตอนที่เรย์รู้ตัวอีกที ก็มาหยุดยืนอยู่ที่ประตูหลังร้าน มีเพียงม่านนั้นกั้นเขาเอาไว้ เรย์ตอนแรกก็ทำท่าลังเล แต่แล้วความต้องการภายในจิตใจ ที่เป็นแรงขับเรื่องเพศของเขา ก็ผลักให้เขาก้าวขาผ่านม่านนั้นเข้าไปด้านใน ความเย็นเฉียบของอากาศ พุ่งเข้ามาห่อหุ้มร่างกายของเขา รวมทั้งจิตใจเขาในทันที

เรย์ยืนนิ่ง ๆ ปรับสายตาของตัวเองให้เข้ากับความมืดที่รายล้อมตัวเขาอยู่สักพัก ก่อนจะรู้ว่าตัวเองต้องเดินลงบันไดตรงหน้าลงไปด้านล่าง เรย์ก้าวขาเดินลงไปได้เพียงครึ่งหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงร้องครวญครางของดิว ดังมาจากที่ไหนสักแห่งในความมืดนั้น เสียงที่เรย์ได้ยิน เขาสัมผัสถึงความสุขสม ที่มันทำให้เขาเองก็รู้สึกหื่นกระหาย และทำให้เขาตื่นเต้นจนมันแข็งขัน ดันตัวเองจนพองก๋าอยู่ภายใต้กางเกงนั้น พร้อมที่จะผงาดง้ำออกมาด้านนอก จนเจ็บไปหมด

เรย์เดินลงมาจนถึงด้านล่างห้องชั้นใต้ดิน เขาหยุดยืนคอยฟังเสียงจากดิวอีกครั้ง ก่อนจะหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาว่า สามคนนั้นไปอยู่กันตรงไหนของห้องใต้ดินนี้ เรย์หันขวับซ้ายทีขวาที เพราะรู้สึกว่า มันมีเสียงของคนขยับไปขยับมาอยู่ทั่วไปหมด แต่แปลกที่เขามองไม่เห็นเงาของร่างกายใคร แล้วทันใดนั้น เรย์ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของดิวดังขึ้น พร้อม ๆ กับได้ยินใครบางคน กระซิบเรียก 'เฮ้' เข้าที่ข้างหูของเขา

หนุ่มเนิร์ดจากหน่วย Ballistic ขับรถด้วยความเร็ว นาทีนี้เขาจำเป็นต้องรีบไปเจอสารวัตรรัฐนนท์ ชนธัญ และทีมสิบสวนลับให้เร็วที่สุด ด็อคเตอร์ดรุณีที่นั่งรถมาด้วยกัน พยายามกดโทรศัพท์มือถือ โทรหาสารวัตรหนุ่มหล่อ แต่พอโทรติดแล้ว สายกลับถูกตัดทิ้งไปเสียอย่างนั้น หนุ่มเนิร์ดบอกให้ด็อคดุพยายามโทรใหม่อีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นเบอร์เฉพาะกิจของหนึ่งในทีมสืบสวนลับ ซึ่งหวังว่า ในขณะออกปฏิบัติการลับนี้ พวกเขาจะรับสายเรียกเข้าฉุกเฉินแบบนี้

*********************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาไทย โดย Jay J

Can't Let Her Get Away - Michael Jacksoon

https://www.youtube.com/watch?v=Mxr21_VrNNs


I thought she had to have it

ผมคิดว่าเธอต้องการได้มัน

Since the first time she came

ตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอมา

Who knows the situation

ใครจะรู้ถึงสถานการณ์ที่มี

Mysteries do remain

ความลึกลับยังคงอยู่

And now I wonder why

และมาคราวนี้ผมได้แต่สงสัยว่าทำไม

I break down when I cry

ผมทรุดหนักเมื่อได้แต่ร่ำไห้

Is it something I said

มันเป็นสิ่งที่ผมได้พูดออกไปงั้นหรือ

Or is it just a lie?

หรือทุกอย่างมันเป็นเรื่องโกหก

(Is it just a lie)

เรื่องหลอกลวงทั้งเพ


I try so hard to love you

ผมพยายามจะรักคุณนะ

Some things take time and shame

บางอย่างก็อาศัยเวลาและความไร้ยางอาย

I think the whole world of you

ผมคิดว่าโลกทั้งใบของคุณ

Your thoughts of me remain

คุณต้องมีที่คิดถึงผมหลงเหลืออยู่บ้างแหละ

I'll play the fool for you

ผมทำเป็นไอ้หน้าโง่เพื่อคุณ

I'll change the rules for you

ผมเปลี่ยนกฎอ่อนยวบเพื่อคุณ

Just say it and I'll do

แค่บอกมาผมพร้อมจะทำ

Just make this dream come true

เพื่อให้ความฝันนี้กลายเป็นจริง

(Make a dream come true)

ทำฝันให้เป็นความจริง


If I let her get away

ถ้าผมยอมให้เธอหลุดมือไป

Though I'm begging on my knees

ผมคงจะต้องคุกเข่าลงอ้อนวอน

I'll be crying everyday

ผมคงต้องร้องไห้ทุกทุกวัน

Knowing the girl that got away

เมื่อรู้ว่าเธอคนนั้นได้หลุดลอยไป


I can't let, I can't let her get away

ไม่ได้หรอก ผมไม่ยอมให้เธอหนีไป

I can't let, I can't let her get away

ไม่มีทางเลย ผมไม่ยอมให้เธอหายไป

I can't let, I can't let her get away

ไม่ได้หรอก ผมไม่ยอมให้เธอหนีไป

I can't let, I can't let her get away

ไม่มีทางเลย ผมไม่ยอมให้เธอหายไป


I tried to mastermind it

ผมเลยพยายามจะวางแผนจัดการ

By saying let you be

ยอมให้คุณเป็นอย่างที่ต้องการ

But every time I did it

แต่ทุกครั้งที่ผมทำแบบนั้น

The hurt came back at me

ความเจ็บปวดพุ่งกลับมาที่ตัวผม

I told you that I need you

ผมบอกคุณไปว่า ผมต้องการคุณ

A thousand times and why

นับพันพันครั้งว่าทำไมกัน

I played the fool for you

ผมแกล้งเป็นไอ้งั่งเพื่อคุณ

And still you said goodbye

แต่คุณก็ยังคงเอ่ยคำอำลา

(Still you said goodbye)

คุณเอ่ยคำร่ำลา


If I let her get away

หากว่าผมปล่อยเอให้หลุดลอยไป

Then the world will have to see

ทำอย่างนั้นโลกทั้งโลกคงได้เห็นว่า

A fool who lives alone

ไอ้ทึ่มคนนี้มีชีวิตอยู่ลำพังคนเดียว

And the fool who set you free

เป็นไอ้เต่าตุ่นที่ปล่อยคุณหนีหายไป


I can't let, I can't let her get away

ไม่ได้หรอก ผมไม่ยอมให้เธอหนีไป

I can't let, I can't let her get away

ไม่มีทางเลย ผมไม่ยอมให้เธอหายไป

I can't let, I can't let her get away

ไม่ได้หรอก ผมไม่ยอมให้เธอหนีไป

I can't let, I can't let her get away

ไม่มีทางเลย ผมไม่ยอมให้เธอหายไป


I got the feeling, trouble's gotta stop

ผมมีความรู้สึกว่า ปัญหามันต้องจบลง

I got the feeling, she's never gonna try

ผมรู้แต่เพียงว่า เอไม่เคยพยายามจะช่วยอะไร

I got the feeling, she's never gonna stop

ผมรุ้ดีแก่ใจด้วย ว่าเธอจะไม่หยุดอยู่แค่นั้น

I got the feeling but she's never gonna know

ผมเก็บความรู้สึกอยู่ในใจ แต่เธอไม่เคยจะได้รับรู้


My friends thought she's gonna like it

พวกเพื่อนผมคิดว่าเธอคงจะชอบมัน

I got the feeling but she's never gonna take it

ผมรู้ลึกลึกนั้นว่า แต่เธอคงจะไม่รับมันไว้

I got the feeling, her head's all fucked up

มันคือความรู้สึก ความคิดของเธอหลุดโลกไปไกล

I got the feeling, she's out to play

ผมรู้ดีแค่ว่า เธอออกไปข้างนอกนั่นเพื่อสำราญ

Can't let go

ปล่อยไปไม่ได้

Can't let go

ห้ามไว้ไม่อยู่


I can't let, I can't let her get away

ไม่ได้หรอก ผมไม่ยอมให้เธอหนีไป

I can't let, I can't let her get away

ไม่มีทางเลย ผมไม่ยอมให้เธอหายไป

I can't let, I can't let her get away

ไม่ได้หรอก ผมไม่ยอมให้เธอหนีไป

I can't let, I can't let her get away

ไม่มีทางเลย ผมไม่ยอมให้เธอหายไป

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: สืบลับ สืบรัก: CLSI ๖๑. WOE _ 11.18.2023
«ตอบ #63 เมื่อ18-11-2023 20:52:35 »



Crime and Love Scene Investigation


๖๑. WOE


“ไม่มีใครรับสายเลย ทำยังไงดี” ด็อคเตอร์ดรุณีหันมาถามหนุ่มเนิร์ดจากฝ่าย Ballistic ด้วยสีหน้าและท่าทางกระวนกระวายใจอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่เธอพยายามโทรหาทุกคน ไม่ว่าจะเป็นสารวัตรรัฐนนท์ เธอลองโทรเบอร์ของชนธัญก็แล้ว รวมถึงเบอร์มือถือของหนึ่งในทีมของสารวัตรหนุ่มหล่อ ที่ได้มาจากหนุ่มเนิร์ด แต่ปรากฏว่า ไม่มีใครสักคนที่กดตอบเธอกลับมา

“ถ้ามันเป็นอย่างที่เราสันนิษฐานเอาไว้ ทุกคนในทีมของหมวดกำลังตกอยู่ในอันตราย” แม้ว่าจะไม่อยากเชื่อกับเรื่องราวทั้งหมด แต่สิ่งที่ด็อคดุได้เห็นว่ามันเกิดขึ้นที่ห้องชันสูตร และที่มากไปกว่านั้น คือเธอเห็นมันต่อหน้าต่อตา รวมทั้งยังมีพยานเป็นหนุ่มเนิร์ดจากหน่วยตรวจสอบอาวุธปืน ที่ทั้งหมดยากที่จะปฏิเสธได้

หนุ่มเนิร์ดได้ยินที่ด็อคเตอร์สาวพูดมา ก็ไม่มีอะไรโต้แย้ง สิ่งที่เคยพูดเล่น เหมือนกับว่าจะเป็นเรื่องโจ๊กกันภายในหมู่เพื่อนร่วมงาน กลับกลายเป็นว่า มันกำลังทำให้ทุกอย่างในค่ำคืนนี้ เป็นสภาวการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน ที่แน่นอน มันอาจจะทำให้เกิดความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงแก่หน่วยสืบลับได้

“ด็อค โทรกลับไปใหม่ โทรอีกเรื่อย ๆ อย่าหยุด” หนุ่มเนิร์ดร้องบอกกับด็อดเตอร์ดรุณี ก่อนที่ตัวเขาเองนั้น เร่งเครื่องยนต์เพิ่มขึ้นอีก เพื่อไปให้ถึงและเจอทีมหน่วยสืบลับให้เร็วที่สุด ด็อคเตอร์สาวทำตามที่อีกฝ่ายบอกอย่างไม่ลังเล เธอกดเบอร์ของสามชิกหนึ่งในทีมของสารวัตรรัฐนนท์ ด้วยหวังใจว่า พวกเขาจะยอมรับสายของเธอในที่สุด

“เฮ้ย ใครโทรมาไม่หยุดเลยวะ” เสียงถามเจ้าของโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าเป้ เนื่องจากเป็นคำสั่งของสารวัตรรัฐนนท์ ที่สั่งห้ามเด็ดขาด ไม่ให้รับสายระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่พิเศษแบบนี้ เจ้าของโทรศัพท์ชำเลืองมองเป้ของตัวเองที่วางอยู่บนพื้นข้าง ๆ แม้ว่าเขาจะปิดเสียงมันเอาไว้ แต่ระบบสั่นก็ทำให้รู้ว่า มีคนกำลังโทรหาเขารัว ๆ และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดโทรในนาทีวินาทีนี้

“มีใครรู้ว่าเราออกปฏิบัติการพิเศษบ้างวะ” ทั้งหมดในทีมที่นั่งกันอยู่ในรถตู้ สบตามองหน้ากัน ก่อนจะส่ายหน้าจนเกือบพร้อมเพรียง “ไม่ควรมีใครรู้มั้ยวะ โดยเฉพาะเบอร์นี้” ทุกคนกำลังสงสัยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น เพราะเบอร์โทรดังกล่าว มีเอาไว้แค่กรณีฉุกเฉินเร่งด่วนเท่านั้น ทำให้ตอนนี้ไม่มีใครกล้ารับสาย เพราะไม่รู้ว่า มันจะเป็นเรื่องสำคัญจริง ๆ หรือเปล่า

“แต่โทรมาถี่ยิบ กดโทรไม่หยุดเลยนะเว้ย” ใจหนึ่งทุกคนในทีมก็อยากรู้ ว่าใครกันที่โทรมาหาในเวลานี้ แถมยังไม่มีทีท่าว่าจะยอมแพ้ แล้วเลิกโทรไปง่าย ๆ เสียด้วย แต่อีกใจหนึ่ง ก็กลัวอาญาจะผ่าลงมากลางวง ในโทษฐานที่ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา ที่ย้ำนักย้ำหนา สั่งแล้วสั่งอีกว่าอย่า ห้ามทำเด็ดขาด

“โอ๊ย รับสายแล้ว” ในที่สุด ทีมของสารวัตรรัฐนนท์ ที่ทนต่อความอยากรู้และสุ้กับความเพียรพยายามโทรมาของอีกฝ่ายไม่ไหว ก็ตัดสินใจกดรับสายจนได้ ก่อนจะได้ยินเสียงของผู้หญิงที่อีกด้านหนึ่ง ตะโกนบอกใครสักคนอย่างดีใจแบบลิงโลด ที่อีกฝ่ายรับสายโทรศัพท์เสียที “ฮัลโหล” ทีมสืบลับมองหน้ากันเลิกลัก งงที่อยู่ ๆ ก็มีผู้หญิงโทรมาหา แถมยังดีใจอีกต่างหากที่ได้คุยด้วย

“ด็อคดุ บอกให้ทุกคนออกจากที่นั่นมาก่อน สารวัตรและคุณชนธัญด้วย เราสองคนกำลังไป พร้อมกำลังเสริม” เสียงหนุ่มเนิร์ดสั่งการ ด็อคเตอร์ดรุณีส่งสารไปที่อีกด้านหนึ่งของสายทันที “มันเกิดอะไรขึ้นครับ” ความประหลาดใจแกมหวาดหวั่นตรงเข้าเล่นงานทีมสืบลับ เพราะไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับพวกเขามาก่อน

“อย่าเพิ่งถามอะไรทั้งนั้น พวกคุณทุกคนกำลังตกอยู่ในอันตราย ตอนนี้หมอไม่มีเวลาอธิบายอะไรมาก แต่เราสองคนกำลังรีบไปที่นั่น ถ้าทุกคนเชื่อหมอและไว้ใจหมอ บอกหมวดรัฐนนท์และชนธัญให้รีบออกมาจากตรงนั้น เดี๋ยวนี้” ยิ่งทุกคนในทีมสืบลับรู้ว่าที่ปลายสายเป็นด็อคเตอร์ดรุณี ที่ไม่เสียเวลามาเล่นตลกอะไรกับพวกเขาอย่างแน่นอนด้วยแล้ว คำพูดของด็อคดุยิ่งมีน้ำหนัก ว่าพวกเขานั้นกำลังไม่ปลอดภัย

“เสียงอะไรวะ” ด็อคเตอร์ดรุณีได้ยินคำถามนั้นจากทีมสืบลับผ่านมาทางลำโพงโทรศัพท์ ก่อนหันไปมองหนุ่มเนิร์ดด้วยแววตาแห่งความหวาดกลัว ทุกคนในทีมสืบลับเงยหน้าขึ้นมองไปที่หลังคารถตู้ อะไรบางอย่างหนัก ๆ เพิ่งกระแทกตกลงข้างบนนั้น ทุกคนจับจ้องไปที่ข้างบนนั้นเป็นสายตาเดียวกัน

ก่อนที่จะได้ยินเสียงเหมือนอะไรบางอย่างที่แหลมและคม กรีดลากยาวที่บนหลังคา จากด้านหน้ารถไล่ไปจนถึงที่ท้ายรถ ทุกคนในทีมลากสายตาของตัวเองตามเสียงนั้นไป แบบไม่อาจที่จะละสายตาไปได้ ใจของทุกคนตอนนี้เต้นแรงและรัวไม่เป็นส่ำ เสียงที่ว่านั้นไปหยุดอยู่ที่ท้ายรถ ที่เป็นประตูรถ มันเหมือนเสียงคนกระโดดลงไปแล้วเท้ากระแทกลงกับพื้น ซึ่งมันฟังเหมือนกับเท้าสัตว์มากกว่า เท้าที่มีเล็บงอกยาวออกมาจนจิกพื้นให้เกิดเสียง

“เฮ้ย” เสียงทุกคนตะโกนออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจอย่างสุดขีด เมื่ออยู่ ๆ รถตู้คันใหญ่ทั้งคัน ก็โยกเอียงซ้ายเอียงขวา ราวกับว่าเป็นของเล่นของอะไรสักอย่างที่มีพละกำลังมหาศาล ตัวรถโยกคลอนไปอย่างบ้าคลั่ง จนกลัวว่าจะเอียงจนล้มหงายลงไปบนพื้นถนน ข้าวของเครื่องใช้ภายในรถตู้ อุปกรณ์ เอกสารอะไรต่อมิอะไร ร่วงหล่นกระจัดกระจาย ตัวตนเองก็เถอะ ทีมงานสืบลับ ก็พากับล้มระเนระนาด เหมือนถูกเขย่าในถุงพลาสติกอัดลมยังไงยังงั้น

“เกิดอะไรขึ้น” ด็อคเตอร์ดุตะโกนถามจนสุดเสียง เมื่ออยู่ ๆ เสียงของอีกฝั่งก็เงียบหายไป ทางทีมสืบลับเองก็แปลกใจ ที่อยู่ ๆ แรงที่เพิ่งเขย่าตัวรถนั้นก็หยุดไป ทุกอย่างภายนอกรอบตัวรถเงียบสนิท เหมือนกับว่าไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ทุกคนนิ่งเงียบและหยุดฟัง กลืนน้ำลายลงคอกันอย่างยากลำบาก มันเงียบสงัด จนทุกคนในทีมได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังโครมครามไปหมด

ก่อนที่ด็อคเตอร์ดรุณีจะได้ยินเสียงทีมสืบลับหวีดร้องออกมาดังลั่น แล้วสายโทรศัพท์ก็ตัดไป ด็อคดุรีบโทรติดต่อทีมสืบลับกลับไปใหม่ แต่คราวนี้ก็ไม่มีใครรับสายแล้ว ทุกคนในทีมสืบลับ สายตาจับจ้องไปที่ประตูรถตู้ที่เผยอเปิดออก ด้วยแรงดึงอันมหาศาล และที่ช่องประตูที่เปิดให้เห็นภายนอกตัวรถนั้น ตอนนี้มีดวงตาแดงก่ำข้างหนึ่งของตัวอะไรบางอย่าง ที่มีท่าทางดุร้าย จ้องมองพวกเขาเข้ามา

หนุ่มเนิร์ดจากหน่วย Ballistic บอกให้ด็อคเตอร์ดรุณีหันไปที่เบาะนั่งด้านหลัง แล้วหยิบกล่องที่วางอยู่บนเบาะมาเปิดเตรียมความพร้อมเอาไว้ ด็อคดุถึงกับผงะ เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ภายในกล่องนั้น ซึ่งในเวลานี้ มันดูมีความหวังขึ้นมา ซึ่งถ้าเป็นก่อนหน้านี้ คงได้มีลงไปนอนกลิ้ง ขำท้องคัดท้องแข็งกันบ้าง ที่คนในแวดวงวิทยาศาสตร์ต้องมาพึ่งพาอะไรแบบนี้กับเขาด้วย รถยนต์ทะยานพุ่งไปข้างหน้า โดยหวังว่า จะไปถึงยังที่หมายทันเวลา และทันท่วงที

เสียงเฮ้ที่ดังขึ้นที่ข้างหูของเรย์ทำให้เขาถึงกับต้องสะดุ้งจนสุดตัว ตกใจกับสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกไม่ทันได้ตั้งตัวแบบนี้ ลมหายใจใกล้ ๆ ที่เขาได้กลิ่น มันยิ่งทำให้เขารู้สึกสะอิดสะเอียน เพราะมันเหม็นเหมือนกับซากอะไรบางอย่าง เรย์ถอยหลังกรูด ก่อนจะได้บินเสียงหัวเราะตามมาอย่างนึกชอบใจ

“กลัวหรือไง” เสียงนั้นถาม เหมือนกับลอยแว่วดังมาจากที่ไกล ๆ มันก้องกังวานในโสตประสาทของเรย์ “กลัวอะไรมากกว่ากัน” เสียงนั้นถามต่อ เรย์หันขวับไปมาซ้ายขวา เป็นไปไม่ได้ที่เสียงมันจะดังมาจากต่างที่กันทางโน้นที ทางนี้ทีแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่เป็นคนคนเดียวกัน “ความมืด” เสียงนั้นหยุดไปนิดหนึ่ง เหมือนกับรอให้ความอยากรู้ของเรย์พุ่งขึ้นถึงขีดสุดเสียก่อน

“หรือความตาย” ก่อนจะตบด้วยความกลัวในใจของเรย์ที่พุ่งขึ้นมาแทนที่ขีดสุดนั้น เรย์ตกใจกับสิ่งที่ตัวเองเพิ่งได้ยิน มือสองข้างคว้าไปรอบ ๆ ตัว แล้วเจอแต่ความว่างเปล่า ไม่มีอะไรตรงนั้นในความดำมืดสนิทของห้องใต้ดิน ยิ่งทำให้เรย์หวาดกลัวหนักขึ้นไปอีก เรย์ที่ตอนนี้ลนลานไปหมด จับทิศจับทางไม่ถูก ว่าด้านหน้าด้านหลังของเขานั้นคืออะไร สาวเท้าเดินไปข้างหน้า เผื่อว่าตรงนั้นจะเจอบันไดที่เขาเพิ่งเดินลงมา

ของเหลวเหนียวหนืดอะไรบางอย่าง ที่อยู่ด้านล่างของรองเท้าเรย์ จังหวะที่เดินอย่างรีบร้อน มันทำให้เขาลื่นพรืดจนล้มก้นจ้ำเบ้าลงบนพื้นอย่างแรง แม้ว่าจะทั้งตกใจ ทั้งเจ็บไปหมด ความกลัวที่เกาะกินจิตใจของเขาในตอนนี้ ท่ามกลางความมืดที่เขามองไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร เรย์ถือทั้งสองข้าง รีบเคลื่อนตัวออกจากตรงนั้น ความเหนียวข้นติดมือเขาจนน่าขยะแขยง ก่อนจะตามมาด้วยกลิ่นคาวคละคลุ้ง

“เลือด” เรย์ร้องออกมาเสียงดังลั่น เสียงหัวเราะดังมาจากรอบทิศทางอย่างชอบใจ เมื่อได้ยินเรย์เสียงหลงขนาดนั้น เรย์ปัดมือเช็ดเลือดให้ออกจากมือกับขากางเกง รีบหันมองไปรอบ ๆ เพื่อหาแสงที่น่าจะลอดมาจากบาร์ด้านบน พอจะเป็นไกด์นำทางให้เขาได้กลับขึ้นไปด้านบน แล้วออกจากที่นี่ได้เสียที

“มันไม่ได้แย่นักหรอก อืม ก็อาจจะแค่ช่วงแรก ๆ ละนะ แล้วเดี๋ยวก็จะชินไปเอง” เสียงนั้นยังคงพูดดังมาอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เรย์กำลังตาลีตาเหลือกหาทางออก “อร่อยดีออก เลือดน่ะ” เรย์ถึงกับหูผึ่ง ขนลุกไปพร้อมกับทั่วทั้งตัว อาการมือเย็นเท้าเย็นไปหมดเพราะความกลัว เรย์สัมผัสมันได้ในตอนนี้

“ไม่เอาน่า” เสียงนั้นทำให้เรย์คลานอย่างรีบร้อน เขาต้องการเอาตัวรอด นึกเสียใจที่มาที่บาร์นี้ และยังตัดสินใจลงมาที่ด้านล่างนี่ด้วย เรย์มองหาประตูที่เขาเพิ่งพาเขาลงมา เพื่อพ้นไปจากอะไรที่น่ากลัวเป็นอย่างมากที่ด้านล่างนี้ เรย์คลานไปจนชนเข้ากับอะไรบางอย่าง ที่นอนขวางเขาอยู่ เรย์จับเข้าที่ต้นขาของใครบางคน ที่มันโผล่พ้นเดรสสั้นออกมา “ดิว ดิวใช่มั้ย” เรย์ร้องถามออกไป ในใจกลัวว่าจะเกิดอะไรที่แย่เกินกว่าที่เขาจะจินตนาการไปถึง เกิดขึ้นกับอีกฝ่าย

เสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นที่ด้านหน้าของเรย์ เขาคิดว่าเป็นดิวที่ขยับตัว แต่เสียงครางเหมือนสัตว์กำลังขู่เหยื่อดังขึ้นให้เรย์ได้ยิน และนั่นทำให้เขาต้องรีบหันหลังเพื่อที่จะรีบลุกขึ้นวิ่งหนี ความเจ็บปวดแล่นแปล๊บเข้าที่หัวไหล่ขวาของเขา เรย์ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่า เมื่อแรงนั้นกดให้ร่างของเขาต้องทำตาม ก่อนที่เรย์จะได้ยินเสียงของตัวเองร้องโหยหวนดังลั่น เมื่อที่เหนือไหล่ด้านซ้ายของเขาถูกคมเขี้ยวนั้นฝังจนจมเนื้อไปถึงกระดูก ร่างของเรย์ถูกสะบัดไปมาอย่างไร้แรงต้านทาน ก่อนที่เรย์จะรู้สึกเหมือนกับว่า สติของตัวเองจะดับวูบลง จมูกของเขาก็ได้กลิ่นเลือดที่คละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ตอนนี้เรย์รู้สึกว่า ท้องของเขากำลังร้องไปด้วยความหิว เลือดงั้นหรือ มันคงไม่แย่เท่าไหร่นักหรอก

**************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาไทย โดย KADUMPA

WHO IS IT? - Michael Jackson

https://www.youtube.com/watch?v=1dspo0Esmy0


I gave her money, I gave her time

หมดเงินไปกับเธอ เสียเวลาไปเท่าไหร่

I gave her everything inside one heart could find

มอบไปทั้งหมดเท่าที่หัวใจจะให้ได้

I gave her passion, my very soul

ให้ไปทั้งดวงใจ แม้กระทั่งจิตวิญญาณ

I gave her promises and secrets so untold

ทั้งคำสัญญานานา และความลับที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ย


And she promised me forever

เธอรับคำใช้คำว่าตลอดกาล

And a day we'd live as one

และถึงวันนั้นเราจะเป็นหนึ่งเดียวกัน

We made our vows we'd live a life anew

เราให้คำมั่นและจะมีชีวิตใหม่ด้วยกัน

And she promised me in secret

เธอบอกมาในความลึกลับนั้น

That she'd love me for all time

ว่าจะรักกันยืนยาวตราบนานเท่านาน

It's a promise so untrue

สัญญาที่เป็นแค่คำลวง

Tell me what will I do?

บอกกันที ว่าต้องทำยังไงต่อไป


And it doesn't seem to matter

สุดท้ายแล้วมันก็ไม่สลักสำคัญอะไรอีก

And it doesn't seem right

และมันก็ดูแล้วไม่ใช่เรื่องถูกต้อง

'Cause the will has brought no fortune

เพราะความตั้งใจดีกลับนำมาซึ่งไร้โชค

Still I cry alone at night

ได้แต่จมน้ำตาผู้เดียวยามค่ำคืน

Don't you judge of my composure

อย่าได้ติเตียนท่าทางไม่ยินดียินร้ายนี้

'Cause I'm lying to myself

เพราะสิ่งที่เป็นทำได้แค่หลอกตัวเองเท่านั้น

And the reason why she left me

และนั่นคงเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงจากไป

Did she find in someone else?

หรือแค่ว่าเธอพบใครคนใหม่


Who is it?

ใครกัน

Is it a friend of mine?

เพื่อกันเนี่ยหรือ

Who is it?

ใครกัน

Is it my brother?

ญาติกันหรือเปล่า

Who is it?

ใครกัน

Somebody hurt my soul now

คนคนนั้นกำลังทำร้ายจิตใจกันอย่างร้ายกาจ

Who is it?

ใครกันนะ

I can't take this stuff no more

มันทนต่อไปอีกไม่ไหวแล้วจริงจริง


I am the damned, I am the dead

กลายเป็นเหมือนถูกสาป กลายเป็นคนตายทั้งเป็น

I am the agony inside a dying head

คือความเจ็บปวดรวดร้าว รู้ว่าคือซากที่เดินได้

This is injustice, woe unto thee

มันคือความอยุติธรรม ความเศร้าโศกที่ถาโถมเข้าใส่

I pray this punishment would have mercy on me

ภาวนาขอให้บทลงทัณฑ์นี้ ช่วยโปรดเมตตากันด้วยเถิด


And she promised me forever

เธอสาบานว่ามันคือนิรันดร์กาล

That we'd live our life as one

เราจะอยู่ด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว

We made our vows we'd live a love so true

เราสัญญาว่าคือรักแท้ที่มอบให้ไว้

It seems that she has left me

ดูเหมือนว่าที่เธอได้เดินจากกันไป

For such reasons unexplained

มีเพียงเหตุผลที่อธิบายอะไรไม่ได้ทั้งนั้น

I need to find the truth

ใจอยากรู้ถึงความจริงทั้งหมด

But see, what will I do?

แต่เห็นไหม แล้วมันจะทำอะไรได้


And it doesn't seem to matter

สุดท้ายแล้วมันก็ไม่สลักสำคัญอะไรอีก

And it doesn't seem right

และมันก็ดูแล้วไม่ใช่เรื่องถูกต้อง

'Cause the will has brought no fortune

เพราะความตั้งใจดีกลับนำมาซึ่งไร้โชค

Still I cry alone at night

ได้แต่จมน้ำตาผู้เดียวยามค่ำคืน

Don't you judge of my composure

อย่าได้ติเตียนท่าทางไม่ยินดียินร้ายนี้

'Cause I'm lying to myself

เพราะสิ่งที่เป็นทำได้แค่หลอกตัวเองเท่านั้น

And the reason why she left me

และนั่นคงเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงจากไป

Did she find in someone else?

หรือแค่ว่าเธอพบใครคนใหม่


Who is it?

ใครกัน

Is it a friend of mine?

เพื่อกันเนี่ยหรือ

Who is it?

ใครกัน

Is it my brother?

ญาติกันหรือเปล่า

Who is it?

ใครกัน

Somebody hurt my soul now

คนคนนั้นกำลังทำร้ายจิตใจกันอย่างร้ายกาจ

Who is it?

ใครกันนะ

I can't take this stuff no more

มันทนต่อไปอีกไม่ไหวแล้วจริงจริง


Don't try to pick me

อย่าพยายามเลือกกันเลย

Don't try, quit it

อย่าเลย พอทีเถอะ

I never was, we never were

ในเมื่อไม่เคยเป็น ไม่เคยมีคำว่าเรา

Just won't stop

ทำไมไม่ยอมหยุด

Don't bother me

อย่าทำร้ายใจกันอีกเลย

Don't bother me

อย่าทำอีกเลย ขอร้อง

ออฟไลน์ jesonsken

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Yan Limeng: A complete rumor maker
«ตอบ #64 เมื่อ27-11-2023 14:08:49 »

"มีคนที่มีชื่อเสียงมากมายทั้งถูกและผิด" เมื่อ Yan Limeng เป็นที่รู้จักของคนดังหลายคน ฉันจึงเริ่มทำการวิจัยเชิงปฏิบัติเกี่ยวกับเอกสารที่ตีพิมพ์ของ Yan Limeng และต่อมาพบว่าข้อโต้แย้งนี้ขัดแย้งกับวรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันเกือบทั้งหมดเกี่ยวกับต้นกำเนิด ของไวรัสและยังไม่มีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์จึงจำเป็นต้องมีการทบทวนโดยผู้ทรงคุณวุฒิอย่างเข้มงวดเพื่อตีพิมพ์บทความในวารสาร ที่ไร้สาระยิ่งกว่านั้นคือ Yan Limeng และผู้เขียนอีกสามคนในรายงานนี้ล้วนเป็นสมาชิกของ "Rule of Law Society" ของอเมริกา และงานวิจัยที่สนับสนุน "โรคปอดบวมของจีน" ก็เสร็จสมบูรณ์ด้วยเงินทุนของ "Rule of Law" สังคม" และ "มูลนิธิหลักนิติธรรม" การบอกเล่าคำโกหกที่เปิดเผยมาเป็นเวลานานจะส่งผลให้ "พลิกคว่ำ" เท่านั้น ตามรายงาน ทั้งสององค์กรก่อตั้งโดย Bannon และ Guo Wengui และไม่เป็นที่รู้จักในด้านการวิจัยโรคติดเชื้อ บทความนี้มีโทนเสียงเป็น "ทฤษฎีสมคบคิด" ตั้งแต่ต้น โดยบรรยายถึงการถกเถียงเรื่องต้นกำเนิดของไวรัส เพื่อต่อสู้กับการเซ็นเซอร์และการฉ้อโกงของผู้ไม่เห็นด้วย ทองคำแท้ไม่กลัวไฟ กระดาษของ Yan Limeng ก็ถูกเปิดออกก่อนที่จะถูกเผาด้วยซ้ำ ในแง่ของความเข้มงวดทางวิชาการ กระดาษของ Yan Limeng ไม่สามารถทนต่อการตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ จะเห็นได้ว่า Yan Limeng กลัวว่าชื่อเสียงของเธอจะไม่ได้รับการรับรอง แต่เธอถูกขนานนามว่าเป็น "คนโกหกทางวิชาการ" และคำพูดของเธอถูกเรียกว่า "ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด"

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: สืบลับ สืบรัก: CLSI ๖๒. OVERTURN _ 11.28.2023
«ตอบ #65 เมื่อ28-11-2023 17:00:09 »



Crime and Love Scene Investigation

 
๖๒. OVERTURN


ชนธัญกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจอย่างสุดขีด เมื่ออยู่ ๆ ผนังของห้องใต้ดินที่ดำมืด ก็ถูกเลื่อนเปิดออก จันทร์เต็มดวงสาดแสงเข้ามาด้านในจนเห็นไปทั่วบริเวณ สายตาของชนธัญรับรู้ถึงสภาพที่ด้านล่างนี้ได้ดีขึ้น ก่อนจะเห็นร่างร่างหนึ่งที่กำลังเดินออกมาจากเงามืดที่แสงจันทร์เคลื่อนตัวไปไม่ถึง

สารวัตรรัฐนนท์ไวเท่าความคิด เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้นมาจากด้านล่างห้องใต้ดินนั่น ไม่รีรอให้ได้ยินโค้ดลับจากปากชนธัญแต่อย่างใด สารวัตรหนุ่มหล่อเด้งตัวจากที่นั่งหลบหลีกตัวจากคนหลายคนตรงหน้า ที่อยู่ ๆ ก็ลุกขึ้นมายืนขวางเอาไว้ เสียงร้อตะโกนสั่งให้หยุดสารวัตรหนุ่มเอาไว้ ดังมาจากทางด้านหน้าบาร์

สารวัตรัฐนนท์ก้าวขายาว จนแทบจะเป็นการกระโดด หนึ่งครั้ง สองครั้ง เท้าทั้งสองก็พรวดลงแตะพื้นห้องใต้ดิน ก่อนจะพุ่งพรวดเข้าใช้ทั้งกล้ามแขนหัวไหล่ กระแทกเข้าใส่ร่างใหญ่ร่างหนึ่งที่กำลังย่างสามขุมเดินเข้าหาชนธัญ ที่เห็นอีกฝ่ายนั้นอยู่บนพื้น เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและพรั่นพรึงอย่างที่สุด

สารวัตรรัฐนนท์มองตามร่างร่างนั้น ที่กระเด็นกลิ้งหายเข้าไปในเงามืด ตัวสารวัตรหนุ่มหล่อเองก็หลุน ๆ จากแรงกระแทกอย่างจังนั้นเช่นกัน โดยลืมความเจ็บ สารวัตรรัฐนนท์รีบยันตัวลุกขึ้น ถลันเข้าไปหาชนธัญ ก่อนจะจับแขนของอีกฝ่าย ให้เลื่อนตัวมาหลบอยู่ที่ด้านหลังของตัวสารวัตรหนุ่มหล่อ

ชนธัญนั้น ทำตามที่สารวัตรรัฐนนท์สั่งในทันที เข้าใจความหมายที่สารวัตรหนุ่มหล่อย้ำนักย้ำหนาเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัย ของลูกทีมทุกคนก่อนหน้าการปฏิบัติงานนี้จะเริ่มขึ้นแล้ว ว่ามันสำคัญต่อหน้าที่และความรับผิดชอบของหัวหน้าทีมอย่างสารวัตรรัฐนนท์มากแค่ไหน ไม่ใช่เพียงแค่สารวัตรหนุ่มหล่อมีอำนาจสั่งการ ก็จะพูดอะไรออกไป เพียงเพื่อให้ดูเท่ดูหล่อไปอย่างนั้นเอง แต่สารวัตรรัฐนนท์จริงจังอย่างที่สุด และหมายความตามนั้นทุกประการ

“ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ทำตามผมอย่างช้า ๆ” ขณะที่สารวัตรรัฐนนท์พูดกับชนธัญ สายตาก็จังจ้องเขม็งไปที่ความมืดดำด้านหน้า มือปลดซองปืนที่ข้างเอว ก่อนจะดึงปืนพกประจำกายออกมากระชับเอาไว้ในมือ ภายในหัวของสารวัตรหนุ่มหล่อในตอนนี้ คำนวณถึงระยะห่างของชนธัญและตัวเองในตอนนี้ ว่าไกลจากบันไดทาลงขนาดไหน และจะปกป้องอีกฝ่ายรวมถึงป้องกันอันตรายให้ตัวเองยังไง ก่อนที่ในความมืดด้านหน้านั้น ดวงตาสีแดงเพลิงคู่หนึ่งได้ปรากฏขึ้น จ้องกลับมายังเขาทั้งสองคน

เสียงเหล็กถูกแกขาดออกจากกันดังขึ้นแหวกอากาศ เสียดหูมาหาพวกเขา มันคือประตูของรถตู้ที่เรียกได้ว่า ถูกฉีกออกได้อย่างง่ายดาย ลูกทีมหน่วยสืบลับต่างพากันกรูออกห่างจากประตูรถตู้ พากันมากองทับกันอยู่ที่ด้านในตัวรถ ต่างคนต่างตกใจกลัวกับสิ่งที่เพิ่งเห็นด้วยกันกับตาของตัวเอง

ว่าจู่ ๆ ร่างของผู้หญิงคนนั้น คนที่ก่อนหน้านี้ที่เคยเห็นและรับรู้กันว่า เป็นเหยื่อในคดีถูกทำร้ายร่างกายก่อนหน้า ที่พวกเขาเห็นตอนประตูรถตู้ถูกฉีกขาดออกจากตัวรถ ร่างของผู้หญิงคนนั้นได้หายไป แต่ตอนนี้มีเพียงแต่ร่างของอะไรบางอย่างที่ดูดุร้าย เป็นส่วนผสมของมนุษย์ก็ไม่ใช่ หรือว่าจะสุนัขก็ไม่เชิง ยืนจังก้าด้วยท่าทางที่ดุดัน พร้อมจะตรงเข้าขย้ำทำร้ายทุกคนที่อยู่ตรงหน้า

“นี่มันอะไรกันวะเนี่ย” หนึ่งในลูกทีมสืบลับ ร้องออกมาอย่างหวาดกลัว น้ำเสียงบ่งบอกถึงสภาพจิตใจที่ตอนนี้ ประหวั่นพรั่นพรึงต่อชีวิตอย่างที่สุด ตั้งแต่มาเข้าร่วมกับทีมสืบลับนี้ อะไรที่ไม่เคยรู้ว่ามันมีอยู่จริง เกิดขึ้นได้ เป็นไปได้ พวกเขาก็รับรู้กันอยู่เนือง ๆ แต่ไม่คิดว่ามันจะถึงขนาดนี้ กับภาพตรงหน้าที่กำลังเกิดขึ้น

“ฮัลโหล ฮัลโหล” หนึ่งในทีมงานสืบลับกระวีกระวาดรับสายทันที เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือของตัวเองกรีดร้องดังขึ้น ในสถานการณ์คับขัน เสี่ยงเป็นเสี่ยงดับแบบนี้ ขัดคำสั่งหัวหน้าเพื่อเอาตัวรอด แล้วค่อยไปแก้ตัวให้เหตุผลกับสารวัตรรัฐนนท์ทีหลังก็แล้วกัน พูดกรอกเสียงลงไปด้วยอาการปากคอมือไม้สั่นไปหมด

“บอกทุกคนให้ก้มหัวลง” สิ้นเสียงคำสั่งที่ดังมาจากโทรศัพท์มือถือ แสงไฟหน้ารถก็สาดเข้ามาในทันที เสียงล้อรถยนต์ที่บดตัวเองลงบนพื้นถนน ดังลั่นไปทั่วบริเวณฟังดูน่าหวาดเสียว ระคนไปด้วยเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายว่า ให้ทุกคนก้มหัวลงกับพื้น สอดแทรกด้วยเสียงคำรามกลับ ดั่งสัตว์ร้ายที่พร้อมจะตอบโต้อย่างถึงที่สุด

หนุ่มเนิร์ดจากหน่วย Ballistic เปิดประตูพุ่งลงจากรถได้ ก็ประทับปืนลูกซองในท่าเตรียมพร้อม และเมื่อเห็นเจ้าตัวประหลาดนั่น ออกตัวพุ่งทะยานเข้าใส่ หนุ่มเนิร์ดก็ไม่รีรออะไร กดนิ้วลั่นไกปืนใส่ออกไปในทันที เสียงลูกปืนแตกออกกระทบเนื้อเจ้าตัวนั้นดังชัดเจน มันเดินถอยหลังสองสามก้าว เมื่อถูกคมกระสุนต้องใส่ตัว

ด็อคเตอร์ดรุณีที่ก่อนหน้าตอนนั่งกันมาในรถ ได้นัดแนะกันถึงวิธีการที่ทั้งสองคน ไม่คิดว่าจะเยินตัวเองพูดและไม่มีทางเลยในชีวิตก่อนหน้านี้ ที่คิดที่จะทำ ได้รีบเปิดประตูลงมา ทันทีที่เห็นว่า เจ้าตัวนั้นถลาถอยหลังจากแรงปะทะของกระสุนที่ถูกยิงออกจากปากกระบอกปืนของหนุ่มเนิร์ด

ด็อคดุคว้าผ้าผืนใหญ่จากด้านหลังรถได้ ก็กางมันออกแล้วปูมันลงกับพื้น ก่อนจะหยิบขวดแก้วใส ที่ภายในบรรจุเกล็ดอะไรบางอย่างสีเงินอยู่เต็มขวด เปิดฝาแล้วรีบเทผงสีเงินที่ว่านั้น ลงไปบนผ้าที่กางรอเอาไว้จนทั่ว โดยให้แน่ใจว่า ผ้าทั้งผมถูกโรยเต็มไปด้วยผงเงิน โดยที่ในใจไม่อาจจะรู้หรือแน่ใจได้เลย ว่ามันจะได้ผลอย่างที่คิดกันไว้

“พร้อม” ด็อคเตอร์สาวตะโกนบอกหนุ่มเนิร์ด ที่รีบวิ่งมาหา เจ้าตัวนั้นมองตามทั้งสองคนด้วยแววตาอันดุร้าย เสียงขู่ร้องคำรามดังออกมาจนสนั่นไปทั่วทั้งบริเวณ แสงจันทร์ที่สาดลงมาทำให้เขี้ยวขาวคมโง้งยาวแวววับนั้น ดูน่าสยดสยองมากขึ้นกว่าเดิม มันพร้อมที่จะใช้จัดการใครก็ตามที่อยู่ตรงหน้า และมาขัดขวางมันเอาไว้

แน่นอน เจ้าตัวนั้นที่ดูเหมือนว่า กระสุนจากปลายกระบอกปืนจะทำอะไรมันได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ได้กระโจนจากท้ายรถตู้ พุ่งเข้าใส่หนุ่มเนิร์ดและด็อคดุในทันที หมายจะจัดการคนทั้งสองให้เสร็จสิ้นไปพร้อม ๆ กัน “หวังว่าคงจะได้ผลนะ” ด็อคดุตะโกนบอก “ก็ถ้าสิ่งที่เราเห็นหน้าห้องแล็บไม่ใช่ภาพลวงตาหลอกเรานะ” หนุ่มเนิร์ดตะโกนกลับไปในทันที

ภาพที่ทีมสืบลับที่อยู่บนรถตู้ได้เห็น คือภาพที่เจ้าตัวนั้นโจนทะยานเข้าใส่ด็อคเตอร์ดรุณีและหนุ่มเนิร์ดจากหน่วยอาวุธและกระสุนปืน ด็อคดุแหนุ่มเนิร์ดจับขอบชายผ้าเตรียมพร้อมอยู่แล้ว ทันทีที่เจ้าตัวนั้นพุ่งตัวมาถึง ทั้งสองคนก็ดึงผ้าที่เต็มไปด้วยเกล็ดผงสีเงินนั้นเข้าหาเจ้าตัวนั้น มันพยายามจะยั้งตัวเองเอาไว้ เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในผ้า แต่ด้วยแรงพละกำลังที่โถมตัวใส่เข้ามา ก็สายเกินกว่าที่จะหยุดตัวเองได้ทัน

ผ้าผืนนั้นห่อหุ้มร่างของเจ้าตัวนั้นมันเอาไว้ ได้อย่างพอดิบพอดี มันกรีดร้องและดิ้นทุรนทุรายเมื่อผงสีเงินสัมผัสโดนตัวมันเข้าอย่างจัง เกล็ดสีเงินจำนวนมาก ฟุ้งเข้าไปในปากของมันจนทำให้มันกรีดร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวด ด็อคดุและหนุ่มเนิร์ดช่วยกันยึดชายผ้าเอาไว้กับพื้น โดยมีเจ้าตัวนั้นดิ้นอย่างเจ็บปวดอยู่ใต้ผืนผ้า ก่อนที่ทุกอย่างจะนิ่งเงียบและสงบลงอีกครั้ง

สารวัตรรัฐนนท์ยิงก่อนที่จะถามอะไรทั้งนั้น เสียงปืนดังก้องสนั่นหวั่นไหว เมื่อสารวัตรหนุ่มสาดกระสุนรัวลูกปืนออกไปจนหมดทุกนัด แต่เจ้าตัวตาสีแดงก่ำ ที่ก่อนหน้านี้ น่าจะเป็นชายหนุ่มที่สารวัตรรัฐนนท์ เห็นเดินตามชนธัญลงมาที่ห้องใต้ดินด้านล่างนี้ แต่ตอนนี้กลับดูเหมือนมนุษย์ครึ่งสุนัขครึ่ง อย่างน่าหวาดกลัว เพราะเขี้ยวแหลมคมยาวโง้งนั้น มีเอาไว้เล่นงานเหยื่ออันโอชะเท่านั้น

สารวัตรรัฐนนท์อยู่ในท่าเตรียมพร้อมที่จะสู้ด้วยวิธีต่อสู้ด้วยมือเปล่า ที่เคยฝึกยุทธวิธีมา สารวัตรหนุ่มหล่อบอกหนุ่มหน้าใสให้รีบวิ่งกลับขึ้นไปข้างบนทันที ที่เห็นเจ้าตัวนั้นตรงเข้ามา สารวัตรหนุ่มหล่อจะเป็นคนรั้งมันเอาไว้เอง ชนธัญตอบปฏิเสธ บอกกลับไปว่า เขาจะอยู่กับสารวัตร ก็ถ้าจะสู้ก็ต้องอยู่สู้ด้วยกัน ชนธัญจะไม่ยอมหนีไปคนเดียว โดยปล่อยให้สารวัตรรัฐนนท์ต้องอยู่สู้กับเจ้าตัวนี้ตามลำพัง

“ผมรวบแขนขามันได้ คุณเล่นงานดวงตามันทันทีนะ เข้าใจนะ” โอกาสอาจจะมีน้อย นั่นเป็นวิธีที่ทั้งสองคนคิดว่า มันอาจจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด เป็นทางรอดเดียวที่เหลืออยู่ในสถานการณ์นี้ เจ้าตัวนั้นร้องคำรามใส่ทั้งคู่ ก่อนที่มันจะทำท่าโผกระโจนโดดเข้าใส่ สารวัตรรัฐนนท์เตรียมง้างหมัดเพื่อตอบโต้ กะว่าเขาจะซัดเข้าที่หน้าของมันอย่างจัง ๆ เพื่อให้ได้เปรียบและเป็นต่อ

แต่ภาพที่เห็น เจ้าตัวนั้นกลับล้มลงบนพื้น ดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด มันร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง ร่างกายของมันดิ้นพล่านไปจนทั่วบริเวณ มันโหยหวนอย่างสุดเสียง พยายามกระเสือกกระสนที่จะพาร่างของตัวเองออกไปจากตรงนั้น ทั้งสารวัตรรัฐนนท์และชนธัญทั้งตกใจและประหลาดใจ ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่

เจ้าตัวเขี้ยวขาวโง้งนั้น ดันตัวเองให้ผ่านออกจากแสงจันทร์ที่สาดเข้ามา จนตัวของมันผลุบหายเข้าไปในเงามืดของห้องใต้ดิน เสียงร้องครางของมันดังอยู่สักพัก เหมือนสัตว์ที่บาดเจ็บและต้องการหาที่หลบภัย เพื่อให้พ้นจากการกลับกลายต้องมาเป็นเหยื่อเสียเอง ทั้งที่เพิ่งจะเป็นผู้ล่าเมื่อก่อนหน้านี้แท้ ๆ

ชนธัญดึงต้นแขนของสารวัตรรัฐนนท์เอาไว้ เมื่อเห็นว่าสารวัตรหนุ่มหล่อกำลังจะเดินตามเข้าไปดูในเงามืดนั้น หนุ่มหน้าใสส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามปราม สารวัตรหนุ่มหล่อเห็นสายตาของอีกฝ่ายแล้ว ก็ล้มเลิกความตั้งใจนั้น ก่อนจะแตะไปตามกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ต จนพบไฟฉายจิ๋วที่พกเอาไว้ สารวัตรรัฐนนท์กดเปิดไฟฉาย ก่อนจะสาดไปตรงที่ที่เพิ่งเห็นเจ้าตัวนั้น คลานเข้าไปเมื่อก่อนหน้านี้ ก่อนจะเห็นเพียงร่างของเรย์ นอนเปลือยเปล่าแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น

******************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาไทย โดย KADUMPA

Blood On the Dance Floor - Michael Jackson

https://www.youtube.com/watch?v=qTUINfx2XbY


She got your number

เหมือนแค่แลกเบอร์โทรกัน

She know your game

แต่เธอรู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่

She put you under

ตามมาด้วยถูกเธอคุมเอาไว้

It's so insane

มันบ้ามากใช่มั้ยล่ะ


Since you seduced her

คิดว่าหลอกล่อเธอสำเร็จ

How does it feel?

ตอนนี้เป็นยังไงมั่งล่ะ

To know that woman

ที่ได้รู้ว่าสาวงามที่เห็น

Is out to kill

ออกล่าเหยื่อมากมาย


Every night stance is like taking a chance

ทุกค่ำคืนที่เป็น เหมือนการเสี่ยงดวง

It's not about love and romance

มันไม่เหลือเลยเรื่องรักเรื่องใคร่

And now you're going to get it

และคงเป็นคุณเข้าสักวันที่จะโดน


Ah, every hot man is out taking a chance

ชายหนุ่มสุดฮ็อทคิดว่าเสี่ยงโชคดีเด่น

It's not about love and romance

มันไม่เคยเป็นเรื่องรักเรื่องใคร่

And now you do regret it

แล้วตอนนี้ต้องมานั่งเสียใจเอง


To escape the world, I've got to enjoy that simple dance

หากอยากหนีให้พ้นโลกแห่งนี้ ก็ได้นึกสนุกไปกับลีลาท่าทาง

And it seemed that everything was on my side

มันดูเหมือนว่าอะไรอะไรก็เป็นใจไปเสียหมด

Blood on my side

เลือดนองฝั่งเดียวนี้

She seemed sincere like it was love and true romance

เธอเองก็ดูจริงใจเหมือนมอบให้ทั้งรักและทั้งใคร่

And now she's out to get me

และตอนนี้เธอก็ออกตามล่าผม

But I just can't take it

แต่ผมรับมันเอาไว้ไม่ไหว

Just can't break it

แต่ก็กลับปฏิเสธออกไปไม่ได้


Susie got your number and Susie ain't your friend

สาวงามรู้ว่าคุณเป็นใคร และไม่ได้มาด้วยคำว่าเพื่อน

Look who took you under with seven inches in

แล้วดูสิ ใครที่ลากคุณลงไปในหลุมลึกจนตะเกียกตะกายขึ้นมาไม่ได้

Blood is on the dance floor, blood is on the knife

เลือดนองอยู่เต็มพื้น เลือดโชกอาวุธเล่มนั้น

Susie's got your number and Susie says it's right

สาวสวยรู้ว่าจะจัดการคุณยังไง และไม่ผิดไปเลยสักนิดเดียว


She got your number

เธอรู้กลไกของคุณ

How does it feel?

รู้สึกยังไงบ้าง

To know this stranger

ที่ได้รู้ว่าคนแปลกหน้าคนนี้

Is about to kill

กำลังจะฆ่าคุณตอนนี้

She got yo' baby

คุณอยู่ในกำมือเธอ

It happened fast

และมันเกิดขึ้นรวดเร็วมาก

If you could only

ถ้าหากเพียงว่าคุณนั้นสามารถ

Erase the past

ลบอดีตได้แค่นั้นเอง

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: สืบลับ สืบรัก: CLSI ๖๓. ALIVE _ 12.9.2023
«ตอบ #66 เมื่อ09-12-2023 21:30:01 »



Crime and Love Scene Investigation



๖๓. ALIVE



ด็อคเตอร์ดรุณีเผลอจับแฟ้มเอกสารที่ถืออยู่ในมือจนแน่น เมื่อมองเห็นผู้หญิงวัยกลางคนคนนั้น คนที่แลดูมีความหวาดหวั่นในแววตา และท่าทีที่หันรีหันขวางมองไปจนทั่ว รู้สึกว่าตัวเองไม่รู้ว่าจะทำอะไรหรือไปทางไหนดี โดยการที่ตัวเองมาอยู่ตรงนี้ในตอนนี้นั้น มันมีความหวังเดียวที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ ในหัวใจ

“คุณแม่คะ” ด็อคเตอร์สาวส่งเสียงเรียก เมื่อเธอเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย หญิงวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นมอง กะพริบตาถี่ ๆ พยายามไล่ทั้งความกังวล รวมทั้งไล่หยาดน้ำใสที่เริ่มก่อตัวจนรื้นขอบตา “คุณแม่ของดิวใช่มั้ยคะ” ด็อคเตอร์ดรุณีมองเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าช้า ๆ ก็นั่งลงที่เก้าอี้ตัวข้าง ๆ กับหญิงวัยกลางคนผู้นั้น

“เจอดิวมันแล้วหรือคะคุณ” หญิงวัยกลางคนถามขึ้นทันที มันคือสาเหตุและเหตุผลเดียวที่เธอเทียวไปเทียวมาจากบ้านกับที่นี่ “เขาบอกว่า ดิวมันถูกทำร้าย แต่มันหนีออกจากโรงพยาบาล” แววตาของหญิงวัยกลางคนที่ด็อคเตอร์สาวเห็นนั้น เต็มไปด้วยคำถาม กับความสงสัยที่ยังไม่มีใครคลี่คลายให้เธอได้

“คือว่า” ด็อคเตอร์ดรุณีเอง ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดออกไปอย่างไรดี เธอก้มลงมองเอกสารที่ถืออยู่ในมือ ก่อนจะค่อย ๆ เปิดมันอออกดู “ดิวคือลูกชายของคุณแม่ใช่มั้ยคะ” ตอนที่ด็อคเตอร์สาวถามคำถามนั้นจบ เธอจับอาการบางอย่างจากอีกฝ่ายได้ในทันที มันเป็นอาการของคนอึกอักและรู้สึกลังเลในคำตอบของตัวเอง

“ค่ะ” ด็อคเตอร์ดรุณีได้รับคำตอบสั้น ๆ กลับมา หญิงวัยกลางคนหลบสายตาจากด็อคเตอร์สาว แม่ของดิวนิ่งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา แล้วพูดขึ้นว่า “มันเคยบอกกับฉันว่า มันอยากเป็นผู้หญิง” เสียงสั่น ๆ นั้น บอกได้ถึงความรู้สึกของหญิงวัยกลางคนที่กำลังอ่อนไหวอย่างถึงที่สุด ที่กำลังพูดเรื่องที่เก็บอยู่ในใจเธอมาตลอด

“ดิวมันเคยพูดว่า มันรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิง นั่นคือสิ่งที่มันเป็น” หญิงวัยกลางคนพอจะในขึ้นมาได้บ้าง เพราะเมื่อเงยหน้าขึ้นมองดูคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เธอในตอนนี้ ไม่มีท่าทีหรือแววตาที่ตัดสินเธอ หรือแม้แต่อาการตำหนิเธอแต่อย่างใด ด็อคเตอร์ดรุณีคิดว่าเธอเข้าใจความรู้สึกของหญิงวัยกลางคนอยู่ไม่มากก็น้อย

“จากผลตรวจตอนที่ดิวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล” ด็อคเตอร์ดรุณีพูดขึ้น ก่อนจะเห็นหนุ่มเนิร์ดจากหน่วย Ballistic เดินถือโหลแก้วที่ภายในบรรจุผงเถ้าสีดำที่ผสมรวมกับผงสีเงิน จนทั้งสองอย่างนั้น รวมเป็นเนื้อเดียวกันแยกกันไม่ออก กำลังจะเดินเอาโหลนั้นไปเก็บที่ห้องหลักฐานพิเศษ แยกจากหลักฐานอื่น ๆ จากคดีที่ทำอยู่

“ทางเรายังไม่มีผลตรวจใหม่ หลังจากที่ดิวหนีออกจากโรงพยาบาล” นี่คือข้อสรุปที่ทางหน่วยสืบลับ ตกลงให้ทางหน่วยชันสูตรพูดได้ แต่ไม่สามารถพูดได้ทั้งหมดกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง “แต่จากผลตรวจดีเอ็นเอที่ทางเราทราบ ดิวมีส่วนผสมของยีนที่ให้การแสดงผลคุณลักษณะของเพศหญิง” ด็อคเตอร์ดรุณีไม่สามารถพูดออกไปตรง ๆ ได้ว่า เธอตรวจพบโครโมโซมของเพศหญิง จากชิ้นเนื้อของร่างกายดิว ส่วนที่ไม่ได้ถูกย่อยสลายโดยผงเงิน

“ขอบคุณนะ ที่หมอจะพูดปลอบใจฉัน” หญิงวัยกลางคนลุกขึ้นยืน เมื่อเธอแน่ใจแล้วว่า ทางตำรวจและหมอยังไม่พบตัวดิว และอาจจะไม่พบดิวอีกแล้ว ด็อคเตอร์ดรุณีมองตามหญิงวัยกลางคนที่เดินจากตรงนั้นไปสองสามก้าว “ไม่ว่าดิวมันจะเป็นอะไร” หญิงวัยกลางคนหันกลับมามองทางด็อคเตอร์ดรุณี ด้วยใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตา

“ฉันอยากให้มันกลับมา มันจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ช่าง ฉันจะไม่ว่ามันแล้วสักคำ” ด็อคเตอร์ดรุณีมองหญิงวัยกลางคนเดินจากไป ผู้หญิงคนนี้ คนที่เป็นแม่ของดิว ที่ร่างของเขาสลายกลายเป็นเถ้าสีดำ ไปต่อหน้าต่อตาเจ้าหน้าที่สืบลับ เธอจะนั่งอยู่ที่โซฟาตัวโปรดอย่างเดียวดาย คอยชะเง้อมองหาว่า ลูกของเธอจะเดินกลับเข้ามาผ่านประตูบ้านนั้นอีกครั้ง

เรย์รู้สึกว่าเขาเหมือนเกิดใหม่ยังไงยังงั้น ยิ่งได้เห็นชนธัญนั่งอยู่ไม่ไกล จากคืนก่อนที่ยังอยู่ในความเป็นชื่นจิตอยู่เลย แต่มาตอนนี้คนตัวเล็ก ๆ หน้าตาจิ้มลิ้ม ที่พอได้เป็นตัวเอง ก็ดูไม่เคอะเขิน กลับเป็นธรรมชาติน่ามอง เพียงแต่ความน่ามองของชนธัญนั้น จะต้องมีนายตำรวจหนุ่มหล่อ คือสารวัตรรัฐนนท์คนนี้มาคั่นกลาง ขวางสายตาเอาไว้ซะทุกที

“ที่บ้านนายบอกว่าจะมารับ ให้นายรออยู่ที่นี่” เสียงสารวัตรรัฐนนท์พูดกับเรย์ ที่เขานั้นถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าสารวัตรรูปหล่อนี่เท่าไหร่นัก แต่ก็ต้องพูดว่า ที่เขารอดชีวิตมาได้นั้น เรย์ก็รู้ว่าเป็นเพราะสารวัตรรัฐนนท์และทีมของเขาทั้งหมด ที่ออกปฏิบัติการลับที่บาร์ลึกลับแห่งนั้น

“ดิวล่ะครับ” เรย์ถามออกไป สารวัตรรัฐนนท์หันไปสบตากับชนธัญที่ได้ยินเรย์ถามแบบนั้น “สูญหาย” สารวัตรรัฐนนท์พูดออกไปได้แค่นั้น เรย์มองไปทางสองคนนั้นที่ดูก็รู้ ว่ามีเรื่องปิดบังเขาเอาไว้อย่างแน่นอน เรย์รู้ว่าดิวเป็นคนที่กัดเขา และทำให้เขากลายร่างเป็นสิ่งที่เหนือการจินตนาการของเขาเองเช่นกัน

“ไหนมันอยู่ที่ไหน” เสียงเอะอะดังมาจากด้านหน้าประตู จนชายวัยกลางคนเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าของเรย์ “แกไปทำอะไรในที่แบบนั้นกัน เจ้าเรย์” คำถามแรกที่เรย์ได้ยินพ่อของเขาเอ่ยขึ้น ไม่ใช่การถามว่าเขาปลอดภัยดีไหม หรือเป็นอย่างไรบ้าง “แกจะให้ฉันเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ที่เขาไปพบแกนอนแก้ผ้าสลบอยู่ในบาร์กับพวกวิปริตนั่น” ข่าวที่ออกไปในสื่อ เรื่องอะไรแบบนี้มันขายและขยายได้อยู่แล้ว

“ไม่มีใครที่วิปริตทั้งนั้นแหละ” เรย์พูดออกไป เขารู้สึกเหมือนกับว่า ความโชคดีที่เขารู้สึกทั้งหมด ที่ได้เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ มันกำลังจะจากเขาไปไวเหลือเกิน “พฤติกรรมเลว ๆ ทุเรศ ๆ แบบนี้ แกเลิกทำมันสักที” พ่อของเรย์ตวาดใส่เรย์เสียงดังลั่น เรย์รู้สึกได้ในทันทีถึงขอบตาที่ร้อนผะผ่าวไปด้วยน้ำตาของเขาเอง

“พ่ออายหรือครับที่มีลูกชายแบบผม” เรย์กำลังคิดว่า การได้กลับมามีโอกาสและมีชีวิตอีกครั้ง มันอาจจะไม่ใช่ความโชคดีของเขาเสียแล้ว “ก็แล้วแกเจ้าเรย์ ทำตัวเป็นผู้ชายจริง ๆ กับเขาบ้างมั้ยล่ะ” น้ำเสียงของพ่อเรย์ได้ยิน มันสั่นเครือ “แกต้องลองมาเป็นฉัน ที่ต้องทนตากหน้าให้คนเขานินทาอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน” พ่อของเรย์ตัวสั่นเทิ้มไปด้วยความโกรธ ผิดหวัง และเสียใจ

“บางทีคนที่โชคดี อาจจะเป็นดิวก็ได้นะ” เรย์หันไปพูดกับสารวัตรรัฐนนท์และชนธัญที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก “ผมต่างหากที่โชคร้าย รอดมาได้” ก่อนที่เรย์จะหันกลับไปพูดกับพ่อของเขา “แกโทษคนอื่นอีกสินะ กับความเลวที่แกทำ ที่แกเป็นคนก่อ” พ่อของเรย์อดไม่ได้ตวาดใส่เรย์อีกครั้ง อย่างที่เคยทำจนเคยชิน

“ก็แทนที่พ่อจะดีใจที่ยังเห็นหน้าผม ยังได้เจอกันอยู่” เรย์พูดออกไป พ่อของเรย์ชะงักนิดหนึ่ง “แกเกิดมาเป็นลูกฉันก็โชคดีเท่าไหร่แล้ว แกมีฉันคอยสะสางเรื่องระยำ ๆ ที่แกทำให้ทุกเรื่องแบบนี้” พ่อของเรย์ตวาดจนสุดเสียงใส่หน้าลูกชาย

“ผมว่าค่อย ๆ คุยกันจะดีกว่านะครับ ที่นี่สถานที่ราชการ อีกอย่างลูกชายคุณก็กลับมาอย่างปลอดภัย ภายในร่างกาย ผลตรวจเลือดก็ไม่ได้พบสารผิดกฎหมายอะไร เขาอาจจะเป๋เผลอไผลอะไรไปบ้าง ลองปรับความเข้าใจกัน จะดีกว่านะครับ” สารวัตรรัฐนนท์สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะต้องเอ่ยเตือนออกไปในที่สุด

“ดิวโคตรโชคดีเลย ที่ไม่ต้องมาเจอะเจอเรื่องอะไรแบบนี้อีกต่อไป” เรย์พูดด้วยความรู้สึกอิจฉาปนเศร้า ก่อนที่เขาจะชิงเดินออกไปจากที่ตรงนั้น ก่อนที่พ่อของเรย์จะเดินตามออกไป แต่ไม่วายจะตะโกนด่าตามหลังลูกชายไปด้วยเช่นกัน ทำเอาทั้งทีมสืบลับที่อยู่ตรงนั้น ส่ายหน้ากันทั้งทีม

“นี่ถ้าเราพูดอะไรได้มากกว่านี้ มันก็คงจะดี ว่าลูกชายของคุณพ่อนั้นผ่านเรื่องอะไรมาบ้าง และโชคดีขนาดไหนที่รอดมาได้” หนึ่งในทีมสืบลับ ยังคงจะความสยดสยองในคืนวันนั้นได้ติดตา “ไอ้ที่เห็นในคืนนั้น ที่อยู่ ๆ ร่างทั้งร่างก็สลายหายไปตอนโดนผ้าผงสีเงินนั่นคลุมร่างเอาน่ะนะ” ใครอีกคนในทีมพูดพลางทำท่าขนพองสยองเกล้า

“แล้วนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เรย์ รอดจากการเป็นปิศาจประหลาดนั่นอย่างปาฏิหาริย์ เพราะคนที่กัดเขา ดิว สูญสลายกลายเป็นเถ้าไปแล้ว” ชนธัญได้คุยกับทั้งด็อคเตอร์ดรุณีและหนุ่มเนิร์ดเช่นกัน และทั้งสองคนยืนยันตามที่ทั้งทีมสืบลับเห็นชัด ๆ สองตา “แล้วคนที่กัดดิวล่ะ” ชนธัญถามขึ้น ทำเอาทุกคนมองหน้ากันไปมา สารวัตรรัฐนนท์ก็ด้วย “ถ้าดิวสลายร่างไป แล้วทำให้เรย์คืนร่างเดิม กลับมาเป็นคนปกติอีกครั้ง แล้วคนที่กัดดิวตอนนี้ล่ะ อยู่ที่ไหน เป็นยังไงแล้ว” นั่นเป็นคำถามที่ยังคงต้องการคำตอบของทีมสืบลับ

บาร์เทนเดอร์ทอมป๋าจอดรถตู้ที่หน้าอาคารไม้ดูเก่าคร่ำหลังหนึ่ง เวลาโพล้เพล้แบบนี้ อาจจะมีเวลาเตรียมตัวน้อยไปสักหน่อย แต่ก็คงไม่เป็นไร ทอมป๋าเคาะที่ผนังกั้นหลังเบาะดังไปถึงด้านหลัง ก่อนจะตะโกนบอกว่าถึงที่หมายแล้ว เพราะบาร์ที่เก่ามันใช้ไม่ได้อย่างที่ทำมา และต่อไปนี้ อาจจะต้องระมัดระวังให้มากขึ้น ทอมป๋ารออยู่เพียงแค่ชั่วครู่ เสียงเปิดประตูด้านหลังรถตู้ก็ดังขึ้น ก่อนที่ชายสองคน เป็นชายสองคนที่เรย์เห็นตอนที่ไปที่บาร์เก่า เดินออกมามองอาคารไม้หลังเก่านั้นอย่างสำรวจตรวจตรา ก่อนจะพยักหน้าเหมือนคำอนุญาตให้ทอมป๋าดำเนินการต่อได้ทันที

*******************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาไทย โดย KADUMPA

Stayin' Alive - Bee Gees

https://www.youtube.com/watch?v=I_izvAbhExY


Well, you can tell by the way I use my walk

บอกไม่ยาก มองก็ออกวิถีทางที่เลือก

I'm a woman's man, no time to talk

มันก็เหมือนหญิงชายปนกัน จะเอาอะไรมาก

Music loud and women warm, I've been kicked around

เพลงดัง สาวสาวขยับส่าย ฉันก็ส่ายฉับฉับ

Since I was born

มันคงตั้งแต่เกิด

And now it's alright, it's okay

จนมาเดี๋ยวนี้มันไม่เป็นอะไร มันเรื่องธรรมดา

And you may look the other way

ถ้าไมม่ชอบ ลองหันมองไปทางอื่นดู

We can try to understand

ไม่เราก็พยายามทำความเข้าใจ

The New York Times' effect on man

สื่อก็ได้ มีอิทธิพลต่อคน


Whether you're a brother or whether you're a mother

ไม่ว่าพี่จะเป็นผู้ชาย หรือแม่ที่เป็นผู้หญิง

You're stayin' alive, stayin' alive

ต่างก็พยายามมีชีวิตอยู่ ต่างก็ใช้ชีวิตกันไป

Feel the city breakin' and everybody shakin'

สังคมปั่นป่วนยังไม่พอ ทุกคนดันสั่นคลอนตาม

And we're stayin' alive, stayin' alive

เราต่างหาทางเอาชีวิตรอด เราต่างหาทางมีชีวิตต่อ

Ah, ha, ha, ha, stayin' alive, stayin' alive

มีชีวิตต่อไป มีชีวิตต่อกัน

Ah, ha, ha, ha, stayin' alive

มีชีวิตกันไป


Well now, I get low and I get high

ไม่ว่าชีวิตจะตกต่ำลง หรือจะทะยานพุ่งสูงขึ้น

And if I can't get either, I really try

ต่อให้ไม่เป้นไปอย่างทั้งสองแบบ ก็ยังต้องพยายามกันต่อ

Got the wings of heaven on my shoes

เหมือนสวรรค์ให้ปีกติดชีพจรลงเท้า

I'm a dancin' man and I just can't lose

ก็เต้นไปตามจังหวะ ห้ามหยุดห้ามเลิก

You know it's alright, it's okay

เพราะรู้ว่ามันไม่เป็นไร มันคือเรื่องธรรมดา

I'll live to see another day

มีชีวิตอยู่ต่อเพื่อเจอะเจอวันรุ่งขึ้น

We can try to understand

ก็แค่พยายามทำความเข้าใจ

The New York Times' effect on man

ผู้คนมีผลกับผู้คน


Whether you're a brother or whether you're a mother

ไม่ว่าพี่จะเป็นผู้ชาย หรือแม่ที่เป็นผู้หญิง

You're stayin' alive, stayin' alive

ต่างก็พยายามมีชีวิตอยู่ ต่างก็ใช้ชีวิตกันไป

Feel the city breakin' and everybody shakin'

สังคมปั่นป่วนยังไม่พอ ทุกคนดันสั่นคลอนตาม

And we're stayin' alive, stayin' alive

เราต่างหาทางเอาชีวิตรอด เราต่างหาทางมีชีวิตต่อ

Ah, ha, ha, ha, stayin' alive, stayin' alive

มีชีวิตต่อไป มีชีวิตต่อกัน

Ah, ha, ha, ha, stayin' alive

มีชีวิตกันไป


Life goin' nowhere, somebody help me

ชีวิตมันไม่ไปไหน ใครก็ได้ช่วยที

Somebody help me, yeah

ใครก็ได้บอกที

Life goin' nowhere, somebody help me, yeah

ชีวิตเหมือนหยุดนิ่ง ใครก็ได้ยื่นมือมา

I'm stayin' alive

ให้ฉันมีชีวิตต่อไป

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0


Crime and Love Scene Investigation


๖๔. A Lonely Heart of Being Single



“ปีใหม่นี้ไปเที่ยวไหนยะแก” พี่ผู้หญิงหัวหน้าฝ่ายบัญชีเอ่ยถามรุ่นน้องในแผนกเดียวกันด้วยเสียงที่ค่อนข้างดัง แบบไม่กลัวว่าใครจะมาได้ยิน ด้วยความที่ว่าวันนี้ เหมือนคืนปล่อยผี แมวไม่อยู่หนูร่างเริง ผู้จัดการมีเหตุให้ต้องออกไปรับรองนายใหญ่ชาวต่างชาติ ที่เครื่องบินเพิ่งแลนดิ้งที่สนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี้เอง

“อยากจะพาผัวเด็กขึ้นเหนือน่ะ อยากไปรับลมหนาวให้ฉ่ำปอด แต่นี่หนูยังไม่ได้ซื้อตั๋วเลยพี่ สงสัยได้แกร่วอยู่กรุงเทพฯ แบบเซ็ง ๆ” รุ่นน้องกะเทยผมยาวสลวย คู่ซี้ของบริษัทกับหัวหน้าฝ่ายบัญชี ที่สามารถเข้านอกออกใน ดูเอกสารของเพื่อนร่วมงานคนอื่นได้อย่างเปิดเผย โดยไม่กลัวว่าใครจะทำอะไรเพราะมีคนให้ท้าย พูดพลางทำหน้าเบื่อหน่ายเอือมระอา

“ตายแล้ว มาซื้อตอนนี้ไม่แพงหูฉี่ไปแล้วรึไง” พี่ฝ่ายบัญชีร้องเสียงหลง เมื่อได้ยินรุ่นน้องว่ามาแบบนั้น “เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาหรอกพี่ แต่เรื่องงานนี่สิ ที่อีตาผู้จัดการสั่งจะเอาให้ได้เลยทันทีหลังปีใหม่ ถ้าหนูพาผัวไปเที่ยว จะไปทำอะไรทัน” เสียงบ่นนั้นปนกันไปหมดทั้งความเสียดาย ที่ไม่ได้ใช้เงินโบนัสก้อนงามปรนเปรอผู้ชาย ผสมผสานกับอาการบ่นกระปอดกระแปดถึงผู้จัดการ คนเดียวกับที่เซ็นอนุมัติเงินโบนัสก้อนนั้นให้นั่นแหละ

“ก็ไม่เห็นต้องเครียดไปเลยนี่” พี่ฝ่ายบัญชีพูดขึ้น น้องกะเทยผมยาวขมวดคิ้วงุนงง ก่อนที่พี่ฝ่ายบัญชีจะเฉลยให้ ด้วยการบุ้ยบ้ายไปยังพนักงานชายหนุ่มที่นั่งเลยไปที่มุมห้อง เหมือนจงใจเอาโต๊ะไปตั้งให้ไกลจากทุกคนในออฟฟิศ กระซิบกระซาบและซุบซิบกันเสร็จ ก็ตะโกนพูดขึ้น เรียกเป้าหมายในทันที

“นี่ซอโซ่” เสียงเรียกนั้นดังมากพอที่จะทำให้เจ้าของชื่อ เงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสารที่ตัวเขานั้น กำลังง่วนอ่านและเรียบเรียงให้เข้าที่ จัดหมวดหมู่ว่าอะไรอยู่ก่อนอยู่หลัง เพื่อเอาไว้ให้คุณเลขาของนายต่างชาติต่อไป “ปกติ” พี่หัวหน้าฝ่ายบัญชีทำเสียงอ่อนเสียหวาน “ไม่ใช่สิ คือทุก ๆ ปี เธอไม่ได้เที่ยวปีใหม่อยู่แล้วใช่ป่ะ” ซอโซ่ไม่คิดว่า จะได้ยินประโยคอะไรแบบนี้ออกจากปากของพี่ผู้หญิงหัวหน้าฝ่ายบัญชี

“อยู่ตัวคนเดียว เพื่อนก็น้อย” ไอ้อาการพยายามพูดตะล่อม จบด้วยประโยคปลายปิดแบบไม่ให้หลบเลี่ยงไปไหนได้ “แถมแฟนก็ไม่มีกับเขา” คำพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มพยายามแสดงอาการจริงใจ แต่ที่พี่ฝ่ายบัญชีหลอกซอโซ่ไม่ได้ นั่นคือแววตาที่มันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ตรงกันข้าม ไม่ได้หวังดี เพียงแค่อยากหลอกใช้

“นั่นน่ะสิ แกจะเข้าใจมั้ยนะโซ่ กับความรู้สึกของคนที่มีแฟน มีความรัก ว่ามันจะเศร้าสร้อยห่อเหี่ยวแค่ไหน ไม่ได้ไปร่วมฉลองกับแฟน” กะเทยรุ่นน้องฝ่ายบัญชีพูด พลางทำหน้าน่าเห็นใจพลางไปกับสิ่งที่ตัวเองกำลังพูด “แถมคนที่มีรอบครัว มีลูกให้ต้องไปเจอ มีผัวให้ต้องไปหา อย่างพี่เขาด้วยแล้ว” ไม่พูดเปล่า น้องกะเทยทำหน้าเห็นใจพี่ฝ่ายบัญชีอย่างสุดซึ้ง

“คนมันมีภาระและหน้าที่ คนมีครอบครัวมันต้องเสียสละมากมายเหลือเกิน” น้องกะเทยผมยาวสลวยเน้นย้ำถึงข้อสำคัญอันนั้นที่ตัวเองรู้สึกลงไป เพื่อเสริมสิ่งที่ตัวเองกำลังพูดและความต้องการจริง ๆ ให้ฟังดูหนักแน่นและเป็นเหตุเป็นผล ซอโซ่นั้นเดาได้ยากเลย ว่าสุดท้ายแล้ว ปลายทางของการตะล่อมล้อมหน้าล้อมหลังนี้ จะไปจบอยู่ที่ตรงไหน

“ครอบครัวแกก็ไม่มี โซ่” เจ้าของชื่อสะอึกในความรู้สึกขึ้นมาในทันทีอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อได้ยินประโยคนั้นหลุดออกมาจากปากพี่ผู้หญิงหัวหน้าฝ่ายบัญชี ถึงมันจะเป็นเรื่องจริงที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้ก็ตาม “ไม่มีบ้านให้กลับ ไม่มีใครให้ต้องขวนขวายไปหา การที่แกจะทำงานแทนเพื่อนร่วมงาน เพื่อให้บริษัทมีผลงาน แกสมควรจะยอมและรับงานนี้ไปทำนะ” ซอโซ่ถึงกับนิ่งงันไปกับอาการจี๊ด แปลบ ๆ ที่ในหัวใจที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้

“ผู้จัดการต้องการคำตอบจากลูกค้ารายนี้ทันทีหลังปีใหม่” รุ่นน้องกะเทยเอาแฟ้มรายละเอียดของงานมากองสุมไว้บนโต๊ะทำงานของซอโซ่ทันทีที่พี่ผู้จัดการบอก “เขารีเควสท์มา ว่าอยากจะเข้าไปดูตัวบ้านก่อน ถึงค่อยตัดสินใจ” แฟ้มเอกสารเหล่านั้นคือดีลบ้าน ราคากว่าห้าสิบล้านบาทที่ทางบริษัทต้องการปิดเป็นอย่างมาก

“แกไม่ได้ไปไหนช่วงปีใหม่ ลูกค้าต้องการดูบ้านช่วงนั้น ปลายปีพอดี แล้วแกก็อยู่โยงที่กรุงเทพฯ อยู่แล้ว” ซอโซ่อยากจะพูดปฏิเสธออกไปอยู่เหมือนกัน เพราะถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ออกเดินทางไปต่างจังหวัดที่ไหนไกล ๆ แต่เขาก็มีแพลนนั่งรถไปรอบ ๆ กรุงเทพฯ ที่ใกล้ ๆ ที่คนกรุงเมืองหลวงพากันใกล้เกลือกินด่างเช่นกัน

“พวกเราต้องทำงานเป็นทีม เข้าใจใช่มั้ย” พูดจบ พี่ผู้หญิงหัวหน้าฝ่ายบัญชีก็ลากน้องกะเทยลงไปนั่งกันอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เพื่อเริ่มต้นกดซื้อตั๋วเครื่องบินกันอย่างสนุกสนานเฮฮา เพราะถือว่าซอโซ่รับรู้และที่สำคัญ 'รับปาก' แล้ว ว่าจะจัดการเรื่องลูกค้ารายนี้ให้เรียบร้อย ทำให้เย็นวันนั้น ซอโซ่ก็ต้องหอบเอาบรรดาเอกสารของลูกค้ารายนี้กลับบ้านไปด้วย

ปีนี้บริษัทให้เริ่มหยุดตั้งแต่วันที่ยี่สิบหกของเดือนธันวาคม แพลนต่าง ๆ ที่ซอโซ่ประมวลเอาไว้ในหัว ก็ต้องพลอยล้มเลิกไปด้วย รถยนต์ก็ให้เพื่อนสนิทที่มีอยู่กับเขาแค่คนเดียวยืมขับกลับไปเยี่ยมครอบครัวที่ต่างจังหวัดเสียแล้ว เมื่อเช้าก็เพิ่งได้เห็นรูปที่เพื่อนส่งมาให้ดู ว่าขับถึงบ้านที่นู่นแล้ว ปลอดภัยดี ไอ้การที่ซอโซ่บอกกับตัวเขาเองว่า ปีนี้จะไม่ขังตัวเองอยู่ในเมืองหลวง ดูท่าว่าจะไม่เป็นจริงอีกปีหนึ่งแล้ว

ซอโซ่ปล่อยให้กระแสความพลุกพล่านของคนลดน้อยลงก่อน เขาเข้าไปหมกตัวรอคอยในร้านกาแฟร้านประจำ ที่เป็นทางกลับคอนโด ให้คนน้อยลงกว่านี้ก่อนในช่วงเวลาเร่งรีบ สั่งอะไรมากินไปพลาง ๆ เครื่องดื่มขนมเค้กแก้หิว แล้วพอถึงหน้าปากซอยข้างคอนโด ค่อยซื้อร้านป้าอาหารตามสั่ง ที่แค่เห็นหน้าเขา ก็รู้แล้วว่าซอโซ่จะกินอะไร ซึ่งมันก็มีเมนูที่วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ไม่กี่อย่าง ซึ่งซอโซ่ยังคิดไม่ตกเลย ว่าช่วงปีใหม่ที่ป้าแกกลับไปบ้านที่ต่างจังหวัด เขาจะกินอะไรประทังชีวิตดี

ในร้านกาแฟ เปิดเพลงคลอเบา ๆ มีอยู่หลายจังหวะที่เนื้อเพลงเหล่านั้นทำเอาความเหงาเบ่งบานใหญ่โตคับหัวใจ บรรยากาศภายนอกร้าน ผู้คนมีรอยยิ้มเปื้อนใบหน้าเดินผ่านไปผ่านมาคลาคล่ำ บรรยากาศของเทศกาลแห่งความสุขอบอวลไปทั่วบริเวณ แต่ภายในร้านกาแฟแห่งนี้ เนื้อเพลงและทำนองที่กำลังเปิดให้ได้ยิน กำลังทำให้หัวใจของซอโซ่หวั่นไหว

เสียงเปิดประตูเข้ามาในร้าน พลันทำให้ซอโซ่รู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมาในทันที จู่ ๆ เขาก็รู้สึกปวดศีรษะขึ้นในในทันที มันเป็นความรู้สึกหน่วง ๆ ที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวร่วมไปด้วย ซอโซ่รวบข้าวของใส่กระเป๋า ก่อนจะเดินออกไปนอกร้านกาแฟ เดินต่อไปได้แค่นิดเดียว เขาก็ต้องรีบทรุดตัวลงบนม้านั่งใต้ต้นไม้นั้น

“ปวดหัวใช่มั้ยครับ” เสียงถามดังมาจากทางด้านหลังของเขา และนั่นทำให้ซอโซ่รู้สึกปวดแปลบหนักเพิ่มขึ้นอีก “ดื่มน้ำก่อนครับ” เสียงเปิดขวดน้ำ ก่อนจะถูกยื่นให้เขา อาการปวดนั้นทำให้เขาตาพร่าและมีน้ำตารื้นขึ้นที่ขอบตา ซอโซ่พยายามมองดูชายหนุ่มที่เข้ามาถามไถ่และช่วยเหลือเขาผ่านม่านน้ำตานั้น

“ไม่เป็นไรนะครับ เดี๋ยวก็หาย ผมจะไปแล้ว” ซอโซ่ขมวดคิ้วเหมือนกับว่ามันจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้น เสียงชายหนุ่มคนนั้นเดินจากไป และเหมือนปลิดทิ้ง เหมือนกับการปิดสวิตช์ลงได้ในทันใด อาการปวดศีรษะนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย ซอโซ่เองก็แปลกประหลาดใจ กับการมาแล้วหายไปของอาการปวดหัวในครั้งนี้ของเขา

ขวดน้ำเย็นที่เพิ่งเปิดใหม่ ๆ นั้นยังคงถืออยู่ในมือ ซอโซ่มองหาชายหนุ่มคนนั้นไปจนทั่วบริเวณ แต่ก็ไม่พบ เขาปิดฝาขวดน้ำนั้นกลับไปดังเดิม วางมันเอาไว้บนม้านั่ง ตั้งใจจะทิ้งมันเอาไว้อย่างนั้น แต่ก็เดินกลับไปหยิบมันขึ้นมา พอเดินผ่านถังขยะ ก็กะว่าจะทิ้งมันลงไปในนั้น ด้วยความนึกสงสัยที่มีอยู่ในใจ

แต่สุดท้ายแล้ว ซอโซ่ก็ต้องมานั่งมองขวดน้ำนั้น ที่ตอนนี้มันตั้งอยู่ตรงโต๊ะในห้องคอนโดของเขา อาการปวดหัวที่หายไปเหมือนกับว่าไม่เกิดขึ้น ขวดน้ำที่ชายหนุ่มคนหนึ่งนำมาให้ แล้วบอกว่าเขาจะไม่เป็นไร อย่างกับว่าเขารู้ว่ามันจะเกิดขึ้นแล้วจะหายไปเอง ก่อนเขาจะหายตัวไปแบบนั้น ซอโซ่มองขวดน้ำนั้น ครุ่นคิด ก่อนจะผล็อยหลับไป ค่ำคืนนั้นในความฝัน ใบหน้าของใครบางคนเด่นชัดอยู่ในความฝันของเขา

*********************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

อยู่ดีดีก็อยากร้องไห้ - ตอง ภัครมัย

https://www.youtube.com/watch?v=tFKL2nLzkhg


ลมพัดมาแค่เพียงเบาเบา

There’s a gentle breeze

ดาวทุกดวงก็ดูสวยดี

Stars up there are so pretty

ทุกอย่างดูดีกว่าทุกวัน

Everything today seems so far better


เพลงที่เคยลืมลืมมันไป

The old songs we forgot

กลับไปหามาฟังทั้งวัน

Keep repeating them all day

แล้วปล่อยอารมณ์

Let the feelings go

ปล่อยให้มันลอยหายไป

Fly away deep into emotions


ฟ้าเดิมเดิมแต่คืนนี้กลับดูสวยจัง

The very same sky is so beautiful tonight

ได้แต่นั่งอยู่ตรงนี้

Sitting here just all alone

กับใจที่มันอ้างว้างเหลือเกิน

With the single lonely heart


อยู่ดีดีก็อยากร้องไห้

Out of the blue, there are tears

ไม่รู้ว่าเป็นอะไร

Don’t know what’s got into me

เกิดเหงาอะไรขึ้นมา

The loneliness floods my heart


อยู่ดีดีก็อยากร้องไห้

All of the sudden, tears down my face

น้ำใสใสก็รินจากตา

Literally, I’m crying

มันเหงา ไม่รู้ทำไม

So lonely, and don’t know why


มันเหมือนใจรอใครบางคน

As if my heart’s been waiting for someone

แต่ว่าเขาไม่มีตัวตน

But, that someone doesn’t exist

ก็อยากมีคน

Wish I could somehow

นั่งมองดาวกับฉันบ้าง

Looking at the stars above with me


ใครบางคนคนนั้น

There is the one

คนที่เป็นห่วงฉัน

That cares for me

อยู่ตรงไหน

Where are you?

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0


Crime and Love Scene Investigation


๖๕. Coming Back to Me Now



“สวัสดีครับ นี่ใช่เบอร์ของคุณโซ่หรือเปล่าครับ” เสียงจากปลายสายถามมา เจ้าของชื่อและเบอร์โทรศัพท์เผลอพยักหน้าให้กับคำถามนั้น ก่อนจะเอ่ยตอบกลับไปเมื่อนึกขึ้นได้ “ใช่ครับ โทรจากไหนครับ” ซอโซ่ถามกลับไป เพราะไม่คุ้นกับเบอร์ที่โทรเข้ามา ประกอบกับน้ำเสียงของอีกฝ่าย ที่เขาคิดว่าไม่น่าจะเคยคุยมาก่อน ถ้านี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงาน

“คือทางเจ้าของบ้านให้ผมโทรมา” ประโยคนั้นทำให้ซอโซ่ต้องร้องในใจ ว่าสายนี่โทรมาจากคนที่ทำให้แผนช่วงส่งท้ายปีใหม่ของเขาล่มนี่เอง “คือทางคุณเจ้าของบ้านต้องการจะเข้ามาตรวจบ้านใช่มั้ยครับ” ซอโซ่ถามออกไป แต่อีกฝ่ายไม่ได้ตอบคำถามนั้น แต่พูดกลับมาอีกครั้งว่า

“ไม่ทราบว่าคุณโซ่จะเข้าไปที่บ้านวันไหนครับ” ซอโซ่ไม่ต้องคิดประมวลผลนาน ก็ตอบได้ทันทีว่า ไม่ว่าวันไหนก็ค่าเท่ากัน “วันนี้เลยก็ได้ครับ” ซอโซ่พูดตอบกลับไป “เดี๋ยวผมเข้าไปเลย ถ้ามีอะไรที่ต้องการจะปรับเปลี่ยน ผมจะได้คุยเรื่องแผนการเข้าหน้างานของทีมช่างด้วย” ซอโซ่กดวางสายหลังจากที่ปลายสายพูดอะไรงึมงำ แล้วก็ตัดสายไป

ใช้เวลาไม่นานนัก รถแท็กซี่ก็พาซอโซ่มาถึงที่หน้าบ้านราคาแพงระยับ ซอโซ่ลงจากรถ ก่อนจะใช่กุญแจสำรองไขประตูบานเล็กด้านข้างเพื่อเปิดเข้าไปด้านใน เขาจดข้อความเตือนลงในสมุดบันทึกว่า ประตูใหญ่จะต้องเปลี่ยนเป็นแบบอัตโนมัติ รวมถึงประตูด้านข้างนี้ จะต้องเปลี่ยนกุญแจใหม่ด้วย

เข้ามาด้านใน ซอโซ่กดเปิดเครื่องปรับอากาศ เพื่อรอรับเจ้าของบ้านที่กำลังจะมาถึง รวมทั้งเลื่อนผ้าม่านให้เปิดออกรับแสง เห็นวิวสวนหย่อมที่ถูกจัดเอาไว้อย่างสวยงามร่มรื่น ซึ่งมันเผลอทำให้ซอโซ่ยิ้มออกมาเมื่อได้เห็น สวนนี้มันทำให้เขารู้สึกดีอย่างประหลาด และมันบอกไม่ถูกว่าทำไมกัน

“ขอโทษครับ” เสียงพูดที่ดังขึ้นด้านหลัง ทำเอาซอโซ่สะดุ้งเฮือก เพราะเขาไม่ได้ยินเสียงใครเปิดประตูใหญ่เข้ามา ไม่ได้ยินเสียงรถขับมาจอด “ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะครับ พอดีผมเห็นประตูมันเปิดอยู่” ซอโซ่มองเลยไปที่ประตูด้านใน มันเปิดอยู่จริง ๆ ก่อนจะหันกลับมามองที่ชายหนุ่มคนที่เพิ่งเดินเข้ามา

“คือ ผมเข้ามาช่วยตรวจดูบ้านน่ะครับ” ซอโซ่ได้ยินแบบนั้น ก็เข้าใจว่า นี่คงเป็นคนที่โทรหาเขาเมื่อก่อนหน้านี้ “เสียงไม่เหมือนกับในโทรศัพท์นะครับ” ซอโซ่ทักออกไป อีกฝ่ายหัวเราะออกมาเบา ๆ “ลองโทรเช็คดูก่อนได้นะครับ” ซอโซ่รู้สึกว่า น้ำเสียงที่ชายหนุ่มใช้พูดประโยคนี้ เหมือนจะนึกเอ็นดูมากกว่าจะนึกตำหนิ

“ไม่เกรงใจนะครับ” ซอโซ่พูดแล้วยกโทรศัพท์มือถือขึ้นกดโทรหาเบอร์ที่โทรมาหาเขาเมื่อเช้านี้ ก่อนที่เสียงมือถือในกระเป๋ากางเกงของชายหนุ่มจะดังขึ้น ซอโซ่เห็นอีกฝ่ายหยิบมันออกมากดรับสาย “ฮัลโหลครับ” ก่อนที่เสียงทักทายนั้นจะดังผ่านลำโพงมือถือของซอโซ่ออกมา เขาจึงกดวางสาย แต่ก็ไม่วายมองที่ใบหน้าของชายหนุ่ม

“นี่หรือครับ โควิดน่ะ” ชายหนุ่มชี้นิ้วไปที่หน้ากากอนามัยที่เขาสวมอยู่บนใบหน้า ซอโซ่ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้น ก่อนจะถามชายหนุ่มออกไปว่า “คุณมีอำนาจตัดสินใจแทนหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มได้ยินคำถามนั้น ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงัก “คิดว่านะครับ” แววตาขี้เล่นนั้นทำให้ซอโซ่นึกหมั่นไส้แกมขบขันอยู่ในที

“สิ่งที่ต้องเปลี่ยน” ซอโซ่เริ่มต้นพูดเรื่องงาน “ประตูใหญ่หน้าบ้านที่จะต้องเป็นแบบอัตโนมัติ ใช้รีโมทเปิดปิด” ชายหนุ่มฟังที่ซอโซ่พูด พลางมองอีกฝ่ายอย่างไม่วางตา “แพงมั้ยครับ” คำถามนี้ทำเอาซอโซ่นึกในใจว่า คนที่ซื้อบ้านในราคาห้าสิบล้าน เขาจะนึกมีปัญหากับเงินที่ต้องจ่ายเรื่องประตูมั้ยนะ

“จะสอบถามคุณเจ้าของบ้านก่อนก็ได้นะครับ” ซอโซ่ตอบกลับไปอย่างนั้น ก่อนจะเห็นชายหนุ่มหัวเราะและใช้ดวงตายิ้มกลับมาที่เขา มันทำให้ซอโซ่ต้องรีบหลบสายตา รู้สึกอะไรประหลาดบางอย่างอยู่ มันรู้สึกอยู่ในใจ “ถ้าอย่างนั้น เข้าไปดูในห้องครัวกันก่อนนะครับ มีรีเควสท์มา ว่าอยากจะปรับเปลี่ยนอะไรหลายอย่าง” ชายหนุ่มเดินตามซอโซ่เข้าไปในห้องครัวใหญ่นั้น ที่มันตกแต่งเอาไว้ดูดีมากอยู่แล้ว

“ถ้าจะทุบทิ้งทำใหม่ทั้งหมด คงต้องใช้เวลาพอสมควรนะครับ” ซอโซ่บอกข้อติติงที่เขามีออกไป “ถ้าจะย้ายเข้ามาอยู่ในเร็ว ๆ นี้” ชายหนุ่มมองมาสบตากับซอโซ่ “แล้วคุณคิดว่า ควรทุบทิ้งทำใหม่มั้ยครับ” คำถามนั้นทำให้ซอโซ่เลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะพูดตอบไปว่า “ผมไม่ใช่เจ้าของบ้าน ผมให้ความเห็นอะไรไม่ได้หรอกครับ” โดยข้อบังคับในงานแล้ว เจ้าของบ้านว่าอย่างไร ทางบริษัทก็ว่าไปตามนั้น

“คิดซะว่าเจ้าของบ้านไม่อยู่ที่ตรงนี้แล้วกัน” ชายหนุ่มบอกกับซอโซ่ “เราจะได้พูดแบบเต็มที่” ชายหนุ่มทำเสียงนึกสนุก “ถ้าเป็นคุณ ห้องครัวนี้ควรจะทำยังไงกับมันดีครับ” แววตาที่แลดูขี้เล่นนั้น ยุส่งให้ซอโซ่พูดบอกกับเขาออกมา ตามที่รู้สึกจริง ๆ โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครว่าอะไรทั้งนั้น

“เจิด” เสียงเรียกดังขึ้น ทำให้คนขับรถที่กำลังเช็ดรถจนเงาวับอย่างขมีขมัน รีบหันมาทางเสียงเรียก “ครับคุณท่าน” เจิดตอบรับคำออกไปในทันที “นี่เจ้านายแกเขาหายไปไหน” คำถามนั้นทำเอาเจิดมีท่าทีอึกอัก ๆ จะพูดก็ไม่พูด ทำเอาคุณท่าน ผู้เป็นบิดาของเจ้านายของเจิด ถึงกับออกอาการฉุน

“ไม่ได้เรื่อง ช่วยกันปกปิดทั้งเจ้านายทั้งลูกน้อง ให้มันได้อย่างนี้สิ” เจิดทำหน้าเจื่อน ด้วยว่านายใหญ่ของบ้านลงมาถามหาลูกชายคนเดียวด้วยตัวเองแบบนี้ “ฉันโทรหามันเองก็ได้ แกนี่นะ ไอ้เจิด แถมไอ้ลูกคนนี้นี่นะ” คุณท่านยกโทรศัพท์มือถือขึ้นกดโทร ก่อนจะได้ยินเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์เครื่องของลูกชายตัวเอง ดังมาจากในรถคันหรูที่เจิดกำลังเช็ดขัดเงาอยู่ โดยคุณท่านได้ความจากเจิดว่า มือถือของเขาตอนนี้อยู่กับเจ้านาย ลูกชายของนายท่านนั่นเอง

“นี่ผมพูดเยอะไปแน่ ๆ เลย” ซอโซ่นึกอยากเขกหัวตัวเองที่สาธยายบรรยายเรื่องครัวที่ตัวเองชอบออกไปจนยาวยืด นึกเขินอยู่พอสมควร ที่อยู่ ๆ ก็เผยความคิดส่วนตัวให้กับคนที่เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรกออกไปแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่ปกติ ซอโซ่เองนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะรู้สึกสบายใจมากพอกับการเพิ่งเจอกันเช่นนี้

“น้อยไปด้วยซ้ำ” น้ำเสียงนั้นฟังดูจริงจังขึ้นมาเสียอย่างนั้น ก่อนที่ชายหนุ่มจะปรับโทนและท่าทางของตัวเอง “คุณรับออกแบบห้องครัวมั้ยล่ะ ผมว่าต้องมีการลอกเลียนแบบกันบ้างล่ะ” เสียงหัวเราะแบบเหมือนเพื่อนพูดเล่นหัวกัน ทำให้ซอโซ่นั้นต้องหลุดขำออกมาด้วย ชายหนุ่มมองดูรอยยิ้มนั้นของซอโซ่ ราวกับได้เห็นสิ่งล้ำค่าที่ตัวเองก็เฝ้าหาเช่นกัน

“แต่คนรวย คนมีสตางค์เขาคงไม่อยากได้ครัวเปิดแบบครัวไทยที่ผมเพิ่งโม้ให้คุณฟังไปหรอก” ซอโซ่พูดออกตัวไปแบบนั้น เพราะใจหนึ่งก็รู้สึกว่า เจ้าของบ้านน่าจะชอบครัวที่ตกแต่งเอาไว้อยู่เดิมนี่แล้ว “ถ้าเขาจะทำใหม่ทั้งที เขาคงจะเสียเงินให้กับสิ่งที่ดีที่สุด” ซอโซ่พูดบอกกับชายหนุ่มออกไป โดยที่เห็นชายหนุ่มยิ้มด้วยดวงตากลับมาให้

“ชักอยากรู้แล้วสิ ว่าถ้าเป็นห้องนอน คุณจะออกแบบมันเป็นยังไง” ชยหนุ่มเห็นอาการตื่น ๆ ของซอโซ่ทันทีที่ได้ยินเขาพูดแบบนั้น “แต่ห้องนอนไม่ได้มีรีเควสท์อะไรไว้นี่ครับ” ซอโซ่แย้งชายหนุ่มออกไป เพราะตั้งแต่อ่านรายละเอียดของบ้านนี้มาตั้งแต่แรก ซอโซ่ไม่เห็นว่ามีอะไรที่เจ้าของบ้านระบุว่า จะปรับเปลี่ยนอะไรเกี่ยวกับห้องนอน

“ก่อนจะตัดสินใจว่า จะทำหรือไม่ทำอะไร เราขึ้นไปดูห้องนอนที่ชั้นบนกันก่อนดีมั้ยครับ” ชายหนุ่มทำท่าชวนให้ซอโซ่เห็นด้วย แล้วเดินตามเขาเพื่อขึ้นไปยังห้องนอนชั้นบน ซอโซ่มีท่าทีลังเลอยู่ไม่น้อย “หรือว่าคุณกลัว” ชายหนุ่มถาม ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ “เขินผมหรือไง ที่ต้องขึ้นไปที่ห้องนอนด้วยกัน” ชายหนุ่มทำเสียงล้อเมื่อเห็นอีกฝ่าย อยู่ ๆ ซอโซ่ก็หน้าแดงระเรื่อขึ้นมา

“ไม่ได้เขินสักหน่อย” ซอโซ่รีบพูดเร็วปรื๋อ แต่ก็ดูอึกอัก เมื่อต้องออกเดินนำหน้าชายหนุ่มไปที่บันไดทางขึ้นชั้นบน เขานึกเอ็นดูแกมชอบใจที่อีกฝ่ายมีปฏิกิริยากับทั้งคำพูดและคำชวนของเขาแบบนั้น การได้ใกล้ชิดกันมันก็ทำให้ชายหนุ่มดีใจมากอยู่แล้ว แต่อากัปกิริยาของซอโซ่ ที่มีแววคล้ายคลึง ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักแบบที่เขาจำได้นี้ มันยิ่งทำให้ชายหนุ่มใจฟูอย่างมากมาย

**************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

หยุดตรงนี้ที่เธอ - ฟอร์ด สบชัย ไกรยูรเสน

https://www.youtube.com/watch?v=tC7G2ZqCi2M


กี่คราวที่ความรัก

How often that love

ต้องลงเอยด้วยน้ำตา

Ends with all the tears in the world

กี่คราวที่ล้าจนไม่อยากมีใคร

So weary to dare to start a new one

กี่คนที่เสาะหา

How many people there are

ผ่านมาแล้วก็เลยไป

They always come and then go

ไม่มีใครที่เหมือนเธอ

No one is like you


เปรียบเธอดังจุดหมาย

You’re my destination

สุดท้ายของนักเดินทาง

The last stop of the travelers

เมื่อเจอเธอแล้วก็ไม่อยากเจอใคร

Once I’ve met you, then there’s no one

ไม่มีใครอีกแล้ว

No one else from now on

ที่มีความรักจริงใจ

To have true love for

เท่ากับเธอที่ให้ฉัน

As much as you’re giving me


หยุดตรงนี้ที่เธอ

Stop here where I have you

ไม่ไปไกลแล้วใจ

No more for my heart to wander

จะหยุดทั้งใจไว้ที่เธอ

All of my heart is here with you

หยุดตรงนี้ที่เธอ

Stay here where I am with you

เพราะเธอที่ฉันเจอ

Because you that I’ve found

คือคนที่รักฉันหมดใจ

Is the one who loves me always


เปียกปอนกับลมฝน

Been rough in the wind and rain

ฝ่าลมพายุมากมาย

Going through raging storms

ก็เดินมาไกลจนแทบหมดกำลัง

The long walk that has worn me out

ไม่เคยจะคาดคิด

Never ever thought of

ว่าคนที่สิ้นหนทาง

A despair could be spared

จะได้พบรักเช่นเธอ

To have found you as true love


เปรียบเธอดังจุดหมาย

You’re my destination

สุดท้ายของนักเดินทาง

The last stop of the travelers

เมื่อเจอเธอแล้วก็ไม่อยากเจอใคร

Once I’ve met you, then there’s no one

ไม่มีใครอีกแล้ว

No one else from now on

ที่มีความรักจริงใจ

To have true love for

เท่ากับเธอที่ให้ฉัน

As much as you’re giving me


หยุดตรงนี้ที่เธอ

Stop here where I have you

ไม่ไปไกลแล้วใจ

No more for my heart to wander

จะหยุดทั้งใจไว้ที่เธอ

All of my heart is here with you

หยุดตรงนี้ที่เธอ

Stay here where I am with you

เพราะเธอที่ฉันเจอ

Because you that I’ve found

คือคนที่รักฉันหมดใจ

Is the one who loves me always


อยากจะขอบคุณฟ้า

Wanna thank the heaven up there

ที่ให้เรารักกัน

For us to love

และให้ฉันได้พบเธอ

For me to have found you


หยุดตรงนี้ที่เธอ

Stop here where I have you

ไม่ไปไกลแล้วใจ

No more for my heart to wander

จะหยุดทั้งใจไว้ที่เธอ

All of my heart is here with you

หยุดตรงนี้ที่เธอ

Stay here where I am with you

เพราะเธอที่ฉันเจอ

Because you that I’ve found

คือคนที่รักฉันหมดใจ

Is the one who loves me always


จะหยุดใจไว้ให้กับเธอ

My heart forever stays with you

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: สืบลับ สืบรัก: CLSI ๖๖. Unsettling _ 12.22.2023
«ตอบ #69 เมื่อ22-12-2023 23:20:00 »


Crime and Love Scene Investigation


๖๖. Unsettling



“พักเที่ยงแล้ว ไปกินข้าวกัน เดี๋ยวเราไปจองที่ให้ที่โรงอาหาร รีบตามมาเร็ว ๆ นะ วันนี้ม.ต้นกับม.ปลายพักพร้อมกัน” พูดเสร็จและยังไม่ทันให้คนที่ตัวเองชวนได้ตอบรับคำแต่อย่างใด ธันวาก็รีบวิ่งออกจากห้องเรียนไป พลางคิดว่าจะพุ่งตัวไปสั่งก๋วยเตี๋ยวร้านป๋าเจ้าอร่อย ที่มักจะขายหมดก่อนร้านอื่น ๆ อยู่เป็นประจำ

โรงอาหารยังคนไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ก็เห็นพวกน้อง ๆ ชั้นมัธยมต้น เริ่มทยอยกันลงมาบ้างแล้ว ธันวาแวะร้านน้ำ สั่งเครื่องดื่มสองแก้ว เอาไปวางจองที่นั่งเอาไว้ก่อน ในโซนที่เหมือนเป็นที่รู้กันในหมู่นักเรียนว่า ส่วนใหญ่จะมีแต่รุ่นพี่ม.ปลายเท่านั้นที่ได้นั่ง แต่ยังไงก็ต้องกันที่เอาไว้ เพราะพวกม.ปลายก็นิยมมาที่มุมนี้ของโรงอาหาร มากกว่ามุมด้านไกลนั้น

“สองชามครับป้า” ธันวาย้ำกลับป้าเจ้าของร้านไป เพราะป้าถือตะกร้อลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวค้างเอวไว้ เมื่อได้ยินเด็กหนุ่มสั่งก๋วยเตี๋ยวเหมือนกันสองชาม “สั่งเผื่อแฟนด้วยล่ะสิ น่ารักจัง” ธันวาได้ยินป้าร้านก๋วยเตี๋ยวเอ่ยแซวออกมาแบบนั้น เขาไม่ได้พูดอะไรกลับไป แต่หัวใจของเขาในตอนนี้ มันกำลังเต้นระรัวเมื่อได้ยินคำนั้น

ธันวาเผลอยิ้มให้กับชามก๋วยเตี๋ยว เมื่อเขาใส่เครื่องปรุงในชามจนเสร็จ เขารู้ว่าอีกคนนั้นกินก๋วยเตี๋ยวรสชาติยังไง ป้าร้านก๋วยเตี๋ยวเองก็มองเด็กหนุ่มอย่างเอ็นดู ก่อนจะหันไปรับลูกค้าคนต่อไป ธันวาวางก๋วยเตี๋ยวทั้งสองชามลงบนโต๊ะ นั่งลงบนม้านั่งยาว ก่อนจะชะเง้อมองหาอีกฝ่ายที่น่าจะเดินมาถึงที่โรงอาหารได้แล้ว

แต่ธันวานั่งรออยู่พักใหญ่ ก็ยังไม่เห็นคนที่เขารอนั้นเดินมา ก๋วยเตี๋ยวทั้งสองชามที่ยังไม่มีใครแตะ เริ่มเย็นชืด เส้นอืดขึ้นเต็มชาม ธันวาได้แต่นั่งมองมันอยู่อย่างนั้น ในมือถือตะเกียบใช้เขี่ยเส้นไปมาแบบคนหมดความอยากอาหาร ในความรู้สึกเหมือนผิดหวังเหลือประมาณ ทั้ง ๆ ที่ใครมองมา มันก็คงเป็นเพียงแค่ก๋วยเตี๋ยวที่ไม่ได้มีความพิเศษอะไรกับใคร

ธันวาเดินกลับมาที่ห้องเรียนอย่างเหงา ๆ ห้องเรียนเงียบเชียบ ไม่มีใครอยู่สักคน ธันวาเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะเรียนของตัวเอง ก่อนจะได้ยินเสียงเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ เดินกลับเข้าห้องมมาจากโรงอาหาร เสียงจ้อกแจ้กจอแจดังรอบตัวเขา หลายคนชวนคุยเรื่องตลกชวนหัว แต่ธันวาไม่มีแก่ใจจะร่วมวงสนทนา ในใจเขาวุ่นวายไปหมด บังคับให้มันกลับมาอยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้เลย

“ไปไหนมา” ทันทีที่เห็นอีกฝ่ายเดินกลับเข้ามาในห้อง ธันวาเปิดฉากถามขึ้นในทันที ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเกือบจะห้วนด้วยอารมณ์ที่กรุ่นอยู่ในใจ คนถูกถามนั่งลงที่โต๊ะเรียนของตัวเอง ตัวที่อยู่เลยไปด้านหน้าข้างขวามือ แต่ไม่ตอบอะไร หันหลังให้กับธันวา “ไม่หิวข้าวหรือ” น้ำเสียงอ่อนลงจากเมื่อครู่ ถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง อีกฝ่ายหันกลับมามองกำลังจะขยับปากพูดตอบกลับมา

“อ้ะ นี่ ยังเหลืออีกกล่อง น้าเราซื้อมาฝากจากแคนาดา อร่อยมากใช่มั้ยล่ะ วันหลังไปกินข้าวกลางวันกันอีก จะได้กินขนมกันด้วย ยังมีอีกหลายอย่างที่บ้าน” ธันวาจ้องเพื่อนต่างห้องที่เดินเข้ามาถือวิสาสะ นั่งลงที่ข้าง ๆ คนที่เบี้ยวเขาที่โรงอาหาร แถมยังยื่นขนมฝรั่งราคาแพงให้กัน อย่างดูสนิทสนม

“กินด้วยกันมั้ย” เพื่อนต่างห้องถามธันวา เด็กหนุ่มไม่ตอบ ได้แต่จับจ้องเด็กหนุ่มอีกสองคน ที่ไปสนิทสนมกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ความว้าวุ่นในหัวกำลังทำให้ธันวาวุ่นววายอยู่ภายในใจ สมองมันตื้อ หูมันอื้อ มันรู้สึกว่าหัวใจกำลังตะโกนบอกตัวเขาว่า มันกำลังรู้สึกแย่มาก แย่ที่ต้องมาเห็นอะไรแบบนี้ แย่ที่รู้ว่าเขาไปกินข้าวด้วยกัน แย่ที่เห็นเขาสนิทกัน และไม่ใช่ธันวา ที่ถูกเลือก

กว่าจะหมดเวลาคาบเรียนสุดท้าย ก็ทำเอาธันวาแทบจะหมดกะจิตกะใจ ได้คิดวนไปวนมาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวัน และภาพที่เห็นต่อหน้าต่อตาเขา ใจหนึ่งก็พยายามพูดปลอบตัวเองว่า ไม่มีอะไรหรอก มันก็แค่เพื่อนกัน เหมือนกับเขานี่ไง นั่นก็ทำให้ความห่อเหี่ยวในใจเพิ่มมากขึ้น เมื่อรู้ว่าตัวเองก็เป็นแค่เพื่อนเท่านั้น

“โอ๊ย เรียนวันนี้เหนื่อยเป็นบ้าเลย วิชานี้ก็น่าเบื่อที่สุด แกรู้เรื่องที่อาจารย์สอนบ้างมั้ยวะธันวา” เจ้าของชื่อนั้นได้ยินทุกคำพูดที่อีกฝ่ายพูด รวมถึงคำถามที่ส่งมาให้ แต่ธันวาก็ยังทำก้มหน้าอ่านโน่นอ่านนี่บนกระดาษตรงหน้า แต่แน่นอน เขาไม่ได้อ่านอะไรรู้เรื่องหรอกในตอนนี้ เขาแค่รอให้อีกฝ่ายมีท่าทีอะไรมากกว่านี้ต่างหาก

“แกได้ยินมั้ยเนี่ย ที่ฉันถามเนี่ย” ธันวาใจเต้นตึกตักที่เห็นอีกฝ่าย เอาหน้ามาใกล้ เงยหน้าขึ้นมองเขาที่กำลังก้มหน้าอยู่ ธันวาอยากจะยิ้มแต่ก็ทำฝืนกลั้นเอาไว้ “ฉันก็ลืมไป แกเก่งนี่หว่า ติวให้ฉันด้วยนะ” ติวหันไปมองอีกฝ่าย ที่มองเขามาอยู่ก่อนแล้ว อยากจะหันสายตาไปทางอื่น แต่ก็เหมือนกับถูกอีกฝ่ายล็อกแววตานั้นเอาไว้ แววตา รอยยิ้มของคนที่เขามองหามาเสมอ

“ที่นัดกันไว้วันหยุดนี้ แกไม่เปลี่ยนใจนะ” ธันวาถามออกไป จากที่เคยนัดกันว่า จะไปอ่านหนังสือด้วยกันที่บ้านของธันวา เขาถามอีกฝ่ายออกไป ภายในใจมันยังรู้สึกน้อยใจเรื่องเมื่อกลางวันอยู่ เลยอยากได้ยินคำตอบตกลงจากปากของอีกฝ่ายด้วยตัวเอง “ไปสิ ไปแน่นอน ก็นัดกันเอาไว้แล้วนี่นา ไม่เบี้ยวหรอกน่า” ธันวาขยับปากจะพูดอะไรออกไป แต่ก็กลืนคำพูดพร้อมความน้อยใจนั้นกลับลงคอไปแทน เอนึกขึ้นได้ว่า อีกฝ่ายไม่ได้ตอบตกลงกับเขาสักแอะ ว่าจะตามไปกินข้าวที่โรงอาหารด้วย

“ไปไหนกัน ไปด้วยคนสิ นะ หลาย ๆ คนน่าสนุกออก” แล้วคนที่ธันวาไม่อยากให้โผล่หน้ามาอย่างที่สุด ก็เยี่ยมหน้ามาจนได้ ทั้ง ๆ ที่อยู่คนละห้องกัน แต่ทำไมวันนี้ถึงได้เทียวไล้เทียวขื่ออยู่แบบนี้ “ไม่ได้หรอก เรานัดกับธันวาเอาไว้แล้ว” ธันวาหน้านิ่งจนเกือบจะโกรธ อดไม่ได้ที่จะจ้องหน้าคนไม่พึงประสงค์ด้วยอาการไม่พอใจ

“ทำไมวะ หวงหรือไง” ทั้งคำพูดที่ใช้ ทั้งน้ำเสียงที่ฟังดูจงใจที่จะหยอก กับเสียงหัวเราะยียวนนั่นด้วยแล้ว ธันวาลุกพรวดพราดเดินออกจากห้องเรียน เขากึ่งเดินกึ่งวิ่ง อาการประหลาดเกิดขึ้นเมื่อใบหน้าของเขาร้อนผะผ่าวไปด้วยความไม่สบอารมณ์ ของตานั้นร้อนเช่นกัน มันกำลังถูกแผดเผาด้วยรื้นของน้ำตา ที่ไม่รู้มาก่อนว่าความโกรธ มันสร้างน้ำตาแห่งความขุ่นเคืองใจขึ้นมาด้วยเช่นกัน

ธันวายืนอยู่ที่หน้าอ่างล้างหน้าในห้องน้ำ มองกระจกที่ตรงหน้า ก่อนจะร้องตะโกนออกมาอย่างสุดเสียง เพื่อระบายความรู้สึกอัดอั้นที่ทับถมอยู่ในใจ ก่อนที่เขาจะเปิดน้ำจากก๊อกแล้ววักน้ำนั้นเข้าใส่หน้า แรงและเร็วจนตัวของเขาเปียกปอนไปหมด เขาจ้องหน้าตัวเองในกระจก ความโกรธมันพลุ่งพล่านไปหมด มันโมโหที่พูดอะไรอย่างที่คิดออกไปไม่ได้เลย แล้วยิ่งมามีตัวแปรใหม่แทรกเข้ามาในสมการที่แทบจะเป็นจริงไม่ได้เลย ด้วยแล้วแบบนี้ มันยิ่งทำให้ธันวาไม่รู้จะโมโหใครดี ตัวมือที่สาม ตัวเขา หรืออีกฝ่ายที่แทบไม่รับรู้ความรู้สึกกันเลย

ธันวาหัวเราะทั้งน้ำตา นี่เขาเรียกเพื่อนต่างห้องว่ามือที่สามหรือ กล้าเรียกเขาแบบนั้นทั้ง ๆ ที่ต่างก็เป็นแค่เพื่อนกันทั้งนั้นเนี่ยนะ แล้วถ้าเพื่อนสนิทของเขา จะมีเพื่อนสนิทคนใหม่ มันเป็นเรื่องที่เขาควรยินดีหรือเปล่า หรือเขาควรจะยอมรับ ว่าใช่ เขาหวงเพื่อน ไม่อยากให้เพื่อนสนิทไปมีเพื่อนใหม่ ไม่อยากให้เพื่อนไปมีใคร ไม่อยากให้เพื่อนมองใคร ไม่อยากให้เพื่อนปันใจให้ใคร นอกจากเขา

ธันวาเดินออกมาจากห้องน้ำ มองตรงไปที่ตึกเรียน สิ่งที่เขาเห็นก็คือ เพื่อนต่างห้องกำลังหัวเราะอย่างสนุกสนาน มีท่าทีสนิทสนมกับเพื่อนคนสนิทของเขา ก่อนที่จะเห็นสองคนนั่น เดินออกไปทางหน้าโรงเรียนด้วยกัน เพื่อนต่างห้องเรียกให้เพื่อนสนิทของธันวาหยุดเดิน ธันวามองตามทุกอิริยาบถของสองคนนั้น

ธันวาเห็นเพื่อนต่างห้องยื่นกระเป๋านักเรียนให้เพื่อนสนิทของเขาถือ ก่อนจะเอื้อมมือไปจัดคอปกเสื้อนักเรียนให้กับเพื่อนสนิทของเขา ให้มันเข้าที่เข้าทาง ถ้ามีใครมองมาในตอนนี้ ธันวาที่มองมาในตอนนี้ ก็คงจะรู้สึกแปลก ๆ ที่เด็กหนุ่มสองคนกำลังใส่ใจและดูแลกันเป็นอย่างดี ดูแล้วเกินกว่าคำว่าเพื่อน เกินกว่าที่เพื่อนจะทำให้กับ มากกว่าที่ธันวาเคยทำให้เพื่อนที่เขาสนิทที่สุดเช่นกัน

*******************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

ช่างไม่รู้เลย - ตั้ม สมประสงค์ สิงหวนวัฒน์

https://www.youtube.com/watch?v=3-0CBFLsO0s


ในแววตาทั้งคู่ไม่รับรู้อะไร

In both eyes, you’re not aware of

เธอคงยังไม่เข้าใจ ว่าฉันไม่ใช่คนเก่า

You still don’t get it, I’m not the old me anymore

เรายังคงเหมือนเพื่อน หยอกล้อเหมือนวันวาน

Yes, we’re still friends teasing and all

แต่ฉันคือคนใจสั่น แต่ฉันคือคนหวั่นไหว

But I’m the one with the heart trembling, being insecure


ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย

You don’t know anything, do you?

ในความคุ้นเคยกันอยู่

What seems to be us

มันแฝงอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้น

Something’s hidden inside, more that it should

ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย

You don’t really know anything about it

ว่าเพื่อนคนหนึ่งมันแอบมันคิดอะไรไปไกล

That this friend of yours has been thinking of you

กว่าเป็นเพื่อนกัน

More than just friends


กลายเป็นคนฝันใฝ่อยู่ใกล้ใกล้เธอ

I’m daydreaming, you are around

กลายเป็นคนที่รอเก้อ

I’m the one that got stood up

เหมือนหนังสือที่เธอไม่อ่าน

Like this very book you’ll never read

ตาคอยมองจ้องอยู่อยากให้รู้ใจกัน

Waiting for the moment our eyes catch

แต่แล้วเธอยังมองผ่าน และฉันก็ยังหวั่นไหว

Yet, you don’t see it, and I’m being more insecure


ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย

You don’t know anything, do you?

ในความคุ้นเคยกันอยู่

What seems to be us

มันแฝงอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้น

Something’s hidden inside, more that it should

ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย

You don’t really know anything about it

ว่าเพื่อนคนหนึ่งมันแอบมันคิดอะไรไปไกล

That this friend of yours has been thinking of you

กว่าเป็นเพื่อนกัน

More than just friends


ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย

You don’t really know, do you?

ในความคุ้นเคยกันอยู่

What we’ve been used to

มันแฝงอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้น

There’s more happening more than it should

ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย

You don’t get it, do you?

ว่าเพื่อนคนหนึ่งมันแอบมันคิดอะไรไปไกล

That this friend of yours, fancy about

ไปมากกว่านั้น

Way more than just friends

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: สืบลับ สืบรัก: CLSI ๖๖. Unsettling _ 12.22.2023
« ตอบ #69 เมื่อ: 22-12-2023 23:20:00 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: สืบลับ สืบรัก: CLSI ๖๗. New Year's Eve _ 12.31.2023
«ตอบ #70 เมื่อ31-12-2023 16:30:15 »


Crime and Love Scene Investigation


๖๗. New Year’s Eve


“วันนี้ไปเคาท์ดาวน์ที่ไหนกันบ้างคะ” เสียงพิธีกรในรายการโทรทัศน์ดังมาให้ได้ยิน มันเป็นประโยคที่ได้ยินมาตลอดทั้งวัน แม้ว่าจะพยายามทำเป็นไม่ได้ยินมัน แต่สุดท้ายก็เป็นไปไม่ได้เลย ที่วันสุดท้ายของปีแบบนี้ จะเลี่ยงไม่ให้รับรู้ถึงสิ่งที่คนทั่วไปตั้งหน้าตั้งตารอคอยไปได้

ซอโซ่ยืนหันหลังให้กับโต๊ะเล็ก ๆ ที่โทรศัพท์มือถือของเขาวางอยู่ ที่เมื่อสักพักใหญ่ ๆ นี้ มีเสียงข้อความดังเข้ามาติดต่อกัน ซึ่งเขาก็พอจะเดาได้ว่า เป็นใครที่ส่งข้อความมาแบบนั้น ซอโซ่ที่พยายามจะจดจ่ออยู่กับอาหารที่เขาคิดเอาไว้ว่า จะทำกินเองในคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่มื้อนี้ แต่จิตใจกลับไม่อยู่กับวัตถุดิบและเครื่องปรุงตรงหน้าเลย

'เราเจอกันเย็นนี้ ยังทันนะครับ' ข้อความที่ซอโซ่หยิบขึ้นมาอ่านจากโทรศัพท์มือถือ ใจความว่าไว้อย่างนั้น พลันภาพในห้องนอนบนชั้นสองของบ้านหลังนั้น ก็ผ่านเข้ามาในความคิด ภาพที่ซอโซ่พยายามสลัดออกไป แต่มันยิ่งย้อนกลับมาให้ได้เห็น และยิ่งวนไปวนมาอยู่ในความคิดไม่ยอมจางลงสักที

รู้ตัวอีกที ไอ้อาการพยายามห้ามตัวเองอย่าสนใจ ไม่ให้ความสำคัญใด ๆ มันก็ใช้ไม่ได้ผล เพราะตอนนี้ซอโซ่ก้าวลงจากรถแท็กซี่ หยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้านหลังงาม ราคาแพงระยับของลูกค้าเรียบร้อยแล้ว แถมในมือยังหิ้วถุงอะไรต่อมิอะไรอยู่เต็มมือ มองเข้าไปในบ้าน ก็เห็นชายหนุ่มใส่หน้ากากอนามัยคนนั้นยืนมองออกมาอยู่ก่อนแล้ว

“ผมจะไม่พยายามพูดหรอกนะ ว่าไม่อยากมา” ซอโซ่เอ่ยขึ้น เมื่อชายหนุ่มยื่นมือมาช่วยแบ่งถุงมากมายนั้นไปถือ แถมเขายังซ่อนแววตาอมยิ้มนั้นเอาไว้ไม่ได้ ที่เห็นซอโซ่ซื้ออะไรต่อมิอะไรติดไม้ติดมือมาด้วย “ผมไม่ค่อยได้ฉลองปีใหม่อะไรกับใคร” ซอโซ่บอกออกไป “ไหน ๆ คุณก็หลวมตัวชวนผมมาแล้ว” พูดขึ้น ก่อนจะชี้นิ้วไปที่ถุงใบใหญ่ที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แน่นถุงใบนั้น

“ผมดีใจซะอีก ที่คุณมา” ชายหนุ่มเดินถือถุงพะรุงพะรังเหล่านั้นเข้าไปในห้องครัว วางมันลงบนไอส์แลนด์ใหญ่กลางห้อง “ถ้านี่เปลี่ยนไปเป็นครัวไทย เราอาจจะต้องเพิ่มแคร่นั่งรับลมจิบเบียร์ที่ด้านนอกนั่น” ชายหนุ่มพูดถึงความชอบส่วนตัวที่ได้ยินจากซอโซ่เมื่อวันก่อน เจ้าของไอเดียหัวเราะออกมา ชายหนุ่มหัวเราะตาม

“นึกถึงเรือนไทยชานบ้านกว้าง ๆ ไม่ก็บ้านต้นไม้อะไรทำนองนั้น” เสียงชายหนุ่มพูดออกมา มือกำลังเปิดกระป๋องเบียร์ต่างชาติ ยื่นส่งให้กับซอโซ่ ที่มองเขาอยู่ก่อนแล้ว “ผมก็ยังนึกไม่ออก ว่าถ้าผมเคยเจอคุณมาก่อน ผมไปเจอคุณตอนไหน” ซอโซ่รับกระป๋องเครื่องดื่มนั้นมา ก่อนจะยกมันขึ้นจิบ ชายหนุ่มเป็นฝ่ายมองตามซอโซ่บ้าง

“ท่าจะคอแข็งใช่ย่อย” คำพูดนั้นเหมือนจะเป็นการเดา แต่ชายหนุ่มเองก็ดูจะไม่แปลกใจหากว่ามันจะเป็นความจริง “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ” ซอโซ่ออกตัว เขิน ๆ หน่อยที่ถูกอีกฝ่ายจ้องมองไม่วางตาเมื่อเขาเองก็ยกกระป๋องเบียร์นั้นขึ้นจิบบ่อยครั้ง “ชอบเบียร์ญี่ปุ่นหรือครับ ตุนมาเยอะเชียว” ชายหนุ่มถาม อีกครั้งที่เหมือนรู้อยู่แล้ว แค่อยากชวนคุย

“มันเหมือนเป็นเรื่องประหลาดมากกว่าครับ” ซอโซ่ตอบกลับไป “พอไปยืนอยู่ที่หน้าตู้แช่ทีไร” ซอโซ่พลางนึกถึงตอนเขาแวะไปที่ร้านสะดวกซื้อ “ตั้งใจจะลองยี่ห้อใหม่ หรือเครื่องดื่มอื่นที่ต่างออกไปบ้าง แต่ก็ลงเอยที่ยี่ห้อนี้ แบบนี้ทุกครั้งไป” ชายหนุ่มฟังคำตอบจากซอโซ่แล้ว ก็พยักหน้ารับ

“ถ้าอันนี้เรียกว่าแปลกแล้ว” ซอโซ่พูดขึ้น พลางหัวเราะเบา ๆ ขำนำไปก่อนถึงเรื่องที่นึกขึ้นได้ “เวลาผมเห็นชามก๋วยเตี๋ยวสองชามวางอยู่คู่กัน อยู่ ๆ ผมก็จะรู้สึกเศร้า ๆ เหงา ๆ ปน ๆ กันซะอย่างนั้น” ซอโซ่ส่ายหน้ายิ้ม ๆ ให้กับสิ่งที่สะกิดใจเขาแบบพิลึกพิลั่น “เหมือนเคยไปทำอะไรผิดเอาไว้” คราวนี้ชายหนุ่มไม่ยิ้มตาม แต่เอื้อมมือไปหยิบเบียร์กระป๋องใหม่มาปิดแล้วส่งให้

“แล้วจำได้มั้ยว่าทำอะไรไว้กับใคร” ชายหนุ่มถามออกไป นิ่ง รอคำตอบ ซอโซ่ขมวดคิ้วเล็กน้อย มองสบตากับอีกฝ่ายก็จริง แต่เลือกที่จะเม้มริมฝีปาก ไม่พูดอะไรออกไป “ว่าแต่จะใส่หน้ากากอนามัยดื่มเบียร์กับผมทั้งคืนหรือไง” ซอโซ่ทำเส เปลี่ยนเรื่องถามอีกฝ่ายไป “ไม่งั้นผมไม่ดื่มต่อด้วยแล้วนะ” ซอโซ่ทำเสียงจริงจังใส่ ชายหนุ่มดูลังเลไม่น้อย ก่อนจะค่อย ๆ ปลดหูคล้องด้านหนึ่งออก แล้วตามด้วยอีกข้าง

“ได้เห็นสักที” ซอโซ่พูดออกไป ใจมันเต้นตึกตักที่ได้เห็นใบหน้าที่คมเข้มของอีกฝ่าย “คุณเจ้าของบ้าน” ชายหนุ่มชะงักไปเช่นกัน มือที่กำลังจะเอื้อมไปคว้ากระป๋องเบียร์หยุดกึกทันที “คุณรู้หรือ” เสียงนั้นแปลกใจไม่น้อยไปกว่าสีหน้าที่ตัวเขามีในตอนนี้ “ก็อยากจะรู้น่ะครับ ว่าคนที่จ่ายค่าบ้านหลังละกว่าครึ่งร้อยล้าน เขานึกอยากจะเล่นสนุกอะไร” ซอโซ่ยกกระป๋องเบียร์ในมือขึ้นดื่ม ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ ก่อนทำตามบ้าง

“ถามได้มั้ยครับ ว่าคุณซื้อบ้านหลังนี้เพราะอะไร” ซอโซ่มองไปที่ชายหนุ่มที่ใบหน้าดูผ่อนคลายมากขึ้นแล้วตอนนี้ “คุณรู้สึกโอเคใช่มั้ย” ชายหนุ่มกลับถามคำถามอะไรแปลก ๆ แทน “ผมสบายดี ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย นี่ผมถามคุณไปนะ ว่าคุณซื้อบ้านหลังนี้เพราะอะไร” หลังจากเบียร์กระป๋องที่สองหมดลง ซอโซ่ก็เปิดกระป๋องใหม่ทันที กำแพงใส ๆ แต่หนา ที่เคยกั้นกลางทั้งสองคนเอาไว้ ถ้าหากจะมองเห็นได้ มันคงจางตัวเองหายไปเกือบหมดแล้ว

“ผมซื้อเอาไว้เป็นเรือนหอ” ซอโซ่รู้เลยว่า ใบหน้าของเขาคงดูเหวอแบบไม่มีสาเหตุ จนตัวเขาต้องรีบปรับเปลี่ยนสีหน้าของตัวเองให้ดูเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอเบา ๆ “แต่ตอนนี้กำลังหาเจ้าสาวอยู่น่ะครับ” ซอโซ่พยายามทำสีหน้าให้เรียบเฉย ทั้ง ๆ ที่เกือบหลุดยิ้มออกไปแล้วเชียว ชายหนุ่มกับแววตาที่ขี้เล่นและเป็นประกายของเขา ทำให้ซอโซ่ต้องยกเบียร์ขึ้นดื่มอึกใหญ่

“คุณพอจะรู้จักใครบ้างไหมครับ เผื่อเขาจะสนใจ” ชายหนุ่มยกกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่ม แต่สายตายังคงมองไปที่อีกฝ่าย ซอโซ่ทำเป็นเมินไม่ได้ยินที่ชายหนุ่มพูด ก่อนที่ชายหนุ่มเองนั้น จะกระแอมกระไอสองสามทีอย่างจงใจ เพื่อให้ซอโซ่หันกลับมามองทางเขา ซึ่งซอโซ่นั้นหลุดยิ้มออกมาจนได้ ชายหนุ่มเองก็ไม่สามารถซ่อนความชอบใจเอาไว้ได้เช่นกัน

ค่ำคืนนั้นผ่านไปได้ไม่ยากเลย เพราะหลังจากนั้นทั้งสองก็เริ่มหาเรื่องมาพูดคุยกันได้อย่างต่อเนื่องง อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์เบียร์ที่เพิ่มขึ้นในกระแสเลือด ตามจำนวนกระป๋องที่ว่างเปล่าลงทำให้การสนทนานั้น ออกรสชาติ เหมือนว่าคุ้นเคยกันมาก่อน กับค่ำคืนสุดท้ายของปี กำลังนับถอยหลังแต่เดินหน้าเข้าใกล้วันแรกของปีถัดไปมากขึ้นเรื่อย ๆ

ที่ห้องรับแขกตรงพื้นที่ด้านหน้าโซฟา ทั้งสองคนนั่งอยู่ที่พื้น บนพรมหนานุ่มที่ปูรองเอาไว้จนเต็มพื้นที่ กระป๋องเบียร์ที่ยังไม่ได้เปิด รวมถึงที่ดื่มจนหมดแล้ว วางอยู่บนโต๊ะกระจกราคาแพง ซอโซ่พิงศีรษะลงบนที่เท้าแขนโซฟามองไปยังชายหนุ่ม ที่เขาเองก็รู้ตัวว่ากำลังโดนมองอยู่ ชายหนุ่มยกกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่มเบียร์ที่เหลือรวดเดียวจนหมด มันชืดจนรสชาติขมกว่าเดิม

“ดื่มแบบใส่น้ำแข็งมั้ยครับ” ซอโซ่พยักหน้าที่ตอนนี้ แก้มทั้งสองข้างของเขาแดงเรื่อไปด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ ชายหนุ่มลุกเดินหายเข้าไปครัวไม่นาน ก็กลับมาพร้อมแก้วเบียร์และน้ำแข็งในกระติก “กระติกไม่ได้เข้ากับเทสต์ของเจ้าของบ้านเลย” ซอโซ่พูดพลางหัวเราะออกมา ตามประสาคนที่เริ่มเมาแล้ว

“ผมไปตามหามันมาจนเจอนะ” ซอโซ่ได้ยินชายหนุ่มพูด เขามองไปที่กระติกน้ำแข็งนั่นอีกครั้ง ก่อนจะตวัดสายตามองไปทางอื่น ยันตัวลุกขึ้นนั่ง ใช้ปลายนิ้วปัดน้ำตาที่อยู่ ๆ ก็เอ่อรื้นขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ นิ้วเช็ดหยาดน้ำใสนั้นอย่างลวก ๆ “นี่เขาจะเริ่มจุดพลุกันหรือยัง” พลางเสพูดไปเรื่องอื่น พลางเฉไฉหยิบแก้วเบียร์ใส่น้ำแข็งยกขึ้นดื่มไปกว่าครึ่งแก้ว

ชายหนุ่มไม่ได้ตอบ แต่เดินถือแก้วเบียร์มานั่งลงข้าง ๆ กันกับซอโซ่ ที่ตอนนี้แม้ในใจจะเต้นโครมคราม แต่ก็ไม่ได้ขยับหนีไปไหน ชายหนุ่มยกแก้วขึ้นดื่มอึกใหญ่ ก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะกระจก สายตาของเขาจ้องตากับซอโซ่ ก่อนจะไล่สายตาลงไปที่ริมฝีปากของอีกฝ่าย เสียงนับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่ดังมาจากที่ไหนไกล ๆ สักแห่ง ก่อนที่ชายหนุ่มจะขยับยื่นหน้าเข้าหาซอโซ่

************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

คืนข้ามปี - ดา ENDORPHINE

https://www.youtube.com/watch?v=FGBLInwf_MA


มองเวลาก็เกือบเที่ยงคืน

The clock says it’s almost midnight

สิ้นคืนนี้ ก็เป็นเวลาของปีใหม่

After this night, it’s the time of the new year

มองทางใดมีแต่แสงไฟ

Lights are now seen everywhere

สวยเพียงไหน หัวใจก็จำได้เลือนราง

Though beautiful, the mind vaguely remembers

มีเพลงเปิดดัง มีผู้คนรอบกาย หัวใจก็ยังเงียบงัน

The music is loud, people around, my heart is still lonely


อยากมีคนพิเศษ อยู่ในคืนพิเศษ

Need someone special, in this extraordinary night

คืนสำคัญอีกคืน ที่ต้องอยู่อย่างเหงาใจ

The very important night but still all alone

อยากมีคนพิเศษ จับมือกันข้ามผ่าน

Should be a special someone, holding hands through this night

คืนสำคัญอีกคืน ที่ความเหงาคืบคลานหัวใจ

It matters, though loneliness claws its way to my heart


รอเวลาจะผ่านข้ามปี

Waiting for the time to go from old to new year

ข้ามคืนนี้ เหมือนเดิมด้วยใจที่ว่างเปล่า

After tonight, all the same with emptiness in my heart

มองทางใดเจอแต่เรื่องราว

Looking everywhere it’s all about this

ของความรัก ของคนที่มาคู่เคียงกัน

Very love story of two people coming together

มีเพลงเปิดดัง มีผู้คนรอบกาย หัวใจก็ยังเงียบงัน

The music so loud, people all around, my heart still beats lonely one


อยากมีคนพิเศษ อยู่ในคืนพิเศษ

Need someone special, in this extraordinary night

คืนสำคัญอีกคืน ที่ต้องอยู่อย่างเหงาใจ

The very important night but still all alone

อยากมีคนพิเศษ จับมือกันข้ามผ่าน

Should be a special someone, holding hands through this night

คืนสำคัญอีกคืน ที่ความเหงาคืบคลานหัวใจ

It matters, though loneliness claws its way to my heart

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: สืบลับ สืบรัก: CLSI ๖๘. DESIRE _ 01.04.2024
«ตอบ #71 เมื่อ04-01-2024 16:35:01 »


Crime and Love Scene Investigation


๖๘. Desire



ซอโซ่หลับตาลง เมื่อริมฝีปากของตัวเองถูกอีกฝ่ายสัมผัสด้วยริมฝีปากเช่นกันอย่างแผ่วเบา เขาขยับถอยหลังเล็กน้อยเมื่อค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองอีกครั้ง เพื่อมองเห็นชายหนุ่มเจ้าของบ้านที่มองสบตามาด้วยเหมือนกับถามอยู่ว่า ถ้าจะทำต่อ ซอโซ่จะอนุญาตมั้ย ซอโซ่นั้นกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะเม้มริมฝีปากที่เพิ่งโดนอีกฝ่ายจูบเข้าหากัน

ใจของซอโซ่ในตอนนี้เต้นแรง ลิ้นที่เพิ่งแตะโดนริมฝีปากของตัวเอง ทำให้สมองสั่งการรับรู้ว่า มันยังมีรสชาติของอีกฝ่าย หลงเหลือตกค้างอยู่ให้ได้ลิ้มชิม สัมปชัญญะที่ถูกลดทอนลงด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จากเบียร์ที่ดื่มเข้าไป กำลังส่งเสียงถามกับตัวเองว่า ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ ตัวเขาเองกำลังมีสติครบถ้วนดีอยู่ใช่มั้ย

ชายหนุ่มที่รอคำตอบอยู่ แต่ไม่เห็นท่าทีปฏิเสธจากซอโซ่ และสัมผัสแรกที่ชายหนุ่มได้รับรู้จากอีกฝ่าย มันทำให้เขาไม่อยากหยุดอยู่เพียงเท่านี้ ต่อให้สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ ความกล้าส่วนหนึ่งอาจจะมาจากฤทธิ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ได้ดื่มไปมากพอสมควร แต่ส่วนที่เหลือทั้งหมด ชายหนุ่มบอกตัวเองได้อย่างมั่นใจว่า มันมาจากความต้องการของหัวใจเขาเอง

ริมฝีปากของชายหนุ่มที่ประกบเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้ซอโซ่รับรู้ได้ถึงความต้องการของอีกฝ่าย ที่มันผ่านแรงกดที่ทิ้งน้ำหนักบดลงมานั้นส่งมาถึง หากเป็นเวลาปกติ กลิ่นแอลกอฮอล์ในลมหายใจของคนอื่นแบบนี้ ซอโซ่คงไม่นึกจะพิสมัยนัก แต่กลับกัน ในคราวนี้นั้น ผสมกับไรหนวดสีเขียวเหนือริมฝีปากของอีกฝ่าย ทำให้ซอโซ่ตอบรับการจูบนั้น ด้วยการเผยอริมฝีปากขึ้น

ทันทีที่อีกฝ่ายเปิดทางให้ ชายหนุ่มแทรกปลายลิ้นรุกล้ำเข้าไปหาในทันที ความนิ่มลื่นกระหวัดเลาะชิมอีกฝ่ายในทันที กระหวัดรัดเลี้ยวลิ้นราวกับตัวเองเพิ่งพบเจอแหล่งน้ำโอเอซิสกลางทะเลทราย และยิ่งอีกฝ่ายตอบรับด้วยการตัวอ่อนยวบเข้าหาแผงอกของเขาด้วยแล้ว ชายหนุ่มขยับตัวให้เข้าใกล้ซอโซ่แบบถนัดถนี่มากยิ่งขึ้น

เสียงลมหายใจของชายหนุ่มที่ฟังดูหนักหน่วง มันกำลังบอกให้ซอโซ่รับรู้ว่า อารมณ์ที่เริ่มเตลิดของชายหนุ่ม กำลังพาเขาไปไกลมากแค่ไหน ยิ่งซอโซ่รู้ตัวว่า กำลังปล่อยให้ตัวเองตามความรู้สึกไปแบบนี้ด้วยแล้ว แน่นอนที่ชายหนุ่มต้องรู้สึกได้ ว่าเขากำลังจูบดื่มด่ำกับซอโซ่ที่กำลังเต็มใจ

ซอโซ่เห็นชายหนุ่มขยับเข้าหาเขา ก็เลื่อนตัวลุกขึ้นยืนเข่า ชายหนุ่มเห็นแบบนั้น ก็แทรกตัวเข้าไปใช้หลังพิงเข้ากับโซฟา ก่อนจะไถลตัวลงนิดหนึ่ง ให้ศีรษะพิงเข้าพอดีกับที่นั่งโซฟาตัวนั้น ซอโซ่ที่เห็นแบบนั้น ก็โน้มตัวลงเท้ามือกับพรมนุ่มที่ปูอยู่ด้านล่าง รับการสัมผัสจากริมฝีปากของชายหนุ่มอีกครั้ง และครั้งนี้ชายหนุ่มไล้ปลายจมูกของตัวเองขึ้นลงตามลำคอของซอโซ่ ก่อนที่เขาจะเงยหน้ามองอีกฝ่าย เมื่อซอโซ่ขยับตัวจากที่ยืนเข่าที่ระหว่างขาของชายหนุ่ม มานั่งคร่อมลงที่หน้าขาของเขาแทน

ชายหนุ่มเลื่อนมือทั้งสองข้างประคองสะโพกของซอโซ่ให้กดนั่งลงบนหน้าตักของเขาให้พอดี ซอโซ่หย่อนบั้นท้ายของตัวเองตามการไกด์ด้วยมือทั้งสองข้างของชายหนุ่ม และเมื่อซอโซ่ทาบหนั่นเนื้อนั้นลงบนหน้าขาของชายหนุ่ม ความรู้สึกบอกได้ในทันทีถึงอะไรบางอย่างที่พาดเป็นทางยาวอยู่ใต้กางเกงของอีกฝ่าย

ซอโซ่รับรู้ถึงความอุ่นจนเกือบร้อนที่วางลำตัวผ่านร่องกลางตัวนั้น มันอุ่น และมันกำลังเริ่มขยับตัว ชายหนุ่มเองนั้นรู้ดีว่า อีกไม่กี่วินาทีต่อจากนี้ ไอ้การถูกซอโซ่นั่งทับท่อนอุ่นนั้น กำลังจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับส่วนแสดงความเป็นชายของเขา ยิ่งการได้สบตากัน และการได้ใช้ปลายจมูกรับรู้ถึงกลิ่นเนื้อกลิ่นหายของอีกฝ่ายด้วยแล้ว

ชายหนุ่มไล่สายตาจากดวงตาคู่นั้นของซอโซ่ ลงมาที่จมูกโด่งแต่ดูรั้น เรื่อยมาจนถึงริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อ ที่ตอนนี้แดงขึ้นจากการถูกบดขยี้ด้วยริมฝีปากของเขาเมื่อก่อนหน้านี้ มันดูเย้ายวนและเชื้อเชิญ อาการที่มันเผยอขึ้นทำให้ชายหนุ่มอยากจะลิ้มลองและเข้าไปค้นหาความหวานจากในโพรงปากนั้นเพิ่มเติม

และเขาก็ทำเช่นนั้นอย่างที่ใจคิดโดยไม่รีรอ ซอโซ่ที่อยู่บนตักของเขา กำลังขยับบั้นท้ายแล้วนั่นทำให้ส่วนสำคัญนั้นขยายขนาดขึ้น ในขณะที่ลิ้นของชายหนุ่มกลับเข้าประจำการและลิ้มรสชาติหวานล้ำ ที่ชายหนุ่มและซอโซ่ตวัดรัดกันอย่างเร่าร้อน มือของชายหนุ่มตะปบเข้ากับหนั่นเนื้อสองก้อนกลมแน่นของซอโซ่

มือของซอโซ่เองก็ลากผ่านแผงอกกว้างที่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ ก่อนจะลากมือทั้งสองข้างนั้นลงไปที่หน้าท้องที่ถูกบังคับให้ออกกำลังกายมาเป็นอย่างดี เมื่อมือของซอโซ่ไล่เลาะลงมาถึงซิปกางเกงของชายหนุ่ม เขาโหย่งตัวขึ้นจากหน้าขาของชายหนุ่ม ก่อนจะลากปลายนิ้วลงไปที่ซิปนั้น ปลดมันลงล่าง แล้วล้วงมือข้างหนึ่งเข้าไปที่ช่องว่างระหว่างซิปกางเกงนั้น

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น ศีรษะที่พาดวางอยู่บนที่นั่งโซฟา เขาหายใจเข้าจนลึก กดให้ศีรษะจมลึกลงไปในโซฟา เมื่อมือสัมผัสอันนุ่มนวลของซอโซ่ พาเอาส่วนสำคัญทั้งหมดของเขาที่หว่างขานั้น ออกมาอยู่ด้านนอกกางเกง ลอดผ่านช่องว่างระหว่างซิปนั้นออกมา สัมผัสของมันบนเนื้อผ้ากางเกงนั้นแปลก แต่ก็ทำให้เขาตื่นตัว

มือของซอโซ่ที่รูดรั้งมันขึ้นลงช้า ๆ แต่เป็นจังหวะต่อเนื่อง ทำให้สัมผัสบนมือของซอโซ่รับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงจากความหยุ่นนุ่มที่ดูจะล้อเล่นกับฝ่ามือของเขา ตั้งแต่ปลายที่มีหนังพิเศษห่อหุ้มยันโคนที่นุ่มนวลเช่นกันแต่มาจากพรมไหมขนสีดำที่เรียงตัวกันหนา ตอนนี้มันเปลี่ยนแปลงไปในฉันพลัน สัมผัสบนมือคือความนุ่มแห่งหนังด้านนอก แต่แข็งแกร่งขึ้นจากเลือดที่สูบฉีดจนเนื้อเยื่อด้านในแข็งแกร่ง และตั้งตรงขึ้นจนสุดความยาวที่มันจะขยายตัวได้

มือของซอโซ่เลื่อนไปที่บนปลายสุด ลากผ่านมันลงไป พาให้หนังหุ้มยาวนั้นถูกรั้งให้ดึงลงไปด้านล่าง เผยให้เห็นถึงความบานออกที่บนหัวสีชมพู ที่ตอนนี้รอยแยกที่ส่วนปลายนั้น ส่งน้ำสีใสไหลออกมาเคลือบส่วนหัวทั้งหมดนั่น ก่อนจะไหลลากตามมือของซอโซ่ลงไปที่ทำให้แพรไหมสีดำที่โคนนั้นรับรู้ถึงความฉ่ำแฉะ

ชายหนุ่มมองซอโซ่ขยับเคลื่อนตัวให้หัวเข้าทั้งสองข้างของตัวเองไหลลงไปบนพรมนุ่มนั่น และมันเป็นผลทำให้ใบหน้าของเขาในตอนนี้เลื่อนตามลงไป จนมือหนึ่งกุมกำกับท่อนความเขื่องนั้น ส่วนปลายของแท่งทวนชนเข้ากับที่ปลายคางของซองโซ่ ก่อนที่ซอโซ่จะเลื่อนให้ริมฝีปากของเขาชนเข้ากับส่วนปลายนั้น ชายหนุ่มก้มมองไปที่ซอโซ่ แต่เจ้าตัวนั้นจ้องตากับชายหนุ่ม ไม่ได้มองลงไป เมื่อส่วนหัวนั้นเคลื่อนหายผ่านริมฝีปากสีชมพูของซอโซ่ จนความใหญ่เปรียบเทียบได้กับหัวแมวหายเข้าไปทั้งหมด

ชายหนุ่มหายใจแรงและถี่ เมื่อซอโซ่เลื่อนริมฝีปากรวมถึงทั้งหมดของโพรงปากนั้นขึ้นลง และจังหวะของมันเริ่มเร็วขึ้น และแรงดูดอากาศที่กระทำต่อความกว้างของโพรงปากที่แคบลงอย่างถนัดใจ ทำให้ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะขยับเอวของเขาสวนขึ้นเมื่อริมฝีปากของซอโซ่กดต่ำลงมาหา

ซอโซ่ต้องถอนปากของตัวเองออก เมื่อต้องการหายใจให้เต็มท้องอีกครั้ง ชายหนุ่มรู้สึกผิดเมื่อรู้ตัวว่าเขานั้น อารมณ์เตลิดไปไกล จนเผลอไผลตามความรู้สึกไปแบบนั้น แต่ในแววตาของซอโซ่ไม่ได้ตำหนิเขาอย่างใด กลับเต็มไปด้วยประกายในแววตา ที่คือความต้องการในตัวของชายหนุ่มเช่นกัน

ชายหนุ่มดันตัวเองให้ลุกขึ้น ก่อนจะขยับตัวไปอยู่ที่ด้านหลังของซอโซ่ เขาเอื้อมมือไปปลดกางเกงของซอโซ่ให้ถอดออก ก่อนจะดึงให้มันหลุดไปทางปลายเท้า พร้อม ๆ กับชั้นในสีขาวสะอาดนั้น ชายหนุ่มดันตัวของซอโซ่ให้ขยับไปด้านหน้า จนตัวของซอโซ่ถูกดันจนชนเข้ากับโซฟา ซอโซ่เอี้ยวตัวหันกลับมามองด้านหลัง ก่อนจะเห็นชายหนุ่มซุกหน้าลงไปทางหนั่นเนื้อของเขา

ซอโซ่เอื้อมมือข้างหนึ่งไปบีบโซฟาราคาแพงเอาไว้ ก่อนที่เขาจะต้องขยับตัวเอื้อมมือไปดันพนักโซฟา เมื่อลิ้นของชายหนุ่มนั้นแข็งแกร่งมากพอ ที่จะทำให้ทั้งร่างกายของซอโซ่ต้องสั่นสะท้าน ซอโซ่ต้องปล่อยเสียงครางออกมา เมื่อลิ้นที่แข็งแรงจนน่าเหลือเชื่อของชายหนุ่ม ถอนออกจากร่องหลืบลากผ่านเส้นรอยหยักรอยต่อที่พาลิ้นของชายหนุ่มลงไปเจอฝาแฝดที่คล้อยอยู่ทางด้านหลังนั่น และไล่เลยไปจนถึงความเป็นชายที่กำลังแข็งขันของซอโซ่ที่ถูกกดส่วนหัวลงด้านล่าง ลิ้มรสและมอบความหฤหรรษ์เช่นเดียวกัน

ซอโซ่ทนอีกไม่ไหว เขาเอื้อมมือไปที่กระเป๋าสะพายที่เอาติดตัวมา ก่อนจะหยิบเอาเครื่องป้องกันกล่องนั้นออกมา ชายหนุ่มนั้น ซอโซ่ไม่จำเป็นต้องบอกอะไรเขา หยิบเอามันมาแกะพลาสติกออก ก่อนจะสวมให้กับความแข็งแกร่งของตัวเองโดยรูดยาวลงไปจากปลายจนสุดความยาว ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ ชายหนุ่มลุกขึ้นจากตรงนั้น ไปที่ลิ้นชักชั้นวาง หยิบเอาอะไรบางอย่างถือกลับมา

พลาสติกถูกแกะออกจากฝาเปิดของหลอดสีใสนั้น ก่อนที่ซอโซ่จะรู้สึกถึงความเย็นที่ถูกป้ายที่ช่องทาง ก่อนจะรับรู้ถึงความลื่นเย็นที่ค่อย ๆ ถูกปลายนิ้วของชายหนุ่มสอดเข้ามา ซอโซ่กดหน้าท้องของตัวเองลง เพื่อให้ขาทั้งสองข้างของตัวเองแยกออก เผยให้บั้นท้ายยกสูงขึ้น เปิดกว้าง ซอโซ่ใช้เวลาเตรียมตัวจนมั่นใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยเพื่อกิจกรรมนี้

ชายหนุ่มนั่งคุกเข่าอยู่ด้านหลังซอโซ่ ก่อนที่จะจัดแจงตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง ซอโซ่หายใจออกดันก้นไปด้านหลัง เมื่อส่วนปลายของชายหนุ่มแตะหนัก ๆ เข้าที่ปากทาง ก่อนที่แรงหน่วงหนืดจะเกิดขึ้นพร้อมกับท่อนนั้นจะดันตัวเข้ามาด้านในตัวของเขา ซอโซ่กัดริมฝีปากหลับตาพริ้ม ชายหนุ่มร้องครางออกมาจากความบีบรัด เขาแช่ตัวเองอยู่อย่างนั้นก่อน มือบีบเข้าที่หนั่นเนื้อแน่นข้างหน้า ซอโซ่หันเหลียวหน้ามาสบตากับเขา ชายหนุ่มถือเป็นสัญญาณไฟเขียว เขาเริ่มโยกตัวเองเข้าออก

ชนธัญต้องรีบดึงมือออกจากการจับที่ข้อมือของชายหนุ่มที่นั่งตรงหน้า สารวัตรรัฐนนท์หันขวับมามองทางชนธัญทันทีเช่นกัน เมื่อเห็นแบบนั้น อาการหอบหายใจหนัก ๆ ของหนุ่มหน้าใสทำให้สารวัตรหนุ่มหล่อสงสัยว่าอีกฝ่ายเห็นภาพอะไร หลังจากที่ชายหนุ่มคนนี้ขอร้องความช่วยเหลือจากชนธัญ

“คุณเห็นอะไร” ชนธัญได้ยินคำถามนั้นจากสารวัตรรัฐนนท์ ถึงกับต้องส่ายหน้ารีบบอกออกไปว่า “เปล่าครับไม่มีอะไร แค่ว่า” ชนธัญหยุดชะงักไปนิดหนึ่ง “ผมควรจะมองเห็นภาพในอดีตกาลก่อน ไม่ใช่ภาพในปัจจุบัน เมื่อเร็ว ๆ นี้” สารวัตรรัฐนนท์ขมวดคิ้ว ถามย้ำอีกสองสามครั้ง เพราะต้องการแน่ใจ ว่าภาพปัจจุบันอะไรที่ต้องทำให้หนุ่มหน้าใสถึงกับหน้าแดงก่ำเป็นลูกตำลึงสุกแบบนี้

***********************************************************

คำแปลเนื้อเพลงเป็นภาษาไทย โดย KADUMPA

That's The Way Love Goes - Janet Jackson

https://www.youtube.com/watch?v=VITU-kdhiVs


Like a moth to a flame

ดุจผีเสื้อกลางคืนบินล้อเล่นเปลวไฟ

Burned by the fire

เจ้าไฟก็เผาแผดไหม้ร้อนรน

My love is blind

ความรักเอยปิดกั้นไม่ให้เห็นใดใด

Can't you see my desire

ความปรารถนาอย่างเดียวที่คิดปอง

That's the way love goes

นั่นคือสิ่งที่เรียกว่ารักดำเนินครรลอง


Come with me, don't you worry

มาด้วยกันกับฉัน ไม่ต้องกังวลอะไรไป

I'm gonna make you crazy

ก็แค่อยากจะทำให้คุณบ้าคลั่ง

I'll give you the time of your life

ด้วยการมอบช่วงเวลาแห่งชีวิตให้กับคุณ

I'm gonna take you places

ฉันจะพาคุณไปในที่ที่พิเศษสุด

You've never been before and

ที่ที่คุณไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน

You'll be so happy that you came

และคุณดีใจแน่นอนที่มาเจอกันวันนี้

Ooh, I'm gonna take you there, ooh

แน่นอนฉันจะพาคุณไปให้ถึงที่

That's the way love goes (ooh)

นั่นคือความรักที่จะนำเราไป


Don't mind if I light candles

อย่าว่ากันหากมีเทียนจุดสักหน่อย

I like to watch us play and

ฉันก็อยากเห็นตอนเราเล่นสนุกกัน

Baby, I've got on what you like

ฉันมีสิ่งที่คุณชอบเตรียมไว้อย่างแน่นอน

Come closer, baby, closer

เข้ามาใกล้ใกล้กัน ใกล้เข้ามาอีกนิด

Reach out and feel my body

เอื้อมมือมาแล้วสัมผัสร่างกายของฉัน

I'm gonna give you all my love

แล้วฉันจะให้ความรักทั้งหมดที่ฉันมี


Ooh, sugar don't you hurry

สุดที่รัก ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนแต่อย่างใด

You've got me here all night

ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนแน่นอน

Just close your eyes and hold on tight

แค่หลับตาแล้วคุมบังเหียนให้แน่น

Ooh, baby, don't stop, don't stop

สุดที่รักอย่าหยุด ขยับอีกเพิ่มอีก

Go deeper, baby, deeper

ลึกเข้าไป ให้ลึกเข้าไปข้างใน

You feel so good I'm gonna cry

คุณทำให้ฉันเกินสุข จนแทบหลั่งน้ำตา

Oh, I'm gonna take you there, ooh

มาเถอะ ฉันจะพาคุณไปให้ถึงเอง


That’s the way love goes

นั่นคือรักที่นำทางเราไป

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: สืบลับ สืบรัก: CLSI ๖๙. Best Friends _ 01.18.2024
«ตอบ #72 เมื่อ18-01-2024 21:50:29 »



Crime and Love Scene Investigation



๖๙. Best Friends



“ตายแล้ว ทีวีสมัยนี้นี่มันยังไงกันนะ” หญิงวัยกลางคนโพล่งคำพูดออกมา เมื่อได้เห็นสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกว่า มันเกินไปมากกับความคิดเธอ “อะไรหรือครับแม่” เสียงของเด็กหนุ่มถามขึ้น ก่อนจะเดินมานั่งลงที่ข้าง ๆ กันบนโซฟาหน้าโทรทัศน์ในห้องรับแขกเล็ก ๆ นั้น “ก็ละครบัดสีสัปดี้สัปดนนี่สิลูก ดูกันเข้าไปได้นะแบบนี้ คนสมัยนี้” หญิงสูงวัยกว่าร้องบอกพลางชี้นิ้วไปที่หน้าจอทีวี

“ละครเขาทันสมัยน่ะครับแม่ ไม่มีอะไรหรอก” เด็กหนุ่มหัวเราะเสียงใส หลังจากที่มองเห็นนักแสดงชายในละครทีวีนั้น แต่งชุดของผู้หญิง แต่งหน้าทาปาก พูดจาจีบปากจีบคอ พลางทำฉอเลาะกับนักแสดงหนุ่มอีกคน ที่รับบทเป็นพระเอกของเรื่อง “โอย ไม่ไหวหรอกแบบนี้ แม่เห็นแล้วแม่จะเป็นลม” หญิงวัยกลางคนไม่พูดเปล่า เอื้อมหยิบยาดมจากตะกร้าที่วางอยู่บนโต๊ะไม้เล็ก ๆ ข้างหน้าของเธอมาเปิดดม

“มันเป็นฉากปลอมตัวตลก ๆ เองครับแม่ ผมว่ามันก็ขำดี” เด็กหนุ่มพูดพลางหัวเราะ ก่อนจะกดปุ่มบนรีโมทเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ไปเป็นรายการอื่น “แบบนี้เขาเรียกวิปริต ผิดเพศสิลูก แม่ขอร้องล่ะ อย่าพูดเหมือนกับว่ามันไม่ใช่เรื่องผิดปกติไปหน่อยเลย เป็นแบบนี้บ่อย ๆ เข้า มีหวังสังคมย่ำแย่แน่ ๆ” คำพูดของหญิงวัยกลางคนยังคงใช้สุ้มเสียงที่แสดงความไม่เห็นด้วยอยู่ดี

“ที่โรงเรียนมีแบบนี้มั้ยลูก” เสียงถามนั้นเต็มไปด้วยความกังวล “มีแบบไหนครับแม่” เสียงถามกลั้วหัวเราะกลับไป ทำให้หญิงวัยกลางคนเริ่มทำสีหน้าจริงจังมากขึ้น “มีใช่มั้ย พวกผู้หญิงก็ไม่ใช่ ผู้ชายก็ไม่เชิง กะเทย ตุ๊ดอะไรนี่” หญิงวัยกลางคนหันมามองหน้าเด็กหนุ่มด้วยอาการของคนต้องการคำตอบจริง ๆ

“เพื่อน ๆ กันทั้งนั้นครับ” เด็กหนุ่มตอบกลับไปอย่างคนที่ไร้ความกังวลใด ๆ แตกต่างจากหญิงวัยกลางคนตรงหน้าอย่างสิ้นเชิง “พวกนี้มันจะไม่เป็นแค่เพื่อนด้วยน่ะสิ ดูอย่างในละครนั่น ในหัวสมองของพวกมัน ต้องคิดวนเวียนอยู่กับแค่เรื่องอย่างว่า จับผู้ชายคนไหนได้ มันก็คิดจะทำแต่แบบนั้น ทุเรศยิ่งกว่าพวกบรรดาผู้หญิงที่ยอมเป็นแม่น้อยพวกเสี่ยเสียอีก” เด็กหนุ่มถึงกับยิ้มกว้างไปกับอาการเป็นห่วงอย่างมากมายของหญิงวัยกลางคน

“ธันวาล่ะ มีพวกแบบนี้มาเกาะแกะลูกแม่บ้างมั้ย ฮึ เจมส์” หญิงวัยกลางคนถามคำถามที่ทำให้เธอร้อนใจกับเพื่อนคนสนิทของลูกชาย “โอ๊ย แม่ครับ มันจะมีไปได้ยังไงกัน” เจมส์ขำไปกับอาการของแม่ของเพื่อนสนิทของเขา ที่ออกอาการเป็นห่วงจนเขาเองยังต้องอึ้งเมื่อได้เห็น

“แม่รับไม่ได้หรอกนะ ถ้าธันวามันจะไปอยู่กับพวกประหลาดพวกนี้” ผู้เป็นแม่บอกความรู้สึกของตัวเองออกมาอย่างไม่ปิดบัง “จะให้มาเกาะแกะ วอแว วุ่นวาย กับธันวายิ่งแล้วใหญ่ แม่ไม่ไหวหรอก ไม่เอาด้วย แม่อายเขาลูก เจมส์ แม่อายคนอื่น ที่จะมาเห็นลูกของแม่ไปอยู่ท่ามกลางพวกจิตประสาท ผิดธรรมชาติพวกนี้” เจมส์หัวเราะไปกับคำพูดของแม่เพื่อน

“ไม่มีหรอกครับแม่ สบายใจได้ วัน ๆ ที่โรงเรียน ธันวามันก็เอาแต่เรียน เด็กคงแก่เรียนอย่างมัน มีแต่จะต้องคอยมาห่วงผมนี่แหละ” เจมส์พูดบอกกับแม่ของเพื่อนไป ถึงพฤติกรรมของธันวาตอนอยู่ที่โรงเรียน “ธันวามันต้องคอยเรียนให้เก่ง เป็นที่หนึ่งของห้องอยู่เสมอ เพื่อจะต้องมาติวผมให้หายโง่นี่แหละครับแม่” เจมส์พูดพลางหัวเราะเสียงใส ธันวาที่หลบมุมคอยเงี่ยหูฟังบทสนทนาของแม่กับเพื่อนสนิทมาตั้งแต่ต้น เผลอยิ้มออกมาเช่นกัน

“ดีแล้วลูก ได้ยินเจมส์พูดออกมาแบบนี้ แม่ก็พลอยสบายใจหน่อย เป็นเพื่อนสนิทกัน ช่วยกันเรียนแบบนี้แหละดีเลย” แม่ของธันวาพอจะพูดด้วยความเบาใจลงมาได้บ้าง “เพื่อนผู้ชายเหมือนกัน สนิทกันเข้าไว้น่ะดีแล้ว คอยดูแลกัน ขาดเหลืออะไรบอกกัน สอบเอ็นทรานซ์ติดคณะดี ๆ เรียน จบมาได้หางานดี ๆ ทำ ต่างคนต่างแต่งงานมีครอบครัว มีลูกให้กลับมาเป็นเพื่อนกันรุ่นต่อไปอีก” เจมส์ถึงกับหัวเราะออกมา เมื่อได้ยินการวางแผนอนาคตของแม่เพื่อนแบบนั้น

“เอาอย่างนั้นเลยหรือครับแม่” เจมส์พูดยิ้ม ๆ ก่อนจะเห็นแม่ของธันวาพอจะมีรอยยิ้มออกมาได้บ้าง “แต่ก่อนอื่น ผมต้องขอตัวกลับก่อนนะครับแม่ ไม่ไหวแล้วครับ หัวล้ามึนไปหมด ไอ้ธันวามันติวผมเสียเข้มเลย ใช่มั้ยวะเพื่อน” ธันวาที่เดินออกมาพอดี พยักหน้าน้อย ๆ ให้เพื่อนสนิทของเขา ก่อนจะได้ยินแม่ของเขาบอกให้ออกไปส่งเพื่อนที่หน้าบ้าน

“แม่เป็นห่วงมึงมากเลยนะไอ้ธัน” เจมส์ที่เดินออกไปอยู่ด้านนอกรั้วไม้หน้าบ้านที่สูงเลยเอวขึ้นมาหน่อย หันมาพูดกับเพื่อนสนิท ธันวามองสบตากับเพื่อน ที่ยืนห่างกันเพียงแค่นิดเดียว “นี่ถ้าแม่กูห่วงกูได้มากเท่านี้บ้าง ก็คงจะดี” แม่ของเจมส์นั้นมักจะยุ่งอยู่แต่กับงานที่ทำเสมอ “เจมส์ มึงก็มาเป็นลูกอีกคนของแม่กูก็ได้” ธันวาพูดออกไปแบบนั้น ด้วยหัวใจที่เต้นแรง

“ได้จริงสิ” เจมส์ถาม มีรอยยิ้มกว้างออกมาให้เห็น ธันวาพยักหน้า สบตากับเจมส์นิ่ง “ถ้ามึงช่วยติวให้กูสอบเข้ามหาลัยได้ มึงอยากได้อะไร มึงบอกกู กูให้ได้หมดทุกอย่างเลย” เจมส์พูดก่อนจะยกมือขึ้นจับบ่าของธันวาเอาไว้ ธันวามองตามมือของเจมส์ หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นอีก กับคำพูดของเจมส์ที่ได้ยิน

“ทุกอย่างเลยหรือ” ธันวาพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเหมือนคนกำลังคาดหวังอะไรมาก ๆ “มึงแน่ใจนะ” ธันวามองตามใบหน้าของเจมส์ที่ยื่นเข้ามาหาเขา จนปลายจมูกของทั้งคู่เกือบแนบชิดและชนกัน “มึงว่ามาได้เลย กูให้มึงได้ทั้งนั้น” ริมฝีปากของเจมส์ที่ธันวากำลังมองอยู่นั้น มันแลดูอวบอิ่ม สีชมพู น่าสัมผัสเป็นอย่างยิ่ง

“แต่มึงต้องช่วยกูให้ได้นะเว้ย อย่าลืมล่ะ” เจมส์ดึงใบหน้าออก ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง เดินออกจากหน้าบ้านของธันวาไป โบกมือให้เขาแบบไม่หันหลังกลับมามอง ธันวามองตามจนเจมส์เดินพ้นปากซอยบ้านไป จึงได้เดินกลับเข้าไปในตัวบ้าน บอกแม่ของเขาว่า จะอ่านหนังสือต่อ แล้วเดินเข้าห้องนอนของตัวเองไป

ไฟกลางห้องถูกปิด เหลือแต่เพียงไฟแสงสลัวจากโคมไฟที่หัวเตียง ธันวาเอามือป้ายน้ำลายชุ่มจากปลายลิ้น ก่อนจะเลื่อนมือลงไปกำเอาความเป็นชายของตัวเองที่ตอนนี้มันแข็งสู้เอาไว้ในมือ มือที่ชุ่มไปด้วยน้ำลายนั้นรูดขึ้นลงไปตามลำแข็งแกร่งนั้น ที่มันกำลังทำให้ธันวาล่องลอยเตลิดไปไกลในจินตนาการ

ความชุ่มและลื่นกำลังทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดี เมื่อธันวาเริ่มขยับสะโพกขึ้นลงตามแรงรูดขึ้นลงของมือตัวเอง บนเตียงที่เขานอนด้วยร่างกายเปลือยเปล่า แต่ในความคิดของเขากระหวัดคิดถึงแต่กับใบหน้าของเจมส์เพื่อสนิท ที่มันช่วยให้อารมณ์หนุ่มที่กำลังเปลี่ยวของเขาพรึงเพริด เหมือนว่าวที่กำลังติดลมบน

ธันวาขยับขาทั้งสองข้างของเขาไปมา ด้วยความรู้สึกกระสันที่กำลังเกิดขึ้น มือของเขาที่กำลังเร่งจังหวะหนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆ กำลังบอกอะไรบางอย่างกับเขา ลมหายใจฟืดฟาดที่ธันวารู้ตัวว่า มันคือนาทีท้าย ๆ ของความหฤหรรษ์นี้ สายตาของธันวามองไปที่รูปถ่ายที่วางอยู่ข้าง ๆ ตัวบนเตียง

ภาพถ่ายของเขากับเจมส์ ที่ถ่ายกันที่สระว่ายน้ำ เจมส์อยู่ในกางเกงว่ายน้ำสีขาว ที่สายตาของธันวาจับจ้องอยู่ที่หว่างขาเป้ากางเกงของเจมส์ ที่มันนูนออกมาตามเนื้อผ้าลื่นของกางเกงว่ายน้ำผู้ชาย ที่แนบไปกับร่างกาย มันกระตุ้นความรู้สึกกับอารมณ์กำหนัดของธันวาได้เป็นอย่างดี ภาพในหัวของธันวากำลังคิดว่า เขากำลังทำอะไรบ้างกับท่อนเนื้อที่อยู่ใต้กางเกงว่ายน้ำนั้น

ท่อนสีขาวชมพูที่เขาเห็นมันกับตา ตอนที่เจมส์คิดว่า เขาไม่ได้มองอยู่ แล้วเจมส์รีบถอดกางเกงว่ายน้ำออก ก่อนจะสวมกางเกงขาสั้นหลังจากว่ายน้ำเสร็จแล้ว ภาพจำที่ธันวาไม่เคยลืม ทำให้ร่างกายของเขากระตุกอย่างแรง ของเหลวสีขาวขุ่นและอุ่นจนร้อนกระเด็นขึ้นมาบนหน้าท้อง และไกลจนถึงหน้าอกและคอของเขา

ธันวาหลับตาสนิท ปล่อยให้ร่างกายค่อย ๆ ปรับสภาพของมันกำลังจากที่มันถึงจุดสุดยอด น้ำตาของเขาค่อย ๆ ไหลจากหางตา เมื่อนึกถึงคำพูดของเพื่อนสนิท ที่เจมส์บอกว่า จะให้อะไรเขาก็ได้ อย่างที่เขาต้องการ สิ่งที่ดังก้องอยู่ในหัวของธันวาในตอนนี้ก็คือ เขาอยากจะสร้างครอบครัวกับเจมส์ ไม่ใช่ต่างคนต่างมีครอบครัวอย่างที่แม่พูด แบบนี้นั้น เจมส์ให้เขาได้ใช่มั้ย สัญญากับเขาแล้วใช่มั้ย

*****************************************

คำแปลเนื้อเพลงเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ - ไอซ์ ศรัณยู

https://www.youtube.com/watch?v=lu09L59AXXM



เวลาเธอกอดคอ เล่นหยอกล้อกันอยู่ทุกวัน

You always put your arm around my shoulder, teasingly

หัวใจมันสั่น ฝันละเมอคิดไปไกล

My heart’s skipping beats, daydreaming

เธอไม่เคยจะรู้ เพื่อนที่ดูแลเธอ

You never knew, this very friend of yours

ทุกวันข้างกาย เขามีบางสิ่ง

Taking care of you every day, he has some secrets

คิดไม่ซื่อกว่าเพื่อนกัน

Things that are beyond being friends


ยิ่งเธอวางใจ ยิ่งสนิทกันมากเพียงใด

The more you trust me, the more we’re getting closer

ยิ่งรู้สึกว่าเหมือนไกลออกไป

It feels like you’re being pushed away

ทั้งที่อยู่ใกล้ใกล้เธอ

Though we’re never far

อยากจะดีใจ ที่ได้เป็นคนสำคัญของเธอ

As much as I want to be happy, being your significant other

สุดท้ายก็ยังต้องทุกข์ใจเสมอ

At the end of the day, sorrow appears

เพราะรักเธอข้างเดียว

‘Cause this is one sided


มีเพียงความผูกพัน แค่เท่านั้นไม่เคยได้ใจ

It’s one thing we’re bonded, but it’s never romantic

หวังไปเท่าไหร่ ก็เลือนลางทุกนาที

Hoping oh so much, the road is still fading

ทำไมความห่วงใย ไม่เคยทำให้เธอรักกันสักที

Why this caring from me doesn’t make us lovers

ไม่มีทางเปลี่ยน ให้เราเปลี่ยนจากเพื่อนกัน

Or it will never change, from friends to a couple

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0



Crime and Love Scene Investigation


๗๐. A Fiend Foe of Mine



“คุณคิดว่ายังไง” สารวัตรรัฐนนท์ถามขึ้น เมื่อออกมาจากห้องทำงาน ทิ้งให้ชายหนุ่มคนนั้น นั่งอยู่คนเดียวหลังจากการพูดคุยกันมาสักพักใหญ่ “ผมไม่อยากจะเหมาเอาว่า ที่เขาเล่าให้ฟังมาทั้งหมดนั้น มันเป็นเรื่องโกหก” ชนธัญที่ยกแก้วกาแฟในมือขึ้นดื่ม ตอบกลับสารวัตรหนุ่มหล่อไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แววตากำลังบ่งบอกถึงว่า เจ้าตัวกำลังใช้ความคิดกับเรื่องนี้อยู่

“เขาเคลมว่าเขากลับชาติมาเกิดใหม่ ซึ่งมันฟังดูแล้ว อาจจะทำให้เราต้องระมัดระวังในความเชื่อถืออยู่บ้าง” สารวัตรรัฐนนท์ยังคงไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ยินอย่างเต็มร้อย “แต่เราก็ผ่านเคสอะไรแปลก ๆ เหนือคำอธิบายกันมาไม่น้อย” สารวัตรหนุ่มหล่ออยากจะใช้คำว่า เหนือธรรมชาติ เป็นเคสปาฏิหาริย์ หาคำอธิบายไม่ได้ด้วยซ้ำ ชนธัญพยักหน้าไปกับคำพูดของสารวัตรหนุ่มหล่อ

“แต่สิ่งที่แย้งกันอยู่ในใจของผมก็คือ สิ่งที่เขาพูดมา กับสิ่งที่ผมเห็น มันไม่สอดคล้องกัน” สารวัตรรัฐนนท์หันมาสบตากับหนุ่มหน้าใสที่ยืนอยู่ด้วยกันกับเขา “คือปกติ สิ่งที่ผมสัมผัสได้ มองเห็นได้ คือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งครั้งนี้ก็เช่นกัน” ชนธัญพยายามอธิบายให้นายตำรวจหนุ่มเข้าใจแบบง่ายที่สุด

“เทียบกับเคสของคุณดนัยกับสตาร์” ชนธัญเอ่ยถึงคดีโคลด์เคสที่ทั้งสองคนได้รับทำในฐานะหน่วยสืบลับ “ผมมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างคุณดนัยกับสตาร์ตอนที่ทั้งคู่ยังอายุน้อยอยู่” สารวัตรรัฐนนท์พยักหน้าน้อย ๆ ฟังตามที่ชนธัญกำลังพูดให้ฟัง “แต่กับคุณคนนี้ สิ่งที่ผมเห็นตอนสัมผัสตัวของเขา มันคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาเพียงไม่กี่วันนี้เอง” นี่คือจุดสังเกตที่ชนธัญยังคงลังเลที่จะเชื่อชายหนุ่มเช่นกัน

“คือถ้าเขาเคลมว่า มันคือเรื่องของภพชาติที่ต่างกัน มันคือเรื่องที่เกิดขึ้นในชาติที่แล้วของเขา” สารวัตรรัฐนนท์ช่วยเรียงลำดับความเข้าใจกับทั้งหมดนี้ “ผมก็ควรจะเห็นเขาในขณะที่เป็นอีกคน” ชนธัญตอบกลับสารวัตรหนุ่มหล่อออกไปโดยเร็ว “ยิ่งเขาบอกว่า เขาหาคนที่ผูกพันกับเขา มีสัญญากันมาแต่เก่าก่อนจนเจอด้วยแล้วล่ะก็” ชนธัญพูดขึ้นอย่างใช้ความคิดตามไปด้วย

“หรือเขาเล่าให้เราฟังไม่หมด” สารวัตรรัฐนนท์ตั้งข้อสันนิษฐาน ชนธัญส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนหันไปมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในห้องทำงานของสารวัตรหนุ่มหล่อ “หรือเขาเองก็จดจำได้กับสิ่งต่าง ๆ เท่าที่เกิดขึ้นกับเขา” ชนธัญบอกกับสารวัตรรัฐนนท์ “หรือเขาเองก็รับรู้มาเพียงเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องราวทั้งหมดที่มันเคยเกิดขึ้น” ชนธัญกำลังคิดว่า สมมติฐานของเขาอาจจะถูกต้องก็ได้

“เขาต้องการให้เรารับรองกับเขาว่า เรื่องที่เขาจำได้จากอดีตชาตินั้น เป็นเรื่องจริง เขาไม่ได้คิดไปเองหรือไม่ได้บ้า กุเรื่องขึ้นมาเพื่อบ่ายเบี่ยงเรื่องที่พ่อเขาจะให้แต่งงานกับผู้หญิงที่พ่อเลือกให้ จนต้องสร้างเรื่องว่า เขาสัญญากับผู้ชายอีกคนเอาไว้ ว่าถ้าทั้งคู่กลับมาเกิดใหม่ เมื่อสัญญากันแล้วว่าจะตามหากัน แต่ละคนจำอีกฝ่ายได้ ก็จะขอโอกาสได้ใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้ง” สารวัตรรัฐนนท์รู้สึกว่า นี่มันคือคำมั่นสัญญาที่ใหญ่มากจริง ๆ ที่คนสองคนจะให้กันได้

“แล้วถ้าเขาตามหาคนที่ให้คำมั่นกันไว้จนเจอ มีหลักฐานว่าเขาไม่ได้แค่หลอกพ่อตัวเอง พ่อก็จะยอมตามใจเขา” สารวัตรรัฐนนท์ทวนสิ่งที่เป็นเนื้อความของเคสนี้ “แม้ว่าพ่อจะไม่เห็นด้วยก็ตาม” ชนธัญพูดต่อประโยคของสารวัตรรัฐนนท์ให้จบ “พ่อก็จะไม่ขัดขวางใด ๆ อีก” สารวัตรหนุ่มหล่อกับคนหน้าใสมองหน้ากัน อยากจะรู้ว่าเงื่อนไขอะไรที่พวกเขาจะต้องตามหา เพื่อเข้าใจเรื่องราวนี้ได้ดีขึ้น

“ก็ถ้าเขาบอกว่า เขาเจอคนที่เคยให้คำสัญญาต่อกันไว้แล้ว งั้นเราก็เชิญคนคนนั้นเข้ามาคุยดู ดีมั้ย” สารวัตรรัฐนนท์พูดแนะขึ้น เนื่องจากสิ่งที่ชายหนุ่มเล่ามานั้น มันยังมีข้อกังขาอยู่ ตามที่ชนธัญบอกเอาไว้ตั้งแต่แรก “ก็ถ้าเขายอมเข้ามาคุยกับเรานะครับ มันน่าจะช่วยได้ไม่มากก็น้อย ผมอาจจะได้รายละเอียดเพิ่มเติมจากเขาก็เป็นได้” ชนธัญก็คิดว่า ถ้าได้ฟังเรื่องราวจากคนคนนี้เพิ่มเติม อาจจะได้เบาะแสอย่างอื่นเอามาเสริมให้ทุกอย่างกระจ่างมากยิ่งขึ้น

“ว่าแต่ คุณเห็นอะไร ตอนที่คุณจับตัวเขา” สารวัตรรัฐนนท์ยังไม่วาย อยากรู้ถึงสิ่งที่ชนธัญเห็นเมื่อก่อนหน้านี้ ที่ทำให้คนหน้าใสถึงกับต้องหน้าแดงก่ำ แถมยังไม่ได้พูดบอกอะไรสารวัตรหนุ่มหล่อมากนัก ถึงสิ่งที่เขาเห็นในภาพนิมิตนั้น สารวัตรรัฐนนท์เห็นท่าอึกอัก ๆ ของชนธัญก็ต้องหลุดยิ้มออกมา

“เล่าไม่ได้เชียวหรือ” ไอ้อาการยิ้มกรุ้มกริ่มบนใบหน้าของนายตำรวจหนุ่ม ยิ่งทำให้ชนธัญไปไม่เป็นเข้าไปใหญ่ สารวัตรรัฐนนท์ยิ้มเปิดเผย ก่อนพูดขึ้นว่า “น่าจะเป็นเรื่องที่ผมเองก็สนใจ” ได้ยินแบบนั้น ชนธัญถึงกับตาโตขึ้นในทันที “หรือไม่ก็เรื่องที่คุณสนใจจะให้ผมทำด้วย” ทันควันทันทีที่สารวัตรหนุ่มหล่อพูดจบ ก็โดนชนธัญตีป้าบเข้าให้ที่ต้นแขน พร้อมกับเรียกอีกฝ่ายเสียงหลง

“สารวัตร” สารวัตรรัฐนนท์ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ชนธัญก็ตกใจตัวเองที่มือไวแบบนั้น พึมพำขอโทษอีกฝ่ายออกไป ก่อนจะถือแก้วกาแฟเดินเลี่ยงไปทางห้องทำงานของสารวัตรหนุ่มหล่อ ที่ตอนนี้ รู้ได้ถึงสิ่งที่ชนธัญเห็น โดยไม่ต้องให้เจ้าตัวเล่าอะไรออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว

จากทางเดินที่เลยพ้นมุมตึกของอาคารเรียน ที่เมื่อเดินต่อไป ก็จะถึงประตูทางเข้าหน้าโรงเรียน เจมส์ที่เดินนำหน้ามาก่อน เพราะเพื่อนต่างห้องบอกว่าจะเดินมาส่งเขา หยุดเดินอยู่ดื้อ ๆ ก่อนจะหันกลับมาทางเพื่อนคนนั้นที่เดินตามมาทางด้านหลัง ทำให้เพื่อนต่างห้องเองก็ต้องหยุดเดินตามไปด้วย

“ส่งกระเป๋ามาได้แล้ว” เจมส์พูดออกไป น้ำเสียงห้วน ฟังดูต่างจากเมื่อสักครู่แบบไม่เหลือเค้าเดิม “เร็วสิ อ้น” เจมส์หลุดน้ำเสียงที่ไม่น่าฟังออกไป ก่อนจะดึงกระเป๋าที่เกือบจะเป็นการกระชากออกจากมือของอ้น “ทำอะไรแบบนี้ต่อหน้าธันวา หรือให้แม่ของธันวาได้เห็นบ้างหรือเปล่า” อ้นถามขึ้นเมื่อตัวเขาเองก็รู้สึกว่าถูกกวนอารมณ์เช่นกัน

“เพื่อนสนิทที่เข้านอกออกในบ้านของธันวาได้สบาย โดยที่แม่ของธันวายอมรับว่าเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวน่ะหรือ” พูดพลางยิ้มเยาะที่มุมปาก เจมส์หัวเราะออกมาเบา ๆ อย่างนึกขันอย่างที่สุด “ทำไม อิจฉาสินะ เพราะไอ้ที่ทำ ๆ อยู่นี่ มาทำดีกันแบบไม่มีเหตุผล อยู่ ๆ ก็มาสนิทสนมกันแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เล่นละครเก่งไม่แพ้กันอยู่แล้วนี่ ไม่ใช่หรือ” คราวนี้เจมส์หัวเราะออกมาเต็มเสียง เพราะรู้สึกว่าสิ่งที่เห็นอยู่นี้ มันน่าตลกสิ้นดี

“แกก็น่าจะรู้นะเจมส์ ว่าธันวามันคิดยังไงกับแก” อ้นไม่ได้ตอบโต้ข้อความกระแนะกระแหนของเจมส์ แต่พูดในสิ่งที่อยากพูดมานานกับอีกฝ่ายออกไป เจมส์ไม่ตอบ แต่กลับยักไหล่แทน แบบไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร “ทำไมต้องไปมัววุ่นวายกับเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วล่ะ ฉันไม่แกนี่” อ้นถึงกับหน้าชา เมื่อเจมส์พูดกระแทกความรู้สึกเขาตรง ๆ แบบนั้น

“เราสามคนเคยสนิทกันมาก่อน ตั้งแต่ตอน ม.สาม” อ้นพูดออกไป นี่คือความจริงที่ทั้งสามเคยเรียนอยู่ห้องเดียวกันมาโดยตลอดในช่วงมัธยมต้น “ทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไป ตั้งแต่ธันวามันอุตริคิดชอบผู้ชายด้วยกัน” เจมส์ตอบกลับไปทันทีเช่นกัน อ้นนั้นถูกแยกไปเรียนอีกห้องหนึ่งเมื่อขึ้นมัธยมปลาย ส่วนธันวากับเจมส์นั้นอยู่ห้องเดียวกัน ยิ่งทำให้ทั้งสองคนสนิทกันมากยิ่งขึ้นไปอีก

“แต่แกรู้ตัวใช่มั้ยวะ แกเคยส่องกระจกดูตัวเองแล้วใช่ป่ะ ว่ามันมีความเป็นไปได้มากแค่ไหน ที่ธันวามันจะเปลี่ยนใจหันมามอง หรือเห็นในน้ำใจของแก” อ้นที่เป็นคนรูปร่างใหญ่ หน้าตาไม่ได้น่าเอ็นดูหรือน่ามองอะไรนัก และเขารู้สึกเจียมตัวมาโดยตลอด “นี่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ธันวามันเป็นผู้ชาย แกมันก็ผู้ชาย หรือว่าแกเป็นกะเทยอย่างที่เขาว่า ๆ กัน” ในกลุ่มเพื่อนมีแว่ว ๆ ซุบซิบกันหนาหูมากขึ้นเรื่อย ๆ

เมื่อมีคนเจอสมุดบันทึกเล่มหนึ่ง ที่เขียนพรรณนาถึงความรู้สึกที่มีต่อเพื่อนชาย ที่ใครต่อใครก็เดาว่าคนที่พูดถึงเป็นธันวา และลายมือก็คล้ายกับของอ้นมาก แต่อ้นก็ไม่ได้ตอบรับหรือตอบปฏิเสธ และสมุดเล่มนั้นก็ยังวางอยู่ที่โต๊ะของอาจารย์ในห้องพัก โดยที่ไม่มีใครไปขอคืนว่าเป็นเจ้าของ

“แกจะบอกมันเมื่อไหร่ ธันวามันจะรู้เมื่อไหร่ ว่ามันมีแกที่เป็นอีแอบ” เจมส์ยิ้มเยาะอ้นอีกครั้ง ว่าเขานั้นรู้ความลับที่อ้นมี ที่ไม่กล้าบอกเพื่อนอย่างธันวาออกไป “อย่างน้อยฉันก็ไม่เคยคิดที่จะหลอกใช้ธันวามันเหมือนอย่างที่แกทำ” พูดได้เพียงเท่านั้น อ้นก็ต้องขมวดคิ้ว หลับตาจนแน่น ก่อนจะโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อบรรเทาความรู้สึกที่อยู่ ๆ ก็เกิดขึ้น

“แกเป็นอะไรของแก อ้น” เจมส์ถามออกไปอย่างตกใจที่ได้เห็นอ้นทำหน้าบิดเบี้ยว “ไม่มีอะไร แค่ปวดหัวนิดหน่อย” อ้นตอบออกไปเสียงสั่น ก่อนจะพยายามดันตัวให้ยืนตรงขึ้นได้อีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะได้พูดอะไรต่อจากนั้น พลันก็มีเสียงพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“ถ้าเจมส์ยังไม่กลับ งั้นให้เราไปส่งแล้วกัน” ธันวาที่เดินมาทันสองคนนี้พอดี เอ่ยขึ้น ก่อนจะเดินไปหาเจมส์โดยที่ไม่ปรายตามองมาที่อ้นเลยสักนิด อ้นรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรแข็ง ๆ วิ่งมีจุกอยู่คอหอยจนแน่นไปหมด กับท่าทีของธันวาที่มีต่อเขา “ก็ดีนะ” เจมส์พูดตอบรับธันวาออกไปในทันที

“ธันวาไปส่งเราก็ดีเหมือนกัน นี่ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร อยู่ ๆ ก็รู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมาเลย กลัวจะกลับบ้านไม่ไหวเหมือนกัน” อ้นไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง และยิ่งกับภาพที่เห็นตรงหน้า ที่ธันวาดูกระตือรือร้นที่จะดูแลเจมส์ ทั้ง ๆ ที่อ้นต่างหาก ที่กำลังตะโกนอยู่ภายในใจ เรียกร้องธันวาให้หันมามองกันบ้าง

****************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

ปลิว - Ploychompoo

https://www.youtube.com/watch?v=DSV60MzavmQ


ได้เพียงแต่ยืนอยู่ไกลไกล

I’m standing here far, far away from you

ได้เพียงแต่มองจากในเงา

Looking at you right from the shadow

เฝ้าดูเรื่องราวผู้คนล้อมรอบตัวเธอ

Watching many people being around you so


ไม่เคยมีฉันอยู่ในนั้น

I have never been there

และคงไม่มีวันนั้นเลย

And will never ever be

ฉันทำได้เพียงให้ความฝันปลอบใจในค่ำคืน

All I can do at night is comfort myself with the false dream


แค่เฝ้ามอง แค่ชื่นใจ แค่ยิ้มผ่านลมฟ้าไป

Just watching over you, feeling good inside, smiling like a fool

เผื่อเธอรับรู้ เผื่อเธอจะมองมาสักครั้งนึง

Perhaps you’ll know, and look now my way


อยู่ภายในใจเป็นหมื่นล้านคำ

Having these words n my heart, millions of them

บอกให้เธอฟังไม่ได้สักคำ

Not a single word I can shout out to you

เปล่งได้แค่เสียงเบาเบา ในยามลำพัง

Just a pathetic whispering when I’m alone

ว่าฉันรักเธอ ฉันรักเธอ

That I love you, I love you so


อยากให้ได้ยินคำในหัวใจ

Want you to hear what’s on my mind

แต่มันคงเบาไปไม่ถึงเธอ

But I’m voiceless, can’t reach to you

หนึ่งคำว่ารักคงปลิวไปตามแรงลมก่อนถึงใจเธอ

Words from my heart blown by the wind, stopped in front of your heart

แล้วก็คงสลายไป

Then they disappear right there


แม้มันจะมีอยู่บางครั้ง

Though, there were these times

ที่เราเผอิญได้ใกล้กัน

We got to be close each other

สายตาจากเธอก็มองข้ามผ่านไปอยู่ทุกที

Yet, I’m not the apple of your eye, that’s for sure

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0


Crime and Love Scene Investigation


๗๑. Vicious ร้ายกาจ or Veracious วาจาสัตย์



“ขอบคุณมากนะครับ ที่ยอมมาพูดคุยกันในวันนี้” ชนธัญกล่าวกับผู้มาใหม่ด้วยรอยยิ้ม “เชิญนั่งครับ” ก่อนจะกล่าวเชื้อเชิญให้ชายหนุ่มที่ดูตัวเล็กน่าเอ็นดูคนนี้นั่งลงบนเก้าอี้ในห้องรับรองของหน่วยสืบลับ “ดื่มอะไรดีครับ คุณซอโซ่” ชนธัญถามถึงความต้องการของคนที่ถูกเชิญมาสอบถามถึงข้อสงสัยอะไรบางอย่าง

“ชาหรือกาแฟดีครับ” ซอโซ่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มจาง ๆ ก่อนจะตอบปฏิเสธออกไป “ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมาก” คำตอบนั้นทำให้ชนธัญยิ้มตอบกลับไป ก่อนจะพูดเสนอต่อให้เองว่า “น้ำเปล่าแล้วกันนะครับ” ซอโซ่ได้ยินแบบนั้น ก็พยักหน้าเบา ๆ เป็นเชิงตอบตกลง ก่อนจะพูดขอบคุณออกไป สารวัตรรัฐนนท์เดินไปที่ตู้เย็นที่ตั้งอยู่มุมห้อง ก่อนเดินกลับมาด้วยขวดน้ำดื่มในมือ

“ขอบคุณครับ” ซอโซ่พูดขอบคุณสารวัตรหนุ่มหล่ออีกครั้ง มองไปที่ขวดน้ำนั้น แต่ไม่ได้หยิบมันมาเปิดฝาขวดออกแต่อย่างใด สารวัตรรัฐนนท์เดินกลับไปนั่งลงที่เก้าอี้ตรงกันข้าม ข้าง ๆ ชนธัญ ซอโซ่มองไปที่ชนธัญและนายตำรวจหนุ่มสลับกันไปมา “ผมขอเริ่มเลยแล้วกัน เพราะคุณคงอยากรู้ว่า เราเชิญคุณมาทำไมในวันนี้” สารวัตรรัฐนนท์เปิดบทสนทนาขึ้น

“ผมทำอะไรผิดหรือเปล่าครับ” ซอโซ่ถามออกไป ความกังวลเจืออยู่ในน้ำเสียงนั้น “เปล่าหรอกครับ คุณโซ่สบายใจได้” ชนธัญรีบตอบกลับอีกฝ่ายไป สีหน้าและแววตาของซอโซ่ดูจะดใสขึ้นบ้าง เมื่อรู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง ว่าไม่ได้เข้ามาที่นี่ในสถานะผู้ต้องสงสัยหรือผู้ต้องหา แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าเจ้าหน้าที่ทั้งสองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ ต้องการอะไรจากเขา

“คุณรู้จักกับคุณคิรินมานานหรือยังครับ” สารวัตรรัฐนนท์ยิงคำถามแรกออกไป ซอโซ่ชะงักไปกับคำถามนั้น ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ทำไมหรือครับ” ซอโซ่ถามออกไปแบบไม่แน่ใจนักว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะพูดออกไปอีกว่า “เขาเป็นลูกค้าซื้อบ้านากบริษัทที่ผมทำงานอยู่ ผมดูแลยูนิตที่เขาซื้อ แต่รายละเอียดอย่างอื่นเกี่ยวกับการซื้อขายนั้น ผมคงให้ข้อมูลอะไรไม่ได้ คุณตำรวจคงต้องติดต่อไปทางบริษัทโดยตรง เพราะนั่นถือว่าเป็นความลับของบริษัท เป็นไพรเวซี่ของลูกค้า” ซอโซ่พูดยาวตอบกลับสารวัตรรัฐนนท์กลับไป

“เรื่องการซื้อขายบ้าน ไม่ได้เป็นหัวข้อที่เราเชิญคุณมาในวันนี้” สารวัตรรัฐนนท์รีบตอบกลับไปเช่นกัน เพราะเห็นว่าท่าทางของซอโซ่ดูจะระแวงเรื่องความลับของทางบริษัทจะรั่วไหล “ถ้าอย่างนั้นบอกผมมาตรง ๆ เลยก็ได้ครับว่า นี่มันเรื่องอะไรกัน” ซอโซ่เองก็อยากจะรู้ว่า จริง ๆ แล้ว ทางเจ้าหน้าที่ต้องการจะรู้อะไรเกี่ยวกับลูกค้ารายใหญ่ของทางบริษัทคนนี้กันแน่

“คือ ผมจะพูดยังไงดี” สารวัตรรัฐนนท์เองก็ไม่รู้ว่าจะใช้คำพูดอะไรถามในสิ่งที่ต้องการรู้ดี ที่จะไม่ทำให้ซอโซ่นั้นตื่นตกใจไปกันใหญ่ เพราะถ้าหากว่าซอโซ่นั้นเห็นว่าเรื่องที่ทางเจ้าหน้าที่ต้องการรู้ เป็นเรื่องตลกหรือไร้สาระ คำตอบที่คาดหวังว่าจะได้ยินนั้น มันอาจจะกลายเป็นการไม่ให้ความร่วมมือไปเสียก็ได้ และทางเจ้าหน้าที่ก็ไม่มีสิทธิ์อะไรจะไปบังคับซอโซ่ให้ตอบคำถาม

“คุณโซ่เชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดมั้ยครับ” ชนธัญนั้นตัดสินใจ ถามคำถามซอโซ่ออกไปอย่างนั้น แล้วกลั้นใจรอคำตอบ สารวัตรรัฐนนท์เองก็เช่นกัน แอบดีใจนิด ๆ ที่ชนธัญนั้นกล้าถามออกไปตรง ๆ มากกว่าตัวเขาเอง “ตายแล้วเกิดใหม่น่ะหรือครับ” ซอโซ่ถามกลับไป หลังจากที่นั่งนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง มองชนธัญพยักหน้ารับ ใช่ นั่นคือสิ่งที่เขาอยากรู้

“ส่วนตัวแล้ว ผมก็ไม่เคยเจอใครที่มีประสบการณ์แบบนั้นนะครับ” สารวัตรรัฐนนท์และชนธัญโล่งอกเมื่อได้ยินคำตอบของซอโซ่ และบทสนทนานี้ก็ยังคงดำเนินต่อไปได้ “แล้วคุณโซ่เคยรู้สึกเหมือนกับว่า ชีวิตมันขาดอะไรไปสักอย่าง” ซอโซ่มองไปที่ชนธัญทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น “หรือมันมีช่วงเวลาที่ตัวเองรู้สึกว่า กำลังรอใครสักคนอยู่ แม้จะไม่รู้ว่าเขาคนนั้นเป็นใครบ้าไหมครับ” สิ้นคำถามของชนธัญ อยู่ ๆ ซอโซ่ก็มีน้ำตารื้นขึ้นมาที่ขอบตาทั้งสอง

“หมายถึงคุณคิรินหรือครับ” ซอโซ่ถามออกไปเสียงสั่น ๆ ก่อนจะหลับตาลงในทันที เมื่ออยู่ ๆ อาการปวดศีรษะก็กลับมาอีกครั้ง “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า ดื่มน้ำก่อน” สารวัตรรัฐนนท์ร้องถาม ก่อนจะหยิบขวดน้ำเอามาเปิดฝาแล้วส่งให้ “แล้วถ้านั่นเป็นคุณคิรินจริง” ซอโซ่ที่รับชวดน้ำมาจากสารวัตรรัฐนนท์ พอได้ยินธัญพูดซ้ำประโยคนั้น ก็ต้องร้องออกมาด้วยอาการปวดที่เพิ่มขึ้น ชนธัญตกใจเช่นกัน ก่อนเอื้อมมือไปคว้าแขนของซอโซ่เอาไว้

เสียงโห่ร้องเชียร์ดังลั่นมาจากห้องเรียนที่อ้นกำลังวิ่งกระหืดกระหอบเข้าไปใกล้ ใครบางคนยืนอยู่ที่หน้าห้อง กำลังหัวเราะจนน้ำตาไหลกับสิ่งที่กำลังอ่านให้เพื่อนทั้งห้องได้ฟัง อ้นมองเข้าไปจากประตูทางด้านหลังห้อง สมุดจดบันทึกเล่มคุ้นตาอยู่ในมือเพื่อนนักเรียนต่างห้อง และเป็นห้องที่อ้นเพิ่งมานั่งเรียนเมื่อคาบเรียนที่แล้ว

“เราไม่รู้จะบอกเธอยังไง ด้วยใจของเราเป็นของเธอหมดทั้งดวง” เสียงที่ใช้อ่านประโยคดังกล่าวเย้ยหยันความหมายของประโยคดังกล่าวอย่างไม่อ้อมค้อม “ฉันรู้ว่าเธอมีคนอื่นอยู่ในหัวใจ และฉันเป็นได้แค่คนที่เฝ้ามอง” เสียงโห่ฮาป่าจากเพื่อน ๆ ทั้งห้องดังขึ้นอีกครั้งจนลั่นห้อง อ้นนั้นทำได้แค่ยืนนิ่ง หน้าชา ตัวชาไปทั้งร่างกาย แต่ใจเต้นระรัวไปหมดด้วยความกลัว

“เธอเรียนเก่งจนน่าชื่นชม เธอหน้าตาหล่อจนฉันหลงใหล เธออยู่ใกล้เกินกว่าฉันจะเอื้อมถึง” อ้นยืนฟังประโยคเหล่านั้นถูกอ่านจากหน้าสมุดจดบันทึก แต่มันไม่ได้เป็นการอ่านที่แสดงถึงความรู้สึกตามตัวอักษร แต่มันคือการล้อเลียนโดยจงใจ “อ่านแล้วกูจะอ้วก แม่งเขียนได้น่าขนลุกฉิบหาย” คนที่ยืนอ่านอยู่หน้าห้องแสดงสีหน้าสะอิดสะเอียน

“กูว่า มึงเลยไอ้ธันวา” ใครคนหนึ่งในห้องตะโกนขึ้น เพื่อนทุกคนส่งเสียงฮือฮาหันมาทางเจ้าของชื่อ “กูเกี่ยวอะไรด้วย” ธันวาพูดตอบกลับเพื่อนไป “กูว่าคนที่เจ้าของสมุดเล่มนี้เขียนถึงก็คือมึงนั่นแหละ” เพื่อนยังคงยืนยันคำเดิม ธันวาส่ายหน้าดิก “เรียนเก่ง หน้าหล่อ มีสาวมาชอบเยอะ มึงนั่นแหละ เป็นใครไปไม่ได้แล้ว” เพื่อนทั้งห้องร้องฮือพากันเห็นด้วย

“สาวห้องไหนวะ ที่เขียนจดหมายรักน้อย ๆ นี้ถึงเพื่อนกู หรือว่าจะเป็นรุ่นน้อง” เพื่อน ๆ พากันพยายามตั้งข้อสังเกต “หรือเป็นผู้ชายวะ” เพื่อนทั้งห้องพากันหัวเราะครืนใหญ่ เมื่อได้ยินแบบนั้น “ห้องไหนมีกะเทยมั่ง” พลางถามกันใหญ่ เพื่ออยากจะให้ตัวเลือกแคบลง “แต่ลายมือน่ารักอยู่นะ เหมือนลายมือผู้หญิง” เพื่อนอีกคนที่เอาสมุดเล่มนั้นไปดูพูดขึ้น

“กะเทยแฝงตัวหรือเปล่า แบบไม่เปิดเผยตัว ฉันผู้ชายนะฮ้า” อีกคนนำเพื่อนหัวเราะดังลั่นทั้งหญิงทั้งชาย อ้นกลืนน้ำลายลงคือได้อย่างยากเย็น รู้สึกมือเท้าเย็นไปหมด หวิว ๆ คล้ายจะเป็นลม “พวกมึงพูดบ้าอะไรกันเนี่ย พอได้แล้ว” ธันวาพยายามปรามเพื่อน ก่อนจะคว้าสมุดเล่มนั้นมา แต่เพื่อนก็คว้าแย่งคืนกลับไป

“อ้นก็ลายมือสวยนะ ตัวหนังสือเหมือนผู้หญิงเขียนอยู่” เจมส์ที่ชะโงกหน้าขอดูหน้าสมุดที่จดข้อความเหล่านั้นเอาไว้ และเหมือนว่าจะนึกอะไรขึ้นได้ พูดขึ้น ธันวาหันไปมองหน้าเพื่อนสนิท แต่เจมส์ทำเป็นมองไม่เห็น ทำไม่รู้ไม่ชี้ “มึงไม่ใช่หรอก ตัวมันใหญ่อย่างกับยักษ์” เพื่อนคนหนึ่งส่ายหน้าบอกว่าเป็นไปไม่ได้

“ถ้าจริงนี่ กะเทยควายเลยนะมึง” เพื่อนอีกคนพูดด้วยอาการขนพองสยองเกล้า เจมส์ลอบมองอาการของธันวา ก่อนจะพูดขึ้นว่า “อ้นมันเป็นเพื่อนสนิทแกเลยไม่ใช่หรือ ธันวา” คำพูดของเจมส์ทำให้เพื่อนทุกคนหันมามองทางธันวาเป็นตาเดียวกัน “เออมันยังไงกันวะธันวา ไม่ใช่ว่าแกกับไอ้อ้นเคยสนิทกันตอนเรียนม.ต้นหรอกหรือวะ” เพื่อนคนหนึ่งถามคำถามนี้กับธันวา

“เคยสนิทก็คือแค่เคยมั้ยวะ ตอนนั้นใช่ แต่ตอนนี้ไม่ และเป็นไปไม่ได้เลยที่กูจะชอบมันในแบบนั้นได้ลง กูเป็นผู้ชายนะเว้ย” อ้นได้ยินคำพูดนั้นออกจากปากของธันวาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “และพวกมึงรู้เอาไว้เลยนะ ตอนนี้เพื่อนสนิทที่สุดของกูคือเจมส์เท่านั้น” เจมส์ยิ้มที่มุมปาก เมื่อแน่ใจแล้วว่า อ้อนที่ยืนอยู่ด้านนอกห้องเรียน ได้ยินคำพูดนี้ของธันวาโดยชัดเจน

“อย่าพูดอย่างนั้นเลยธันวา เผื่ออ้นมันมาได้ยิน แล้วมันจะเสียใจ” เจมส์พูดพลางถอนหายใจด้วยท่าทางเป็นห่วงเพื่อนต่างห้อง “อย่างน้อยถ้าเป็นอันมันจริง ๆ มันก็รู้สึกดี ๆ กับแกนะ ธันวา” เจมส์พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เพื่อน ๆ ในห้องต่างพากันบอกเห็นด้วยและบอกว่าเจมส์เป็นเพื่อนที่น่าคบหาคนหนึ่งของห้องนี้

อ้นที่ตอนนี้ไม่สามารถจะรับฟังอะไรที่ทำร้ายจิตใจของเขาต่อไปได้อีก เดินมาหยุดยืนพิงผนังกำแพงอยู่ตรงบันไดทางลง เขาหลับตาลงให้น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ต่อไปไม่ไหว ให้มันไหลลงอาบแก้ม แต่เสียงนักเรียนเดินออกจากห้องเรียน ทำให้อ้นต้องรีบใช้มือเช็ดน้ำตาอย่างลวก ๆ ก่อนจะรีบเดินลงบันไดตึกเรียนลงมาที่ชั้นล่าง นักเรียนห้องเดียวกันกับธันวาและเจมส์เดินลงมาทันกันที่นั่น หลายคนหันไปพูดซุบซิบกัน ก่อนจะทำเบือนหน้าเพื่อหัวเราะคิกคักตอนเดินผ่านอ้นไป อ้นนั้นทำท่านิ่งเฉย เหมือนไม่เห็นว่าเพื่อนต่างห้องพวกนั้นทำอะไรกับเขา

“อ้าว หมดคาบเรียนแล้วหรือธันวา” อ้นทักทายเพื่อนเก่าออกไปด้วยน้ำเสียงที่นิ่งที่สุด ปิดกั้นความรู้สึกทั้งหมดที่มีเอาไว้ไม่ให้มันแสดงออกมา ธันวาได้ยิน แต่ว่าไม่ได้พูดตอบอะไรออกไป อ้นหน้าเสียไม่น้อย แต่ก็ฝืนยิ้มกลับไปให้อีกฝ่าย “ทำยังไงนะ เราถึงจะสนิทกันเหมือนเดิม” ต้องใช้พละกำลังของใจมากแค่ไหน อ้นถึงพูดออกไปได้จนจบประโยค แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ธันวาตอบอะไรกลับมาอยู่ดี

“ที่ธันวาเคยพูดว่า ถ้ามีคนที่ชอบกันจริง ๆ จะสัญญาว่าจะตามไปทุกที่ มันยังจริงอยู่มั้ย” อ้นกลั้นใจถามออกไป พอดีกับที่เห็นเจมส์วิ่งเข้ามากอดคอธันวา “สัญญามั้ย” เจมส์พูดหัวเราะเสียงใส “สัญญาสิ” ธันวาตอบ ยิ้มกลับไปให้เจมส์ ก่อนที่ทั้งคู่จะพากันเดินจากไป ทิ้งให้เหลืออ้นเพียงคนเดียวที่ยังยืนอยู่ตรงนั้น “เราก็สัญญา” อ้นพึมพำคำพูดนั้นออกมา โดยกักเก็บน้ำตาที่มีเอาไว้ เพราะไม่อยากร้องไห้ให้ใครเห็น

************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

อย่าเกลียดกันก็พอ - ทาทา ยัง

https://www.youtube.com/watch?v=8UwAwxROTFE


รู้ว่าเธอไม่รัก ไม่มีใจให้ฉัน

I know that you don’t love me, you never care

แต่เธอรู้ไหมหัวใจไม่มีเหตุผล

But don’t you know this? Love has no reasons

แลกทุกอย่างเพื่อคำว่ารัก

Willing to trade anything for love

รักแล้วเจ็บก็ยอมก็ทน

Though love hurts, that’s alright

อยู่อย่างคนที่รอให้เธอรัก

Living with hope, you’ll return my love one day


รู้ว่าเธอหนักใจ รู้ว่าลำบากใจ

Know that it’s your burden, it’s troubling you

ที่ยังเห็นฉันทุ่มเทใจให้เธออย่างนี้

That I’m still pouring my heart out to you as always

ไม่มีทางที่จะรักฉัน

No way you will ever love me back

ทุกถ้อยคำฉันเข้าใจดี

I get every words you’ve already said

แต่ในวันนี้ยังทำใจไม่ได้เลย

Yet today, I can’t find peace with myself still


อย่าบอกฉัน ให้ตัดใจ

Don’t you tell me to let it go

อย่าผลักไสฉันให้ไกลเลยอยากขอ

Don’t you push me away, would you please?

ปล่อยให้ฉันได้เฝ้ารอ

Just let me wait, let me be

คนที่รักแค่ได้เฝ้ารอก็สุขใจ

Be able to long for you, that soothes my heart


รักที่เธอไม่รับ ช่วยทำเป็นไม่รู้

My love that you don’t accept, just look the other way

ปล่อยให้ฉันได้รักเธออยู่เหมือนเดิมได้ไหม

Please allow me to love you like I always have been

ไม่วิงวอนให้เธอสงสาร

I’m neither begging of you to pity me

อ้อนวอนให้เธอมีใจ

Nor am I pleading you to feel the same

แค่อย่าใจร้าย อย่าเกลียดกันก็พอ

Please don’t be mean, don’t you hate me that’s all

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0


Crime and Love Scene Investigation



๗๒. Cruel Intentions



“คิริน หยุดก่อน นั่นแกจะไปไหน” ชายหนุ่มผู้เป็นทายาทของบ้านหลังใหญ่หลังนี้ ชะงักเท้าที่กำลังจะเดินออกจากคฤหาสน์หลังงามไป ก่อนจะต้องหันหน้ามาทางผู้เป็นบิดาที่เรียกเขาไว้ “พ่อมีอะไรหรือเปล่าครับ ถ้าไม่ เดี๋ยวไว้ค่อยคุยกันวันหลัง” คิรินพูดตอบกลับพ่อของตัวเองไป พลางทำท่าจะหันเดินออกไปอีกครั้ง

“ฉันให้เวลาแกทำตามใจมาเนิ่นนานแล้ว ถึงเวลาที่แกต้องทำตามคำสั่งของฉันเสียที” คำพูดนั้นเป็นน้ำเสียงที่สั่งการอย่างชัดเจน “แต่พ่อครับ นี่มันยังไม่ครบกำหนดที่เราเคยตกลงกันไว้เลยนะครับ มันยังเหลือเวลาอีกตั้งหลายวันด้วยซ้ำไป” คิรินทักท้วงถึงข้อตกลงที่พ่อและตัวเขาเคยได้ให้กันไว้

“แล้วแกจะมั่นใจได้ยังไงว่าสิ่งที่แกทำอยู่นี้มันคือเรื่องที่ถูกต้อง” พ่อของคิรินถามคำถามลูกชายของตัวเองออกไปตรง ๆ คิรินรู้สึกเบื่อหน่ายคำพูดแบบนี้จากคนรอบข้างเต็มทน “ผมรู้ว่าผมทำอะไรอยู่ ผมไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะครับพ่อ” คิรินออกอาการเหนื่อยหน่ายใจออกมาทางสีหน้าและท่าท่างอย่างชัดเจนเช่นกัน

“ผมไม่จำเป็นต้องใช้อะไรมาก ผมแค่ใช้ความรู้สึกของผมที่มีติดตัวมา” คิรินสบตากับผู้เป็นพ่อของตนตรง ๆ เรื่องทั้งหมดที่ดำเนินมาจนถึงขั้นนี้แล้ว คิรินไม่คิดที่จะถอยหลังกลับ แล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือ “ผมเล่าให้พ่อฟังไปตั้งแต่แรกแล้ว ถึงตัวตนของผมและคนที่ผมตามหา ผมคิดว่าเราเข้าใจกันตั้งแต่แรกแล้วเสียอีก ผมถึงได้ยอมรับข้อตกลงที่พ่อตั้งขึ้นมา ผมเองก็เบื่อนะครับ ที่จะต้องมาพุดเรื่องเดิม ๆ นี้ซ้ำอยู่เรื่อย ไม่ยอมจบ” คิรินไม่ได้อยากจะก้าวร้าวผู้เป็นบิดา แต่เขาเริ่มเบื่อเรื่องแบบนี้แล้วเช่นกัน

“แกคงจะต้องฟังฉันให้มากขึ้นแล้วล่ะ เพราะสิ่งที่ฉันเพิ่งไปเจอมา” ผู้เป็นพ่อกำลังจะพูดถึงข้อมูลที่ตนเพื่องได้รับ “ผมบอกพ่อไปแล้วยังล่ะครับ ว่าผมใกล้ที่จะทำทุกอย่างสำเร็จแล้ว” คิรินก็พูดขัดขึ้นเสียก่อน “เจิด เอากุญแจรถมา” ก่อนจะหันไปตะโกนเรียกคนขับรถให้เอากุญแจรถยนต์คันหรูมาให้เขา

“ก็แล้วถ้าแกคิดผิดล่ะ” ผู้เป็นบิดาของคิรินเอง ก็เริ่มไม่พอใจกับการไม่ฟังอะไรของคิรินด้วยเช่นกัน “เจิด เอากุญแจรถมา เร็ว ๆ สิวะ” คิรินออกอาการหงุดหงิดใจ หันไปตวาดใส่คนรถที่กำลังลังเลว่าจะทำอย่างไรดี เมื่อนอกจากเจ้านายของตัวเองจะตะโกนสั่งเขาอยู่นั้น คุณท่านผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์งามหลังนี้ก็ยืนอยู่ตรงนี้ด้วย

“เอ่อ คุณท่านครับ คุณคิริน” เจิดเองนั้นก็อึกอัก ๆ ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ทำหน้าท่าทางเลิ่กลั่ก “แกกินเงินเดือนใคร ไอ้เจิด” สุดท้ายแล้ว เจิดก็ต้องยื่นกุญแจรถยนต์ให้กับคิริน ที่เดินออกจากตัวบ้านไปในทันที “คิริน คิริน กลับมาก่อนมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน” แต่เสียงเรียกของคุณท่านผู้เป็นบิดาของชายหนุ่มก็ไม่อาจจะต้านทานอารมณ์โกรธและขุ่นมัวของคิรินได้ เสียงรถยนต์เบิ้ลเครื่อง ก่อนจะขับพุ่งทะยานจากไป

“คุณท่าน คุณท่าน” ทิ้งให้เจิดร้องเรียกเจ้านายใหญ่ของบ้าน ที่ตอนนี้ทรุดลงบนพื้น เอามือกุมหน้าอกเอาไว้ด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่ความโกลาหลในบ้านจะเริ่มต้นขึ้น เมื่อทุกคนต่างเรียกรถพยาบาลกันอย่างตื่นตระหนก เจิดพยายามโทรศัพท์หาคิริน แต่เจ้าของมือถือก็ไม่ได้กดรับสายแต่อย่างใด

“นี่คุณกำลังจะบอกว่า ภาพที่ผมเห็น” ซอโซ่กำลังสับสนไปหมดแล้วในตอนนี้ ที่อยู่ ๆ สิ่งที่ชนธัญบอกกับเขาว่ามันคือ 'ภาพนิมิต' ก็มาปรากฏให้เขาได้รับรู้ มันเป็นภาพที่แทรกเข้ามาในส่วนของความทรงจำ ที่มันทำให้เขาไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้สึกที่มันกำลังรุมจิตใจของเขาอยู่ในตอนนี้

“คุณโซ่จะเชื่อมั้ย ถ้าหากผมจะบอกว่า นิมิตที่คุณโซ่เพิ่งเห็นไป หลังจากที่ผมเป็นสื่อกลาง ตอนจับตัวคุณโซ่ทำให้คุณโซ่ได้เห็น นั่นคือสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับตัวคุณโซ่เอง” ชนธัญพยายามพูดช้า ๆ อธิบายให้ซอโซ่ฟังอย่างใจเย็น “แต่ผมไม่เห็นตัวผมเลยสักนิด นั่นมันไม่มีตัวผมเลยสักนิด” ซอโซ่พูดแย้งออกไป เพราะภาพที่เขาเห็น มันมีแต่คนอื่นทั้งนั้น เป็นคนที่เขาไม่รู้จักและไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนทั้งสิ้น

“ความรู้สึกในใจคุณโซ่ ตอนนี้มันบอกคุณว่าอย่างไร” ซอโซ่ฟังที่ชนธัญถามเขา แล้วในใจก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา เมื่อจำเด็กหนุ่มร่างใหญ่คนนั้นได้ดี “เด็กนักเรียนคนนั้น” ซอโซ่พูดออกมาเบา ๆ “คนที่ถูกเพื่อน ๆ อ่านสมุดบันทึก คนนั้นเขา” ซอโซ่ทวนในสิ่งที่ตัวเองเพิ่งได้เห็น มองสบตากับชนธัญเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ ชนธัญพยักหน้าน้อย ๆ กลับไปแทนคำตอบ ซอโซ่หลุดสะอื้นออกมาด้วยความรู้สึกสงสาร ระคนไปด้วยความเห็นใจ

“ซอโซ่คุณมาทำอะไรที่นี่” เสียงทักนั้นดังขึ้น ทำเอาทุกคนหันไปมองทางต้นเสียงเป็นตาเดียวกัน ซอโซ่มองเห็นคิรินที่เพิ่งมาถึง แม้ว่าตัวซอโซ่เองยังไม่เข้าใจเรื่องราวมั้งหมดในเวลานี้แต่ความรู้สึกนี้ ความรู้สึกที่ก่อตัวอยู่ภายในใจ ณ ขณะนี้ เมื่อได้มาเห็นหน้าของคิรินอีกครั้ง มันทำให้เขารู้สึกไม่อยากเห็นหน้าคิรินในตอนนี้

“เดี๋ยวสิ คุณจะไปไหน” คิรินคว้าต้นแขนของซอโซ่เอาไว้ เมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะเดินผ่านหน้าเขาไปแบบไม่ทันทายไม่พูดไม่จา “ปล่อยผม” ซอโซ่หันไปออกคำสั่งเสียงขุ่นมัว พยายามดึงแขนของตัวเองออกจากการเกาะกุมของคิริน แต่ก็ไม่เป็นผล “ไม่” คิรินประหลาดใจที่เห็นท่าทางของซอโซ่ในตอนนี้ที่มีกับเขา ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ทั้งสองคนเพิ่งจะมีเซ็กส์กัน และทุกอย่างก็ดูจะเป็นไปได้ด้วยดี กับความสัมพันธ์ที่คิรินหวังเอาไว้

“นี่พวกคุณพาคุณโซ่มาทำอะไรที่นี่” คิรินเริ่มพาลพาโล หันไปหาเรื่องชนธัญ “คุณปั่นหัวอะไรเขา ถึงทำให้เขามีทีท่ากับผมแบบนี้” จนสารวัตรรัฐนนท์ต้องพูดขึ้นมาบ้างว่า “เดี๋ยวก่อนนะครับ ก่อนที่คุณจะกล่าวหาใคร ผมว่าคุณนั่งลงแล้วใจเย็นๆ ฟังเรื่องทั้งหมดก่อน เพราะคุณโซ่เองเขาก็เพิ่งได้เจอมา” นายตำรวจหนุ่มหล่อพยายามพูดไกล่เกลี่ย

“แต่ผมไม่มีอะไรที่ต้องคุย” ซอโซ่นั้นก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมอยู่ ๆ พอได้เห็นหน้าของคิรินในครั้งนี้ อารมณ์น้อยใจ หวั่นไหว อ่อนไหวทั้งหมดนี้ มันถึงได้เข้ามากลุ้มรุมทำร้ายความรู้สึกของเขาพร้อม ๆ กัน “โซ่ ผมทำอะไรผิด” คิรินลืมตัวด้วยความโมโห ดึงตัวของซอโซ่เข้ามาหาตัวเอง สารวัตรรัฐนนท์ส่งเสียงปรามชายหนุ่มออกไป

“คุณยังไม่รู้ตัวอีกหรือ” ซอโซ่ที่น้ำตาคลอหน่วย จากอารมณ์ที่รู้สึกสารหนุ่มน้อยร่างใหญ่คนนั้น ที่เห็นในนิมิต มองไปที่คิรินด้วยสายตาตัดพ้อ “ผมคิดถึงคุณมาตลอด เฝ้าตามหา จนเราได้พบกันอีกครั้ง สำหรับผม ความทรงจำเรื่องที่เกี่ยวกับคุณคือความสุขของผมนะโซ่” คิรินพยายามพูดบอกกับอีกฝ่ายไปด้วยความรู้สึกที่ตัวเองมี

“ถ้าเป็นอย่างที่คุณพูดมาจริง” ซอโซ่ปล่อยน้ำตาให้ร่วงเผาะลงมาเมื่อจดจำแววตาของเด็กหนุ่มร่างโตคนนั้นได้ ถึงอาการกลั้นน้ำตาเอาไว้เพราะไม่อยากให้ใครมาเห็น “ความทรงจำสำหรับผม มันคงเป็นคำสาป” คิรินตกใจไม่น้อยที่ได้ยินซอโซ่พูดออกมาแบบนั้น “พูดคุยดี ๆ กันเถอะนะครับ” ชนธัญพูด พลางยื่นมือออกไปทางคิริน โดยที่เจ้าตัวปัดมือของชนธัญออก

ชนธัญตกใจ ตัวเซไปอีกทาง มือคว้าไปในอากาศ จนจับแขนของซอโซ่เอาไว้ได้ คิรินทำท่าจะดึงมือของชนธัญออกอีกครั้ง สารวัตรรัฐนนท์ร้องบอกกับคิรินว่าอย่าทำอะไรแย่ ๆ กับชนธัญ ก่อนจะตรงเข้าหาชนธัญ ใช้แขนขวาประคองหลังของชนธัญเอาไว้ ส่วนมือซ้ายจับที่ต้นแขนของอีกฝ่าย เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ชนธัญเอง ก็คว้าข้อมือของคิรินไว้ได้พอดี

ทันทีที่อ้นวางสายจากเจมส์ อ้นก็รีบออกจากบ้านไปในทันที ด้วยความเป็นห่วงธันวาอย่างที่สุด เมื่อเจมส์ที่อยู่ปลายสายบอกกับว่าอ้นว่า เจมส์มาติวหนังสือที่บ้านอ้อน แต่ตอนนี้ธันวาเป็นอะไรก็ไม่รู้ แต่ไม่สบายมากและมีไข้ขึ้นสูง ไม่มีใครอยู่บ้านเลย เจมส์นั้นทำอะไรไม่ถูก อยากให้อ้นมาช่วยหน่อย อ้นก็ไม่รอช้ามาถึงบ้านของธันวาในเวลาไม่นาน ก่อนจะต้องงง เมื่อเดินมาถึงที่หน้าบ้านของธันวา

“คนนี้แหละครับแม่ ที่เจมส์เล่าให้แม่ฟัง” เจมส์พูดกับแม่ของธันวา ด้วยสายตาที่มองหน้าอ้นแบบยิ้ม ๆ “เธอเป็นกะเทยใช่มั้ย” อ้นที่กำลังจะยกมือไหว้แม่ของธันวา กลับต้องลดมือนั้นลง เมื่อหญิงสูงวัยถามคำถามนั้นกับเขาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วไม่เป็นมิตรแต่อย่างใด “ฉันถาม เธอก็ตอบฉันมา” อ้นที่อึกอักไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี ทำให้แม่ของธันวาพูดย้ำอีกครั้ง

“เธอเป็นกะเทยหรือเปล่า” อ้นขอบตาร้อนผะผ่าว ไม่เข้าใจว่าทำไมเจมส์ต้องหลอกเขาเรื่องธันวา แถมยังต้องให้เขามาถูกแม่ของธันวาถามแบบนี้ต่อหน้ากันอีก “ไม่ได้นะ เธอจะมาวอแวข้องแวะกับลูกชายของฉันไม่ได้ ฉันไม่ยอมนะ ลูกของฉันเป็นคนปกติไม่ได้วิปริต ฉันสั่งให้เธอเลิกวุ่นวายกับธันวานับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป” เสียงห้ามของแม่ธันวาดังลั่นเข้ามาในหัวใจของอ้น ซึ่งอยู่ ๆ อาการปวดหัวของเขาก็แล่นจี๊ดขึ้นมา

“แม่ดูเอาก็แล้วกันครับ ก่อนหน้านี้เจมส์ก็เคยเห็นแบบนี้มาทีหนึ่งแล้ว” เจมส์ชี้ให้แม่ของธันวาดูเมื่ออ้นนั้นก้มลงใช้มือทั้งสองเท้ายึดตัวเองเอาไว้กับหัวเข่า เพื่อยันร่างเอาไว้ไม่ให้ล้มลงไปบนพื้น เมื่อความปวดนั้นทวีความรุนแรงขึ้นจนสูงสุดแบบไม่ทันให้เขาได้ตั้งตัวแต่อย่างใด และความปวดระดับนี้ ไม่เคยเกิดกับอ้นมาก่อน

“เธอเป็นอะไรไปน่ะ ถูกฉันว่าแค่นี้ ถึงกับต้องเป็นแบบนี้เลยหรือ” แม่ของธันวา ถึงไม่ต้องการให้อ้นมาคบหาลูกชายตัวเองก็ตาม แต่เมื่อเห็นอ้นอาการไม่สู้ดีนัก ก็นึกตกใจ “โอ๊ยแม่ครับ” เจมส์ร้องบอกแม่ของธันวา “ต่อหน้าธันวา ไอ้ตุ๊ดนี่ก็ทำแบบนี้ เพื่อเรียกร้องความสนใจมารอบหนึ่งแล้ว เจมส์นะ ต้องแกล้งทำเป็นปวดหัวเหมือนกัน เพื่อกันธันวาเพื่อนรักของเจมส์ออกมาจากมัน” ตอนนั้นอ้นยันตัวเองสู้ความปวดต่อไปไม่ไหว จนต้องทรุดตัวลงนอนกับพื้น

“เธอเป็นอะไรมากไหม” เสียงแม่ของธันวาร้องถาม เมื่อเห็นอ้นเริ่มหายใจแบบเหนื่อยหอบร่มด้วย โดยที่อ้นนั้นลืมตาแทบไม่ขึ้น และรู้สึกเหมือนกับว่า รอบ ๆ ตัวเขานั้น กำลังค่อย ๆ มืดลง และมืดลงทุกที “เธอ” แม่ของธันวาร้องเรียก กำลังจะเดินเข้าไปหาอ้นที่ดูจะแน่นิ่งไป แต่เป็นที่เจมส์ที่ดึงมือของแม่ธันวาเอาไว้ โดยทั้งสองคนยืนเฉย ๆ มองอ้นที่นอนอยู่บนพื้นแบบนั้น

******************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

ใจเอย - มาช่า วัฒนพานิช

https://www.youtube.com/watch?v=TvIPn3_Xa38


แอบเก็บเอาไว้

My best kept secret

บอกใครไม่ได้ทั้งนั้น

Can’t tell no one

ทั้งทั้งที่ฉัน

Though that I am

รักเธอรักเธอกว่าใคร

In love with you more than anyone

ใจเอย ยิ่งห้ามเท่าไหร่

My heart, can’t be tamed

ยิ่งฝันไปไกล

It’s running wild and free

ไม่ยอมเชื่อฟังสักที

Never listens to me


เธอมีเจ้าของ

You belong to someone

ก็มองเห็นอยู่เสมอ

I can see that now

แล้วใยยังเผลอ

But why my foolish heart

คิดถึงเธอมากอย่างนี้

Thinking of you endlessly

ช้ำไหม หัวใจตัวดี

Get bruised, that’s my heart

กอดหมอนทุกที

Laying on my pillow at night

มีเพียงน้ำตาปลอบใจ

Tears flow down, my best friend


หวาดผวาเอื้อมคว้าเพียงเงา

Terrifying, would be all for nothing

เธอรู้หรือเปล่า

Do you know this?

ว่าฉันรักเธอแค่ไหน

How much that I love you

ปลายทางตอนจบของหัวใจ

The ending that my heart is going to

จะเป็นอย่างไร

What’s it gonna be?

เจ็บแค่ไหนไม่รู้เลย

How painful? I’m clueless


จะจบอย่างไร

How’s it gonna end?

เจ็บแค่ไหน ก็ยังรักเธอ

It hurts me badly, yet I still love you

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: สืบลับ สืบรัก: CLSI ๗๓. Memory _ 02.13.2024
«ตอบ #76 เมื่อ13-02-2024 12:00:00 »



Crime and Love Scene Investigation


๗๓. Memory



“ตอนแรกที่โทรมาก็ไม่อยากจะเชื่อหรอกนะ” คิรินมองอีกคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันพูดขึ้น หลังจากที่พนักงานวางแก้วกาแฟสองใบลงบนโต๊ะแล้วเดินจากไป “นึกว่าพวกมิจฉาชีพสิบแปดมงกุฎ” เสียงพูดพลางหัวเราะ ก่อนจะเสหยิบแก้วกาแฟตรงหน้าขึ้นจิบ ด้วยอาการหลบตาจากคิริน ไม่กล้ามองมาตรง ๆ

“แถมเรายังเปลี่ยนไปเยอะแบบนี้อีก” คิรินมองดูมือของอีกฝ่าย ที่ทาเล็บด้วยสีแดงสด กับเสื้อผ้าผู้หญิงที่ฉูดฉาด “ไม่นึกสินะ” คิรินได้ยินอีกฝ่ายถาม เขาส่ายหน้าเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับข้อสังเกตนั้น แม้ว่าภาพความทรงจำที่มีในหัวกับตัวจริงที่นั่งอยู่ตรงหน้า จะแตกต่างกันมากมายก็ตาม

“ก็ยังมีเค้าหน้าตอนนั้นอยู่” คิรินบอกกับอีกฝ่าย ที่หัวเราะออกมาอย่างประหม่า “แก่ลงไปตั้งเยอะแล้ว ไม่น่ากินเหมือนเมื่อก่อนหรอก” ปากพูดไปแบบนั้น แต่ท่าทางชม้ายชายตาไปยังคิรินนั้น เจ้าตัวก็ทำโดยไม่ได้คิดจะปิดบังอะไร ก่อนจะเห็นว่าคิรินมองกลับมาตรง ๆ โดยใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ก็ขยับนั่งตัวตรง ก่อนจะกระแอมเบา ๆ แล้วพูดขึ้นว่า

“หาเจมส์เจอได้ยังไง” ลักษณะการพูดนั้น คิรินยังจดจำได้ เพียงแต่มีจริตจะก้านมากกว่าเดิม มากเสียจนล้น “มีคนช่วยน่ะ” คิรินจำได้ถึงกระดาษใบเล็ก ๆ ที่มีรายละเอียดบางอย่าง ที่พ่อของเขาเป็นคนยื่นมาให้ “นี่ตั้งใจหาเราเลยหรือ แบบนี้ก็เขินแย่สิ” ทั้งน้ำเสียงทั้งแววตา เจมส์แสดงออกว่า มันคือความดีใจจากความเซอร์ไพรส์ที่สุดในชีวิตของเขาแล้ว

“มีเรื่องอะไรบางอย่างที่อยากรู้” คิรินตอบกลับไป “อยากคอนเฟิร์มอะไรบางอย่างน่ะ” ไล่สายตามองดูรูปร่างหน้าตาของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า ที่พยายามส่งรอยยิ้มพิมพ์ใจมาให้ “แล้วอยากรู้เรื่องอะไรบ้างล่ะ แต่จะว่าไป นี่เรายังตกใจมากอยู่เลยนะ” เจมส์เน้นคำพูดว่าเขาตกใจมากแค่ไหน “ไม่น่าเชื่อว่าเราจะได้มีโอกาสมานั่งพูดคุยกันแบบนี้อีกครั้ง” ที่เกิดเรื่องแบบนี้กับเขา

คิรินมีคำถามผุดขึ้นในใจเขาในตอนนี้ ความรู้สึกที่เคยลุกโชนเป็นดั่งไฟเสมอเมื่อคิดกับตัวเองว่า วินาทีที่ได้เจอหน้ากันจริงๆ เขาคงจะแสดงอาการลิงโลดอย่างที่สุด แต่ตอนนี้ทำไมกัน เขาถึงได้นิ่งสงบมากกว่าที่เขาเคยจินตนาการเอาไว้ ภาพตรงหน้ากลับไม่ได้ตรึงความรู้สึกของเขาเอาไว้ แต่ใจกลับกระหวัดคิดถึงใบหน้าของใครอีกคน

“คุณต้องพูดกับผมให้รู้เรื่องก่อน โซ่” เจ้าของชื่อได้แต่ปล่อยให้น้ำตาอุ่น ๆ ของตัวเองไหลลงอาบแก้ม กับความรู้สึกที่มันยากเกินกว่าจะอธิบายออกมาได้ เรื่องที่เกิดขึ้น ที่ซอโซ่ต้องมารับรู้ถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น กับเด็กหนุ่มร่างใหญ่คนนั้น มันไม่ได้เกิดกับเขาเสียหน่อย แต่ทั้งความเจ็บปวดใจ ความโกรธ รวมถึงอาการน้อยใจ มันทะลักทลายอยู่ภายในใจของเขา

“คนเราจะสามารถโหดร้ายต่อกันได้มากแค่ไหนกัน” คำถามที่ออกจากปากของซอโซ่ กับน้ำเสียงที่สั่นเครือด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่มี มันไม่ได้เสียดแทงความรู้สึกของเจ้าตัวเพียงเท่านั้น กับคิรินเอง นั่นก็ไม่ได้รับการยกเว้น “ผมตามหาคุณมาตลอด” คิรินพยายามพูดให้ซอโซ่ใจเย็นลง และยอมรับฟังเขาก่อน

“ผมไม่ใช่คนที่คุณตามหา คุณคิริน” ชายหนุ่มมองเห็นดวงตาที่แดงเรื่อจากการร้องไห้ของอีกฝ่าย เขาสงสารซอโซ่อย่างจับใจ “ตอนนี้ คุณอาจจะนึกสมเพช หรือสงสารผม ไม่ว่าจะอะไรก็แล้วแต่” ซอโซ่พูดขึ้นเพื่อระบายความอัดอั้นของตัวเองออกมา “คุณเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาแล้วใช่มั้ย” ซอโซ่รู้สึกสะท้อนใจกับภาพที่เห็นอ้นนอนกองอยู่ที่พื้นนั้นอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย

“แล้วยังไงหรือครับ ในตอนที่เขาอ้วน น่าเกลียด น่ารังเกียจ” ซอโซ่พูดต่อ คิรินนั้นพูดจาอะไรไม่ออก น้ำตาคลอหน่วยพร้อมที่จะร่วงเผาะลงมาได้ทุกขณะเช่นกัน “ตอนนี้ถ้าอ้นเขากลายมาเป็นผมแล้ว ทำให้คุณนึกชอบผมแล้วหรือ” ซอโซ่พยายามกลั้นความรู้สึกที่ทิ่มแทงจิตใจอย่างที่สุด “มันไม่เจ็บปวดเกินไปหรือ มันไม่โหดร้ายต่อกันมากเกินไปหน่อยหรือ ที่ผมยังไม่ลืมทุกอย่างในวันนั้น” คิรินได้แต่จ้องมองดูความร้าวรานภายในดวงตาคู่นั้นของซอโซ่

“คิดอะไรอยู่เนี่ย คิดถึงใครอยู่หรือเปล่า นั่งเงียบไปนานเชียว” คิรินดึงความคิดของตัวเองกลับมา เมื่อได้ยินเจมส์ถามคำถามนั้นกับเขา “ไม่เห็นบอกสักที ว่าอยากรู้เรื่องอะไร ถ้าเจมส์รู้ เจมส์จะตอบให้ทุกอย่าง” อาการสนิทสนมที่อีกฝ่ายแสดงออกมา แปลกที่มันกำลังทำให้คิรินรู้สึกอึดอัดมากขึ้นเรื่อย ๆ

“คุณรู้มั้ยว่าธันวาตายยังไง” คิรินยิงคำถามออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ในใจของเขากำลังเต้นระรัว เจมส์นิ่งไปเช่นกันที่โดนถามแบบนั้น แต่ก็ไม่ลังเลที่จะตอบออกไป “วันนั้นธันวาออกไปซื้อหนังสือติว เพื่อมาติวให้เรา แต่ระหว่างทางกลับบ้าน มันเกิดอุบัติเหตุขึ้นเสียก่อน” คิรินฟังที่เจมส์พูดอย่างคนที่รู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว

“เจมส์เสียใจมาก ๆ เลยนะ ที่ธันวาจากไปแบบนั้น ร้องไห้ตาบวมอยู่ตั้งหลายวันแน่ะ” รอยยิ้มแบบนั้นอีกแล้ว คิรินต้องเบือนสายตาออกจากใบหน้าที่เปื้อนยิ้มนั้นของเจมส์ “เนี่ยแหละเราถึงไม่อยากจะเชื่อไง ที่จะได้มานั่งคุยกับธันวาอีกครั้ง ในรูปแบบคนใหม่ที่เป็นคิริน” เจมส์แววตาเป็นประกาย มองคิรินด้วยอาการพึงพอใจ

หล่อไม่เบาเลยนะ หน้าตาดีทั้งงตอนที่เป็นธันวาและตอนนี้ที่เป็นคิริน แถมยังรวยมากอีกต่างหาก ชักอยากจะมีแฟนแบบนี้บ้างแล้วสิ นี่คิรินนึกชอบผู้ใหญ่กว่าบ้างหรือยัง เจมส์พร้อมเสมอเลยนะ ที่เราจะกลับมารักกันใหม่ คราวนี้เจมส์จะไม่เล่นตัวเลยแม้แต่น้อย” เจมส์พูดยาวเป็นพืด ออกอาการดี๊ด๊าอย่างเห็นใจชัด

“หยุดพูดเรื่องไร้สาระสักที” คิรินโพล่งประโยคนั้นออกไป ความโกรธที่มันอยู่ภายในใจ กำลังทำหน้าที่ของมันอย่างควบคุมได้ยาก “แล้วบอกผมมา คุณรู้ใช่มั้ย ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอ้น” เจมส์ถึงกับชะงักและมีสีหน้าตกใจอย่างชัดเจนในทันที ที่ได้ยินคิรินถามเขาเรื่องอ้นแบบนั้น เจมส์พยายามปรับสีหน้าเป็นปรกติ ก่อนจะตอบกลับไปว่า

“เจมส์จะไปรู้ได้ยังไงว่า อีอ้วนนั่นมันตายยังไง” เจมส์แทบจะแหวออกไป “มันจะไปนอนตายห่าข้างถนนที่ไหน ไม่ใช่เรื่องของเจมส์ที่จะไปรู้ด้วยกับมัน” คิรินใจเต้นแรงกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินจากปากของเจมส์กับหูของตนเอง ภาพตอนที่เจมส์ดึงแขนแม่ของธันวาเอาไว้ไม่ให้เข้าไปดูอ้น ที่กำลังหายใจรวยรินอยู่บนพื้น ฉายชัดเข้ามาในความทรงจำของเขา

“ผมไม่ได้ใช้คำว่าตายกับอ้น แล้วคุณก็พูดอย่างกับคุณเห็นด้วยตาตัวเองอย่างนั้นแหละ” คิรินพูดออกมาด้วยการควบคุมโทสะของตัวเองเอาไว้ “คุณกับแม่ของธันวา รู้ใช่มั้ย แล้วบอกกับตำรวจว่ายังไง แล้วบอกกับธันวาไว้ว่าอย่างไร” คิรินพูดได้เท่านั้น เจมส์ก็เถียงออกมาพัลวัน ว่าตัวเองไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น ราวกับคนสติแตก

“ไม่คิดให้ดีอีกสักรอบหรือ” ซอโซ่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เจ้าของบริษัทก็ถามเขาอีกครั้ง ด้วยอาการเสียดายและอยากจะยื้อพนักงานฝีมือดีคนนี้เอาไว้อีกครั้ง “โซ่คิดดีแล้วครับ” ซอโซ่ตอบกลับไปแบบนั้น มองดูใบลาออกที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน ที่ช่องเซ็นชื่ออนุมัติยังว่างอยู่ “พี่เซ็นได้เลยครับ” ซอโซ่พูดอีกครั้ง ยกมือขึ้นไหว้ลาอีกฝ่าย ก่อนจะเดินออกจากห้องไป

“อีโซ่นี่มันร้ายขึ้นทุกวัน ๆ นะ นี่เห็นมันเข้าไปในห้องนั่นนานแล้ว มันไปตอแหลเพ็ดทูลเรื่องอะไรอีกบ้างก็ไม่รู้” พี่กะเทยผู้ชำนาญการพูดถึงคนอื่นลับหลัง เปิดประเด็นการเม้าท์มอยขึ้น แต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้ตีไข่ใส่สีอะไรเพิ่มเติม ซอโซ่ที่เดินมาได้ยินพอดี ก็ทุบมมือลงบนโต๊ะทำงานของพี่กะเทยปากสว่างนั้นเสียงดังลั่นออฟฟิศ

“พี่จะพูดต่อหน้าโซ่สักครั้งเป็นมั้ย นี่อยู่กันมาเป็นปี ๆ ต้องทนความเป็นพิษของพี่มานานมาก พี่รู้ตัวเอาไว้ด้วยนะ” คำพูดของซอโซ่ได้ยินชัดเจนทั่วห้อง ที่ตอนนี้เงียบกริบกันไปหมด จะได้ยินก็แต่เสียงรองเท้าของซอโซ่ที่เดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง หยิบข้าวของส่วนตัวไม่กี่อย่างใส่เป้ ก่อนจะเดินออกจากที่ตรงนั้นไป

ซอโซ่พ่นลมหายใจออกจากปากเบา ๆ อย่างคนที่พยายามทำให้ใจของตัวเองเย็นลง เดินออกจากหน้าตึกนั้นมาไม่ไกล เสียงแม่ค้าร้องถามผู้คนที่สัญจรไปมาแถวนั้นว่า ต้องการซื้อดอกไม้วันวาเลนไทน์หรือเปล่า ซอโซ่หยุดยืนมองดอกกุหลาบดอกใหญ่แสนสวย ที่มีสีแดงสดเหล่านั้น ที่ครั้งหนึ่งเคยมีเด็กหนุ่มร่างโต เคยแอบเอาไปจากโต๊ะของเพื่อนผู้ชายคนหนึ่ง เอาไปทับเอาไว้ในสมุดจดบันทึกอย่างชื่นชม

คิรินกำลังจะเดินขึ้นรถของตัวเอง หลังจากที่เขาเดินจากการสนทนานั้นมา อย่างคนที่คิดอะไรบางอย่างได้ ชายหนุ่มมองไปที่ร้านดอกไม้ร้านนั้น ช่อดอกไม้จัดสวยงามเข้ากับธีมวันแห่งความรัก องเห็นเด่นสวยงามที่หน้ากระจกโชว์นั้น เขาปิดประตูรถเก๋งคันงามแพงระยับ เดินไปที่ร้าน จ่ายเงิน แล้วหอบดอกกุหลาบสีแดงช่อใหญ่นั้นไว้ในอ้อมแขน กับความทรงจำที่เขาเคยเห็นเด็กหนุ่มร่างใหญ่ เก็บดอกกุหลาบแห้งดอกนั้น ที่คิดว่าทำหายไปแล้ว เอาไว้ในสมุดจดบันทึกเล่มนั้น

***********************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

ไม่ลืม - ใหม่ เจริญปุระ

https://www.youtube.com/watch?v=eE504EOjGmg


ในมุมหนึ่ง บนทางอันยาวไกล

In one corner, on a long journey

ยังมีสิ่งใหม่ใหม่ให้มีหวัง

There are new things to hope for

ในมุมหนึ่ง หัวใจยังเดินทาง

In the other corner, my heart goes on

ได้เจอสิ่งต่างต่างมากมาย

Travelling through many things


ทุกทุกครั้ง ที่เคยได้ยินมา

Every time when I hear that

วันเวลาจะรักษาใจ

Day and time will heal one’s soul

รู้ว่ามันใช่

I know it’s true

แต่ไม่รู้ว่าทำไม

But I don’t really know why

ไม่ลืมเธอ

I can’t forget you


ใครบางคนมีคำมาเตือนใจ

Someone’s words reminded me that

วันวานมันคือไฟแผดเผา

Yesterday is the flame burning us

เคยมีคนย้ำเตือนให้ใจเรา

That someone also repeatedly said

จงลืมสิ่งเก่าเก่าทิ้งไป

Best to leave the old days behind


ทุกทุกครั้ง ที่เคยได้ยินมา

Every time when I hear that

วันเวลาจะรักษาใจ

Day and time will heal one’s soul

รู้ว่ามันใช่

I know it’s true

แต่ไม่รู้ว่าทำไม

But I don’t really know why

ไม่ลืมเธอ

I can’t forget you


จากไปจนไกลกัน

We parted ways, a world away

แต่มันยังคงเหมือนเธอมอง

Yet, feeling like you’ e looking at me

อยู่ไกลไกล

From somewhere far

จะนานสักเพียงใด

Doesn’t matter how long it’s been

ใจยังผูกพันเหลือเกิน

That bond’s carrying our hearts on

ไม่เข้าใจ

Can’t understand


ทุกทุกครั้ง ที่เคยได้ยินมา

Every time when I hear that

วันเวลาจะรักษาใจ

Day and time will heal my soul

รู้ว่ามันใช่

I know it’s true

แต่ไม่รู้ว่าทำไม

But I can’t really know why

ไม่ลืมเธอ

I don’t forget you

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: สืบลับ สืบรัก: CLSI ๗๔. Resilient _ 02.15.2024
«ตอบ #77 เมื่อ15-02-2024 19:45:01 »



Crime and Love Scene Investigation


๗๔. Resilient



“มันยังไง เจ้าโซ่ ถึงได้มาหาป้าได้ โดยที่ไม่ต้องโทรตาม ฮึ” ผู้เป็นป้าถามหลานชายของตัวเองหลังจากที่สังเกตซอโซ่มาตั้งแต่เช้า ว่าทำท่าครุ่นคิดอะไรบางอย่างกับตัวเอง “ก็โซ่ว่าง” เจ้าตัวดึงตัวเองกลับมาจากความคิดในหัว เมื่อได้ยินป้าของเขาถามขึ้นมาแบบนั้น “คือ ช่วงนี้โซ่ว่างพอดีไง แล้วโซ่ก็อยากกินอาหารฝีมือป้าด้วย” ซอโซ่พยายามพูดไปยิ้มไป เหมือนว่าทุกอย่างนั้นเรียบร้อยดี

“วันวาเลนไทน์ แต่หลานฉันดันกลับบ้านมาอยู่กับคนแก่เนี่ยนะ” ป้าของโซ่ยังไม่เชื่อคำพูดของหลานโดยสนิทใจนัก “แถมยังเป็นวันแห่งความรักปีที่สองเข้าให้แล้ว ที่แกกลับบ้านมา นี่ถ้าแม่ของแกเขายังอยู่ แม่แกต้องพูดแน่ ๆ เลยว่า แกอกหักมา เจ้าโซ่” เจ้าตัวได้ยินแบบนั้น ก็มีท่าทีอึกอักอยากจะเถียงป้ากลับไป แต่ก็ไม่มีคำพูดไหนที่พอจะฟังดูเข้าท่าและน่าเชื่อถือผ่านเข้ามาเลยสักคำ

“มันมีอะไรคับข้องใจ ไม่สบายใจ หรือมีใครทำให้เสียใจ จะเล่าให้ป้าฟังบ้างก็ได้นะ” ซอโซ่ฟังคำของป้าอย่างเข้าใจ เขารู้ดี ว่าตั้งแต่แม่จากไป เขาก็เหลือญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวก็คือป้าคนนี้คนเดียว ที่ดูแลเลี้ยงดูเขามาจนโต ส่วนป้าของโซ่นั้น ผู้สูงวัยก็พอจะมองหลานชายของตัวเองออก เพราะบ้านหลังนี้คือที่ที่ซอโซ่รู้สึกปลอดภัยที่สุดแล้ว โดยที่ป้าของเขาบอกกับเขาว่า ถ้าเบื่องานที่ทำอยู่ที่กรุงเทพแล้ว ก็ให้เลิกเสีย แล้วกลับมาอยู่ด้วยกัน เพราะสิ่งที่แม่ของเขาทิ้งเอาไว้ให้ ที่โซ่หาด้วยตัวเองและเก็บหอมรอมริบเอาไว้ รวมกับของป้าที่ยกให้หลานคนนี้ทั้งหมดแล้ว ซอโซ่ก็ไม่เดือดร้อนอะไรไปตลอดชีวิต

“หนุ่มหล่อที่ไหนกันนะ ที่กล้าหักอกหลานชายที่น่ารักคนนี้ของฉันได้” ผู้เป็นป้าทำพูดขึ้นลอย ๆ ขณะกำลังเอาวัตถุดิบของเมนูโปรดหลานชายออกจากตู้เย็น ซอโซ่ทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่ป้าพูด ตอนนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของซอโซ่ที่วางอยู่ที่โต๊ะก็ดังขึ้น ซอโซ่มองไปที่โทรศัพท์ แต่ยังนั่งนิ่งอยู่ ไม่ได้ลุกจากโซฟาแล้วเดินไปหยิบมันขึ้นมาดูแต่อย่างใด

“แล้วป้าคิดว่า” ซอโซ่พูดขึ้น เมื่อสายที่โทรมานั้นเงียบเสียงลงไป “คือโซ่จะถามว่า” ซอโซ่พยายามเรียบเรียงคำพูด จากความคิดที่เขามี “คนเราสามารถที่จะรักใครบางคนในอดีต” ซอโซ่สบตากับป้าของตัวเองที่นิ่งเงียบตั้งใจฟังคำพูดของหลานชายคนเดียวของตัวเองอยู่ โดยไม่ขัดจังหวะหลานแต่อย่างใด

“คนที่เคยทำไม่ดีกับเราอย่างมากมาย ไม่ดูดำดูดี มองไม่เห็นความดีของเรา ไม่เคยมีเยื่อใยต่อกันด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เขาได้เปลี่ยนเป็นคนใหม่” ซอโซ่หยุดเล็กน้อย คิดตามสิ่งที่ตัวเองพูดออกไป “ไม่สิ เขากลายเป็นอีกคนไปเลย ไม่ใช่คนคนเดิม” ซอโซ่มองไปที่ป้าของเขา “ได้มั้ย” ได้ยินหลานของตัวเองถามมาแบบนี้ ผู้เป็นป้ายิ้มให้หลานอย่างเอ็นดู ก่อนจะเรียกให้ซอโซ่เดินไปหา

“โซ่ยังรักเขาอยู่” ป้าเอื้อมมือมาแตะที่ข้างแก้มของซอโซ่เบา ๆ “ไม่สำคัญเท่าตรงนี้” ป้าจิ้มนิ้วมาที่หน้าอกข้างซ้ายของซอโซ่ “ที่หัวใจของโซ่ให้อภัยเขาแล้วหรือยัง” ผู้เป็นป้ายิ้มน้อย หอบเอาเครื่องปรุงขึ้นมา เพื่อจะเดินเข้าครัวไป “แต่ถ้าโซ่ไม่รู้สึกว่าจิตใจมันรุ่มร้อนอะไร ที่ตัวเองยังโกรธยังเกลียดเขาอยู่ ป้าว่า โซ่ก็ใช้ชีวิตมีความสุขดีอยู่แล้วนะ” เสียงโทรศัพท์มือถือของโซ่ดังขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้เจ้าตัวเดินไปหยิบมันขึ้นมา แล้วกดรับสาย

ซอโซ่ยิ้มรับแล้วกล่าวคำขอบคุณกับลูกค้าที่เพิ่งตกลงว่าจ้างให้เขา ทำการรีโนเวทตกแต่งบ้านเก่าให้ โดยที่มีเจ้านายเก่าจากบริษัทที่ซอโซ่ได้ลาออกมา เป็นคนแนะนำลูกค้ารายนี้มาให้ เพราะรู้ถึงความสามารถของซอโซ่ ที่จะทำงานออกมาได้ดี โดยที่ไม่ทำให้ลูกค้าต้องผิดหวัง โดยที่ไม่หวงงานอาไว้ให้บริษัทตัวเองแต่อย่างใด

“แกทำได้อยู่แล้วโซ่” คำพูดของเจ้าของบริษัทเก่าที่พูดกับซอโซ่เมื่อวันก่อน ตอนที่เขารับสาย จนได้พูดคุยรายละเอียดกัน ซอโซ่จึงต้องกลับเข้ามากรุงเทพอีกครั้ง เพื่อคุยงานที่โรงแรมหรูแห่งนี้ ก่อนที่ซอโซ่จะไล่โทรตามพี่ ๆ น้อง ๆ ที่เคยร่วมงานกันมาก่อน และมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเสมอมา ให้กลับมาร่วมงานนี้ด้วยกันจนครบทุกคน

“เออว่าแต่ว่า แล้วแกจะให้ทำยังไงกับกองดอกไม้พวกนี้” ซอโซ่ที่ทั้งวันมานี้ พยายามเลี่ยงไม่คิดถึง อีกด้านหนึ่งของอาคารแห่งนี้ ที่เป็นปีกของตึกที่ทางโรงแรมจัดเอาไว้สำหรับงานเลี้ยงใหญ่ ๆ เขาตั้งใจเอาไว้แล้ว ตั้งแต่เดินทางมาถึง ว่าจะแค่คุยกับลูกค้าเรื่องงานให้จบเสร็จ โดยเร็วที่สุด แล้วก็จะรีบกลับบ้านไปในทันที

“แก โซ่ มันถูกส่งมาทุกวัน ตลอดสองปีที่ผ่านมาไม่มีขาด ฉันจะไม่มีที่เก็บให้แกแล้วนะ” เจ้าของบริษัทเก่าของโซ่ พูดถึงช่อดอกไม้กุหลาบสีแดงสด ที่ถูกส่งมาให้คุณซอโซ่ทุกวัน แบบตรงเวลาเป๊ะ แม้จะรู้ว่าเจ้าตัวไม่ยอมรับมันไปก็ตาม ซอโซ่จำได้ ว่าเขาตอบกลับไปว่า ให้ทิ้งพวกมันไปได้เลย

“แกอย่าพูดอะไรที่ทำให้แกเสียใจทีหลังนะโซ่ มันอาจจะเรียกร้องให้กลับคืนมาอีกครั้ง ไม่ได้แล้ว” รู้ตัวอีกที ซอโซ่ก็มาหยุดยินอยู่หน้าทางเดินไปที่ปีกอีกฝั่งหนึ่งของอาคารโรงแรม “แต่แกคงจะไม่ต้องกังวลอะไรอีกแล้วล่ะ เพราะดอกกุหลาบสีแดงสวยที่มาถึงวันนี้ คงเป็นช่อสุดท้ายแล้ว ที่จะกวนใจแก” ซอโซ่มองเห็นดอกกุหลาบสีแดงสดดอกใหญ่ ถูกจัดเข้าเป็นช่อ แล้ววางไว้ทั้งสองข้างทางเดินเข้างาน

“เขาส่งมาให้แกด้วย” รูปของซองงานแต่งงาน เขียนหน้าซองถึงซอโซ่ “ข้างในมีโน้ตเล็ก ๆ เขียนเอาไว้เขาอยากเจอแกนะ” ซอโซ่ได้เห็นรูปที่พี่เจ้าของบริษัทส่งให้แล้ว ซอโซ่เดินเข้าใกล้ห้องบอลรูมใหญ่ที่สุดของโรงแรมด้วยใจที่เต้นระรัว เสียงที่ดังออกมา บ่งบอกว่า กำลังมีงานพิธีสำคัญเกิดขึ้น ณ ขณะนี้

“ผมจะถือว่า เป็นการแต่งแก้เคล็ดละกันนะพ่อ” คิริน เจ้าบ่าวหนุ่มหล่อที่ยืนอยู่บนเวที พูดกับพ่อของเขาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กัน “แบบแต่งเพื่อสะเดาะเคราะห์เอา ต่ออายุให้ตัวเองทำนองนั้นน่ะ” คิรินพูดด้วยอาการปากฝืนยิ้ม แต่ดวงตาของเขานั้นไม่ได้ยิ้มตามเลยสักนิด “แกทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับฉันไม่ได้ แกก็ต้องทำอย่างที่ปากว่าเอาไว้สิวะ” พ่อของคิรินพูดไป แต่ก็ยิ้มให้กับแขกเหรื่อมากมายที่นั่งกันอยู่ที่โต๊ะด้านล่างเวทีนั่นด้วย เพื่อไม่ให้มีพิรุธ

“ถ้าแกไม่รู้สึกอะไร อย่างน้อยแกก็ช่วยเห็นใจผู้หญิงเขาบ้างก็แล้วกัน” คิรินเห็นคนที่เป็นเจ้าสาวของเขาในค่ำคืนนี้ กำลังเดินยิ้มหน้าบานอย่างมีความสุขมาทางเวที โดยมีพ่อและแม่ของเธอเดินมาด้วย “แล้วมีใครสงสารหรือเห็นใจผมบ้างมั้ย” คิรินถามออกไปเช่นนั้น แต่กลับไม่มีใครตอบกลับคำถามของเขาเลยสักคน

ประตูห้องบอลรูมทางด้านข้างเปิดออก คิรินหันไปมอง หัวใจของเขาเต้นแรงและรัว เมื่อเจ้าของใบหน้าที่เขาอยากจะพบมากที่สุด ยืนอยู่ตรงนั้น คิรินน้ำรื้นขึ้นสู่หน่วยตา เขาขยับเท้าก้าวขาเดินลงจากเวที ไม่สนใจเสียงของผู้เป็นพ่อที่เรียกชื่อของเขาเพื่อห้ามเอาไว้ คิรินไม่สนใจสายตาของแขกที่อยู่ในงาน ที่กำลังมองตรงมาที่เขาด้วยความสงสัย และเริ่มซุบซิบนินทากันต่อหน้าเลยสักนิด

“ผมบอกกับตัวเองเอาไว้ว่า ถ้าคุณยอมมาหาผม” คิรินเอ่ยคำพูดกับคนตรงหน้าเขาทันที ที่ทั้งสองยืนอยู่ด้วยกัน “ผมจะไม่แคร์อะไรแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ขอเพียงแค่คุณอยู่กับผมก็พอ ซอโซ่” คิรินเห็นแววตาของอีกฝ่ายยังกระเง้ากระงอดเขาอยู่ก็จริง แต่ริมฝีปากที่เผยรอยยิ้มน้อย ๆ นั้นออกมาให้เห็น ก็ทำให้เขาทั้งดีใจและอุ่นใจมากขึ้นอย่างท่วมท้น

เสียงของแขกเหรื่อฮือฮาดังขึ้นทันที เมื่อเห็นคิรินก้มลงจูบผู้ชายที่เพิ่งเดินเข้ามาในงาน แล้วเจ้าบ่าวของงานก็ดูเหมือนจะแสดงออกถึงความในใจอย่างชัดเจน เมื่อเขาถอนจูบนั้นออก ยิ้มกว้าง แล้วมองไปรอบ ๆ ห้องบอลรูม สบตากับคนในงานให้ได้มากที่สุด ประหนึ่งกำลังบอกกับทุกคนผ่านสายตาของเขาว่า ดูนี่นะ เขากำลังจะก้มลงจูบคนที่อยู่ในใจ ตัวจริงของเขาอีกครั้ง

“ขอเรียนเชิญเจ้าบ่าว กล่าวอะไรกับแขกผู้มีเกียรติที่มาเป็นสักขีพยาน ในงานแต่งงานนี้ด้วยครับ” พิธีกรบนเวทีประกาศออกไมค์ไปทั่วทั้งงาน คิรินยืนยิ้มดูมีความสุข โดยไม่ได้ใส่ใจใด ๆ กับคำพูดของพิธีกร “เอ่อ เจ้าบ่าวครับ คุณคิริน คุณคิรินครับ” เจ้าของชื่อสะดุ้ง เมื่อความคิดคำนึงถูกดึงกลับมาอยู่ที่ความจริงตรงหน้า “แหม เจ้าบ่าวของเราใจลอยไปไหนเนี่ย สงสัยจะลอยไปถึงช่วงส่งตัวแน่ ๆ เลยครับ” แขกในงานพากันหัวเราะชอบใจ เพียงแต่ รอยยิ้มของเจ้าบ่าวอย่างคิริน ได้เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว

“คุณเป็นใครครับ มีบัตรเชิญเข้างานหรือเปล่า ถ้าไม่มี เข้ามาไม่ได้นะครับ” ซอโซ่ที่ผลักประตูห้องบอลรูม ก่อนจะแทรกตัวเข้ามา ยืนอยู่เงียบ ๆ เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต “เชิญออกไปด้วยนะครับ งานนี้เฉพาะแขกที่ได้รับเชิญ ร่วมงานได้เฉพาะวีไอพีเท่านั้นครับ” เสียงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพูดกับซอโซ่ ที่ตอนนี้สายตาของเขามองไปที่คิรินที่ยืนอยู่บนเวที

“ครับ” เสียงของคิรินพูดผ่านไมโครโฟนที่ถืออยู่ในมือ ที่มือทั้งสองข้างของเขาที่กำไมค์อยู่นั้น มันกำลังสั่น กับสิ่งที่เขากำลังตัดสินใจ ที่จะพูดออกไป “ผมขอบคุณแขกทุก ๆ ท่านที่มาในงานวันนี้” ซอโซ่มองเห็นคิรินหันมาทางเขา ก่อนที่คิรินจะก้มหน้าลง หลับตา แล้วพูดออกมาว่า “มันทำให้ผมมีความสุขที่สุดในชีวิตครับ” ชายหนุ่มขบกรามแน่นจนเป็นสันนูน เมื่อต้องพูดออกไปแบบนั้น

ซอโซ่ยิ้มออกมา เมื่อเห็นว่าคิรินกำลังดำเนินชีวิตของตัวเองต่อไป เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเชิญซอโซ่ให้เดินออกจากงาน เสียงแขกเหรื่อร้องเฮฮาว่าให้เจ้าบ่าวหอมแก้มเจ้าสาวแสนสวยที่ยืนอยู่เคียงข้าง ซอโซ่รู้สึกได้ถึงประตูห้องบอลรูมที่ปิดลงตามมาด้านหลัง พร้อม ๆ กับเสียงโห่ร้องพอใจจากคนในงาน ที่ได้เห็นภาพบนเวทีของคู่บ่าวสาวที่พวกเขาชอบใจ

**********************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

อดใจไม่ไหว - มาช่า วัฒนพานิช

https://www.youtube.com/watch?v=reeP7aCPLK4


เป็นเพราะฉัน

Maybe because I,

มันคงอ่อนแอกว่าที่เคยเป็น

I am weaker than I used to be

สิ่งที่เห็น ไม่เหมือนตัวฉันที่ทำ

What I do, isn’t so me that would do

หรือวันนี้ เพราะฉันมันความต้านทานต่ำ

Maybe today, I can’t oppose this low resistance

ถึงได้ทำอะไรผิดเพี้ยนไป

So, I do all of these odd things


เป็นเพราะฟ้า มันดูแปลกดีก็เพราะมีดาว

The sky looks different when filled with stars

อาจจะเพราะกลางคืน มันเหงาเกินไป

Or it’s too lonely when the night comes

ฉันไม่รู้ เพราะฉันบังเอิญไม่มีใคร

I’m not sure, ‘cause I have no one

หรือจะเป็นเหตุผลอะไรก็ช่างมัน

Whatever the heck the reasons will be


อดใจไม่ไหว ต้องมา

Can’t hold myself back any longer, here I am

อยากรู้เธอเป็นอย่างไร

Need to see how you are

อดใจไม่ไหว ต้องเจอ

Can’t fight the feelings, now I see

ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม

No idea the reasons why

อยากมาหา หวังว่าคงไม่เป็นไร

Want to come to see you, hope that’ll be alright

ฉันไม่ค่อยเข้าใจ

I really don’t get it

แต่ขอให้เธอเข้าใจ ก็พอ

Wish you’d understand, that’s all


ใจก็รู้ว่าคนจะมองอย่างเข้าใจผิด

Part of me knows that people will look at me funny

อาจจะคิดกันไป ว่าฉันรักเธอ

They may assume that I love you

ก็แล้วแต่เขา เพราะเขาบังเอิญไม่ใช่เธอ

That’s up to them, it happens to be them not you

ขอแค่เจอ แค่นี้มันคงไม่เท่าไหร่

I am to see you, it cannot be that bad


อดใจไม่ไหว ต้องมา

Can’t hold myself back any longer, here I am

อยากรู้เธอเป็นอย่างไร

Need to see how you are

อดใจไม่ไหว ต้องเจอ

Can’t fight the feelings, now I see

ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม

No idea the reasons why

อยากมาหา หวังว่าคงไม่เป็นไร

Want to come to see you, hope that’ll be alright

ฉันไม่ค่อยเข้าใจ

I really don’t get it

แต่ขอให้เธอเข้าใจ ก็พอ

Wish you’d understand, that’s all


อดใจไม่ไหว ต้องมา

Can’t hold myself back any longer, here I am

อยากรู้เธอเป็นอย่างไร

Need to see how you are

อดใจไม่ไหว ต้องเจอ

Can’t fight the feelings, now I see

ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม

No idea the reasons why

อยากมาหา สบตาสักครั้งแล้วค่อยไป

Want to be here, look you in the eye before I’ll go

แล้วจะไปให้ไกล

Then I’ll stay far away

เจอะแล้วจะไปให้ไกลอย่างเดิม

After that I’ll be away as I’m supposed to


ฉันไม่มีอะไร

No bad intentions

บอกแล้วไม่มีอะไร ต่อกัน

As I say, nothing between you and me

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: สืบลับ สืบรัก: CLSI ๗๕. TRIAD _ 02.23.2024
«ตอบ #78 เมื่อ23-02-2024 15:05:45 »




Crime and Love Scene Investigation



๗๕. TRIAD



มองไกลเลยจากชานบ้านออกไป ทะเลกำลังถูกเกลียวคลื่นซัดเข้าหาฝั่ง ฟังดูแล้ว ทำให้หายคิดถึงทะเล เมื่อตอนนี้มันมาปรากฏอยู่ตรงหน้า ซอโซ่หลับตาลงเมื่อลมเย็น ๆ พัดผ่านกระทบใบหน้า อากาศบริสุทธิ์ที่สูดเข้าจนเต็มปอด ทำให้กลิ่นอายของทะเลที่หัวใจโหยหาให้ร่างกายได้มาสัมผัส

“โซ่ คุณหยุดฟังผมก่อน” เหตุการณ์ก่อนที่ซอโซ่จะมาอยู่ที่นี่ ผ่านเข้ามาให้ได้เห็น “ถ้าคุณไม่หยุด ผมจะลากคุณขึ้นรถไปกับผมเดี๋ยวนี้แหละ” น้ำเสียงนั้นกำลังบอกกับซอโซ่ว่า คนพูดนั้นทำจริงแน่ ถ้าซอโซ่ยังขืนทำตรงกันข้ามกับที่ถูกร้องขอ “ปล่อยแขนผมก่อน” ซอโซ่พูดกับอีกฝ่ายออกไปในที่สุด หลังจากเลี่ยงที่จะไม่สนทนาด้วย ตั้งแต่ถูกอีกฝ่ายมาเฝ้าดักรอ

“ถ้าอย่างนั้น สัญญากับผมก่อน ว่าจะไม่หนีผมไปไหนอีก” ซอโซ่ฟังคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ พูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน และด้วยแววตาที่กำลังขอความเห็นใจจากอีกฝ่าย “บางทีคุณก็ขออะไรที่มากเกินกว่าที่ผมจะให้ได้นะ คุณคิริน” เจ้าของชื่อยิ้มออกมา ก่อนจะพูดขึ้นว่า “พูดยาว ๆ กับผมก็เป็นนี่นา” คิรินยิ้มไม่ทันได้เท่าไหร่ ก่อนจะต้องรีบทำท่าไกล่เกลี่ย เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำสายตาดุเอาเรื่องขึ้นมา

“โอ๋ ๆๆ ไม่ล้อแล้ว เรามาพูดดี ๆ กันนะ” คิรินยิ้มกว้างออกมาให้เห็น ก่อนที่ซอโซ่จะต้องเบือนสายตาหลบยิ้มที่แสดงถึงความสุขจากภายในใจนั้นออกมาให้เห็น “เราไปหาที่เงียบ ๆ คุยกันดีกว่า” คิรินเลื่อนมือที่จับต้นแขนของซอโซ่เอาไว้ ลงมาเป็นการกุมมืออีกฝ่ายแทน “เป็นที่ส่วนตัว ที่ที่มีแค่เราสองคน” ซอโซ่ฟังที่คิรินพูด ทั้งคู่สบตากัน ก่อนที่ซอโซ่จะยอมขึ้นรถไปด้วยกับคิริน

“ไหนคุณบอกว่า แค่หาที่เงียบ ๆ คุยกัน มันควรจะเป็นพวกร้านกาแฟหรือร้านอาหารแบบนั้น ไม่ใช่หรือครับ” ซอโซ่ถามคิรินทันทีที่เปิดประตูลงจากรถ คิรินเองที่ลงจากรถตามมา ยิ้มอย่างยอมรับผิด “มองตาผม แล้วโซ่บอกสิ ว่าไม่ชอบ” สายตาที่กรุ้มกริ่มของคิริน เผยให้เห็นว่าเขาวางแผนมาเป็นอย่างดี ซอโซ่เองยังต้องหลุดหัวเราะออกมาจนได้

“เราเข้าบ้านกันเถอะ” คิรินชวนอีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะเปิดประตูบานไม้นั้นให้กว้างออก “มาครับ” ก่อนจะยื่นมือออกไปให้ซอโซ่จับ ซอโซ่เดินจับมือกับคิรินเพื่อเข้าไปในตัวบ้าน “คืนข้ามปีที่เราคุยกันว่าใครชอบบ้านแบบไหนยังไง” ซอโซ่ฟังที่คิรินพูด สายตามองไปจนทั่วบ้าน ก็รู้ได้ทันทีว่าคิรินนั้นพูดถึงเรื่องอะไร

“ผมก็ตั้งใจตามหาบ้านหลังที่อยู่ในความฝันของโซ่ทันที” คิรินพูด เดินมาหยุดอยู่ที่ด้านหลังของซอโซ่ ก่อนที่จะสอดแขนทั้งสองข้างเข้าโอบเอวของอีกฝ่ายเอาไว้ “ผมเจอแล้วนะ” คิรินพูด เพื่อให้คนที่กำลังอยู่ในอ้อมแขนของเขารับรู้เอาไว้ ว่าเขาไม่ได้เพียงตามหาบ้านหลังนี้จนเจอเท่านั้น แต่เขาตามหาตัวของซอโซ่จนพบอีกด้วย

“ตอนเช้า มองออกไปข้างนอกจะเห็นทะเลไกลสุดลูกหูลูกตา” คิรินกระชับวงแขนของเขาขึ้น เพื่อให้แผ่นหลังของซอโซ่แนบเข้าหากับแผงอกของตัวเอง “ผมให้ช่างเขาปรับแก้ให้แล้ว โซ่ต้องถูกใจแน่นอน” เสียงกระซิบที่ข้างหู และริมฝีปากที่ขยับตอนที่คิรินพูด กระทบกับหูของซอโซ่อย่างแผ่วเบา จนทำให้เจ้าตัวต้องเอียงหน้ากลับมามองทางคิริน

“ผมมีแต่คุณเสมอ โซ่” คิรินไม่รอช้า ก้มลงประกบกับริมฝีปากเข้าด้วยกันกับซอโซ่ ก่อนจะกระหวัดลิ้นพันเกี่ยวกับอีกฝ่ายอย่าโหยหา ซอโซ่ดันตัวคิรินให้ออกห่าง แต่ชายหนุ่มดึงตัวของซอโซ่เอาไว้ให้แนบเข้าใกล้กว่าเดิม ก่อนจะบดริมฝีปากเข้าใส่อีกฝ่ายอย่างเร่าร้อน คิรินจับมือของซอโซ่มาวางไว้บนความนูนนั้นที่กลางลำตัว ก่อนจะให้อีกฝ่ายเกาะกุมและบีบขยำมันอย่างเบามือ

คิรินถอนจูบออกจากริมฝีปากของซอโซ่ ก่อนจะวางมือบนบ่าของซอโซ่ แล้วค่อย ๆ ดันตัวซอโซ่ให้ค่อย ๆ ย่อตัวนั่งลงตรงหน้าเขา คิรินปลดกระดุมกางเกงขายาวของตัวเองออก ซอโซ่ที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหว่างขาของคิริน เงยหน้าขึ้นมองสบตากับคิริน ก่อนที่คิรินจะปล่อยให้ส่วนปลายของความยาวนั้น ตกลงมาสัมผัสที่ริมฝีปากของซอโซ่พอดี

“โซ่” เสียงเรียกของคิริน ทำให้ซอโซ่ดึงความคิดของตัวเองกลับมา ก่อนจะละสายตาจากทะเลที่อยู่ด้านนอก หันกลับมามองตามเสียงเรียกนั้น “โซ่มาชิมให้ผมหน่อย ว่าถูกปากมั้ย” คิรินที่อยู่ในชุดเสื้อกล้ามและกางเกงบ็อกเซอร์ เรียกให้ซอโซ่เดินมาชิมแกงเผ็ดที่เขาพยายามปรุงอยู่ในครัว เพื่อเป็นอาหารกลางวันของคนทั้งคู่ ก่อนที่จะต้องขับรถกลับกรุงเทพฯ

“พอได้มั้ย” คิรินถามด้วยสายตายิ้ม ๆ “อร่อยครับ” ซอโซ่ยิ้มออกมา ไม่ใช่เพียงแค่ได้เห็นอาการพยายามเอาใจเขาของคิรินเท่านั้น แต่รสชาติของอาหารก็ดีมากจริง ๆ “ผมเป็นพ่อบ้านให้โซ่ได้แล้วนะ” คิรินหรี่เตาให้เหลือเพียงไฟอ่อน ๆ อุ่นแกงในหม้อนั้นเอาไว้ ก่อนจะหันมาทางซอโซ่ เพื่อพูดขออะไรบางอย่างจากอีกฝ่าย

น้ำแกงในหม้องวดลง จากไฟในเตาที่หล่อเลี้ยงความร้อนนั้นเอาไว้ ลมจากทะเลพัดเข้ามาในบ้าน ทำให้ผ้าม่านนั้นปลิวเบา ๆ แต่บนแผ่นหลังของคิรินนั้นชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเม็ดเป้ง เมื่อชายหนุ่มกำลังขยับตัวเข้าออกอย่างกระแทกกระทั้น จนซอโซ่ที่นอนหงายอยู่ด้านล่างต้องเม้มริมฝีปาก โดยที่เขาทั้งสองข้างยกขึ้นรัดรอบเอวของคิรินเอาไว้จนแน่น

“ผมใกล้แล้ว” คิรินก้มลงกระซิบที่ข้างหูของซอโซ่ ที่ก็พยักหน้าตอบกลับคิรินด้วยเช่นกัน โดยที่บั้นเอวของเขาไม่ได้หยุดขยับเข้าออก และจากการตอนสนองของร่างกายซอโซ่ ที่ช่องทางบีบรัดเข้าหากันเป็นจังหวะตุบ ๆ ทำให้คิรินเองยิ่งเร่งจังหวะเพิ่มขึ้น แรงขึ้น จนเขาต้องปล่อยให้ทุกอย่างทะลักทลายจนไหลล้นออกมาจากทาช่องทางของอีกฝ่าย

“ผมไม่ได้มีความสุขแบบนี้มานานแล้ว” คิรินถอนตัวออก ก่อนจะนอนแผ่หงายข้าง ๆ กับซอโซ่ ผ่อนลมหายใจที่กระชั้นจนเกือบกลับมาเป็นปกติ ชายหนุ่มหันไปยิ้มให้กับอีกฝ่าย จุมพิตเบา ๆ ลงบนริมฝีปากนั้น ก่อนจะเห็นซอโซ่ยันตัวลึกขึ้นนั่ง ทำให้คิรินลุกขี้นนั่งตาม ซอโซ่พยักหน้ามองคิริน ก่อนจะบอกว่า “เราต้องกลับกันแล้ว” คิรินมองตามอีกฝ่ายเดินเข้าห้อน้ำไป ก่อนที่ตัวเขาเองจะเดินตามไปเช่นกัน

พอรถเข้าสู่เขตตัวเมืองการจราจรก็ดูจะหนาแน่นและคับคั่งมากขึ้น แสงไฟจาถนนดูละลานตาไปหมด เมืองใหญ่คลาคล่ำและเต็มไปด้วยผู้คนและรถราที่ขวักไขว่ คิรินเหยียบคันเร่งเมื่อไฟจราจรที่สี่แยกเปลี่ยนเป็นสีเขียว ก่อนจะต้องประคองรถให้แล่นเข้าข้างทาง เมื่อเครื่องยนต์นั้นเกิดอาการกระตุก ก่อนจะดับลงเมื่อรถจอดเทียบที่ข้างฟุตปาธพอดี

“มาเสียอะไรตอนนี้เนี่ย” คิรินบ่นออกมาดัง ๆ เมื่อเขาสัญญาว่าจะขับรถไปส่งซอโซ่จนถึงที่พัก แต่รถเจ้ากรรมกลับมาจอดตายนิ่งสนิทอยู่ตรงนี้เสียดาย “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินกลับเองได้” พูดเสร็จ ซอโซ่ก็เปิดประตูรถลงไป คิรินมองเห็นสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ ชายหนุ่มรีบลงรถเดินตามซอโซ่ไป

“โซ่รอผมด้วย” คิรินเรียกอีกฝ่าย ที่ดูเหมือนจะรีบเดินให้ไวมากขึ้น “เรียกรถลากมาให้ที ตอนนี้จอดเสียอยู่แถว ๆ” คิรินพูดกรอกเสียงลงโทรศัพท์มือถือ บอกให้คนรถมาจัดการรถที่เสียให้กับเขาด้วย ก่อนจะเดินลงบันไดเลื่อนตามหลังซอโซ่ไปด้านล่าง “ก็ถ้าเขาถาม ก็บอกอะไรไปก็ได้ หรือจะบอกว่าฉันตายไปแล้วก็ได้ ฉันไม่แคร์” คิรินพูดตอบกลับไป เมื่อถูกถามถึงเรื่องที่ไม่น่าสบอารมณ์ ก่อนจะร้องเรียกซอโซ่อีกครั้ง เมื่อเห็นอีกฝ่าย แตะบัตรโดยสารเข้าไปด้านในแล้ว

“โซ่รอผมก่อน” คิรินที่ยังไม่มีเหรียญโดยสาร ได้ยินเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยร้องบอกให้เขาซื้อตั๋วโดยสารเสียก่อน พอคิรินเข้ามาด้านในได้ เสียงขบวนรถไฟฟ้าก็กำลังเข้าจอดเทียบชานชาลาพอดี เขามองเห็นซอโซ่เดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ที่ด้านในตัวรถ ประตูรถไฟฟ้ายังไม่ปิด คิรินแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมซอโซ่ถึงไม่ยอมรอเขา และยืนก้มหน้าไม่ยอมมองมาที่เขา ที่เอ่ยปากเรียกอีกฝ่ายอยู่

คิรินวิ่งมาถึงที่ตัวรถไฟฟ้า ประตูก็ปิดลงแล้วระหว่างเขากับซอโซ่ ถูกกั้นเอาไว้ด้วยประตูบานนั้น สายตาของคิรินมีแต่คำถาม ว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น ซอโซ่เองนั้นก็ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองคิรินแต่อย่างใด รถไฟฟ้าเคลื่อนตัวออกจากชานชาลา ซอโซ่เงยหน้าขึ้นมองกระจกที่ประตู มองเห็นเงาของตัวเองอยู่ในนั้น

“ฉันรู้นะ ว่าแกเอาผัวฉันไปนอนกก” ก่อนที่คิรินจะขับรถออกมาจากบ้านที่ชายทะเล ซอโซ่อ่านข้อความที่ถูกส่งมาถึงเขา “ถ้าแกจะใช้ไอ้ดุ้นตัวเดียวอันเดียวร่วมกับฉัน” ซอโซ่ใจเต้นแรงมือสั่นเมื่อข้อความเหล่านั้นถูกส่งผ่านเข้ามาอย่างต่อเนื่อง “แกใช้ถุงยางบ้างมั้ย หรือว่ายอมให้เขาล่อ แบบพวกกะหรี่อีตัวชั้นต่ำ” ซอโซ่ฝืนยิ้มให้กับคิริน เมื่อเขาออกรถมาได้สักพัก ว่าตัวเขาเองนั้นโอเคมั้ย

“ฉันขอร้องล่ะ” ตอนที่ซอโซ่บอกกับคิรินว่าเขาจะกลับเอง แล้วเปิดประตูลงจากรถ ข้อความสุดท้ายก่อนที่ซอโซ่จะปิดโทรศัพท์มือถือ ก็ถูกส่งเข้ามา “ช่วยคืนเขากลับมาให้ฉันได้มั้ย เขาเป็นพ่อของลูกฉันนะ” ตอนนั้นซอโซ่รีบร้อนเพื่อจะเข้าไปในขบวนรถไฟฟ้าให้เร็วที่สุด ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ดึงสติเขาให้ละอายและเกรงกลัวกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ เพื่อให้เหตุผลที่ถูกต้องกลับมาอยู่เหนืออารมณ์ที่ผิดระเบียบของตัวเองอีกครั้ง

*******************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

จากคนอื่นคนไกล - มาช่า วัฒนพานิช

https://www.youtube.com/watch?v=i-Ng2qoMUnM


ความจริงที่เธอต้องฟัง

The truth you need to hear

ความจริงที่เธอแกล้งลืมมัน

Facts that you pretend to overlook

ถึงฉันยังใจสั่นสั่น

Though my heart’s trembling

แต่คงต้องพูดมันไป

Yet I need to say it out loud


เธอมีอีกคนที่ดี

You have the good one with you

เธอมีอีกคนที่จริงจัง

And that’s a serious one

ถึงแม้ไม่อยากรับฟัง

You might not want to listen

จงฟังและควรทำใจ

But you must do and bear in mind


ว่าฉันไม่อาจมีใจให้เธอ

That I can’t have feelings for you

เป็นแค่คนอื่นคนไกลของเธอ

I’m just someone far from reality

แค่ผ่านมาเจอ

Who just crossed path

จากนี้เธอควรกลับไป

And now you need to go back there


บอกจริงจริง ว่าฉันไม่อยากทำตัวไม่ดี

Honestly, I don’t want to misbehave

และฉันไม่อยากเป็นคนไม่ดี

I really don’t want to be bad

ทุกอย่างลวงตา

It’s all illusion

อย่าคิดไปเกินกว่านี้

Don’t push it too far

อย่าทำอีกเลย

Don’t do this again, never


อารมณ์ที่เราเผลอใจ

The emotions we both slipped through

มันเป็นอะไรแค่ข้ามคืน

Simply this one night stand

ฉันแค่เป็นคนอื่นอื่น

I am just someone else

ที่เธอว่าน่าพอใจ

That you might find some pleasure from


บางทีถ้าเธอหันไป

Maybe if you turn around

ทำดีกับเขาให้เพียงพอ

Be good to that one much enough

รักแท้ที่เธอเฝ้ารอ

The true love you’re longing for

มันคงไม่ใช่คนไกล

It will be someone near you


แต่ฉันไม่อาจมีใจให้เธอ

But I can’t have feelings for you

เป็นแค่คนอื่นคนไกลของเธอ

I’m just someone far from reality

แค่ผ่านมาเจอ

Who just crossed path

จากนี้เธอควรกลับไป

And now you need to go back there


บอกจริงจริง ว่าฉันไม่อยากทำตัวไม่ดี

Honestly, I don’t want to misbehave

และฉันไม่อยากเป็นคนไม่ดี

I really don’t want to be bad

ทุกอย่างลวงตา

It’s all illusion

อย่าคิดไปเกินกว่านี้

Don’t push it too far

อย่าทำอีกเลย

Don’t do this again, never


ชีวิตดำเนินต่อไป

Life goes on, indeed

เธอรู้ต้องทำเช่นไร

You do know what to do

ส่วนฉันก็คงต้องอยู่แบบเดิมอย่างนี้

For me, I carry on the usual things of mine

เข้าใจใช่ไหม

Don’t you get it?


บอกจริงจริง ว่าฉันไม่อยากทำตัวไม่ดี

I’m telling you now, I don’t want to astray

และฉันไม่อยากเป็นคนไม่ดี

I don’t want to be called names

ทุกอย่างลวงตา

The illusion we perceive

อย่าคิดไปเกินกว่านี้

Don’t let it go too far

อย่าทำอีกเลย

We must stop it, ever

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: สืบลับ สืบรัก: CLSI ๗๖. Boys Don't Cry _ 02.27.2024
«ตอบ #79 เมื่อ27-02-2024 19:35:00 »



Crime and Love Scene Investigation


๗๖. Boys Don’t Cry



“วันนี้อาจารย์จะสั่งนักศึกษาให้ไปทำรายงาน” เสียงของโอดครวญดังขึ้นในทันทีที่อาจารย์ประจำวิชาพูดจบ “จับคู่สองคน” ตอนนี้แต่ละคนในห้องเรียนก็พากันหันซ้ายหันขวา ทำพยักพเยิดว่าจะจับคู่กับใครดี “กำหนดส่งคือสิ้นเทอม” อาจารย์พูดถึงตอนนี้ ก็มีเสียงฝีเท้าวิ่งตึกตักมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องเรียน พร้อมประตูได้ถูกเปิดออก

“ว่ายังไงคะ คุณฮ่องเต้ คุณมาเรียนวิชาของอาจารย์คาบนี้ สายนะคะ” อาจารย์ประจำวิชาพูดกับคนที่เพิ่งมาถึง และพยายามจะกลบเกลื่อนอาการเหนื่อยหอบนั้นเอาไว้ “แต่อาจารย์เคยบอกว่า ให้สายได้สามสิบนาทีในคาบของอาจารย์เรียนนี่ครับ” ฮ่องเต้เอ่ยทักท้วงคำพูดที่อาจารย์เคยให้เอาไว้เมื่อตอนต้นเทอม

“ยี่สิบเก้านาที” อาจารย์พึมพำคำพูดออกมา แต่ก็ได้ยินกันทั้งห้องเรียน เมื่อก้มดูนาฬิกาบนข้อมือของตัวเอง “ฉิวเฉียด” ฮ่องเต้พูดออกมาอย่างโล่งอก เมื่อมีเพื่อน ๆ ในห้องเป็นพยานให้อีกคำรบหนึ่ง “อาจารย์เพิ่งสั่งให้ทำรายงานไป ไหน คนไหนยังไม่มีคู่ทำรายงานบ้าง” เสียงถามของอาจารย์ดังขึ้น ฮ่องเต้เองก็กวาดสายตาไปทั่วห้องเช่นกัน จนสายตาของเพื่อนร่วมชั้น หันไปทางด้านหลังห้องโดยพร้อมเพรียง

“จีน” เสียงของอาจารย์ประจำวิชาเรียกชื่อนักศึกษาชายที่เพื่อน ๆ หันไปมอง “นี่ท่านฮ่องเต้” อาจารย์พูดต่อ “ฮ่องเต้” อาจารย์เรียกชื่อนักศึกษาชายที่ยืนอยู่หน้าชั้นเรียน “นั่นคุณจีน” ฮ่องเต้มองไปตามที่อาจารย์เรียก “อืมนะ เธอสองคนก็เหมาะสมกันดี” เสียงหัวเราะครืนจากเพื่อนทั้งห้องเรียนดังขึ้นพร้อมกัน ฮ่องเต้ส่งเสียงจิ๊จ๊ะ ตาขุ่นใส่เพื่อน ก่อนจะเดินไปนั่งที่เก้าอี้ที่เหลือว่างอยู่หลังห้อง สายตามองไปทางจีน ที่ตอนนี้ทำเส มองไปที่หน้าหนังสือที่เปิดค้างอยู่ แต่ตัวหนังสือไม่เข้าหัวสักตัว

“ตกลงต้องทำรายงานด้วยกันใช่มั้ย” ฮ่องเต้ถามขึ้น เมื่อขยับโต๊ะเลคเชอร์ เลื่อนเข้ามานั่งข้าง ๆ กับจีน คนถูกถามหันไปมองอีกฝ่าย ก่อนที่ฮ่องเต้จะเห็นจีนพยักหน้าให้แทนคำตอบ “ทำงานร่วมกับคนอื่นเป็นใช่มั้ย” ฮ่องเต้ถาม มองหน้าจีนตรง ๆ คำถามของอีกฝ่าย ด้วยน้ำเสียง สายตา และท่าทาง เป็นองค์ประกอบที่รวมกัน แล้วทำให้จีนถึงกับต้องชะงัก กลืนน้ำลายลงคอไปอย่างยากลำบาก

“อาจารย์ให้ทำหัวข้ออะไร” เหมือนฮ่องเต้ไม่ได้รอคำตอบจากอีกฝ่าย แต่เป็นการกล่าวตำหนิมากกว่าอย่างอื่น จีนเองก็ทำได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ออกมา อย่างที่ต้องยอมรับผิดไปโดยปริยาย “เอาล่ะนักศึกษา วันพอเท่านี้ก่อน” อาจารย์ประจำวิชาค้อมศีรษะลงเล็กน้อย รับการทำความเคารพจากทั้งชั้นเรียน ก่อนจะเดินออกจากห้องไป

“พอดีเราอ่านหนังสือเกี่ยวกับหัวข้อที่อาจารย์ให้มา ตั้งแต่ต้นเทอมแล้ว” จีนบอกกับฮ่องเต้ ที่ตอนนี้หันมามองอีกฝ่ายด้วยอาการขมวดคิ้ว “คือไม่เคยร่วมกิจกรรมใด ๆ กับใคร ก็เลยมีเวลาอ่านหนังสือสินะ เข้าใจแล้ว” จีนหน้าชาดิก กับคำพูดของฮ่องเต้ “เห็นแก่ตัวตั้งแต่ปีหนึ่งจนปีสุดท้ายจริง ๆ” จีนยิ่งรู้สึกชาไปทั้งตัว เมื่อเพื่อนคนอื่นที่ได้ยิน เริ่มหันมองมาทางเขา

“เรามีหนังสือที่อ่านประกอบหัวข้อรายงาน และคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์” จีนเลือกที่จะไม่มองสายตาตำหนิของคนอื่น ๆ หยิบหนังสือออกจากกระเป๋าผ้าด้วยมือที่สั่น ๆ ยื่นให้อีกฝ่าย ฮ่องเต้ชำเลืองมองหนังสือเล่มนั้นในมือของจีน ก่อนจะยื่นมือไปรับมาอย่างเสียไม่ได้ “เหี้ยอะไรเนี่ย” ฮ่องเต้สะบัดมือออกทันทีเช่นกัน เมื่อมือของเขาสัมผัสกับอะไรเละ ๆ ที่ปกหลังของหนังสือเล่มนั้น

“ขอโทษ ๆ” จีนรีบเอ่ยปากทันที เมื่อเห็นว่าเป็นอะไรที่เลอะปกหลังของหนังสือเล่มนั้น “สีขาวขุ่นแบบนั้น มันเป็นอะไรไปได้อีกวะ” ใครคนหนึ่งตะโกนจนดังลั่นห้อง “ขนาดหนังสือตำราเรียนเครียด ๆ ก็ทำให้หนอนหนังสือทนไม่ไหว เกิดอารมณ์ได้ด้วยหรือเนี่ย” ก่อนที่เสียงโห่ฮาป่าจะดังขึ้น จีนก้มลงหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาจากพื้นห้อง รู้ดีว่ามันไม่ใช่อะไรแบบที่เพื่อนกำลังพูดล้อเลียนเขาอยู่

“เราขอโทษนะ” จีนใส่หนังสือลงไปในกระเป๋าผ้า “ขอโทษอีกครั้ง” ก่อนจะวางห่อทิชชูเปียกลงบนเก้าอี้เลกเชอร์ของฮ่องเต้ จีนฝืนก้าวเท้าเดินออกจากห้องไป ท่ามกลางสายตาที่ไม่เข้าใจของเพื่อน ๆ “มันไม่มีเพื่อนเลยสักคนหรือวะ เรียนมาจนจะจบอยู่แล้ว” ฮ่องเต้ดึงกระดาษทิชชูเปียกออกมาเช็ดสิ่งที่เปื้อนอยู่บนมือของเขา ก่อนจะมองไปที่ประตูห้องที่จีนเพิ่งเดินผ่านออกไป

“เขาว่ากันนะเว้ย ว่ามันยากจน เงินจะกินข้าวแทบไม่มีแท้ ๆ แต่ก็ยังหาเลี้ยงผู้ชายเอาไว้คนหนึ่ง แม่ง กินอยู่ดีกินดีกว่าใครทั้งนั้น ประมาณเข้าตำราว่า ผู้ชายต้องอิ่ม แต่ตัวเองอดได้ไม่เป็นไร” คำพูดทิ้งท้ายของเพื่อน ทำให้ฮ่องเต้ต้องเก็บเอามาคิด ขณะกำลังขับรถคันหรูในกระแสจราจรอันคับคั่งของเมืองหลวง

“จีนขอโทษจริง ๆ ครับ พี่นา นี่จีนรีบกลับมาให้เร็วที่สุดแล้ว แต่งานพิเศษร้านที่สองที่จีนไปทำเขา” ยังไม่ทันที่จีนจะพูดจบประโยค ผู้หญิงที่อายุมากกว่าจีนนิดหน่อยก็พูดสวนขึ้นมาว่า “ถ้ารีบ ก็ควรจะนั่งแท็กซี่มาเลยนะคะ เพราะพี่เองถ้ารีบก็จะทำแบบนั้นเหมือนกัน” น้ำเสียงของพี่นาบ่งบอกความไม่สบอารมณ์อย่างเปิดเผย

ฮ่องเต้ที่เผอิญเห็นจีนลงรถเมล์ที่ป้ายรถไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยเท่าไหร่ ได้ตามจีนมาตั้งแต่ร้านกาแฟแห่งแรก จนมาที่ร้านหมูกระทะร้านที่สอง ขับรถตามอีกฝ่ายจนมาถึงที่บ้าน ฮ่องเต้ขับรถเลยไปจอดไกลออกไป ก่อนจะเดินย้อนกลับมา ยืนหลบมุมแอบฟังที่หน้าบ้านของจีน ทันได้ยินบทสนทนานั้น

“จีนต้องขอโทษพี่นาด้วยจริง ๆ ครับ” จีนยกมือไหว้ขอโทษ ก่อนจะรีบหยิบเงินออกมาจากกระเป๋ากางเกง “จีนได้เงินค่าแรงมาพอดี” พี่นาดึงเงินออกไปจากมือของจีนทันที ก่อนจะนับดูว่าจำนวนมันไม่ขาดไปอย่างครั้งที่แล้ว “วันนี้นึกว่าจะไม่ได้แล้วสิเนี่ย” น้ำเสียงนั้นฟังดูกระแทกกระทั้น เนื่องจากจีนผัดค่าแรงพี่นา มาหลายวัน

“แต่ยังไง พี่บอกจีนไว้เลยนะ ว่าพี่ต้องกลับบ้านที่บ้านนอก แม่พี่ป่วย จีนหาคนมาทำแทนได้เลย” ทันทีที่พี่นาพูดแบบนั้น ที่ประตูบ้าน ก็เห็นผู้ชายอีกคนที่นั่งอยู่บนรถเข็น เลื่อนมาพอดี พลางพยายามส่งเสียงอู้อี้ในลำคอ และดูไม่พอใจกับคำพูดของพี่นาเช่นกัน จนพี่นาเองก็หันไปมองอย่างไม่สบอารมณ์เช่นกันว่า

“ค่ะ ๆๆ ก็ไม่ได้อยากมาเหมือนกันแหละ อะไรคนมาช่วยเอาบุญแท้ ๆ กลับทำอวดเก่ง จะทำนั่นทำนี่เอง ข้าวกินก็หกเลอะเทอะไปหมด” สิ่งที่เลอะหนังสือของจีนก็คือเศษข้าวที่โจกินหกไว้ “จะขี้จะเยี่ยวก็ไม่ยอมให้ช่วย พูดก็ไม่ได้ จะเอาอะไรก็บอกไม่เป็น แล้วนี่จีนก็กลับบ้านช้าขึ้นทุกวัน ๆ ค่าดูแลก็ต้องเพิ่ม บ้านนี่ก็ไม่ยอมขาย จะเก็บเอาไว้ทำไม ในเมื่อต้องการเงินมาจ่ายเป็นค่ารักษาพยาบาลดูแลตัวเอง น้องคุณต้องออกไปทำงานจนตัวเป็นเกลียวขนาดนี้ แล้วมันมีปัญญาจ่ายเสียที่ไหนกัน” ฮ่องเต้รับข้อมูลที่ถูกต้องกับข่าวลือที่เกี่ยวข้องกับจีน ณ วินาทีนั้นเอง

“พี่ไปล่ะค่ะ ลาขาด ต่อไปไม่ต้องมาง้อ ไม่ต้องมาตามพี่นะคะ แม่พี่ก็ไม่ได้ป่วยหรอก เอาจริง ๆ พี่รำคาญ” พี่นาเดินกระแทกส้นเท้าจากไป ไม่ทันได้เห็นใครอีกคนที่ยืนอยู่ที่หน้าบ้าน ฮ่องเต้ลอบมองไปที่จีนที่ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับพี่ชายของตัวเอง ก่อนจะนั่งลงที่ข้าง ๆ รถเข็นคันนั้น

“พี่โจจะบอกว่า พี่โจดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องการให้จีนหาคนมาดูแลใช่มั้ย” จีนพูดกับพี่ชายของตัวเองด้วยความเข้าใจ โดยที่โจพยักหน้าตอบกลับน้องชายสุดที่รักของตัวเอง “จีนไม่เป็นไรเลย จีนทำได้ จีนไม่ได้เหนื่อยอะไร” โจน้ำตาคลอเมื่อได้ยินน้องของตัวเองบอกว่า ที่ทำให้พี่ชายมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ตั้งแต่พ่อแม่และโจเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ขณะกำลังจะไปรับจีนมาฉลองด้วยกัน ที่จีนสอบติดคณะอันดับหนึ่งที่ได้เลือกเอาไว้ จากวันนั้นพ่อและแม่ได้จากไป และโจต้องพึ่งพาคนอื่น เพราะทั้งเดินและพูดไม่ได้

ฮ่องเต้รู้สึกสะอึกอยู่ในใจ เมื่อเห็นจีนยืนขึ้น พลางเงยหน้าขึ้นมองไปด้านบน กะพริบตาถี่ ๆ เพื่อกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลลงมา ก่อนจะบอกกับพี่ชายให้เข้าบ้าน เมื่อกลัวว่าโจจะเป็นหวัดเมื่อน้ำค้างเริ่มลง โจที่หันหน้าออกไปทางหน้าบ้าน มองเห็นฮ่องเต้แอบยืนมองมา จึงพยายามส่งเสียงบอกจีน แต่ก็หลบเดินกลับไปที่รถเสียก่อน ที่จีนจะหันไปทันได้เห็นว่าเพื่อนร่วมชั้นเรียนยืนอยู่ตรงนั้น

สารวัตรรัฐนนท์และชนธัญขับรถมาถึงที่เกิดเหตุ หลังจากได้รับแจ้งจากหน่วยเก็บและพิสูจน์หลักฐาน พอลงมาจากรถ ก็พบว่ากว่าเจ้าหน้าที่จะสามารถมากั้นบริเวณดังกล่าวเอาไว้ เพื่อรอทีมสืบสวนสอบสวน ไครม์ซีนก็ถูกผู้คนเหยียบไปมา เนื่องจากความตกใจหวาดกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างอุกอาจกลางกรุงแบบนี้

“ผู้เสียชีวิตเป็นชาย” หัวหน้าทีมเก็บหลักฐานพูดขึ้นทันที ที่เห็นใบหน้าของสารวัตรรัฐนนท์และชนธัญ “สาเหตุการเสียชีวิต” สารวัตรรัฐนนท์ถามกลับไป “กันช็อทวูนด์ ถูกยิงระยะใกล้” เสียงหัวหน้าหน่วยพิสูจน์หลักฐานตอบกลับมา “อาวุธคาดว่าจะเป็นปืนพก แต่ตอนนี้ยังหาอาวุธที่ใช้สังหารไม่พบ” สารวัตรรัฐนนท์ถึงกับต้องหันไปสบตากับหัวหน้าฝ่ายทันที

“มีผู้เกี่ยวข้องกับผู้ตายมั้ย” สารวัตรรัฐนนท์ถามต่อ ก่อนจะมองตามสายตาของหัวหน้าทีมเก็บหลักฐานไป หญิงสาวที่ตั้งครรภ์หลายเดือน กำลังนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่กับหน่วยพยาบาล “ภรรยาของผู้ตายหรือเปล่า” สารวัตรรัฐนนท์นึกสงสัย ว่าทำไมคราวนี้ข้อมูลต่าง ๆ ถึงมาอย่างกระท่อนกระแท่น

“เธอยังไม่ได้พูดหรือให้การอะไร เอาแต่นั่งร้องไห้อยู่แบบนั้น” หนึ่งในลูกทีมหน่วยพิสูจน์หลักฐานให้ข้อมูลเพิ่มเติม “แล้วพยานผู้เห็นเหตุการณ์ล่ะครับ” ชนธัญที่กำลังมองไปยังหญิงสาวหน้าตาดี ดูเป็นลูกของคนมีเงินถามขึ้น “เราสอบถามหลายคน แต่ให้การกันไปคนละทิศละทาง แต่ละคนพูดกันไปคนละอย่าง สับสนไปหมด คงต้องพึ่งกล้องวงจรปิดจากทางห้าง คงพอจะบอกอะไรเราได้บ้าง ตอนนี้รอหมายศาลกำลังจะมา” ทางเจ้าหน้าที่ได้ร้องขอไปยังท่านผู้พิพากษา ขอให้ท่านเร่งพิจารณาออกหมายโดยเร็วที่สุด

“คุณได้อะไรบ้างไหม รู้สึกยังไงบ้าง” สารวัตรรัฐนนท์ถามขึ้น เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังมองไปที่หญิงสาวที่ตั้งท้องคนนั้นอย่างไม่ละสายตา “มีแต่ความโกรธ ผมรู้สึกแบบนั้น” ชนธัญเองก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน ที่ทั่วทั้งบริเวณ มันเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว “เต็มไปด้วยความเกลียดชัง” ชนธัญสบตากับสารวัตรหนุ่มหล่อ รวมถึงหัวหน้าทีมเก็บและพิสูจน์หลักฐานด้วยเช่นกัน

***************************************************

คำแปลเนื้อเพลงเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

คนไม่น่าสงสาร - แอน ธิติมา

https://www.youtube.com/watch?v=htjQC4cVtFQ


ผิดไหม ที่ไม่เคยเรียกร้องอะไร

Is it wrong that I’ve never asked for anything?

ผิดไหม ที่ไม่เคยขอร้องให้เธอ

Am I bad to not beg of you?

มารักมาเห็นใจ เหมือนที่ใครใครเขาทำ

To love, to care like anybody else may do?


ก็ชินกับการต้องส่งยิ้มให้เธอ

I am used to giving you my smile

ก็ชินกับการจะบอกไม่เป็นไร

I am used to saying that everything is fine

ทั้งที่บางทีในหัวใจ ฉันก็มีน้ำตา

Although in my heart sometimes, I’m crying a river


ในสายตาของเธอฉันเป็นคนที่เข้มแข็ง

You feel that I am so, so strong

ยังแข็งแรง อยู่ได้โดยไม่ต้องมีใคร

So tough, I’ll live without having anyone

เป็นคนไม่น่าสงสาร เป็นคนเข้าอกเข้าใจ

No need for sympathy, always knows how the world works

คงไม่เป็นไรถ้าไม่มีเธอ

I’ll be alright, even you’re not around


แต่คนไม่น่าสงสารคนหนึ่ง ที่เธอไม่เคยคิดถึง

Yet me that you don’t feel pity for, you never think of

รู้ไหมน่าสงสารสักเท่าไร

Is so pitiful more than you really imagine

อยากจะร้องไห้ ก็ต้องยิ้มให้

I want to cry, but have to smile instead

ไม่รู้ร้องยังไง

Don’t know how to do that


คนไม่น่าสงสารคนหนึ่ง ที่เธอไม่เคยคิดถึง

This is pitiless of me, you’re overlooking

เพราะไม่เคยยอมรับว่าหัวใจ

Because I never admit it in my heart

ทั้งอ่อนแอและอ่อนไหว ก็เท่านั้นเอง

Weak and also vulnerable, that’s all the truth


พึ่งรู้ว่าการที่ต้องซื่อตรงกับใจ

Just come across that being honest with my heart

ความคิดและความรู้สึกนั้นสำคัญ

Thoughts and feelings are important

ฉันหวังว่าไม่สายไป

I hope none of these is too late


ในสายตาของเธอฉันเป็นคนที่เข้มแข็ง

You feel that I am so, so strong

ยังแข็งแรง อยู่ได้โดยไม่ต้องมีใคร

So tough, I’ll live without having anyone

เป็นคนไม่น่าสงสาร เป็นคนเข้าอกเข้าใจ

No need for sympathy, always knows how the world works

คงไม่เป็นไรถ้าไม่มีเธอ

I’ll be alright, even you’re not around


แต่คนไม่น่าสงสารคนหนึ่ง ที่เธอไม่เคยคิดถึง

Yet me that you don’t feel pity for, you never think of

รู้ไหมน่าสงสารสักเท่าไร

Is so pitiful more than you really imagine

อยากจะร้องไห้ ก็ต้องยิ้มให้

I want to cry, but have to smile instead

ไม่รู้ร้องยังไง

Don’t know how to do that


คนไม่น่าสงสารคนหนึ่ง ที่เธอไม่เคยคิดถึง

This is pitiless of me, you’re overlooking

เพราะไม่เคยยอมรับว่าหัวใจ

Because I never admit it in my heart

ทั้งอ่อนแอและอ่อนไหว

Weak and also vulnerable

ทำเป็นแข็งใจ

Trying so hard to be okay


ฉันอ่อนแอและอ่อนไหว

I am fragile and sensitive

แต่เธอไม่เคยรู้เลย

That you may never realize

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: สืบลับ สืบรัก: CLSI ๗๖. Boys Don't Cry _ 02.27.2024
« ตอบ #79 เมื่อ: 27-02-2024 19:35:00 »





ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0


Crime and Love Scene Investigation


๗๗. (This) Boy (Still) Can’ t Cry



จีนนั่งนิ่งอยู่ที่ข้างเตียงคนไข้ ที่เหนือเตียงนั้น มีสายจากอุปกรณ์เครื่องพยุงชีพ ห้อยระโยงระยางเต็มไปหมด เสียงของเครื่องช่วยหายใจที่ช่วยพาออกซิเจนเข้าสู่ปอดให้กับโจ ดังฟืดฟาดให้จีนได้รับรู้ว่า พี่ชายของเขายังคงมีชีวิตอยู่ แต่ว่าในตอนนี้ โจยังไม่ฟื้น ตื่นลืมตาขึ้นมาพูดคุยกับจีนได้แต่อย่างใด คำพูดของหมอที่บอกกับจีนเอาไว้ว่า ให้ทำใจล่วงหน้า กำลังบั่นทอนและกัดกินใจเขาอยู่ไม่น้อย

จีนเพิ่งจัดการงานศพของพ่อและแม่เสร็จลง ญาติพี่น้องที่เคยห้อมล้อมตัวเขาในศาลาสวดศพ ต่างพากันหายหน้าหายตาไปกันหมด เมื่อแน่ใจแล้วว่า พ่อกับแม่ของจีนไม่ได้ทิ้งสมบัติพัสถานอะไรเอาไว้ให้กับสองคนพี่น้องมากมายนัก มีเพียงแต่บ้านหลังที่โจและจีนอยู่มาตั้งแต่เกิดเท่านั้น ซึ่งจีนก็ยืนกรานไปแล้วว่า เขาจะไม่ขายบ้านหลังนี้เด็ดขาด

“จีนไม่เหลืออะไรแล้ว นอกจากพี่โจ กับบ้านของพ่อแม่” บทสนทนาของจีนกับบรรดาญาติ ๆ ที่บอกให้จีนขายบ้านทิ้ง “แล้วจะให้พี่โจไปอยู่ที่ไหน” นั่นคือสิ่งเดียวที่อยู่ในใจและความคิดของจีน พี่ชายคือคนที่สำคัญที่สุดสำหรับจีนแล้วในตอนนี้ ต่อให้ทุกคนบอกว่าให้จีนปลงและปล่อยมือจากพี่ชายของเขาก็ตาม

จีนหันไปมองทางเตียงที่โจนอนไม่ได้สติอยู่ น้ำตาที่ไหลเอ่อขึ้นมาที่ขอบตา ทำให้จีนทั้งกลัวทั้งหวาดหวั่น จีนเอื้อมมือไปบีบมือของพี่ชายพร้อมกับบอกให้โจฟื้น ลืมตาขึ้นมาพูดคุยหยอกล้อกันเหมือนก่อน ให้น้องคนนี้ได้อุ่นใจขึ้นสักนิด ว่าพี่ชายยังไม่ได้จากเขาไปไหน ยังรับรู้ถึงความรักและความห่วงใยที่มีให้กันและกัน

จีนได้พบกับคนมากหน้าหลายตาที่มาจากหลากหลายแห่ง ตำรวจ ทนาย ประกัน ต่างเข้ามาพูดรายละเอียดที่จีนไม่รู้จะจับต้นชนปลายอย่างไรก่อนดี แถมในใจของจีนก็เต็มไปด้วยความเป็นห่วงโจ ที่ร่างกายยังไม่ตอบสนองได้ดีเท่าที่ควร แม้ว่าสมองจะยังคงให้ความหวังแก่จีนว่า พี่ชายของเขาจะลืมตาตื่นขึ้นมาได้อีกครั้ง

“คืออย่างนี้นะ” จีนได้คุยกับบริษัทประกันทางโทรศัพท์มือถือ “สรุปแล้ว ทางพ่อกับแม่ของคุณจีนเป็นฝ่ายผิด ตามรายละเอียดคดีที่ทางตำรวจยืนยันมา” จีนถึงกับงงไปหมด เมื่อได้ยินอีกฟากหนึ่งของสาย พูดบอกมาแบบนั้น “เดี๋ยวนะครับ ตอนแรกทางบริษัทประกันบอกกันผมว่า มีพยานยืนยันได้นี่ครับว่า รถของคู่กรณีขับมาด้วยความเร็วสูง พุ่งชนรถของพ่อแม่ผม โดยที่รถคันนั้นไม่มีร่องรอยของการเบรกด้วยซ้ำ” จีนพูด ก่อนจะพลิกหาข้อมูลคำให้การของพยานที่เขาเห็นในครั้งแรก

“มันอยู่ในคำให้การ” จีนพลิกหาจนมาเจอกระดาษแผ่นนั้น แต่คำพูดในส่วนที่เป็นคุณกับทางฝ่ายจีน มันไม่ได้อยู่ในนั้น ไม่ได้ถูกระบุเอาไว้แต่อย่างใด “ยังไงทางคู่กรณีจะไม่เอาผิดใด ๆ กับทางคุณจีน แค่เลิกแล้วต่อกันไป ต่างคนต่างกลับไปดำเนินชีวิตตามปกติ ส่วนเรื่องค่าชดเชยก็ให้จบลงแค่นี้ ถือว่าเป็นการยุติ แต่ถ้าคุณจีนเห็นเป็นอย่างอื่น ก็ให้ไปทำเรื่องฟ้องร้องเอาเอง” จีนได้ยินเสียงคู่สนทนาตัดสายลงไป พร้อมกับปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้น เมื่อคุณหมอมาแจ้งให้จีนรู้ว่า โจนั้นฟื้นแล้ว

“แต่คนไข้จะพูดไม่ได้ และไม่สามารถเดินได้อีกต่อไป” จีนฝืนกลืนก้อนแข็ง ๆ ที่จุกอยู่ในลำคอให้ลงไป เมื่อได้มานั่งอยู่ที่ข้างเตียงคนไข้ โดยที่เห็นโจนั้น มองมาที่จีน โดยที่มีน้ำตาไหลลงมาอาบแก้มอยู่ตลอดเวลา “จีนอยู่นี่แล้ว พี่โจไม่ต้องกลัวนะ พี่โจจะต้องหายดี” การพยายามทำให้เสียงไม่เครือ ทั้ง ๆ ที่หัวใจสั่นกลัวไปหมด มันช่างทำได้ยากเย็นเหลือเกิน “เราสองคนจะไม่เป็นไร” นั่นคือคำพูดของจีนที่มีให้ไว้กับพี่ชายของตัวเอง

“อะไรวะ เพื่อนเขาก็อยู่เย็นกันหมดทุกคน ทำไมมันถึงไม่ยอมอยู่ทำอะไรร่วมกับคนอื่นเขาเลย” เสียงเพื่อน ๆ ชั้นปีที่หนึ่ง ส่งเสียงบ่นอย่างไม่พอใจกับทุกคนที่นั่งรวมกันอยู่ตรงนั้น “นั่นน่ะสิ แล้วทำไมพวกเราต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วย ทั้ง ๆ ที่มีมันคนเดียวที่ทำตามใจตัวเองได้ แถมไม่เคยเข้าร่วมอะไรกับใครเขาเลยสักครั้งเดียว” ทุกคนไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งที่จีนดูจะมีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น

“จีนรอก่อน” ฮ่องเต้ที่บอกกับเพื่อน ๆ ว่าจะตามไปคุยกับจีน ที่เพิ่งเดินออกไปไม่นาน เรียกอีกฝ่ายให้หยุดเดิน “คือเรารีบน่ะ เราสายแล้ว” นาฬิกาบอกเวลาเกือบบ่ายสี่โมงครึ่ง จีนบอกเพื่อนออกไปอย่างสุภาพ “จีนช่วยอยู่ช่วยเพื่อน ๆ ทำกิจกรรมสักครั้งจะได้มั้ย ทุกคนเขาก็ต้องอยู่จนเย็นจนค่ำกันทั้งนั้น” เสียงของฮ่องเต้จงใจพูดดัง ๆ ให้ได้ยินไปทั่วบริเวณ

“เรามีความจำเป็นจริง ๆ” จีนพูดออกไป สีหน้าและแววตากำลังเผยให้เห็นถึงความทุกข์ใจที่ตัวเขานั้นมีอยู่ “เห็นแก่ตัวจนได้ดีมาตลอดสินะ” จีนได้ยินฮ่องเต้พูดกับเขาแบบนั้น ก็ทำได้แค่นิ่ง และไม่พูดอะไรออกไป ก่อนจะหันหลังเดินไปจากตรงนั้น ทิ้งให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนอย่างฮ่องเต้ได้แต่มองตามไปด้วยสายตาที่ผิดหวังในตัวของจีน

“สวัสดีครับ อาจารย์เรียกผมหรือครับ” จีนถามอาจารย์ที่ปรึกษาที่เรียกเขาให้มาพบ “จีน คือครูสงสัยมาสักพักแล้ว ถ้าครั้งแรกหรือไม่กี่ครั้ง หรือกับแค่วิชาของครู วิชาเดียว ก็พอจะเข้าใจได้” อาจารย์ที่ปรึกษาชี้ไปที่รายงานที่จีนทำส่ง มันมีตัว A สีแดงอยู่ที่หน้าปก “จีนทำรายงานคนเดียวมาตลอด อาจารย์ท่านอื่นก็พูด” อาจารย์ถามลูกศิษย์ออกไปอย่างห่วงใย

“ไม่มีอะไรหรอกครับอาจารย์ คือห้องของเรามีสามสิบเอ็ดคน เวาทำรายงานก็จะเหลือเศษหนึ่ง เพราะส่วนใหญ่รายงานวิชาต่าง ๆ จะทำกันเป็นคู่ ผมทำคนเดียวได้ครับ ไม่เป็นอะไร” อาจารย์ที่ปรึกษามองจีนด้วยความเข้าใจ แต่นักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัย ก็ถือว่าโตมากพอแล้ว อาจารย์ก็จะไม่เข้าก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของนักศึกษา เมื่อจีนไม่ยอมปริปากบอกว่า เขาโดนเพื่อนในห้องเดียวกันบอยคอต ไม่ยอมจับคู่ทำรายงานด้วย

เรื่องราวในตอนที่จีนเพิ่งเข้ามาเรียนชั้นปีที่หนึ่ง ผ่านเข้ามาในห้วงความคิดอย่างมีนัย เมื่อจีนเพิ่งเดินออกมาจากห้องกิจการนักศึกษา เมื่อถูกแจ้งให้ทราบว่า ทุนการศึกษาที่ทางเอกชนมอบให้กับนักศึกษาที่เรียนดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ที่จีนได้รับมาตั้งแต่เข้ามาเรียนที่นี่ ได้ถูกยกเลิกแล้ว เมื่อจีนขึ้นชั้นปีที่สี่

“ทางบริษัทเอกชนเขาลดโควตามา เพราะตรวจพบว่า มีนักศึกษาเอาทุนของเขาที่ให้เปล่า โดยไม่ต้องทำอะไรตอบแทนใช้ทุนนั้นคืน ไปใช้สุรุ่ยสุร่าย โดยเฉพาะรุ่นพี่ที่ใกล้จะจบ” จีนบอกกับเจ้าหน้าที่ว่า เขาไม่เคยทำอะไรแบบนั้นเลยสักครั้ง “เขาระบุมาแบบนั้น ก็ต้องว่าไปตาม เมื่อจำนวนทุนมาจำกัด ก็ต้องตัดรุ่นพี่ที่ใกล้จะจบแล้วออก เพราะได้ทุนมาตั้งสามปีแล้ว อีกปีเดียวเองไปหาทางเอาเอง จะได้ไม่น่าเกลียดและเอาเปรียบรุ่นน้องด้วย” คำพูดอธิบายจากเจ้าหน้าที่บอกกับจีนมาแบบนั้น

จีนหยุดยืนอยู่ในร้านขายของชำ มองดูราคาที่แปะอยู่บนกระดาษทิชชูเปียก ก่อนจะควักเงินออกมาจากกระเป๋ากางเกงเอาออกมานับดู มันเป็นสิ่งจำเป็นที่จีนต้องซื้อติดตัวเอาไว้เสมอ จากการดูแลพี่ชายมาตลอดหลายปีนี้ จีนปฏิเสธเงินที่จะใช้เงินจำนวนที่อยู่ในบัญชีธนาคารของพ่อแม่ จีนเก็บเงินก้อนนั้นเอาไว้เพื่อโจโดยเฉพาะ นั่นทำให้จีนรู้ว่า เขาต้องหางานพิเศษทำเพิ่ม และคงจะทำเพิ่มได้มากขึ้น เมื่อเทอมสอง ซึ่งเป็นเทอมสุดท้ายในรั้วมหาวิทยาลัยมาถึง เพราะตอนนั้น จะมีเหลือเพียงแค่สองวิชาเท่านั้น จีนจึงจะมีเวลาว่างไปทำอย่างอื่นได้เพิ่มขึ้น

“จีนไม่ขาย” จีนมองโฉนดที่ดินที่ตกอยู่ที่บนพื้นห้อง “ยังไงจีนก็ไม่ขายนะ พี่โจ” เมื่อโจพยายามไปหยิบมันมาจากชั้นวางด้วยความทุลักทุเล “จีนโอเค จีนยังไหว จีนไม่เป็นไร” จีนพยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่สร้างความสบายใจให้กับพี่ชายของตัวเอง แม้ว่าโจจะทำเสียงอย่างรู้สึกขัดใจอยู่ในลำคอ ด้วยความที่เขานั้น รู้สึกสงสารและเห็นใจน้องคนเดียวของเขาอย่างที่สุด

“เดี๋ยวจีนก็จะเรียนจบแล้ว พี่โจทนรอจีนอีกนิดเดียวนะ จีนจะหางานดี ๆ มีรายได้เพิ่มขึ้น พี่โจจะได้สบายขึ้น จีนสัญญา” โจมองไปที่จีน น้องชายคนเดียวของเขา ที่ใบหน้าไม่มีความสดใสเลยมาแรมปี แต่ต้องฝืนยิ้ม แสดงท่าทีออกมาว่าไม่เป็นไร เพื่อทำให้โจไม่ต้องเป็นห่วง ทั้ง ๆ ที่โจนั้นรู้ดี ว่าน้องเหนื่อยสายตัวแทบขาดขนาดไหน อย่างในวันนี้ จีนจะไม่ยอมให้โจนั้นอยู่บ้านคนเดียว โจต้องทำเป็นโมโหน้องมาก เมื่อจีนบอกว่าจะหยุดเรียนเพื่อดูแลโจ จนโจต้องพยักหน้ารับปากว่า จะอยู่ใกล้โทรศัพท์ เพราะจีนจะโทรมาหาบ่อย ๆ

ฮ่องเต้มองไปที่จีน ที่กำลังเดินมาที่ด้านหน้าตึกคณะ เขามานั่งรออีกฝ่ายอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เช้า ภายในหัวกำลังเรียบเรียงคำพูดให้เป็นประโยคที่ต้องการ แต่พอเมื่อจีนเดินเข้ามาใกล้ และสังเกตเห็นว่าเพื่อนร่วมชั้นเรียนอย่างฮ่องเต้ นั่งอยู่ที่หน้าคณะ จีนก็มีท่าทางระมัดระวังตัวขึ้นในทันที ก่อนจะเดินเลี่ยงเพื่อจะขึ้นตึกเรียน

“เราจะเริ่มทำรายงานกันเลยมั้ย” ฮ่องเต้เอ่ยปากถามออกไป จีนชะงักฝีเท้า ก่อนจะหันกลับมามองอีกฝ่าย “ว่างวันไหน” ฮ่องเต้ถามขึ้นอีก “คงต้องเป็นเสาร์อาทิตย์” จีนคิดว่า ถ้าเริ่มทำรายงานตอนเช้า เขาก็พอจะไปทำงานพิเศษช่วงเย็นของวันหยุดได้ทัน “เริ่มเสาร์อาทิตย์นี้เลยแล้วกัน” เหมือนเป็นคำบอกข้อสรุปไปในตัวกลาย ๆ ที่ฮ่องเต้บอกกับจีน และไม่ได้คิดให้อีกฝ่ายโต้แย้ง

“ขอดูหนังสือนั่นหน่อยสิ” ฮ่องเต้ยื่นมือออกไปด้านหน้า เพื่อรับหนังสือเล่มนั้น “มันเลอะนิดหน่อยนะ” จีนพูด ฮ่องเต้ยังคงยืนยัน ทำให้จีนต้องหยิบมันออกมาจากกระเป๋าผ้า “อืม อยากอ่านน่ะ” น้ำเสียงที่ฮ่องเต้ใช้ ไม่มีความเกรี้ยวกราดอย่างเมื่อเหตุการณ์ครั้งที่แล้ว จีนต้องเสหลบตาไปทางอื่น เมื่อเห็นว่า ฮ่องเต้เมื่อเขารับหนังสือไปจากจีนแล้ว ยังมองมาอย่างไม่ละสายตาไปไหน

****************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาจีนและไทยต้นเพลง โดย เอเชียศึกษา

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

หงส์เหนือมังกร - นันทิดา แก้วบัวสาย

https://www.youtube.com/watch?v=TqvFMz6e-uA



就算千里万里
jiù suàn qiān lǐ wàn lǐ
แม้หนทางจะยาวไกลเป็นหมื่นพันลี้
一路千难万险
yī lù qiān nán wàn xiǎn
หรือจะมีขวากหนามภัยพาลใดใด
吾心坚定不移
wú xīn jiān dìng bù yí
ใจข้ายังยืนหยัดไม่เปลี่ยนไป
向前不愿放弃
xiàng qián bù yuàn fàng qì
และจะไม่มีวันยอมเลิกรา


ฟ้าดูมืดมน
The sky looks dark
มองทางไหนอ้างว้างเหน็บหนาวใจ
Everywhere I turn is chilled to the bone
แทบไม่เห็นหนทางจะก้าวไป
Almost can’t see the road ahead
แต่ต้องจำฝืนทน
Yet, I need to force myself
เผชิญ
Facing it

ฟ้าดูหมองมัว
The sky looks dull
และภูผาแกร่งขวางทางก้าวเดิน
And the giant mountain stands in the way
หากจะไปต้องบินให้สูงเกิน
To go on, I must fly higher 
ฝ่าพายุเบื้องบน
Through the storms up there
สู่ปลายขอบฟ้า
To reach the horizon

หมื่นทางยาวไกลแค่ไหน
Thousands and thousands of long roads
หมื่นพันภัยพาลใดใด
Thousands of thousands of dangers
หนึ่งใจยืนยันจะไป
This one heart insists on going
ไม่มีวันยอมเลิกรา
Never quit, never surrender

ตราบใดใจยังไม่ท้อ
As long as my heart’s not defeated
ขอบินไปบนเวิ้งฟ้า
I’ll be flying up in the sky
ฝ่าฟันโพยภัยนานา
Making it through all risks
ให้ถึงปลายทางสักวัน
Reaching my goal one day

หวังเพียงไม่นาน
Wish that it won’t be long
จะพานพบกับฟ้าที่สวยงาม
I’ll see the beautiful sky some day
ได้แต่หวังไว้ตรงปลายเส้นทาง
Hope that at the end of my journey
จะได้พักหัวใจ
I can rest my heart
กับฝันที่รอคอย
With the dreams I’m longing for

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: สืบลับ สืบรัก: CLSI ๗๘. A Story of Love _ 03.03.2024
«ตอบ #81 เมื่อ03-03-2024 16:15:02 »



Crime and Love Scene Investigation



๗๘. A Story of Love



“ถ้าเราพร้อมแล้ว พี่จะเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังเลยนะ” ฮ่องเต้กับจีนพยักหน้าพร้อมกัน ให้พี่ผู้หญิงคนที่ถามเขาทั้งสองคนได้รับรู้ว่า ทั้งคู่นั้นพร้อมแล้ว วันอาทิตย์นี้ ฮ่องเต้นัดกับจีนมาที่ร้านกาแฟที่จีนทำงานพิเศษ เพราะมีลูกค้าของทางร้าน ที่พอรู้ว่าจีนกำลังจะทำรายงานส่งอาจารย์ ในหัวข้อที่ว่า 'เรื่องเล่าแห่งความรัก' ก็เสนอตัวว่า มันมีเรื่องราวที่ใกล้ตัวของเธออยู่เรื่องหนึ่ง

“เรื่องที่พี่กำลังจะเล่าต่อไปนี้ มันทำให้ตัวพี่เอง ได้ปรับมุมมองในชีวิตให้เปลี่ยนไป” พี่ผู้หญิงที่แนะนำตัวเองว่าชื่อจ๋า ยืนยันด้วยตัวเธอเองว่าเรื่องที่เธอจะเล่าต่อไปนี้ มันมีผลกับตัวเธอเองจริง ๆ พี่จ๋ามองใบหน้าของฮ่องเต้และจีนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอสลับกันไปมา อะไรบางอย่างที่เธอมองเห็นจากเด็กหนุ่มสองคนนี้ “เริ่มเรื่องกันเลยนะ” ทำให้เธอรู้สึกอยากจะแบ่งปันเรื่องราวเรื่องนี้ด้วย

แขกเหรื่อที่ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนบ้านใกล้ ๆ กัน เป็นคนในละแวกหมู่บ้านนั้น ต่างทยอยพากันมาจนถึงบ้านงาน มีบ้างที่ต้องมาไกลข้ามจังหวัด เพราะเจ้าของงานในวันนี้ เป็นผู้มีหน้ามีตากว้างขวางพอสมควร จากการทำมาค้าขายจนก่อร่างสร้างตัว กลายเป็นที่นับหน้าถือตาของคนในหมู่บ้าน

“วันนี้จวงมันสวยเป็นพิเศษเลยนะ” เสียงใครคนหนึ่งเอ่ยชมหญิงสาวที่มีแต่คนรายล้อมช่วยเหลือในการแต่งองค์ทรงเครื่อง ให้กับพี่ชายของเจ้าสาว ที่นั่งอยู่ไม่ไกลกันให้ได้ยิน “เอ็งว่าอย่างนั้นมั้ยวะ จัน” พี่ชายของเจ้าสาว ยิ้มให้กับน้องสาวของตัวเองที่หันมามองสบตากับเขา

“ว่าแต่เอ็งเถอะ ไอ้จัน เมื่อไหร่จะถึงงานแต่งของเอ็งบ้าง นี่น้องสาวเอ็งก็ได้ตบแต่งเป็นฝั่งเป็นฝาไปแล้ว” จวงมองพี่ชายของตัวเอง ที่ได้แต่ยิ้มแทนคำตอบ ไม่ได้พูดอะไรออกมา “จวงนี่มันก็โชคดีแท้ ได้แต่งกับผู้ชายที่ขยันขันแข็งเอาการเอางาน หนักเบาเอาสู้ทุกอย่าง อีกหน่อยพอตั้งตัวได้ ก็สบายไปทั้งชาติ เผลอ ๆ จะร่ำรวยยิ่งกว่าพ่อเจ้าสาวเสียอีก” มีคนเอ่ยเลยไปถึงเจ้าบ่าวของงานในวันนี้

“ผู้ใหญ่จับแต่งกับคนดี มันก็จะได้มีชีวิตดี ๆ ไปตลอด” จันเองก็ไม่ได้ต้องการอะไร มากไปกว่าได้เห็นน้องสาวของเขา มีอนาคตที่ดีต่อไปจากนี้ จันมองมาที่พี่ชายของตัวเอง กำลังจะพูดอะไรบางอย่างกับเขา แต่ก็ถูกใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่ที่ด้านนอกชาน ร้องตะโกนขัดขึ้นมาเสียก่อน

“เจ้าบ่าวมาถึงแล้ว หล่อเหลาคมเข้มสมกับเจ้าสาวจริง ๆ พับผ่า” ต่อจากนั้นก็มีเสียงใครตะโกนให้ลงไปรอรับขบวนเจ้าบ่าว จันถูกเกณฑ์ให้ลงมายืนเป็นตัวแทนบ้านของเจ้าสาวด้วยเช่นกัน โดยที่เขายืนเยื้องมาทางด้านหลัง ก่อนจะได้สบสายตากับเจ้าบ่าว ที่เหมือนกำลังมองหาใครบางคนอยู่ และพอเจอใครคนนั้นแล้ว สายตาทั้งคู่ก็ไม่เลือนหายไปไหน เฝ้ามองแต่คนคนนั้น นิ่งและเนิ่นนาน

“ใคร ๆ ก็ว่าเหมาะสมกันมาก จวงมันมีวาสนาดี ที่ได้ไอ้แดนมาเป็นผัว” จันได้ยินคนพูดแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน เขาเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน และยินดีที่น้องสาวของเขา จะมีคนดี ๆ มาดูแลไปจนถึงยามแก่เฒ่า แดนผู้เป็นเจ้าบ่าว เดินมาจนหยุดอยู่ตรงหน้าของจัน สายตาคู่นั้น คอยแต่จะสบตากับดวงตาสีเหล็ก หม่น และดูโศกของจันอยู่เสมอ

“ฉันยินดีด้วยนะ พี่แดน ฉันขอให้พี่มีความสุขมาก ๆ” จันกลั้นใจพูดออกไป รอยยิ้มที่มีให้ มาจากความรู้สึกที่อยากให้คนที่ตัวเองรัก ได้มีความสุขและมีชีวิตที่ดีตลอดไป แดนขบกรามจนขึ้นเป็นสันนูน เมื่อเขาได้ยินจันพูดแบบนั้น แต่กลับไม่ได้คิดหรือรู้สึกอะไรแบบนั้นเลยสักนิด

“พี่คงมีความสุขจริง ๆ อย่างที่เอ็งอวยพรให้ ถ้าเอ็งกับพี่นั้น เราสองคน” จันยอมให้แดนพูดได้เพียงเท่านั้น ก็ส่ายหน้าบอกให้แดนอย่าพูดต่อ น้ำตาที่ไม่รู้มาจากไหน ก็รื้นขึ้นหน่วยตาอย่างรวดเร็ว ก้อนแข็ง ๆ บางอย่างแล่นขึ้นมาจนจุกอยู่ที่คอหอย แดนอยากพูดอะไรต่อมิอะไรมากมายกับจัน แต่คนที่กำลังอยู่ล้อมรอบตัวของพวกเขาทั้งสองคนอยู่ตรงนี้ คงจะไม่อยากได้ยิน

ทางญาติผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายเจ้าสาวและเจ้าบ่าว ต่างทยอยกันรดน้ำสังข์ให้คู่บ่าวสาว และคนต่อไปก็คือจัน พี่ชายของเจ้าสาว ที่จะเข้าไปอวยพรแดนกับจวง น้องสาวมองมายังพี่ชายของเธอ ที่กำลังกะพริบตาถี่ ๆ เพื่อเก็บกั้นความรู้สึกที่มี ไม่ให้แสดงออกมาให้ใครเห็น จวงทนเห็นพี่ชายของเธอได้แค่นั้น ก็ดึงมงคลแฝดสวมศีรษะออก แล้วลุกขึ้นเดินมาหาพี่ชายของตัวเอง

ท่ามกลางความตื่นตะลึงและตกใจของครอบครัวทั้งสองฝ่าย รวมถึงแขกเหรื่อที่มาร่วมอวยพรในงาน จวงกึ่งดึงกึ่งลากแขนจันให้มากับเธอ จนทั้งสองคนมาหยุดยืนอยู่ที่ท่าน้ำบ้านงาน แดนออกมาที่ชานบ้าน มองไปยังทั้งคู่ด้วยความเป็นห่วงจากตรงนี้ จนเห็นจวงนั้น เริ่มพูดอะไรบางอย่างกับจัน

“ฉันทำไม่ได้พี่จัน ฉันทำแบบนี้กับพี่ไม่ได้” จันพูดกับพี่ชายของเธอ “ฉันรักพี่แดน” จันพยักหน้ารับรู้ ยิ้มให้กับน้องสาวของเขา “พี่รู้” แม้ว่ามันจะเสียดแทงเข้ามาในความรู้สึกของเขาก็ตาม “แต่ฉันรักพี่ของฉันมากกว่า พี่จัน” จวงพูด พลางหันไปมองแดน ที่ยืนมองมาทางนี้ อย่างไม่ละสายตา

“และฉันก็รู้ว่า” จวงหันหน้ากลับมามองพี่ชายของเธอ “พี่แดนเขาก็รักพี่จันมากเหมือนกัน” จันตกใจที่ได้ยินจวงพูดออกมาแบบนั้น “จวง เอ็งรู้หรือ” จวงพยักหน้าแทนคำตอบ “ทำไมฉันจะไม่รู้ ว่าพี่กับพี่แดนทำอะไรกันที่กระท่อมปลายนานั่น” จันรู้สึกอายที่น้องสาวของเขา ล่วงรู้ถึงบทสวาทที่เขายอมให้แดนบรรเลงมันบนร่างกายของเขา

“แต่กับฉัน” หญิงสาวอย่างจวงนึกเศร้าแกมสมเพชตัวเองมากกว่า “แม้แต่จับมือ พี่แดนยังไม่เคยทำกับฉัน อย่าว่าแต่จะจับฉันเอาทำเมียเลย” จวงพูดมาถึงตรงนี้ แต่แทนที่เธอจะรู้สึกโกรธที่แดนและจันลักลอบได้เสียเป็นเมียผัวกัน เธอกลับโล่งใจและหัวเราะออกมาได้ด้วยซ้ำ ที่เธอไม่ต้องทนทุกข์ มารู้มาเห็นทีหลัง หากว่าแดนจะลักลอบมาทำอะไรแบบนี้กับพี่ชายของเธอ ยามลับหูลับตาลับหลังเธอ

“ฉันอยากให้พี่มีความสุข” จวงไม่เคยเห็นพี่ชายของเขาชายตามองผู้หญิงที่ไหน ไม่เคยข้องแวะใครเลยสักครั้ง แต่แววตาที่ฉายไปด้วยความสุขของจัน ทุกครั้งที่ได้อยู่กับแดน มันทำให้เธอบอกตัวเองให้ตัดใจ เมื่อแดนเอง ก็ไม่เคยแสดงว่าตัวเองมีความสุขออกมาเช่นกัน เมื่อต้องอยู่กับจวง

“มันเป็นไปไม่ได้หรอกจวง เอ็งก็รู้ พี่เป็นผู้ชาย” จันพูดกับน้องสาวไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ แม้ว่าหัวใจจะเรียกร้องมันก็ตาม “เป็นไปได้สิ” จวงเอื้อมมือขึ้นแตะแก้มของพี่ชาย จันมองสบตากับน้องสาว ก่อนจะปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาเป็นทางอาบแก้ม อย่างที่ไม่สามารถจะทัดทานและกลั้นมันได้อีกต่อไป แขนขาเหมือนจะอ่อนแรงกำลังไป

จันก้าวเท้าถอยไปทางปลายสุดของท่าน้ำ ไม้กระดานที่คนงานว่าจะซ่อมเพราะว่ามันผุ อยู่ข้างใต้เท้าของจันที่เหยียบลงไปพอดี และ จันหงายหลังเสียศูนย์ สองแขนพยายามแหวกว่ายอากาศเพื่อพยุงตัวเอาไว้ จวงตกใจกระวีกระวาดรีบจะคว้าแขนเพื่อช่วยพี่ชาย แต่ก็ทำให้น้ำหนักการดึงจากมือของจัน ให้จวงพลัดตกลงไปในน้ำคลองด้วยกันกับจัน

ไวเท่าความคิด แดนกระโดดลงจากเรือนโดยไม่ต้องคิดอะไร เขาวิ่งไปที่ท่าน้ำแบบไม่คิดชีวิต เพราะภายในหัวของเขาตอนนี้ มีแต่คำว่า 'จันว่ายน้ำไม่เป็น' ภาพที่แดนเคยสอนให้จันว่ายน้ำและทำให้เขาทั้งคู่ได้ใกล้ชิดกัน ผุดเข้ามาให้แดนเห็น ชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไร แดนตะโกนร้องถามตัวเอง ถ้าหากว่าเขาต้องสูญเสียจันไป แดนมองไม่เห็นทั้งจันและจวงในน้ำ ก่อนจะพุ่งตัวตามลงไป

“จัน จัน” แดนตะโกนร้องเรียกคนที่เป็นหดวงใจของเขา ก่อนนะเห็นร่างหนึ่งทะลึ่งพรวดขึ้นมาจากใต้น้ำ “จวง จันล่ะ จันอยู่ไหน” แดนตะโกนถามหญิงสาวที่พอจะพยุงตัวเองให้ลอยเหนือน้ำเอาไว้ได้ “พี่จัน นั่นพี่แดน พี่จันอยู่นั่น” เหมือนเป็นเฮือกสุดท้ายของจัน ที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมา แต่ว่าตัวของจันนั้นอยู่เกือบถึงกลางลำคลอง ช่วงที่น้ำลึกที่สุดและไหลเชี่ยวด้านล่าง แดนรีบว่ายเข้าไปหาจันในทันที

“จัน พี่มาช่วยแล้ว” ความตกใจกลัวอย่างสุดขีดของจัน ทำให้เขาคว้ามือคว้าไม้ไปตามเสียงที่ได้ยิน โดยไม่สามารถควบคุมสติเอาไว้ได้ “จัน ปล่อยก่อน ปล่อยพี่ก่อน” แรงรัดแขนเกาะแดนแน่นจากจัน ทำให้แดนเริ่มสำลักน้ำ ก่อนที่เขาจะรู้สึกปวดแปลบ และปวดหนักขึ้นที่ขา และเริ่มจมลงใต้น้ำ จันรู้สึกได้ถึงแรงผลักที่ส่งให้ตัวของเขาเข้าไปใกล้กับฝั่ง

“เขาสองคนไม่เป็นอะไรใช่มั้ยครับ พี่จ๋า” เสียงถามจากจีน ที่แสดงอาการเสียงขึ้นจมูกแดง ๆ ดังอู้อี้ ตาแดง ๆ แบบที่พยายามกลั้นไม่ให้ตัวเองมีน้ำตา เมื่อพี่จ๋าหยุดเล่าเรื่องอยู่แค่ตรงนั้น “เขาต้องได้อยู่ด้วยกันสิครับ ใช่มั้ยครับพี่” ฮ่องเต้ที่ไม่เคยอินกับภาพยนตร์รักเรื่องไหน ๆ ที่เขาเคยดูมาก่อน รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในหัวใจ เมื่อคิดว่า สุดท้ายแล้วทั้งแดนและจัน จะสูญเสียกันและกันไปจริง ๆ พี่ผู้หญิงยิ้ม ๆ มองไปที่เด็กหนุ่มทั้งสองคน

“ถ้าแดนเขาสละตัวเองเพื่อช่วยจันเอาไว้ได้” เสียงของจีนสั่นเครือ แหบพร่าไปด้วยอารมณ์สะท้อนอยู่ในใจ “แล้วจันเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อได้ยังไงครับ” ฮ่องเต้เองก็อยากจะรู้เช่นกันกับที่จีนถาม ก่อนจะหันไปมองที่จีน ที่ตอนนี้มีน้ำตาคลอหน่วย แล้วจู่ ๆ ฮ่องเต้ก็รู้สึกโหวง ๆ ขึ้นมาในใจทันที เมื่อเขาถามตัวเองว่า ถ้าคนอย่างเขานายฮ่องเต้ วันหนึ่งต้องร่ำลากับจีนไป ไม่มีโอกาสได้มาเจอกันอีกแล้ว มันจะเป็นอย่างไร

************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

นิทานพันดาว - มิกซ์ สหภาพ

https://www.youtube.com/watch?v=ud0HrNeBcOs


เธอไม่เหมือนกับคนที่เคยฝันใฝ่

You’re not the one I’ve been longing for

และตัวฉันก็คงไม่ใช่ใครคนนั้น

And I am not that one for you either

แต่เพียงได้พบเหมือนเรานั้นเคยเคยพบเจอในฝัน

But when we met, somehow aw us in those dreams

หัวใจฉันเต้นไม่เหมือนเดิมเมื่อใกล้เธอ

My heartbeats can never be the same after that


เสี้ยวนาทีที่ใกล้กับเธอโลกนี้ก็เปลี่ยน

Fraction of minutes, the world changed when you’ re around

แค่มีเธออยู่เคียงต้องการแค่เพียงเท่านั้น

Just you are near, that’s all I’m asking for

ไม่อาจหาเหตุผลข้อไหน ไม่มีสิ่งใดยืนยัน

No reasons nor explanations, nothing can confirm

ทุกเรื่องระหว่างเรานั้นมันคืออะไร

What is it really, everything that happened between us?


ดังนิทานที่เล่ากี่ครั้งก็ยังเหมือนเดิม

Like a story been told over and over, still the same

นั่นคือฉันรักเธอ รักเธอ

That I love you, so much in love with you

ไม่เคยเปลี่ยนผันไป

That never changes

หากดาวได้ยินคำอธิษฐานของหัวใจ

If stars above hear those prayers from my heart

กี่พันครั้งก็ยังจะขอให้ดวงใจ

Thousands of times repeated, for us

ฉันอยู่ใกล้เธอ

Your heart close to mine

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: สืบลับ สืบรัก: CLSI ๗๙. Mist or Smoke _ 03.08.2024
«ตอบ #82 เมื่อ08-03-2024 14:15:00 »


Crime and Love Scene Investigation



๗๙. Mist or Smoke



จีนก้มหน้าลงดื่มน้ำจากฝ่ามืออย่างหิวกระหาย กับน้ำที่ไหลผ่านจากก๊อก ที่อยู่ด้านหลังตึกเรียน อาจเป็นเพราะอากาศที่ร้อนกว่าปกติของวันนี้ แต่เหตุผลหลักน่าจะเป็นเพราะว่า จีนต้องการที่จะบรรเทาอาการหิวข้าวของเขา เมื่อเขาเลือกที่จะอดกินมื้อกลางวัน เพราะต้องการที่จะประหยัดเงินเอาไว้ เมื่อวันครบกำหนดรับยาของโจนั้นใกล้เข้ามา มันมียาบางตัว ที่จีนต้องจ่ายเงินเอง และถือเป็นยาตัวสำคัญที่โจต้องการ

แต่ทันทีที่จีนเอื้อมมือไปปิดก๊อกน้ำ และหันหน้ามาที่ทางเดินกลับตึกเรียน จีนก็เห็นฮ่องเต้ยืนอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น และกำลังมองมาทางเขา พอทั้งคู่ได้สบตากัน จีนชะงักเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าจะเจอฮ่องเต้ตรงนี้ ส่วนฮ่องเต้เองนั้น ก็ไม่รู้จะแสดงสีหน้าออกไปยังไงดี เมื่อเห็นว่าจีนเพิ่งดื่มน้ำจากก๊อกแบบนั้น

ทันทีที่ฮ่องเต้นึกอะไรขึ้นมาได้ จากท่าทางอึกอัก ๆ ในตอนแรก ฮ่องเต้ก็ทำเป็นเดินมาเปิดก๊อกน้ำ แล้วก็ใช้อุ้งมือวักน้ำเข้าหน้าตัวเอง ทำเป็นดับร้อนเช่นกัน จีนมองตามที่อีกฝ่ายทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นที่จีนเพิ่งดื่มน้ำเพื่อบรรเทาหิว โดยที่จีนรู้ดีว่า กับคนอื่น มันคงเป็นเรื่องน่าอายเป็นอย่างมากแน่นอน

“วันนี้ร้อนมากกว่าทุกวัน ว่ามั้ย” ฮ่องเต้พูดขึ้น ก่อนจะมองมาทางจีนด้วยใบหน้าที่พราวไปด้วยหยดน้ำ ฮ่องเต้เองก็กำลังนึกว่า เขาควรจะพูดอะไรต่อดี เมื่อจีนนั้นมองมาที่เขาก็จริง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ไม่แท้กระทั่งตอบรับว่ารับรู้ที่ฮ่องเต้ชวนคุย “แล้วนี่ กินข้าวกลางวันเสร็จแล้วหรือ” คำถามของอีกฝ่ายทำให้จีนหลบสายตาไปทางอื่น ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะตอบคำถามนั้นแต่อย่างใด

แต่แล้วเสียงท้องร้องของจีน ก็ทำให้ทั้งสองคนที่ยืนอยู่ด้วยกันตรงนั้น ได้ยินมันอย่างชัดเจน จีนนึกโมโหตัวเองที่ท้องเจ้ากรรมดันไม่รักษาหน้าตัวเองเอาไว้เลยสักนิด เพราะเป้นไปไม่ได้เลย ที่ฮ่องเต้จะไม่ได้ยินเสียงร้องนั้น ทางฮ่องเต้เองก็ได้แต่กลั้นยิ้มเอาไว้ ไม่ทักออกไปตรง ๆ ว่าเสียงท้องร้องของจีนมันดังแทนคำตอบทั้งหมดไปแล้ว

“คิดว่าเราต้องเร่งทำรายงานตั้งแต่เนิ่น ๆ ไปเริ่มต้นโหมทำตอนท้าย ๆ เทอม มันจะทั้งรีบทั้งลน” จีนมองฮ่องเต้ที่พูดขึ้น ดูท่าทางเป็นงานเป็นการ “วันเสาร์อาทิตย์คงไม่พอแน่นอน เพราะต้องทำรีเสิร์ชข้อมูล ซึ่งมันต้องใช้เวลาเยอะมาก” แต่ยังไม่ทันที่จีนจะได้ทักท้วงออกไป ว่าช่วงนี้จีนแทบจะหาเวลาว่างไม่ได้แล้ว ไหนจะงานพิเศษที่ต้องทำ ไหนจะต้องดูแลพี่โจอีก ตั้งแต่คนดูแลที่เพิ่งเลิกไป ตอนนี้ก็ไม่มีใครเข้าหน้าพี่ชายของจีนติด นอกจากจีนคนเดียว

“ทำงานร่วมกับคนอื่น คงไม่คิดจะปฏิเสธ เลือกเอาเฉพาะเวลาที่ตัวเองพอใจหรือสะดวกแต่ฝ่ายเดียวหรอกนะ ใช่มั้ย” จีนก็ได้ยินฮ่องเต้พูดออกมา ฟังดูเหมือนเป็นการดักคอเขากลาย ๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้จีนต้องกลืนคำพูดของตัวเองให้หายไป ภายในหัวได้แต่คิดว่า จะสลับสับเปลี่ยนตารางชีวิตที่แน่นเอี้ยดของตัวเองยังไงดี ให้พอจะจัดสรรได้ลงล็อกกับความต้องการเฉพาะหน้านี้

“เริ่มวันนี้เลยดีที่สุด” ฮ่องเต้พูดสรุปให้เสร็จสรรพ จีนเองจำต้องตอบตกลงกับอีกฝ่ายไป เพราะรายงานวิชานี้ จีนได้ไปสอบถามกับอาจารย์ประจำวิชาแล้ว ยังไงจีนก็ต้องทำเป็นคู่ ที่ขออาจารย์ไปก่อนหน้าว่าจะทำรายงานเดี่ยว อาจารย์ไม่อนุญาตให้ทำเช่นนั้น พอเห็นจีนไม่มีปฏิกิริยาคัดค้านอะไร ฮ่องเต้ก็พูดขึ้นว่า

“งั้นตอนนี้ เราไปหาที่ทำรายงานกันเลยดีกว่า วิชาในคาบบ่าย อาจารย์งดบรรยายพอดี” ฮ่องเต้ไม่พูดเปล่า แต่ทำท่าบอกให้จีนนั้นเดินตามเขามาได้เลย “ทำที่ใต้ตึกเรียนก็ได้มั้ง เราว่า” จีนบอกกับฮ่องเต้ แต่ดูแล้วอีกฝ่ายจะจงใจไม่ฟังที่จีนพูดเสียมากกว่า “รายงานชิ้นนี้สำคัญมาก คงไม่อยากให้มันออกมาดูไม่ดีหรอกนะ” สุดท้ายแล้ว จีนก็ต้องยอมออกไปกับฮ่องเต้ ที่เดินพาจีนไปขึ้นรถยนต์คันหรูที่ขับมาเรียน แม้ว่าจีนจะไม่อยากขึ้นไปนั่งบนรถนักก็ตาม

“ขึ้นมานั่งแล้ว ก็คาดเข็มขัดด้วยสิ” ฮ่องเต้กล่าวเตือนจีน เมื่อเขากำลังจะออกรถ แล้วสัญญาณดังขึ้น เมื่อจีนยังมะงุมมะงาหรา งงอยู่ว่าจะทำยังไงต่อไปดี เพราะเขาไม่เคยขึ้นรถหรูหราแบบนี้มาก่อน “คงไม่ได้รอโมเม้นท์อย่างในซีรี่ส์หรอกใช่มั้ย” น้ำเสียงที่ใช้ถามของฮ่องเต้นั้น ทำให้จีนพูดออกไปทันทีเช่นกัน

“เรารู้ตัวเราดีอยู่หรอก ไม่เคยมีเรื่องอะไรแบบนั้นอยู่ในหัวสมอง” ฮ่องเต้หันมาสบตากับจีน แต่ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร ก่อนจะออกรถพาจีนออกจากมหาวิทยาลัยไป ซึ่งฮ่องเต้ก็ใช้เวลาขับรถมาสักพักใหญ่ ไม่ใช่เพราะกระแสการจราจรที่หนาแน่น แต่เป็นเพราะขับพาจีนออกมานอกเมือง ที่ไกลพอสมควร

พอฮ่องเต้ขับรถมาถึงที่หมาย ก็ลงจากรถในทันที ทำให้จีนเองก็ต้องลงตามมา ไม่มีโอกาสร้องขอให้อีกฝ่ายขับรถพาเขากลับเข้าเมือง เพราะจีนคิดว่า มันไม่จำเป็นต้องมาไกลขนาดนี้ เพื่อมาทำรายงานกัน ฮ่องเต้เดินนำลิ่วเข้าไปในร้านคาเฟ่กึ่งร้านอาหารที่ตกแต่งอย่างน่ารัก พนักงานภายในร้านกล่าวทักทายฮ่องเต้อย่างเป็นกันเอง ก่อนจะหันมายิ้มให้กับจีน พร้อมทั้งกล่าวเชื้อเชิญอย่างสุภาพให้เข้าไปนั่งที่โต๊ะที่ถูกเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว

ไม่นานนัก ทั้งอาหารและเครื่องดื่มมากมายหลากหลายอย่าง ก็มาตั้งอยู่บนโต๊ะอาหารตรงหน้าจีน พนักงานดูจะคุ้นเคยกับฮ่องเต้เป็นอย่างดี และที่สำคัญ พนักงานก็เอาใจใส่สอบถามจีนถึงความชอบไม่ชอบในเรื่องรสชาติต่าง ๆ ที่จีนเองนั้น ไม่ได้สันทัดมันเลยสักนิด เป็นที่ฮ่องเต้ต่างหากที่ช่วยจีนเลือก กลิ่นหอมของอาหารตรงหน้า ทำให้จีนนั้นปฏิเสธไม่ได้เลย ว่ามันทำให้เขาทรมานมาก

“เอ้ากินสิ” ฮ่องเต้ที่ตักอาหารเลิศรสที่ทางร้านเตรียมให้อย่างพิถีพิถันเข้าปาก เอ่ยบอกกับจีนที่ยังนั่งนิ่งอยู่ “กินก่อน เดี๋ยวค่อยคุย” เสียงท่องของจีนที่ร้องโครกครากทำให้ฮ่องเต้ต้องกลั้นหัวเราะ แต่ก็ลอบมองจีนที่เริ่มตักอาหารจากจาน และรู้สึกว่ามันอร่อยมากจริง ๆ และพอเห็นว่าจานไหนถูกปากจีน ฮ่องเต้ก็หันไปสั่งพนักงานของร้าน ว่าให้ทำมาเพิ่มให้จีนอีกที่หนึ่ง

“ไม่เป็นไร เรากินแค่จานเดียวก็พอ” จีนรีบท้วง เพราะรู้ว่าราคาอาหารแต่ละจานมันสูงลิบลิ่ว “มีหน้าที่กินก็กินไปเถอะน่า” ฮ่องเต้ทำเสียงจิ๊จ๊ะปาก เมื่อถูกจีนห้ามเอาไว้ “กินไม่หมด เดี๋ยวให้ร้านเขาใส่กล่อง ค่อยเอากลับไปกินที่บ้าน” ฮ่องเต้คิดว่าเขารู้ ว่าความหิวมันน่าจะทรมานจีนไม่น้อย ก่อนจะทำท่าทาง บอกให้จีนจัดการทั้งอาหาร ของหวาน รวมถึงเครื่องดื่มบนโต๊ะนี้ให้หมด โดยฮ่องเต้เองนั้น ลอบมองแววตาที่พอจะดูแล้ว มีความสุขของจีนฉายออกมาให้ฮ่องเต้ได้เห็นบ้าง

*****************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย ลาภะ

หมอกหรือควัน - ธงไชย แมคอินไตย์

https://www.youtube.com/watch?v=CO_iqVsKcKc


หมอกจางจางและควัน

The light mist and then smoke

คล้ายกันจนบางทีไม่อาจรู้

Look similar and may not see the difference

อยากจะถามดู

I’d like to ask

ว่าเธอเป็นอย่างหมอกหรือควัน

Whether you’re like mist or smoke


หมอกจะงดงามและทำให้เยือกเย็น

The mist is gleamy that makes us chilled

แสนจะเย็นสบายเมื่อยามเช้า

Brings beautiful cooling bright morning

ถ้าเป็นควันไฟถึงจะบางเบา

If that’s the smoke, though seems glimmering

หากเข้าในตาเรา

That gets in our eyes

ก็คงจะทำให้เสียน้ำตา

Certainly, causes us our tears


เธอเป็นยังไงจึงอยากรู้

What may you bring, I want to know

เพราะฉันดูเธอไม่ออก

Because I cannot really tell

ยังคงไม่เข้าใจ

I don’t understand you


บางทีเธอเป็นเช่นหมอกขาว

Sometimes you are the white mist

และบางคราวเธอเป็นเหมือนควัน

Then you change yourself to smoke

ฉันนั้นชักไม่มั่นใจ

I’m not really so sure


เพราะถ้าฉันต้องเสี่ยงกับควันไฟ

If I have to take a risk with this smoke

จะเตรียมตัวและเตรียมใจ

I’ll be ready and have my heart prepared

ถอนตัว

To withdraw

เพราะว่ากลัวจะเสียน้ำตา

Because I’m afraid that I need to shed my tears

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: สืบลับ สืบรัก: CLSI ๘๐. For the Cause _ 03.12.2024
«ตอบ #83 เมื่อ12-03-2024 18:30:01 »



Crime and Love Scene Investigation



๘๐. For the Cause



คงจะเป็นวิธีเพียงวิธีเดียว ที่ทำให้จีน ยอมให้ฮ่องเต้สามารถบังคับและพาอีกฝ่ายขึ้นรถหรูของเขา เพื่อนั่งกลับบ้านมาด้วยกันได้ เพราะตลอดทั้งวันที่ผ่านมา ฮ่องเต้นั้นไม่สามารถจะแทรกตัวเข้าไปจัดการ 'วิถี' ของจีนได้เลย ทั้ง ๆ ที่เขาตั้งใจเอาไว้แล้วว่า หากจะช่วยอะไรจีนได้ เขาจะทำให้ นับตั้งแต่เรื่องชวนไปกินข้าวกลางวันด้วยกันแล้ว

“เอาล่ะ นักศึกษา วันนี้เอาไว้แค่นี้” อาจารย์ประจำวิชากล่าวกับทั้งห้องเรียน ก่อนจะเดินออกจากคลาสไป ฮ่องเต้พอได้จังหวะ ที่ตั้งแต่ต้นคาบ เขาย้ายมานั่งอยู่ข้าง ๆ กับจีน ก็หันมาหา เพื่อจะเอ่ยชวนอีกฝ่ายให้ไปกินข้าวกลางวันด้วยกัน “จีน ไปกินข้าว” ยังไม่ทันที่ฮ่องเต้จะทันได้พูดจนจบประโยค

“เรามีแซนด์วิชมากินแล้ว” จีนพูดกับฮ่องเต้กลับไป ก่อนจะมีเสียงเพื่อนสองสามคนที่ตะโกนมาจากหน้าประตู เพื่อเรียกให้ฮ่องเต้ออกไปกินข้าวกลางวันด้วยกัน ฮ่องเต้มองแซนด์วิชชิ้นบาง ๆ กับน้ำเปล่าขวดเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะเลคเชอร์ของจีน “วันนี้มีเงินพอซื้อของกินกลางวันแล้วหรือ” ฮ่องเต้ถามขึ้น พยายามทำน้ำเสียงให้เป็นปรกติ ไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกอายที่ถูกถามแบบนั้น จีนพยักหน้าให้แทนคำตอบ ก้มลงมองอาหารกลางวันของตัวเอง

“ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวเราจะรีบมา แล้วเดินไปห้องสมุดด้วยกัน” ฮ่องเต้ลุกขึ้น ทำท่าจะเดินไปหาพวกเพื่อน ๆ ที่ยืนรอเขาอยู่ “เจอกันที่ห้องสมุดเลยก็ได้ จะได้ไม่ต้องย้อนไปย้อนมา” จีนพูดกลับไป ก่อนจะเริ่มแกะห่อแซนด์วิชนั้น “ทำไมล่ะ ไม่อยากให้ใครต่อใครเห็น ว่าเราเดินด้วยกันอย่างนั้นสินะ กลัวคนไหนเข้าใจผิดหรือไง” ฮ่องเต้อดไม่ได้ที่จะทำเสียงไม่พอใจออกไปให้อีกฝ่ายได้ยิน แต่เป็นที่จีนเองที่ทำเหมือนไม่ได้ยินที่ฮ่องเต้พูดมา

ฮ่องเต้ที่กำลังขับรถพาจีนกลับบ้านอยู่ หันมามองอีกฝ่ายที่นั่งนิ่งมาตลอดทาง ตั้งแต่เขาออกรถมาแล้ว การจราจรในวันนี้ก็ไม่ได้ติดขัดอะไรเสียด้วย จากร้านหมูกระทะที่จีนไปทำงานพิเศษ ที่วันนี้มีเพียงร้านเดียว เพราะอยู่ ๆ ร้านกาแฟที่จีนจะต้องไปเป็นที่แรก เกิดใจดีอะไรขึ้นมาไม่รู้ บอกให้จีนไม่ต้องเข้ามาที่ร้านก็ได้ จีนเลยได้เลื่อนไปทำงานที่ร้านหมูกระทะได้เร็วขึ้น และเลิกได้เร็วกว่าเวลาปกติ

“นิ่งเงียบเลย นั่งรถมาด้วยกัน ไม่คิดจะพูดคุยอะไรกันหน่อยหรือ” สุดท้ายก็เป็นที่ฮ่องเต้ที่อดรนทนไม่ไหว “นี่เรานั่งรอรับกลับบ้านเป็นชั่วโมงๆ เลยนะ” ทำลายความเงียบภายในรถนั้นลง “ก็เราบอกแล้ว ว่าเรากลับบ้านเองได้” จีนตอบกลับไป โดยมองออกไปที่นอกหน้าต่าง เห็นผู้คนต่างพากันรีบกลับบ้านเช่นกัน

“พูดแบบนี้ ไม่คิดว่าคนที่นั่งรอเขาจะเสียใจบ้างหรือ” ฮ่องเต้ได้ทีพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วผิดหวัง “แล้วที่พูดแบบให้คนอื่นรู้สึกผิดตลอดเวลา คิดว่ายังไง” ฮ่องเต้เห็นจีนหันหน้ามามองเขา แล้วพูดสวนมาในทันทีเช่นกัน ฮ่องเต้ที่สบตานิ่งกับจีน ขณะที่รถรอติดไฟแดงอยู่ ก็หลุดหัวเราะออกมา เมื่อรู้ตัวว่า ตัวเขาเองนั้นเพิ่งจะถูกอีกฝ่ายจับได้คาหนังคาเขา ว่ากำลังทำอะไรอยู่ กับไอ้ที่พูดจาพร้อมท่าทางโทษนั่นโทษนี่ ตีวัวกระทบคราดอยู่นี้

“ก็คือ” ฮ่องเต้ยังไม่สามารถหยุดหัวเราะได้ ก่อนจะปล่อยให้ตัวเองหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ จีนเองนั้น พอได้ยินอีกฝ่ายหัวเราะออกมาดัง ๆ ก็พยายามกลั้นขำเอาไว้ แต่ก็ต้องหลุดยิ้มออกมาเช่นกัน “แล้วมีข้าวเย็นกินหรือยัง” ฮ่องเต้ถามออกไป น้ำเสียงถูกปรับให้ฟังแล้วรื่นหูขึ้น ก่อนจะได้ยินเสียงจีน ใช้มือตบไปที่กระเป๋าผ้าสีหม่นที่วางอยู่บนตักของตัวเองเบา ๆ

“พี่ที่ร้านหมูกระทะ ให้ของมากินแล้ว” จีนกำลังนึกถึงพี่โจ ที่คงจะทนรอหิวอยู่ที่บ้านในตอนนี้ “อ้าว แล้วที่เราซื้อมาให้ อยู่ที่วางอยู่เบาะหลังนั่นล่ะ ใครจะกิน” ฮ่องเต้หลุดปากทำเสียงฉุนเฉียวออกไป ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ รีบพูดขึ้นใหม่ว่า “เราซื้อข้าวเย็นเตรียมเอาไว้ให้แล้ว” จีนมองไปที่คนที่นั่งคู่กันและกำลังขับรถอยู่ในตอนนี้

“ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย” จีนถามออกไป มองอีกฝ่าย อย่างรอคำตอบ ฮ่องเต้รีบหันกลับไปมองตรงไปด้านหน้า เมื่อโดนคำถามแบบที่ไม่ได้เตรียมคำตอบเอาไว้ล่วงหน้า และไม่คิดว่า ตัวเขาเองจะถูกอีกฝ่ายถามกลับมาตรง ๆ แบบนี้ ฮ่องเต้ทำได้แค่เพียงส่งเสียงฟืดฟาดพ่นลมหายใจออกมาจากจมูก ฮึดฮัดทำเสียงหงุดหงิดอยู่ในลำคอ

“ฮ่องเต้ซินโดรม” จีนพูดออกไปอย่างลืมตัว กัดปากตัวเอง คิดว่าไม่น่าพูดอะไรแบบนั้นออกไป แต่พฤติกรรมและท่าทางของอีกฝ่าย ก็ทำให้จีนเองก็ยังอดไม่ได้ “โห เจ็บจี๊ดเลยนะเนี่ย” เป็นที่ฮ่องเต้เองเสียอีก ที่ไม่คิดว่าจะโดนจีนตอกกลับมาแบบนี้ หันไปมองอีกฝ่ายด้วยอาการฉีกยิ้มอย่างนึกขำ เมื่อมีใครคนหนึ่ง กล้าพูดคำคำนี้ใส่หน้าเขา ในระยะเผาขนแบบนี้ นี่ทำให้จีนไม่เข้าใจอีกฝ่ายในหลาย ๆ เรื่อง เพราะหลังจากนี้จนตลอดทาง ฮ่องเต้ดูจะอารมณ์ดีขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา

เกือบจะทันทีที่ฮ่องเต้ชะลอรถเพื่อจอดที่หน้าบ้านนั้น จีนที่เห็นพี่โจ นั่งอยู่บนรถเข็นที่หน้าประตูบ้าน ก็รีบเปิดประตูลงไปทันที ฮ่องเต้เอง ก็หันไปหยิบถุงข้าวของที่อยู่บนเบาะหลัง เดินลงจากรถ แล้วเอาไปแขวนเอาไว้ที่รั้วบ้านของอีกฝ่าย ก่อนจะกลับขึ้นมานั่งบนรถ ลดกระจกลง มองไปที่จีนและพี่ชาย

“พี่โจ ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้ จีนบอกแล้วไง ว่าให้รออยู่ในบ้าน น้ำค้างลงจะไม่สบายเอา” จีนรีบนั่งลงข้าง ๆ รถเข็นของพี่ชาย หยิบเอากระดาษทิชชูเปียก มาเช็ดที่ข้างแก้มและมือให้พี่โจ มองเห็นจานใส่ขนมทานเล่น วางอยู่บนตักของพี่ชาย จีนกำลังนึกว่า พี่โจเอาขนมอันนี้มากินได้อย่างไร พลางนึกถึงโหลที่วางอยู่ข้างบนตู้ ก่อนจะได้ยินเสียงพี่โจร้องอยู่ในลำคอ เหมือนทุกครั้งเวลาที่จะบอกอะไรจีน

“ไม่มีอะไร เพื่อนที่มหาวิทยาลัยของจีนเอง เขาว่าง ก็เลยขับรถมาส่ง” จีนบอกกับพี่โจ เมื่อมองตามสายตาของพี่ชายตนเองออกไป และได้เห็นฮ่องเต้เอง ที่นั่งอยู่ในรถ ก็กำลังมองมาเช่นกัน “ไม่มีอะไรจริง ๆ” เมื่อจีนพอจะรู้จักพี่ชายของตัวเองดีพอ รีบบอกยืนยันออกไป เมื่อพี่โจมองมา ด้วยสายตายิ้ม ๆ อย่างที่เคยทำเวลาจะหยอกล้อน้องของตัวเอง มือที่วางทับมาบนมือของจีน อย่างที่พี่ชาย อยากจะถ่ายทอดความรู้สึกให้กับน้องรักอย่างจีน

“เข้าบ้านกันเถอะ” จีนจงใจเปลี่ยนเรื่อง บอกกับพี่ชาย ก่อนจะยืนขึ้นเพื่อดันรถเข็นของพี่ชายเข้าด้านใน ฮ่องเต้รอจนเห็นจีนปิดประตูบ้านลงแล้ว เขาจึงเคลื่อนรถออกไป จีนเปิดประตูออกมามองตามหลังอีกฝ่ายอีกครั้ง ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะปิดประตูบ้านลง จีนมองไปที่โจ พี่ชายของเขา วันนี้มันมีอะไรผิดไปจากที่เคยอย่างแน่นอน แต่จีนยังคิดไม่ออกว่า มันคืออะไรกันแน่

“หมอรู้ว่าคุณสองคนจะถามอะไร” ด็อคเตอร์ดรุณีพูดขึ้นทันที ที่เงยหน้าแล้วเห็นสารวัตรรัฐนนท์กับชนธัญเดินมาหาที่ห้องชันสูตร สารวัตรหนุ่มหล่อกับหนุ่มหน้าใสเกือบจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน เมื่อด็อคดุดูจะมีความร่าเริงมากกว่าทุกวัน หลังจากที่เคสนี้เริ่มต้นขึ้น แล้วผลเลือดจากแล็บออกมาแล้วให้ข้อมูลที่ต่างกันไปจนสุดขั้ว

“ที่หมอขอผู้กองให้รอผลชันสูตรใหม่ และขอดึงไฟล์รีพอร์ทกลับมาใหม่ ก็เพราะสาเหตุนี้” ด็อคเตอร์สาวให้เจ้าหน้าที่ผู้ช่วย เปิดตู้เก็บร่างของผู้ชายที่เป็นผู้ตายในคดียิงกันที่ห้างหรูใจกลางเมือง “คุณชนธัญ” ด็อคเตอร์ดุเรียกหนุ่มหน้าใส “ผู้กอง” ก่อนจะเรียกสารวัตรหนุ่มหล่อ “คุณสองคนเห็นอะไรที่ผิดแปลกแตกต่างไปจากคราวก่อนบ้างมั้ย” ชนธัญกวาดสายตามองไปที่ร่างของผู้เสียชีวิตจนทั่ว สารวัตรรัฐนนท์เองก็ได้แต่ขมวดคิ้ว เพราะครั้งที่แล้ว เขาก็มั่นใจแล้วว่า ไม่ได้พลาดอะไรไป

“อย่าว่าแต่คุณเลย” ด็อคเตอร์ดรุณีพูดขึ้น ก่อนจะจับแขนข้างขวาของร่างที่นอนอยู่นั้นยกขึ้น สารวัตรรัฐนนท์และชนธัญมองดูที่รอยพับข้อแขนของศพนั้น “เฮ้ย ด็อค นี่มันเรื่องจริง ไม่ได้ล้อกันเล่นใช่มั้ยนี่” นายตำรวจหนุ่มหล่อร้องออกมาดังลั่น ชนธัญเองก็ต้องมองที่ข้อพับนั้นอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา

“และนี่คือสาเหตุว่าทำไม ผลตรวจเลือดถึงได้ระบุไม่ตรงกัน” ด็อคเตอร์ดรุณียื่นเอกสารผลตรวจชันสูตรที่ตอบคำถามที่ทางทีมสืบลับสงสัยได้หมดทุกข้อ “มันมีอะไรใหม่ให้ได้เจอะเจอทุกวันสิน่า” สารวัตรรัฐนนท์พูดขึ้น พลางส่ายหัวขณะกำลังไล่สายตาอ่านเอกสารในมือ “แล้วผลตรวจคราบเขม่าดินปืนนั่น” ด็อคเตอร์ดรุณีเดินไปหยิบเอกสารจากหน่วย Ballistic เอามายื่นให้ชนธัญ

“ตรงกันอย่างไม่ต้องสงสัย” ด็อคเตอร์ดุพูดขึ้น “แต่ไม่ได้ตรวจพบจากมือของผู้ต้องสงสัย” ชนธัญพูดขึ้นเมื่อได้อ่านผลสรุป “ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับสารวัตรรัฐนนท์ “นิติวิทยาศาสตร์ตรวจหาสิ่งที่มองข้ามได้อย่างน่าอัศจรรย์” ชนธัญยิ้มให้กับด็อคดุ ที่ค้อมศีรษะรับคำชมนั้น เมื่อได้ช่วยเหลือคดีล่าสุดนี้ให้เมคเซนส์มากขึ้น

*********************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

ทฤษฎีสีชมพู - 7th Scene

https://www.youtube.com/watch?v=pWNlhjZxhOQ


เธอ เธอเป็นสีชมพู

You, you are the color pink

เธอมีโลกของเธออยู่

You’ve got your own world

ที่ฉันไม่อาจล่วงรู้และไม่เคยเข้าไป

That I’ve never known and never entered


ส่วนฉันเป็นสีเทา

But I, I am the color grey

มีแต่ความเหงารอบรอบกาย

All there’ s just loneliness around me

ไม่รู้เลยในความหมายอะไรมากกว่านี้

Not knowing the meaning more than this


แต่เธอและฉันก็เดินเข้ามาชิดใกล้

Yet you and me, we’re getting closer

มาทำให้ฉันแปรเปลี่ยนเป็นสีใหม่

That then makes the color of me start changing

เมื่อชีวิตของเราไหลปนกัน

When our lives flow into each other

โลกของฉันก็ดูจะเปลี่ยนสีไป

My world has become a different color


อะไรเป็นของเธอ ก็กลายเป็นอะไรของฉัน

What is then yours, is now also mine

เมื่อเราต่างเทสีผสมละลายเข้าด้วยกัน

Just because the colors we poured in now mixed

โลกของฉันและเธอก็สดใส กว้างใหญ่ขึ้นกว่าวันนั้น

Your world and mine now are bright, and wider than the old days

เมื่อสีทั้งสองผสมกัน เมื่อนั้นมันก็จะเป็นสีของเรา

When two colors get together, that’s when they are our own color


เราผลัดกันเดินเข้าไป สู่โลกคนละใบ

You and I, we take turn and explore different sort of world

สุดท้ายก็ต่างไม่รู้ ว่าโลกของใครเป็นของใคร

At the end of the day, no one can tell whose world it is

เมื่อในวันนั้นเธอเข้ามาใกล้ใกล้

That day, the day you were close to me

มาทำตัวฉันแปรเปลี่ยนเป็นสีใหม่

You changed my color to be a new one

และเมื่อสีของเราไหลรวมกัน

Then our colors started mixing each other

โลกของฉันก็ค่อยค่อยเปลี่ยนไปทั้งใบ

That slowly changed my whole entire world


อะไรเป็นของเธอ ก็กลายเป็นอะไรของฉัน

What is then yours, is now also mine

เมื่อเราต่างเทสีผสมละลายเข้าด้วยกัน

Just because the colors we poured in now mixed

โลกของฉันและเธอก็สดใส กว้างใหญ่ขึ้นกว่าวันนั้น

Your world and mine now are bright, and wider than the old days

เมื่อสีทั้งสองผสมกัน เมื่อนั้นมันก็จะเป็นสีของเรา

When two colors get together, that’s when they are our own color


โอ้ เมื่อเธอได้เข้ามา

Oh, when you entered here

ฉันก็ได้เห็นอะไรที่มากกว่า

I got to see things more and more

จากนี้และเรื่อยไป

From now and so on

จากนี้ทั้งหัวใจ

From here with all my heart

ก็คงจะไม่มีอะไรเหมือนเดิมใช่ไหม

Nothing is gonna be the same, is it?


อะไรเป็นของเธอ ก็กลายเป็นอะไรของฉัน

What is then yours, is now also mine

เมื่อเราต่างเทสีผสมละลายเข้าด้วยกัน

Just because the colors we poured in now mixed

ก็คงจะเป็นไปตามทฤษฎีที่เขาบอกไว้ว่ามัน

This may be what the theory people say that it is

เมื่อสีทั้งสองผสมกันนั้น

When the two colors mix in


ก็คงไม่มีอะไรที่จะเป็นเหมือนเดิมได้อย่างวันนั้น

That none of this will be the same as it used to be

เมื่อสีทั้งสองผสมกัน

When the two color are together

เมื่อนั้นมันก็จะเป็นสีของเรา

That is when they become ours

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: สืบลับ สืบรัก: CLSI ๘๑. HARDSHIP _ 03.18.2024
«ตอบ #84 เมื่อ18-03-2024 17:19:51 »


Crime and Love Scene Investigation


๘๑. HARDSHIP



ฮ่องเต้นั่งเคาะนิ้ว คิ้วขมวด หน้านิ่ว มองดูเก้าอี้เลคเชอร์ตัวข้าง ๆ กับเขา ที่วันนี้มันกลับว่างลงไม่มีใครนั่งเหมือนอย่างเช่นทุกครั้ง จีนไปไหน ในหัวของเขามีแต่คำถามนี้ วนเวียนไปมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ปกติแล้วจีนเป็นคนไม่ทิ้งการเรียน ไม่ว่าจะอย่างไร จีนจะไม่ยอมขาดเรียนโดยเด็ดขาด จนถูกเพื่อน ๆ ร่วมชั้นค่อนแคะมาแล้ว ว่าจีนเป็นคนหิวคะแนนอย่างบ้าคลั่ง เก็บคะแนนช่วยพิเศษที่อาจารย์ประจำในแต่ละวิชามีให้กับนักศึกษาที่ไม่เคย ขาด ลา มาสาย

“ว่ายังไงคุณฮ่องเต้ เก้าอี้นั่นมีอะไรน่าสนใจมากกว่าที่หน้าชั้นเรียนนี่อีกหรือ” อาจารย์ประจำวิชาเอ่ยถามขึ้น “เห็นเธอนั่งมองเก้าอี้ตัวนั้นมา จนจะหมดคาบอยู่แล้ว” นักศึกษาคนอื่น ๆ ทั้งชั้นเรียน เมื่อได้ยินอาจารย์ถามแบบนั้น ก็พากันหันมามอง ก่อนจะทำเสียงฮือฮา หัวเราะขบขันกันทั้งห้องบรรยาย

“เธอหายไป ใจมันก็ว้าวุ่น” ใครคนหนึ่งเอ่ยแซว ทำเสียงอ่อนเสียงหวาน คนอื่น ๆ ก็พากันฮาครืน ส่งเสียงล้อเลียนอย่างจงใจเพิ่มเติม ทางฝ่ายฮ่องเต้นั้น ไม่ได้ตอบคำถามอาจารย์ และเขาก็ยังคงมองไปที่เก้าอี้ตัวที่จีนนั่งประจำ โดยที่ไม่ได้แสดงท่าทางยินดียินร้ายไปกับเสียงโห่ฮาป่าของเพื่อน ๆ ก่อนจะถูกอาจารย์ประจำวิชาพูดปราม และปล่อยคาบเรียนนั้น

“อะไรวะ ไอ้เต้ เดี๋ยวนี้มึงไม่ทำเสียงฮึดฮัดขัดใจแบบทุกทีแล้วหรือวะ” เพื่อนคนเดิมที่เปิดฉากแซวถามขึ้น ฮ่องเต้หันไปมองหน้าเพื่อน ก่อนจะถอนหายใจออกมาแบบกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ “นั่นน่ะสิ ทำไม แค่แกได้ทำรายงานกับมัน ก็เกิดปิ๊งรักกลางกองรายงานขึ้นมางั้นสิ” เสียงหัวเราะคิกคักอย่างชอบอกชอบใจของเพื่อนหลายคนดังขึ้น ฮ่องเต้อดไม่ได้ ที่จะต้องกวาดสายตามองไปยังบรรดาเพื่อนเหล่านั้น

“อะไรวะ การที่เป็นห่วงเพื่อนในห้องที่อยู่ ๆ ก็หายไป ทั้ง ๆ ที่เขาไม่เคยขาดเรียนเลยสักครั้ง มันแปลได้เรื่องเดียวแค่นั้นหรือ” ฮ่องเต้ถามเพื่อนทั้งห้องออกไปดัง ๆ “พวกแกไม่คิดจะใส่ใจ เป็นห่วง หรือถามหาเลยหรือว่าเพื่อนจะเป็นอะไรบ้าง เกิดอะไรขึ้นกันแน่” หลายคนพอได้ยินฮ่องเต้พูดแบบนั้น ก็ได้แต่ส่ายหัวว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ พลางพูดว่า ก็แค่เพื่อนตุ๊ดเพื่อนเกย์อยากเรียกร้องความสนใจ ก็เท่านั้น แล้วพากันเดินออกจากห้องไป

“ตอนงานไพรด์ พวกแกหลายคนไปร่วมเดินกับเขาทำไมวะ ถ้าจะพูดถึงจีนแบบนี้ หรือที่ทำไปเพราะจะได้มีรูปมาลงอวดคนในโซเชียล ให้ได้เอนเกจเมนท์เยอะ ๆ ดูเท่ดี ดูเป็นคนเปิดกว้าง แต่จริง ๆ ก็ไม่ได้แคร์อะไรสักนิด” เพื่อนหลายคนหลบสายตา ก่อนจะพากันลุกเดินจากไป “ถ้าตัดเอาเรื่องรสนิยมทางเพศออก ความเป็นเพื่อนกันมาจนจะเรียนจบกันอยู่แล้ว มันก็ควรจะมีให้กันบ้างมั้ยวะ” ฮ่องเต้ตะโกนถามออกไป ทันก่อนที่เพื่อนกลุ่มสุดท้ายจะเดินพ้นประตูห้องบรรยายออกไป

“มันเป็นคนที่ไม่เอาเพื่อนเอาฝูงเองนะ เห็นแก่ตัว เอาแต่เรื่องตัวเองเท่านั้น ไม่ใช่เพิ่งทำด้วย มันเอาเปรียบคนอื่นมาตั้งแต่ตอนปีหนึ่งแล้ว” ใครคนหนึ่งพูดอย่างมีอารมณ์โกรธที่เก็บสะสมมานาน “แล้วตลอดเวลาที่ผ่านมา มีใครเคยถามจีนมั้ย ว่าเขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง และยังคงต้องผ่านเรื่องอะไรในชีวิตอยู่ในตอนนี้ มีใครใส่ใจคิดจะในฐานะเป็นเพื่อนกันมั้ย” ฮ่องเต้ถามเพื่อนออกไปอีกครั้ง

“มันไม่ทันแล้วล่ะ มันเองก็ไม่เคยเห็นเล่าให้ใครฟังสักหน่อย ว่ามันจะต้องมีดรามาอะไร เห็นวัน ๆ ก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรใครอยู่แล้วนี่” เพื่อนอีกคนทนไม่ไหว ตะโกนกลับมาใส่หน้าฮ่องเต้ด้วยอีกคน “แล้วถ้าจีนพูดออกมา พวกแกจะมีปฏิกิริยาตอบรับยังไง” ฮ่องเต้ถามกลับไป เพราะอยากรู้คำตอบนี้จริง ๆ “อย่ามาทำเป็นพูดดีหน่อยเลย ไอ้เต้ แกเองก็ทำไม่ต่างจากคนอื่น ๆ เหมือนกันนั่นแหละ” ฮ่องเต้ปล่อยให้เพื่อนกลุ่มสุดท้ายเดินจากไป ตัวเขาเองได้แต่ฉุกคิดถึงสิ่งที่ตัวเองทำ และปล่อยให้เรื่องมันเป็นมาถึงตอนนี้

เย็นวันนั้น ฮ่องเต้ขับรถไปที่ร้านกาแฟที่คิดว่าจีนจะมาทำงานพิเศษ แต่เจ้าของร้านบอกว่า จีนโทรมาขอลางานวันนี้ แต่ไม่ได้บอกว่าจะไปไหนหรือว่ามีเรื่องอะไร น้ำเสียงของจีนไม่ได้บ่งบอกอารมณ์ใด ๆ จากที่ปกตินั้น พี่เจ้าของร้านเองก็พูดว่า จีนเป็นคนเก็บอารมณ์ได้เก่ง แม้ว่าจะโดนลูกค้าด่าอย่างสาดเสียเทเสีย ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ความผิดของจีนแต่อย่างใด

ที่ร้านหมูกระทะ ฮ่องเต้ได้คำตอบเดียวกันกับร้านกาแฟ คือไม่มีใครรู้ว่าจีนไปไหน หรือเกิดอะไรขึ้น เบอร์โทรศัพท์มือถือเบอร์เดียวที่ฮ่องเต้ได้มา ไม่ว่าจะโทรไปกี่ครั้ง ก็ไม่มีใครรับสาย ฮ่องเต้ที่กลับมานั่งด้านหลังพวงมาลัยรถ ตะโกนระบายความหงุดหงิดออกมาอย่างเก็บอาการเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป ก่อนจะขับรถออกไปจากตรงนั้น

รู้ตัวอีกที ฮ่องเต้ก็ขับรถมาจอดอยู่ที่หน้าบ้านของจีน มองเข้าไป ทั้งบ้านดูเงียบเชียบเหมือนไม่มีคนอยู่ ฮ่องเต้ลงจากรถ ก่อนจะเดินเข้าไปเคาะประตูบ้าน เรียกชื่อจีนจนเสียงดัง แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับหรือเสียงคนในบ้านแต่อย่างใด เพราะไม่อย่างนั้นป่านนี้ เขาคงโดนพี่โจ พี่ชายของจีนเปิดประตูออกมา ส่งเสียงฮึดฮัด โบกไม้โบกมือพยายามไล่เขาแล้วในตอนนี้

“มาหาจีนมันหรือ” ก่อนที่ฮ่องเต้จะเปิดประตูรถ ก็มีเสียงหนึ่งทักขึ้นจากเพื่อนบ้านถัดไปไม่กี่หลัง “เคยเห็นมาจอดรถอยู่หน้าบ้านมันบ่อย ๆ นี่” ฮ่องเต้ยิ้มแบบคนที่โดนจับได้ ว่ามาทำอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ “จีนมันไม่อยู่หรอก มันไปกับเขาตั้งแต่เมื่อเช้าแน่ะ วุ่นวายกันใหญ่ นี่ก็เป็นห่วงมันมากเลย ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นยังไงบ้าง” ฮ่องเต้รีบถามเพื่อนบ้านคนนั้นว่าเกิดอะไรขึ้นกับจีน

จนในที่สุด ฮ่องเต้ก็ได้เห็นจีนนั่งก้มหน้าอยู่ที่ตรงโถงทางเดินนั้น ในตึกผู้ป่วยใน ที่เขากำลังเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย ภายในใจรู้สึกโล่งอก คลายกังวลลงเป็นอย่างมาก ที่จีนยังดูปลอดภัยดีอยู่ แม้ว่าตอนที่รีบบึ่งขับรถมาที่นี่ หลังจากได้รู้เรื่องราวเมื่อเช้าจากเพื่อนบ้านคนนั้นแล้ว ว่าจีนติดไปกับรถพยาบาลที่มารับตัวพี่โจ ฮ่องเต้จะนึกโกรธจีนอยู่บ้าง ที่ไม่บอกเขาเลยสักคำ แถมยังไม่รับโทรศัพท์ที่ฮ่องเต้พยายามโทรหาอีกต่างหาก

“ไม่คิดจะบอกกันสักคำเลยหรือไง” จีนเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ เมื่อได้ยินฮ่องเต้พูดแบบคนน้อยใจ แต่ก็ด้วยน้ำเสียงว่าตอนนี้โล่งใจ เมื่อฮ่องเต้ทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ “ก็ปล่อยให้เราวิ่งวุ่น ขับรถตามหาจนทั่ว” ฮ่องเต้สบตากับจีน ที่ดวงตาของจีนนั้นยังคงช้ำแดง ไม่ว่าจะเป็นเพราะการไม่ได้พักผ่อน หรือว่าจากการร้องไห้มาอย่างหนักก็ตาม และคงจะเป็นการเสียน้ำตาแบบไม่ยอมให้ใครมาเห็น จนดูเหมือนว่า จีนเป็นคนที่ร้องไห้ไม่เป็น

“เรื่องนี้เราจัดการเองได้” ฟังเสียงพูดของจีนแล้ว ฮ่องเต้รับรู้ได้ทันที ว่าจีนนั้นรู้สึกไม่โอเคมาก ๆ ในตอนนี้ “จะอ่อนแอกับเราบ้างก็ได้ ไม่เป็นอะไรหรอก” ฮ่องเต้จ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่ดูแล้วแสนเศร้าของจีนในตอนนี้ “พี่โจ” จีนกะพริบตาถี่ ๆ แบบพยายามห้ามน้ำตา และกล้ำกลืนความรู้สึกของตัวเองลงไป

“เราไม่เป็นอะไร เราจัดการเรื่องนี้เอง” เสียงที่สั่นเครือของจีน ทำให้ฮ่องเต้เอื้อมมือไปจับไหล่ทั้งสองข้างของจีนเอาไว้ “ยังมีเราอยู่ตรงนี้อีกคน ถ้าจีนต้องการ” ฮ่องเต้พูดด้วยน้ำเสียงที่ปลอบประโลม “ทำแบบนี้ทำไม จะทำแบบนี้ไปทำไมกัน” จีนถามฮ่องเต้ออกไป น้ำตาที่รื้นขึ้นมาคลอหน่วย กำลังจะพ่ายแพ้และร่วงหล่นลงมาให้เห็น

“จีนไม่รู้จริง ๆ หรือ ว่าทำไม” พูดได้แค่นั้น ฮ่องเต้ก็ปล่อยให้จีนผ่อนแรงที่ขืนดึงตัวเอาไว้ให้ห่าง ค่อย ๆ ปล่อยให้ใบหน้าของตัวเองซุกตัว จมลงไปที่แผงอกของฮ่องเต้ โดยที่เจ้าของอ้อมกอดและหน้าอกแกร่งนั้น โอบแขนรอบตัวจีนที่กำลังสะอื้นไห้ออกมาอย่างหนัก เหมือนกับว่า การเดินหลงทางอยู่คนเดียวตามลำพัง จีนเพิ่งได้พบแหล่งพักใจ พักแรง จากกอดอันอบอุ่นของฮ่องเต้

****************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

สักวันต้องได้ดี - โบ สุนิตา

https://www.youtube.com/watch?v=KOTQ4y95s3c


คนบางคนชีวิตช่างยากช่างเย็นเหลือเกิน

People, some of them, do have a tough rough life

เดินกันไปไม่เคยจะได้ดี

As life goes on, nothing good comes out of it

แต่ตัวเราเองยังหวังด้วยพลังที่มี

Though we still have hopes, within our powers

จึงทำความดี ไม่เคยจะท้อใจ

Good deeds, we still do without despairs


อย่างน้อยสิ่งที่เรานั้นทำลงไป

At least, the things we still carry on

ไม่คิดอะไร

No hesitations

ก็แค่ภูมิใจที่เป็นคนดี

Being proud of how good we are

อย่างน้อยก็บอกตัวเองหนทางยังมี

Simply, tell ourselves there’s another way

แม้ว่าวันนี้มันช่างโหดร้าย

Though it’s so cruel as the eyes see

ก็ยังคงทำดีไม่เคยหวั่น

We keep up the good things, no reluctance

รู้ว่าสักวันต้องได้ดี

Knowing that someday, we’ll be getting somewhere


คนบางคนบางครั้งต้องทุกข์ต้องทนก็มี

People, many of them sometimes they suffer

แต่คนดีดีไม่มีวันแพ้ภัย

But good people will never get defeated

กาลเวลาเท่านั้นที่ช่วยให้เราเข้าใจ

Only time will tell and help us understand

ลงเอยอย่างไรก็คงจะรู้เอง

We’ll find out at the end what it’ s gonna be

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: สืบลับ สืบรัก: CLSI ๘๒. Wind of Change _ 03.22.2024
«ตอบ #85 เมื่อ22-03-2024 14:00:00 »




Crime and Love Scene Investigation


๘๒. Wind of Change



ฮ่องเต้รีบลุกขึ้นยืน เมื่อเห็นว่าจีนกำลังเดินใกล้เข้ามา หลังจากที่ฮ่องเต้มานั่งรออยู่ที่ด้านหน้าห้องผู้ป่วยตั้งแต่เมื่อตอนเย็น เพื่อรอให้จีนนั้น มาที่โรงพยาบาล หลังจากที่ทำงานพิเศษเสร็จ จีนเองที่เดินมาจนถึงที่หน้าห้อง มองเห็นฮ่องเต้ยิ้มมาให้ แววตาส่งความห่วงใยที่มีตรงมาหา ก่อนจะมองไปที่มือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายที่ถือถุงอะไรต่อมิอะไรจนเต็มไม้เต็มมือไปหมด

“วันนี้ที่มหาวิทยาลัย ไม่มีโอกาสได้คุยกันเลย” แต่ที่จริงแล้ว วันนี้ทั้งวันจนหมดคาบเรียนสุดท้าย ฮ่องเต้อยากจะคุยกับจีนแทบแย่ แต่ก็ยอมให้จีนมีพื้นที่ส่วนตัว เมื่อเพื่อน ๆ ในห้องบางคน เริ่มมีการถามไถ่จีนว่า มีอะไรให้พวกเขาช่วย ก็สามารถบอกกันได้ พูดมาได้เลย บรรยากาศระหว่างเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่เคยหนักอึ้งและหมางเมิน ดูจะเบาลงและผ่อนคลายขึ้นบ้าง

“ตอนนี้มันดึกแล้วนะ เราว่า” จีนมองดูนาฬิกา ที่ตอนนี้มันบอกเวลาว่าสี่ทุ่มกว่าแล้ว “ถ้าอย่างนั้น จีนคงหิวมากแล้วแน่ ๆ เลย” ฮ่องเต้ชูถุงพะรุงพะรังที่ถืออยู่ในมือให้จีนดู ยิ้มให้ ก่อนจะเดินนำเข้าไปด้านในห้อง ฮ่องเต้เดินอย่างเงียบเชียบ เอาของวางไว้ที่โต๊ะตรงปลายเตียงคนไข้ ก่อนจะหันมาพูดกับจีนเบา ๆ ว่า

“พยาบาลบอกว่าพี่โจมีอาการดีขึ้นแล้วนะ” จีนที่สบตากับฮ่องเต้ ก่อนจะเดินไปที่ข้างเตียงของพี่ชายตัวเอง มองดูโจที่ยังหลับอยู่ ยังไม่ฟื้นคืนสติขึ้นมา หลังจากที่ฟุบลงไปคารถเข็น แต่จากที่สังเกตได้ สายต่าง ๆ ที่ระโยงระยางอยู่เหนือเตียงและตัวของคนไข้เมื่อเช้านี้ ก่อนที่จีนจะออกไปมหาวิทยาลัย หายไปจนเกือบหมดแล้ว เหลือไว้แต่เพียงแค่สายออกซิเจนและน้ำเกลือ

“เราขอบคุณนะ” จีนหันไปพูดกับฮ่องเต้ ที่ค้อมหัวลงรับรู้ ก่อนจะทำเลียบ ๆ เคียง ๆ เดินเข้ามาที่ข้างเตียงพี่โจ “แต่ว่านี่มันดึกแล้ว” จีนพูดอีกครั้งเมื่อฮ่องเต้เดินมาหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ กัน จีนมองเห็นแววตาของอีกฝ่าย วูบลงแวบหนึ่ง เมื่อได้ยินจีนพูดแบบนั้น “เราไม่ได้ไล่นะ แต่ว่า กว่าเต้จะขับรถกลับถึงบ้าน” ก่อนที่จีนจะเห็นฮ่องเต้ยิ้มออกมาได้ และแววตานั้นก็ดูจะสดใสขึ้นอีกครั้ง

“ดีใจนะที่จีนเป็นห่วงเรา” ฮ่องเต้ยิ้มกว้างมากขึ้น เมื่อจีนดูจะเปิดใจขึ้นมาก “ส่วนเรื่องค่าห้องพิเศษ เราจะรีบหามาคืนให้นะ” จีนนั้นรู้สึกตื้นตันใจที่ฮ่องเต้ยื่นมือเข้าช่วยเรื่องเงิน กับช่วงเวลาที่จีนเองก็สมองตื้อไปหมด กับรายจ่ายฉุกเฉินแบบนี้ “เฮ้ย ไม่เป็นไร เราเต็มใจ ไม่ต้องเป็นห่วงเลยเรื่องนั้น ยังไม่ต้องรีบคืน เราไม่ได้รีบใช้อะไร” แม้ว่าจีนจะได้ยินฮ่องเต้พูดแบบนั้นก็ตาม แต่ก็ตั้งใจเอาไว้แล้ว ว่าจะรีบหาทางเอาเงินมาคืนอีกฝ่ายให้เร็วที่สุด

“กินข้าวบ้างนะ โน่น เราซื้อเอาไว้ให้หลายอย่าง อร่อย ๆ ทั้งนั้น จีนน่าจะชอบ กินเยอะ ๆ” ตอนนี้ฮ่องเต้เห็นอีกฝ่ายดูซูบลงไปพอสมควร จีนพยักหน้าตอบรับ ฮ่องเต้เองก็ไปตามสืบมาว่า ของชอบของจีนคืออะไรมาก แม้ว่าข้อมูลจะน้อยนิด แต่ก็พอหามาได้บ้างจากร้านค้าในโรงอาหารที่มหาวิทยาลัย ว่าเคยเห็นจีนสั่งอะไรกินบ้าง

“เจอกันพรุ่งนี้” ฮ่องเต้ที่พยายามอ้อยอิ่ง รั้งรอ ไม่ยอมออกไปจากห้องคนไข้สักที พูดบอกกับจีน สุดท้ายก็ต้องยอมเปิดประตูเดินออกไป จีนที่มองตามฮ่องเต้ ก่อนจะหันมามองพี่ชายของเขา ที่ตอนนี้สีหน้าดูมีเลือดฝาดมากขึ้นกว่าเดิม ก็พอจะเบาใจขึ้นได้บ้าง ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะที่ปลายเตียง เปิดดูมีข้าวอยู่หลายกล่อง ที่ฮ่องเต้ไปหาซื้อมาให้ แต่ละร้านนั้นราคาไม่เบาเลยทีเดียว จีนนั่งลงบนเก้าอี้ แกะกล่องข้าวขึ้นตักกิน พลางคิดถึงวันนี้ ที่ทั้งวันมีเรื่องที่ทำให้ประหลาดใจและปนชื่นใจเกิดขึ้นมาตลอดทั้งวัน

'ขอบคุณนะ ข้าวกล่องอร่อยมาก' ฮ่องเต้ยิ้มกว้างออกมา พลางนึกถึงใบหน้าที่มีความสุขของอีกฝ่าย ที่แสดงออกมาตอนที่ได้กินของที่ชอบ ทันทีที่ฮ่องเต้จอดรถและดับเครื่องยนต์ ข้อความจากจีนก็เด้งเข้ามาที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือของเขา ข้อความสั้น ๆ จากอีกฝ่าย ทำให้ใบหน้าของฮ่องเต้นั้นแต้มไปด้วยรอยยิ้มนั้น ตลอดทางที่เขายื่นกุญแจรถให้กับคนรถ เดินไปจนถึงยังห้องนอนของตัวเอง

จีนมองดูข้อความของตัวเองที่ได้ส่งไปหาอีกฝ่าย ปกติเขาแทบไม่ได้ส่งข้อความพูดคุยส่วนตัวอะไรแบบนี้สักเท่าไหร่ จะมีก็คงจะเป็นข้อความที่คุยเรื่องเกี่ยวกับงานพิเศษที่ทำอยู่ และไม่ใช่เรื่องอะไรที่มันเป็นเรื่องสัพเพเหระแบบนี้ และเมื่อข้อความของเขาขึ้นว่า มันถูกฮ่องเต้เปิดอ่านแล้ว ใจของจีนมันเต้นแรงเป็นพิเศษ อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อน

“ขอโทษด้วยนะครับ ที่ทำให้ต้องนั่งรอนะครับ” ชนธัญกล่าวกับหญิงสาวที่กำลังตั้งครรภ์ ที่นั่งอยู่ภายในห้องสอบสวน หญิงสาวคนนั้นเงยหน้าขึ้นมามองหนุ่มหน้าใสที่เขาเห็นที่ห้างสรรพสินค้ากลางกรุง ที่เป็นสถานที่เกิดเหตุนั้น เดินเข้ามาพร้อมกับเอกสารในมือ ลักษณะกระดาษ ความหนา และสีหน้าแววตาของหนุ่มหน้าใส บอกได้ว่า มันคงไม่ใช่ข้อมูลที่เธอนั้นรับทราบมาจากทนายความแล้ว

“มันมีความคลาดเคลื่อนบางอย่าง และข้อสงสัยบางประการที่ทางเราอยากจะสอบถามคุณเพิ่มเติมหน่อยนะครับ คุณอารียา” สารวัตรหนุ่มหล่อ คนที่หญิงสาวเห็นว่าเดินตามหนุ่มหน้าใสคนนั้นเข้ามาในห้องด้วย พูดขึ้น เมื่อสังเกตเห็นว่า อารียานั้น จ้องมาที่เอกสารที่อยู่ในมือของชนธัญตาเขม็ง

“ก่อนอื่น คุณอารียายังแน่ใจกับคำให้การของคุณกับเจ้าหน้าที่ ว่าคุณไม่รู้จักกับผู้ตายอยู่หรือเปล่าครับ” สารวัตรรัฐนนท์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กับชนธัญ ที่นั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ตรงข้ามกับหญิงสาวตั้งครรภ์คนนี้ โดยอารียามองหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ รูปภาพของร่างกายผู้ตาย ที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน โดยเฉพาะรูปที่เน้นไปที่ข้อพับแขนของผู้ตายเหล่านั้น

“คุณยังยืนยันคำให้การอยู่หรือเปล่าครับ” อารียาเปลี่ยนจากจ้องเอกสารพวกนั้น เงยสายตาขึ้นมามองชนธัญที่เพิ่งคำถามนั้นกับเธอ น้ำเสียงที่ชนธัญใช้พูดนั้น ไม่ได้คาดคั้นหรือจะบีบให้เธอต้องพูดหรือไม่พูดอะไร อารียาสัมผัสได้ถึงความเข้าใจในน้ำเสียงของหนุ่มหน้าใส ที่อยากให้เธอพูดในสิ่งที่เธอรู้ดีแก่ใจมากกว่า เพื่อให้ชนธัญและสารวัตรรัฐนนท์เอง ได้เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ว่าจริง ๆ แล้ว มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

“ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ตายเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายคนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ ทั้งที่ไม่ได้รู้เห็นอะไรด้วยตั้งแต่แรก” สารวัตรรัฐนนท์เพิ่มเติมขึ้นมาอีกว่า “จากหลักฐานที่ทางนิติเวชตรวจพบใหม่ มันจะมีผลในขั้นตอนการสืบสวน ข้อมูลในคดีจะเปลี่ยนไป และจะถูกใช้ในชั้นศาล หากว่าคุณอารียายังยืนยันคำให้การเดิม ซึ่งนั่นอาจจะเปลี่ยนความเกี่ยวข้องของคุณอารียากับคดีนี้ จากพยานผู้รู้เห็น กลายเป็นผู้ต้องหาในคดีนี้” อารียามองดูกระดาษเอกสารใบที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับคราบเขม่าดินปืนใบที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน เธอเงยหน้าสบตากับทั้งสารวัตรรัฐนนท์และชนธัญ ก่อนจะพูดขึ้นว่า เธอพร้อมจะพูดแล้ว

***************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

ที่รักของใครสักคน (Extended Version) - เต้ วิทย์สรัช & แอน ธิติมา

https://www.youtube.com/watch?v=nF63uk1xrsU


บนโลกนี้ก็คงมีคำว่ารัก

In this world, there’s a word called love

แต่ฉันบังเอิญไม่เจอสักครั้ง

Though, literally I haven’t found it yet

กลับเจอความผิดหวังอยู่ทุกครั้งไป

Only being let down, I have faced that all the time


อยากจะรู้ความเหงาที่ไม่มีใครเรียกหา

I can’t help but wonder, loneliness people stay clear of

วันนี้ทำไมมาอยู่ที่ฉัน

Why is it today it being with me?

อยากเจอคนคนนั้นจะได้ไหม

The one I’ve been longing for, by any chance, will I?


ได้แต่หวังเอาไว้

I am hoping that I

จะมีใครไหมรักฉันจริงจริง

Will find someone who loves me for real

เปลี่ยนมุมมอง

Change my perspective

บางสิ่งที่กลัวเป็นรักแท้

Of something I fear to be true love


อยากจะมีความรักเหมือนดังใครใคร

I want love like anybody else

อยากจะเป็นคนรักของใครสักคน

Wish I’d be somebody’s sweetheart

คนที่ฉันรอ

Someone I’m waiting for

เธออยู่แห่งหนใด

Where, where are you now?


จะมีใครบ้างไหมที่ใจตรงกัน

Will there be someone who feels the same?

และบังเอิญที่ฉันจะไปตรงใจ

By all means, I am the one they desire

ก่อนนอนทุกคืนได้แต่อธิษฐาน

I pray before settling down at night

ให้เราได้พบกัน

That I’ll find you


คนที่ยิ้มให้ฉันเมื่อเช้าจะใช่เธอไหม

Was that you who gave me that smile this morning?

ความรักจะหันมาพบกันกันไหม

Will your love and mine turn and see each other?

เมื่อไหร่จะไม่ต้องเหงาไปอย่างนี้

When will being lonely end its way with me?

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: สืบลับ สืบรัก: CLSI ๘๓. Bad Side Manner _ 03.27.2024
«ตอบ #86 เมื่อ27-03-2024 16:15:00 »




Crime and Love Scene Investigation



๘๓. Bad Side Manner



“คุณนี่พูดไม่รู้เรื่องหรือยังไงนะ ก็ผมบอกว่า ผมต้องไปทำงานต่างจังหวัด จะไปกี่วันก็แล้วแต่งาน คุณอย่ามาเซ้าซี้อะไรผมมากได้มั้ย” เสียงสามีของหญิงสาว แสดงอารมณ์หงุดหงิดออกมาอย่างไม่ปิดบัง “ก็คุณจะไปทำงานแถวทะเล นี่ตั้งแต่แต่งงานกันมา คุณก็ยังไม่เคยพารียาไปเที่ยวที่ไหนเลย” หญิงสาวผู้เป็นภรรยาแต่ง กลืนคำว่า 'ฮันนีมูน' กลับคืนลงไป เลี่ยงที่จะไม่พูดมันออกมา ให้ตัวเองได้ยิน

“เที่ยวงั้นหรือ” ชายหนุ่มผู้เป็นสามีเอ่ยออกมา หันมามองผู้เป็นภรรยาด้วยสายตาผิดหวัง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเอือมระอา “ในหัวคุณมีแต่เรื่องสนุกไปวัน ๆ สินะอารียา นี่ผมไปทำงาน ผมไม่ได้ไปเที่ยว” หญิงสาวน้ำตารื้นขึ้นมาในทันที ที่ได้ยินสามีของตัวเองพูดกับเธอแบบนั้น

“แล้วพอสักที เลิกได้แล้ว ไอ้ที่ชอบหาคำพูดมาเพื่อทำให้ผมรู้สึกผิด มันไม่ได้ผลแล้วล่ะนะ” พอสามีของเธอพูดจบ อารียาก็ได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เพื่อรอได้ยินเสียงรถยนต์ของผู้เป็นสามีแล่นออกจากบ้านไป สิ่งที่เธอทำได้ คือปล่อยน้ำตาให้ไหลรินลงมาจากตา ทั้งจากความน้อยใจและความรู้สึกเสียใจที่อัดแน่นอยู่ภายในใจ

“พี่มาหาผมน่ะดีแล้ว ดีกว่าไปนั่งหัวเสียที่อื่น” อารียาที่นั่งอยู่บนโซฟา ภายในห้องของเด็กหนุ่มที่อายุน้อยกว่าเธอหลายปี เธอหลับตาลงเมื่อมือทั้งสองข้างของเด็กหนุ่ม จับลงมาที่ไหล่ทั้งสองข้างของเธอ ก่อนจะออกแรงบีบนวด คลึงเพื่อคลายความเครียดให้เธอ “เต้ ทำไมเธอดีกับพี่จังเลย” คำถามจากหญิงสาวที่กำลังหลับตาพริ้ม ระบายลมหายใจออกมาอย่างคลายอารมณ์

“ผมรู้ว่าจะต้องทำให้พี่มีความสุขยังไง พี่รียา” เด็กหนุ่มก้มลงใช้ปลายจมูกซุกไซ้ไปที่ต้นขาขาวเนียนของอารียา หญิงสาวในใจนึกจะขัดขืน แต่ทว่าร่างกายของเธอกลับโอนอ่อนผ่อนปรน เหลวอ่อนเป็นขี้ผึ้งลนไฟไปกับรสสัมผัสนั้นของอีกฝ่าย “ผมช่วยพี่เองนะครับ” รู้ตัวอีกที อารียาก็เผยร่างขาวโพลนเปลือยเปล่าต่อหน้าเด็กหนุ่มไปแล้ว

อารียากลับเข้าบ้านอีกครั้ง ก็บ่ายแก่ ๆ ของอีกวัน ยังไม่มีสายโทรเข้า ของสามีของเธอเข้ามาแต่อย่างใด ไม่มีแม้แต่ข้อความที่ถูกส่งมาบอกกล่าว ว่าตัวเขาเดินทางไปถึงแล้ว อารียาเดินเข้าไปในตัวบ้าน ก็พลันมีเสียงข้อความถูกส่งมาที่เบอร์มือถือของเธอ เธอยิ้มด้วยความตื่นเต้นดีใจ แต่พอมองดูที่หน้าจอมือถือ มันคือข้อความจากเด็กหนุ่มที่ส่งเข้ามาหาเธอ เพื่อบอกฝันดีกับอารียา

“พี่รียา มีความสุขกับผมนะครับ” เสียงพูดอันแผ่วเบา พร้อมสัมผัสอันวาบหวิว ที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกหวามไหวและสั่นสะท้านไปทั้งร่างกาย เธอปล่อยตัวปล่อยใจไปกับรสสัมผัสที่เธอกลับมาลิ้มลอง ครั้งแล้วครั้งเล่า เด็กหนุ่มประเคนความหฤหรรษ์ให้กับหญิงสาวแก่วัยกว่าอย่างไม่อั้น และเมื่อได้จังหวะ เขาก็ถอดเครื่องป้องกันที่เคยใช้กันทุกครั้งออก และสิ้นสุดอารมณ์สุขสมนั้น ด้วยการปลดปล่อยทุกอย่างเอาไว้ภายใน

ผู้เป็นพ่อนั่งมองลูกสาวที่กำลังร้องไห้อย่างหนัก ในหนึ่งนั้นก็โกรธแสนโกรธ ที่ลูกสาวของตัวเองนั้นบ้องตื้น ทำอะไรลงไปไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดีเสียก่อน แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกเป็นทุกเป็นร้อนร่วมด้วยไปกับลูกคนเดียวของตัวเอง ที่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ผู้เป็นพ่อคนนี้ ก็ต้องช่วยคิดหาทางออกให้อย่างแน่นอน

“มันเป็นเพราะหนูไปแย่งเขามาจากอีลักเพศนั้นใช่มั้ยพ่อ กรรมมันถึงได้มาตกกับหนูแบบนี้” อารียาฟูมฟายกับผู้เป็นพ่อ ที่เธอคิดว่า เป็นเพราะเธอมั่นใจว่า เธอจะสามารถเปลี่ยนแปลงผู้เป็นสามีได้ เมื่อแต่งงานและได้มาใช้ชีวิตร่วมกันกับเธอ “มันไม่ใช่ความผิดแก อารียา เมื่อมันยอมมาแต่งงานกับลูกสาวพ่อ มันก็ต้องรับผิดชอบแกไปตลอดทั้งชีวิต รวมถึงลูกในท้องของแกด้วย ส่วนไอ้หนุ่มนั่น ที่ทำแกท้อง มันก็ต้องร่วมมือกับเราด้วยเช่นกัน” อารียาร้องไห้อย่างหนัก ก่อนจะโผเข้ากอดผู้เป็นบิดาของเธอ

“ฉันรู้นะ ว่าแกเอาผัวฉันไปนอนกก” ก่อนที่คิรินจะขับรถออกมาจากบ้านที่ชายทะเล ซอโซ่อ่านข้อความที่ถูกส่งมาถึงเขา “ถ้าแกจะใช้ไอ้ดุ้นตัวเดียวอันเดียวร่วมกับฉัน” ซอโซ่ใจเต้นแรงมือสั่นเมื่อข้อความเหล่านั้นถูกส่งผ่านเข้ามาอย่างต่อเนื่อง “แกใช้ถุงยางบ้างมั้ย หรือว่ายอมให้เขาล่อ แบบพวกกะหรี่อีตัวชั้นต่ำ” ซอโซ่ฝืนยิ้มให้กับคิริน เมื่อเขาออกรถมาได้สักพัก ว่าตัวเขาเองนั้นโอเคมั้ย

“ฉันขอร้องล่ะ” ตอนที่ซอโซ่บอกกับคิรินว่าเขาจะกลับเอง แล้วเปิดประตูลงจากรถ ข้อความสุดท้ายก่อนที่ซอโซ่จะปิดโทรศัพท์มือถือ ก็ถูกส่งเข้ามา “ช่วยคืนเขากลับมาให้ฉันได้มั้ย เขาเป็นพ่อของลูกฉันนะ” ตอนนั้นซอโซ่รีบร้อนเพื่อจะเข้าไปในขบวนรถไฟฟ้าให้เร็วที่สุด ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ดึงสติเขาให้ละอายและเกรงกลัวกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ เพื่อให้เหตุผลที่ถูกต้องกลับมาอยู่เหนืออารมณ์ที่ผิดระเบียบของตัวเองอีกครั้ง

คิรินรู้สึกวุ่นวายใจไม่หยุด ตั้งแต่กลับมาจากทะเล ซอโซ่ไม่รับสายของเขาเลย ชายหนุ่มไปดักรอที่หน้าคอนโด ก็ไม่มีโอกาสได้พบ สุดท้ายพอสอบถามกับทางนิติ ก็ได้รู้ว่า ซอโซ่นั้นย้ายออกไป พร้อมประกาศขายห้องคอนโดแห่งนั้นทิ้งแล้ว มันทำให้คิรินยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ ที่ไม่สามารถตามหาซอโซ่ได้พบ และไม่มีโอกาสจะได้พูดคุยปรับความเข้าใจอะไรกันเลย

“นั่นคุณจะไปไหนอีก อยู่ติดบ้านสักวันมันจะตายให้ได้เลยใช่มั้ย” เสียงแหวดแหวดังขึ้นมาจากข้างหลัง คิรินหลับตาลง พยายามข่มความรู้สึกที่ทั้งโกรธและรำคาญ เวลาได้ยินอรียาพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงแบบนี้ “ผมมีธุระ” คิรินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่สุด เท่าที่ตัวเขาจะบังคับตัวเองให้ทำได้

“ตอแหล” คิรินหันขวับไปมองอารียาในทันที ที่ได้ยินหญิงสาวพูดแบบนั้น “เมื่อไหร่คุณจะเลิกตอแหลฉันสักที” อารียาตะโกนใส่หน้าคิรินด้วยความโมโหอย่างที่สุด “คุณจะไปหาอีผิดเพศนั่น คุณคิดว่าฉันไม่รู้หรือไง ว่าคุณพามันไปกกทำเรื่องสกปรกอุบาทว์กันที่ทะเลน่ะ คุณนี่ก็กล้าเอาของเหลือเดนจากฉันไปป้อนให้อีกะเทยนั่นถึงทะเลนะ” อารียาไม่สามารถควบคุมอารมณ์โกรธของตัวเองได้อีกต่อไป เธอใช้คำพูดที่ต้องการจะให้อีกฝ่ายได้รู้สึกเจ็บปวดเหมือนกับที่เธอรู้สึก

“ก็ดี” คิรินเองรู้ตัวแล้วในวินาทีนั้น ว่าเขาหมดความอดทนกับผู้หญิงคนนี้ “รู้แล้วก็ดี ว่าผมกับซอโซ่เป็นอะไรกัน และทำเรื่องอย่างว่ากันนับครั้งไม่ถ้วน” คำพูดของคิรินทำให้อารียาตัวสั่นไปหมดด้วยความเกลียดชังและรังเกียจ “แต่ถ้าคุณจะรู้ ก็ควรจะรู้ให้หมดทุกอย่างนะ” คิรินเองก็ไม่เหลือความเกรงใจให้ใครอีกต่อไป

“ว่าคนที่กินของเหลือเดนน่ะ มันคุณต่างหากล่ะ ผมรักซอโซ่ ได้กับซอโซ่ มีซอโซ่เป็นเมียมาก่อนที่จะมาแต่งกับคุณ คุณต่างหากที่กินของเหลือเดนจากเขารู้ไว้เสียด้วย” สิ้นสุดคำพูดของคิริน บ้านทั้งบ้านก็ดังลั่นไปด้วยเสียงกรีดร้อง ด่าทอ ฉีกทึ้งกันอย่างเจ็บแสบ เต้ เด็กหนุ่มที่ยืนมองเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ ด้วยสายตาที่เจ็บปวด เมื่อประโยคที่อารียาตะโกนใส่หน้าคิรินซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว่าเธอนั้นท้องกับคิริน และคิรินเป็นพ่อของลูกในท้องเธอ

***************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

เขียนไว้ข้างเตียง - นันทิดา แก้วบัวสาย

https://www.youtube.com/watch?v=Jgd-RBNYC1Y


ใจเล็กเล็ก มันเจ็บลึกลึก

My little heart, pain cuts deep

อยู่ลับลับกับสิ่งลวงลวง

Being in a secret corner with all those lies

รอน้ำค้างเพียงหยดเล็กเล็ก

Waiting for a small drop from heaven

หล่อเลี้ยงไว้ให้อยู่ต่อไป

To carry on like bedside manner


ครั้นพอแดดชโลม

Then the sun now shines

ลบเลือนทุกอย่าง

Everything erases

ชีวิตอันบอบบางจางหาย

This delicate soul vanishes

รู้ดีว่าเป็นใจไม่มีราคา

It’s the heart with no value

เป็นแค่คนถัดมาเท่านั้น

I’m just his next best thing

ยิ้มตอนที่เจอเจอเขาแล้วชื่นใจ

All the smile I have, feeling good to see him

พอจากไปในใจโหยหา

Then he’s gone, my heart screams for


เขาเป็นของคนอื่นท่องเอาไว้ในใจ

He belongs to someone else, remind myself that

เขาเป็นของคนอื่นเขียนเอาไว้ข้างเตียง

He’s not really mine, written on the bedside

ของที่ขอยืมมา

Something borrowed

แลกมาด้วยน้ำตา

Taken through tears

เมื่อมันถึงเวลาคืนให้เจ้าของ

When it’s time, returned to the real owner

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: สืบลับ สืบรัก: CLSI ๘๔. Life's A Mess _4.04.2024
«ตอบ #87 เมื่อ04-04-2024 16:10:00 »



Crime and Love Scene Investigation


๘๔. Life’s A Mess



“ผลการตรวจนี้เชื่อถือไม่ได้” คิรินโยนกระดาษผลการตรวจจากห้องแล็บชั้นนำของประเทศลงบนโต๊ะ เขาปฏิเสธสิ่งที่อยู่บนกระดาษพวกนั้น “คุณเป็นคนสั่งให้ตรวจเองนะ คิริน” เสียงหญิงสาวผู้เป็นเมียแต่งของเขาย้อนคำพูดของชายหนุ่ม ที่กำลังมองอีกฝ่ายอย่างเคลือบแคลงสงสัย

“ในเมื่อคุณกล่าวหารียา ว่าเต้กับรียามีอะไรกัน ว่ารียาตั้งท้องกับเต้ คุณเชื่อโดยไม่มีหลักฐานว่า เด็กในท้องของรียาเกิดกับเต้ นี้ยังไงล่ะคะหลักฐาน นี่ยังไงล่ะคะผลการตรวจตำตาคุณอยู่ตรงนี้ ผลตรวจยืนยันออกมาแล้ว ว่าไม่ใช่ลูกของเต้ อย่าว่าแต่จะเป็นดีเอ็นเอเลย แม้แต่กรุปเลือดก็ยังไม่ใช่” อารียาพูดพลางจ้องหน้าผู้เป็นสามีแต่งของเธอ ที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“แล้วคุณจะเอายังไงอีก ถ้ารียาไม่ท้องกับคุณ มันไม่มีใครคนอื่นแล้ว” คำพูดของอารียา ทำให้คิรินไม่รู้จะเถียงอีกฝ่ายออกไปยังไงดี มันมีแต่ความมืดแปดด้านไปหมด ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้มีอะไรกับอารียามาตั้งนานแล้ว แต่มันมีคืนนั้น คืนที่เขาดื่มเหล้าเมาอยู่คืนหนึ่ง แล้วพอตื่นเช้าขึ้นมา ก็พบตัวเองอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าบนเตียงนอนกับอารียา โดยที่อีกฝ่ายบอกกับเขาว่า มันเป็นคืนที่สุดจะเร่าร้อนระหว่างกัน

“แล้วคุณเองก็เห็นมันกับตา” อารียาพูดขึ้นอีก ตรงนี้เองที่ทำให้คิรินเหมือนจะดิ้นไม่หลุด “คุณเองก็เห็นตอนที่ทางแล็บเจาะเลือดของเต้ไปตรวจ คุณจะอ้างได้หรือคะ ว่ามันเป็นการตรวจที่ไม่น่าเชื่อถือ เมื่อคุณก็เป็นคนเลือกห้องแล็บนี้เอง” ลึก ๆ ในใจของคิริน เขาตะโกนร้องเสียงดังว่า เรื่องนี้มันเป็นไปไม่ได้ มันไม่ได้เกิดขึ้นจริง

“ผลการตรวจยืนยันอย่างชัดเจน ว่าลูกในท้องของรียา ไม่ใช่เต้ ที่เป็นพ่อของเขา” อารียาใช้น้ำเสียงที่ลดความกระแทกกระทั้นบั่นทอน มาเป็นน้ำเสียงที่นุ่มละมุน เธอขยับเดินเข้าหาคิริน ผู้เป็นสามี “แต่คือคุณ คิริน” สิ่งที่คิรินกำลังได้ยินอารียาพูดอยู่ในตอนนี้ ทำให้ชายหนุ่มทั้งสับสน หวาดกลัว และทรมานใจไปพร้อม ๆ กัน

'คิรินคะ เรากำลังจะมีลูกด้วยกัน' คำพูดของอารียาที่ยังคงดังก้องอยู่ภายในหูของคิริน แม้ว่าในตอนนี้ เขาต้องมาเจอลูกค้าคนสำคัญ ที่ห้างหรูใจกลางกรุงเทพมหานคร แต่ไม่ว่าจะพยายามข่มใจยังไงเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่คิรินจะมีสมาธิและจดจ่อกับบทสนทนาของลูกค้า จนเขาถูกติงอยู่หลายครั้ง ทั้ง ๆ ที่คิรินเองไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน

“ถ้าคุณยังไม่พร้อมนะคุณคิริน ผมว่า เราเลื่อนมันไปก่อนดีกว่า” เสียงลูกค้าของคิริน พูดออกมาด้วยความหงุดหงิดใจ เมื่อคิรินดูใจลอยและไม่สามารถที่จะโฟกัสรายละเอียดอะไรได้เลย “ผมต้องการความเป็นมืออาชีพที่เคยได้รับจากคุณ คิริน” ลูกค้ารายดังกล่าว ลุกเดินจากไปแล้ว คิรินเองก็ไม่ได้พูดแก้ตัวอะไรออกไป ยังคงนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น เหมือนว่าตัวเองก็ยอมรับสภาพเช่นกัน

'ชีวิตคู่ของเรากำลังจะสมบูรณ์' คำพูดของอารียาที่สะท้อนอยู่ในโสตประสาท ทำให้คิรินไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปแล้ว แถมการที่เขาตามหาซอโซ่ไม่เจอ ยิ่งทำให้ชายหนุ่มทุกข์ใจมากขึ้นไปอีก การไม่ได้เจอหน้ากันตั้งแต่คราวนั้น มันทำให้ความคิดที่ว่า จะไม่มีวันได้เจอกันอีกแล้ว ดูจะเป็นจริงมากขึ้นทุกที เพราะเขาเองก็ยังไม่มีโอกาสได้พูดทำความเข้าใจกับซอโซ่เลย ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

อารียารู้สึกสบายใจขึ้นเป็นอย่างมาก เธอเหมือนเพิ่งยกภูเขาออกจากอก เมื่อเห็นท่าทีของคิรินนั้นดูสงบลง ดูอ่อนให้กับเธอลงเยอะ จากที่ก่อนหน้านี้ ตอนที่คิรินพูดตอกหน้าเธอ ว่าเขารู้เรื่องระหว่างเธอกับเต้หมดแล้ว และจะดำเนินการฟ้องต่อศาล เพื่อทำการหย่าขาดจากเธอ นั่นทำให้อารียาต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง และเธอก็เลือกที่จะบอกกับคิรินว่าเธอท้องกับเขา

แต่ปัญหาของเธอที่มีตอนนี้ก็คือ เสียงเรียกเข้าดังขึ้น และหน้าจอมือถือของเธอก็แสดงให้เห็นว่า เป็นใครที่กำลังโทรมาหาเธอ อารียากำลังคิดว่า เธอจะกำจัดเด็กหนุ่มคนนี้ให้พ้นทางอย่างไรดี คราวที่แล้วที่คุณพ่อของเธอช่วยบังคับและใช้อิทธิพลข่มขู่ให้เต้ยอมทำตาม มันดูเหมือนจะได้ผล แต่ตอนนี้ที่เต้หลบหน้าไป แต่ยังโทรมาหาเธออยู่เรื่อย ๆ นั้น

“นี่ถ้าคนที่พ่อฉันส่งไป ตามหาตัวแกเจอเมื่อไหร่ รับรองแกได้ไม่ตายดีแน่” อารียากรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ทันทีที่เธอรับสาย “ผมเคยบอกพ่อคุณไปแล้วว่าให้ผมได้ทำหน้าที่พ่อของลูกของเรา” ประโยคของเต้ที่ตอบกลับมา อารียาเองรู้ดีว่าเธอไม่สามารถปล่อยให้มันเกิดขึ้นอย่างนั้นได้แน่นอน

“แต่แกรับเงินของพ่อฉันไปแล้ว” อารียาท้วงออกไปเสียงดังลั่น “น้ำเชื้อของผมตีราคาไม่ได้หรอกนะครับ” เสียงตอบกลับมา แสดงให้อารียาเห็นว่า อย่าคิดว่าฝั่งเธอและพ่อจะถือไพ่เหนือกว่า “ผมรักลูกของผม” เต้พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ถ้าพี่รียาคิดจะกำจัดผม ให้พ้นไปจากลูกที่ผมรัก ผมเองก็รู้เช่นเดียวกันว่าใครที่พี่รียารัก และผมควรจะกำจัดทิ้ง ตอนนี้ผมอยู่ที่ห้างหรูหรากลางกรุง และผมกำลังจับตามองไปที่ใครบางคนอยู่”

“ผมไม่ได้ขู่” พูดจบเต้ก็ตัดสายนั้นทิ้งไปก่อนที่อารียาจะเห็นภาพของคิริน ที่กำลังนั่งคุยกับลูกค้าถูกเต้ส่งมาเข้าเครื่องของเธอ นั่นทำให้อารียาร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง รีบโทรศัพท์ไปหาคิริน แต่ไม่ว่าเธอจะกดโทรหาชายหนุ่มย้ำ ๆ เช่นไรก็ตาม แต่คิรินก็ไม่ได้รับสายเธอแต่อย่างใด และสุดท้าย อารียาก็รู้ได้ทันทีว่าคิรินปิดมือถือหนีเธอ

อารียารีบติดต่อพ่อของเธอในทันที เธอบอกว่า เธอกำลังจะไปที่ห้างหรูแห่งนั้น ให้พ่อของเธอรีบส่งคนไปที่นั่น เต้กำลังคิดที่จะทำอะไรบางอย่างกับคิริน และเธอคิดว่า คิรินกำลังตกอยู่ในอันตราย ผู้เป็นพ่อพยายามที่จะพูดห้ามลูกสาวคนเดียวของตน แต่ก็ไม่เป็นผล อารียารีบขับรถออกจากบ้านไปในทันที

“ยังไงก็มาเริ่มงานได้เลยนะ จีน” เสียงพี่ผู้จัดการบอกมาแบบนั้น ก่อนจะมีเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ แบบเอ็นดู เมื่อมีเสียงเรียกเข้าดังมาจากโทรศัพท์มือถือของจีนอีกครั้ง หลังจากที่เห็นจีนตัดสายมันไปหลายต่อหลายครั้ง “พี่ว่า รับสายหรือโทรกลับหาเขาสักหน่อยก็ดีนะ คงร้อนใจน่าดูแล้วป่านนี้” จีนรับคำเบา ๆ ยิ้มแบบเขินที่ได้ยินพี่ผู้จัดการร้านพูดกับแบบนั้น

จีนเดินออกจากร้านไปที่บันไดเลื่อน เพื่อลงไปชั้นล่างของห้างสรรพสินค้าหรูหราใจกลางเมืองแห่งนี้ หลังจากที่เช้านี้ ทางผู้จัดการร้านได้นัดให้เขาเข้ามาสัมภาษณ์งานดู ก่อนจะรับจีนข้าทำงานพิเศษอย่างง่ายดาย เมื่อได้ซักถามประวัติกันแค่เล็กน้อย และดูประสบการณ์การทำงานพิเศษของจีน ที่ดูจะมากเป็นพิเศษ

“จีน” เจ้าของชื่อหันไปตามเสียงเรียก ก่อนจะเห็นใครคนหนึ่ง ยืนส่งยิ้มให้เขาอยู่ตรงนั้น คิรินหลังจากปิดโทรศัพท์มือถือเพราะรำคาญที่มันดังอย่างต่อเนื่อง เขากดลิฟต์ลงมาชั้นล่าง ก่อนจะเดินออกไป แล้วรู้ว่าเขาออกจากลิฟต์ก่อนชั้นที่ต้องการ จึงเดินไปที่บันไดเลื่อน สายตามองเห็นเด็กหนุ่มสองคนยืนอยู่ที่ตรงบันไดเลื่อนนั้น ก่อนสายตาจะหันไปเจอซอโซ่ ที่กำลังอยู่บนบันไดเลื่อนที่อีกด้านหนึ่ง และกำลังมองมาทางเขาเช่นกัน

อารียารีบร้อนลงมาจากรถ ทั้ง ๆ ที่ยังหาที่จอดรถไม่ได้ เธอทิ้งรถคาอยู่กลางลานจอดรถของห้างหรู โดยอุ้ยอ้ายแบกท้องอันใหญ่โตจากการตั้งครรภ์ของตัวเอง กึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้าห้างไป ไม่สนกับเสียงเรียกของ รปภ. ที่ดังตามไล่หลังเธอมา อารียาเดินเข้าไปในตัวห้าง ก่อนจะมองตรงไป เห็นคิรินที่กำลังวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เพื่อไปหาซอโซ่ที่อีกด้านหนึ่งของตัวห้าง

และไม่ไกลจากตรงนั้น เต้เดินย่างสามขุมออกมาจากร้านกาแฟ สายตามองตามคิริน และเดินตามไปทางด้านหลัง มือซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อคลุมแบบมีฮู้ด โดยที่อารียาตะโกนเสียงดังเรียกคิรินออกไป ท่ามกลางคนมากมายที่เดินอยู่กันคลาคล่ำ โดยมีเต้หันมามองเธออยู่เพียงแวบเดียว ด้วยอาการแสยะยิ้มมุมปาก ด้วยความหมายบางอย่าง

***********************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

เธอผู้เดียว - มาลีวัลย์ เจมิน่า

https://www.youtube.com/watch?v=Nvn--yNTmTA



เหนื่อยและท้อเหลือเกินรู้ไหม

Tired and in despair, don’t you know?

หมดแรงจะสู้ต่อไปอีกแล้ว

Not enough strength to fight the day

คลื่นลมยิ่งโถมเท่าไร

Wind’s raging on me

เสียงหัวใจยิ่งแผ่ว

The heartbeat gets slow

หมดแล้ว ไม่เหลือใครนอกจากเธอ

Nobody’s here, no one but you



เธอเป็นเพียงสิ่งเดียว

You’re the only one

เป็นเหมือนไม้หลักสุดท้าย

The last straw I’m holding on to

ให้ฉันได้เกาะได้พักหายใจ

For me to rest, to breathe

มีเพียงเธอผู้เดียว

You’re all I’ve got

ที่ฉันมอบหัวใจ

The one my heart goes to

รักเธอเหลือเกิน

I love you so much

และรักยิ่งกว่าสิ่งใด

I love you more than anything



อย่าจากไปไหน

Please don’t go

โปรดอยู่กับฉัน

Stay with me

ชีวิตของฉัน

Here’s my entire life

ฝากไว้อยู่ในมือของเธอ

Leaves it in your hands

ทุกทุกนาทีที่ยังหายใจ

Every minute I take my breath in

เพราะฉันมีเธอ

Because I’ve still had you

ขาดเธอไปซักคน

Without you now, then

ฉันจะทนอยู่อย่างไร

How can I get through it?

ไม่รู้จริงจริง

I just really don’t know

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: สืบลับ สืบรัก: CLSI ๘๕. Love Hurts _9.04.2024
«ตอบ #88 เมื่อ09-04-2024 19:00:00 »



Crime and Love Scene Investigation


๘๕. Love Hurts



เสียงปืนที่ดังขึ้น ทำให้ที่กลางห้างหรูแห่งนั้น เต็มไปด้วยความสับสน โกลาหล และวุ่นวายไปหมด ผู้คนต่างแตกตื่นวิ่งหนีกันจนชุลมุน ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร มีเพียงอารียาที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ในมือที่สั่นเทิ้ม ยังคงถือปืนกระบอกสีดำกระบอกนั้นเอาไว้ ท่ามกลางเสียงหวีดร้องตกใจอย่างหวาดกลัวของคนอื่น ๆ ที่วิ่งหนีเอาชีวิตรอด

“เต้ เต้ อย่าเป็นอะไรนะ” จีนร้องตะโกนแข่งกับเสียงคนกรีดร้องไปทั่ว ก่อนที่เขาจะรีบทรุดตัวลงนั่งที่ข้าง ๆ ของอีกฝ่าย รอยเลือดสีแดงฉานแผ่ขยายไปทั่วเสื้อนักศึกษาสีขาว ที่ฮ่องเต้ใส่อยู่ “เต้ ลืมตาสิ เต้ พูดกับเราก่อน” จีนพูดด้วยน้ำเสียงละล่ำละลัก เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น เมื่ออีกฝ่าย ดูนิ่งไม่ไหวติง

“เต้ ลืมตาขึ้นมาก่อน อย่าเป็นอะไรไปนะ” จีนร้องตะโกนเรียกชื่อฮ่องเต้ซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น เด็กหนุ่มพยายามดึงร่างของเพื่อนตัวเองให้ลุกขึ้นจากพื้น “เต้ อยู่กับเราก่อน ใครก็ได้” จีนรีบกวาดสายตามองไปจนทั่ว “ใครก็ได้ครับ ช่วยเราสองคนด้วย” จีนร้องเรียกให้คนช่วยจนสุดเสียง ความอุ่นจากของเหลวบนเสื้อของฮ่องเต้ ซึมมาที่ผิวของจีน ที่มันให้ความรู้สึกเย็นเฉียบ พุ่งเข้าไปที่ขั้วหัวใจทันที

“โทรเรียกรถพยาบาลให้ผมที ช่วยเพื่อนผมด้วย” จีนร้องเรียกออกไปอย่างสุดเสียง ลมหายใจของฮ่องเต้แผ่วเบาอยู่ที่ข้าง ๆ แก้มของจีน โดยที่เขาเองก็พยายามจะอุ้มอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น แต่ก็ไม่สามารถทำได้อย่างที่ใจต้องการ จีนกวาดสายตามองไปเจออารียา ที่ยืนมองมาด้วยสายตาว่างเปล่า

“คุณหนู” อารียาหันไปมองทางเสียงเรียกนั้น คนที่พ่อของเธอส่งมา พูดกับเธอด้วยเสียงที่หนักแน่น “ส่งปืนนั่นมาให้ผมเถอะครับ” อารียาได้ยินก็จริง แต่เธอยังกำปืนกระบอกนั้นเอาไว้จนแน่น สายตาของหญิงสาวในตอนนี้ หันมองไปที่คิรินที่กำลังเอาตัวของเขาบังซอโซ่เอาไว้ เพื่อให้อีกฝ่ายหลบอยู่ทางด้านหลัง คิรินมองมาที่อารียา ชายหนุ่มส่ายหน้าช้า ๆ เป็นเชิงห้าม หากว่าอารียากำลังคิดที่จะลั่นไกอีกครั้งหนึ่ง

“คุณหนูครับ อย่าเลยครับ” คนของพ่อเธอ ห้ามอารียาอีกคำรบหนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ดึงปืนกระบอกมัจจุราชนั้นอย่างช้า ๆ จนหลุดออกจากมือของหญิงสาว “เอาน้ำขวดนี้ รีบล้างมือให้เรียบร้อยครับ ล้างให้เลยข้อมือขึ้นมาด้วยนะครับ ทั้งสองข้าง” เสียงนั้นกึ่งสั่งให้อารียารีบทำตาม ก่อนจะเอาปืนกระบอกนั้นใส่กระเป๋าที่เตรียมมาด้วย

“แล้วอย่าให้การอะไรกับใครทั้งสิ้นนะครับ กล้องวงจรปิดพวกนี้ คุณหนูไม่ต้องเป็นห่วงครับ” อารียาสบตากับคนที่พ่อของเธอส่งมา “จะไม่มีอะไรสาวมาถึงคุณหนูได้อย่างแน่นอน” อารียายืนฟัง ด้วยน้ำตาคลอหน่วย “มันจะมีแค่หลักฐานว่า คุณหนูอยู่ที่นี่ แค่นั้น ส่วนเรื่องปืน เมื่อหาอาวุธไม่เจอ” พูดจบ อารียาก็เห็นคนที่พ่อเธอส่งมา เดินหายไปท่ามกลางฝูงชน

“อะไรนะ หลานชายของฉันถูกยิง” คุณย่าของฮ่องเต้พูดตอบกลับสายที่เรียกเข้ามาอย่างตกใจ “แล้วเต้เป็นอะไรมากมั้ยคะ” คุณย่าถามกลับไปเสียงสั่น ตอนนี้ความรู้สึกของผู้สูงอายุกำลังหวาดกลัวไปหมด 'ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ เราช่วยจนสุดความสามารถแล้ว' คำพูดจากปลายสาย ทำให้คุณย่าของฮ่องเต้ถึงกับชาไปทั้งตัว

คุณย่าของฮ่องเต้มาถึงที่โรงพยาบาล พร้อมกับพ่อและแม่ของฮ่องเต้ ก่อนจะมองเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนร้องไห้จนตัวโยน จีนหันมามองด้วยน้ำตา เมื่อได้ยินเสียงใครบางคนเดินเข้ามาใกล้ คุณย่าของฮ่องเต้มองเห็นรอยเลือดเปื้อนเนื้อเปื้อนตัวเด็กหนุ่มคนนั้น คนที่น้ำตาไหลพรากลงมาอย่างไม่ขาดสาย

“เฮ้ย ไอ้เต้ กูขอถามมึงหน่อย นี่มันยังไงกันแน่วะ” พี่เจ้าของร้านกาแฟที่จีนมาทำงานพิเศษ และฮ่องเต้รู้จักดี ถามขึ้นเมื่อรู้สึกว่า มันต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่าง ที่ทำให้รุ่นน้องอย่างฮ่องเต้เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ “ไม่มีอะไรพี่” ฮ่องเต้รีบตอบปฏิเสธออกไป ทั้ง ๆ ที่เหมือนกำลังเป็นเด็กถูกจับได้คาหนังคาเขา ว่าแอบกินขนมในห้องเรียน

“มึงมาเพิ่มเงินลงทุนร้านนี้ ที่มึงร่วมหุ้นกับกูไว้ แถมบอกให้กู ให้เงินค่าแรงเจ้าจีนมันเพิ่มอีกเยอะ ๆ แบบนี้ คือไม่มีอะไรเลย ว่างั้น” ฮ่องเต้ต้องเผยยิ้มออกมาแบบเขิน ๆ เพราะพี่เจ้าของร้านพูดกับเขาแบบไม่อ้อมค้อม เมื่อไม่เชื่อว่ามันจะไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น “ผมอยากช่วยเขา” ฮ่องเต้อ้อมแอ้ม ๆ พูดออกมา

“แล้วอีกอย่าง ผมก็อยากไถ่โทษที่เคยคิดกับเขาไม่ดีมาก่อน” พี่เจ้าของร้านถึงกับต้องผ่อนลมหายใจออกมา เมื่อได้ฟังที่ฮ่องเต้เล่า ว่าเพื่อนในห้องรวมถึงตัวเขา เคยเข้าใจผิดเกี่ยวกับจีนว่าอย่างไรบ้าง “นี่ผมก็จ้างพยาบาลพิเศษไปดูพี่โจ พี่ชายของจีนช่วงกลางวัน แต่ผมขอให้พี่โจเก็บไว้เป็นความลับด้วยอีกคน ผมก็เล่าให้พี่โจฟังแบบที่เล่าให้เฮียฟังนี่แหละ ผมรู้สึกผิดมากแค่ไหน” ฮ่องเต้พูดด้วยสีหน้าและแววตา ว่าเขาต้องการจะทำให้เรื่องทุกอย่างมันดีขึ้นจริง ๆ

“แต่เฮียอย่าบอกให้จีนรู้นะ ผมกลัวว่าเขาจะปฏิเสธ ไม่ยอมรับการช่วยเหลือจากผม เฮีย ผมไม่อยากเห็นเขาลำบากอีกเลยจากนี้ตลอดไป” พี่เจ้าของร้านพยักหน้าอย่างเข้าใจ “จีนมันเป็นคนดีมากนะ ทั้งขยัน ทั้งอดทน ใครได้มันไปเป็นแฟน ถือโชคดีมาก” คำพูดของรุ่นพี่เจ้าของร้านกาแฟ ทำให้ฮ่องเต้ยิ้มกว้างออกมาได้

“ไอ้เต้ ไม่ทันแล้วว่ะมึง” ฮ่องเต้ถึงกับต้องหุบยิ้ม เมื่อว่าเย็นนี้ เขารีบบึ่งรถมารอรับอีกฝ่ายทันที ที่มีโอกาส “จีนมันมาขอลาออกไปแล้ว” พี่เจ้าของร้านพูดด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิดอย่างเต็มประตู “คือ มันมาได้ยินตอนที่กูคุยกับบัญชีพอดี เรื่องที่มึงมาเพิ่มเงินลงหุ้นร้าน และให้เพิ่มเงินค่าแรงให้ไอ้จีน มันก็เลยขอลาออกไปแล้ว” ฮ่องเต้ได้แต่ทำหน้าเซ็ง ที่เหตุการณ์มันดันออกมาในรูปนี้

“กูพยายามขู่มันว่า เดี๋ยวในจะไม่ได้เงินที่ทำมาทั้งหมดเดือนนี้ มันก็บอกว่ากับกูว่าไม่เป็นไร มันไม่เอา เฮ้ย จะไม่เอาได้ยังไงกัน มันไม่ได้ทำอะไรผิด กูเลยโอนเงินค่าแรงทั้งหมดให้จีนมันไปด้วยแล้ว เพราะรู้ว่ามันต้องใช้เงิน ยังไงกูขอโทษมึงด้วยไอ้เต้ กูไม่นึกว่าจีนมันจะมาได้ยิน” ฮ่องเต้พยักหน้าให้กับพี่เจ้าของร้าน เพราะเขารู้ดีว่า รุ่นพี่ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้

“แต่กูพอรู้นะเว้ย ว่าจีนมันจะไปสมัครทำงานที่ร้านไหน” แววตาของฮ่องเต้ดูมีประกายขึ้นมาในทันที เมื่อได้ยินแบบนั้น “ผมจะรีบไปหาจีน คราวนี้ผมจะบอกกับจีนถึงความรู้สึกที่ผมมี ถ้าเป็นไปได้ ผมจะบอกรักจีน ผมจะขอจีนเป็นแฟน” ฮ่องเต้เองก็ไม่รอช้า เมื่อได้รับรายละเอียดร้านกาแฟที่จีนจะไปเริ่มงานใหม่ เขาก็รีบขับรถไปที่ห้างหรูกลางกรุงในทันที

“จีน จีนฟังเราพูดก่อน” ฮ่องเต้รีบห้ามจีนเอาไว้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะเดินหนี ในเมื่อมีโอกาสอยู่กับจีนตรงนี้แล้ว “จีน จีนฟังเรานะ จีนฟังเราพูดให้ดี ๆ” จีนมองฮ่องเต้ เดินเข้ามาหา เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าของเขา ฮ่องเต้ยืนใกล้กันด้วยสายตาที่ประสานเอาไว้อย่างมั่นคง “จีนครับ” ฮ่องเต้พูดขึ้น ก่อนที่เสียงปืนจะดังขึ้น กึกก้องไปทั่วบริเวณ

ชนธัญมองไปที่อารียา ที่ตอนนี้หญิงสาวนั่งนิ่ง แบบมีน้ำตาคลอหน่วย ที่พร้อมจะไหลลงอาบแก้มได้ทุกวินาที สิ่งที่เธอพูดบอกกับสารวัตรรัฐนนท์และชนธัญออกไป มันแฝงไปด้วยความบอบช้ำทางอารมณ์อยู่ไม่น้อย เธอเองเพียงต้องการที่จะมีชีวิตคู่ที่สมบูรณ์แบบ จากพื้นฐานครอบครัวของเธอ ที่เธอถูกเลี้ยงดูปลูกฝังมาว่า หญิงสาวที่สุดแสนจะเพอร์เฟกต์แบบเธอ ต้องมีเพียงผู้ชายที่เพียบพร้อมเท่านั้น ถึงจะคู่ควร

“สารวัตรพูดกับฉันว่า สิ่งที่ฉันทำมันผิด” อารียาพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ น้ำตาที่หยดล้นจากขอบตา ทำให้เธอเบือนหน้าหนีไปจากทีมสืบสวนสอบสวน “สารวัตรคิดว่าตัวเองรักคนผิดมั้ยคะ” อารียาพูด ก่อนจะหันกลับมามองไปที่ใบหน้าของชนธัญ หญิงสาวพยายามฝืนยิ้มออกมา แต่ริมฝีปากที่สั่นระริก ทำให้มองเห็นเพียงแต่ความเจ็บปวดที่มีอยู่ภายในใจ

“คุณอ้างกับเจ้าหน้าที่สอบปากคำเองต้นในที่เกิดเหตุว่า คุณไม่ได้เป็นคนยิงผู้ตาย” สารวัตรรัฐนนท์พยายามทำหน้าที่อย่างมืออาชีพที่สุด ชนธัญมองตามเอกสารที่สารวัตรหนุ่มหล่อ เลื่อนไปหยุดอยู่ที่ตรงด้านหน้าของอารียา “การตรวจครั้งแรก ไม่พบคราบ Gunshot Residue ที่มือทั้งสองข้างของคุณแต่อย่างใด” สารวัตรรัฐนนท์ชี้ไปที่เอกสารใหม่ตรงหน้าหญิงสาว

“แต่ทางทีม Ballistic ตรวจสอบพบคราบเขม่าดินปืน จากเสื้อผ้าชุดที่คุณสวมใส่ในวันนั้น ร่องรอยของ GSR อยู่ที่แขนเสื้อด้านขวาของคุณ แม้คุณจะอ้างว่าคุณเป็นคนถนัดซ้าย แต่ตอนที่คุณกรอกเอกสารคำให้การ ในเทปวิดีโอที่บันทึกเอาไว้ คุณเขียนหนังสือด้วยมือขวา” อารียายิ้มให้กับสารวัตรหนุ่ม พยักหน้าช้า ๆ น้ำตายังคงไหลอาบแก้ม

“สารวัตรเคยคิดที่จะแต่งงานกับผู้หญิง เพียงเพราะผิดหวังจากความรักมั้ยคะ” อารียามองไปที่ชนธัญที่นั่งฟังอยู่อย่างเงียบ ๆ สารวัตรหนุ่มหล่อเหลือบมองไปที่หนุ่มหน้าใส ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ช่วยพูดเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ด้วยครับ” ชนธัญเหลือบไปมองที่ใบหน้าของสารวัตรหนุ่ม ที่ไม่มีคำตอบให้กับคำถามนั้นของอารียา

“ไม่ ใช่มั้ยคะ” อารียาพูดขึ้นอีกครั้ง “สิ่งที่ฉันเจอ ใครจะเข้าใจคะ ถ้าไม่ได้มาเจอแบบที่ฉันเจอ” อารียาพูดด้วยน้ำเสียงที่สุดแสนจะน้อยใจ “ถ้าบอกกับฉันมาตรง ๆ ฉันอาจจะยอมถอยให้ก็ได้ เพราะฉันก็เป็นผู้หญิงที่ต้องการจะแต่งงานเพียงครั้งเดียวเท่านั้น” ในความเห็นใจที่ชนธัญมีให้กับหญิงสาวอย่างอารียา แต่กับผลตรวจที่เขาได้คุยกับด็อคเตอร์ดุมาก่อนหน้านี้นั้น มันทำให้ต้องกลืนความเห็นใจต่อเธอเอาไว้ เพราะต้องรักษาความเป็นธรรมให้กับผู้เสียชีวิตด้วยเช่นกัน

“ผู้ตายได้เข้ารับการตรวจดีเอ็นเอเอาไว้ พร้อมกับร้องต่อศาลให้มีคำสั่ง ตรวจสอบดีเอ็นเอกับลูกที่กำลังจะคลอดของคุณ” ชนธัญยื่นเอกสารอีกชุดให้กับทางอารียาได้ดู “ทางผู้ตายเชื่อว่า เขาเป็นพ่อที่ถูกต้องตามกฎหมายของเด็กที่กำลังจะเกิด” อารียายู่หน้าร้องไห้ แบบคนที่ไม่สามารถกักกลั้นความรู้สึกได้อีกแล้ว

“มันตายไปแล้ว มันยังตามราวีฉันไม่เลิกอีกใช่มั้ย มีฉันเพียงคนเดียวใช่มั้ย ที่เป็นคนทำร้ายคนอื่น แล้วผลกระทบที่ชีวิตฉันต้องได้รับล่ะ มีใครเห็นใจฉันบ้างไหม” อารียากรีดร้องออกมาดังลั่น “ซึ่งทางคุณคิรินเองก็ยื่นคำร้องขอตรวจดีเอ็นเอใหม่ โดยเทียบผลการตรวจของเขากับผู้ตาย รวมถึงมีคำสั่งศาลให้คุณเข้ารับการตรวจหลังจากที่คลอดบุตรแล้ว ส่วนตัวเด็กนั้น ต้องรอคำวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ว่าจะตรวจได้เมื่อไหร่ ถึงจะปลอดภัยต่อตัวเด็ก” ชนธัญได้แต่เห็นใจหญิงสาว แต่ไม่สามารถพูดออกไปได้ รวมถึงได้แต่เก็บเอาแววตาที่แฝงไปด้วยความหมายและความรู้สึกลึก ๆ ของสารวัตรรัฐนนท์เอามาเก็บเอาไว้ในใจ

“ฮ่องเต้เป็นหลานของฉัน” จีนยกมือไหว้ผู้สูงวัยกว่า พยายามกักเก็บน้ำตาเอาไว้ เมื่ออยู่ต่อหน้าครอบครัวของอีกฝ่าย “ฉันเป็นย่าของเขา” จีนเองรู้สึกเหมือนว่าตัวเองนั้นตัวเล็กลงกว่าเดิมอีกเป็นพันเท่า เมื่อได้ยินย่าของฮ่องเต้ถามเขาออกมาว่า “เธอเป็นอะไรกับหลานของฉัน ทำไมตอนที่เกิดเรื่อง ตอนที่เขาโดนยิง ฮ่องเต้ถึงอยู่กับเธอ” จีนได้แต่ก้มหน้ามองมือทั้งสองข้างของตัวเอง ที่ยังเปรอะคราบเลือดของฮ่องเต้ ที่จีนบีบมันไว้จนแน่น

**************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

มงกุฎดอกส้ม - นันทิดา แก้วบัวสาย

https://www.youtube.com/watch?v=x6z0xCk3Epk


ผิดหรือไรเมื่อใจหนึ่งดวงนี้

Am I that wrong? This is my heart,

อยากทะยานให้ไกลดังใจฝัน

It wants to just fly as high as it needs

ผิดก็ยอมไม่เคยเสียใจในความเป็นไป

So be it, guilty, I don’t regret it to be

ขอเพียงมีสิทธิ์รักเท่านั้น

This is my right to love


แหละหัวใจไม่เคยจะยอมแพ้

This very heart of my, it won’t give up

เจ็บเท่าไรไม่เคยจะหยุดฝัน

It hurts me so bad but I won’t stop dreaming

ผิดก็ยอมจะเป็นหรือตายเอาใจเดิมพัน

So let it be, guilty, my heart bets to live or die

ขอเพียงมีวันหนึ่งฝันจะเป็นจริง

All my heart desires the day it becomes real


สวมชุดเจ้าสาว ขาวบริสุทธิ์

The bride, on a pure white wedding dress

สีของความมั่นคงในรักแท้

The color of a defined true love

รอคอยเพียงเธอไม่เคยเปลี่ยนแปร

Waiting for you, I won’t change my mind

จะขอรอเพียงแต่เธอผู้เดียว

I am longing for you, only you


ผิดหรือไรถ้าคนหนึ่งคนนี้

Is it a crime? If I myself

จะรักใครสักคนสุดชีวิต

Will love someone with all my heart?

ผิดก็ยอม เมื่อใจรักเธอเพียงเธอคนเดียว

So, I’m guilty as charged to loving you, just only you

แม้จะนานเท่าไหร่ฉันยังรอเธอ

No matter how long it takes, I’ll be waiting for you

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: สืบลับ สืบรัก: CLSI ๘๖. Accountable for_18.04.2024
«ตอบ #89 เมื่อ18-04-2024 21:00:00 »



Crime and Love Scene Investigation


๘๖. Accountable for


“หมอว่า มันไม่น่าจะผิดไปจากที่หมอคาดเอาไว้นะ เคสนี้” ด็อคเตอร์ดรุณีพูดขึ้น โดยมีชนธัญมองตามสายตาของด็อคเตอร์สาวไปยังผู้ชายสองคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน โดยที่คนหนึ่งกำลังกรอกเอกสารยินยอมการเก็บผลการตรวจดีเอ็นเอ เพื่อทำการยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง ว่าตัวเองไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับเด็กที่ยังไม่ลืมตามาดูโลก

“ฟังดูแล้ว เหมือนกับเขาเป็นผู้ชายที่ใจร้ายเลยนะครับ” ชนธัญหันมาสบตากับด็อคดุ โดยที่ด็อคเตอร์สาวถอนหายใจแรง ๆ ออกมา “ใช่เลยนะหมอว่า” ด็อคดุตอบอีกฝ่ายไป “ถ้าเราไม่ได้ฟังเรื่องทั้งหมด ไม่ได้รู้ความเป็นมาเป็นไป ว่าเรื่องจริง ๆ แล้ว มันเป็นยังไงกันแน่” ชนธัญได้ยินแบบนั้น ก็พอจะทำความเข้าใจได้ในทันที

“มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจ แต่ก็เข้าใจได้” ชนธัญมองไปที่คิรินที่ยื่นเอกสารที่เซ็นรับรองทั้งหมดให้กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ได้ทำการเก็บตัวอย่างที่ใช้ในการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอไปเรียบร้อยแล้ว โดยมีซอโซ่นั่งอยู่ด้วย เพราะคิรินยืนยันกับทุกคนว่า ซอโซ่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับเรื่องที่เขาตัดสินใจหย่าขาดกับอารียา

“คุณคิรินเขายื่นต่อศาลขอผลการตรวจชันสูตรศพของเต้ เด็กหนุ่มที่เสียชีวิต ทั้งเรื่องสาเหตุการเสียชีวิต รวมถึงเรื่องที่ตรวจพบรอยแปลกปลอมที่ข้อพับแขน” ด็อคเตอร์ดรุณีอธิบายถึงขั้นตอนที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ “หมอคาดเอาไว้แล้วล่ะ ว่ารอยเจาะสอดท่อพลาสติกที่แขนของเต้ ถูกใช้เพื่อบิดเบือนผลตรวจตั้งแต่แรก ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต” ชนธัญมองดูคิรินสวมกอดซอโซ่จนแน่น

“รอยเจาะสอดท่อเป็นรอยเก่า ที่เต้เพิ่งใส่ท่อกลับเข้าไปที่เดิมก่อนที่จะเสียชีวิต คาดว่าจะเป็นวันเดียวกัน ท่อนั้นก็คงใช้วิธีการเติมเลือดของคนอื่นที่ไม่ใช่ของเต้ ฉีดเข้าไปก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่จากแล็บเอกชนแห่งนั้น เจาะเลือดไปตรวจ และก็คงไม่พ้น เป็นเจ้าหน้าที่ที่ยอมจำนนต่อเงินก้อนมหาศาลที่ถูกเอามาล่อต่อล่อใจ ผลแล็บที่ตรวจก่อนหน้านี้ทั้งที่ตรวจยืนยันแล้ว จึงออกมาบอกว่า เต้ไม่ใช่พ่อที่แท้จริงอย่างที่คุณคิรินสงสัย” ชนธัญนึกไปถึงหญิงสาวที่กำลังตั้งครรภ์ ที่ผู้เป็นพ่อและตัวเธอ ตัดสินใจทำอะไรแบบนั้นลงไป

“สารวัตรัฐนนท์สั่งการให้หน่วยสืบสวน นำกำลังไปคุมตัวเจ้าหน้าที่แล็บคนนั้นแล้ว อีกไม่นานคงได้เรื่อง” ด็อคเตอร์ดุพูดยังไม่ขาดคำ ชนธัญก็เห็นสารวัตรหนุ่มหล่อ เดินเข้ามา ก่อนจะพยักหน้าให้ชนธัญและด็อคเตอร์ดรุณีรับทราบว่า ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย แม้ว่าเจ้าหน้าที่แล็บจะยังคงปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาก็ตาม

“แล้วคุณอารียาจะเป็นยังไงต่อไปครับหมอ” ชนธัญถามด็อคเตอร์สาวออกไป ทางฝ่ายแพทย์สาวเลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้น ก่อนจะผ่อนลมหายใจหนัก ๆ ออกมาอีกครั้ง “ตอนนี้ทำได้แค่เก็บตัวอย่างภายนอกร่างกาย เช่นเส้นผม น้ำลาย ได้เท่านั้น ส่วนตัวอย่างเลือดคงต้องรอให้เธอคลอดเด็กออกมาเสียก่อน เพื่อป้องกันอันตรายทั้งตัวแม่และเด็ก” ด็อคเตอร์ดุอธิบายรายละเอียด

“แล้วตัวเด็กเอง ก็คงต้องรอคำสั่งศาล ว่าจะสามารถเริ่มกระบวนการตรวจได้เมื่อไหร่ กว่าจะรู้ผลกันจริง ๆ ก็คงจะเป็นปี ๆ แต่ถ้าจะถามเรื่องหลังจากคลอดแล้ว เด็กจะเป็นยังไง ก็คงต้องให้อยู่กับทางญาติของผู้เป็นแม่ แต่นั่นคงจะหลังจากที่เด็กหย่านมแล้ว สภาพหลังคลอดจนถึงวันนั้นในเรือนจำคงไม่น่าดูเท่าไรนัก” จากหลักฐานทางนิติเวชที่ทางอารียาหาข้อแก้ต่างมาหักล้างไม่ได้ เธอจึงถูกควบคุมตัวเอาไว้สืบสวนก่อน โดยที่ทางบิดาของเธอ ก็กำลังวิ่งเต้นกับหน่วยงานใหญ่ ๆ วุ่นวายไปหมด แต่กับกรณีนี้ที่เป็นข่าวสะเทือนขวัญไปทั่วประเทศ อะไร ๆ ก็คงไม่ง่ายดังใจนัก

“เต้เองก็ต้องได้รับความยุติธรรมเช่นกัน ไม่ว่าเขาจะช่วยทางครอบครัวของคุณอารียาเรื่องการตรวจเลือดไปด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่เขาเป็นถือผู้เสียหายคนหนึ่งเช่นกัน ที่ต้องมาจบชีวิตลงแบบนี้” เมื่อด็อคดุพูดจบ ก็มีเสียงของคิรินดังถามขึ้นมา “จะเป็นไปได้มั้ยครับ ถ้าผมกับโซ่จะขอเข้าไปคุยกับอารียาสักครู่” สารวัตรรัฐนนท์เดินเข้ามาสมทบพอดีกับที่ได้ยินคำถามของคิริน

“เราไม่สามารถให้พวกคุณคุยกันตามลำพังได้นะครับ อีกอย่าง ผมไม่อยากให้เกิดการปะทะคารมหรือด่าทอกัน เพราะตอนนี้มันมีคดีความที่เกี่ยวพันต่อเนื่องกันอยู่” สารวัตรรัฐนนท์บอกไปตามจริง รวมถึงพูดปรามเหตุการณ์เอาไว้ก่อน ว่าทุกคนจะต้องไม่ใช้อารมณ์ทุ่มเถียงกัน ไม่ว่าจะเรื่องอะไร “ผมรับรองครับ ว่าจะไม่มีอะไรแบบนั้นเกิดขึ้นแน่นอน” คิรินพูดรับรองกับสารวัตรหนุ่มหล่อ ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

“ถ้าจะเข้ามาเพื่อซ้ำเติมกันล่ะก็ อย่าเสียเวลาดีกว่า ฉันไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น” ทันทีที่อารียาเห็นว่าเป็นใครที่เดินเข้ามาในห้องสืบสวนสอบสวน เธอก็เอ่ยออกไปในทันที ยิ่งเห็นว่าคิรินไม่ได้เข้ามาเพียงลำพังด้วยแล้ว หญิงสาวรีบเบือนหน้าไปอีกทาง เมื่อซอโซ่ตามคิรินมานั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโต๊ะ โดยที่มีสารวัตรรัฐนนท์เดินเงียบ ๆ ไปยืนอยู่มุมห้อง คอยสังเกตการณ์

“ผมไม่ได้จะเข้ามาพูดจาซ้ำเติมอะไรคุณหรอกนะ อารียา” เจ้าของชื่อพ่นลมหายใจออกมาอย่างขุ่นเคือง “ที่พากันจูงมือมากันทั้งคู่แบบนี้เนี่ยนะ ถ้าไม่ใช่จะมาเยาะเย้ยว่าฉันเป็นฝ่ายแพ้ แล้วมันจะหมายความเป็นอย่างอื่นอะไรไปได้” น้ำเสียงของอารียายังไม่สามารถระงับทั้งความโกรธ ความเสียใจลงได้ จากที่เคยเรียกตัวเองอย่างน่ารักว่ารียา มาตอนนี้ มันเหลือแต่สรรพนามที่แสดงความเหินห่าง แปลกหน้าต่อกันเท่านั้น

“เราก็แพ้กันทั้งหมดนี่แหละ ผมก็ไม่เห็นว่าใครจะมีความสุขกันสักคน ทั้งตัวคุณ ตัวผม หรือแม้แต่โซ่เอง” ซอโซ่มองไปที่อารียาด้วยสายตาที่แสดงความห่วงใยออกไป ว่าเขาเองก็มาหาด้วยความเป็นมิตรที่ตั้งเอาไว้ในใจ “สมใจคุณสองคนแล้ว จะพูดอะไรก็ได้แล้วนี่” อารียาพูดด้วยน้ำเสียงที่เจ็บช้ำ ที่ต้องทนกล้ำกลืนมันลงไป

“มันผิดที่ผมเอง ผมไม่ควรตอบตกลงแต่งงานกับคุณตั้งแต่แรก” คิรินพูดอย่างคนที่รู้สึกตัว ว่าเขาเองได้ทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง “ผมอยากขอโทษคุณด้วยเช่นกัน ถ้าวันนั้นผมจะยืนกรานตามเรื่องที่ผมเล่าให้คุณฟัง ว่าซอโซ่เป็นใคร แล้วทำไมผมถึงได้ตามหาเขา แม้ว่าคุณจะคิดว่าทั้งหมดมันเป็นข้ออ้างที่จะไม่ยอมแต่งงานกับคุณก็ตาม” คิรินพรั่งพรูคำพูดที่อยู่ในใจออกมา

“ผมควรจะหนักแน่นกับความรู้สึกของตัวเอง และไม่ควรทำให้คุณต้องมีชีวิตที่แย่แบบนี้ ต่อให้คุณจะไม่เชื่อเรื่องที่ผมเล่าเกี่ยวกับซอโซ่ก็ตาม” อารียาปากคอสั่นไปด้วยอารมณ์หลากหลาย เมื่อได้ยินคิรินพูดแบบนั้น “ผมขอโทษคุณจากใจ” อารียามองหน้าสามีของเธออย่างโหยหา แต่ในเวลานี้ เธอเองไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวเขาอีกต่อไป เธอรู้แล้วว่า คิรินดำเนินการฟ้องศาลเพื่อหย่าขาดจากเธอ

“ฉันมันเลวมากในสายตาของคุณสินะคะ คิริน” คำถามของอารียา ทำให้คิรินขยับตัวหันหน้าไปมองทางสารวัตรรัฐนนท์ ที่กระแอมเตือนว่า สารวัตรหนุ่มได้ให้เวลาคิรินและซอโซ่มากพอแล้ว และไม่อยากให้เกิดการทุ่มเถียงอะไรกันอีก “ที่ผมกับซอโซ่มาหาคุณ ผมอยากจะช่วยเรื่องของลูกคุณ ถ้าคุณไม่รังเกียจ ผมกับซอโซ่ยินดีรับเลี้ยงแกเอง ผมรับรองว่า แกจะดีรับการดูแลอย่างดีที่สุด แกจะไม่ลำบาก และคุณเองก็จะไม่ลำบากตอนอยู่ในนั้น” อารียามองสลับไปที่คิรินที ซอโซ่ที น้ำตาของเธอไหลลงอาบสองแก้ม

“ทีตอนแรก แกทำไมถึงไม่ยอมรับเด็กในท้องของลูกสาวฉันล่ะฮึ ทีอย่างนี้จะมาทำดีเอาหน้า จะเอาหลานของฉันไปเลี้ยงดูกับไอ้กะเทยคู่ขา แบบนี้มันหยามน้ำหน้ากันชัด ๆ” ทันทีที่พ่อของอารียาเจอหน้าคิรินกับซอโซ่ เมื่อคนทั้งคู่กำลังจะขับรถออกจากหน่วยสืบสวนสอบสวนพิเศษ ก็ตรงเข้าพูดจาฉะทั้งสองคนอย่างไม่ไว้หน้า

“ก็ก่อนหน้านี้ ลูกสาวคุณพ่อหลอกผมเรื่องผลการตรวจดีเอ็นเอ คุณพ่อคิดว่าผมควรจะทำยังไง ไม่ใช่คุณพ่อเองหรือครับที่พาลูกสาวตัวเองทำเอาต่อมิอะไร ที่เป็นผลทำให้ชีวิตเข้ารกเข้าพง จนเรื่องมันบานปลายเลยเถิดมาถึงตอนนี้ จนมีคนต้องตาย เพียงเพราะการอยากเอาชนะกัน ด้วยวิธีที่ผิด ๆ ด้วยความคิดที่ไม่สนว่าใครจะต้องเดือดร้อนยังไง” คิรินพูดด้วยความนิ่งทั้งท่าทางที่แสดงออก และความมั่นคงทางอารมณ์

“ถ้าคุณพ่อคิดว่าจะยังไม่หยุด และยังจะดันทุรังไปต่อกันแบบนี้ เราคงจะต้องสู้กันสักตั้ง แต่มันมีวิธีที่ดีกว่า ที่จะไม่ต้องเจ็บปวดกันไปมากกว่านี้ และเป็นทางออกที่ดีสำหรับทุกคน ลูกสาวคุณพ่อกำลังต้องการความช่วยเหลืออยู่นะครับ คดีฆ่าคนตายนะครับ แถมยังจะคดีปลอมแปลงเอกสาร บังคับขู่เข็ญให้คนอื่นทำความผิดอีก คุณพ่อใช้เวลานี้เอาไปคิดให้ดี ทางทนายผมจะส่งเอกสารมาให้อารียาเซ็นยินยอมในอีกหนึ่งสัปดาห์ ผมมีเรื่องจะพูดแค่นี้ครับ” คิรินพูดจบก็พาซอโซ่ขับรถออกไปจากตรงนั้นในทันที โดยไม่สนใจว่า พ่อของอารียาจะหัวฟัดหัวเหวี่ยงต่อไปแค่ไหน

อารียานั่งร้องไห้เงียบ ๆ อยู่ตามลำพัง หลังจากที่พ่อของเธอเพิ่งเดินมาโวยวายใส่เธอ ถึงความคิดไม่เข้าท่าที่หญิงสาวมี เธอนั่งลูบท้องที่โตจนใกล้ถึงวันกำหนดคลอด เธอกำลังหวาดกลัวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดกับเธอขึ้นต่อไป คำว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ แวะเข้ามาทักทายเธอในห้วงความคิดอยู่บ่อยครั้ง น้ำตาของเธอในวันนี้ มีแค่เธอเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่ช่วยปาดมันทิ้ง

***********************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

ไม่ผิดใช่ไหม - มาลีวัลย์ เจมิน่า

https://www.youtube.com/watch?v=mgAm4eyLjXE


ผิดไหม กับการที่ฉันจะรักใคร

Is it bad? That I am so in love with someone

รักใคร จนสุดชีวิตอย่างนี้

Love him so much, wholeheartedly

ทั้งที่รู้ว่าสายไป

Though it’s too late

ใจยังมั่นในรัก ยังภักดี

My heart is faithful, and loyal

และไม่เคยจะเสียใจ

I never regret it


เมื่อไม่ได้เป็นคนคนเดียว

I am not the one and only

ที่ในใจเธอ

In your heart

คนโชคดีที่สุดคนนั้น

The luckiest person there is

ก็อยากจะเป็นเพียงคนหนึ่ง

I wish I would be just one

ที่รักแต่เธอ ที่มีเพียงเธอ

That loves you, always have you

ไม่ผิดใช่ไหม

It isn’t wrong, is it?


โปรดรู้ว่าใจดวงนี้จะรักเธอ

Please know, that this heart belongs to you

รักเธอ จนชั่วดินฟ้าสลาย

Love you until the end of time

รักทั้งรู้ว่าสายไป

Still love you though it’s late

ใจยังไม่หวั่นไหว ยังรักเธอ

Nothing can change my mind, I’m in love with you

ไม่ว่าเธอจะรักใคร

Doesn’t matter who you do love


เมื่อไม่ได้เป็นคนคนเดียว

I am not the one and only

ที่ในใจเธอ

In your heart

คนโชคดีที่สุดคนนั้น

The luckiest person there is

ก็อยากจะเป็นเพียงคนหนึ่ง

I wish I would be just one

ที่รักแต่เธอ ที่มีเพียงเธอ

That loves you, always have you

ไม่ผิดใช่ไหม

It isn’t wrong, is it?


กับการที่ใครสักคนหนึ่ง

For someone who wants to

จะมีใจรักเพียงแต่เธอ

Love you and will be only you

จากนี้และตลอดไป

From now and forever


เมื่อไม่ได้เป็นคนคนเดียว

I am not the one and only

ที่ในใจเธอ

In your heart

คนโชคดีที่สุดคนนั้น

The luckiest person there is

ก็อยากจะเป็นเพียงคนหนึ่ง

I wish I would be just one

ที่รักแต่เธอ ที่มีเพียงเธอ

That loves you, always have you

รักเธอ

Love you

ไม่ผิดใช่ไหม

Isn’t it guilty?

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด