“โน้นไง ไอ้วีร์มาแล้ว”
ศศิทัศน์โบกมือเรียกให้วีร์รู้ว่าพวกเขากำลังรวมตัวนั่งกันอยู่ทางนี้ กลุ่มคนที่นั่งอยู่ด้วยกันนั้นมีทั้ง สุรศักดิ์ พระยศ นพชัยและชัยทิศ ที่ใส่เสื้อโปโลสีขาว และมีคนที่ใส่เสื้อโปโลสีน้ำเงินอย่าง คุณกรและวีรมาตุ และคนที่ใส่ชุดธรรมดามาอย่าง ไมตรีจิต และชัชวาล
โล่รางวัลของวีรมาตุทั้งสามชิ้นถูกส่งต่อผ่านมือผ่านตาไปจนครบทุกคน ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่คนแรกที่ได้รับรางวัลนักเรียนดีเด่นพร้อมกันหลายสาขาวิชา แต่ก็เป็นคนที่รับมากที่สุดในปีนี้
“เฮียพลาดไปหนึ่งวิชานะ ไม่งั้นจะได้บันทึกประวัติศาสตร์เป็นอีกคนที่ได้สี่ใบ” นพชัยเอ่ยปากออกก่อน
“มันยังมีคนได้มากกว่านี้อีกเหรอ” วีร์นั่งลงรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ
“มี ลูกบ้านย่าเล็กชื่อพี่อัด แต่ชื่อจริงชื่ออะไรแล้วหว่า” ชัยทิศทำท่าทางพยายามนึก แล้วก็หันไปถามนพชัย “มึงนึกออกมั้ย”
อีกฝ่ายส่ายหน้าตอบกลับ
“นั่นแหละ พี่อัดได้สี่วิชา เมื่อก่อนตอนเด็กๆพ่อกับแม่กูเลยชอบให้พี่อัดมาติวหนังสือให้พวกกูบ่อยๆ”
“แล้วตอนนี้พี่เขาไปไหนวะ” สุรศักดิ์ถามคู่แฝด
“พี่เขาเรียนจบแล้วก็ไปทำการทำงานแล้วสิ” “จะเอาเวลาว่างที่ไหนมาสอนพวกกู”
“มิน่า...” พระยศพึมพำเบาๆ แต่ก็ทำให้คู่แฝดเหล่ตามามอง
“เอาน่ะ ได้มาสามวิชานี่ก็เท่สุดๆแล้ว ใช่มั้ยน้องวีร์” ไมตรีจิตตบหลังวีร์เบาๆ
“มันต้องมีรางวัลให้แล้วนะ แบบนี้” ชัชวาลศอกใส่วีรมาตุ ทำให้เจ้าตัวยิ้มเขินๆออกมา
“มันต้องมีด้วยเหรอ” วีร์ขมวดคิ้วนึกสงสัย
“ต้องมีสิ แค่วิชาเดียวนี้ก็ไม่ใช่ได้มาง่ายๆนะ นี้ได้มาสามเลย” ไมตรีจิตย้ำอีกครั้ง
วีร์มองหน้าสลับไปมาระหว่างไมตรีจิตและชัชวาล แล้วก็ล้วงมือไปในกระเป๋าเสื้อของเขา หยิบลูกอมออกมาชิ้นหนึ่งยื่นให้วีรมาตุ
“ให้”
คำสั้นๆแต่สร้างเสียงโห่ร้องจากคนรอบข้างได้ไม่น้อย แต่สำหรับวีรมาตุแล้วลูกอมชิ้นนั้นหาได้ใช่รางวัลไม่ เป็นรอยยิ้มของคนที่หยิบยื่นให้ต่างหาก
“หึๆ อุตส่าห์เรียนเทียบตาย สุดท้ายได้ลูกอมชิ้นนึง” ชัชวาลแสร้งทำเป็นกระซิบข้างๆหูวีรมาตุ แต่เสียงก็ดังพอได้ยินกันทุกคน
“โอ้ย ใครเขาจะให้กันต่อหน้าคนอื่นๆละมึง เขาต้องไปให้กันสองต่อสองดิวะ” ไมตรีจิตร่วมผสมโรง
“นี่ น้อยๆหน่อยพวกมึง เกรงใจญาติผู้ใหญ่ของน้องมันอย่างกูบ้าง” คุณกรกำลังโบกโล่เกียรติบัตรแทนพัดคลายร้อนให้กับตัวเอง แท้จริงแล้วก็คือต้องการโอ้อวดว่าเขาเองก็ได้รางวัลนักเรียนดีเด่นด้วยเช่นกัน
“แค่น้องชายพี่สะใภ้ละวะ ทำมาเป็นเบ่ง” ไมตรีจิตแย่งโล่ในมือของคุณกรมาดู “แค่ได้เต็มวิชาเพศศึกษาไม่ต้องเอามาอวดก็ได้มั้ง”
“เขาเขียนว่าพละศึกษาโว้ย” คุณกรแย่งโล่ของเขากลับมา กระนั้นคุณกรก็ไม่ได้แก้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับวีร์ให้คนอื่นๆเข้าใจตรงกัน อันที่จริงในบรรดากลุ่มคนเหล่านี้ก็เห็นจะมีแค่เขาและวีร์เท่านั้นที่รู้ว่าเขาเป็นน้าแท้ๆของวีร์
“ใครมันจะไปคิดว่าว่ามึงจะได้กับเขาด้วย” ชัชวาลยกมือขึ้นป้องโล่รางวัลที่คุณกรเงื้อขึ้นเหนือศีรษะ “อย่าเพิ่งเข้าใจผิด กูรู้ว่ามึงท๊อปภาคปฏิบัติ แค่ไม่คิดว่ามึงจะเก็บภาคทฤษฎีได้ด้วย”
“กูเก่ง” คุณกรยักไหล่ตอบเพียงสั้นๆ
“แล้วทำไมไม่เก่งให้ได้ทุกวิชาละวะ” ไมตรีจิตถาม
“กูไม่ใช่ไอ้วี”
“แล้วนี่ก็นั่งจ้องแต่มือถือ แอบนัดอะไรกับน้องรึไง” ทันทีที่ไมตรีจิตเอ่ยปากออกมา ทุกคนรอบโต๊ะต่างหันมองทั้งวีรมาตุและวีร์ที่ต่างก็ก้มหน้ามองดูโทรศัพท์ของตัวเองอยู่
“แอบนัดไปไหนกันวะ” ชัชวาลถามย้ำอีกทั้ง
“กูคุยกับม้า”
“ม้าที่หมายถึงม้าทูนหัวอะนะ”
“ม้าที่หมายถึงเมียป๊า โอเคมั้ย” วีรมาตุตอบกลับด้วยน้ำเสียงและท่าทางปกติไม่ได้ติดรำคาญอะไรกับการแซวของเพื่อนๆ อาจจะเป็นเพราะว่าติดพันกับการคุยในโทรศัพท์ เลยไม่ทันได้สนใจตามเรื่องราวที่คนอื่นๆกำลังพูดคุยกันอยู่ หลายคนจึงยังไม่เชื่อเท่าไรนัก และเมื่อต่างก็หันไปมองวีร์
“ผมคุยกับพี่เพชรอยู่”
“จะนัดไปตีเทนนิสกันอีกเหรอ” เมื่อชื่อชองพีรพัชร์หลุดออกมา ศศิทัศน์ก็รีบหาข้อมูลเพื่อวางแผนในทันที
“เปล่า พี่เพชรถามทางว่ากูอยู่ไหน”
“ถามทำไม”
“เห็นว่าอยู่หน้าโรงเรียนแล้ว จะเข้ามาหา”
“เข้ามาทำไมวะ” ในตอนนี้คนที่สงสัยไม่ได้มีแค่ศศิทัศน์เท่านั้น คนอื่นๆก็เริ่มมีท่าทางใคร่รู้ไปด้วย แม้ว่าจะพยายามรักษาอาการของตัวเองให้เป็นปกติ แต่ใบหูกางออกพร้อมรับคลื่นเสียงตลอดเวลา
“ไม่รู้เหมือนกัน... โน้นไงมาแล้ว” วีร์ชี้นิ้วไปทางด้านหน้าของเขา พร้อมกับโบกมือขึ้นสูงให้พีรพัชร์เห็น
เด็กหนุ่มรูปงามสูงยาวเข่าดีหน้าคมผิวเข้มเดินสะพายกระเป๋าใบใหญ่ตรงมาที่ที่วีร์และพองเพื่อนนั่งรวมตัวกันอยู่
“ไอ้คนนี้เหรอชื่อเพชร” ไมตรีจิตกระซิบถามวีรมาตุ ซึ่งเจ้าตัวก็พยักหน้ารับ
“สู้ไหวมั้ยมึง” ชัชวาลก็กระซิบถามด้วยเช่นกัน
“มันต้องสู้สิวะ ยอมแพ้ได้ที่ไหนกัน” ไมตรีจิตย้ำความมั่นใจให้เพื่อนของเขา
ส่วนคุณกรไม่ได้ปริปากอะไร เพียงแต่มองดูผู้มาใหม่อย่างพินิจพิจารณา
“หาเจอยากมั้ย” วีร์ถามทันทีที่พีรพัชร์เดินมาหยุดข้างๆเขา
“ก็งงๆนิดหน่อย” พีรพัชร์ตอบกลับพร้อมมองดูคนรอบที่มีทั้งเคยหน้าค่าตากันบ้างและคนที่ไม่เคยพบเจอกันมาก่อน
“อ่า... พี่เพชรรู้จักเพื่อนๆวีร์แล้วใช่มั้ย” พีรพัชร์พยักรับและทักทายเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันกับวีร์ “แล้วก็เฮียวี รู้จักกันอยู่แล้ว ส่วนคนอื่นๆก็ เฮียไมค์ เฮียชัช แล้วก็เฮีย... หมู” วีร์แนะนำคนอื่นๆที่พีรพัชร์ยังไม่รู้จัก ส่วนคนสุดท้ายนั้น วีร์เองก็ไม่แน่ใจว่าควรจะแนะนำอย่างไรดี
“จะเรียกยังไงก็ได้ หมูแบบไอ้พวกนี้ก็ได้ หรือจะเรียกคุณก็ได้ กูได้หมด” คุณกรยักไหล่แบบไม่ใส่ใจ เขาเคยชินกับชื่อเล่นที่เพื่อนๆมอบให้ เพราะมันกลายเป็นคำเรียกติดปากที่รู้กันไปจนทั่วโรงเรียน ไม่เว้นแม้กระทั่งเหล่าอาจารย์ ชื่อคุณคงเหลือแต่คนที่บ้านเรียนขานกันเท่านั้น
“ยินดีที่ได้รู้จักกันทุกคน”
“รู้จักกันไว้ก่อนดีแล้ว เดี๋ยวพี่เพชรกับเฮียหมูก็ไปเรียนคณะเดียวกันนิ”
“เหรอ” ทั้งคุณกรและพีรพัชร์เปล่งเสียงออกมาพร้อมกัน
“นายเข้าด้วยโควตาอะไรเหรอ” พีรพัชร์ชิงถามคำถามก่อน
“ฟุตบอล มึงละ” คุณกรตอบด้วยภาษาที่ย่นระยะความสนิทสนมให้ใกล้ชิดขึ้น
“เทนนิส”
“เทนนิสเขาคัดตัวไปรึยัง” คุณกรถามกลับอีกครั้ง
“ยังเลย แข่งกันเดือนหน้า แล้วของฟุตบอลละคัดไปยัง”
“ผ่านชุดแรกแล้ว เหลือคัดออกอีกทีเดือนหน้าเหมือนกัน”
“พวกมึงคุยเรื่องอะไรกันเนี่ย” ไมตรีจิตพูดแทรกกลางวงสนทนาขึ้น
“ไอ้พวกเรียนหมอจะไปเข้าใจอะไร พวกกูเนี่ยต้องดิ้นรนพยายามติดทีมมหาลัยให้ได้ ถึงจะได้สิทธิ์ปรับเกณฑ์ตัดเกรดใหม่” คุณกรอธิบายให้ฟัง
“มันเป็นยังไงอะเฮียหมู” สุรศักดิ์ถาม
“พวกมึงรู้กันอยู่แล้วใช่มั้ยว่าม.เนี่ยะ ที่พวกกูจะไปเรียนเนี่ย ตัดเกรดแบบไหน” คุณกรหันไปถามพวกเด็กๆ
“ก็ผ่านไม่ผ่านไง” สุรศักดิ์ตอบแต่ยังทำหน้างงสงสัย เขารู้เขามหาวิทยาลัยที่พวกรุ่นพี่เข้าไปเรียนต่อนั้นไม่ได้มีแบ่งผลการเรียนเป็นระบบ 4-0 หรือ A-F แต่มีแค่ ผ่านและไม่ผ่าน
“ถูก มีแค่ผ่านไม่ผ่าน แต่จะผ่านต้องได้คะแนนสะสม 75% ขึ้น ถ้าต่ำกว่านั้นแต่ไม่ต่ำกว่า 65% ยังจะพอได้สิทธิ์ขออนุปริญญาอยู่ แต่...” คุณกรเว้นจังหวะเพื่อเน้นย้ำประเด็นที่ต้องการจะพูด “อย่างพวกกูเนี่ยถ้าสามารถติดทีมกีฬามหา’ลัยได้ และทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง เกณฑ์ตัดเกรดของพวกกูจะเหลือแค่ 60% เก็ตมั้ย”
“มันลงมาได้ขนาดนั้นเลยเหรอเฮีย” หนึ่งในคู่แฝดเป็นคนถาม
“ใช่ แต่ก็นะ ก็ต้องสามารถอยู่ในทีมมหา’ลัยได้ไปจนจบ แล้วก็ต้องทำผลงานได้ด้วย ไม่งั้นก็กลับเข้าเกณฑ์ปกติ”
“ทำไมมันโหดอย่างงั้นอะ” วีร์ได้ฟังแล้วก็นึกหวั่นๆอยู่ในใจ
“น้องวีร์ไม่เคยได้ยินเหรอ คำขวัญของมหา’ลัย
‘บัณฑิตผู้มีความรู้ระดับบัณฑิตศึกษา’ แปะอยู่ตึกหน้าสุดอะ” ไมตรีจิตพูดเน้นย้ำคำขวัญของมหาวิทยาลัยให้ชัดเจน ประโยคสั้นๆง่ายๆแค่มีความหมายลึกซึ้งและทรงพลัง
“เหมือนจะเคยเห็นอยู่นะ” วีร์ทำท่าทางนึกไปด้วย
“นั่นแหละ จะจบที่นี่ได้ต้องมีเจ๋งจริงๆเท่านั้น”
“เฮียว่าถ้าน้องวีร์ได้ลองเข้าไปสัมผัสบรรยากาศภายใน น้องวีร์อยากเรียนที่นี่แน่ๆ” วีรมาตุยิ้มให้กับคนตรงหน้า
เหมือนบรรยากาศรอบตัวกำลังพาไป เสียงทุ้มนุ่มลึก สายตาสองเราประสานกันประหนึ่งว่าโลกนี่มีแค่เราสองคน และกำลังจะไปได้สวย
“นี่วีร์ เย็นนี้ว่างมั้ย” เสียงของพีรพัชร์ดังขึ้นมา จนทำให้หลายๆคนแอบร้องฮึดฮัดเบาๆไปตามๆกัน
“อ่า...” แล้ววีร์ก็ส่ายหน้า
“อ้าวจะไปไหนเหรอ” พีรพัชร์ชะงักกับท่าทางของวีร์ไปเล็กน้อย
“พี่ธีร์เขาจะไปกินอาหารนอกบ้านกัน นี่เดี๋ยวเลิกงานแล้วเขาจะวนมารับ”
“อ้าว ไม่ได้ไปมาเมื่อวานเหรอ” พีรพัชร์นิ่วหน้าคิดอะไรหลายๆอย่าง
“ก็ติดใจอยากกินอีก พี่เพชรมีอะไรรึเปล่า” วีร์เห็นท่าทางของพีรพัชร์แล้วก็คิดว่าอีกฝ่ายของเรื่องสำคัญจริงๆ
“ก็พี่จะเอาแร็กเก็ตไปขึ้นเอ็นใหม่ ก็กะว่าจะมาให้วีร์พาไปร้านที่เราบอกน่ะ”
“อ้าว แล้วทำไมไม่บอกก่อนละพี่เพชร”
“แต่พี่ถามเราตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะว่าเราว่างรึเปล่า”
“ใช่ แต่พี่เพชรไม่ได้บอกนิว่าจะไปไหน”
“โอเค งั้นพี่พลาดเอง” พีรพัชร์พ่นลมหายใจออกมา
“น้องวีร์” วีรมาตุเรียกคนตรงหน้าเพราะดูเหมือนว่าลูกสักหลาดจะถูกตีโต้ไปมาอยู่หลายครั้งจะกระเด็นออกสนามจนเกมต้องหยุดพักไปก่อนแล้ว กอปรกับเท้าของเขาที่ถูกสะกิด เขี่ย เหยียบ กระทืบ จากน้องน้องชายตัวดีไม่หยุดหย่อน กระตุ้นให้เขาต้องออกตัวบ้าง
“ครับเฮีย” วีร์หันมาตอบรับ
“เอ่อ... ร้านที่เพชรเขาว่ามันอยู่ที่ไหนเหรอครับ” วีรมาตุมองสลับไปมาระหว่างวีร์และศศิทัศน์ที่กำลังทำสีหน้าลุ้นไปด้วยว่าพี่ชายของเขาทำได้ดั่งใจเขาหรือเปล่า
“อยู่ข้างร้านดนตรีที่อยู่หน้าห้างนั่นแหละครับ”
“เหรอ... แล้วเดี๋ยวพี่ธีร์จะมารับกี่โมงเหรอครับ”
วีร์มองดูเวลาจากโทรศัพท์ของเขาก่อนที่จะตอบ
“น่าจะอีกสัก... ชั่วโมงครึ่งได้มั้งครับ กว่าจะเลิกงาน กว่าจะขับรถมานี่อีก”
วีรมาตุเหล่ตาไปมองศศิทัศน์อีกครั้ง ซึ่งอีกฝ่ายแทบจะลุกขึ้นมาตอบแทนเขาเสียให้ได้ ไม่เว้นแม้แต่เพื่อนๆของเขาที่แอบๆสะกิด เขี่ย ศอก สารพัดที่จะทำได้
“เอางี้มั้ย วันนี้เฮียเอารถมา เราออกไปที่ห้างกันเลยก็ได้ แล้ววีร์ก็บอกพี่ธีร์ว่าไปเจอกันที่โน้นไม่ต้องวนรถมาแถวนี้อีก”
วีร์หันมองสลับไปมา พีรพัชร์มีท่าทางว่าเขาจะเอาอย่างไรก็ได้ ศศิทัศน์หยักหน้าหงึกๆให้เขาตกลง ส่วนวีรมาตุก็แค่ยิ้มอย่างปกติ
เมื่อเห็นว่าไม่มีพูดอะไรออกมา
“งั้นเอาตามนี้ ทุกคนแยกย้ายกลับบ้านได้” ไมตรีจิตตัดสินใจแทนคนอื่นๆ
“เรื่องหอพัก เดี๋ยวค่อยไลน์นัดกันว่าจะไปวันไหน” ชัชวาลตบบ่าวีรมาตุและลุกขึ้นยืนตามคนอื่นๆ
“งั้นเฮียครับ ขอพวกผมติดรถไปด้วยได้มั้ยครับ” “ว่าจะไปแวะร้านเกมร้านใหม่สักหน่อย” คู่แฝดนพชัยและชัยทิศยืนก้มตัวเล็กน้อย ฝ่ามือทั้งสองข้างกุมเข้าหากัน พยายามขยายดวงตาให้ใหญ่ที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้ แต่มันไม่ได้ออกมาดูน่ารักอะไรเลย
“ไปน่ะ ไปได้ แต่อย่าลืมบอกคนขับรถของเราด้วยว่าให้ไปรับที่ไหน” วีรมาตุพยักหน้าอนุญาต
“งั้นก็ แยกย้ายกันครับทุกคน กูก็จะกลับบ้านแล้ว”
“หึๆ คุณพระยศครับอย่าคิดว่าพวกผมไม่รู้นะครับ” สุรศักดิ์ใหญ่ในลำคอที่พยายามทำให้น่ากลัว แต่ฟังแล้วน่าสยดสยองเสียมากกว่า “บ้านคุณพระยศ อยู่โต๊ะทางนู้นเหรอครับ”
ทุกคนหันมองไปตามทางที่สุรศักดิ์ชี้นิ้ว ก็เห็นเด็กหญิงคนหนึ่งนั่งตามลำพังห่างออกไปสี่โต๊ะ แม้ว่าจะรวมผมไว้เรียบร้อยพร้อมกับทักเป็นหางเปียแต่ก็ยังคงเห็นลักษณะของเส้นผมหยิกหยอยอย่างชัดเจน แว่นที่เธอกำลังสวมอยู่เพราะกำลังตั้งใจอ่านอะไรบางอย่าง
“กลับบ้านไง กลับบ้าน” พระยศยังยืนยันคำเดิม แต่สุดท้ายก็เดินไปหาเด็กสาวคนนั้น
“ไม่น่าเชื่อว่าความรักจะทำให้คนเปลี่ยนไปขนาดนี้” สุรศักดิ์มองดูเพื่อนของเขานั่งลงตรงหน้าเด็กสาวคนนั้น
“ลองมีสักทีเดี๋ยวก็รู้” คุณกรยืนมองอยู่ด้วยเช่นกัน
ทั้งสองคนหันมามองหน้ากัน สายตาต่างจ้องไปที่นัยน์ตาของอีกฝ่าย ริมฝีปากเหยียดขึ้นมานิดหน่อยเพราะเหมือนว่าต่างก็นึกขึ้นมาได้ว่าต่างคนต่างถูกใจหญิงสาวคนเดียวกัน ลมหายใจจึงถูกพ่นฮึดฮัดออกมาพร้อมกัน แต่เมื่อหันมองรอบตัวกลับว่าเหลืออยู่แต่พวกเขาแค่สองคนเท่านั้น
*****
“วีร์บอกพี่ธีร์แล้วใช่มั้ย” วีรมาตุเอ่ยปากถามในตอนที่ทุกลุกออกจากรถกันหมดแล้ว
รถยนต์หนึ่งคันนั่งรวมกันมาหกคน ทุกคนลงความเห็นว่าพวกเด็กโตทั้งสองไปนั่งตอนหน้า ส่วนพวกเพื่อนทั้งสี่คนจะไปนั่งด้านหลัง เป็นไปตามความคิดของศศิทัศน์ เพราะว่าจะให้วีร์ไปนั่งด้านหน้าคู่กับวีรมาตุก็อาจจะมีเสียงหนึ่งคัดค้านขึ้นมา หรือจะให้คู่พี่น้องนั่งตอนหน้า ศศิทัศน์คงไม่เอาด้วยแน่ถ้าจะให้วีร์ไปนั่งกับพีรพัชร์ ดังนั้นวิธีของเขาจึงเหมาะสมที่สุด
“บอกแล้วครับ พี่ธีร์บอกว่าจะโทรมาบอกตอนมาถึง”
นพชัยและชัยทิศนั้นขอแยกตัวทันทีที่ลงจากรถ จึงเหลือสี่คนที่ยังเดินเกาะกลุ่มกันอยู่
“จริงๆเฮียส่งแค่ตรงหน้าห้างก็ได้นะ ไม่เห็นต้องวนเข้ามาจอดให้เสียเวลา”
วีรมาตุดูอ้ำอึ้งไปเพราะยังไม่ทันได้คิดเหตุผลว่าเขาจะมาทำอะไรที่นี่
“ม้ากูฝากให้มาซื้อของอยู่แล้ว ทางเดียวกันไปด้วยกัน” ศศิทัศน์รีบอธิบายในทันที
“เหรอ” วีร์พูดสั้นและหรี่ตามองคนข้างๆ
“ประหยัดพลังงาน” ศศิทัศน์ยิ้มรับแบบไม่สะทกสะท้าน “เออใช่ เฮีย เดี๋ยวอั๊วไปดูของให้ม้าก่อนนะ ลื้อเดินไปกับไอ้วีร์ก่อนก็ได้ เสร็จแล้วเดี๋ยวอั๊วค่อยโทรบอกลื้อนะ” ว่าแล้วศศิทัศน์ก็รีบปลีกตัวเองออกไปในทันที ไม่ทันรอให้ใครได้ส่งเสียงอะไรออกมาได้ก่อน
ทั้งสามคนจึงมองหน้ากันไปมา
“งั้น...” วีร์เกาปลายคางเบาๆแก้เก้อ “เราก็เดินไปที่ร้านด้วยกันก็แล้วกันนะครับ”
น้องว่าไงพี่ก็ว่างั้น ทั้งวีรมาตุและพีรพัชร์ต่างก็ยิ้มและพยักรับด้วยกันทั้งคู่ แล้วทั้งสามคนก็เดินไปจนถึงประตูหน้าห้างสรรพสินค้า จากนั้นก็เดินลัดเลาะไปตามทางอีกไม่ไกลนักก็ถึงร้านเครื่องดนตรีถัดจากนั้นก็เป็นร้านขายเครื่องกีฬา
วีร์เดินนำทุกคนเข้าไปด้านในร้าน
ภายในร้านมีทั้งชุดกีฬา อุปกรณ์กีฬา และอุปกรณ์เสริมสำหรับกีฬาเกือบทุกประเภทที่สามารถเล่นได้ในประเทศไทย ทั้งในร่มและกลางแจ้ง
วีร์เดินลิ่วๆเข้าไปจนถึงชั้นวางเส้นเอ็นสำหรับแร็กแก็ตของทุกประเภทกีฬา วีร์และพีรพัชร์ช่วยกันเลือกชนิดของเส้นเอ็นที่เหมาะสมกับรูปแบบการเล่นของพีรพัชร์ และน้ำหนักในการขึงของเส้นเอ็นแต่ละชนิด ซึ่งเป็นบทสนทนาที่วีรมาตุไม่รู้ว่าจะเอาตัวเองแทรกเข้าไปตอนไหนได้ จึงได้แต่ยืนดูอยู่เฉยๆ
แต่ก็ไม่ได้ถอยห่างไปไหนไกล
“ว่าไง” วีรมาตุรับโทรศัพท์ จึงขยับตัวออกมาเล็กน้อยจนวีร์หันมามองครู่หนึ่ง
ปลายสายกำลังพูดอะไรบางอย่าง
“อ้าว เดี๋ยวสิ” แล้ววีรมาตุก็ดึงโทรศัพท์กลับมา ก็พบว่าสัญญาณถูกตัดไปเสียแล้ว
“มีอะไรรึเปล่าเฮีย”
“ไอ้ตี๋เล็กไลน์คอลมาบอกว่าซื้อของเสร็จแล้ว แล้วก็กลับแล้วด้วย บอกจะรีบกลับเอาของไปให้ม้า” นั่นคือสิ่งศศิทัศน์พูดแจ้วๆให้วีรมาตุฟังก่อนที่จะตัดสายไป
วีร์จึงได้แต่ส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วก็หันกลับไปเลือกเส้นเอ็นกับพีรพัชร์ต่อ
จนกระทั่งหาข้อสรุปได้ พีรพัชร์จึงแยกตัวออกไปคุยกับพนักงานของร้าน เหลือวีร์และวีรมาตุที่เดินเล่นดูสินค้าต่างๆภายในร้านไปเรื่อยเปื่อย หยิบโน้นนี่นั่นมาลองกับตัวเองบ้างลองกับอีกฝ่ายบ้าง
มากันสามคนแต่เหมือนมาเดตกันต่อหน้าต่อตา
พีรพัชร์เดินไปรวมกลุ่มกับอีกสองคนทันทีที่เจรจาตกลงกับพนักงานในร้านได้
“ไง ดูอะไรกันอยู่”
“เสร็จแล้วเหรอพี่เพชร กำลังดูสายคล้องแว่นอยู่เลย ว่าจะเปลี่ยนอันใหม่” วีร์กำลังถือสายคล้องขาแว่นอยู่สองสามชิ้น
“แล้วเอาแว่นมาด้วยเหรอ มันจะเสียบขาได้รึเปล่า” พีรพัชร์เอ่ยทักไปเสียก่อน
“เห็นมั้ย เฮียก็บอกแล้วว่าค่อยมาดูวันหลังก็ได้ ยังไม่รีบเปลี่ยนไม่ใช่เหรอ” วีรมาตุเอ่ยทักอีกคน
“แต่ลายมันสวยดี กลัวหมดซะก่อน” วีร์ยังคงสองจิตสองใจวางสายคล้องแว่นในมือทั้งสองข้างไม่ลง
“อย่าเสียดาย ถ้าเกิดมันเสียบไม่ได้ขึ้นมาก็เสียเงินไปเปล่าๆ แล้ววันหลังอาจจะมีลายใหม่ที่ถูกใจกว่าก็ได้”
“พี่ก็เห็นด้วยนะ คราวหลังอาจจะเจอแบบที่ดีกว่าก็ได้”
ใช่ พวกเขากำลังพูดถึงสายคล้องแว่น เมื่อเจอคำพูดรุ่นพี่ทั้งสองคนพูดไปในทางเดียวกันเข้าไป วีร์ก็เลยต้องตัดใจวางสายคล้องแว่นไว้ที่เดิมของพวกมัน แต่ก็ยังไม่วายกวาดสายตามองดูอีกครั้ง ก่อนที่จะหันหลังกลับ
“แล้วต้องทำอะไรอีกมั้ย พี่เพชร”
“เขาบอกว่าค่อยมาเอาเย็นวันมะรืนโน้น ช่วงนี้เขาบอกว่าคิวยาว เลยต้องรอหน่อย”
“งั้นก็เดินกลับห้างเลยมั้ย หรือพี่เพชรจะไปไหนต่อ” วีร์ว่าแล้วก็เดินนำทุกคนออกมาจากร้านเพื่อเดินกลับไปที่ห้างสรรพสินค้า
“ก็ไม่มีแล้วนะ”
“งั้นก็... อืมม เดี๋ยววีร์ไปถ่ายรูปราคาสายคล้องไว้ก่อนดีกว่า แป๊ปนึงนะ” วีร์รีบกลับเข้าในในร้านโดยทันที
“เดี๋ยววีร์...” วีรมาตุเรียกอีกฝ่ายไม่ทัน จะบอกว่าเขาถ่ายป้ายราคาเก็บไว้เรียบร้อยแล้ว
“ช่างเถอะเดี๋ยวก็ออกมา ปกติก็อย่างนี้แหละ ยังตัดใจไม่ลง” พีรพัชร์มองดูวีร์ที่กำลังเดินไล่ไปตามที่ต่างๆภายในร้านจนเจอของที่เขาต้องการ
“ใช่ บางทีเดินเลือกดูอยู่ตั้งนาน ถ้าชอบใจก็หยิบวางๆอยู่อย่างนั้นแหละ” วีรมาตุเก็บโทรศัพท์กลับเข้ากระเป๋ากางเกงของเขา พลางนึกไปถึงตอนที่เขาขอให้วีร์ช่วยเลือกซื้อของขวัญให้คุณกร
“นายดูจะรู้จักน้องดีเหมือนกันนะ” พีรพัชร์เอ่ยปากโดยที่สายตาของเขายังคงมองวีร์อยู่
“ก็พอสมควร นายละ” วีรมาตุเองก็ยังไม่ละสายตาไปไหน
“ก็รู้จักกันตั้งแต่เด็กๆ รู้จักก่อนแฟนเก่าน้องอีก”
“เราก็เคยเห็นน้องตั้งแต่เด็ก แค่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าน้องเป็นใคร”
“รู้จักคนที่บ้านน้องเขาด้วยนะ”
“เราก็รู้จัก ยังเคยไปกินข้าวด้วยกันบ่อยๆ”
สถานการณ์ภายนอกร้านเริ่มตึงเครียดขึ้นมา
“พ่อแม่เราก็รู้จักกับน้องดีนะ”
“ป๊ากับม้าเรา...” วีรมาตุนิ่งไป เขาเพิ่งจะรู้ตัวว่าจนถึงตอนนี้วีร์และพ่อกับแม่ของเขายังไม่เคยได้พบเจอกันเลย เท่าที่เขารู้ ณ ตอนนี้ วีร์รู้จักกับที่บ้านของสุรศักดิ์ เคยไปบ้านของนพชัยและชัยทิศ เคยเจอแม่ของพระยศ แต่กับพ่อและแม่ของเขาและศศิทัศน์ยังไม่มีโอกาสได้เจอกัน
พีรพัชร์นึกยิ้มอยู่ในใจ พยายามไม่แสดงออกมากนัก
ในตอนนั้นวีร์ก็เดินมาพอดีและยิ้มให้กับเด็กหนุ่มทั้งสองคน
“เสร็จแล้ว เราไปกันเลยมั้ย”
“โอเค แต่เราคงไปกันแค่สองคนนะ เมื่อกี้เห็นมีโทรศัพท์มาตามตัวเขาให้รีบกลับ” พีรพัชร์รีบชิงพลิกความได้เปรียบมาเป็นของตัวเองก่อน
“อ้าว เหรอครับ เฮีย”
วีรมาตุรู้สึกว่าตัวเองจะก้าวพลาดไปเสียหน่อย คงเพระว่าเขาไม่ทันระวังว่าอีกฝ่ายจะมาไม้นี้ได้ แต่เขาก็ไม่ได้รู้จักตัวตนอีกฝ่ายมากพอให้เตรียมตัวตั้งรับได้ทัน จึงได้แต่พยักหน้ารับ
“แต่รถเฮียจอดอยู่ที่ห้างนิ งั้นก็เดินกลับกันเลยมั้ย” วีร์หันมองทั้งสองหนุ่มแล้วก็ออกเดินไปในทันที
พีรพัชร์หันมายิ้มให้กับวีรมาตุ ศึกนี้เขาขอรับชัยชนะไปก่อน แล้วเขาก็เดินตามวีร์ไป ส่วนวีรมาตุก็ได้แต่ถอนหายใจเดินตามไปทีหลังสุด
มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา
“ว่าไง พี่ธีร์ถึงแล้วเหรอ” วีร์กดรับวิดีโอคอล
(เปล่า ตอนนี้อยู่โรง’บาล)
“หือ ทำไมไปอยู่โรง’บาลได้อะ” วีร์ขมวดคิ้วเข้าหากัน เมื่อสังเกตดูดีๆก็เห็นว่าบรรยากาศโดยรอบของอีกฝั่งเป็นที่นั่งรอภายในคลินิกของโรงพยาบาล
(วาเขาหน้ามืด พี่เลยพามาหาหมอก่อน)
“แล้วเป็นอะไรมากมั้ย”
(กำลังรอพบหมออยู่ ยังไม่รู้เลย แล้วนี่วีร์อยู่ไหน)
“อยู่ที่ห้าง กับเฮียวีแล้วก็พี่เพชร” วีร์หันกล้องโทรศัพท์ให้ธีร์เห็นเด็กหนุ่มทั้งสองคน ตอนนี้พวกเขาเดินผ่านประตูห้างสรรพสินค้าเข้าไปแล้ว
(เหรอ วันนี้คงไม่ได้ไปกินแล้วนะ พี่ว่าจะหาซื้ออะไรก่อนเข้าบ้าน วีร์จะหาอะไรกินก่อนมั้ยหรือให้พี่ซื้อไปเผื่อด้วย)
“แล้วยังอยู่โรงพยาบาลอีกนานมั้ยอ่า”
(น่าจะอีกสักพักเลยมั้ง)
วีร์มีสีหน้าครุ่นคิดว่าเขาจะเอาอย่างไรดี ทางฝั่งของพีรพัชร์คิดหวังให้วีร์เลือกหาอะไรกินก่อนซึ่งหมายถึงเขาและวีร์จะได้กินอาหารด้วยกันก่อนกลับแค่สองคน เพราะเขาได้ดักทางอีกฝ่ายไว้ก่อนแล้ว ส่วนวีรมาตุนั้น...
“น้องวีร์จะไปที่โรงพยาบาลเลยมั้ย ยังไงก็ทางผ่านไปบ้านเฮียอยู่แล้ว”
ทั้งวีร์และพีรพัชร์หันไปมองวีรมาตุพร้อมกัน ในใจของพีรพัชร์คิดไม่ถึงว่าจะมีทางเลือกนี้เกิดขึ้นมา แถมยังเป็นหนทางที่เขาช่วยกรุยไว้ให้เสียด้วย
(เอาไงวีร์) เสียงของธีร์เรียกความสนใจของวีร์กลับไปที่โทรศัพท์
วีร์ใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“งั้นเดี๋ยววีร์ไปที่โรง’บาลนะ”
(โอเค แล้วเดี๋ยวเจอกัน)
“ครับ” วีร์กดจบการสนทนา “งั้น เดี๋ยววีร์ไปกับเฮียวีนะ พี่เพชรกลับเองได้ใช่มั้ย”
ถึงพีรพัชร์จะไม่อยากกลับไปคนเดียว แต่ว่าทางเลือกของเขามีเพียงแค่นี้ จึงได้แต่พยักหน้ารับ
“งั้นวีร์ไปก่อนนะ เดี๋ยววันซ้อมค่อยนัดกันอีกทีนะพี่เพชร”
“โอเค”
พีรพัชร์มองดูวีร์และวีรมาตุรีบเดิบไปที่ลิฟต์โดยสารเพื่อขึ้นไปยังชั้นที่วีรมาตุจอดรถยนต์ไว้ พลางนึกทบทวนในใจนี่ทำผิดพลาดอะไรตรงไหน ทำไมถึงได้ออกมาในรูปแบบนี้ และที่สำคัญเขาเพิ่งจะประกาศตัวเป็นคู่แข่งกับวีรมาตุอย่างโจ้งแจ้งไปไม่ใช่หรือไง
*****
yobortsa:(สติกเกอร์ถอนหายใจ)
วิธู:
เป็นไรนิ
yobortsa:ได้เจอก็เหมือนไม่ได้เจอ
วิธู:
เป็นอะไร ว่ามา
yobortsa:ป่าว บ่นเฉยๆ
*****
ending music inspired by คริสติน่า อากีล่าร์ – พลิกล็อค
[โปรดติดตามตอนต่อไป]