1 มุ่งหน้าสู่มิถิลา
มาจะกล่าวบทไปถึงการประกาศหาคู่ครองให้กับนางสีดาเพียงไม่กี่วันเรื่องก็โจษจันไปทั่วหล้าเจ้าชายต่างๆรีบเดินทางมาเพื่อหวังจะชิงชัย
เรื่องทราบถึงโยคีก็นั่งพูดคุยกันอึงมี่จนมาถึงอาศรมของฤาษีสวามิตรและฤาษีวสิษฐ์ ฤาษีทั้งสองจึงรีบนำความไปบอกแก่พระรามและพระลักษมณ์
"ท่านคิดว่านางสีดานั้นเหมาะสมที่จะเป็นคู่หมั้นคู่หมายกับพระลักษมณ์เหมือนข้าหรือไม่" ฤาษีวสิษฐ์เอ่ยถาม
"ข้าก็คิดไม่ได้ต่างจากท่านองค์ชายลักษมณ์นั้นมีฝีมือในด้านของการต่อสู้ที่เยี่ยมยอดแถมยังรูปงามอีกทั้งน่าเกรงขามคงหาคนที่เหมาะสมกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว" ฤาษีสวามิตรพยักหน้าแล้วเอ่ยตอบในทันใด
"ถ้าท่านเห็นด้วยดังนั้นข้าว่าเราควรรีบไปแจ้งแก่ท้าวทศรถถึงความมุ่งหมายนี้เถิด"
ว่าแล้วฤาษีทั้งสองก็มุ่งหน้าสู่เมืองอโยธยาเพื่อแจ้งข่าวสารแก่ท้าวทศรถ
ณ เมือง อโยธยา
"ถ้าท่านทั้งสองเห็นว่าลูกลักษมณ์ของเราควรที่จะครองคู่กับนางสีดาแล้วนั้นเราก็คงเห็นด้วยเชิญท่านนำลูกเราไปที่เมืองนั้นด้วยเถิด"
ท้าวทศรถทราบความจากพระฤาษีทั้งสองก็มีความโสมนัสเป็นอย่างยิ่งจึงอนุญาตให้พระรามและพระลักษมณ์ไปที่เมืองมิถิลาตามคำขอของพระฤาษีทั้งสอง
หลังจากพูดคุยกันเสร็จสรรพฤาษีทั้งสองและพระลักษมณ์กับพระรามก็มุ่งหน้าสู่เมืองมิถิลา
ลัดเลาะริมธารป่าใหญ่ ผ่านป่าเขาลำเนาไพร
ครั้นถึงมิถิลาเกรียงไกร ก็ไคลคลาเท้าเข้าบุรี
ครั้นมาถึงเมืองกันเรียบร้อยแล้วก็ได้ยินเสียงดังชุลมุนวุ่นวายไปทั่วจากเจ้าชายเมืองต่างๆงานครั้งนี้เป็นงานที่ยิ่งใหญ่นัก พระลักษมณ์ที่มีความตื่นเต้นเพราะไม่เคยเจอผู้คนมากมายถึงเพียงนี้อีกทั้งบ้านเมืองก็สวยงามแปลกตาไม่เคยพบเห็นมาก่อน ในด้านของพระรามก็รู้สึกเบื่อหน่ายต่อเจ้าชายทั้งหลายที่เข้ามารุมล้อมตนเพื่อถามว่าเป็นธิดาจากเมืองไหน ให้ตายสินี่เขาบอกว่าเป็นผู้ชายมา 30 กว่ารอบแล้วในวันนี้
กล่าวถึงนางสีดาผู้เลอโฉมเป็นผู้ที่เจ้าชายต่างๆหมายปองที่จะได้ไปเป็นคู่ครองในวันนี้มองลอดช่องบัญชรลงมานัยน์เนตรก็สบเนตรกับพระลักษมณ์ ความเสน่หาก็บังเกิดขึ้นด้วยฤทธิ์ของศรเสน่หาพิศวาส
สีดา:
อันชายชาญ ผู้นี้ ช่างงามนัก
สุดจะหัก ห้ามจิต มิคิดได้
ดั่งดารา ส่องแสง บนฟ้าไกล
งามไม่หน่าย น่ามอง น่าแลชม
เหตุใดเล่า เราถึงได้ อาวรณ์นัก
ใจจึงภักดิ์ รักท่าน ไม่ขื่นขม
หรือเคยคู่ เคียงกัน ร่วมภิรมย์
เป็นคู่สม กันมา แต่ชาติใด
คงเป็นเพราะ บุพเพ สันนิวาส
แยกเราขาด จากกัน นั้นมิได้
จึงได้ถูก ชะตา ต้องทรวงใน
รักกันได้ แค่เเรกพบ ประสบตา
พระลักษมณ์:
อันนารี สวยงาม เห็นมามาก
แต่ช่างยาก ที่จะงาม เท่าเจ้าได้
ช่างโสภา งามแท้ แม่ทรามวัย
เหตุอันใด ถึงได้ ถูกชะตา
เหมือนดั่งดาว พริ้งพราว วับวาวผ่อง
เพียงได้จ้อง ดูเจ้า เฝ้าห่วงหา
โอ้เหตุใด ถึงได้ มากโสภา
ให้ครวญหา กานดา ถึงเพียงนี้
เพียงแรกเห็น ใจข้าเต้น สุดในทรวง
รักพุ่มพวง สุดใจ ไม่หน่ายหนี
ขอให้เรา ได้ร่วมคู่ ร่วมชีวี
รักเจ้านี้ เป็นแน่ แม่ศรีไพรรำพึงรำพันถึงกันเพียงครู่เดียวพระฤาษีทั้งสองก็เรียกสติพระลักษมณ์คืนให้เดินต่อไป
จะกล่าวถึงหัสนัยน์เจ้าตรัยตรึงศาผู้เรืองฤทธิ์ทานั่งมองอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้าก็แคลงใจ
เจ้าชายที่เสด็จมายังเมืองนี้มากล้นแต่ละคนก็มุ่งหมายนางสีดาทั้งสิ้นหากไม่ได้ดังสมใจที่ถวิลคงจะรบราฆ่าฟันกันเป็นแน่เห็นทีตัวข้าจักต้องลงไปเป็นประธานในพิธีสักหน่อยอย่างน้อยพวกเจ้าชายทั้งหลายคงเกรงใจบ้างอีกประการหนึ่งจะได้ทราบเรื่องเพื่อนำมาบอกกล่าวแก่พระอิศวร
"เทวดาทั้งหลายเจ้าจงลงไปกับข้ามุ่งสู่เมืองมิถิลาเพื่อเป็นประธานในพิธียกคันธนูโมลีของพระอิศวรผู้ใดที่สามารถยกได้ก็จะได้รับนางสีดาเป็นคู่ครอง"
"พะย่ะค่ะ"
ว่าแล้วพระอินทร์และเหล่าเทวดาก็ขึ้นราชรถแล้วเหาะมายังกรุงมิถิลาในทันใด
พอมาถึงจึงขึ้นมณฑปแก้วที่เพริศแพร้วมากล้นรัศมีสถิตอยู่เหนือแท่นรัตนมณีตามที่อัครราชเทวัญ
ด้านท้าวชนกหลังแต่งกายเสร็จสรรพก็เสด็จมายังโรงราชพิธีครั้นมาถึงก็เสด็จนั่งลงเหนืออาสน์ยกกรอภิวาทโยคีทั้งหลายที่มาร่วมพิธีอีกทั้งไหว้โกสีย์ผู้มีฤทธิไกร แลเห็นเจ้าชายจากเมืองต่างๆที่มากมายแต่งกายทรงเครื่องอำไพกันทุกคนครั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นพระรามและ
พระลักษมณ์ที่รูปงามกว่าใครโดยเฉพาะพระลักษมณ์ที่รูปงามอย่างที่ไม่เคยเห็นบุรุษใดมาก่อนในด้านของพระรามนั้นมิอาจล่วงรู้ได้ว่าเป็นบุรุษคิดว่าเป็นสตรีที่ติดตามพระลักษมณ์มาเท่านั้นอันสีดาว่าสวยสุดแล้วในใต้หล้าเหตุใดสตรีผู้นั้นจึงงดงามกว่านางสีดาอีกว่าแล้วไม่รอรีรีบถามพระฤาษีทั้งสองในทันใด
"ท่านโยคีช่วยบอกข้าเถิดว่าบุรุษและสตรีที่นั่งอยู่ด้านหลังท่านนั้นคือใคร"
"อันบุรุษที่นั่งอยู่ด้านหลังเรานั้นมีชื่อว่าพระลักษมณ์เป็นบุตรของท้าวทศรถผู้ครองกรุงอโยธยาบุรุษผู้หนึ่งที่ท่านคิดว่าเป็นสตรีนั้นคือพระรามเป็นบุตรของท้าวทศรถที่ครองกรุงอโยธยามีศักดิ์เป็นพี่ชายของพระลักษมณ์อีกทั้งยังเป็นบุรุษมิใช่สตรีอย่างที่ท่านคิด"
"อย่างนั้นเองหรือข้าต้องขออภัยด้วยอันพระรามหน้าตาสวยงามปานประหนึ่งสตรีเช่นนี้ข้ามิอาจคิดว่าจะเป็นบุรุษได้ อันว่านางสีดาบุตรข้าที่สวยงามมาก ยังไม่อาจที่จะเทียบเคียงกับพระรามได้เลยนะท่าน ให้ตายสิมีบุรุษสวยกว่าสตรีด้วย
เหรอเนี่ย"
"เอาเถอะท่านอย่ามัวมาชมความสวยอยู่เลยเดี๋ยวลูกสาวของท่านที่เป็นจุดเด่นของงานจะหมองหม่นไปหมด นี่ก็คงใกล้ได้เวลาที่จะได้เริ่มการยกธนูโมลีขึ้นแล้ว ท่านรีบดำเนินพิธีเถิด"
พูดคุยกันเสร็จแล้วท้าวชนกก็ประกาศการยกธนูโมลีขึ้น
"ยินดีต้อนรับเจ้าชายจากเมืองอื่นๆทุกท่านตัวข้านั้นคือท้าวชนกผู้ครองทศพิธราชธรรมผู้ไม่เคยมีบุตรธิดาใดๆเลยข้าจึงออกบวชเป็นฤาษีบำเพ็ญตบะจนแก่กล้าจนสามารถสร้างสตรีเป็นบุตรธิดามาเติบโตได้ถึงเพียงนี้ ด้วยใจของข้าที่ปรารถนาจะให้ธิดาของข้าได้สืบราชสันตติวงศ์ต่อไปข้าจึงอยากให้ธิดาของข้ามีคู่ครองหากผู้ใดมีวาสนาจะได้เป็นคู่ครองกับลูกข้าแล้วไซร้ขอจงได้ยกคันธนูโมลีนี้ขึ้นโดยง่ายด้วยเถิด"
ครั้นท้าวชนกพูดจบก็มีเสียงจากการลั่นฆ้องชัยดังขึ้นบรรดากษัตริย์น้อยใหญ่ที่หมายใจจะชิงพระธิดาฉันได้ยินของสำคัญตีก็ลุกขึ้นกันทันทีจนทั่วหน้าเบียดเสียดยัดเข้ามาฉุดคร่าวัดเหวี่ยงเถียงกัน
กล่าวถึงหัสนัยน์เจ้าตรัยตรึงสวรรค์เห็นกษัตริย์มากมายดึงดันเถียงกันวุ่นไปจึงมีเทวราชสุนทรว่า
"ดูกรเหล่าพญาน้อยใหญ่ทั้งหลายคันธนูโมลีนี้เป็นของจอมเทพผู้ยิ่งใหญ่ผู้ที่มีกำลังฤทธิไกรใหญ่ในโลกา อันผู้ที่จะยกขึ้นได้ต้องมีวาสนาที่จะได้เป็นคู่ครองกับนางสีดาก็จะสามารถยกขึ้นได้โดยง่าย ใช่จะมาหักกันด้วยกำลังหาญ อันตัวเรานี้มาอยู่เป็นประธานอย่าลนลานกันให้มากจงทยอยเข้ามายกทีละคนเถิด"
ครั้นได้ยินพระอินทร์พูดเสร็จสรรพฝ่ายกษัตริย์ก็ปรีดาภิรมย์พนมกรนั่งเรียงกันเป็นลำดับตาก็มองจ้องไปที่คันธนูโมลีแล้วก็ทำตามเทวสุนทรต่างผลัดผ่อนกันเข้าไป เมื่อกษัตริย์เข้ายกคันธนูกันทุกธานีก็มิอาจที่จะยกคันธนูขึ้นได้แม้จะใช้กำลังมากมายเพียงไหนก็ตามได้แต่นั่งหน้าซีดอ่อนใจเสียดายนางสีดาเป็นยิ่งนัก
ท้าวชนกเห็นดังนั้นจึงบอกแก่พระลักษมณ์ว่า
"ดูกรพระกุมารผู้วงศ์จักรพรรดิธิบดีบัดนี้กษัตริย์ทุกเมืองไม่สามารถที่จะยกคันธนูโมลีได้คงเหลือแต่เจ้าที่ยังไม่ได้ยกขอเชิญเจ้ามายกคันธนูขึ้นเถิดเพื่อไม่ให้เสียทีที่ได้ด้นดั้นมาแสนไกลส่วนพระรามนั้นไซร้บอกแก่ข้าแล้วว่าจะไม่ยกคันธนูในครั้งนี้มาที่นี่เพียงเพราะมาเป็นเพื่อนเจ้าเท่านั้น"
เมื่อพระลักษมณ์ได้ยินดังนั้นก็เดินมุ่งหน้าสู่สถานที่จัดวางธนูโมลีทันใดครั้นเมื่อมือไปหยิบจับจะหนักหนาสาหัสนี้ก็หาไม่แล้วยกขึ้นชูเหนือหัวในทันใดประกาศชัยให้ศักดาทั่วมุมเมือง
เมื่อพระอินทร์เห็นพระลักษมณ์ยกมหาธนูได้อย่างว่องไวก็เป่าวิชัยยุทธมหาสังข์เสียงดังสนั่นหวั่นไหวเหล่าโหรเฒ่าก็ลั่นฆ้องชัยชาวประโคมก็ประโคมฆ้องกลองเสียงดังกึกก้องอึงมี่เหล่าเสนาไพร่ฟ้าประชาชีก็ยินดีร่วมด้วยอำนวยพร
เหล่ากษัตริย์มากมายทั้งน้อยใหญ่เห็นพระลักษมณ์ยกธนูโมลีขึ้นได้ก็ทั้งอับอายเสียดายนางสีดาเป็นยิ่งนักครั้นจะเข้าไปสู้รบก็เกรงอำนาจบารมีมิอาจที่จะเทียมทันได้จึงร่ำลาท้าวชนกผู้เกรียงไกรแล้วกลับไปบ้านเมืองเหมือนดังเดิม
ด้านท้าวชนกเมื่อธิดาจะได้คู่ครองสมดังใจหมายแล้วนั้นก็พลันรีบสั่งทหารในทันใด
"อันอาลักษณ์ของข้าเจ้าจงเขียนพจนารถลงไปในสารเพื่อเชิญท้าวทศรถมาร่วมงานวิวาห์ให้ของพระลักษมณ์และสีดาด้วยเถิด ครั้นเมื่อเจ้าเขียนเสร็จก็จงนำไปให้เหล่าเสนีที่มีปรีชาชาญมุ่งหน้าสู่
อโยธยาสถานโดยเร็วด้วยเถิด"
"พะย่ะค่ะ"
เมื่อรับคำสั่งเสร็จแล้วอาลักษณ์ก็รีบเขียนพจนารถในทางใด เมื่อเขียนเสร็จก็นำไปใส่กล่องนพรัตน์จำรัสศรีส่งต่อให้เหล่าเสนีไปแจ้งแก่ท้าวทศรถต่อในทันใด
เหล่าเสนีก็รีบเดินทางมุ่งหน้าไปยังกรุงอโยธยาครั้นไปถึงก็แจ้งแก่ผู้มียศถาในเมืองนั้น
ฝ่ายว่าเสนาอำมาตย์เมื่อรับทราบข้อความจากสารแล้วก็พากันขึ้นเฝ้าพระจักรี
ไปถึงก็น้อมเศียรประณตบทบาทพระพงศ์เทวราชผู้เรืองศรี
"ท้าวชนกธิบดีให้เสนีนำราชสาส์นมาถวายใต้เบื้องบาทองค์พระผู้พงศ์เทวาพัฒนาถาความว่าขอเชิญพระองค์เสด็จมาทำการวิวาห์เฉลิมขวัญของพระลักษมณ์กับพระนางสีดา ณ กรุงมิถิลา พะย่ะค่ะ"
ท้าวทศรถได้ฟังดังนั้นก็มีใจโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง อันลูกลักษมณ์ของเรานี้จะได้มีคู่ครองเห็นทีจักต้องนำความบอกลูกพรตและสัตรุดให้มาในเร็ววัน
"ทหารจงมุ่งหน้าสู่เมืองไกยเกษแจ้งต่อลูกพรตและสัตรุดให้มายังกรุงอโยธยาเราต้องการพบหน้าจงรีบไปตามมาให้เร็วไว"
"พะย่ะค่ะ"
ครั้นเหล่าเสนาอำมาตย์ได้ฟังคำบัญชาก็รีบมุ่งหน้าสู่เมืองไกยเกษทันที
ด้านเมืองมิถิลา
เหล่าเทวดาทั้งหลายรวมถึงกษัตริย์กลับสู่ที่อยู่ตนเป็นที่เรียบร้อยคงเหลือเพียงแต่พระอินทร์เท่านั้นที่ยังคงอยู่สายตาจับจ้องไปยังพระรามรอโอกาสที่พระรามจะอยู่เพียงคนเดียวเมื่อโอกาสนั้นมาถึงก็ไม่รอช้ารีบไคลคลาเข้าไปหาในทันใด
"อันพระรามเหตุใดไฉนเล่าเจ้าจึงไม่ร่วมพิธียกคันธนูโมลี"
หัสนัยน์เอ่ยถามพระรามที่นั่งนิ่งอยู่นานจึงเงยหน้าขึ้นมาสบตากับพระอินทร์แล้วจึงเอ่ยตอบเสียงที่อ่อนหวานปานประหนึ่งสตรี
"เหตุที่ข้าไม่เข้าร่วมพิธียกคันธนูโมลีนั้นเป็นเพราะว่าน้องลักษมณ์เหมาะสมที่จะได้คู่ครองกับสีดายังไงล่ะท่าน"
"แล้วเจ้าไม่คิดที่จะมีคู่ครองบ้างเลยหรือในอนาคตเจ้าก็ต้องขึ้นครองเมืองแทนพระบิดา"
"ตัวข้านั้นมีศักดิ์เป็นพี่ชายก็จริงแต่บุคคลที่จะได้ครองเมืองต่อจากพระบิดานั้นคือพระลักษมณ์ด้วยเหตุที่ว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถในการต่อสู้ เก่งกล้า และมีคุณสมบัติทุกอย่างครบถ้วน ในส่วนของตัวข้านั้นวิชาต่อสู้อะไรก็ไม่มีส่วนใหญ่น้องลักษมณ์ก็จะปกป้องข้าจากอันตราย"
นี่เนื้อเรื่องเปลี่ยนไปเยอะขนาดนี้เชียวรึพระลักษมณ์คู่กับนางสีดาก็ไม่น่าแคลงใจเท่าไหร่แต่พระรามไม่มีฝีมือในการต่อสู้เลยเนี่ยนะ ครั้นพอถามเรื่องคู่ครองก็ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจเลยสักนิดแรกเริ่มเดิมทีที่เราลงมาก็เห็นมีแต่เจ้าชายทั้งหลายเข้าไปรุมเกี้ยว แถมใบหน้ายังงดงามยิ่งกว่านางสีดาอีกเนื้อเรื่องชักหน้าหวั่นใจแล้วสิ
"องค์ชายรามรีบมาที่นี่ด้วยเถิด" เสียงฤาษี
วสิษฐ์เรียกพระรามให้เข้าไปในห้องโถงของพระราชวัง ทำให้บทสนทนาของพระอินทร์กับพระรามจบลงเพียงเท่านี้
ด้านพระอินทร์เมื่อทราบเรื่องแล้วก็รีบเหาะขึ้นไป ณ ที่ประทับของพระอิศวรทันที
ครั้นไปถึงก็ทำความเคารพพร้อมกับแจ้งเรื่องให้ทราบโดยทันใด
"ท่านจอมเทพผู้ยิ่งใหญ่บัดนี้พระลักษมณ์ได้ครองคู่กับนางสีดาส่วนพระรามนั้นข้าได้ไตร่ถามอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วปรากฏว่าไม่มีความสามารถในด้านของการต่อสู้ครั้นเมื่อข้าได้มองใบหน้าโดยพิศดูดีแล้วช่างงดงามยิ่งกว่าสตรีใดๆบนโลกนี้ที่ข้าเคยเห็นยิ่งนัก"
"เนื้อเรื่องเปลี่ยนถึงขนาดนั้นเชียวรึ"
"พะย่ะค่ะ"
"หากพระรามไม่ได้ครองคู่กับนางสีดาแล้วผู้ใดกันเล่าที่จะได้ครองคู่กับพระราม"
"เรื่องนี้ข้ามิอาจล่วงรู้ได้เพราะพระรามเองก็ไม่ได้ปรารถนาที่จะมีคู่"
"ถ้าเป็นเช่นนั้นเจ้าคิดว่าเนื้อเรื่องจะดำเนินอย่างไรต่อไป"
"อันพิธียกคันธนูโมลีนี้ก็เหมือนกับเนื้อเรื่องเดิมหากแต่เปลี่ยนให้พระลักษมณ์ได้ครองคู่กับนางสีดา ส่วนพระรามนั้นก็โดนเจ้าชายจากเมืองต่างๆเกี้ยวพาราสีอย่างหนักข้าเกรงว่าคู่ของพระรามคงจะเป็นบุรุษพะย่ะค่ะ"
"เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้เด็ดขาดธรรมดาแล้วบุรุษต้องคู่กับสตรีมิมีดอกบุรุษกับบุรุษคู่กัน"
"ถ้าอย่างนั้นท่านกับข้าก็คงต้องรอดูต่อไป"
ด้านกรุงอโยธยา
"ถวายบังคมเสด็จพ่อพะย่ะค่ะ"
พระพรตและพระสัตรุดถวายความเคารพต่อพระบิดาเมื่อทราบความที่ทหารนำไปบอกเจ้าชายทั้งสองก็รีบมาหาพระบิดาในทันใด
"พวกเจ้าทั้งสองมาก็ดีแล้วรีบไปเปลี่ยนชุดแล้วแต่งตัวแต่งเสื้อสวมใส่สรรพางค์เถิด"
"พะย่ะค่ะ"
เมื่อแต่งตัวกันเสร็จสรรพท้าวทศรถก็ออกเดินทางในทันใด
"อันทหารกล้าของเรานี้จงรีบรี่มุ่งหน้าสู่เมืองมิถิลาเถิดเราจักไปร่วมงานอภิเษกสมรสของพระลักษมณ์และนางสีดา ฝ่ายว่าพระพรตจงเป็นทัพหน้า สัตรุดนั้นหนาเป็นทัพหลัง เพื่อจะคอยป้องกันภัยระวังให้ปลอดภัยก่อนถึงกรุงมิถิลา"
"พะย่ะค่ะ"
มาจะกล่าวบทไปถึงท้าวทศรถพระพรตและพระสัตรุดออกเดินทางในยามราตรีครั้นผ่านธารผ่านเนินสิงขรก็สั่งให้ทหารหยุดพักก่อน
"ทหารหยุดพักผ่อนค้างคืนที่นี่ก่อนเมื่ออุษาสางเราจะเดินทางกันอีกครั้ง"
ทหารได้ฟังคำบัญชาดังนั้นก็หยุดพักผ่อนหลับไหลเข้าสู่นิทรามีทหารเฝ้ายามไว้ด้วยเพื่อป้องกันภยันตราย
ครั้นเมื่อถึงเวลารุ่งสางท้าวทศรถก็ชวนสามสุดายาใจชมนกชมไม้ชมสัตว์ในไพรวัน
ชมป่าไม้ ในพงไพร พนาวัลย์
ช่างสุขสันต์ ชีวัน เป็นหนักหนา
โน่นจำปี ทางนี้ ดอกชบา
อีกไก่ป่า เดินมา ชวนให้มอง
เหล่าชะนี ลิงค่าง ช่างมากล้น
ครวญระคน ต้นไม้ ไม่หม่นหมอง
ชมมัจฉา แหวกว่าย แถวฝั่งคลอง
ปานฉลอง ให้เรา ที่ได้มา
ต้นลั่นทม ไม่ตรม เหมือนดังชื่อ
งามระบือ ลือเลื่อง เฟื่องจริงหนา
เหล่าวิหค ผกผิน บนนภา
ช่างงามตา พาข้า ให้มองชม
แล้วเสร็จสิ้น เวลา จะชมป่า
พาชีวา ให้ใจ คลายขื่นขม
มีสุขแล้ว จิตใจ มากภิรมย์
ช่างสุขสม ไปต่อ ออกเดินทาง"ทหารมุ่งหน้าสู่กรุงมิถิลาเราจักไปถึงก่อนที่ทิพากรจะลับฟ้า"
"พะย่ะค่ะ"
มุ่งหน้าเดินทางไม่กี่ชั่วโมงก็มาถึงกรุงมิถิลาหยุดราชรถไว้ด้านหน้าเมืองแล้วสั่งทหารในทันใด
"ทหารของข้าบัดนี้ข้ามาถึงกรุงมิถิลาเรียบร้อยแล้วพวกเจ้าจงเข้าไปแจ้งความแก่ท้าวชนกเถิด"
"พะย่ะค่ะ"
"ถวายบังคมแก่ท้าวชนกกษัตริย์ผู้ครองกรุงมิถิลาบัดนี้ความที่ท่านแจ้งนั้นได้ไปถึงท้าวทศรถแห่งกรุงอโยธยาเมื่อท่านทราบข่าวก็มีความโสมนัสเป็นอย่างยิ่งในขณะนี้ขบวนเสด็จของพระองค์เดินทางมาถึงแล้วพะย่ะค่ะ บัดนี้ขบวนเสด็จยังคงอยู่หน้าบุรีของท่าน"
ท้าวชนกได้ยินดังนั้นก็เกิดความปลื้มเกษมเปรมปรีดิ์เป็นอย่างยิ่งจึงเอ่ยคำบอกพระรามและพระลักษมณ์
"อันเจ้าชายทั้งสองบัดนี้พระบิดาของพวกเจ้าได้มาถึงหน้าเมืองของเราแล้วพวกเจ้าจงออกไปเชิญท้าวทศรถเข้ามาในเมืองนี้เถิด"
2 เจ้าชายได้ยินดังนั้นก็ทำความเคารพแล้วรีบออกมาหาพระบิดาพร้อมกับขบวนทหารที่ท้าวชนกจัดให้
ครั้นมาถึงที่พระบิดาอยู่ก็น้อมเศียรประณตบทบาทพระบิตุรงค์ธิราชชาญสมรอีกทั้ง 3 สมเด็จพระมารดาแล้วทูลความตามที่ท้าวชนกแจ้งมา
ฝ่ายด้านพระราชบิดาเมื่อทราบเรื่องก็ดีใจดังได้ยาทิพย์ชโลมใจออกคำสั่งทหารในทันใดให้คลาไคลเข้ากรุงมิถิลา
เมื่อนั้นพระพงศ์เทเวศร์เรืองศรีขับรถเข้าสู่ธานีมิถิลาเหล่าบรรดาหญิงชายแก่เฒ่าหนุ่มสาวมากมายแต่ลงตัวโอ่อ่าประกวดกันเห็นท้าวทศรถกษัตริย์แห่งกรุงอโยธยาก็พากันต่างตนนบนิ้วประนมกรถวายพรกันทั้งบุรี
ท้าวทศรถชมความงามของเมืองมิถิลาช่างสวยงามตระการตาเป็นยิ่งนักหอรบอร่ามเรือง ปราสาทแสงประเทืองน่าดูน่าชมเพลินชมเมืองได้ไม่นานก็มาถึงหน้าพระราชวัง
มาจะกล่าวบทไปถึงท้าวชนกจักรวรรดิชาญสมรกับองค์อัครราชบังอรที่ยืนรอต้อนรับท้าวทศรถอยู่ก่อนแล้ว
ครั้นเมื่อท้าวทศรถมาถึงท้าวชนกจึงกล่าวต้อนรับด้วยไมตรีจิตในทันใด
"ขอเชิญพระจอมภพเรืองศรีขึ้นไปยังปราสาทแก้วมณีตัวข้านี้จะนำท่านไป"
เมื่อนั้นท้าวทศรถได้ฟังคำจำนรรจ์เอ่ยกล่าวก็มีพระทัยเปรมปรีดิ์แล้วเสด็จลงจากราชรถทองพักตร์ดูผ่องดั่งดาวสกาวงาม แล้วเดินตามท้าวชนกเข้าไปในปราสาท
ครั้นเมื่อไปถึงก็ลดองค์เหนือบัลลังก์อาสน์งดงามดั่งเทวราชในสรวงสวรรค์ท่ามกลางเหล่าเสนาอำมาตย์ยศน้อยใหญ่ทั้งหลายก็บังคมคัลกันเกลื่อนกลาดดื่นดาษไป
ฝ่ายว่าท้าวชนกจักรพรรดินาถาจึงมีสุนทรวาจาปราศรัยโดยราชไมตรี
"อันมิถิลากับอโยธยานั้นจะอยู่ร่วมกันถาวรสุขเกษมศรีตัวข้านี้ช่างสุขีเปรมปรีดิ์เป็นหนักหนาส่วนนางสีดาธิดาข้าจะได้มีคู่ครองร่วมชีวีในอนาคต"
เมื่อนั้นพระสุริย์วงศ์เทเวศร์รังสรรค์ฟังท้าวชนกรำพันก็ตอบสนองไป
"อันตัวเรานี้ได้รับแจ้งสารสวัสดิ์โสมนัสไม่มีที่จะเปรียบได้จึงได้รีบยกพลมามากมายด้นดั้นฟันฝ่าป่าพนามานานเพลาก็หวังจะได้เป็นทองแผ่นเดียวกันร่วมชีพชีวันกันไปในวันหน้ากว่าจะถึงวันที่มันสิ้นดินสิ้นฟ้าเราก็ปรารถนาให้ลูกสุขี"
สองกษัตริย์สนทนาปราศรัยจนสูรย์ลอยคล้อยต่ำสายัณห์เย็นย่ำไปทุกทีต่างองค์จึงเสด็จจรลีเข้าสู่ที่บรรทมนอน
เมื่อนั้นท้าวชนกจักรวรรดินาถา ครั้นยามรุ่งแสงสุริยาเสียงไก่ขันมากึกก้องกังวานก็เสด็จออกจากที่ไสยาสน์แต่งกายทรงเครื่องพรายพรรณและก็ออกสู่พระโรง
เมื่อมาถึงจึงนั่งลงบนบัลลังก์รัตน์ภายใต้เศวตฉัตรมณีศรี แล้วตรัสถามเหล่าโหราจารย์
"ดูกรเหล่าขุนโหราจารย์อันตัวเราจะอภิเษกพระธิดาพวกท่านจงหาฤกษ์วันที่จะได้อภิเษกเถิด"
ฝ่ายว่าโหราจารย์เมื่อได้ฟังท้าวชนกตรัสดังนั้นก็รีบจับกระดานชนวนมาขีดเขียน อันว่าวันพรุ่งนี้ดีแท้เหมาะสมเป็นแน่ที่จะอภิเษกสมรสหลังทราบวันจึงทูลบอกท้าวชนกในทันที
"อันว่าโหราจารย์ทุกท่านพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วมีความเห็นตรงกันว่าองค์หญิงสีดาควรจะอภิเษกสมรสกับองค์ชายลักษมณ์ในวันพรุ่งนี้พะย่ะค่ะ"
ท้าวชนกได้ยินดังนั้นก็ชื่นชมภิรมย์ใจเป็นอย่างยิ่งจึงมีพระราชวาทีสั่งเสนีต่อไป
"พวกเจ้าทั้งหลายจงจัดปราสาทแก้วให้อำไพด้วยเครื่องอลงการแล้วก็ไปนิมนต์พระมหาอาจารย์ไว้ด้วยเพื่อให้มาร่วมพิธี"
"พะย่ะค่ะ"
ฝ่ายเสนาอำมาตย์ทหารทั้งหลายก็รีบดำเนินการตามคำสั่งเร่งรีบเข้าตกแต่งปราสาท ออกไปแจ้งพระฤาษีบ้าง เตรียมความเรียบร้อยบ้าง
"อันท่านดาบสบัดนี้ท้าวชนกจะจัดงานอภิเษกสมรสขององค์หญิงสีดากับองค์ชายลักษณ์ขึ้นในวันพรุ่งนี้ข้าจึงนำความมาแจ้งแก่ท่านผู้ทรงศีล"
ฝ่ายพระสุธามันตันฤาษีได้ยินดังนั้นก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งจึงรีบไปบอกเหล่าคณะดาบสชีป่าเพื่อจะได้เตรียมการในวันพรุ่งนี้้
มาจะกล่าวบทไปถึงที่มาของคันธนูโมลี มียักษ์ตนหนึ่งชื่อตรีบูรัมปกครองเมืองโสฬสเป็นยักษ์ที่มีฤทธิ์เดชมากเป็นที่เกรงขามแก่หมู่เทวดาคนธรรพ์และนาคทั้งหลายเป็นอย่างยิ่งและ
ตรีบูรัมนั้นเกรงกลัวพระนารายณ์มากจึงคิดจะเอาชนะพระนารายณ์โดยไปทำพิธีบูชาไฟขึ้นที่ริมฝั่งแม่น้ำพร้อมนั่งหลับตาร่ายพระคาถาอยู่ถึง 7 ปี 7 วันฝ่ายพระอิศวรอยู่บนวิมานให้รู้สึกร้อนพระวรกายจึงเล็งตาทิพย์มาดูเห็นตรีบูรัมนั่งบูชากองไฟอยู่ก็เสด็จมายังสถานที่ที่ตรีบูรัมทำพิธีพร้อมกับถามว่า
"อันปกติมิมีใครดอกมานั่งทำพิธีบูชาไฟนานถึงขนาดนี้เหตุใดไฉนเล่าเจ้าจึงมานั่งทำพิธีหรือว่าต้องการสิ่งใดจงบอกเรามา"
"อันตัวข้านั่งทำพิธีมานานสิ่งที่ข้าประสงค์จะได้ก็คือต้องการจะขอพรจากพระองค์ไม่ให้พระนารายณ์มาทำร้ายได้"
"ถ้าเจ้าต้องการสิ่งนั้นเราก็จะให้แต่จงจำไว้ให้ดีเจ้าจงใช้มันในทางที่ถูกที่ควรครอง
ทศพิธราชธรรมปกครองบ้านเมืองอย่าทำตัวชั่วช้าสาธารณ์เป็นอันขาด"
"ถ้ารับปากว่าจะไปทำความชั่วจะตั้งตนปกครองเมืองให้ไพร่ฟ้าประชาชีมีความสุขกันทั่วหล้า"
ครั้นตรีบูรัมได้รับพรสมดังปรารถนาแล้วก็กลับลืมคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้แก่องค์พระอิศวรก็ทำตัวชั่วช้าขับไล่เหล่าเทวดาไล่ไขว่คว้านางฟ้าให้สวรรค์ทุกชั้นวุ่นวายไปทั่ว
เหล่าเทวดาจึงนำความมาฟ้องพระอิศวร
"ท่านจอมเทพผู้ยิ่งใหญ่บัดนี้ตรีบูรัมมีจิตคิดการชั่ววุ่นวายสวรรค์ไปทั่วทุกชั้นฟ้าแล้วพะย่ะค่ะ"
"หนอยแน่...ไอ้ตรีบูรัมพอได้ของดีก็กำเริบเหิมเกริมในฤทธิ์ของตนส่งไปตามพระนารายณ์และพระอินทร์มา"
หลังจากได้พูดคุยกันเสร็จแล้วนั้นพระอิศวรก็จัดทัพเทวดาไปรบกับตรีบูรัมโดยเอาเขาพระสุเมรุมาเป็นคันธนูชื่อว่าโมลีเอาพญานาคมาเป็นสายธนูแล้วเอาองค์นารายณ์มาเป็นลูกธนูยกทัพไปล้อมเมืองของตรีบูรัมไว้ ฝ่ายตรีบูรัมเห็นพระอิศวรยกกองทัพเทวดามารู้สึกตกใจกลัวจึงสั่งให้กองทัพเข้าโจมตีจอมทัพเทวดาแล้วตนก็เข้ารบกับพวกเทวดาด้วยตนเองพระอิศวรเห็นดังนั้นก็แผลงศรไปทันที ครั้นแผลงศรเท่าไหร่ก็ไม่ไปแม้แต่ครั้งเดียวแผลงถึง 3 หนก็ยังไม่ไปเพราะพระนารายณ์กำลังหลับสนิทอยู่พระอิศวรกริ้วมากจึงทิ้งศรลง เมื่อพระนารายณ์ตื่นจึงทูลบอกพระอิศวร
"สาเหตุที่ท่านมิอาจยิงศรออกไปได้นั้นเป็นเพราะพรที่ท่านให้แก่ตรีบูรัมว่าไม่ให้พระนารายณ์เอาชนะได้..ศรจึงไม่อาจลั่นออกไปได้พระเจ้าค่ะ"
"ถ้าเป็นเช่นนั้นเราต้องใช้ตาไฟในการฆ่ามัน"
เมื่อเอ่ยเสร็จพระอิศวรก็หยิบกล้องวิเศษส่องไปที่ทำตรีบูรัมทำให้เกิดไฟกรดไหม้ตรีบูรัมและพวกยักษ์ตายหมด
เมื่อจบศึกตรีบูรัมครั้งนั้น พระอิศวรจึงได้มอบธนูโมลี เก็บไว้ที่กรุงมิถิลา
จบที่มาของธนูโมลีเพียงเท่านี้