พจมาน 18 มงกุฎ : ตอนที่ 21 คุณหญิงย่า [PART 3] [24 ก.พ. 67]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: พจมาน 18 มงกุฎ : ตอนที่ 21 คุณหญิงย่า [PART 3] [24 ก.พ. 67]  (อ่าน 1668 ครั้ง)

ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า


16 แดง...เดือด


ไม่มีใครรู้ว่าวินาทีข้างหน้าเราจะเจอกับอะไร

ไม่มีใครรู้ว่าหัวใจดวงน้อย ๆ ของตัวเองจะหยุดเต้นลงเมื่อไหร่

และไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้กับชาติหน้าอะไรจะมาก่อนกัน

อย่างเช่นตัวผมเอง...

ที่ตอนนี้ยังไม่รู้ตัวเลยว่า วันสุดท้ายของชีวิตจะมาถึงเพียงชั่วเสี้ยววินาทีนี้...

ไม่นะ! ไอ้พึ่งยังไม่ได้บอกลาพ่อพจน์กับไอ้พิงเลย!!

< (“Q ∆ Q”) >

พี่แพทจดจ่อรอคอยราวกับนางเสือสะกดรอยเหยื่อ นิ้วมือนิ่มนวลของพี่แกกำมือชื้นเหงื่อของผมไว้แน่น จากนั้นก็กระชาก ลากพรืด ๆ พาผมมายืนนิ่งเป็นดุ้นศิลาแลงอยู่ตรงหน้าโต๊ะสีชมพูของไอ้ยักษ์ หน้าผมมืดวูบ ๆ หูผมดับวิ้ง ๆ ไม่ได้ยิน ไม่ได้เห็นแล้วครับว่า ณ ขณะนี้ กระแสไฟฟ้าสถิตเสถียรจะแล่นแปล๊บปล๊าบบาดจิตขนาดไหน

หันไปเจอสายตาไอ้ยักษ์ก็ว่าหน้าชาแล้ว หันกลับมาเจอสายตาพี่แพท...อูย...รายนี้ชากว่า ชาตั้งแต่กลางกระหม่อมยันปลายเล็บเท้าไปเลย

“งามหน้านักนะตาพอล ทำไมทำอะไรไม่คิดถึงชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลบ้าง พาผู้หญิงอื่นมากินข้าวสองต่อสอง ทั้งที่ตัวเองมีเมียอยู่แล้วทั้งคน ใครเห็นเข้าเขาจะเอาไปนินทากันยังไง คิดบ้างหรือเปล่า?”

เปิดฤกษ์ด้วยคำปรามาสแสนเจ็บแสบ คำเดียวกับที่ผมเคยได้ยินในละครน้ำเน่าประเภทแม่ผัวลูกสะใภ้บ่อย ๆ เลยล่ะครับ แถมเจ๊แกยังยืนกอดอกข่มแบบในหนังเป๊ะ งานนี้มีตบ!

ทันทีที่โดนพี่แพทจิกกัด ไอ้ยักษ์ก็หน้าโหดขึ้นอีกสิบเท่า ส่วนคนสวยที่นั่งอยู่ด้วยกันก็ดูท่าจะตกใจกับเหตุการณ์นี้อยู่ไม่น้อย อย่าว่าแต่นางฟ้าจะเป็นงงเลยครับ ผมเองก็ถึงกับเอ๋อไปเหมือนกัน ที่จู่ ๆ ก็ถูกพี่แพทลากพรืด ๆ มายืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าของเจ๊นางฟ้าคนสวยขวัญใจไอ้ยักษ์ การจู่โจมแบบกะทันหันทำเอาสาวเจ้าออกอาการตกใจไม่น้อย ดูจากตากลม ๆ ที่มีแววตระหนกเล็ก ๆ นั่น แหม...น่าเข้าไปปลอบจริงเชียว เอ๊ย! ไม่ใช่ ๆ ผมมาเพื่อประกาศความเป็นเมียหลวงนี่หว่า เกือบหลุดยิ้มเยิ้มเฉย ขืนยิ้มพร่ำเพรื่อออกมาตอนนี้ พี่แพทกระทืบผมแน่...

“พี่แพท? นี่ไม่ใช่เรื่องของพี่” แต่แทนที่ไอ้ยักษ์จะสลด มันกลับทำหน้ามืดทะมึนแล้วตอบกลับพี่แพทมาแบบแสบทรวงไม่แพ้กัน คราวนี้พี่แพทผมแทบเต้นสิครับ เมื่อน้องชายมันไม่เชื่องอย่างที่หวัง

“ตาพอล!”

“คนที่ควรอายน่าจะเป็นพี่มากกว่านะ ที่มาหาเรื่องกันในร้านอาหารแบบนี้น่ะ เดี๋ยวก็ได้เป็นข่าวกันหมดนี่หรอก”

เห็นพี่แพทเริ่มเหวี่ยงหนัก ไอ้ยักษ์พอลก็ออกปากเตือนขึ้นมา พี่แพทยอมเงียบเสียงลง แต่สองสายตาของสองพี่น้องยังคงจ้องข่มกันไม่ลดละ

"...นี่มันเรื่องอะไรกันคะ?" อื้อฮือ...เสียงโคตรหวาน...เอ่อ เผลอเคลิ้มไปหน่อย นอกจากเสียงหวาน ๆ แล้วรูปร่างอ้อนแอ้นของผู้ถูกพาดพิงก็ลุกขึ้นโชว์ความงาม เอ๊ย ลุกขึ้นห้ามสถานการณ์เลยเถิดด้วยเช่นกัน ผมนี่แทบปรบมือให้กับความกล้าหาญของคนสวย นี่ขนาดแมน ๆ อย่างผมยังไม่กล้าแหย่หนังหน้าเข้าไปสอดในสงครามเลือดเดือดนี่เลยนะ

“ไม่มีอะไรหรอกครับเกล พี่ผมเขาจะเข้าวัยทองน่ะ เราไปกันเถอะครับ บรรยากาศเสียหมดแล้ว” แรงมากพ่อ! บอกเลยว่าแรงมาก ไอ้พอลมันช่างให้ความเคารพศรัทธาต่อญาติผู้ใหญ่ของมันเหลือเกิน มันพูดจบก็หยิบแบงค์เทาหลายใบขึ้นมากองไว้บนโต๊ะ เพราะคงไม่มีเวลาจะเรียกใครมาเช็กบิลได้ทันในตอนนี้ ก่อนจะเตรียมตัวลุกขึ้นพาคนสวยของมันออกจากร้าน ท่ามกลางสายตาของไทยมุงหลาย ๆ คู่ หนึ่งในนั้นก็ผมนี่แหละ ยืนมองจนลืมไปเลยว่าเป็นเรื่องของตัวเอง เกือบแล้วนะ เกือบโบกมือลาพี่สาวคนสวยที่หันมองมาทางผมเบา ๆ

กระทั่ง...

“...ค...คุณพอล”

เสียงแปร่ง ๆ สั่นเครือ เอ่ยเรียกชื่อไอ้ยักษ์เบา ๆ พร้อมหยาดน้ำตาอาบสองแก้มขาว ร่างกายบอบบางสั่นระริก ปลายจมูกแดงก่ำ ใครมองมาก็ย่อมเห็นพ้องกันว่าสุดจะน่าสงสาร...

ครับ...สาวน้อยที่ยืนสะอึกสะอื้นอยู่นี่ก็ไม่ใช่ใครอื่นหรอก ตัวผม ไอ้พึ่ง คนดีคนเดิมของพวกคุณนี่แหละครับ ฮือ...อะ ฮึ่ก อะ ฮึ่ก...

หลายคนอาจถึงกับลุกขึ้นปรบมือให้ผมในฐานะนักแสดงยอดเยี่ยม นายพจนน้ำตาสั่งได้ หึหึหึ...อะฮึ่ก...

แต่ไอ้น้ำตาที่สั่งได้น่ะ มันไม่ใช่ผมหรอกนะที่สั่ง...

แต่เป็นคนที่ขยี้หัวแม่ตีนผมอยู่นี่ต่างหากล่ะ สั่งได้เป็นลิตรเลย...ฮือ...โฮ...

พี่แพทคับ...พึ่งเจ็บ...

“เป็นลูกผู้ชายมากเลยตาพอล ทิ้งเมียที่กำลังร้องห่มร้องไห้แล้วไปกับผู้หญิงอื่นแบบนี้!”

สิ้นคำพี่แพท ไอ้ยักษ์พอลก็หันมามองหน้าผมแบบเหยียด ๆ ก่อนจะสะบัดตูดเดินต่อไปแบบไม่ไยดีผมเลยสักกระผีก หน็อย...นี่กูสะอึกสะอื้นขนาดนี้ มึงยังเมินกูลงคออีกรึ! แถมทำหน้ากวนส้นตีนกูอีก! ถ้ามึงจะไปอย่างน้อยก็ช่วยเอากูไปกับมึงด้วยสิวะ หน็อย...กล้าทิ้งขว้างกูไว้กับพญาเสือเชียวเหรอ?

ทิ้งไม่พอนะไอ้ยักษ์เปรต เสือกมองเหยียดกูอย่างกับมองขี้อีก!



+

+

+



เฮ้อ...โกรธมันไปก็แค่นั้นแหละครับ จะให้ผมทำอะไรล่ะ มันอยู่กับแฟนมันก็ถูกแล้ว ไม่เกี่ยวกับผมซะหน่อย...ง่ะ...

...อูยยย...หัวแม่ตีนผมโดนขยี้อีกแล้ว! แถมคราวนี้พี่แกเล่นบี้หัวแม่ตีนจนหัวผมมึน ขยี้จนผมหน้ามืด ดึงออกมาก็ไม่ได้ ส้นเข็มตอกลงลึก เหมือนจะทะลุลงพื้น ครับเจ๊ครับ... เจ๊อยากให้ทำอะไรผมยอมทั้งนั้นแล้วครับ ให้กีดกันน้องชายเจ๊จากพี่นางฟ้าใช่ไหมครับ ได้ครับ ผมจัดให้เดี๋ยวนี้เลย เอาให้แตกหักเลยนะ เอาแบบให้มองหน้ากันไม่ติดกันไปเลยนะครับ!

เอาวะ!!

เมื่อตั้งใจดังนั้น...ผมก็สูดหายใจลึก ๆ หนึ่งครั้งเพื่ออัญเชิญ กบ สุวนันท์ แอ๊ฟ ทักษอร อ้อม พิยดา เบลล่า ราณี เจ้าแม่ละครโศกคนไหนก็ได้ให้ลงมาประทับร่างไอ้พึ่งที!

องค์มา องค์มา!!

"คุณพอล! หากคุณจะไม่สนใจกัน อิฉันก็คงไม่อาจบังคับ แต่ลูกในท้องของเราล่ะ คุณจะทอดทิ้งเขาได้ลงคอเชียวเหรอ? "

เสียงดัดจริตตอแหลของผมแผดกล้าอย่างน่าสงสาร สองมือทำหน้าที่อย่างสามัคคี มือซ้ายลูบหน้าท้องตัวเองป้อย ๆ มือขวายกขึ้นทาบอก ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จแบบไม่มีหมกเม็ด เล่นซะขนาดพี่แพทยังต้องรีบถอนส้นเข็มแกออกจากหัวแม่ตีนผมโดยเร็ว แล้วเข้ามากอดปลอบผมเป็นการใหญ่ ไม่รู้ว่าแกรับมุกผมหรือแกดันเชื่อเรื่องที่ผมตอแหลออกไปกันแน่

อะไรแน่ไม่แน่ไม่รู้ล่ะ แต่ที่แน่ ๆ บทละครน้ำเน่าหลังข่าวของผม เรียกเสียงฮือฮาในห้องอาหารได้ดีทีเดียว ยักษ์เอ๊ย...ขอโทษทีนะมึง หึหึ

“อิฉันเข้าใจค่ะ ว่าอิฉันมันก็แค่คนมาทีหลัง...แค่เมียในนามที่คุณสามารถใช้สิทธิ์ความเป็นสามีกับร่างกายนี้ได้เต็มที่ แต่อิฉันคนนี้กลับไม่มีสิทธิ์ในหัวใจของคุณเลย การที่อิฉันรักคุณอยู่ฝ่ายเดียว คงทำให้คุณอึดอัด...ขอโทษนะคะ...ขอโทษที่อิฉันทำให้คุณต้องลำบากใจ หากเมื่อไหร่ที่ไม่ต้องการตัวอิฉันแล้ว ก็บอกได้ทุกเมื่อนะคะ อิฉันกับลูกจะไปเองค่ะ...”

“ให้คุณได้กับเขา ให้คุณโชคดี อย่ามีอะไรต้องเสียใจ...ส่วนอิฉันจะลืมว่าเคยร้องไห้ ลืมว่าเคยต้องเป็นใคร...ที่คุณไม่เอา...” ท่อนหลังนี่มาเป็นเพลงพี่พงษ์พัฒน์กันเลยทีเดียว ก่อนจะเนียนโผเข้าซุกร่องนมพี่แพท แสร้งสะอื้นน่าสงสาร เสียงซุบซิบดังฮือขึ้นเป็นลำดับ ผมได้ยินไม่ชัดนัก เพราะกำลังตั้งอกตั้งใจไซ้ร่องนมพี่แพทอยู่ ได้ยินผ่าน ๆ ประมาณว่า หญิงร้ายชายเลว เห็นเมียน้อยดีกว่าลูก หน้าด้าน ฯลฯ ความจริงผมก็เห็นใจทั้งสองคนอยู่หรอกนะ ไม่สิ เห็นใจพี่นางฟ้าคนเดียวต่างหาก ส่วนไอ้ยักษ์เปรตนั่น เอ็งก็รับกรรมไปแล้วกัน!

“นี่! อย่ามาสร้างเรื่องนะ ฉันกับเธอยัง...!!”

“ดิฉันกับพอลเราไม่ได้เป็นอะไรกันค่ะ!”

เสียงใสของพี่นางฟ้าดังขึ้น ก่อนผละออกจากไอ้ยักษ์แล้วเดินมาหยุดตรงหน้าผมกับพี่แพท เสียงสะอื้นผมหายไปทันที ค่อย ๆ ผละออกจากอกอุ่นขึ้นมาเผชิญหน้ากับนางฟ้าคนงาม อูย...องค์ออกเลยผม นางเอกละครโศกที่ผมเรียกมาประทับร่างเมื่อครู่ละลายไปกับความงามของพี่นางฟ้า

ให้ตายเถอะ ยิ่งใกล้ก็ยิ่งสวย แค่สูดกลิ่นอยู่ไกล ๆ ก็ยังหอม...อา...ไอ้พึ่งเคลิ้ม

“ไม่ต้องไปสนใจหรอกครับเกล เราไปกันเถอะ” ยังเคลิ้มได้ไม่เท่าไหร่ ไอ้ยักษ์เข้ามากันเฉย มันพยายามเกลี้ยกล่อมพี่นางฟ้าให้ออกไปพร้อมกัน

“ไม่ได้หรอกนะพอล เกลต้องอธิบายให้ภรรยาของพอลเข้าใจ” แต่ดูเหมือนพี่นางฟ้าจะไม่สมยอมกับมัน ไงล่ะมึง หน้าม้านไปเลย

ไอ้ยักษ์พอลที่ท่าทางจะไม่ยอมในตอนแรก สุดท้ายก็แพ้ทางคนสวย ยอมให้พี่นางฟ้าหันมาคุยกับผมได้ในที่สุด…อื้อฮือ…แค่สบตาผมก็แทบละลาย ตาจะหวานไปไหน ราวกับจะสะกดจิตพานให้อยากจะไปเป็นพ่อเลี้ยงให้ลูกพี่นางฟ้าเสียตอนนี้เลย…

"ต้องขอโทษจริง ๆ นะคะที่ทำให้เข้าใจผิด ฉันกับพอล เราเป็นแค่เพื่อนกันค่ะ ไม่มีอะไรเกินกว่านั้น..." พี่นางฟ้าพยายามอธิบาย ซึ่งผมแทบไม่ได้ฟังเลยครับบอกตรง ๆ หลงรูปอย่างสิ้นเชิงอยู่ อูย...สวยหวานขนาดนี้นี่เองไอ้ยักษ์เลยรักซะ

"หึ! อย่ามาทำเป็นตีหน้าซื่อไปหน่อยเลย ไม่ได้มีอะไรกันแล้วยังไง? เธอก็รู้อยู่ว่าน้องชายฉันมีใจให้ ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากเขา หลอกให้ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ เทียวมาเทียวไปให้น้องฉันหลงหัวปักหัวปำอยู่ได้! ลอยหน้าลอยตาว่าเป็นคนดี หึ! หลอกใช้ผู้ชายเก่งเหลือเกินนะ!!" พี่แพททำเสียงขึ้นจมูกทันทีที่ได้ยินพี่นางฟ้าแก้ต่าง พร้อมทั้งผรุสวาทแบบรวดเดียวจบใส่พี่นางฟ้าไม่ยั้ง ตอนนี้แพทสวมวิญญาณนางร้ายเต็มที่ เล่นเอาพี่นางฟ้าคนดีของผมกลายเป็นดาวพระศุกร์ไปเลย

“ขอโทษนะคะ เราคบกันด้วยความบริสุทธิ์ใจจริง ๆ ฉันไม่ได้คิดจะหลอกอะไรพอลเขาเลยนะคะ”

“เก็บคำโกหกของเธอไว้หลอกผู้ชายเถอะ!”

“ฉันไม่ได้เป็นแบบนั้นนะ!”

“เชื่อก็โง่!”

หมับ!

!!?

สองสาวชะงัก ผมก็ชะงัก แม้แต่ไอ้ยักษ์ที่กำลังจะเข้ามาช่วยแฟนมันยังชะงัก…

หนุบ ๆ

สองมือสัมผัสบางสิ่ง ลองบีบให้แน่ใจ…นั่นไง…ชัดเลย ตั้งใจเข้าไปช่วยห้ามทัพก่อนนางฟ้าทั้งสองจะลงมือตบกันเละ ตั้งใจแบบนั้นจริง ๆ นะ แต่มือมันดันห้ามผิดที่ไปหน่อย พี่แพทมือขวา พี่นางฟ้ามือซ้าย เต็มไม้เต็มมือทั้งคู่ อวบอิ่มจนไม่อาจละมือ…

อา…รู้สึกโพรงจมูกอุ่นวาบ

ติ๋ง…

“ตายแล้วพึ่ง!?” เสียงพี่แพทแว่ว ๆ อยู่เหนือหัวแวบ ๆ อ๋อ…กำเดาผมไหลนี่เอง พี่แพทเลยรีบเข้ามาประคองไว้ แหะ ๆ ห่างนมมานานครับผม ไม่ต้องเนื้อนวลมาเป็นเดือน ๆ อาการหื่นเลยมาเยือนกะทันหัน แตะนิดต้องน้อย กำเดาเลยย้อยด้วยอาการตื่นเต้นเกินเหตุไปหน่อย

“คุณคะเป็นอะไรมากไหมคะ? พอลช่วยดูเธอหน่อยสิ” พี่นางฟ้าร้อนรนไม่ต่างกัน เสียงอื้ออึงของพวกผม ทำให้ทางร้านอาหารส่งบริกรเข้ามาช่วยเหลือ (พร้อมไล่กลาย ๆ) จำนวน 2 คน

ในที่สุดพวกผมก็ถูกอัญเชิญออกนอกร้านอย่างมีมารยาท สองสาวช่วยประคองผมที่แสร้งง่อยเปลี้ยออกจากร้านด้วยความห่วงใย (แหม…ก็จะให้ผมสารภาพออกไปได้ยังไงล่ะครับว่ากำเดาไหลเพราะหื่น เลยต้องแกล้งป่วยกระเสาะกระแสะตามฟอร์นางเอกน้ำเน่าละครหลังข่าวต่อไป) ส่วนไอ้ยักษ์น่ะเหรอ ถุยเลยครับ ไม่มีแม้แต่จะชายตาแล หน้างี้บูดยิ่งกว่าตูดไม่ได้ล้าง โคตรสุภาพบุรุษ

“พากลับไปเสียทีเถอะพี่แพท กำเดาไหลอย่างกับจะอาบได้อยู่แล้ว ตายขึ้นมาตรงนี้จะลำบาก ไปกันเถอะครับเกล เดี๋ยวผมไปส่ง” พยุงกันมาได้ถึงลานจอดรถ ไอ้ยักษ์มันก็พูดขึ้นมาด้วยหน้าตาเหม็นเบื่อเต็มที่ ไม่พูดเปล่า ผลักหัวผมเข้าอ้อมอกของพี่แพทจนเซ ก่อนจะคว้าแขนของพี่นางฟ้าพยายามพาเดินกลับไปที่รถของตัวเอง

“มันจะมากไปแล้วนะตาพอล! นี่เมียแกนะ!!” พี่แพทตวาดแหว แกแทบจะเหวี่ยงผมลงพื้นด้วยความโมโหน้องชายเลี้ยงไม่เชื่องของตัวเอง

“ใช่ค่ะพอล คุณต้องพาเธอไปโรงพยาบาลนะคะ เธอกำลังป่วย” พี่นางฟ้าคนงามก็ช่วยพูด

“เขาไม่ตายง่าย ๆ หรอกครับ เกลไม่ต้องไปห่วงเขาหรอก! ผมพาเกลมา ผมก็จะไปส่งเกลเท่านั้น ใครมากับใครก็กลับกับคนนั้นสิ!” แต่ไอ้ยักษ์พอลมันไม่ยอมท่าเดียว แต่ดีแล้วครับ ให้มันไปกับพี่นางฟ้าเถอะ ไม่ต้องมาสนใจผมหรอก ผมเองก็ไม่อยากกลับกับมันเหมือนกัน ไม่เอาเด็ดขาด ว่าแล้วก็รีบอ้อนพี่แพททันใด

“พี่แพทคะ พาพึ่งกลับทีค่ะ พึ่งไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว” จะอ้อนธรรมดาก็ดูจะไม่ถึงใจถึงอารมณ์ รุ่นนี้มันต้องระดับบัลลังก์เมฆ ดราม่าเข้าเส้นเลือดกันไปเลย! บีบเข้าไปน้ำตามีเท่าไหร่ไอ้พึ่งจะกลั่นออกมาทุกหยด ขออย่างเดียว อย่าต้องให้ผมกลับกับไอ้ยักษ์มันเลย “พึ่งไม่อยากอยู่ใกล้เขา พึ่งไม่ต้องการอยู่ใกล้คนใจร้ายแบบนั้นอีกแล้ว ขอร้องนะคะพี่แพท…พาพึ่งไปส่งที่บ้านที” (ให้ผมได้กลับไปสู่ความสงบตามประสาพ่อลูกที ป่านนี้พ่อพจน์ผมคงทำกับข้าวไว้เต็มแล้ว หิวครับ อยากกลับบ้าน!)

“ไม่ต้องห่วงนะพึ่ง เรื่องนี้เดี๋ยวพี่จัดการให้เอง” พี่แพทกระซิบเบา ๆ ข้างหูผม อิอิ ดูท่าแผนการของผมจะสำเร็จ พี่แพทคงยอมพาผมกลับบ้านแต่โดยดี…

“ตาพอล! ถ้าแกยังนับว่าฉันเป็นพี่ พาพึ่งกลับบ้านเดี๋ยวนี้!!”

ซะที่ไหนล่ะ เฮ้ย! ทำไมมันสวนทางกับความคาดหวังของผมงี้ล่ะ!? ผมรีบส่งสายตาอ้อนวอนพร้อมส่ายหน้าเต็มกำลัง ไม่นะพี่แพท ผมไม่อยากกลับกับมัน!!

“พอเสียทีเถอะพี่!” ใช่เลยยักษ์ เอ็งเถียงให้ชนะพี่เอ็งให้ได้นะ ผมนี่รีบส่งสายตาเชียร์ไอ้ยักษ์สุดใจ

“ถ้าห่วงกันนัก ฉันไปส่งเกวลินให้ก็ได้ แต่แกต้องพาพึ่งกลับบ้าน น้องไม่สบายไม่เห็นเหรอ!?”

“พี่ก็พาไปเองสิ ไหน ๆ ก็กลับบ้านอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ!?”

“ถ้าแกไม่ยอมทำตามที่ฉันพูด เรื่องนี้ถึงหูท่านหญิงย่าแน่! แล้วแกคงรู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสิ่งที่แกคาดหวังนักหนาหลังจากแต่งงานครบสามปี!”

“พี่แพทอย่ามาใช้มุกนี้กับผมนะ!”

“นี่ไม่ใช่มุก! แกรู้ฉันเอาจริง!”

ผมไม่รู้หรอกว่าพวกเขาเถียงเรื่องอะไรกัน รู้แต่ว่าตอนนี้ไอ้ยักษ์มันเริ่มสู้ไม่ไหวแล้ว ดูเหมือนพี่แพทจะถือไพ่เหนือกว่าโดยการเอาชื่อคุณหญิงย่ามาขู่ ผมไม่รู้ว่าพวกเขามีข้อตกลงอะไรกันไว้ ที่ขนาดทำให้ไอ้พอลถึงกับสลด ใช่ครับ ผมไม่รู้หรอกว่ามันเป็นยังไง ที่รู้อย่างเดียวคือการเป็นแนวร่วมไอ้ยักษ์ล่ะครับงานนี้

“พี่แพทคะ พึงไม่อยากกลับกับเขา” ผมอ้อนวอนทั้งน้ำตาตกในอีกครั้ง

“ไม่ได้ค่ะ พึ่งต้องกลับกับสามีพึ่ง เป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุด! จะยอมให้คนอื่นคาบไปต่อหน้าได้ยังไง!” แล้วก็ถูกตอกหงายหลังกลับมาเช่นเดิม

“กลับไปกับภรรยาคุณเถอะค่ะ พอล เกลกลับเองได้ โรงแรมใกล้แค่นี้เอง” นางฟ้าออกตัวบ้าง เพราะถูกพี่แพทค่อนขอดเอาอีกแล้ว

“ไม่ต้องเกล ผมจะไปส่งคุณเอง” แน่นอนว่าไอ้ยักษ์ไม่มีวันยอม ดีแล้วยักษ์ ยืนหยัดไว้พวก!

“คุณกลับไปพร้อมลูกเมียคุณเถอะค่ะพอล! เกลไม่อยากวุ่นวายมากไปกว่านี้แล้ว เกลเหนื่อยค่ะ อยากพักผ่อน ขอตัวเลยแล้วกันค่ะ” พี่นางฟ้าฉุนขาดในที่สุด พี่แกตัดบท แล้วเดินออกจากสมรภูมิโดยไม่มีล่ำลา

“เกล มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด! โอเค ๆ ผมให้เขาติดรถไปด้วยก็ได้ แต่ให้ผมไปส่งคุณเถอะนะ…ผมขอร้อง” ไอ้ยักษ์เสียงอ่อนเสียงหวาน มือมันคว้าแขนพี่นางฟ้าไว้พร้อมสายตาอ้อนวอน ผมนี่ลุ้นจนปวดฉี่ ยอม ๆ เถอะพี่นางฟ้า รีบ ๆ พามันไปเสียที

“พอเถอะค่ะพอล แค่นี้เกลก็อายเขาจะแย่แล้ว พอลทำให้เกลกลายเป็นผู้หญิงที่แย่งสามีชาวบ้าน จนภรรยาเขาต้องอุ้มท้องมาทวงสามีคืน ขนาดนี้แล้วเกลคงไม่หน้าด้านพอจะให้พอลไปส่งหรอกค่ะ เอาเป็นว่าพอลกลับไปเคลียร์กับภรรยาของพอลให้เข้าใจก่อนดีกว่า แล้วเราค่อยมาคุยกัน ขอตัวนะคะ” คราวนี้พี่นางฟ้าไม่ใจอ่อนครับ สะบัดแขนเบา ๆ แล้วเดินออกไปเลย

ไอ้ยักษ์มันอ้ำอึ้งอยู่แป๊บ แล้วตั้งท่าจะวิ่งตามไป แต่ดันโดนพี่แพทคว้าไว้เสียทัน ก่อนจะดันตัวผมเข้าไปหาไอ้ยักษ์แบบไม่มีการปรึกษา โธ่…พี่แพทครับ ไม่ถามไถ่สุขภาพผมเลยเรอะ!

“ฉันไปส่งแม่นั่นเอง พาพึ่งกลับบ้านซะ!!” พี่แพทพูดแค่นั้น ก่อนจะโหนตัวเข้ารถสุดหรูของตัวเอง แล้วบึ่งตามพี่นางฟ้าคนสวยไป ทิ้งผมไว้กับไอ้ยักษ์และประกาศิตของพี่สาวคนโต

ไอ้ยักษ์มันคงเดือดจัดครับ มันเล่นขบกรามจนแก้มนูนเป็นสัน ผมรู้สึกได้เลยว่าตัวเองกำลังจะงานเข้า ทันทีที่หน้าโหด ๆ มันชายตามาหาผมเท่านั้นแหละ…

ผมก็โกยอ้าวแบบไม่คิดชีวิตเลย!

แต่ว่า…ไม่พ้น

วิ่งเป๋ไปได้ไม่ถึงสี่ก้าว แขนยาว ๆ ของไอ้ยักษ์ก็คว้าเอวผมจากด้านหลังเอาไว้จนจุกขนาดได้ยินเสียงข้อซี่โครงลั่น สองแขนมันกอดผมไว้แน่น ไม่ใช่สิ เรียกว่ารัดน่าจะตรงกว่า แขนขวาล็อกตัวผมตั้งแต่ข้อศอกขวาพาดถึงไหล่ซ้าย ส่วนแขนข้างซ้ายมันล็อกเข้าเอวจนแน่น

จากนั้นก็ก้มลงมากระซิบข้างหูสุดสยอง…

“จะหนีไปไหนกัน? อยากให้ผัวพากลับบ้านจนตัวสั่นไม่ใช่เหรอครับคุณเมีย ลูกลมในท้องนั่นน่ะ เดี๋ยวผัวช่วยทำเป็นตัวให้เองคืนนี้เลยแล้วกันนะ”

...กรี๊ดดดดด!!



+++++++++++++++++++++




ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า


คอนโดหรูกลางกรุงระบบความปลอดภัยสูง ลานจอดรถชั้นบนขึ้นด้วยลิฟต์โดยไม่ต้องขับ แต่นั่นไม่ใช่เวลาที่พจนจะมัวแต่ตื่นตาตื่นใจ เพราะตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาคือการหาทางหนีที่ไล่ ลางร้ายไล่ตามติดแผ่นหลัง เห็นได้ชัดว่าภาคีกำลังโกรธจัด พจนสังหรณ์ประหลาด ไม่แน่ว่าวันนี้อาจเป็นวันสุดท้ายของชีวิตเขาก็เป็นได้

ยิ่งคิดยิ่งขนลุก แต่ก็ยังไม่กล้ากระโตกกระตาก ขืนตื่นตูมเกินงามจะเสียการใหญ่เสียเปล่า ดังนั้นตราบใดที่เจ้าของรถยังไม่ลงจากรถ ตราบนั้นพจนตั้งมั่นว่าจะนั่งนิ่งเป็นพระอิฐพระปูน ทั้งที่หัวใจเจ้ากรรมเต้นกระหน่ำแทบจะหลุดออกทั้งกะบังลม ทว่าการหาทางหนีของพจนดูท่าจะเป็นศูนย์ทันทีที่ได้เห็นที่จอดรถส่วนตัวแบบสุด ๆ ของภาคี  ลิฟต์ส่งถึงที่ มีช่องจอดแค่พอดีและเชื่อมถึงลิฟต์ขึ้นห้องพักกันเลยทีเดียว

แม้จะพยายามขัดขืนเท่าไหร่ ดูเหมือนจะไม่เป็นผล สุดท้ายแล้ว พจนยังโดนลากถูลู่ถูกังเข้าห้องไปจนได้ จากนั้นก็ไม่มีพูดพร่ำทำเพลงใด ภาคีลากพจนเข้าห้องนอนของตนโดยไม่สนเสียงแหกปากโวยวายแสบแก้วหู ลากเข้าไปได้ก็เหวี่ยงสุดแรงกล้าม วืดเดียวทั้งตัวของพจนก็ลงไปกองแบอยู่บนเตียงนุ่ม

ความแรงและเร็วจากการโดนเหวี่ยง เล่นเอาความดันในหูของพจนตีกันวุ่น เล่นเอามึนตื้อไปครู่กว่าจะรู้สึกตัว แล้วเบิกตามองเจ้าของแรงเหวี่ยง

"เฮ้ย! ถอดทำไมวะ!?" พจนแทบลืมตัวว่าเป็นหญิง เสียงตะโกนถามด้วยอารามตกใจจึงห้าวผิดวิสัย ก็จะไม่ให้ตกใจอย่างไรไหว ในเมื่อภาพตรงหน้าตอนนี้คือภาคีที่กำลังเปลื้องเสื้อตัวเองอยู่ แม้พจนจะแหกปากถามก็ไม่ตอบใด ๆ นอกจากจดจ่อถอดเสื้อของตัวเองอยู่อย่างนั้น

ฉากถอดเสื้อช่างเซ็กซี่เร้าใจเหมือนพระเอกในหนัง ผิวขาวผุดผาด กล้ามเนื้อแน่นตึง...

คิดถึงตรงนี้พจนก็รีบสะบัดศีรษะไล่ความคิดมั่วซั่วในหัวของตัวเองออกทันใด เกือบไปแล้ว...เขาเกือบเผลอหลงรูปศัตรูจนเพลี่ยงพล้ำเสียแล้ว เกือบไปแล้ว!!

ไม่รอให้ต้องทบทวนว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับอะไรอยู่ พจนทะลึ่งตัวพรวดขึ้นจากที่นอน ตะกายร่างกลิ้งหลุน ๆ ไปอีกฟากของเตียงทันทีเพื่อหาที่กำบัง

ทว่า...

อีกฟากเตียงที่คิดว่าปลอดภัยนั้น...

ชะรอยจะเป็นทางตันเสียมากกว่า

ด้านหน้าคือเตียงนุ่มขนาดคิงไซซ์ หน้าเตียงไปคือภาคีที่ยืนเปลือยท่อนบนจังก้าท้าสู้อยู่ ด้านหลังของภาคีก็คือประตูห้องนอนเปิดอ้า ที่แค่เดินไม่กี่ก้าวก็ออกจากห้องนี้ได้อย่างสบาย แต่พจนกลับมองไม่เห็นทางหนีเอาเสียเลย ราวกับว่าภาคีที่อยู่ด้านหน้ากันตอนนี้ จะตัวใหญ่กว่าปกติหลายเท่าตัว 

หัวใจของพจนเต้นถี่ ด้านหน้าที่ว่าไร้ทางหนีแล้วนั้น ข้างหลังดันเป็นทางตันยิ่งกว่า เพราะมันคือประตูระเบียงของห้องที่อยู่บนชั้น 36!!

ทางเดียวที่พจนพอจะหนีได้ คือการหลอกล่อให้ภาคีเผลอเปิดทาง แล้วทะลวงฝ่าไปให้ถึงประตูให้ได้เท่านั้น...

Mission impossible start!!

"เอ่อ...คุณพอล...เราคุยกันก่อนได้ไหม เรื่องที่เกิดขึ้นอิฉันอธิบายได้นะ..." คิดอะไรไม่ออก พจนเลยลองชวนคุยก่อน เพื่อทุเลาบรรยากาศคุกรุ่น ซึ่งดูท่าจะไม่ได้ช่วยอะไรนักเพราะภาคียังคงยืนจ้องพจนเงียบ ๆ  

ยิ่งเงียบเท่าไหร่ ก็ยิ่งน่ากลัวเท่านั้น 

แต่พจนจะไม่ละความพยายามเด็ดขาด เขากระแอมเบา ๆ ครั้งหนึ่งเพื่อหาคีย์เสียงสาว จากนั้นก็เริ่มสานสัมพันธมิตรต่อ

"...อย่าเงียบสิคุณ"

"โธ่..คุณก็น่าจะรู้ว่าฉันทำเพราะถูกบังคับ พี่สาวคุณนั่นแหละที่ลากฉันไปแล้วบอกให้ฉันทำตาม คุณก็เห็นว่าฉันขัดพี่คุณไม่ได้...ถ้าจะโกรธ คุณก็ไปลงกับพี่แพทสิ...ฉัน...ไม่เกี่ยวเลย...นะ..."

พจนเริ่มเหงื่อกาฬแตกออกหลัง รู้สึกว่าตัวเองพูดจนต่อยหอยตายไปเป็นเข่ง แต่ไม่มีทีท่าว่าภาคีจะหือจะอือ

นอกจากจะไม่ตอบแล้ว ยังขยับเข้าหากันช้า ๆ ด้วย บรรยากาศกดดันที่แผ่ออกจากฝ่ายนั้น ขนาดมีเตียงหลังใหญ่กั้นขวางอยู่ ยังรู้สึกว่าใกล้กันแค่ปลายจมูก

'เอาไงดี เอาไงดี เอาไงดี!?' มีเพียงคำนี้ที่ลั่นอยู่ในก้อนสมองน้อย ๆ ของพจน เขาเครียดจนเส้นเลือดในสมองแทบตีบ ไม่รู้จริง ๆ ว่าภาคีจะมาไม้ไหน หรือจะเอายังไงกับเขากันแน่ เพราะชายหนุ่มเล่นไม่พูดอะไรสักคำมาตั้งแต่ลากเขาขึ้นรถจนกระทั่งตอนนี้ 

และเพราะมัวแต่สติแตกทั้งยังเพ้อเจ้อ พจนจึงหลุดการระแวดระวังตัวอยู่ครู่หนึ่ง แค่เพียงพริบตาเดียวเท่านั้นก็ถูกภาคีประชิดถึงตัวเขาเสียแล้ว ร่างสูงใหญ่กระโดดข้ามเตียงใหญ่ชนิดก้าวเดียวถึง

พจนถอยกรูดด้วยอารามตกใจ แต่ก็ช้าไปกว่ามือแกร่งที่คว้าเข้าที่หัวไหล่เขาอย่างพอดิบพอดี

“เฮ้ย! เหวอ!!”

ตึง...!!

ภาคีใช้ท่อนแขนกำยำยันร่างของพจนอย่างแรงจนปลิวติดประตูกระจก

ผล็อก!!

พอถูกกระทำอย่างไม่ตั้งตัว ทำให้สัญชาตญาณการเอาตัวรอดของคนที่เรียนศิลปะการป้องกันตัวมาอย่างพจน จึงเผลอพลั้งมือตอบโต้ออกไปโดยการสลัดมือที่หัวไหล่ออกแล้วสวนหมัดฮุกใส่สันกรามของภาคีไปเสียสุดแรงข้อ…

ผลของหมัดนั้นทำให้ร่างของภาคีเซไปด้านหลังหลายก้าว แต่ชายหนุ่มก็ยังสามารถยืนอยู่อย่างมั่นคง ใบหน้าที่ถูกต่อยจนหงายค่อย ๆ หันกลับมาให้เจ้าของหมัดได้ยลผลงานของตัวเองอย่างเต็มตา

“...!!” พจนสะท้านเยือกไปทั้งแผ่นหลัง เพราะใบหน้าของภาคีนั้นฉายแววมืดทะมึนยิ่งกว่าเก่า มุมปากแตกเลือดแดงฉาน จนเจ้าตัวต้องถ่มเลือดลงพื้นพรมไปกองหนึ่ง แค่เห็นก็ถึงกับต้องกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอดังเอื๊อก กลัวโดนสวนกลับก็กลัว กลัวเผลอพลั้งมืออีกก็กลัว แต่กลัวที่สุดก็คือ กลัวถูกจับได้ว่าเป็นผู้ชายนี่แหละ!!

แค่คิดพจนก็ได้แต่หน้าเสีย เวรกรรมของเขาจริง ๆ ผู้หญิงที่ไหนจะหมัดหนักขนาดต่อยผู้ชายปากแตกได้อย่างเขาบ้างเนี่ย…!

"หมัดหนักดีนี่…คุณภรรยา"

นั่นคือคำแรกที่ภาคีพูดออกจากปากหลังจากเงียบนิ่งอยู่นาน เพราะกำลังพยายามสะกดกลั้นความดาลเดือดพลุ่งพล่านในหัวอก เขาพยายามจะไม่ทำอะไรอีกฝ่าย ตอนแรกก็ตั้งใจไว้แบบนั้นเพราะถึงพจนจะเป็นผู้ชายทั้งแท่งเหมือนเขา แต่ตราบใดหมอนี่ยังคงอยู่ในคราบของผู้หญิง เขาก็ยังอยากจะปล่อยไว้ไม่ลงไม้ลงมือ…

แต่ความคิดนั้นของภาคีมันสลายวับออกไปจากก้อนสมองของเขาเรียบร้อย ตั้งแต่เสี้ยววินาทีที่หมัดฮุกของพจนกระแทกเข้าสันกราม!!

ร่างสูงสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนแสยะยิ้มบาง ๆ

‘รังแกผู้หญิงไม่ได้ แล้วถ้ารังแกผู้ชายล่ะ!?’

และพริบตานั้นเอง มือใหญ่ของภาคีก็คว้าใบหน้าของพจนไว้แบบไม่ยอมให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัวรับ พร้อมเหวี่ยงผ่านตัวไปข้างหลัง ก่อนหมุนตัวตามไปกดร่างของพจนลงบนที่นอนโดยแรง ดวงตาแสดงความคุกรุ่นเด่นชัด ฉายแววเพชฌฆาตเต็มพิกัด!

"อร๊าก! เจ็บนะ! ปล่อย!! "

พจนร้องจ้า แค่มือเดียวของภาคีก็กดร่างของเขาไว้ได้จนอยู่หมัด ชนิดที่ว่าต่อให้ดิ้นรนอย่างไรก็ไม่เป็นผล พจนรู้ดีว่าไม่ใช่แค่แรงกล้ามที่ต่างกัน แต่เพราะอีกฝ่ายเรียนศิลปะการต่อสู้มาดั้งสูงกว่าตนด้วย เขาจึงถูกปิดกั้นการโจมตีสวนกลับแบบทุกท่วงท่า จนรู้สึกเลยว่าแขนขาเก้งก้างของตนนั้นดูช่างไร้ค่าเหลือเกิน

เมื่อรู้ว่าสู้ไม่ได้ พจนจึงยอมนอนนิ่ง หากไม่ขัดขืนมากจนเกินไป ไม่แน่ว่าคนบนร่างอาจยอมปล่อย…

คิดเข้าข้างตัวเองไปงั้น โดยไม่รู้ตัวเองเลยว่า วันนี้จะเป็นวันสิ้นโลกของตน

“นิ่งทำไมล่ะ ดิ้นต่อสิ ออกฤทธิ์ออกเดชเยอะ ๆ เหมือนทุกครั้งนั่นแหละ ฉันชอบ” ภาคีเยาะ เมื่อเห็นว่าพจนยอมนอนนิ่งเสียจนดูเหมือนจะไม่กล้าแม้กระทั่งหายใจ

“ค…คุณ จะทำอะไรอิฉันคะ ปล่อยอิฉันเถอะนะ แบบนี้ไม่แมนรู้ไหม?” ได้ยินคำพูดชวนขนหัวลุกของภาคีเข้า พจนก็ได้แต่กัดฟันโอ้โลมคนบนร่างด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวานกว่าที่เคย ทั้งปลอบทั้งอ้อน

แต่ภาคีย่อมไม่นำพาต่อคำพูดของพจนอยู่แล้ว ความคิดเดียวในหัวของชายหนุ่มตอนนี้ คือทำอะไรก็ได้ให้ได้พจนอับอายและกลัวที่สุด เขาชิงชังการทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนของพจนเต็มที เอียนต่อการต้องแสร้งทำไม่รู้ไม่เห็นเรื่องที่เมียเป็นผู้ชายเต็มทน

ทั้งที่ภาคีตั้งใจจะต่างคนต่างอยู่แท้ ๆ เพราะเห็นว่าเป็นแค่เมียในนาม ถึงอย่างไรก็ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันอยู่แล้ว อุตส่าห์รู้สึกผิดจากเรื่องในห้องน้ำที่พัทยา จนตั้งใจว่าจะไม่แกล้งอีก จะปล่อยให้อยู่สุขสบายไปจนกว่าจะครบตามสัญญามรดก ทั้งที่เขาตั้งใจจะปล่อยให้ไอ้โจรกระจอกนี่เสวยสุขอยู่ที่บ้านใหญ่อย่างสบายอารมณ์ ส่วนตัวเขาจะกลับมาอยู่คอนโดของตัวเองที่นี่อย่างเป็นทางการ แยกกันอยู่ ตัวใครตัวมัน ทางใครทางมัน 

ทั้งที่ตั้งใจไว้แบบนั้นแล้วแท้ ๆ

แต่ไอ้โจรกระจอกไม่เจียมกะลาหัวนี่กลับดันข้ามเส้นตายที่เขาขีดเอาไว้จนได้ ข้ามเส้นไม่พอ ยังมาขยี้ศักดิ์ศรีของเขาจนป่นปี้อีกด้วย…

เพราะฉะนั้นภาคีจึงตั้งใจแน่วแน่แล้วว่า…เขาจะขยี้ไอ้เมียโจรนี่ให้แหลกคามือในคืนนี้ให้ได้!!

คิดได้ก็กระตุกยิ้มร้ายออกมา พลางก้มลงประชิดแล้วเอ่ยคำกระตุกขวัญโจรกระจอกในมือด้วยน้ำเสียงสุดเหี้ยม “จะสนทำไม แมนไม่แมน? เราแต่งงานกันแล้ว ผัวจะนอนกับเมียผิดตรงไหน? อยากจนตัวสั่นไม่ใช่หรือไง เห็นเที่ยวไปประกาศกับใครเขาซะทั่วว่าเอากันจนท้องโย้ไปเรียบร้อยแล้วนี่ หึหึ…ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ไม่ยักจะจำได้ คืนนี้ต้องทวนกันหน่อยแล้วมั้ง”

พูดจบภาคีก็คว้าเข้ากับคอเสื้อชุดเดรสสีขาวสั้นเต่อที่พจนพยายามดึงชายกระโปรงปิดของสงวนของตนอยู่แทบตายในทันที พร้อมตั้งท่าจะจับถอดให้ได้เสียเดี๋ยวนั้น เล่นเอาพจนถึงกับร้องเสียงหลง ดิ้นรนเตะถีบ พลิกคว่ำพลิกหงายหาทางรอด

ชุลมุนวุ่นวายจนสุดท้ายพจนก็ถูกจับตัวพลิกคว่ำ พร้อมถูกคร่อมทับจากทางด้านหลังในท่าทางสุดแสนอันตราย!!

"ปล่อยฉันนะ! รังแกผู้หญิง! ไม่ใช่ลูกผู้ชาย! คุณมันไอ้ตัวเมีย!! ปล่อย!! "

พจนร้องลั่น ทั้งปรามาส ทั้งก่นด่า ดิ้นรนเต็มกำลังเพื่อดึงสองแขนของตนออกจากมือของภาคีที่จับล็อกเอาไว้อย่างแน่นหนา

"ก็บอกให้ปล่อยไงเล่าไอ้หน้าตัวเมีย...เฮือก!!?"

หมับ!

"!!?”

“โอ๊ะ…เพิ่งรู้นะเนี่ย ว่าผู้หญิงสมัยนี้ก็มีดุ้นกับเขาด้วย”




++++++++++++++++++++

ตอนหน้า ไม่รู้ความผิดของใครจะหนักกว่ากัน หุหุหุ (ปาดเหงื่อ)



ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า
17 สนธิสัญญา

"ก็บอกให้ปล่อยไงเล่าไอ้หน้าตัวเมีย…เฮือก!!? "

ผมตะโกนลั่น พร้อมดิ้นรนอย่างสุดกำลัง เมื่อไอ้ยักษ์มันเริ่มเลื้อยมือปลาหมึกของมันไปยังจุดที่อันตรายที่สุดในร่างกายของผม

แต่ดูเหมือนมันจะช้าไปเสียแล้ว

หมับ!

“!!?”

“โอ๊ะ…เพิ่งรู้นะเนี่ย ว่าผู้หญิงสมัยนี้มีดุ้นกับเขาด้วย”

วิ้ง...หูดับ หน้ามืด ร่างกายชัตดาวน์อัตโนมัติ ไม่กะพริบตา ไม่หายใจ ไม่กระดุกกระดิก...แกล้งตายแม่ม!!



+

+

+



ได้ที่ไหนล่ะ แกล้งตายต่อหน้ามัน ผมได้ตายจริงแน่ ไอ้พึ่งไหวตัวได้ ก็ดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง เสี้ยววินาทีที่หลุดจากมือมาร ผมก็ทะลึ่งพรวดถลาลงจากเตียงในทันใด เป้าหมายคือ ประตูห้องแห่งชีวิต...!!



โครม!!

วิ้ง…! คราวนี้วิ้งของจริง หน้าชาไปเป็นแถบ ไม่ต้องบรรยายความก็พอรู้ใช่ไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับหน้าของผม

ใช่ครับ…ผมกระโดดลงจากเตียง แต่ไม่พ้น โดนไอ้ยักษ์มันคว้าข้อเท้าเอาไว้ได้กระตุกทีเดียวหน้าผมทิ่มอยู่ริมที่นอน ดีนะที่บุญยังรักษาผมอยู่หน่อย ลองถ้ามันคว้าตัวผมช้าไปกว่านี้สักนิด หน้าผมคงทิ่มพื้น เลือดอาบไปแล้ว…

แต่แบบนั้น ผมอาจสบายใจกว่าการกลับมาอยู่ใต้ตัวมันอีกรอบอย่างตอนนี้…

ตั้งแต่มันทักถึงอะไรบางอย่างที่มันสัมผัสได้จากตัวผม จนถึงตอนนี้เราก็ไม่พูดอะไรกันนอกจากนั้นอีก อาจเพราะผมไม่เปิดโอกาสให้มันถามไถ่ถึงสิ่งนั้น ผมดิ้นตลอดจนไม่เหลือเวลาพอจะเสวนา มันน่ากลัวเกินไป ปฏิกิริยาของไอ้ยักษ์ที่ยิ้มเยาะสิ่งนั้นของผมมันสะเทือนขวัญเกินไป ผมไม่อยากคิดไปไกล ไม่อยากจินตนาการถึงมันเลยว่าความหมายในรอยยิ้มของมันคืออะไร!?

ถ้าถามถึงสภาพชุดเดรสสั้นเสมอหูของผม…โฮ่ย ใครจะสนมันแล้วครับอารมณ์นี้ ต่อให้มันจะเปิดขึ้นมาจนเห็นพวงไข่ผมก็ไม่แคร์แล้ว!

“ฤทธิ์เยอะจริงนะ เลิกพล่านก่อนที่ฉันจะหมดความอดทนดีกว่า!”

เสียงไอ้ยักษ์ดังอยู่เหนือร่างของผม ผมเห็นหน้ามันไม่ชัดนักหรอก เพราะมันไม่ยอมเปิดไฟในห้อง แต่เพราะแบบนี้แหละ มันถึงได้น่าสะพรึงนัก น้ำเสียงที่มันพูดกับผมคล้ายหยอกเย้า แต่ผมสัมผัสได้ว่ายังมีอีกอารมณ์ของมันร่วมอยู่ในนั้น ‘จิตสังหาร!’ ใจผมก็อยากเชื่อฟัง นอนนิ่งให้มันเห่กล่อมอยู่หรอกนะ แต่ร่างกายผมสิที่มันไม่ยอมเชื่อฟังกันเลย อย่างตอนนี้ มันก็เอาแต่ดิ้นพราด ๆ เลยล่ะครับ!

ยิ่งห้าม ผมก็ยิ่งดิ้น กลิ้งตัวกลับไปกลับมา พอได้องศาก็ตั้งหน้าตั้งตาคลานหนีลูกเดียว

แคว่ก!!

!!!?

“ว๊ากกกกก!!”

ผมร้องเสียงหลงเพราะคอเสื้อชุดเดรสถูกฉีกกระชากออกจากตัวจนขาดเป็นริ้ว ผมแข็งทื่อไปครู่เพื่อประมวลผลก่อนที่ทั้งร่างจะดิ้นพราด ๆ อย่างเอาเป็นเอาตายขึ้นกว่าเดิมเพื่อออกจากอุ้งมือของไอ้ยักษ์ให้เร็วที่สุด สองมือใช้ยันร่างของไอ้ยักษ์หน้ามืดให้ออกห่างเป็นพัลวัน

ตอนนี้ผมว่าผมค่อนข้างมั่นใจแล้วแหละว่ามันรู้แล้วว่าผมเป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่ผมไม่เข้าใจเจตนาของมันว่าจะทำยังไงกับผมต่อไป จับกะปู๋ผมไปเมื่อครู่ก็น่าจะการันตีได้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร ทำไมถึงยังต้องตามมาแก้ผ้าผมต่อ!? แล้วจะให้ผมยอมให้มันทำแบบนั้นง่าย ๆ เรอะ! งานนี้ตายเป็นตาย!

“ฮื่อ อย่าดิ้นนักสิ เธออยากเป็นเมียฉันไม่ใช่เหรอ” มันกระซิบเย้ยอยู่ข้างหูทำขนคอผมให้ลุกซู่ชูชัน พลันเกือบสิ้นแรงยื้อยุดชุดที่มันพยายามฉีกทึ้ง

“ไม่ใช่สักหน่อย!!” ผมหลับหูหลับตาปฏิเสธ สองแขนปัดป่าย ร่างกายถูกมันจับปิ้งไปมาเป็นปลาย่าง

“ไม่ต้องอายหรอก ก็เห็น ๆ อยู่ว่าเธอพยายามประกาศตัวเป็นเมียฉันขนาดไหน”

“ก็บอกว่าจำใจทำเพราะโดนบังคับไง! อ๊ะ!” ระหว่างหลงลืมตัว มัวแต่เถียงกับมันอย่างลืมตาย เดรสสีขาวก็ถูกทึ้งออกจากตัวผมเป็นที่เรียบร้อย

สองร่างพัวพันกอดก่าย ตัวมันเปลือยท่อนบนส่วนผมก็ไม่เหลือชุดปิดเนินกาย ผิวเนื้อเราจึงเสียดสีกันจนร้อนระอุ เสียงดังปึ่ด ๆ ดังขึ้นอีกครั้งเมื่อบราเซียตัวจ้อยของผมถูกทึ้งออกจากอก สองตาผมเห็นชัดในความมืดว่าซิลิโคนทั้งสองเต้าหลุดยวงกระเด้งกระดอนตามแรงเหวี่ยง อารามตกใจหรืออะไรก็ไม่ทราบได้ สองมือของผมแทนที่จะยกขึ้นยันหน้ามัน กลับยกขึ้นปิดหัวนมของตัวเองอย่างลืมตัว กว่าจะนึกขึ้นได้ว่า เออ ตูไม่ได้เป็นสาวเป็นนางขนาดต้องเซนเซอร์หัวนม มันก็ช้าไปเสียแล้ว เพราะทันทีที่ผมยกมือขึ้นปิดหน้าอกหน้าใจ ไอ้ยักษ์ก็เอื้อมมือมารของมันมากระชากมือของผมออก รวบสองแขนขึ้นมาตรึงไว้เหนือหัว ส่วนตัวมันก็รีบแทรกตัวเข้าทับอยู่ตรงหว่างขาของผม ทำให้ผมใช้เท้าโจมตีมันไม่ได้อีก

ถามว่าอายไหม ตอบตามตรงเลยว่ามาก แต่ที่ยิ่งกว่าอายก็คือกลัวใจมันนี่แหละ แต่จะให้ผมทำอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้ได้ ผมมันก็เหมือนผู้ร้ายที่ถูกเปิดโปง โดยมีไอ้ยักษ์เป็นตำรวจกองปราบที่ตามมากำราบผมจนสิ้นท่า การถูกจับแก้ผ้าต่อหน้าคนที่ไม่สนิท ย่อมทำให้ผมอับอายอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งถูกไอ้ยักษ์มันกดตรึงสองแขนของผมไว้จนไม่อาจปกปิดร่างเปล่าเปลือยของตนเองด้วยแล้ว มันยิ่งทำให้สติของผมกระเจิดกระเจิง

สัตว์โลกทุกตัวตน เมื่อถูกไล่ต้อนจนจนมุมแล้วสัญชาตญาณดิบย่อมมีผลต่อสารสื่อประสาทมากกว่าจิตสำนึกผิดชอบชั่วดี

และในเมื่อมันถูกปิดทางดิ้นรนไปหมดทุกอย่างแบบนี้แล้ว ทางเดียวที่ผมมองเห็นในตอนนี้ก็คือ

“ฮื่อ…บอกให้อยู่เฉย ๆ ไง”

งั่ม!!

“โอ๊ย!!”

ไม่ทันแล้วยักษ์เอ๊ย ก็เอ็งรุนแรงกับพี่นัก...พี่เลยต้องงับเตือนสติเอ็งเข้าแขนที่กดมือพี่ไม่ปล่อยให้จมเขี้ยวซะเลย…เจ็บสินะ ไม่ต้องบอกพี่ก็รู้ น้องเล่นหอนซะโหยหวน นี่ดีแค่ไหนที่พี่ยั้งปากทัน ไม่งั้นเนื้อน้องติดฟันพี่มาเป็นยวงแน่…

ไอ้ยักษ์สะบัดแขนมันออกจากฟันผมอย่างแรง ก่อนจะตะคอกใส่ผมด้วยแรงอารมณ์ที่พลุ่งพล่านกว่าเดิม “กล้ากัดเลยเหรอ!?” เหมือนมันจะตกใจไม่น้อยในตอนแรก แต่พอก้มมันมองรอยเขี้ยวที่กำลังซิบเลือดเป็นวงอยู่ตรงแขนซ้ายของมันเท่านั้นแหละ แทนที่มันจะเดือดจนต่อยผมให้กรามโยก มันดันเสือกยิ้ม! มันยิ้มจริง ๆ นะ ขนาดห้องมันมืดมาก มีแค่แสงสลัวที่ส่องมาจากทางประตูระเบียง ผมยังเห็นชัด ๆ เลยว่ามันกำลังยิ้ม ให้ตายเหอะแม่งโคตรสั่นประสาทเป็นที่สุด!

มันยิ้มก่อนจะก้มลงมาหาผมที่นอนหอบจนตัวสั่นเกร็ง ด้วยสายตาที่ทอประกายคล้ายจะสังหารผมให้ได้ในดาบเดียว

หลังจากนั้น เกิดอะไรขึ้นบ้าง ผมก็จำไม่ค่อยจะได้ เพราะสติของผมนั้น…

มันหายไปตั้งแต่ได้สบตามันแล้ว



+++++++++++++++++++

ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า


งั่ม!!

“โอ๊ย!!”

ภาคีร้องลั่นอย่างลืมอาย เมื่อถูกพจนฝังคมเขี้ยวลงบนท้องแขนซ้ายเสียจนเลือดซิบ ตอนสะบัดแขนออกจากขากรรไกรคู่นั้นก็รับรู้ได้เลยว่าเนื้อของเขาฉีกขาด แม้จะมองเห็นไม่ชัดนักว่าแผลมันเหวอะหวะแค่ไหน แต่ไม่ต้องเดาก็สัมผัสได้ว่าคงได้เลือดแน่

ภาคีกัดฟันกรอด แววตาวาวโรจน์ดังเพลิงสุม ไอ้ตัวแสบมันกวนโอ๊ยนัก จนเขาเกือบจะเผลอบีบคอมันให้หักไปตรงหน้า ความไม่พอใจสั่งสมเป็นเพลิงแค้นมาตั้งแต่เรื่องที่ทำให้เขาต้องขายหน้าที่ร้านอาหาร ทั้งยังเรื่องที่ทำให้เกวลินเข้าใจผิดอีก ทั้งที่ตัวพจนเองก็มีความผิดเป็นชนักติดหลัง ทำไมถึงยังกล้าท้าทายเขาแบบไม่กลัวตายขนาดนี้กัน!

หรือมันคิดว่าเขาจะไม่กล้าทำอะไร?

หากคิดอย่างนั้นจริง

ก็คิดผิดอย่างมหันต์เลยล่ะ!!

เพราะเขาจะตอบแทนทุกอย่างให้อย่างสาสมทบต้นทบดอกเลย!!

“...หึหึ...ชอบเล่นแบบนี้ก็ไม่บอก” ภาคีพูดพลางยิ้มจนตาหยี แผ่รังสีมุ่งร้ายน่ากลัวข่มขวัญพจนมากขึ้นไปอีก!! “นิยมแนวซาดิสม์สินะ” ขู่จบร่างกายสูงใหญ่ก็โน้มลงคร่อมร่างคนที่เหมือนสติหลุดลอยไปแล้วในท่าทีคุกคามอย่างเต็มกำลัง ตั้งใจให้พจนกริ่งกลัวและสั่งสอนให้คนตรงหน้ารู้ว่าไม่ควรสอดจมูกเข้ามาวุ่นวายใด ๆ กับเข้าอีก

เมื่อเห็นว่าพจนยังไม่มีท่าทีตอบโต้ ภาคีก็ยื่นแขนขวาข้างที่ยังไม่โดนกัดส่งให้ถึงปากพจนอีกข้าง “กัดอีกสิ” พร้อมเชิญชวนราวกับท่อนแขนตนคือขนมหวาน “กัดจนกว่าจะพอใจ เอาเลย ฉันไม่ว่าอะไรหรอก” แล้วพอยิ่งเห็นพจนทำหน้าตาหวาดหวั่น เขาก็ยิ่งแกล้งข่มขวัญหนักข้อ...

...ไม่ใช่แกล้งสิ เอาจริงเลยต่างหาก!

เขาไม่ใช่คนใจดี แถมยังเจ้าคิดเจ้าแค้น แล้ววันนี้อีกฝ่ายก็ทำกับเขาไว้แสบนัก เขาจึงจะเอาคืนอย่างสาสม!

“เอ้า? ทำไมนิ่งเป็นปลาตายแบบนั้นล่ะ ฉันให้โอกาสนายแล้วนะ ชอบแบบเจ็บๆ ไม่ใช่เหรอ ได้เลือดแล้วเร้าอารมณ์ดีออก…”

“จ...จะบ้าเหรอ! เร้าอารมณ์บ้าอะไรวะ!!” เพราะมัวแต่กลัวเลยทำให้พจนไม่กล้าขยับแม้จะถูกส่งแขนมาถึงปาก จนได้แต่เบือนหน้าหนี อารามตกใจก็เยอะ อารมณ์โมโหก็มาก คนบนร่างนี่ยังไง ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเขาเป็นอะไร ทำไมถึงยังตั้งหน้าตั้งตาทำแบบนี้กับเขาที่เป็น ‘ผู้ชายด้วยกัน’ อยู่อีก!?

“คุณรู้แล้วว่าผมเป็นอะไรไม่ใช่เหรอ! ยังจะทำบ้าอะไรแบบนี้วะ!?” ด้วยความอดรนทนไม่ไหวในที่สุดพจนก็ตวาดกร้าวออกไป ความลับมันก็แตกไปนานแล้ว จะต่อยจะตี จะจับส่งตำรวจหรืออะไรก็เอาสักอย่าง เขาจะยอมรับผลกรรมที่ทำไว้แต่โดยดีทั้งนั้น แต่ไม่ใช่ต้องมาถูกล้อเล่นบ้าบอด้วยการทำแบบนี้!

เสียงประกาศกร้าว ทำภาคีตกตะลึงอยู่ครู่ ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดังด้วยความชอบใจ แล้วกดสองแขนของพจนลงกับเตียงให้แน่นหนาขึ้น พลางยั่วยุคนใต้ร่างเดือดดาลมากขึ้นไปอีก

เขาไม่ชอบรังแกคนที่อ่อนแอกว่า และมั่นใจอย่างที่สุดว่าพจนไม่ได้อ่อนแอเลยแม้แต่นิด

เขาไม่ทำร้ายคนดี แน่นอนว่าคนที่วางแผนปลอมตัวเป็นผู้หญิงเที่ยวไปหลอกแต่งงานกับชาวบ้าน ย่อมเรียกว่าคนดีไม่ได้

เขาไม่รังแกผู้หญิง ข้อนี้ชัดเจน เพราะพจน ไม่ใช่ผู้หญิง!

แล้วนี่เขาตั้งใจจะทำอะไรล่ะ? แน่นอนว่าสิ่งที่คิดจะทำฉายภาพซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัวราวกับการสะกดจิต จริงอยู่เขาไม่ได้สนใจผู้ชาย ไม่เคยคิดแตะต้อง แต่พจนแตกต่าง ร่างกายบอบบางกว่าชายทั่วไป ใบหน้าที่หวานจนเขายังเคยปักใจเชื่อว่าเป็นหญิงแท้ ๆ

…หญิงแท้ ที่เขาเคยเกือบล่วงเกิน ไม่สิ ทั้งที่รู้ว่าเป็นผู้ชาย เขาก็ยังเคยล่วงเกินเหมือนกัน รูปรสกลิ่นเสียงที่เคยได้สัมผัส ดูมันจะติดตรึงในความทรงจำจนสลัดไม่ออก ทั้งที่เขาพยายามถอยห่าง ไม่ยุ่งไม่เกี่ยวด้วยแล้วแท้ ๆ อุตส่าห์จะลืมความรู้สึกนั้นให้ได้แล้วแท้ ๆ แต่ไอ้ตัวแสบยังยุ่งวุ่นวายกับเขาไม่เลิก…เรื่องที่เกิดขึ้น ล้วนเป็นพจนที่รนหาที่เอง!

ใช่...เรื่องที่พัทยาเขาเป็นคนผิด…เขาเองก็รู้สึกผิด จนกระทั่งยอมไปขอนอนที่ห้องของชีตาร์เพื่อให้พจนได้นอนหลับสบาย ไม่ต้องกังวลเรื่องของเขา ทำถึงขนาดนั้น ทั้งที่ไม่เคยยอมลงให้ใครมาก่อน แต่ดูเหมือนเจ้าตัวแสบมันจะไม่ได้สำนึกถึงน้ำใจที่เขามอบให้เอาเสียเลย ทั้งที่ตัวเองก็มีความผิดติดตัว แทนที่จะสลด แล้วอยู่นิ่ง ๆ ตามทางของตัวเองไป ยังมาตามราวีกันไม่เลิก

แบบนี้แล้ว…ต่อให้คืนนี้มันจะเกิดอะไรขึ้น ก็มาโทษเขาไม่ได้หรอกนะ

เพราะพจน มาเสนอตัวให้ถึงที่เอง!!

“ไม่กัดแล้วแน่นะ...งั้นก็ถึงตาทางนี้บ้างแล้ว!”

!!?

“โอ๊ยยยยยยยย!!”

คราวนี้เป็นเสียงของพจนที่ร้องลั่นออกมา ในทันทีที่ภาคีพูดอะไรบางอย่างที่สมองเขายังไม่ทันประมวลจบร่างในเงามืดสลัวก็จู่โจมตะโบมกัดซอกคอเขาอย่างแรงโดยไม่มีการบอกกล่าว คมเขี้ยวบดขยี้ลงมารุนแรงจนพจนถึงกับน้ำตาเล็ด เจ็บขนาดที่ตัวเองยังรู้สึกได้ว่าเนื้ออ่อนตรงซอกคอของเขาต้องหลุดติดฟันของภาคีออกมาแน่!

“ปล่อย!!” เจ็บจนไม่อาจทนได้พจนหาทางบิดกายให้ได้องศาพอประมาณ แล้วกระทุ้งเข่าเข้าชายโครงของภาคีแบบเต็มแรง ถึงจะไม่ถนัดนัก แต่ก็พอมั่นใจว่าสามารถทำให้จุกไปได้พอสมควร เพราะอย่างน้อยก็สามารถทำให้อีกฝ่ายละฟันจากซอกคอของเขาไปได้

การถูกกระทุ้งทำภาคีจุกเสียดจนเสียจังหวะเล็กน้อย แต่เพียงแค่นั้นก็พอที่จะทำให้พจนมีเวลาในการหลบหนี ร่างที่มีเพียงกางเกงในชายตัวจ้อยติดกายดิ้นเร่า เร่งพลิกตัวหนีคนที่ยังคงเจ็บจุกอยู่เหนือร่างทันควัน แม้ทั้งตัวจะเหลือเพียงชุดชั้นในที่ไม่สามารถอำพรางอะไรได้ แต่หากไม่หนีในตอนนี้พจนเองก็ไม่อาจคาดเดาอนาคต

พจนดันตัวของภาคีออกไปอย่างสุดแรง ก่อนจะคลานหนีด้วยความทุลักทุเล แต่ก็ถูกภาคีกระโจนกลับขึ้นมาทับที่ด้านหลังไว้ได้อย่างทันท่วงทีทุกครั้ง

การต่อสู้เริ่มขึ้นอย่างดุเดือด พจนศอกหลังไปเต็มเหนี่ยวกะให้เข้าหางคิ้วของคนที่อยู่ด้านหลัง ภาคีหลบได้อย่างฉิวเฉียด แต่แม้แค่เพียงเฉียดคมศอกเป็นมวยก็สามารถทำให้คิ้วของเขาแตกซิบได้ ภาคีรู้ดีว่าพจนเองก็มีฝีไม้ลายมือไม่ยิ่งหย่อนกว่าตน หากจะจัดการให้อยู่หมัด เขาต้องไม่เผลอ ไม่เปิดโอกาสให้ได้หนีได้อีกเป็นครั้งที่สอง!!

แม้เขาเองจะรู้ดีว่าวิธีนั้นหยาบช้าแค่ไหน...

แต่ก็ช่างหัวมันแล้ว!!!

"เฮ้ย!! ปล่อย! ไอ้เชี่ยยักษ์มาร ปล่อยกู!! อื้อ!!?" พจนร้องลั่นเมื่อถูกรวบตัวได้จากด้านหลัง แล้วถูกลากมานอนคว่ำหน้าอยู่กลางสมรภูมิโดยมีภาคีซ้อนกายอยู่ด้านหลังในท่าทีที่ค่อนข้างอันตราย อึดใจต่อมาพจนยิ่งผวาเข้าไปใหญ่ เมื่อถูกจู่โจมในจุดที่ไม่ควรโดน

“หุบปาก!” ทันทีที่สยบพจนไว้ได้มือหนาของภาคีก็รีบอุดปากอีกฝ่ายไว้ไม่ให้ส่งเสียง ส่วนอีกมือก็ถือวิสาสะลูบไล้อยู่ตรงเป้ากางเกงของเหยื่อตนอย่างถือสิทธิ์ ยิ่งคนใต้ร่างดิ้นรนขัดขืน เขาก็ยิ่งกอดรัดรุนแรง ซ้ำยังพูดตอกย้ำการกระทำของตนให้พจนได้อับอายยิ่งขึ้นไปอีก “หืม...ขนาดใช้ได้เลยนี่ เมียพี่นี่ก็ไม่เบานะ”

"อื้อ!!" ทั้งโกรธทั้งอายที่ถูกพาดพิงถึงของรักซึ่งหน้า พจนจึงพยายามดิ้นรน แต่ยิ่งดิ้นมือของภาคีก็ยิ่งสัมผัสแนบแน่นกับของพึงสงวนของเขามากขึ้น และเพียงแค่อึดใจมือปลาหมึกของภาคีที่คลึงเคล้นอยู่แค่นอกกางเกงชั้นในนั้นก็รุกรานเข้าจนสัมผัสถึงเนื้อต่อเนื้อ พจนถึงกับสะดุ้งเฮือก จนแผ่นหลังโก่งชิดกับแผ่นอกของภาคีแนบสนิท

"หือ? อะไรน่ะ...ไวจังนะคุณเมีย...หึหึ" เห็นพจนดิ้นเร่า ภาคีก็ยิ่งสาแก่ใจ ทั้งที่โดยปกติ เขาคงไม่คิดจับของผู้ชายด้วยกันแบบนี้เป็นแน่ ตกใจตัวเองไม่น้อยเหมือนกันที่จู่ ๆ ก็บ้าบิ่นถึงขนาดนี้ แต่พอเห็นว่าสามารถทำให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้สิ้นท่า ความหฤหรรษ์ก็เข้ามาแทนที่ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีจนสิ้น...

ภาคีรู้สึกสะใจมากกว่าสงสาร เลยพาลให้ยิ่งแกล้งพจนหนักข้อขึ้น

หนักขึ้น...จนไม่รู้สึกตัวแล้วว่า ตัวเองก็กำลังจะพลั้งพลาดในเกมที่ตนสร้างขึ้นเช่นกัน

ตอนนี้ภาคีไม่รู้ตัวเลยว่า หลุมพรางที่อุตส่าห์ขุดไว้เพื่อหวังให้พจนร่วงหล่นลงไปนั้น...

จะเป็นหลุมเดียวกัน ที่มันดูดกลืนเขาลงไปด้วยเช่นกัน!!

“ฮว้า!! อ่ะ...ปล่อยนะโว้ย! ไอ้หัวค*ย! ไอ้ชาติหมา ไอ้สารเลว!!”

ดิ้นรนจนสามารถหลุดออกจากอุ้งมือที่ปิดปากอยู่ได้ พจนก็ไม่รอช้าที่จะผรุสวาทใส่ภาคีออกไปอย่างแรง เขาพูดดี ๆ ไม่ได้แล้วในอารมณ์นี้ ทั้งโกรธ ทั้งเกลียด จนอยากจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตายคามือ หากที่เขาทำกับภาคีเป็นเรื่องที่แย่ สิ่งที่มันกำลังทำกลับมาตอนนี้ก็เลวไม่แพ้กันหรอก ขนาดนี้ คงไม่ต้องคุยกันดี ๆ แล้ว!!

“ปล่อยกู! ไปตายซะไอ้เหี้ย…!!? ”

หลับหูหลับตาด่าได้ไม่เท่าไหร่ ร่างที่ถูกกดไว้ก็ถูกพลิกกลับ แต่พจนไม่มีวันยอมง่าย ๆ การออกแรงขัดขืนอย่างสุดกำลังของพจน ทำภาคีเดือดหนัก สองร่างโรมรันพันตู เสียงตุบตับจากหมัดที่พจนปล่อยใส่ร่างของภาคีดังชัด ไม่ต่างกับเสียง บิดจับ ตะปบ ดึง ของภาคีที่กระทำต่อร่างพจนซึ่งดังไม่ต่างกัน อารมณ์เดือดพล่านทะยานสูง จากที่ภาคีคิดจะปรานี อารมณ์พ่อพระที่ไม่ได้มีอยู่แล้วแต่ต้นจึงยิ่งไม่หลงเหลืออีก

“แม่งง!!” ภาคีคำรามต่ำ ใช้เรี่ยวแรงที่เหนือกว่าจับพจนพลิกกายให้หันมาเผชิญหน้าจนได้ ความมืดสกัดกั้นความสามารถทางสายตาทุกอย่าง ทำให้เขาไม่อาจเห็นว่าผิวขาวจัดของพจนนั้นแดงช้ำเพราะน้ำมือเขาไปขนาดไหนแล้ว

อารมณ์ตอนนี้ มีเพียงสัญชาตญาณดิบเดือดพล่านพาไปเท่านั้น

“ปากเก่งนักนะ เก่งให้มันตลอดก็แล้วกัน!!”

“เฮ้ย!? อย่า!!”

ภาคีตวาดกร้าว พร้อมกระชากอาภรณ์ปิดกายชิ้นสุดท้ายออกจากร่างของพจน ชนิดที่เรียกว่าทึ้งจนขาดวิ่น พจนกรีดร้องด้วยความตกใจทว่าก็ไม่อาจห้ามยักษ์มารตรงหน้าไม่ให้กระทำหยามกันได้ ผิวกายซ่อนเร้นที่จู่ ๆ ก็ถูกเปิดโล่ง ทำเอาทั้งตัวของพจนสั่นระริกด้วยความอับอายระคนหวั่นวิตก

จากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้นมันไม่ยากนักที่จะคาดเดา ดังนั้นพจนจึงอ้อนวอนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างเอาเป็นเอาตาย ขอให้สิ่งที่เขากำลังคิดเป็นเรื่องที่ผิดทั้งหมดด้วยเถิด...

แต่ดูเหมือนวันนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะไม่เข้าข้างเขาสักเท่าไหร่ เรียกได้ว่าโดนทอดทิ้งอย่างสมบูรณ์เลยจะดีกว่า!!

เพราะทันทีที่ภาคีโถมเข้ามาทับอีกครั้ง เสียงรูดซิปก็ดังบาดหูขึ้นทันใด พจนแทบลมจับ สองขาเตะถีบอีกครั้งทั้งที่แทบไม่เหลือแรงขัดขืน แรงสั่นบางอย่างที่กึ่งกลางร่างกายส่งสัญญาณชัดเจนว่าอีกฝ่ายกำลังจัดการบิ้วอารมณ์ของตัวเองให้พร้อมอยู่ เสียงครางต่ำกับลมหายใจที่ร้อนระอุขึ้นในทุกขณะของภาคี บ่งบอกให้พจนรับรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังจะพร้อมจู่โจม!!

“ไอ้ห่าเอ๊ย! ปล่อยกูนะ!!” สิ่งที่เกิดขึ้นสะเทือนใจอย่างร้ายกาจ งานนี้เขาตลกไม่ออกอีกต่อไป เมื่อดิ้นรนเท่าไหร่ก็ไม่สามารถหลุดพ้น มันคือผลกรรมหรือ? นี่คือสิ่งที่เขาต้องชดใช้หรือ?

หัวใจเต้นระส่ำราวกับจะหลุดออกจากทรวงอก ทุกครั้งที่ปัดป่ายจะถูกดึงรั้ง ทุกครั้งที่สะบัดจะถูกรัดรึงแน่นหนา ถูกโถมทับ ถูกจับกด ถูกลูบไล้ ถูกพูดจาข่มขวัญ

“จะหนีไปไหน อยากเป็นมากไม่ใช่เหรอเมียฉันน่ะ อยากท้องด้วยนี่…มาทำกันเลยแล้วกัน”

“ไอ้เหี้ย กุเป็นผู้ชายมึงก็เห็น จะท้องยังไง ไม่เอาโว้ย ปล่อยกูนะไอ้วิตถาร!!”

“เออ! แล้วจะรู้ว่าฉันวิตถารได้ยิ่งกว่าที่คิด!”

"!!?"

พจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง เขาพยายามเตะถีบขาที่ยังอิสระไปที่กลางอกของภาคี วาดหวังจะดิ้นรนต่อสู้จนถึงที่สุด แต่ดูเหมือนการกระทำทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอดจะไร้ผลอย่างสิ้นเชิง กลับเป็นการส่งเนื้อเข้าปากเสือเสียอีก เพราะแค่เพียงตั้งท่าจะยกขาขึ้นก็ถูกภาคีคว้าเข้าที่หน้าแข้ง คราวนี้ขาทั้งสองข้างถูกยกสูงขึ้นพาดกับไหล่ของผู้รุกรานอย่างง่ายดาย จะสะบัดหนีก็โดนสองแขนแข็งแรงกว่าล็อกเอาไว้ ก่อนจะถูกร่างสูงใหญ่โน้มลงมาทาบทับจนราวกับทั้งร่างถูกพับครึ่ง…สองมืออิสระพยายามทั้งทุบทั้งผลัก ก็ถูกแขนที่ล็อกขาคว้าจับกดไว้กับที่นอน หมดทางต่อสู้ดิ้นรนอย่างสิ้นเชิง จนตรอกในสภาพที่น่าสมเพช

“!!?” แล้วยิ่งต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อสิ่งที่ร้อนผ่าวราวไฟอังสัมผัสเข้าที่จุดเร้นลับอย่างไม่น่าให้อภัย หัวใจของพจนหวาดผวาขึ้นทันทีที่รับรู้ได้ว่าอวัยวะที่ตื่นตัวเต็มที่ของภาคีสัมผัสเข้ากับช่องทางที่ยังปิดสนิทของตนเอง

“อยะ…อย่านะ…คุณพอล…ไม่เอาแบบนี้…” เมื่อสถานการณ์เข้าตาจนพจนก็รีบอ้อนวอน ทว่าดูเหมือนเสียงของเขาจะเบาเกินกว่าจะหยุดยั้งการกระทำใด ๆ ของอีกฝ่ายได้

ภาคีขยับสะโพกไปมาพยายามบดเบียดชำแรกเข้ายังจุดที่ยังปิดแน่นและแห้งผาก ความคิดชั่ววูบผสานความต้องการเบื้องต่ำเร่งเร้าให้เขาย่ำยีคนใต้ร่างโดยไม่คิดฟังถ้อยคำทัดทานใด ในหูอื้ออึง สมองคิดเพียงล่วงล้ำเข้าสู่ร่างตรงหน้านี้

“อ๊ะ! โอ้ย!! อ๊า เจ็บ…เจ็บ…!!”

แค่เพียงส่วนปลายที่ฝืนมุดเข้ามาอย่างทารุณก็ทำให้พจนเจ็บเจียนใจแทบขาด เขาไม่เคยสนใจหรอกว่าเซ็กซ์ของผู้ชายด้วยกันต้องทำอย่างไร แต่ขนาดเปิดซิงสาวรุ่น ยังต้องทำความคุ้นเคยก่อนไม่ใช่หรือ? แล้วนี่…ที่ตรงนั้นมันใช่ที่ที่จะใส่เข้าไปได้ดื้อ ๆ เสียเมื่อไหร่!?

“โอ้ย!! ไอ้สัตว์! อ๊ะ! มึงไม่รู้จักเล้าโลมก่อนรึไง ไอ้สมองหมา! กูเจ็บ…อ๊า!!” พจนาสบถลั่น ทั้งก่นด่าสารพัดเพื่อทุเลาความเจ็บร้าว “ถ้าคิดจะทำ ก็ทำให้ดีสิโว้ย! โอ๊ย!!”

แต่ก็ไม่ได้ผล ความฝืดแน่นราวกับจะปริแตก ทำเอาทั้งร่างสั่นระริกจนหายใจหายคอไม่ได้ “ไอ้เชี่ยพอล! โอ๊ย!! หยุดขยับก่อน! อ๊ะ! มันจะฉีกอยู่แล้ว…!!”

ยิ่งตะโกนผรุสวาท คนบนร่างยิ่งขยับกายดึงดัน ภาคีดันสะโพกไปด้านหน้า ค่อย ๆ รุกคืบเข้าไปในกายของพจนอย่างเอาแต่ได้

“อึก! คับเกินไปแล้ว…” ใช่เพียงพจนที่ทรมาน ความฝืดแน่นก็ทำภาคีทรมานไม่ต่าง เข้าไปได้ยังไม่ถึงครึ่งทางก็ถูกรัดจนเจ็บระบมไปหมด ตอนนี้ในหัวหูของเขาอื้ออึงจนไม่ได้ยินเสียงก่นด่าหรือแม้แต่ถ้อยคำอ้อนวอนขอความเมตตาของพจนแม้แต่เศษคำ เพราะมัวแต่จดจ่อกับการเสือกไสแก่นกายเข้าไปในช่องทางรัดร้อน

“อะ…อย่า….อ๊า อึก…พอแล้ว…มันเจ็บ…!” แม้พจนจะพยายามขยับสะโพกดิ้นรนหนี แต่พอถูกเชื่อมโยงเอาไว้แล้วก็ไม่อาจสลัดหลุด เสียงที่เคยตะโกนก้อง เหลือเพียงเสียงร้องทรมาน น้ำตาของพจนไหลนองเนืองเนื่องจากความเจ็บระบมผสมความอัดอั้นทรมาน เสียงเหมือนสักที่ในร่างกายฉีกขาดดังก้องอยู่ในหู พร้อมความเจ็บแสบที่แล่นปลาบไปจนถึงก้านสมอง สัมผัสราวแท่งเหล็กร้อนที่ชำแรกเขาสู่ส่วนลึกที่อนุมานได้ไม่ยากว่าภาคีคงทำมันสำเร็จแล้ว…

ภาคีครางต่ำในลำคอ ก่อนผ่อนลมหายใจยาวเพื่อผ่อนความตึงเครียด เมื่อสามารถฝังร่างเข้าไปจนสุด หัวสมองขาวโพลน รู้สึกเพียงร่างของตนกระตุกน้อย ๆ เนื่องจากถูกร่างกายของพจนบีบรัดจนรู้สึกทรมาน…ความทรมานที่เจือความหวานติดปลายลิ้นหน่อย ๆ นี่มันทำให้ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันมีความรู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนแฝงเร้นอยู่ด้วย เขาขบริมฝีปากอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแลบลิ้นเลียริมฝีปากแห้งผากของตนช้า ๆ จากนั้นจึงเริ่มขยับโยกสะโพกเบา ๆ เพื่อสร้างความคุ้นชิน

“ฮึ่ก…ได้โปรด…”

พออารมณ์ที่คุโชนจากการรุกโหมโรมรันค่อยทุเลาลงเพียงน้อย เศษเสี้ยวสติที่ได้คืนกลับมาก็ทำให้ภาคีได้ยินเสียงร้องอ้อนวอนของพจนในที่สุด เสียงนั้นอ่อนแรงจนน่าสงสาร และนั่นก็ทำให้สติของเขาตื่นตัวอย่างสมบูรณ์!

“อยะ...อย่า...ฮึ่ก...ผมกลัวแล้ว”

“...!!?”

“ผมเจ็บ ฮือ...ผม...ฮึ่ก ไม่เอาแล้ว...”

“อ๊ะ! พึ่ง…!!?”

ภาคีเบิกตาโพลง เพราะเสียงร้องไห้บางเบาจากคนใต้ร่าง เรียกสติของเขาให้กลับมาฉายชัดในก้อนสมองว่างเปล่าอีกครั้งแล้ว

ยิ่งเสียงของพจนขาดห้วงมากเท่าไหร่ หัวใจของเขาก็สั่นรัวมากเท่านั้น ภาคีนิ่งอึ้งในสิ่งที่เกิดขึ้นไม่น้อย ร่างกายที่พยายามรุกรานอีกฝ่ายอย่างสุดกำลังอยู่เมื่อครู่ หยุดนิ่งราวกับถูกสาป ความสาแก่ใจที่ควรจะได้รับ จางหายไปพร้อมภาพตรงหน้าจนตั้งตัวไม่ติด ขนาดภายในห้องมีเพียงแสงสลัวเขายังสามารถรับรู้ได้เลยว่า พจนกำลังร้องไห้หนักขนาดไหน สัมผัสได้เลยว่าร่างกายของอีกฝ่ายสั่นเทิ้มไปหมด…แม้แต่ด้านใน

เมื่อรู้สึกตัวได้ภาคีก็ไม่รอช้า รีบขยับกายยื่นมือไปเปิดโคมไฟที่หัวเตียงเพื่อเช็กสภาพที่เกิดขึ้น เสียงสะอื้นดังขึ้นทันทีที่เขาขยับกายพร้อมแรงกระตุกรัด ทำเอาร่างของภาคีกระตุกเบา ๆ ไปด้วย พจนต้องเจ็บมากอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะข้างในรัดแน่นทันทีที่มีการเคลื่อนไหว

มันแน่นเกินไป จนภาคีไม่อาจถอนตัวออกมาได้ในตอนนี้…แค่ขยับนิดเดียวยังทำให้เจ็บขนาดนั้น แถมแก่นกายของเขามันยังไม่ยอมอ่อนตัวลงเลยแม้ในสถานการณ์นี้ หากจู่ ๆ ถอนพรวดพราดออกมา…คงได้เจ็บทั้งสองฝ่ายแน่

แสงไฟสีเหลืองนวลที่ส่องสว่างขึ้น ทำให้ภาคีมองเห็นได้ในที่สุด

ภาพของพจนที่กำลังสั่นเทิ้มด้วยความเจ็บปวดระคนหวาดกลัว สองแขนที่เพิ่งถูกปล่อยเป็นอิสระยกขึ้นพาดปิดหน้าปิดตาไว้ทำให้ไม่อาจเห็นสีหน้าที่ทรมาน แต่ถึงปิดบังด้วยสองแขน หยาดน้ำตาที่เปียกฉ่ำไปทั้งสองแก้มนั้นก็ไม่อาจอำพรางได้มิด

“อึ่ก!!”

แค่ขยับตัวเล็กน้อย พจนก็ดูเหมือนจะเจ็บขึ้นมาอีก จนภาคีเองอยากจะทุบกระหม่อมตัวเองสักสองสามหมัด ลงโทษที่ไม่ยอมอ่อนตัวลงเสียที แรงตอดรัดคับแน่นทำน้องชายเขาคึกคักไม่เลิก จนอยากสาปตัวเอง!

“อยู่นิ่ง ๆ นะ เดี๋ยวฉันเอาออกให้” เขาพยายามปลอบใจพจนที่ยังสะอื้น ส่วนตัวเองก็พยายามสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ผ่อนลมหายใจยาว ๆ ตั้งสมาธิอยู่ครู่ใหญ่กว่าสิ่งที่สอดคาอยู่ในร่างของพจนจะอ่อนตัวลงจนสามารถถอดถอนออกมาได้ในที่สุด แต่ก็ไม่วายยังทำให้เจ็บจนสะอื้นอยู่ดี

“…” แล้วสิ่งที่ปรากฏต่อสายตาก็ยิ่งทำให้ภาคีรู้สึกผิด เลือดแดงฉาน หยดเป็นดวงอยู่บนที่นอนสีขาว อันเกิดจากบาดแผลของพจนที่เขาเพิ่งข่มเหงรุกรานทรมานอีกฝ่ายอย่างเอาแต่ใจไปเมื่อครู่ ภาพตรงหน้าทำหัวใจของภาคีสลดหนัก ไหนจะรอยเขียวเป็นจ้ำตามเนื้อตัว ที่เกิดจากการโรมรันพันตูก่อนหน้านั้นอีก

เขาขาดสติเกินไป เขาไม่ควรทำถึงขนาดนี้

แบบนี้มัน…เกินกว่าเหตุ

ภาคีรู้สึกผิดจากใจจริง ชายหนุ่มก้มหน้านิ่ง จ้องมองร่างที่นอนย่อยยับจากสงครามที่เพิ่งสงบลงอีกครั้ง ก่อนหลับตาลง เพื่อกลั่นกรองคำว่า ‘ขอโทษ’

“พึ่ง…พี่ขอโท…”

ผล็อก!!

โครม!!

ยังไม่ทันที่คำว่าขอโทษจะหลุดออกจากปากของภาคี ร่างของเขาก็ถูกอะไรบางอย่างซัดเข้าจัง ๆ ที่ใบหน้า ก่อนที่จะร่วงลงไปกองอยู่บนพื้น อย่างหมดสภาพโดยไม่ทันตั้งตัว

อะไรบางอย่างที่ว่านั่นก็คือเท้าเบอร์ 41 ของพจนนั่นเอง!



+++++++++++++++++



ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า


“ถ้าคุณรู้ว่าผมเป็นผู้ชายแล้ว ก็ต่อยผมสิ กระทืบให้กระอักเลือดไปเลยก็ได้ ทำไมถึงทำต้องแบบนี้วะ!?”

ผมตะโกนลั่นไปสามบ้านแปดบ้าน พลังเสียงมีเท่าไหร่ใส่ไม่ยั้ง ตัวผมยังสะบักสะบอมก็จริง แต่ความเดือดดาลมันก็ราวกับลาวาภูเขาไฟที่กำลังจะปะทุในไม่ช้า หากผมไม่ระบายตอนนี้ ผมต้องอกแตกตายแน่!

ผมนั่งแท่นอยู่บนเตียงราวกับเจ้าที่ โดยมีผ้าห่มสีขาวคลุมร่างมิดชิด ใบหน้าผมแดงช้ำจากการร้องไห้อย่างหนักเพราะความเจ็บปวดสาหัสจากน้ำมือไอ้ยักษ์เปรตเมื่อครู่ แต่ถึงปากผมจะเจ่อ ตาผมจะบวมตุ่ย มันก็ไม่ได้ทำให้พลังทำลายล้างของผมในตอนนี้ลดน้อยลงแต่อย่างใด!

กลับกัน มันยิ่งทวีสูงลิบลิ่วชนิดทะลุปรอทเดือดขึ้นไปอีก!

ผมจ้องมองไอ้ชาติชั่วที่นั่งจุ้มปุกอยู่บนพื้น โดยมีใบหน้าซีกหนึ่งเขียวช้ำจากรอยฝ่าเท้าของผมเอง ปากแตก กำเดาแตก จนต้องนั่งซับเลือดซิบอย่างน่าวิ่งเข้าไปซ้ำอีกสักรอบ นี่ถ้าไม่ติดว่าท่อนล่างผมยังระบมอยู่นะ ผมจะกระทืบให้เละจริง ๆ!

ยิ่งคิดยิ่งแค้น! ไอ้สารเลวมันอัดตูดผม!! ถึงจะยังไม่ทันทำมากไปกว่าสอดใส่เข้ามา แต่มันก็เอาไอ้จู๋มันจิ้มตูดผมแล้ว ยิ่งคิดผมก็ยิ่งเกลียด!!

แม่ง…ไอ้ระยำนี่ มึงหาเรื่องผู้ชายด้วยกันด้วยการอัดตูดเหรอวะ!?

เมื่อคู่สนทนายังคงนั่งก้มหน้าซับกำเดากับเลือดตรงมุมปากของตัวเองนิ่งเงียบอยู่บนพื้น ผมก็ไม่มีอะไรจะต้องเกรงใจอีกต่อไป ผมเสียตัวให้มันแล้ว พรหมจรรย์ประตูหลังที่ผมเฝ้าทะนุถนอมมานานแสนนานก็โดนมันย่ำยีซะจนไม่เหลือชิ้นดีไปแล้ว แต่จะให้ผมนอนร้องไห้กระซิกยอมรับชะตากรรมก็ใช่ที่ เพราะผมมีสิทธิ์ที่จะทวงถามความรับผิดชอบ! ผมต้องการความเป็นธรรม!

“แม่งเอ๊ย! นี่คุณรู้ว่าผมเป็นผู้ชายมานานเท่าไหร่แล้ว!?”

ผมถามมันตามตรงอีกที ถึงตรงนี้เราต้องเปิดอกคุยกัน ผมต้องการความจริง ก่อนจะเรียกร้องค่าเสียหาย!

“...ตั้งแต่วันแรก” มันตอบออกมาเบา ๆ เหมือนเด็กโดนครูจับได้ว่าแอบกินขนมในห้องเรียน แต่ถึงคำตอบของไอ้ยักษ์มันจะเบาแค่ไหน ก็สามารถทำอารมณ์ผมปะทุจุดเดือดได้อยู่ดี

ผมกระชับผ้าห่มที่คลุมร่างเปลือยเปล่าเอาไว้แน่น ก่อนจะคำรามถามมันออกไปอีกครั้ง เพื่อตอกย้ำความโง่เง่าของตัวผมเอง

“รู้ตั้งแต่วันแรก…แล้วคุณก็หลอกผมมาตลอด? หลอกปั่นหัวผม หยามศักดิ์ศรีผมสารพัด”

“หยามเหรอ? ใครกันแน่ เป็นนายไม่ใช่เหรอที่หลอกปั่นหัวฉันเหมือนคนโง่ ปลอมตัวเป็นผู้หญิงทั้งที่หาความเหมือนแทบไม่ได้เพื่อหลอกฉันไปวัน ๆ เหมือนฉันเป็นแค่ควายตัวหนึ่ง” ดูเหมือนคำถามของผมจะไปจี้ใจดำไอ้ยักษ์เข้า เพราะทันทีที่ผมพูดจบ มันก็ซัดเหตุผลของมันตอบโต้กลับมาเป็นน้ำไหล “คิดว่าฉันยอมให้นายปลิ้นปล้อนฉันไปวัน ๆ แบบนี้มานานแค่ไหน? ฉันยอมสงบศึกกับนายแต่โดยดี มีแต่นายนั่นแหละที่ยังตามราวีฉันอยู่ไม่เลิก ใช่…ฉันยอมให้นายเข้ามาในชีวิต เพราะนายจำเป็นต่อสิทธิโดยชอบธรรมของฉันกับมรดกตกทอดของเจ้าคุณทวด ต่อให้นายจะเป็นผู้หญิง ผู้ชาย หรืออะไร ฉันก็ไม่เกี่ยง ฉันถือว่าเรามีผลประโยชน์ร่วมกัน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านายจะสามารถเข้ามาก้าวก่ายในชีวิตส่วนตัวของฉันได้…โดยเฉพาะเรื่องของฉันกับเกวลิน!”

“คุณก็เลยแก้แค้นผมแบบนี้? สะใจไหมล่ะ ไปเช็กสภาพจิตด้วยนะ ถ้าผลออกมาว่าไม่ได้เป็นโรคจิต คุณก็ต้องเช็กรสนิยมตัวเองใหม่ด้วย คุณมันพวกนิยมชายแล้วล่ะ!” พอได้ฟังมันสาธยายผมก็สาดกลับเป็นชุดด้วยความหงุดหงิด

นี่ผมกำลังถือไพ่เหนือกว่า ผมเป็นผู้ถูกกระทำอยู่นะ ทำไมมันถึงตั้งหน้าตั้งตาเถียงฉอด ๆ แบบนี้ล่ะ?

“ฉันก็ขอโทษไปแล้วไง ฉันเองก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้…” ดู๊ดูมันแถ

“ขอโทษแล้วตูดผมจะกลับมาซิงเหมือนเดิมไหมล่ะ!? ศักดิ์ศรีลูกผู้ชายของผมมันจะยังเหลือเท่าเดิมไหม? พูดง่ายนี่ ลองมานอนให้ผมแทงตูดดูบ้างสิ!”

“…” เจอผมสวนเข้าไปถึงกับเงียบ นี่ไม่ได้พูดเล่นนะ ถ้ามันบอกว่ายอมเมื่อไหร่ ผมจะใส่ให้ยับเชียว!

“เออ! ผมผิดจริงเรื่องที่หลอกคุณ ผมยอมรับ ผมทำมันลงไปเพราะจนตรอก เพราะเห็นแก่เงินจนหน้ามืด…เหอะ! แต่คุณเองก็ไม่ได้ต่างกันนี่ คุณเองก็หลอกใช้ตัวผม เพื่อมรดกที่ดินอะไรสักอย่างของเจ้าคุณเทียดที่คุณอยากได้นักหนาเพื่อเอาไปให้แฟนคุณน่ะ! เราเองก็ไม่ได้ต่างกัน แล้วไหงคุณถึงได้โทษผมฝ่ายเดียวได้ลงคอ!?” สุดท้ายมันก็ใช้มุกเงียบ จนผมอดรนทนไม่ไหว ผมเลยขอเป็นฝ่ายสาธยายความบ้าง ใช่จะมีแค่เอ็งนะไอ้ยักษ์เวรที่ถูกกระทำน่ะ!

“…ฉันขอโทษ”

“โฮ่ย! พูดเป็นคำเดียวรึไงวะ!? เออดี! งั้นผมขอพูดเองสรุปเองเลยแล้วกัน!” สุดท้ายผมก็หมดน้ำอดน้ำทน ไอ้พึ่งจะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว แตกหัก! ผมไม่ขออยู่ร่วมชายคาบ้านมันอีกต่อไปแล้ว!!

เป็นไงเป็นกัน!

“เรื่องที่เกิดในวันนี้ ผมถือว่าคุณกับผมเราเจ๊ากันแล้ว ไม่มีอะไรติดค้างกันอีก ผมจะกลับไปบอกกับคุณลุงภาสว่าผมจะขอหย่า ผมทนคุณไม่ได้ และไม่ต้องการส่วนแบ่งมรดกหรือสินสมรสอะไรทั้งนั้น แต่สองล้านผมไม่คืนนะ ผมถือว่ามันคือค่าพรหมจารีของผม! แค่นี้ โอเค เลิก จบกัน! ”

“ฉันไม่ตกลง!”

เหมือนกำลังปราศรัยหาเสียง แล้วถูกคู่แข่งสกัด นี่มันเข้าใจสถานะของตัวเองไหมเนี่ย? ไอ้ยักษ์ มึงไม่มีสิทธิ์สอดปากนะ รู้ยัง?

“เฮอะ! ขอโทษว่ะ คุณหมดสิทธิ์ต่อรองทั้งนั้นแล้ว…”

“ใครกันแน่ที่ไม่มีสิทธิ์?”

“เอ้า? ขนาดนี้ยังไม่สำนึกอีกเหรอวะ?”

“ไม่ว่ายังไง นายยังต้องเป็นภรรยาของฉันไปให้ครบสามปี ไม่งั้นฉันจะเปิดโปงนาย! ”

“อ้าวเฮ้ย? แม่งคุณมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย! ทำไมเล่นแบบนี้วะ!?”

“ไม่เป็นไร เป็นเกย์แล้วเมื่อกี้” สัด! เสือกย้อนซะกูเงิบ ไอ้หน้าด้าน!

“อย่ามาเล่นลิ้นนะเว้ย! ไม่สนล่ะ จะเปิดโปงก็เปิดไป ผมไม่อยู่แล้ว”

“คุกนะพึ่ง ข้อหาหลอกลวงต้มตุ๋น อย่าคิดว่าพ่อกับพี่แพทใจดีนะ จริงอยู่พวกเขาเอ็นดูนาย แต่ไม่ปรานีกับพวกโจรต้มตุ๋นแน่ ๆ ไม่เคยได้ยินเหรอไง รักแรงเกลียดแรงน่ะ…”

“…คิดว่าขู่กันแค่นี้จะกลัวหรือไง?”

“พ่อกับน้องชายนายก็จะโดนร่างแหไปด้วย ไม่สงสารพวกเขาเหรอ?”

หน็อย…เล่นถึงพ่อล่อถึงน้อง อย่าคิดมาขู่กันซะให้ยากนะเว้ย!!

“เรื่องนี้ ผมเป็นต้นคิดคนเดียว ไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้น ถ้าจะเอาผิด ก็ลงที่ผมคนเดียว…”

“แต่พวกเขาพานายมาที่นี่ในวันแรก ยังไงก็หนีไม่พ้นข้อหาสมรู้ร่วมคิด”

“…แต่”

แต่ที่มันพูดมา เสือกมีเหตุผลจนผมเถียงไม่ขึ้น คราวนี้มันเลิกนั่งจ๋องเป็นหมาหงอยอยู่บนพื้นแล้ว ไอ้ยักษ์มันลุกขึ้นมานั่งที่ข้างเตียง ก่อนจะยื่นข้อเสนอบางอย่างที่ผมโคตรไม่เต็มใจรับ

“ฉันมีข้อเสนอ”

“…อะไร?”

“ย้ายมาอยู่กับฉันที่นี่ ครบสามปีแล้วค่อยแยกย้ายกัน”

อะหือ? นี่คือคำขอแต่งงานใช่ไหมบอกผมที ชวนมาอยู่ที่นี่ ทั้งที่เพิ่งมีซัมติงกันไปหยก ๆ เนี่ยนะ กูคงใจง่ายขนาดนั้นอยู่หรอก! ขืนมาอยู่กับมึง กูคงต้องใส่กางเกงในเหล็กอ่ะ!

“เฮ้ย? ตลกแล้ว จะให้มาอยู่กับคุณที่นี่ สู้ผมนอนตีพุงอยู่บ้านใหญ่ไม่สบายกว่าเรอะ?”

“อยู่ที่นั่น นายได้ความแตกเร็ว ๆ นี้แน่…พี่แพทไม่ใช่คนโง่ ไหนจะพ่อ คุณหญิงย่า แถมไอ้เพิร์ทอีก นายก็รู้ว่าตัวเองไม่ได้เนียนเลยสักนิด”

แต่ว่า…เหตุผลที่มันยกแม่น้ำทั้งห้ามา ก็เริ่มทำผมเริ่มคิดตาม

“…แต่ผมอยู่กับพี่แพทสบายใจกว่า”

“นายยังรู้จักพี่ฉันน้อยไป พี่แพททั้งบ้าพลัง ทั้งบ้าอำนาจ ขืนอยู่ต่ออีกหน่อย นายได้โดนพี่ฉันครอบงำแน่…เอาเป็นว่า อยู่กับฉันที่นี่แหละ มันเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว เดี๋ยวฉันคุยกับที่บ้านเองว่าเราจะออกมาอยู่กันฉันสามีภรรยา อยู่ที่นี่นายไม่ต้องแต่งหญิง มีห้องนอนส่วนตัวที่ไม่ต้องนอนร่วมกับฉัน แค่อยู่สงบ ๆ ของนายไป ฉันสัญญาว่าจะไม่ก้าวก่ายพื้นที่ส่วนตัวของนายเด็ดขาด”

จริงของมันแฮะ…ทางเลือกผมมีไม่มากจริง ๆ นั่นแหละ จะเลือกทางไหนก็มีแต่เสี่ยงทั้งนั้น เสี่ยงติดคุก กับเสี่ยงโดนตุ๋ย…บัดซบเอ๊ย เลือกยากฉิบหาย

“…แล้วให้ผมทำอะไรบ้าง?”

“ไม่มี ที่นี่มีคนทำความสะอาดอยู่แล้ว เพียงแค่ตอนที่เขามานายอย่าให้เขาเห็นเป็นพอ หรือถ้าหลบไม่ได้ก็แกล้งเป็นผู้หญิงให้เนียนหน่อยเท่านั้นเอง”

“…แต่…ให้ผมกลับไปอยู่บ้านผมก็ได้นี่”

“แบบนั้นมันไม่เนียน ไม่ต้องกลัวฉันปล่อยนายกลับบ้านทุกอาทิตย์อยู่แล้ว”

“...” อืม คิดหนักแฮะ

“อยู่กับฉันนะ…ฉันสัญญาว่าจะไม่แตะต้องนายอีกแน่นอน แล้วถ้านายอยากได้อะไรเพื่อเป็นการชดเชยเรื่องในครั้งนี้ ฉันก็จะยอมให้นายทุกอย่าง”

เออ! มึงก็ลองแตะอีกทีสิไอ้ยักษ์เปรตนี่ พ่อจะตัดไข่ทิ้งแม่ม!!

“ผมไม่อยากได้อะไรทั้งนั้น!”

“พึ่ง…ข้อร้องล่ะ ช่วยฉันหน่อยนะ ฉันรู้ว่ามันคงทำใจลำบาก แต่แค่สามปี ฉันสัญญาจะปล่อยนายเป็นอิสระ…”

โฮ่ย…อย่ามาอ้อน กูไม่เชื่อลมปากมึงหรอก! ที่กูยอมเนี่ย เพราะไม่อยากให้ครอบครัวกูเดือดร้อนเท่านั้นแหละ!

ได้ยินคำขอร้องขอไอ้ยักษ์ ผมก็ได้แต่มองหน้าเครียด ๆ ของมัน ก่อนจะหลุดคำถาม ที่ตัวผมเองก็คิดไม่ถึงว่าทำไมถึงถามแบบนั้นออกไป ในเมื่อสิ่งที่ผมสัมผัสได้ มันก็ชัดเจนมาตั้งแต่ต้น

“เขาสำคัญกับคุณมากเลยสินะ…คุณเกวลินน่ะ”

“…ฉันติดค้างเขาน่ะ”

“รักมากด้วยใช่ไหม?”

“...”

เออ! เอาวะ…! ช่วยคนสมหวังในรัก ผมบุญอาจทำให้ผมเป็นเศรษฐีมีกะตังค์ในอนาคตก็เป็นได้

“โอเค…ผมอยู่ที่นี่ด้วยก็ได้”

“จริงเหรอ”

“เออ! ก็ถ้าคุณจะทำขนาดนั้น ผมก็คงต้องอยู่กับคุณที่นี่…ผมว่าคุณคงเข้าใจนะว่าผมไม่ได้ทำเพื่อคุณแต่เพื่อครอบครัวของผม เพื่อคนที่ผมรัก ผมไม่อยากให้พวกเขาต้องมาเดือดร้อนเพราะผมเป็นต้นเหตุ เพราะความเห็นแก่ตัวของคุณ…และผมอยากให้คุณจำไว้อย่าง ว่าสิ่งที่คุณทำกับผมวันนี้ ผมจะไม่มีวันลืม! สามปีในห้องนี้ ผมกับคุณจะเป็นได้แค่คนแปลกหน้า ครบกำหนดเมื่อไหร่ ผมจะไปทันที เงินสักแดงของคุณผมไม่ต้องการ สองล้านที่ผมรับไปก่อนหน้านั้นผมถือว่ายืมคุณใช้ และจะคืนคุณทุกบาทไม่ให้มีขาดตกบกพร่อง ระยะเวลาสามปีผมจะถือว่าชดใช้กรรม ที่ผมทำผิดศีลข้อสี่ให้คุณไปก็แล้วกัน! หวังว่าคุณคงเข้าใจนะครับ คุณเจ้ากรรมนายเวร!”

เอิ่ม…นี่ผมคง ใจง่ายไปสินะ

โถ่เอ๊ย…ไอ้พึ่ง ไอ้ห่า ไอ้ใจง่าย ไอ้ใช้ร่างกายเปลือง….



++++++++++++++++++


ไอ้พี่พอลเลวได้ที่ ปู้ยี่ปู้ยำไอ้พึ่งไปเสียแล้ว...เฮ้ออออ สงสารพึ่งงงงงง

จากนี้ไปก็จงรับกรรมนะคะคุณพอลลลลล!!! 55555



ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า

18 โลกของพึ่ง


“โอเค…ผมอยู่ที่นี่ด้วยก็ได้ ก็ถ้าคุณจะทำขนาดนั้น ผมก็คงต้องอยู่กับคุณที่นี่…ผมว่าคุณคงเข้าใจนะว่าผมไม่ได้ทำเพื่อคุณแต่เพื่อครอบครัวของผม เพื่อคนที่ผมรัก ผมไม่อยากให้พวกเขาต้องมาเดือดร้อนเพราะผมเป็นต้นเหตุ เพราะความเห็นแก่ตัวของคุณ…และผมอยากให้คุณจำไว้อย่าง ว่าสิ่งที่คุณทำกับผมวันนี้ ผมจะไม่มีวันลืม! สามปีในห้องนี้ ผมกับคุณจะเป็นได้แค่คนแปลกหน้า ครบกำหนดเมื่อไหร่ ผมจะไปทันที เงินสักแดงของคุณผมไม่ต้องการ สองล้านที่ผมรับไปก่อนหน้านั้นผมถือว่ายืมคุณใช้ และจะคืนคุณทุกบาทไม่ให้มีขาดตกบกพร่อง ระยะเวลาสามปีผมจะถือว่าชดใช้กรรม ที่ผมทำผิดศีลข้อสี่ให้คุณไปก็แล้วกัน! หวังว่าคุณคงเข้าใจนะครับ คุณเจ้ากรรมนายเวร!”



+

+

+



เก้าโมงเช้าวันจันทร์ ผมนอนยาวอ่านการ์ตูนอยู่บนเตียงหลังน้อย ในห้องแห่งพันธสัญญาระหว่างผมกับมันผู้เป็นเจ้าของ

หลังจากวันที่ผมรับปากว่าจะอาศัยร่วมชายคากับไอ้ยักษ์ห่าก็ผ่านมาได้หนึ่งสัปดาห์เต็มแล้ว ข้อตกลงในการอยู่ร่วมกันของเรามีไม่มาก หลักๆ คงเป็นเรื่องการใช้พื้นที่ใช้สอยส่วนตัวกับส่วนรวม เพราะเราตกลงว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกัน ดังนั้นการจัดตารางเวลาใช้พื้นที่ส่วนกลางจึงเป็นเรื่องจำเป็น

มันอยู่ห้องนอนหลัก ห้องเดิมของมัน ส่วนผมอยู่ห้องเล็กข้างกัน เรามีห้องน้ำส่วนตัวคนละห้อง ห้องน้ำมันมีอ่างแช่ตัว แต่ของผมมีเพียงฝักบัว ห้องมันติดระเบียง ส่วนห้องผมมีเพียงหน้าต่างบานใหญ่ แต่วิวก็สวยไม่ต่าง

พื้นที่ส่วนกลางที่เราต้องใช้ร่วมกันคือห้องนั่งเล่นและห้องครัว ซึ่งเอาเข้าจริงผมก็แทบไม่โผล่หัวออกไปใช้อะไรแถวนั้นอยู่แล้ว เพราะถึงห้องผมจะเล็ก แต่สิ่งอำนวยความสะดวกที่ไอ้ยักษ์บรรณาการมาให้ก็ครบครันจนไม่จำเป็นต้องย่างเท้าออกจากห้องก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ไม่ว่าจะเป็นทีวี ตู้เย็น แม้กระทั่งเครื่องเสียงชุดเล็กเพื่อเพิ่มความบันเทิง

ถามว่าดีใจไหมกับสิ่งที่มันให้มา...บอกตรงๆ ว่าผมไม่มีความรู้สึกอย่างว่าเลยสักนิด

โบราณว่าไว้ 'อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น' แต่เนื่องจากห้องมันมีคนทำความสะอาด และสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครันอยู่แล้ว หน้าที่ผมในห้องนี้จึงมีแค่เรื่องเดียวคือการเป็นคนดี ดียังไงน่ะเหรอ?

แหม...ก็ดีตรงที่วัน ๆ ผมไม่ทำเหี้ยอะไรเลยไง ฮ่า ฮ่า..เหอะ เหอะ

เฮ้อ...

ขอโทษครับ ช่วงนี้ผมตลกไม่ค่อยออก ต้องขออภัย

ถ้าถามว่าหลังจากวันนั้นผมกับมันเป็นยังไง ก็อย่างที่มันเคยบอกผมว่าเราต่างคนต่างอยู่ และอย่างที่ผมเคยบอกมันว่าเราคือคนแปลกหน้า ผมกับมันจึงแทบไม่เจอหน้ากันเลยทั้งอาทิตย์ ไม่ว่ามันจะหายหัวไปไหน อยู่ไม่อยู่ผมก็ไม่รู้หรอกนะ เพราะตัวผมอ่ะไม่ค่อยจะอยู่ดูความเคลื่อนไหวของมันสักเท่าไหร่



ผมอยู่ที่ห้องมันจริงตามที่ให้สัญญากับมันไว้ แต่ก็ไม่ได้ทุกวันหรอก เพราะส่วนมากผมก็แอบไปสิงอยู่ที่บ้านพ่อพจน์โน่น ผมว่ามันเองบางทียังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมอยู่หรือเปล่า อย่างวันนี้มันก็ออกไปไหนก็ไม่รู้ตั้งแต่เช้า ผมเลยสบายใจที่จะอยู่เฝ้าบ้านให้มันอย่างไม่มีเกี่ยงงอน

ผมไม่รู้ว่ามันรู้สึกยังไง ไม่สนใจด้วย แม้จะมีหลายๆ ครั้งที่เหมือนมันพยายามจะพูดบางอย่างกับผม แต่ผมก็เลี่ยงที่จะสนทนากับมันทุกวิถีทาง

ช่วยไม่ได้ ก็ผมไม่อยากคุยนี่

หลายคนอาจมองว่าผมไม่แคร์ ไม่คิดมากในเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้น

มองว่าผมเข้มแข็ง...

คุณคิดผิดแล้วล่ะ เพราะที่จริงผมโคตรสะเทือนใจ มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับที่จะไม่รู้สึกอะไรเลยที่ถูกทำถึงขนาดนั้น ผมจะไม่ใช้คำว่าข่มขืนนะ เพราะมันให้ความรู้สึกว่าตัวผมน่าสมเพชมากกว่าน่าสงสาร ผู้ชายแท้ๆ ยังเอาตัวรอดไม่ได้แบบนี้ ทุเรศตัวเองชะมัด

ถามว่าแค้นไหม...วู้ย อย่าให้พูดถึง แต่ที่ยังเฉยนี่ไม่ใช่ผมอภัยให้ หรือเป็นพ่อพระอะไรหรอก แต่เพราะผมทำอะไรไม่ได้ไง! ผมมันเป็นคนพลาดเองแหละ คนที่หาเรื่องใส่ตัวคือผมเองตั้งแต่แรก ไม่มีใครบังคับจับผมมา แต่ผมเต็มใจมาเอง มาเพื่อหลอกเอาเงินเขา ก็สมควรที่เขาจะเอาคืน

มันไม่มีรับได้หรือไม่ได้ เพราะมันจำเป็นต้องรับ เพราะผมไม่มีทางกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว

อย่าเรียกว่าให้ทานเลยครับ ผมไม่ได้มีจิตเมตตากับมันขนาดจะเรียกว่าให้ทานได้เลยสักนิด แบบนี้เรียกว่าโดนปล้นเลยน่าจะเข้าท่ากว่า ถือว่าโดนโจรห่าห้าร้อยปล้นไปผมยังพอจะทำใจยอมรับได้บ้าง

ส่วนเรื่องที่ต้องมาอยู่กับมัน 3 ปี ผมเองก็ไม่รู้ว่าควรหาคำตอบ หรือทางออกให้ตัวเองในเรื่องนี้ยังไง นอกจากการยอมรับข้อเสนอของคนอย่างมัน คุณก็เห็นว่าไอ้ยักษ์ห่ามันโคตรจะลูกผู้ชาย แมนมาก ขนาดเอาครอบครัวชาวบ้านมาข่มขู่ บอกตรงๆ เลยว่าตอนนี้ความศรัทธาที่ผมเคยมีในตัวมัน แม้แต่เศษเสี้ยวก็ไม่มีเหลืออีกแล้ว ผมถือว่าเวรกรรมมันมีจริง ในเมื่อกรรมมันยังตามมาทันผม สักวันก็ต้องตามไอ้ยักษ์ทันเหมือนกัน

เชื่อผมเถอะ เพราะผมนั่งแช่งนอนแช่งมันแม่งทุกวัน!

อะไรนะ แผลตรงนั้นน่ะเหรอ? หายนานแล้วล่ะครับ ผมไม่ได้กระเสาะกระแสะขนาดที่ว่าพอโดนปล้ำเข้าหน่อย ก็ไข้ขึ้นนอนซมหยอดน้ำข้าวต้มจนทำอะไรไม่ได้ ร้องไห้ฟูมฟาย...กระซิก กระซิก

หึ หึ...ชีวิตจริงมันก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นหรอก คิดว่านะ...

จริงอยู่ผมโดนมันทำซะจน...เหวอะหวะ...เอ่อ เป็นแผลน่ะ

แผลที่ได้ทำผมแสบระบมอยู่หลายวันอยู่ก็จริง แต่ก็ไม่ถึงกับเดินเหินไม่ไหว อารมณ์มันก็คล้ายกับที่เคยเป็นริดสีดวงตอน ม.ต้นน่ะแหละ แต่ตอนนั้นทรมานกว่าเยอะ เล่นซะไม่กล้าเข้าห้องน้ำเสียหลายวัน แต่ครั้งนี้ไม่เท่าไหร่ ร่างกายคนเรามันอัศจรรย์ครับ แค่นอนนิ่งๆ อยู่กับตัวเองสักสองสามวัน มันก็รักษาตัวเองจนหายได้โดยไม่ต้องลงมือทำอะไรมาก

จะหายช้าก็ตรงต้องมานั่งหงุดหงิดไอ้ยักษ์ห่าที่คอยมาวุ่นวายอยู่นั่น เดี๋ยวข้าว เดี๋ยวน้ำ เดี๋ยวยา แทนที่จะได้นอนยาว ก็ต้องคอยตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เพื่อระวังไอ้ยักษ์เวรที่ชอบดอดมานั่งเฝ้าราวกับผมกำลังเจ็บหนัก ทำหน้าเครียดเหมือนว่ากับอาการผมกำลังเข้าขั้นตรีทูต ทั้งที่ก็บอกมันไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ว่ายิ่งเห็นหน้ามันผมยิ่งหายยาก แต่มันก็หายหัวไปได้แค่ประเดี๋ยวประด๋าว สักพักมันก็โผล่มาใหม่ พร้อมยาและอาหาร...

ล็อกห้องก็ไม่ได้ เพราะสุดท้ายมันก็ใช้กุญแจไขเข้ามาอยู่ดี เล่นเอาความดันผมขึ้นจนปรอทจะแตกแทบทุกวัน!

โชคเข้าข้างที่ผมหายดีภายในสามวัน การต่อสู้ระหว่างมันกับผมจึงจบลงได้

‘ถ้าให้ผมมีห้องของตัวเอง แต่ไม่ให้สิทธิในความเป็นส่วนตัวแบบนี้ ให้ผมย้ายไปนอนตรงห้องนั่งเล่นเลยเถอะ จะได้ไม่ต้องลำบากไขประตูให้เมื่อย ’

คือประโยคทิ้งท้ายที่ผมแดกดันใส่มัน และดูเหมือนจะได้ผลนะเพราะหลังจากนั้นมา มันไม่ถือวิสาสะเข้ามาวุ่นวายกับห้องผมอีกเลย (แต่กุญแจห้องของผม มันก็ยังเก็บไว้อยู่ดี!)

หลังจากนั้น ผมก็ไม่รู้แล้วว่ามันเป็นยังไง อย่างที่เคยบอกไปว่าผมหลบหน้ามันอยู่ หลบอยู่บ้านพ่อบ้าง หลบอยู่ในห้องบ้าง ที่ไหนก็ได้ทั้งนั้นที่ไม่ต้องเจอหน้ามัน...

ผมเลิกสนใจตัวมัน ไม่แม้แต่จะสนใจกระดาษโน้ตที่มันทิ้งไว้ให้ผมทุกวัน เพื่อบอกว่ามันไปไหน มีกับข้าว มีอาหารอะไรวางรออยู่บนโต๊ะอาหารบ้าง แน่นอนว่าผมไม่เคยคิดจะแตะ แค่ข้าวปลาอาหารยาไส้ ผมมีปัญญาหากินเองได้ ไม่อยากติดหนี้มันเพิ่มมากไปกว่านี้อีกแล้ว...

ถ้าตัดเรื่องไอ้ยักษ์ห่าทิ้งไป ชีวิตนอกเหนือจากนั้นของผม ก็ปกติสุขดี

ส่วนเรื่องทางใจ ก็คงไม่ต้องทำอะไรมาก มันไม่ได้สะเทือนขวัญขนาดจะทำให้ผมเสียผู้เสียคนได้หรอก แค่นี้ยังไกลหัวใจ...

คิดแล้วก็นอนฟังเพลงเพลินๆ ต่อครับ...



แค่ความสาวที่เสียให้เขาไป เสียตัวอย่าเสียใจไม่นานก็หายดี

คุณค่าของเธออยู่ที่ใจมากกว่าผู้ชายพรรค์นี้

เจ็บใจหนึ่งทีเปิดทางให้คนดี ๆ ได้เดินเข้ามา...



สัด! ทำไมเป็นท่อนนี้เนี่ย เล่นเอาลุกขึ้นปิดวิทยุแทบไม่ทัน! แม่ง...เพลงบ้าอะไรวะตอกย้ำกันอยู่ได้!!



+

+

+



สิบโมงตรง ผมยืนหันซ้ายหันขวา มองสภาพนักศึกษาของตัวเองหลังจากที่ไม่ได้เห็นมานาน กางเกงนักศึกษาสีดำ เชิ้ตขาวสอดชายไว้ในกางเกงเรียบร้อย ผมยาวรวบตึงไว้ด้านหลังด้วยความสุภาพ ใบหน้าขาวกระจ่างสะอาดตา ผมยิ้มกับตัวเองอยู่หน้ากระจกครู่หนึ่ง รู้สึกนานเหลือเกินที่ไม่ได้เห็นตัวเองในสภาพนี้ อีกเดือนหนึ่งข้างหน้าจะเปิดภาคเรียนใหม่

ภาคเรียนที่ไม่ต้องไปยืนตาละห้อย มองพวกเพื่อนๆ ไปลงทะเบียนเรียน แต่ตัวเองทำได้แค่จ่ายค่ารักษาสภาพนิสิต

ภาคเรียนที่ผมจะสามารถเข้าเรียนเหมือนชาวบ้านได้เสียที

หลังดรอปมาครบ 1 ปี ในที่สุดก็ถึงเวลาของผมแล้ว!

ผมหยิบเอกสารหลักฐานแสดงตัวต่างๆ ที่เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนขึ้นใส่กระเป๋าสะพายใบย่อม ตรวจเช็กเงินค่าลงทะเบียน และค่าจิปาถะขึ้นมาตรวจนับอีกครั้ง...

เห็นฟ่อนเงินในมือ แล้วก็อดถอนหายใจละเหี่ยไม่ได้ ความสดใสกระดี๊กระด๊าที่มีเมื่อครู่เหมือนจะจางหายไปจากชีวิตผมเสียตอนนั้น ดูเหมือนผมเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรีใช่ไหมครับ โดยเฉพาะกับไอ้ยักษ์ห่าที่ผมหยิ่งกับมันแทบตาย เจ็บแค้นเคืองโกรธ โทษมันคนเดียวเลย แต่ไม่ว่าผมจะหลอกตัวเองว่าผมคือคนที่มากด้วยศักดิ์ศรีสักแค่ไหน ผมก็หนีความจริงไม่พ้นหรอก...

ว่าผมมันคือพวก ‘เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง’

เกลียด ภาคี เทวินทร์วงศ์ แต่ก็...ใช้เงินของมัน

ปากบอกว่าแค่ยืม ปากบอกว่าจะใช้คืน ทั้งที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะมีปัญญาใช้คืนได้หมด

ยิ่งเห็นก็ยิ่งสมเพชตัวเอง...ที่มันเป็นได้แค่คนจนตรอก

เฮ้อ...

ตัวเองยากจนข้นแค้น หนีหนี้หัวซุกหัวซุน เข้าข้างตัวเองตลอดเวลาว่า ตูข้าผู้นี้คือคนดีศรีสังคม ที่ไหนได้วางแผนร้ายริปลอมตัวเป็นผู้หญิงเข้ามาหลอกเอาเงินชาวบ้านเขาเพื่อเอาไปเสวยสุข เกษมสำราญจนลืมผิดลืมบาป แล้วพอเขาทวงคืน ก็ไปแง่ง ๆ ใส่เขาเป็นหมา หาว่าเขากดขี่ หาว่าเขาไม่มีมนุษยธรรม...

ทำตัวเองทั้งนั้น...



ผมคิดเรื่องนี้มาหลายวันแล้ว

จริงอยู่ว่าสิ่งที่ไอ้ยักษ์ห่าทำมันเกินจะรับไหว เจ็บแค้นเคืองโกรธ โทษผมได้ แต่ไอ้ที่ทำมันก็แรงไป๊ รับไม่ได้ ทำใจรับได้ยากเกิน

แต่...

ก็ใช่ว่าผมจะไม่ผิดนี่ ผิดตั้งแต่วันแรกที่ผมปลอมตัวเข้ามาในบ้านมันแล้วแบมือรับเงินสองล้านแล้ว ทั้งยังได้ใจ คิดว่าตัวเองแน่ ไปกวนไปแหย่มันไว้ตั้งเยอะ แทนที่จะอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมเนื้อเจียมตัว

บางครั้งผมก็คิดว่าตัวเองสมควรโดนนะ ถ้าจะโดนกระทืบนี่จะไม่บ่นสักคำเลย

เพียงแต่...การถูกกด...มันกระชากใจเกินไป ต่อให้ผมคิดหาเหตุผลหักล้างยังไง ผมก็ยังคงรู้สึกว่ามันไม่ไหวอยู่ดี นี่ขนาดอุตส่าห์คิดไปถึงว่าโดนไอ้ยักษ์ห่าตุ๋ย อาจดีกว่าถูกจับแล้วโดนรุมตุ๋ยในคุกแล้วนะเนี่ย

แต่หลังจากนอนเอาหน้าแข้งตะกายหน้าผากคิดแล้วคิดอีกมาหลายวัน ยังไงก็คิดไม่ตกเสียที สุดท้ายผมก็เลิกคิด เพราะถึงจะคิดให้ตายมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา มันไม่มีทางที่อะไรๆ จะเปลี่ยน เรื่องที่ผมแต่งหญิงมาหลอกไอ้ยักษ์ห่าก็ยังเหมือนเดิม เรื่องที่ผมต้องอยู่กับมันไปอีกสามปีเพื่อใช้หนี้สองล้านก็เหมือนเดิม

...เรื่องที่ผมเสียตุ๋ยให้มันไปแล้ว...ก็ยังเหมือนเดิม

ในเมื่อคิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ความหลังก็ทิ้งไว้ข้างหลัง ผมควรต้องคิดถึงวันข้างหน้าสิ ชีวิตผมต้องไม่จมปลัก ผมยังต้องเดินต่อไป ในเมื่อแก้อะไรไม่ได้ ก็สร้างใหม่แม่ง โดยเริ่มจากวันนี้แหละ! จะว่าหน้าด้านก็ว่าเถอะ ในเมื่อไม่มีทางเลือก ก็ใช้เงินไอ้ยักษ์ห่ามันนี่แหละส่งตัวเองเรียน กล้ำกลืนหน่อยแต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลยล่ะวะ

และเพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกว่าช่างไร้ศักดิ์ศรี ผมจึงตัดสินใจทำบางอย่างเพื่อเรียกศักดิ์ศรีเล็กๆ ของผมคืนมา

หึหึ...วันนี้หลังลงทะเบียนเสร็จ ผมจะแบกหน้าด้าน ๆ ของตัวเองไปอ้อนโอนเนอร์ที่ทำงานเก่า ขอเข้าไปเป็นเด็กเสิร์ฟตามเดิม

อย่างน้อยค่าใช้จ่ายส่วนตัว ผมขอใช้เงินของตัวเองสบายใจกว่า

กายพร้อม ใจพร้อม เราทำได้!

เมื่อทบทวนตัวเองครั้งสุดท้ายเสร็จสิ้น ผมก็กระชับสายกระเป๋าของตัวเองแน่น สูดหายใจเข้าปอดลึก ๆ

เมื่อแน่ใจว่าทุกอย่างพร้อม ผมก็เริ่มออกเดินทาง

ยืมตังค์มาสานฝันก่อนนะไอ้ยักษ์!!



++++++++++++++++++++



ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า


“ไอ้เหี้ยพึ่ง!! สัดเอ้ย ไม่เจอตั้งนาน มือถือแม่งก็ไม่มี สบายดีไหมมึง!?”

“เฮ้ยพึ่ง? ไอ้ห่ามาเรียนได้แล้วเหรอวะ? เหี้ย ผมยาวเป็นสาวเลยนะมึง”

“อ้าวพึ่ง...”

“โอ้ว พึ่ง...”

“ไง พจน...”

“หวัดดีพึ่ง...”

“สบายดีไหมพึ่ง...”

“เอ้า เชี่ยพึ่ง...”

“หวัดดีค่ะพึ่ง...”

“สัดพึ่ง มึงยังไม่ตายเหรอเนี่ย?”

นี่มันวันรวมญาติผมเหรอครับ? แค่ผมโผล่หัวมาที่กองทะเบียนของคณะเท่านั้น เสียงเซ็งแซ่ก็ดังขึ้นรอบตัวจนต้องหันมองเลิ่กลั่ก ทั้งเพื่อนรัก เพื่อนชัง สนิทมั่ง ไม่สนิทมั่ง มากันทั้งภาควิชา แถมยังเสือกทักมาพร้อมกันอีก จนตอบคำถามพวกมันแทบไม่ทัน

...เออใช่ วันนี้วันลงทะเบียนภาค

พวกมัน...คือเพื่อนรุ่นเดียวกันกับผม เราเรียนปีหนึ่งมาด้วยกัน แต่เพราะผมดรอปเรียนไป ทำให้วันนี้เรากลายเป็นเพื่อนคนละรุ่นไปเสียแล้ว พวกมันขึ้นปีสาม ส่วนผมเพิ่งจะอยู่ปีสอง เป็นรุ่นน้องพวกมันซะฉิบ

เหมือนจะไม่ชอบนะ แต่ไม่รู้ทำไม น้ำตาผมถึงได้ปริ่ม แก้มผมถึงได้ยกขึ้นเป็นลูก แล้วทำไมผมถึงได้ยิ้มยิงฟันเรียงสวยแสบตาให้พวกมันขนาดนี้กันละเนี่ย...

ฮรือออ...ไอ้พวกเพื่อนเหี้ยทั้งหลาย กูคิดถึงพวกมึงงงงง...

"มึงกลับมาเป็นรุ่นน้องพวกกูสินะ เหอะ ๆ มามะ เดี๋ยวพวกพี่พาไปเลี้ยงรับขวัญ" ไอ้แวนถลาเข้ามากอดไหล่ผมทันทีแบบไม่ต้องเชิญ หน้าตากวนโอ๊ยรับกับผมทรงกะลาครอบของมันสุด ๆ แว่นหนาไม่ได้ทำให้หน้าตาดูคงแก่เรียน แต่กลับขับความเกรียนได้ใจจนฟุ้ง บอกตรง ๆ ลักษณะอย่างไอ้แวนนี่เดินไปไหนเดี่ยว ๆ โดนตีนเฉี่ยวหัวกลับมาแน่ ๆ

"เออ ดี ๆ ห้ามปฏิเสธพวกกูนะเว้ยไอ้เชี่ยพึ่ง กูไหว้ล่ะ วันนี้ไปหาอะไรแดกกัน พวกกูเลี้ยงเอง" ส่วนเพื่อนเลิฟอีกคนที่เข้ามาลูบหัวลูบไหล่ของผมคือไอ้โกะ โกะเป็นแฝดน้องของไอ้แวน หน้าเหมือนกันอย่างกับแกะ แต่นิสัยต่างกันหน่อย ถึงจะดูกวนๆ ไม่ต่างกัน แต่อย่างน้อยไอ้โกะก็ไม่บ้าเท่าไอ้แวน ผมรองทรงธรรมดา แว่นตาไม่ใส่ ดูสุขุมนุ่มลึกกว่าไอ้แวนเยอะ

"เออ ๆ ไอ้พวกเวรนี่ กูให้เวลาพวกมึงจนถึงหกโมงเย็นเลย อยากเลี้ยงอะไรกู ก็เลี้ยงมา กูแดกได้ไม่อั้น!" ผมตอบรับเพื่อนรัก พร้อมกางแขนออกกว้าง พลางส่งสายตาเป็นสัญญาณว่า 'โผเข้าหาอกอุ่นของป๋ากันเลยจ้ะอีหนูทั้งหลาย'

"โฮวววว ไอ้เหี้ยพึ่งงงง" แน่นอนว่าเพื่อนกันแค่มองตาก็เห็นลิ้นไก่ ไอ้สองแฝดถลาเข้าหาผมพร้อมใส่คำสรรเสริญนำหน้าชื่ออย่างสมเกียรติ ภาพผู้ชายตัวเท่า ๆ กันสามตัวกอดกันกลมเป็นหมู่เป็นเกลียว พร้อมน้ำหูน้ำตาน้ำมูกน้ำลายนองหน้านี่...ดูน่าแขยงนิด ๆ เนอะ

"ไอ้สัด พวกมึงอย่าลืมกูน๊า อ๊า อ๊า..." เสียงตะโกนลั่นจากทางด้านหลังพร้อมเอคโค่ตามมาเป็นเสียงไมค์หอน ใคร...ไม่ต้องเดาก็รู้

หมับ!!

อ้อมกอดหนักหน่วงของเพื่อนรักคนสุดท้ายในกลุ่ม ถลาร่างอ้วนสั้นตันเตี้ยของมันเข้ามาร่วมแจมในหนังมิตรภาพของพวกเราทันที แต่การมาของมันโดยการตะกายขึ้นหลังผมเนี่ย...

.

.

.



"...อ...ไอ้เหี้ยอ้อน ก...กูหนัก..."



+

+

+



หลังจัดการเรื่องต่อสภาพนิสิต และลงทะเบียนเรียนใหม่เสร็จเป็นที่เรียบร้อย บ่ายสองโมงโดยประมาณ พวกผมทั้งสี่ก็พร้อมไปหาอะไรลงท้องกันแล้ว โดยเฉพาะไอ้อ้อน รายนั้นท้องรองโครกจนน่ารำคาญเลยทีเดียว

เราทั้งสี่ในชื่อแก๊ง ‘คนละยำ’ ชื่อนี้ได้มาจากร้านยำแถวบ้านไอ้แฝดนรกที่เราชอบไปกินกัน สี่ตัวสี่ยำ ไม่ซ้ำกันเลยสักคน แม่ค้าเลยเรียกเดอะแก๊งของผมทั้งสี่ตัวว่า ‘แก๊งคนละยำ’ ขำ ๆ และพวกผมก็ชอบมันไม่น้อย นั่นคือที่มาของพวกเรา

“เฮ้ย ๆ พวกมึง ไปกินผัดไทยเจ๊ตุ๋ยกัน กูอยากกินข้าวเหนียวถั่วดำร้านขนมหวานข้าง ๆ กันด้วย ไม่ได้กินมานาน อยากมาก” ไอ้อ้อนชวนเหมือนเรื่องปกติ ซึ่งถ้าในเวลาปกติ ผมก็คงเออออไปกับมัน

แต่วันนี้ ณ เวลานี้ ผมไม่ปกติ!

ดังนั้นเมื่อได้ยินคำว่า ตุ๋ย กับ ถั่วดำ ขึ้นมาเมื่อไหร่...อาการเลือดจะไปลมจะมา ธาตุไฟแตกซ่านพล่านไปทั้งร่างขึ้นมาทันที!

“สัด! กูไม่แดก!!” ผมหันไปตะคอกใส่ไอ้อ้อนเสียจนมันหนาเหวอ แม้แต่ไอ้แฝดนรกที่ยืนอยู่ข้างกันมันก็ถึงกับเอ๋อ ที่จู่ ๆ ผมก็ฟาดงวงฟาดงาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

“ไม่ไปก็ไม่ไปดิมึง จะตะคอกกูทำไมเนี่ย...กูก็แค่เห็นว่าเมื่อก่อนมึงชอบผัดไทยร้านเจ๊ตุ๋ยจะตาย แถมยังชอบกินข้าวเหนียวถั่วดำเป็นพิเศษด้วย กูก็เลยชวน” ไอ้อ้อนแก้ตัวเสียงอ่อน นั่นทำให้ผมเริ่มได้สติ ยิ่งพอเห็นแก้มยุ้ย ๆ ขาว ๆ น่ากัดของมันขึ้นริ้วแดง ๆ ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ หัวใจผมยิ่งไหลร่วงไปยันตาตุ่ม นี่ผมทำอะไรลงไป? ผมทำแบบนี้กับเพื่อนผมได้ยังไง ไอ้เชี่ย ไอ้สัดยักษ์ห่า แม่งหลอกหลอนกู!!

“ว๊ากกกกกก!!” พอเห็นหน้ามันลอยเข้ามาในมโนสำนึกเท่านั้นแหละ ผมถึงกับขยุ้มหัวตัวเอง พร้อมร้องโหยหวนเป็นเปรตวัดสุทัศน์ขึ้นมาทันที เล่นเอา แวน โกะ อ้อน ถอยกรูดจากตัวผมกันเป็นแถว

...สติแตกอย่างสมบูรณ์...



+

+

+



“เฮ้ยแวน ไอ้พึ่งมันโกรธกูขนาดนั้นเลยเหรอวะ?” ไอ้อ้อนเขย่งตัวขึ้นกระซิบถามไอ้แวนด้วยท่าทีหวาด ๆ

“กูว่า...หนึ่งปีที่ผ่านมา ไอ้พึ่งคงผ่านโลกมาเยอะแหละ” ไอ้แวนกระซิบตอบกลับ

“...” ส่วนไอ้โกะ เงียบมองอย่างเดียว ไม่มีความเห็น



“พึ่ง?”

อื๋อ…เสียงคุ้นจนขนลุก ผมหันไปมองด้านหลัง พร้อมๆ กับที่เห็นเพื่อนๆ ของผมยกมือไหว้เจ้าของเสียงเรียก พร้อมกล่าวทักทายกันอย่างพร้อมเพรียง “สวัสดีครับ พี่ฝ้าย”

อื้อฮือ...นอกจากเสียงแล้วชื่อแม่งยังโคตรคุ้น รอช้าอยู่ไย ผมนี่รีบหันกลับไปมองต้นเสียงปริศนาทันที เชด! ถึงกับร้องเหี้ยหนักมาก

"พี่ฝ้าย!?" พี่ไอดอลของผม ดีใจอยู่หรอกนะที่ได้เจอ แต่การมาเจอในสถานที่ที่ไม่น่าจะเจอนี่ก็ทำเอาผมถึงกับเหวอไปเหมือนกันนะ พี่แกดูอึ้ง ๆ เพื่อน ๆ ผมก็อึ้ง ส่วนผม...ยิ่งเห็นเสื้อช็อปแก ผมยิ่งอึ้ง...แม่ง คณะเดียวกันเลยนี่หว่า!!

พี่ไอดอลแกคงอึ้งว่าทำไมจู่ ๆ ผมถึงมาโผล่ที่นี่

ผมเองก็อึ้ง ที่พี่แกอยู่มหาวิทยาลัยนี้

ส่วนเพื่อน ๆ ผมก็คงอึ้งว่าผมกับพี่แกรู้จักกันได้ยังไง

"นี่เราเรียนอยู่ที่นี่ด้วยเหรอเนี่ย?" พี่ฝ้ายถามขึ้นพร้อมหน้าตากึ่งงง กึ่งยิ้ม

"เฮ้ยพึ่ง มึงรู้จักพี่เดือนคณะในตำนานของพวกเราด้วยเหรอวะ? "

"มึงไปรู้จักพี่แกตอนไหนวะ ตอนปีหนึ่งมึงแทบไม่มีเวลาเข้าเรียน กิจกรรมมหาลัยมึงก็ไม่เข้าร่วมสักกะอย่าง"

หลายคำถามที่เพื่อนผมอยากรู้ แต่ผมตอบไม่ได้ มันกะทันหันจนหาเรื่องตอแหลไม่ทัน ดูก็รู้ว่าผมกับพี่ฝ้ายมันคนละระดับอย่างสุดติ่ง แล้วเหตุผลอะไรล่ะที่จะสามารถอธิบายได้ว่าทำไมผมกับพี่เขาถึงได้มารู้จักมักจี่กัน...

จะให้บอกตรง ๆ ว่า อ๋อรู้จักกันเพราะพี่ฝ้ายเป็นเพื่อนของสามี มันก็ใช่ที่อ่ะครับ แบบนั้นกัดลิ้นตายง่ายกว่าเยอะ

"จะไปไหนกันหรือเปล่า? "

พี่ฝ้ายถามขึ้นในจังหวะที่ผมยังอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะถูกเพื่อนๆ ส่งสายตาเค้นคำตอบอย่างกับเค้นคอไก่

"คือถ้าน้อง ๆ ไม่ว่าอะไร พี่ขอยืมตัวพึ่งหน่อยได้หรือเปล่า?" พี่ฝ้ายเข้ามาแจมกลางวง พร้อมเอ่ยปากขอยืมตัวผมจากเพื่อนกันดื้อๆ ยิ้มมุมปากเล็กๆ พร้อมแผ่รังสีรุ่นใหญ่กดดันหน่อยๆ แบบนี้มีหรือที่เพื่อนผมจะกล้ายื้อผมไว้ แต่ล่ะคนแทบจับผมใส่พานถวายพี่แกเลยล่ะ

ตัวผมเองก็ทำอะไรไม่ได้มากนอกจากออกปากร่ำลาเพื่อนฝูง โดยให้สัญญากับพวกมันไว้ว่าคราวหน้าจะไปให้พวกมันเลี้ยงผัดไทยแน่นอน แหม...ในเรื่องจริง ผมนี่แทบกระโดดใส่พี่ฝ้ายที่เข้ามาผิดเวล่ำเวลา แต่ก็ช่วยผมไว้ได้อย่างฉิวเฉียด ผมหันไปโบกมือลาเพื่อนๆ เช่นเดียวกับที่พวกมันโบกมือให้ผมพร้อมส่งสายตาแสดงความสงสัยอย่างสุดกำลัง

...ขอเวลากูไปคิดเหตุผลเจ๋ง ๆ ก่อนนะเพื่อน ๆ แล้วกูจะกลับมายืนหยัดข้างพวกมึงอีกครั้ง... (กำมือขวาแน่น ยกขึ้นทาบกลางอก แทนการให้คำปฏิญาณ!)



+

+

+



"เอ่อ...พี่ฝ้ายเรียนที่นี่เหรอ?" เดินตามแกมาได้หน่อยผมก็เปิดประเด็นถาม ให้มันรู้กันไปเลยว่าสิ่งที่ผมกลัวนั้น มันจะใช่อย่างที่คิดไว้หรือเปล่า

"อืม คณะเดียวกับเราแหละ ใช่ไหม มาลงทะเบียนตรงนี้วิศวะสินะเราน่ะ" พี่ฝ้ายตอบแบบสบาย ๆ แหม...บางทีพี่ก็ไม่รู้ใจผมเอาซะเลยนะเนี่ย

"แล้วเพื่อน ๆ พี่ คือ...ทุกคน..ที่นี่...?" ผมอยากถามสุด ๆ ว่าไอ้ยักษ์ห่าเรียนที่นี่ด้วยหรือเปล่า มันสะพรึงมากนะถ้าจะพรหมลิขิตบันดาลชักพาขนาดนั้น

พี่ฝ้ายจ้องผม ผมจ้องพี่ฝ้าย พี่ฝ้ายยิ้มบาง... เชี่ยพี่ฝ้าย ผมลุ้นจนเยี่ยวเหนียวแล้วเนี่ย!!

"ก็เรียนที่นี่กันทั้งกลุ่มน่ะแหละ"

ผ่าง!! สิ่งศักดิ์สิทธิ์แม่งไม่เคยเข้าข้างผมจริง ๆ ฮือ...

"แต่วางใจเถอะ มีแค่พี่ที่เรียนวิศวะ ไอ้พอลกับบอมพ์เรียนบริหารอินเตอร์อยู่อีกฟากของมหาลัยโน่น ไอ้ชีตาร์เรียนสถาปัตย์ กับไอ้คริสต์เรียนอักษร มหาลัยเดียวกันแต่คนละคณะ"

พี่ฝ้ายอธิบายพร้อมลูบหัวผมเบา ๆ ไปทีหนึ่ง แล้วออกเดินนำผมไปต่อ

ผมถึงกับถอนหายใจ ยอมรับเลยว่าไม่สบายใจเท่าไหร่ที่ต้องอยู่มหาลัยเดียวกัน แต่ก็ยังเบาใจที่อยู่คนละคณะ โดยเฉพาะกับไอ้ยักษ์ห่าที่เรียนแผนกอินเตอร์ ตึกใหม่ห่างไกลพวกอารยธรรมเก่าแก่อย่างพวกผมเยอะ จากนี้ก็แค่ภาวนาว่าอย่าต้องมาพบพานกันเลย

"แล้วเราล่ะ ไหนรายงานตัวมาสิ ปีไหน เอกอะไร?" พอจบคำถามผมไป พี่ฝ้ายก็เริ่มคำถามของตนบ้าง แหม...แอบมีใช้ศักดินารุ่นพี่รุ่นน้องกับผมเสียด้วย

"วิศวะ...ปีหนึ่งขึ้นปีสองครับพี่...เพิ่งลงทะเบียนไปเมื่อกี้" ผมตอบอ้อมแอ้ม

"เพิ่งขึ้นปีสองเหรอ? เอ้ แต่พี่เห็นเพื่อน ๆ เราใส่ช็อปกันหมดแล้วนี่ พวกนั้นมันปีสามกันแล้วไม่ใช่เหรอ?" พี่ฝ้ายค่อนข้างอึ้งเล็ก ๆ ผมคงยังไม่ได้บอกแกว่าผมดรอปเรียนไปหนึ่งปี เอ๊ะ? หรือเคยบอกแล้วแกลืมวะ?

"เหรอ? แล้วนี่เลือกสาขาหรือยัง?" พี่แกยังถามต่อ ขณะที่ยังพาผมเดินลัดเลาะหลังคณะไปเรื่อย ๆ

"ครับ เพิ่งเลือกไปเมื่อกี้ตอนลงทะเบียน"

"เลือกอะไร? โยธาหรือเปล่า? "

"คอมพิวเตอร์พี่"

"ว้า...นึกว่าจะได้น้องเพิ่ม พี่อยู่โยธาล่ะ พี่ชอบสร้างบ้านสร้างถนน หึหึ แล้วเราล่ะ ชอบคอมพิวเตอร์ล่ะสิ เรียนยากอยู่นะ ภาษาคอมน่ะ" พี่ฝ้ายยังคงซักไซ้แม้จะพาผมเดินมาจนถึงลานจอดรถหลังคณะแล้วก็ตาม

"ชอบดิพี่ ไม่งั้นจะเลือกเรียนทำไมล่ะ ฮะฮะ พอดีผมมีปมน่ะ บ้านไม่มีคอม เลยอยากเรียนสาขานี้ เพราะจะได้ใช้คอมเยอะ ๆ ข่าวว่าจบแล้วเงินเดือนดีด้วย ผมอยากไปทำงานกับกูเกิล" ผมตอบพร้อมร่ายความใฝ่ฝันของตัวเองอย่างลืมตัว แหม...คุยกับพี่ไอดอลทีไร ผมล่ะฟุ้งจนเมาน้ำลายทุกที

พี่ฝ้ายยิ้ม พร้อมเปิดประตูรถแอสตันมาร์ตินสีเมทาลิก [ตอนทำงานเป็นเด็กในบาร์ผมเห็นลูกคนรวยขับรุ่นนี้กันเยอะเลย] ก่อนเชิญผมเข้าไปนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถ ผมลังเลเล็ก ๆ เพราะไม่รู้ว่าพี่แกจะพาผมไปไหน วันนี้ผมยังมีธุระต้องทำต่อ นอกจากข้าง ๆ มอแล้ว ผมคงไปไหนไกลนักไม่ได้

"ขึ้นมาก่อน เดี๋ยวพาไปหาข้าวกินกัน" เห็นผมมัวแต่ยืนทื่อ พี่ฝ้ายเลยออกปากเชิญจริงจัง ผมเหลือบมองนาฬิกาเรือนหรูที่ข้อมือของแก บ่ายสองโมงครึ่ง ไอ้ที่ลัง ๆ เล ๆ เลยต้องตัดใจ เพราะผมยังต้องเดินทางต่อ สี่โมงผมต้องเข้าไปหาโอนเนอร์ที่ผับ Century Club เพื่อของานบาร์เทนเดอร์ทำเหมือนเช่นที่เคยทำ

เนื่องจากตอนกลางวันผมต้องเรียนหนังสือ คงทำงานไม่ได้ แต่ถ้าเป็นหกโมงเย็นถึงตีสอง พร้อมทั้งได้หยุดสองวันต่อสัปดาห์ เงินเดือนดี ทิปหนัก เป็นแรงใจที่ดีในการอดตาหลับขับตานอนมาก ซึ่งผมอุตส่าห์จัดตารางเรียนให้เหมาะสมกับชีวิตกลางคืนแบบสุด ๆ มาแล้ว อย่างน้อย ๆ ก็ยังได้นอน 4-6 ชั่วโมงต่อวัน สบายกว่าเมื่อก่อนที่ต้องมาทำงานต่อที่ร้านสะดวกซื้อเป็นไหน ๆ ช่วงนั้นวันไหนได้นอนถึงสี่ชั่วโมงนี่โคตรปาฏิหาริย์

"โทษทีพี่ พอดีผมมีธุระต้องไปทำอ่ะ ไว้ผมไปกินข้าวกับพี่วันหลังแล้วกันนะ" เพราะฉะนั้น ผมจึงปฏิเสธน้ำใจพี่ฝ้ายไปด้วยความเสียดาย ก็แหม...อุตส่าห์ได้เจอพี่แกทั้งที แถมพี่ยังอุตส่าห์จะพาไปเลี้ยงข้าว เฮ้อ...บุญมีกรรมบังแท้ ๆ

"ธุระอะไรเหรอ กี่โมงล่ะ? พี่พาไปก็ได้นะ" ดูสิครับ อภิชาตพี่ชายขนาดไหน แบบนี้แหละที่เขาเรียกกันว่ากัลยาณมิตร พี่ฝ้ายของไอ้พึ่ง พึ่งพาได้เสมอจริง ๆ

"คือตอนสี่โมงผมต้องไปที่เซ็นจูรี่คลับน่ะครับ ว่าจะไปของานทำ" ผมตอบพาลซื่อ แต่ดูเหมือนจะทำให้พี่ฝ้ายไม่พอใจนัก เพราะคิ้วพี่แกขมวดทันทีเชียว

"ทำงานอะไรที่เซ็นจูรี่?"

"บาร์เทนเดอร์ครับ ที่จริงผมทำอยู่ที่นั่นมานานแล้ว เพิ่งจะถูกไล่ออกเอาตอนก่อนแต่งเข้าเทวินทร์วงศ์น่ะแหละ พอดีมีปัญหากับลูกค้า" ลูกค้าที่ว่า...ก็ไอ้ยักษ์ห่ากับไอ้น้องชายไร้สัมมาคารวะของมันน่ะแหละ ฮึ่ย..ไอ้เด็กเปรต คิดแล้วขึ้น!

"ทำงานบาร์มันเลิกดึกนี่ แล้วเราจะเรียนรู้เรื่องเหรอ? เริ่มเรียนสาขาแล้วนะ ทั้งเรียนหนักทั้งโปรเจคเยอะ จะมีเวลาทำเหรอ?" พี่ฝ้ายแกร่ายยาวพร้อมหน้านิ่ว ผมรู้แหละว่าพี่แกเป็นห่วง แต่ผมจำเป็นไง เรื่องเรียนสำคัญผมเข้าใจ แต่เรื่องปากท้องก็สำคัญนี่นา...

“ผมไหวพี่ ผมจัดตารางเรียนแล้ว ยังเหลือเวลานอนกับปั่นงานอยู่พอสมควร ไม่เป็นไรหรอกครับ” ผมตอบพร้อมฉีกยิ้มกว้าง มียกนิ้วโป้งกดไลค์ดีเยี่ยมให้ตัวเองด้วย

“งั้นไปตอนนี้เลยได้ไหมล่ะ พี่พาไปสมัครเลย เสร็จแล้วเราจะได้ไปกินข้าวกัน...” พี่ฝ้ายพูดแกมบังคับ

บังคับตรงไหนน่ะเหรอ?

...ก็ตรงที่จับหัวผมมุดเข้ารถเฉย โดยไม่ยินยอมให้ขัดขืนเลยน่ะสิ!

กำลังจะอ้าปากพูดบางอย่าง แต่เฮียแกสกัดเอาไว้เสียจนต้องกลืนลงคอดังเอื๊อก

"อย่าดื้อ หลังทำธุระเสร็จ พี่มีเรื่องจะคุยกับเรา"

คำเดียว สันหลังเสียววาบ...ไม่ต้องเดาให้เมื่อยสมอง เรื่องไอ้ยักษ์ห่าแน่ ๆ!

คิดถึงตรงนี้ใจผมเต้นรัวเลยครับ ฉิบหายแล้ว อย่าบอกนะว่าไอ้ยักษ์มันไปโพนทะนากับเพื่อนมันหมดแล้วว่ามันได้ผม!?

พี่แกเล่นทิ้งขี้ไว้ให้ผมดม แล้วบึ่งรถออกไปพร้อมรอยยิ้ม ทั้งที่ผมที่นั่งอยู่ข้างกันนั้นเหงื่อแตกออกซอกตูดจนชื้นไปหมดแล้ว!

ไม่น่าเชื่อว่าการขอเข้าทำงานของผมจะง่ายดายปานปอกกล้วยเข้าปากขนาดนี้ บ่ายสามโมงครึ่งผมบุกเข้าหลังร้านเพื่อไปอ้อนผู้จัดการที่มาถึงพอดี แค่โผล่หน้าไปพร้อมพูดคำว่า 'อยากกลับมา' ผู้จัดการก็แทบกระโดดกอดผมด้วยความคิดถึง ข่าวว่าเด็กใหม่ไม่ได้ดั่งใจเหมือนผมจนลูกค้าขาประจำโวยกันเป็นทิวแถว อยากตามตัวผมกลับมาตั้งแต่สัปดาห์แรก แต่ผมดันไม่มีมือถือ ดังนั้นผมเลยได้งานทำโดยไม่ต้องออกปากขอร้องเลยด้วยซ้ำ แถมยังเริ่มงานพรุ่งนี้ได้เลยเสียอีก ชีวิตแม่งโรยด้วยกลีบกุหลาบจนผมนึกกลัวเลยทีเดียว

ผมไม่ค่อยชอบอะไรที่ได้มาง่ายนักหรอกครับ เพราะมันย่อมมีข้อแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อเสมอ โดยเฉพาะกับคนที่มีดวง 'ทุกขลาภ' อย่างผม เวลารู้สึกว่าตัวเองช่างโชคดีทีไร แม่งมีเรื่องซวย ๆ ตามมาทุกที

แต่ก็เอาเถอะ หากจะมีโชคร้ายตามมา มันก็เป็นเรื่องของอนาคต ตอนนี้ผมขอดื่มด่ำกับความชื่นมื่นของความโชคดีไปก่อนแล้วกัน



+

+

+



"เอ้าสั่งเลย พี่เลี้ยง" เสียงสวรรค์เชื้อเชิญผมให้กระทำตามใจ จนผมอดเคลิ้มไม่ได้

หลังจากโชคดีที่ได้งาน โชคดีชั้นสองของผมก็คือ การถูกพามาเลี้ยงข้าวในร้านอาหารญี่ปุ่นสุดหรูเนี่ยแหละ บรรยากาศในร้านเงียบสงบ เพราะลูกค้าไม่ได้เยอะมากจนจอแจ เสียงดนตรีพื้นบ้านญี่ปุ่นแว่วหวาน ไฟสีส้มที่ติดไว้ทั่วร้านขับบรรยากาศให้ดูผ่อนคลาย

มันคงโคตรโรแมนติกแน่ ๆ ถ้ามากับสาวน้อยน่ารักสักคน ไม่ใช่หนุ่มเซอร์หนวดครึ้มตรงหน้า อิอิ แต่ผมไม่ถือหรอกนะ เพราะหนุ่มเลี้ยง ฮี่ฮี่

ผมเคยบอกใช่ไหมว่าไอ้ยักษ์ห่ามันโคตรหล่อ แต่พี่ฝ้ายของผมก็หาได้พ่ายแพ้แก่มันไม่ ไอ้ยักษ์หล่อสัด พี่ฝ้ายผมก็หล่อเซอร์ แอร๊ย ขวัญใจผมเลยล่ะ หนุ่มเซอร์ที่เจอตอนแรกแค่มีไรหนวดบาง ๆ ไม่เจอกันไม่ถึงสองอาทิตย์ หนวดเฮียแกดกขึ้นจมหู จนหล่อเข้มระเบิดเถิดเทิง ยิ่งพอรวบผมโชว์คิ้วหนาหน้าผากเหลี่ยมด้วยแล้ว อื้ออือ ออร่าแผ่กระจายอย่างกับดาราเมืองนอก ขนาดผมที่เป็นผู้ชายด้วยกันยังเคลิ้ม จนผมนะโคตรอยากให้แกช่วยถอดเสื้อช็อปออกแล้วใส่เสื้อหนังแทนเสียจริง

ชุดปลาดิบระดับราชามาเสิร์ฟตรงหน้าพร้อมเครื่องเคียงสุดหรู ไม่ใช่ว่าผมจะไม่เคยกินหรอกนะ สมัยเป็นบาร์เทนเดอร์ก็พอมีแม่ยกพาไปเลี้ยงตามห้างอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้บ่อยนัก ดังนั้นพอมีโอกาสผมเลยขอสั่งอีก คือจริง ๆ ไอ้เซตหรูนี่ผมไม่ได้สั่งเองหรอกนะ ความตั้งใจของผมอ่ะ แค่ปูอัดสักเซตก็พอ เพราะแท้จริงแล้วสิ่งที่ผมชอบมันไม่ใช่เนื้อปลาดิบ แต่เป็นวาซาบิสุดซี้ดที่กินทีฉุนขึ้นหูขึ้นตาจี๊ดต่างหาก ผมอ่ะ โคตรชอบตั้งแต่โดนครั้งแรกแล้ว ฮ่าฮ่า

และคงเพราะดวงตาที่เป็นประกายวิ้ง ๆ กับวาซาบิของผมมันไปกระแทกต่อมสมเพชเวทนาของพี่ฝ้ายแกเข้า แกเลยนึกว่าเด็กน้อยผู้ยากไร้คงอยากลองเนื้อปลาดิบ เลยจัดมาให้ซะชุดใหญ่เชียว

อิอิ...ก็เกรงใจอยู่แหละนะ แต่เรื่องกินนี่ น้องพึ่งก็ไม่ขอปฏิเสธครับผม

หม่ำละนะครับ...ซร้วบ



เวลาผ่านไป ไวเหมือนโกหก และเหมือนว่าพี่ฝ้ายแกจะอยากให้ผมได้ดื่มด่ำกับความสุขในการกินโดยไม่ให้มีอะไรมาทำให้รู้สึกสะเทือนใจ รอโอกาสจนผมอิ่ม รอจนผมคลายความฟิน แล้วพี่แกก็ไม่ปล่อยให้ผมได้อยู่ในโลกอันสวยงามของผมอีกต่อไป...

"อิ่มไหม?" พี่ฝ้ายถามขึ้น เมื่อเห็นผมดูดน้ำในแก้วจนเกลี้ยงแล้วเริ่มเรอ

"มากพี่ พุงจะแตก ดูข้างคอผมหน่อยมีเหงือกงอกออกมายัง กินต่ออีกหน่อยผมว่าผมคงหายใจในน้ำได้เหมือนปลา" ผมก็ตอบอย่างไม่มีกระดากอายถึงสิ่งที่ผมเพิ่งซัดไปเมื่อครู่ เกลี้ยง ขนาดวาซาบิยังไม่เหลือ

"อร่อยไหมล่ะ?" เห็นผมฟินจนยิ้มแก้มยก พี่แกก็ถามต่อในคำถามที่รู้ๆ กันอยู่ แหมพี่ไอดอลครับ กินคลีนขนาดนี้พี่ว่ามันอร่อยไหมล่ะ ดูสิ คลีนจานซะสะอาดวับเลย ผมยิ้มเผล่แทนคำตอบ พร้อมผายมือให้เห็นสภาพเกลี้ยงจานตรงหน้า

"หึหึ เห็นน้องอิ่มพี่ก็ดีใจ..." พี่ไอดอลพูดพลางเท้าคางกับโต๊ะในท่วงท่าสบาย ๆ

"แหะ แหะ ขอบคุณคร้าบ" โดยผมที่นั่งลูบพุงอย่างมีสุขนั้นไม่ได้รู้ตัวเลยว่า...

"งั้น...ก็ถึงตาพี่บ้างเนอะ" พี่แกหลอกผมมาเลี้ยงไว้ในบ้านขนมหวาน เพื่อรอเชือด! ให้ตายเถอะ ตอนนี้ผมยังไม่รู้ตัวเลย

"..." แอ๊ะ? ทำไมขนคอถึงลุกซู่กันนะ



"พึ่งมีอะไรกับไอ้พอลมันเหรอ?"




+++++++++++++++++++



ด้วยความชังน้ำหน้านังพอล อนาคีเลยเฉดหัวมันออกไปไกลๆ 1 ตอน แล้วอัญเชิญผู้ชายไมโครเวฟอย่างพี่ฝ้ายมาแทน 555 เรามาทายกันดีกว่าว่าพี่ฝ้ายไปรู้อะไรมา

รักนะจ๊ะ



ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า

19 ง้อ


พึ่งมีอะไรกับพอลเหรอ?

พึ่งมีอะไรกับพอลเหรอ?

พึ่งมีอะไรกับพอลเหรอ?

ประโยคคำถามก้องในหัวซ้ำไปซ้ำมา ดวงตาผมเบิกกว้าง มุมปากยิ้มค้าง ร่างกายนิ่งทื่อ แม้แต่ลมหายใจก็หยุดชะงัก ร่างกายชัตดาวน์อีกครั้ง นั่งแกล้งตายกันต่อหน้าต่อตานี่แหละ!

“นี่ ไม่ต้องแกล้งตายตาเหลือกเลยนะพึ่ง อธิบายมาก่อนว่าเราไปทะเลาะอะไรกับไอ้พอลมัน?”

อื๋อ? ทะเลาะ?

ได้ยินคำถามขยายความของพี่ฝ้ายเข้า ตาเหลือกๆ ของผมก็กลับมาโฟกัส ภาพตรงหน้าได้เหมือนเดิม พี่ฝ้ายนั่งหน้ามุ่ย คงแอบขัดใจที่ผมอิดออดอยู่นั่น แต่ถึงกระนั้น ผมก็ยังไม่ยอมตอบในทันทีเช่นเดิม

ขอเวลาหายใจหายคอแป๊บ...

ชะ! ไอ้เชี่ยพี่ฝ้าย เล่นถามคลุมเครือซะกูหลอนเลยนะ!! อุ๊ปส์! ขออภัยที่หยาบคาย เกือบไปแล้วไอ้พึ่งเอ๊ย เกือบกลายเป็นควายไปกับคำถามดักควายของพี่ฝ้ายแกแล้วไหมล่ะ เรื่องโดนไอ้ยักษ์ตุ๋ยน่ะต่อให้เป็นพี่ฝ้ายผมก็เล่าให้ฟังไม่ได้หรอก ไม่ใช่ไม่ไว้ใจแกนะ แต่เพราะผมไม่ต้องการความเห็นใจจากใครในเรื่องนี้ต่างหาก

"พี่ก็ไม่ได้อยากละลาบละล้วงอะไรหรอกนะพึ่ง เพียงแต่พี่เห็นว่าไอ้พอลมันแปลกไป อาทิตย์ที่แล้วตอนที่เจอกัน ตามันเขียวช้ำ ปากมันก็แตก" เห็นผมเอาแต่นั่งอมขี้ฟัน พี่ฝ้ายก็เลยเป็นฝ่ายเริ่มเรื่องเอง

"แถมยังเป็นคนออกปากขอให้พี่ไปส่งเกวลินที่สนามบินแทน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ มันไม่เคยให้ใครเข้าใกล้เกล...ตอนแรกพี่ก็คิดว่า คงเป็นเพราะมันไม่อยากให้เกลเป็นห่วงที่ตามันบวมช้ำจนแทบจะปิด แต่พอมาคิดดูอีกที พี่ว่าน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น...รู้ใช่ไหม พึ่ง? " หืม...นี่เฮียเรียนวิศวะหรือนักสืบกันครับ? สืบความเก่งแท้ ขอคารวะเลยท่านเทพโคนัน!

"เอ้า? ว่าไง ตกลงพึ่งมีอะไรกับพอลหรือเปล่า?" สันนิษฐานเสร็จก็สืบพยานต่อทันทีเลยนะ เกลียดจังไอ้คำถามว่ามีอะไรกันหรือเปล่าเนี่ย พี่ช่วยเปลี่ยนเป็นถามแบบอื่นไม่ได้หรือไง?

"แตกแล้วอ่ะพี่"

"…!!? " คำขึ้นต้นประโยคของผมเล่นเอาพี่แกงง แหงล่ะ ก็ผมตั้งใจให้เป็นแบบนั้นนี่ แก้แค้นคำถามดักควายพี่ฝ้ายเสียหน่อย

"ความแตก?" แน่ะ…แสนรู้ ขนาดพูดคลุมเครือนะเนี่ย

"ครับ ไอ้คุณพอลมันรู้แล้วว่าผมเป็นผู้ชาย แถมรู้มานานแล้วอีกต่างหาก เราเลยทะเลาะกันนิดหน่อย" ทะเลาะกันบนเตียง อันนี้ไม่สามารถออกอากาศให้พี่ฟังได้

"ไม่หน่อยละมั้ง เล่นซะหน้าไอ้พอลเขียวไปครึ่งหนึ่งเลย หึหึ ว่าแต่พึ่งนี่มีฝีมือใช้ได้เลยนะที่ทำไอ้พอลมันได้นะ เห็นสำอางอย่างนั้น มันเป็นนักกีฬายูโดระดับสายดำเชียวนะ จะว่าไป รู้สึกไอคิโดของมันก็สายดำเหมือนกัน แถมยังเป็นถึงตัวแทนเยาวชนทีมชาติอยู่ตั้งหลายปี ได้เหรียญมาเพียบ...” ได้ฟังพี่ไอดอล ผมนี่แทบตบเข่าฉาด ว่าแล้วเชียวว่าศิลปะการต่อสู้ของไอ้ยักษ์ห่ามันเหนือกว่าผม แม่งสายดำทั้งยูโด ทั้งไอคิโด แถมเป็นตัวแทนเหรียญทองเยาวชนทีมชาติ ถ้ารู้มาก่อน ผมคงระวังตัวมากกว่านี้

ใครจะไปนึกล่ะ ก็มันออกจะคุณชายขนาดนั้น...

“เล่นทีเผลอน่ะ พี่ไม่ต้องชมผมขนาดนั้นหรอก” เห็นแววตาชื่นชม ผมก็อดถ่อมตัวไม่ได้ ผมเก่งศิลปะการต่อสู้ก็จริง แต่ฝีมือสู้ไอ้ยักษ์ไม่ได้หรอก รอยตีนผมที่ประดับหน้ามันอยู่น่ะ เกิดจากเล่นทีเผลอโดยสมยอมของมันเท่านั้นเลย

“หึหึ...แต่ยังไงพี่ก็อดทึ่งเราไม่ได้อยู่ดีน่ะแหละ ที่สามารถทำให้ไอ้พอลร้อนรนเรื่องของคนอื่นจนลืมเกวลินไปได้น่ะ”

พี่ฝ้ายพูดพลางส่งยิ้มมีเลศนัยมาให้ อะไรบางอย่างที่แฝงอยู่ในแววตานั้นทำเอาผมขนคอลุกหน่อย ๆ เหมือนพี่แกจะรู้อะไรบางอย่าง หรือไม่ ก็กำลังเข้าใจอะไรผิดอยู่...

แต่ช่างมันเถอะ ตอนนี้ไม่มีอะไรที่น่าสนใจสำหรับผมอ่ะ โดยเฉพาะเรื่องของไอ้ยักษ์ห่า ต่อให้มันจะเป็นห่านจิกเช็ดเข้อะไรก็ไม่เกี่ยวกับผมทั้งนั้น ในตอนนี้บอกตรง ๆ ผมยังไม่พร้อมจะเสพเรื่องของมัน แม้กระทั่งเรื่องพี่นางฟ้าคนสวยขวัญใจมันคนนั้น ผมก็ไม่ต้องการจะรู้

“โอ๋ ๆ อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ โอเค ๆ พี่ไม่ตื๊อแล้ว สัญญาเลยว่าวันนี้จะไม่ถามถึงไอ้พอลแล้วเด็ดขาด อย่าโกรธพี่เลยนะ” เห็นผมทำหน้าบูดเป็นตูด พี่ฝ้ายก็ยอมถอยแต่โดยดี ทั้งยังให้สัญญาว่าจะไม่ละลาบละล้วงเกินงาม คือที่จริงก็อยากบอกแกอยู่หรอกว่าไม่ได้โกรธอะไร แค่ผมดันนึกถึงหน้าไอ้ยักษ์ห่าขึ้นมาได้ แล้วรู้สึกเหม็นเบื่อก็เท่านั้นเอง

แต่ก็เอาเถอะ ให้พี่ฝ้ายแกเข้าใจผิดไปก็ได้ ดีเหมือนกัน จะได้เลิกถามถึงไอ้ยักษ์ห่ามันเสียที

แม่ง...แค่นึกถึงหนังหน้ามัน ผมก็ปวดขี้แล้ว!!

.

.

.

เอ้...พี่ฝ้ายรู้ได้ไงวะ ว่าผมรู้จักพี่นางฟ้า? หรือแค่เดา?

เฮ้อ...ช่างเถอะ

+

+

+



“เออพึ่ง หลังจากนี้มีธุระที่ไหนหรือเปล่า?” หลังจากออกจากร้านหรู จู่ ๆ พี่ฝ้ายก็หันมาถามหาเวลาว่างจากผม อยากจะแหลว่าเป็นเซเลปคิวแน่นอยู่หรอกนะ แต่บังเอิญชีวิตจริงมันเสือกว่างโคตร เลยต้องตอบกลับไปด้วยความจริงว่าโคตรว่าง

“ดี! งั้นเดี๋ยวพี่พาเที่ยว”

ตอนแรกก็เอ๋อ ๆ อยู่หน่อยที่จู่ ๆ พี่ไอดอลจะพาเที่ยว แต่เห็นหน้าตาดูกระตือรือร้นอยากพาไปดูโน่นดูนี่เสียให้ได้ ผมก็เลยไม่ปฏิเสธ

อ่ะ อ่ะ เที่ยวเป็นเพื่อนก็ได้

และหลังจากหลวมตัวตามคำชวนของพี่แกมาได้สักพัก ผมก็เข้าใจคำว่า 'เที่ยว' ของพี่ฝ้ายแกขึ้นมาเลยว่า มันหมายความว่า 'เที่ยว' จริง ๆ ไม่ได้พาไปนั่งสโลว์ไลฟ์ที่ไหนเลยนะ พาเข้านั่น ออกนี่ ทะลุนู่น ดูโน่น เล่นเสียตาลายไปหมด

นี่หนังสือเรื่องโปรดพี่ นี่ร้านโปรดพี่ ขนมเจ้านี้อร่อย พี่ชอบฟังเพลงแนวนี้ เสื้อผ้าร้านนี้พี่ซื้อบ่อย พี่ชอบดนตรี พี่ชอบศิลปะ พี่ชอบอ่านการ์ตูนต่อสู้ บลา ๆ ๆ แค่ไม่กี่ชั่วโมง เชื่อไหม ผมได้รู้จักพี่ฝ้ายชนิดทุกซอกทุกมุมทุกองศา เพราะพี่แกเล่นแนะนำทุกสิ่งที่แกรักให้ฟังให้เห็นอย่างไม่มีกั๊ก แน่นอนว่าผมสนุกไปกับทุกกิจกรรมที่พี่ฝ้ายพาไป พี่ฝ้ายเปิดเผย คบง่าย ไม่ถือตัว ทั้งยังติดดินสุดๆ สมกับที่เป็นไอดอลของผมอย่างไม่มีข้อสงสัย ยิ่งคบหาก็ยิ่งประทับใจ นี่ถ้าผมเป็นผู้หญิง เป็นน้องชะนีน้อยผึ้งหวาน ผมฟันธงกับตัวเองได้ในทันทีเลยว่า ผมต้องหลงรักพี่ฝ้ายแกอย่างถอนตัวไม่ขึ้นแน่

แอร๊ย...ผู้ชายอะไรนะ น่ากินจริงเชียว

เอ่อ...ขอตบเรียกสติตัวเองแป๊บนะครับ ถึงกับขนลุกพรึ่บพรั่บเล็ก ๆ ฮ่า ฮ่า

เวรล่ะ...เสือกหน้าแดงทำไมวะกู!?



+

+

+



สี่ชั่วโมงผ่านไปไวเหมือนโกหก โปรแกรมสุดท้ายของผมกับพี่ฝ้ายก็คือดูหนัง หนังแนวหลอนหน่วงจิตที่พี่ฝ้ายชอบ...แต่ผมไม่ถูกโรคด้วยอย่างแรง ทำไงได้ล่ะ ก็ต้องตามใจคนเลี้ยง

"ขอเบอร์หน่อยสิ เอาไว้พี่จะได้โทรไปชวนเที่ยว" ระหว่างนั่งรอเวลาเข้าโรงหนัง จู่ ๆ พี่ฝ้ายแกก็ถามขึ้นมา

"ผมไม่มีมือถือหรอกพี่" ไม่มีมานานเพราะเมื่อก่อนนั้นไม่มีตังค์ซื้อและไม่มีตังค์เติมเงิน แต่ตอนนี้ที่ยังไม่ซื้อก็เพราะผมยังต้องประหยัดเงิน และชินแล้วกับการไม่มีของอย่างนั้น แต่ถึงผมจะไม่แคร์เท่าไหร่ คนรอบข้างผมกลับแคร์เรื่องนี้มาก ไม่เว้นแม้แต่พี่ฝ้าย

ยิ่งพอผมบอกเหตุผลออกไป พี่แกก็ลากผมตรงดิ่งไปร้านมือถือที่ชั้นล่างทันที

"พี่ว่ารุ่นนี้ก็โอเคนะ หรือจะเอาไอโฟนเลยดีกว่า ถนัดแบบไหนล่ะ? " หลากหลายคำถามประเดประดัง พร้อมพี่ฝ้ายที่แปลงกายเป็นเซลล์ขายมือถือไปเรียบร้อย รุ่นโน้นก็ดี รุ่นนี้ก็เจ๋ง รุ่นนั้นก็ฟังก์ชันเพียบ อันนี้เซลฟี่สวย อันโน้นรองรับไอ้นั่น ไอ้นี่ ไอ้โน่น บลา ๆ ๆ

คือมันก็ดีแหละนะ เยี่ยมเลยแหละ แต่ละเครื่องแต่ละรุ่นทำผมตาลุกวาวทั้งนั้น...

แต่งบผมไม่ถึงน่ะสิ ตัวเจ๋ง ๆ แม่งแพงฉิบ

ผมเลยกะจะเลือกแบบราคาไม่กี่บาท อย่างพวกมือถืออาม่า ที่โทรได้อย่างเดียวไม่ต้องต่ออินเทอร์เน็ตสักเครื่องมาติดตัว ดีเหมือนกันเพื่อน ๆ ผมเองจะได้เลิกบ่นเสียที

แต่รู้สึกจะช้ากว่าพี่ฝ้ายไปหน่อย ในขณะที่ผมกำลังพิจารณาฟังก์ชันเสริมของมือถืออาม่าอยู่นั้น โน่นพี่ฝ้ายแกหยิบเครื่องไหนก็ไม่รู้ไปเรียกจ่ายตังค์กับพนักงานแล้ว เฮ้ยพี่ ผมบ่อจี้นะ!!

สถานการณ์เลวร้ายสุดขีด เมื่อพี่ฝ้ายรูดบัตรซื้อไอโฟนรุ่นล่าสุดสีดำหลักหลายหมื่นให้ผมมาเครื่องหนึ่ง รวดเร็วชนิดที่ยั้งไว้ไม่ทัน หลังจากนั้นผมกับพี่แกก็เถียงกันคอเป็นเอ็นเรื่องมือถือเจ้ากรรมที่จู่ ๆ พี่แกก็เลือกให้ไม่มีถาม พี่แกบอกว่าซื้อให้ แต่ผมไม่มีเหตุผลที่จะรับ จึงเถียงกันจนร้านแทบแตก นั่นอาจเป็นครั้งแรกที่เราทะเลาะกัน

จนสุดท้าย เลยต้องมีข้อสัญญาผูกพันกันเกิดขึ้น

"งั้นผ่อนพี่มาละกัน เดือนละเท่าไหร่ก็ได้ เท่าที่พึ่งจะมีจ่าย แต่ห้ามเกินหนึ่งพัน"

และนั่นคือข้อตกลงระหว่างเรา ที่ทำให้ตอนนี้ผมมีไอผ่อนพร้อมซิมรายเดือนเป็นของตัวเองอย่างงง ๆ พี่ฝ้ายแกจัดการเสร็จสรรพ โหลดแอปพลิเคชัน เมมเบอร์แกไว้ให้ พร้อมแถมถ่ายรูปคู่เอาตั้งหน้าจอให้เลยอีกต่างหาก

เอิ่ม ไอ้รูปหน้าจอที่พี่แกตั้งเนี่ย พี่ฝ้ายบอกให้เปลี่ยนได้ เพราะแค่ทำลองเครื่องเฉย ๆ ซึ่งผมเห็นว่ามันก็น่ารักดี เลยตั้งเอาไว้อย่างนั้นก่อน

และแล้วก็ถึงเวลาเข้าโรงหนัง...

และจากนั้นขวัญผมก็กระเจิง



+++++++++++++



เที่ยงคืนโดยประมาณ ไอ้หนังโหดเลือดสาดนั่นก็จบลงในที่สุด อย่าถามว่าผมดูรู้เรื่องไหม ขอสารภาพว่าหรี่ตาดูตั้งแต่ต้นเรื่อง เกลียดที่สุดตรงฉากที่ตัวเอกกำลังพยายามหนี แล้วหลุดมาอยู่ในที่มืด ๆ คนเดียว ผมนี่โคตรลุ้นเลยครับ ลุ้นว่าผีมันโผล่มาตรงไหน แล้วโผล่มาแต่ละที ฉี่ผมแทบราด ตกใจเสียงซาวด์ตุ้งแช่ฉิบหาย บ้าบอ...คืนนี้เก็บไปหลอนในฝันแหง

สุดท้ายตลอดเวลาที่นั่งดู....เอ่อ...อย่าเรียกว่าดูเลย เพราะผมหรี่ตามองผ่านง่ามนิ้วตัวเองจนมองจอหนังแทบไม่เห็น ผีโผล่มาทีก็กรี๊ดที บางทีไม่กรี๊ดเปล่า มีโผเข้าเกาะพี่ฝ้ายแกด้วย ถึงจะกลัวอยู่กับหนัง แต่ผมก็รู้สึกได้เลยว่า พี่แกนั่งขำผมจนตัวสั่นน้ำตาเล็ด

โกรธไอ้เชี่ยพี่ฝ้ายก็โกรธ กลัวผีก็กลัว ทั้งกลัวทั้งโกรธ ตีกันมั่วไปหมด...และแล้วในที่สุดมันก็จบลง บอกเลยว่าตอนเดินออกจากโรงหนังอ่ะ ขาผมยังสั่นอยู่เลย

ฮึ่ย...จำไว้เลยนะพี่ฝ้าย

เห็นหน้าผมบูด พี่ฝ้ายก็ปลอบใจว่าคราวหน้าไม่แกล้งแล้ว (?) ก่อนจะพาผมกลับบ้านได้ในที่สุด

สรุปแล้วหลังจากผมโดนพี่ฝ้ายแกฉกตัวจากเพื่อนฝูงมา ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นสาระสักเท่าไหร่ นอกจากเรื่องของผมที่ได้เข้าไปติดต่อของานจากทางร้านเก่าแล้ว นอกนั้นก็เป็นเรื่องของพี่ฝ้ายแกล้วนๆ ถึงผมจะได้ประโยชน์ร่วมกันก็เถอะ ลักษณะพี่แกจะเหงานะ ถึงได้ว่างมาเที่ยวเล่นกับผมทั้งวัน เอ๊ะ? แล้วแฟนพี่แกล่ะ หล่อขนาดนี้ไม่น่าร้างคนใกล้ตัวนะ...

แต่ถึงจะสงสัยแค่ไหน ปากผมก็ไม่เบาขนาดนั้น เรื่องความรักฟงแฟนมันเรื่องส่วนตัว ไม่อยากสาระแนมาก หุบปากไว้ดีกว่า มีไม่มีเดี๋ยวอีกไม่กี่วันก็คงได้เห็นเองแหละ

"แฟนพี่ไปไหนอ่ะ ถึงได้ว่างมาเที่ยวกับผมแบบนี้" แอ๊ะ...หลุดปาก

แม่งอยากตบปากตัวเอง กำลังเหม่อ ๆ มองข้างทางระหว่างให้พี่ฝ้ายไปส่งที่คอนโดไอ้ยักษ์ ปากหนัก ๆ ของผมก็หลุดคำถามคาใจออกไปเฉย

"ถามทำไม? อยากเป็นแฟนพี่เหรอ?" แล้วคำตอบที่ได้มา ก็เล่นเอา...เฮ้อ

"...นี่พี่...ตลกใช่ไหม?" บางทีพี่ฝ้ายก็กวนครับ มากด้วย เล่นเอาอยากเลิกคุยด้วยหลายครั้งละ

"ตลกตรงไหนกัน เอาจริงนะเนี่ย พึ่งน่ะสเปคพี่เลยนะ" ขับรถไป พูดไป ขำไป ผมคงเชื่อพี่ลงอยู่หรอก!!

“เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าพี่ก็สายนิยมชาย” จบคำผมพี่ฝ้ายก็ระเบิดหัวเราะชนิดที่แทบจะจอดรถข้างทางให้ได้เลยทีเดียว หัวเราะจนรถส่าย เล่นเอาเสียววูบ

“โทษที ฮ่าฮ่า พี่ไม่แหย่แล้ว หึหึ พึ่งนี่ตลกชะมัด”

แหม มีความสุขเหลือเกินนะ ถามสุขภาพผมหน่อยไหม ว่าพร้อมให้พี่เล่นด้วยยัง นี่เห็นว่าเป็นไอดอลของผมหรอกนะ เป็นคนอื่นนี่โดนด่าไปแล้ว

"พี่ยังไม่มีแฟนหรอก ไม่ต้องห่วง โสดสนิท" สุดท้ายพี่ฝ้ายก็ยอมบอก หลังจากแกล้งแหย่ผมเล่นเสียจนอารมณ์เสีย

"จริงดิ หล่อขนาดพี่ยังโสดเนี่ยนะ? โม้เปล่า?"

"รักไม่ยุ่ง มุ่งแต่เรียนไง"

"เชื่อตาย"

"ฮ่าฮ่า เอาเป็นว่าพี่ยังโสดแล้วกัน ส่วนเหตุผลพี่ขอสงวนไว้ก่อนนะ พร้อมแล้วจะบอก"

"ครับ ๆ เอาที่พี่สบายใจเถอะ ผมก็ไม่ได้อยากรู้นักหรอก"

การโต้เถียงไปมาของพวกผมกินเวลาพอสมควร เพราะเผลอแป๊บเดียว รถพี่ฝ้ายก็เลี้ยวเข้าคอนโดไอ้ยักษ์ห่ามันแล้ว สงสัยเพราะถนนมันโล่งละมั้ง

"ไม่น่าเชื่อเลยนะ ที่พอลมันยอมให้พึ่งมาอยู่ด้วยได้แบบนี้" จอดรถปุ๊บ พี่ฝ้ายก็เปรยบางอย่างที่ทำให้ผมชะงักเล็กน้อยออกมา

"เพราะมันง่ายต่อการพรางตัวผมไง" ผมตอบออกไปพร้อมถอนหายใจ "ผมอยู่ที่นี่ได้ตราบเท่าที่มีประโยชน์กับมันเท่านั้นแหละ"

"พี่ว่ามันไม่ใช่แค่นั้นหรอกนะ...พี่คบกับมันมานาน พี่รู้ดีว่าไอ้พอลมันหวงรังของมันจะตาย คบแฟนมากี่คนก็ไม่เห็นเคยพามากก ขนาดเกลที่มันบูชาอย่างกับอะไร มันยังไม่พามาอยู่ด้วยเลย...ขนาดนี้แล้วจะไม่ให้พี่นึกสงสัยได้ยังไงล่ะ" เหมือนพี่ฝ้ายจะพยายามเถียงแทน ยังไงของพี่วะเนี่ย พูดอย่างกับจะเชียร์ให้ผมกับมันได้กันแน่ะ ฮึ่ย! ฟังแล้วไม่เข้าหูเอาซะเลย

"ถ้ายังไม่เลิกพูดถึงมัน ผมเลิกคุยกับพี่จริงๆ นะ" เสียงผมเย็นมากขอบอก ตาขวางหางตก น้ำลายเหนียวเริ่มย้อยออกจากมุมปาก กลางเดือนห้าฤทธิ์หมาบ้าเริ่มกำเริบ แหม ก็จะให้ผมเย็นอยู่ได้ยังไงล่ะ เจอพี่แกชงขนาดนั้นผมก็ขึ้นสิ จะด้วยเหตุผลอะไรของพี่แกก็แล้วแต่ จะจริงจะเท็จผมก็ไม่อยากฟังทั้งนั้น

โดนผมแง่งใส่เข้าหน่อย พี่ฝ้ายแกเลยยอมหุบปากและยกมือยอมแพ้ให้ เฮ้อ...ที่จริงผมก็เข้าใจพี่ฝ้ายแกอยู่หรอก โน่นก็เพื่อน นี่ก็น้อง เป็นคนกลางย่อมลำบากใจ แต่จะดีกว่านี้ไหมครับถ้าพี่จะเป็นคนกลางที่เข้าข้างผมมากกว่า "เฮ้อ...เอาเป็นว่าผมจะอยู่กับเพื่อนพี่อย่างสันติก็แล้วกัน แค่นี้โอเคนะ"

“จ้า จ้า ไม่พูดแล้ว ไม่พูด อย่างอนนักสิ หึหึ...เอาล่ะ ถึงที่หมายแล้วครับคุณชาย” แหมพอดีด้วยหน่อยก็เอาอีกละ พี่แกยังคงแซวไม่เลิกจริง ๆ แต่เอาเถอะ ตัวผมก็เริ่มปลงกับพี่แกแล้วล่ะ

บอกแล้ว บางทีพี่ไอดอลแกก็กวนเบื้องต่ำไม่หยอก!

เถียงกันไปแซวกันมาได้ไม่ถึงห้านาที พี่ฝ้ายก็จอดรถเทียบฟุตบาทหน้าทางเข้าให้แบบถึงที่

ถึงที่หมายได้ ผมก็ได้แต่ถอนใจเนือย ๆ ยิ่งตอนเข้ามาผมมองไปเห็นไฟห้องมันยังคงเปิดสว่าง ใจผมยิ่งท้อแท้ห่อเหี่ยว เดาได้เลยว่าตอนนี้ไอ้ยักษ์ห่ามันจะนั่งปักหลักอยู่ตรงไหน ทั้ง ๆ ที่ห้องมันก็มีของอำนวยความสะดวกครบครันนะ ไม่รู้ทำไมมันถึงชอบออกมานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ตรงห้องรับแขกนัก ชนิดที่ไม่ว่าผมออกจากห้องมาทีไรเป็นต้องเจอ กลับเข้าบ้านเมื่อไหร่เป็นต้องเห็น

วันนี้ก็คงเป็นดังเคย...เฮ้อ รู้งี้ให้พี่ฝ้ายไปส่งบ้านพ่อดีกว่า

"ขอบคุณนะครับที่พาผมตระเวนเที่ยวซะทั่ว แถมยังเลี้ยงข้าวตั้งสองมื้อจนพุงกางเลย วันหน้ามาเลี้ยงผมอีกนะครับ" ผมหันไปไหว้ขอบคุณพี่ฝ้ายแกทีหนึ่งก่อนลงจากรถ ก็แหม ต่อให้แกกวนยังไง วันนี้ก็อิ่มท้องได้ด้วยเงินแกล้วน ๆ ไอ้พึ่งเนรคุณบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนของแกไม่ลงหรอก ว่าแล้วก็กราบงาม ๆ

"เออ ๆ ไม่เป็นไรหรอก ถือว่าเที่ยวเป็นเพื่อนคนเหงาอย่างพี่ไง" พี่ฝ้ายหัวเราะร่า พลางลูบหัวผมป้อย ๆ ด้วยความเอ็นดู มือพี่แกอุ่นดีจัง ผมโคตรชอบ “รีบขึ้นห้องไปได้แล้ว ห้ามเถลไถลล่ะ เดี๋ยวพี่โทรเช็ก” นั่น...มีกำชับ ว่าแต่เฮียจะให้ผมไปเดินเล่นตรงไหนของคอนโดเหรอครับ คิดได้ไงเนี่ย?

แต่ผมก็ไม่ได้เถียงอะไรหรอกนะ ตะเบ๊ะรับคำไปเรื่อยเปื่อยก่อนลงจากรถ แล้วเดินเข้าประตูมาเลย เพราะแกบอกไม่ต้องส่ง รอผมถึงห้องโดยสวัสดิภาพก่อนแกถึงจะกลับ เดี๋ยวนะผมเริ่มจะไม่เข้าใจตรรกะพี่แกสักเท่าไหร่แล้ว แต่ช่างแกเถอะ จะทำอะไรก็เอาที่พี่สบายใจแล้วกัน อันตัวผมไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว

ตีหนึ่งนิด ๆ ผมเดินมาหยุดยืนนิ่งอยู่หน้าห้อง พานนึกอะไรเรื่อยเปื่อยขณะสแกนคีย์การ์ดเข้าห้อง

ตั้งแต่ย้ายสังขารมาอยู่กับไอ้ยักษ์มัน ผมไม่เคยออกไปไหนแล้วกลับดึกขนาดนี้มาก่อน อาจเป็นเพราะผมไม่เคยออกไปไหนเท่าไหร่ ถ้าไปก็คือไม่กลับมาเลยทั้งคืน ก็ไม่ใช่ที่ไหนไกลหรอก ก็นอนบ้านพ่อพจน์น่ะแหละ แต่เพราะวันนี้มันดึกแล้ว ไปที่บ้านพ่อพจน์ก็คงนอนไปแล้ว ไอ้พิงมันก็ตื่นยาก จะเรียกมันออกมาเปิดประตูก็คงไม่พ้นพ่อพจน์ออกมาเปิดให้เองอีก

สุดท้ายเลยตัดใจกลับมาซุกหัวนอนที่คอนโดไอ้ยักษ์แทน

"กลับดึกจังนะ"

นั่นไง ผิดจากคาดที่ไหน ทันทีที่เปิดประตูเข้าห้องได้ สิ่งแรกกระแทกลูกตาผมคือร่างไอ้ยักษ์ที่ยืนกอดอกพิงผนังรออยู่ตรงทางเข้าราวกับนกรู้ ไอ้แค่ตัวมันน่ะไม่เท่าไหร่ แต่มันคืออะไรวะกับคำถามก้าวก่ายชีวิตผมเนี่ย? เป็นพ่อรึไง?

“...” ผมไม่ตอบอะไรทั้งนั้น นอกจากหรี่ตามองหน้ามันแบบกวนเบื้องต่ำสุดชีวิตแทน

“...ไปลงทะเบียนเรียนต่อมาเหรอ? นายเรียนที่ไหน” เห็นผมไม่ยอมตอบคำถามแรก ไอ้ยักษ์ปรับสีหน้าบึ้ง ๆ ของมันให้ดูดีขึ้นแล้วตั้งถามใหม่

“...” แต่ไม่ใช่หน้าที่ที่ผมจะต้องรายงานตัวกับมันนี่ เพราะฉะนั้น พจน ไม่ขอตอบครับ

ไม่ใช่แค่ไม่ตอบ ผมก้มหน้าก้มตาเดินผ่านมันไปทั้งอย่างนั้น พร้อมล้วงมือถือจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมากดเบอร์พี่ฝ้าย ตั้งใจจะรายงานแกว่าผมถึงห้องปลอดภัย ให้แกกลับบ้านได้

“ครับพี่ฝ้าย พึ่งถึงห้องแล้ว เป็นเด็กดีไม่ได้เถลไถลที่ไหนเลยนะ พี่น่ะแหละกลับได้แล้ว”

“ครับ ฝันดีเหมือนกันพี่”

เสียงผมหวานจ๋อยเลยแหละตอนพูดกับพี่ฝ้าย ไม่รู้ทำไมถึงหวานกว่าปกติ ไม่ตั้งใจนะสมองมันสั่งให้ปากพูดออกไปอย่างนั้นเอง เพราะจู่ ๆ จิตใต้สำนึกดำมืดของผมมันก็เรียกร้องกระจองอแง นึกอยากจะหักหน้าไอ้ยักษ์ขึ้นมาซะอย่างนั้น ไม่ค่อยเข้าใจ แค่รู้ว่าทำแล้วน่าจะสะใจ

ผมกดวางสายจากพี่ฝ้ายที่คงจะรู้แกวเพราะแกหัวเราะอย่างกับจะขาดอากาศหายใจไปกับมุกของผม แหม...นอกจากไม่รับมุกแล้วยังดักคอจนน่าโมโหอีก ‘ให้พี่เล่นบทชู้สินะ’ คือคำพูดสุดท้าย แต่ก่อนที่จะต้องทนฟังพี่แกจะหัวเราะจนตาย ผมก็รีบกดวางสายเสียก่อน

ให้ตายเถอะ คำพูดพี่ฝ้ายเล่นเอาผมคิดหนัก

ผมแค่อยากสะใจ ไม่ใช่เรียกร้องความสนใจจากไอ้ยักษ์มันแบบนั้น!

ไอ้เชี่ยพี่ฝ้าย แม่งเข้าใจผมผิดอีกแล้ว!!

เพราะพี่ฝ้ายคนเดียวเลย ผมถึงทนยืนร่วมพื้นที่กับไอ้ยักษ์ห่าต่อไปไม่ได้ เลยตัดสินใจหนีเข้าห้องสบายใจกว่า ว่าแล้วก็จ้ำพรวด ๆ กลับไปหน้าห้องตัวเองด้วยความไวแสง

หมับ!!

แต่ดูเหมือนไอ้ยักษ์ห่ายังอยากหาเรื่องผมไม่เลิก ไม่ทันที่ผมจะได้จับลูกบิดประตูห้องก็โดนมันคว้าไว้ด้วยมือมารของมันที่จับข้อมือผมไว้แน่น

“ใครซื้อมือถือให้?” พร้อมส่งคำถามด้วยน้ำเสียงกระด้างไม่น่าฟังเข้าที่กระแทกหูผมจัง ๆ ทำอารมณ์สุนทรีย์ที่ผมมีมาทั้งวัน มลายสิ้นออกจากร่างทันที

"ทำไม? ใครจะซื้อให้แล้วทำมันทำไมเหรอ?" อันนี้ไม่ได้กวนจริง ๆ นะ แค่ถามเฉย ๆ ว่าจะเผือกเรื่องชาวบ้านทำไม?

"ฝ้ายมันซื้อให้เหรอ? นี่มันมาส่งข้างล่างด้วยใช่ไหม? ไปไหนกันมา!?" คราวนี้ไอ้ยักษ์ห่ามันยิงคำถามรัว ด้วยสีหน้าอย่างกับกำลังจับผิดคนมีชู้ มือมันที่ยังกำข้อมือผมไว้บีบแน่นขึ้นไปอีก

"ปล่อยมือผม" แน่นอนว่าไอ้พึ่งไม่มีวันตอบ ตราบใดที่มันยังล่วงล้ำอธิปไตยโดยการแตะเนื้อต้องตัวผมอยู่แบบนี้ ผมไม่มีวันตอบ ณ จุด ๆ นี้ไอ้พึ่งเล่นตัวแหลก!!

และดูเหมือนตาขวาง ๆ เสียงแข็ง ๆ ของผม จะทำให้มันเริ่มรู้สึกตัว

"ยังโกรธ...ขนาดนั้นเลยเหรอ?" มันถามเสียงอ่อย ขณะที่ยังไม่ยอมปล่อยมือมันจากข้อมือผม

"ใครบอกผมโกรธ?" ผมตอบกวนพร้อมไหวไหล่ "แค้นเลยต่างหากล่ะ" ก่อนจะตอกหน้ามันกลับไปให้ได้รู้สึก แม่งถามไม่คิด

"ขอโทษ...ฉันก็แค่เป็นห่วง ที่จู่ ๆ นายก็หายไป มือถือที่ติดต่อได้ก็ไม่มี โทรถามที่บ้านนาย น้องชายนายก็บอกว่านายไม่อยู่...ไม่นึกว่าจะไปกับไอ้ฝ้ายมัน..." ไอ้ยักษ์พยายามอธิบายอะไรสักอย่างที่ไม่ค่อยเข้าหัวผมสักเท่าไหร่ เพราะตอนนี้ผมติดใจอยู่เรื่องเดียว

"โทรไปที่บ้านผม? นี่คุณโทรไปหาพ่อผมเหรอ!? "

"...ก็โทรไปทุกครั้งที่นายหายไปนั่นแหละ...แล้วขอพ่อนายเอาไว้ว่าอย่าบอกนาย..." มันตอบอ้ำอึ้ง เมื่อผมขึ้นเสียง

เมื่อถูกลิดรอนความเป็นส่วนตัว (โดยไม่รู้ตัวมาก่อน) ถึงขนาดนี้ มีหรือคนอย่างไอ้พึ่งจะทนไหว ผมสะบัดมืออย่างแรงจนหลุดจากมือมัน ก่อนจะผลักเข้าที่อกมันอย่างแรงจนมันเซ แล้วเริ่มทวงสิทธิ์ที่ผมพึงมี "เฮ้ย! คุณกล้าดียังไง โทรไปวุ่นวายกับครอบครัวผมวะ? เราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวซึ่งกันและกันน่ะ! ไม่รักษาคำพูดนี่หว่า!"

"แล้วจะให้ฉันอยู่เฉยได้ยังไง ในเมื่อนายหายไป!"

ไอ้ยักษ์เองก็ตวาดกลับมาด้วยแรงอารมณ์ไม่แพ้ผม และคำพูดของมันก็ทำเอาผมไปต่อไม่ถูก กำลังจะอ้าปากเถียงอะไรสักอย่างต่อ แต่มันไม่ยอมเปิดโอกาส ทั้งแขนขวาของผมยังโดนมันคว้าไปจับเอาไว้อีกครั้ง

“ฉันก็แค่ต้องการเช็กว่านายอยู่ที่ไหน ปลอดภัยดีหรือเปล่าแค่นั้น ไม่ได้คิดจะก้าวก่ายนายเสียหน่อย เข้าใจกันหน่อยสิ”

“ไม่เข้าใจเฟ้ย…!” เป็นพ่อหรือไง! ผมกำลังจะต่อด้วยคำนี้ ถ้าไม่โดนมันดักขึ้นมาเสียก่อน

“ฉันก็แค่เป็นห่วงนาย”

มันโจมตีผมด้วยถ้อยคำที่แฝงความหมายบางอย่าง รวมทั้งการดึงตัวผมเข้าใกล้ ให้เข้าไปฟังมันกระซิบด้วยโทนเสียงเบสทุ้มออดอ้อนระทวยจิต...

...ไม่ปฏิเสธเลยว่าการที่มันทำแบบนี้ เล่นเอาหัวใจผมเต้นผิดจังหวะไปหน่อย ต้องโทษความจิตใจดีของผมครับที่มันใจอ่อนเก่ง ทำให้พอเห็นใครทำหน้าเศร้าแล้วอดปวดใจไม่ได้ 

แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ผมจะต้องยกโทษให้มัน และเพราะอย่างนั้นผมเลยยิ่งไม่อยากให้มันมาวุ่นวายกับผมด้วย

“ห่วง? เพื่ออะไร?”

ผมตั้งคำถาม คราวนี้ผมไม่เล่นตัว ไม่สะบัดสะบิ้ง แต่มองตามันตรง ๆ และถามออกไปด้วยความจริงจัง ผมอยากรู้ว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่ อะไรคือเหตุผลที่มันต้องมาคอยตามประคบประหงมผมถึงขนาดนี้ แน่ล่ะ ผมจะไม่รู้ได้ยังไงเรื่องที่มันตามดูแลผมแจ โดยเฉพาะตอนอยู่ในห้องด้วยกันแล้วมันอำนวยความสะดวกให้ผมขนาดนี้ ทำไมผมจะไม่รู้เรื่องข้าวปลาอาหาร ข้าวของเครื่องใช้ที่มันจัดเตรียมให้ ถึงผมจะไม่เคยแตะของที่มันพยายามสรรหามาให้เลยก็เถอะ แต่เรื่องโทรไปตามสืบถึงบ้านนี่ผมเองก็เพิ่งทราบ มันน่าตกใจจนผมรับไม่ค่อยได้

เอาเป็นว่าถ้าทุกอย่างที่มันทำมันมีเหตุผลมาจากคำว่า ‘รับผิดชอบ’ ละก็ ผมสาบานเลยว่าจะยกเลิกสัญญาทั้งหมด แล้วไสหัวตัวเองออกจากบ้านมันทันที

...ขอร้องล่ะ อย่าทำให้กูเกลียดมึงมากไปกว่านี้เลย

มันเงียบคิด เท่ากับที่ผมเงียบรอ

...นานจนน้ำลายผมเริ่มบูด ในที่สุดมันก็พูดบางอย่างขึ้น

“...ขอโทษนะ ฉันไม่รู้ว่ะ”

ทว่าคำตอบของมันที่ผมรอคอยนั้น...กลับทำให้ผมถึงกับเงิบ!

ฮะ? อะไรคือไม่รู้วะ?

“หมายความว่ายังไง?”

“ไม่รู้ก็คือไม่รู้ไง”

ดู๊ดูมันแถกตอบมาได้ ไม่รู้!? ไม่รู้พ่อง!!

ได้ยินแบบนี้ ผมเลยรีบสะบัดแขนออกจากมันทันที แบบนี้ก็ไม่ต้องคุยกันต่อแล้ว “กวนสินะ?” เสียงเย็นเยียบของผมจึงหลุดออกไปกระแทกหน้ามันเป็นการส่งท้าย แล้วสะบัดตูดเดินกลับห้องแบบไม่สนใจพ่อใครอีก ช่างแม่งมันละกัน

“เปล่า เฮ้ อย่าเพิ่งโกรธสิ ก็คนมันไม่รู้จะให้ทำยังไง?” มันพยายามตามมาตะครุบตัวผมอีกครั้ง แต่ผมหันกลับไปยั้งมันไว้ได้ด้วยการชี้หน้าพร้อมจ้องตาสะกด ประมาณว่า ‘เนื้อกายกูดั่งทอง ห้ามแตะต้องเด็ดขาด!’ มันหยุดค้างอยู่ตรงหน้าผมอย่างว่าง่าย ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างออกมา อะไรบางอย่างที่ทำให้ผมเงิบอีกรอบ

“...ฉันรู้แค่ฉันไม่ได้ทำมันเพียงเพราะรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบต่อนาย หรือเพื่อเอาใจให้นายอยู่ในสัญญาแน่ ๆ มันมีบางอย่างที่มากกว่านั้น...นายไม่รู้สึกถึงมันบ้างเลยเหรอ?”

อย่าหาว่าผมมันบ้า อย่าหาว่าผมมันใจง่าย อย่าหาว่าผมมันเจ็บไม่จำเลยนะครับท่านผู้ชม

โปรดอย่าเพิ่งด่า...

ที่ผมเสือกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาเพราะคำพูดของมัน...

ไอ้ยักษ์! ไอ้ห่า!! มึงจะเสือกหน้าแดงนำกูไปเพื่อ!?



++++++++++++

คุณชายจะง้อสำเร็จไหมนะ

คุณชายพอลของเราจะสู้พี่ฝ้ายพระรองสายละมุนคนนี้ได้หรือเปล่า เพราะดูท่าแล้วใจของน้องพึ่งเทให้พี่ฝ้ายหมดหน้าตักไม่เหลือให้ชายพอลซะแล้ว

ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า

20 คุณหญิงย่า [PART 1]


เห็นหน้าแดงระเรื่อ ของบ้าไอ้ยักษ์ห่าเข้าผมก็ยิ่งร้อนรน โถ่คุณครับ เคยเจอแต่สาว ๆ มากระมิดกระเมี้ยนใส่ แต่พอเป็นผู้ชายมายืนอายอะไรสักอย่างอยู่ตรงหน้าแบบนี้แล้ว ใจคอผมเลยไม่ค่อยดีนัก...ขนคอลุกซู่

ดังนั้น ผมจึงเลือกที่จะทำอะไรบางอย่าง เพื่อทำลายความน่าอึดอัดที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับมัน (ถึงจะไม่รู้ว่าจะช่วยได้ไหมก็เถอะ)

"อะไรล่ะ? อะไรบางอย่างที่มากกว่านั้นของคุณน่ะ?" เสียงผมทั้งแหบทั้งสั่นจนรู้สึกได้ จบคำถามผมจึงรีบกลืนน้ำลายดังเอื๊อก เพื่อคลายความฝืดเคืองของลำคอแห้งผาก

"ถ้าฉันตอบได้ก็คงไม่ต้องมานั่งปวดหัวแบบนี้หรอก" ไอ้ยักษ์ถอนใจ นัยน์ตามันดูสับสน แพขนตาหลุบต่ำไหวระริกค่อย ๆ ช้อนขึ้นมาสบตาผมช้า ๆ ทว่าหนักแน่น

ยอมรับว่าใจผมสั่น การถูกรุกด้วยสายตาประมาณนี้ทำผมประหม่า มันไม่รู้ ผมเองก็เริ่มจะไม่รู้แล้วว่าความรู้สึกพลุ่งพล่านในอกมันคืออะไร เพราะจู่ ๆ ก็โดนไอ้ยักษ์ห่ามันเข้ามาอ้อนเลยไม่คุ้น หรือเพราะมืออุ่น ๆ ที่มันจับมือผมไว้เบา ๆ แต่สะบัดเท่าไหร่ก็ไม่หลุด หรือเพราะสายตา...ที่มีนัยซ่อนเร้นจนน่าขนลุกนั่นกันแน่ที่ทำใจผมแกว่งขนาดนี้

แต่จะด้วยอะไรก็แล้วแต่ ผมจะหวั่นไหวไม่ได้เด็ดขาด ความจังไรที่เอ็งทำเอาไว้ ให้ตายตรูก็ไม่ลืมเว้ย! ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ผมกับไอ้ยักษ์ มันไม่มีวันร่วมทางกันได้เด็ดขาด!

“...” อะไรบางอย่างผุดขึ้นในหัว ก่อนที่ผมจะเปลี่ยนเป็นจับมือไอ้ยักษ์มัน มันทำหน้าเหวอในตอนแรก ก่อนจะเอ๋อยิ่งกว่าเดิมเมื่อผมจับมือมันมาแนบตรงหน้าอกแบน ๆ ของตัวเอง

ไม่ใช่หน้าอกสิ วางไว้ตรงนมผมเลยเนี่ยแหละ!

"...!!?" มันอึ้งกับเรื่องที่ผมทำ ผมเข้าใจ...แต่ไอ้อาการหน้าแดงแปร๊ดอย่างกับกำลังจับนมสาวของมันนี่แหละที่ผมไม่ค่อยเข้าใจมันเท่าไหร่ แต่เอาเถอะ

"ผมเป็นผู้ชาย บีบดูก็ได้นะ ผมไม่มีนมตู้ม ๆ สู้มือเหมือนผู้หญิง" ผมเปรยขึ้น และนั่นคงพอเรียกสติของไอ้ยักษ์ได้หน่อยเพราะดูจากสีหน้าแล้ว มันประหม่าน้อยลง

"ร...รู้อยู่แล้วนา" มันตอบกลับมาพร้อมสะบัดมือออกจากนมผม จะดีอยู่แล้วนะถ้ามันไม่พูดประโยคต่อมาให้ผมเป็นฝ่ายเงิบบ้าง "มากกว่านี้ยังเคยจับมาแล้วเลย...ไม่รู้ก็บ้าแล้ว..." (งึมงำ งึมงำ)

อะ...ไอ้เปรตนี่!!

"เออ! รู้อยู่แล้วก็ดี คุณจะได้ใช้สมองอันปราดเปรื่องของคุณ พินิจพิจารณาได้ว่าผมกับคุณไม่ควรจะต้องมายืนคุยเรื่องไร้สาระแบบนี้..."

“ใครว่าไร้สาระกัน...?”

“งั้นคุณตอบผมมาสิ คุณจะมาห่วงผมทำไม? ในฐานะของคนที่อยู่ด้วยกัน? ในฐานะคนที่มีพันธสัญญากัน หรือว่า...”

ผมเว้นวรรคเล็กน้อย เพราะประโยคต่อมามันค่อนข้างแทงใจดำ แต่ก็นะ ผมจำเป็นต้องพูดออกไป ไม่อย่างนั้นคงไม่มีวันจบความกำกวมนี้ได้ เอากันตรง ๆ ให้มันรู้ ๆ กันไปเลย

“ในฐานะของคนที่เคยนอนด้วยกันล่ะ?”

คำถามของผมทำไอ้ยักษ์มันหน้าม้านไปครู่ใหญ่ ผมไม่แปลกใจกับปฏิกิริยามันนักหรอก เพราะตอนนี้ผมจดจ่ออยู่กับคำตอบของมันมากกว่า คำตอบที่อาจเปลี่ยนความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ไปตลอดกาล...

“...ฉัน...” มันยังอ้ำอึ้ง ขณะที่ผมเริ่มนับถอยหลัง

ห้า...สี่...สาม...สอง...หนึ่ง...

ศูนย์!!

“ถ้าคุณตอบไม่ได้ ผมก็คิดว่าเราคงไม่มีอะไรจะต้องคุยกันอีก ผมไปนอนล่ะ”

“เดี๋ยวพึ่ง!!”

ปัง!!

ไม่ปล่อยโอกาสให้มันรั้งตัวผมไว้ได้อีกเป็นครั้งที่สองหรอกครับ ผมจดจ่อรอคำตอบของมันก็เพื่อให้มันใช้สมาธิอยู่กับการใช้สมองกับเรื่องไร้สาระนั่น เพื่อที่ผมจะได้โอกาสเปิดตูดเตลิดเข้าห้องแบบไม่ต้องเปลืองแรงมาก ได้ยินมันตามมาเคาะประตูเรียกอยู่พักใหญ่ ผมไม่สนใจรีบเข้าไปอาบน้ำอาบท่า นอนเอาแรง พรุ่งนี้จะได้ตื่นไปสิงบ้านพ่อพจน์แต่เช้า

งอน? ใครงอน ไม่มี้ ไม่มี!

ที่มันตอบช้าจนน่ารำคาญน่ะเหรอ เออ เรื่องรำคาญน่ะผมไม่เถียง เพราะที่มันเป็นอยู่น่ะโคตรน่ารำคาญจริง ๆ จะอึดอัดหาวเรอไปไหนหนักหนา กะอีแค่บอกมาว่าคิดยังไงมันยากตรงไหนเหรอ?

เอ๊ะหรือว่า...?

มันจะคิดไม่ซื่อกับผมเสียแล้ว…?

ป๊าบ!! ผมตบเรียกสติตัวเองครั้งหนึ่ง ก่อนจะรีบอาบน้ำถูสบู่ให้เสร็จ จะได้รีบนอนและรีบลืมเรื่องนี้ไปจากหัวเสียที

ช่างแม่ง...

เช็ดผมเช็ดตัวจนแห้ง ประแป้งตัวขาวผ่องพร้อมทอด ใส่ชุดนอนตัวเก่ง กางเกงบ็อกเซอร์ขาบานกับเสื้อกล้ามสีดำซีด ยืนสะกดจิตตัวเองหน้ากระจกให้ลืมสายตาของไอ้ยักษ์ห่าอยู่ห้านาทีเต็ม ก่อนกระโดดขึ้นเตียงสอดตัวเข้าใต้ผ้าห่มแล้วนอนไปทั้งอย่างนั้น

ลืมซะไอ้พึ่ง มึงกับเขามันไม่มีทางเป็นไปได้

...อื๋อ? เป็นไปไม่ได้อะไรวะ?

โว้ย! เผลอเคลิ้มตามไอ้ยักษ์ห่าไปเสียดาย อ๊าก! เลิกมาทำหน้าเชื่อม ๆ แบบนั้นในมโนกูนะ!



+++++++++++++++



พึ่ง... (ฮื่อ ใครเรียกวะ)

พึ่ง...พึ่ง... (โว้ย คนจะนอน)

“พึ่ง!” (อื๋อ? เสียงนี้มัน!)

เฮือก!!?

เสียงเรียก พร้อมอะไรบางอย่างสัมผัสเข้าที่ไหล่ เขย่าจนผมหัวสั่นหัวคลอน จากที่งัวเงียไม่อยากตื่น แต่พอประมวลเสียงได้เท่านั้นแหละ

ไอ้ยักษ์ห่า! มันกำลังคร่อมตัวผมอยู่!!

"...!!?" กำลังจะแหกปากด่ากราดก็โดนมือมันอุดปากเอา จะต่อยมันสักหมัดก็ถูกมันรวบกดไว้ จะใช้ขาถีบ ก็โดนมันกดอยู่อีก ทุกการเคลื่อนไหวถูกมันสกัดไว้จนสิ้น แถมตัวมันเองยังทับลงมาซะเต็มที่ จนไส้ผมแทบปลิ้นออกมา ใจคอตอนนั้นสั่นไปหมด คิดเอาไว้ว่าใช่ ต้องใช่แน่ ๆ มันมาแน่ ไม่รอดแน่...

โดนมันจับตุ๋ยอีกแล้วแน่!

“พี่แพทบุกเข้ามา รีบถอดเสื้อก่อนเร็ว!”

แต่ดูเหมือนที่ผมคิดไว้จะผิดคาดไปหน่อย เพราะคำพูดที่มันกระซิบข้างหูทำให้ผมรู้ตัวว่ามันไม่ได้ตั้งใจจะตุ๋ยผม มันแค่มาหลบภัยจากพี่แพท...

คำว่า ‘พี่แพท’ ทำผมเริ่มมีสติ การมาของเจ๊แกน่ากลัวอย่างไม่ต้องบรรยายก็เข้าใจ เอ๊ะ? แต่ทำไมต้องถอดเสื้อด้วยวะ

เร็ว! ยังไม่ทันจะประมวลผล ผมก็ถูกมันช่วยถอดเสื้อกล้ามออกอย่างง่ายดาย

ยังมึน ๆ งง ๆ ไม่ทันสร่างอาการเมาขี้ตาผมก็ถูกไอ้ยักษ์ห่ามุดผ้าห่ม มันสอดตัวเข้ามาในผ้านวมผืนหนาข้างกัน รวบผมไปกอดไว้ แล้วแกล้งนอนนิ่งอยู่อย่างนั้น

แกร๊ก!!

“...อุ๊ย♡ ตายจริง”

ดังคำไอ้ยักษ์ห่าจริง ๆ ครับ พอมันล้มตัวลงกกผมปุ๊บ พี่แพทแกก็เปิดประตูพรวดเข้ามาเลยพร้อมพวงกุญแจหลายดอกในมือ หน้าตาดูสุขสราญไม่น้อยเมื่อเห็นผมนอนกอดกันกลมอยู่กับน้องชายเจ๊แก

ถึงหน้าตาจะดูตั้งใจมากแต่ก็อุตส่าห์แก้ตัวใส ๆ เบา ๆ "ขอโทษทีพี่ไม่รู้ว่าอยู่กันที่นี่ คิก คิก พี่รอข้างนอกนะ" ทำเป็นเหนียมอาย แต่ประโยคสุดท้ายของเจ๊นี่...

"พี่ไม่รีบนะ ต่อกันตามสบายเลย" (มโนเห็นเจ๊แกขยับตาส่งหัวใจเป็นนัยซ่อนเร้น)

ผมนอนมองพี่แพทเดินเริงร่าออกจากห้องไปอย่างงง ๆ คำถามมากมายผุดพรายอยู่ในหัว แต่ไม่ต้องอมความสงสัยนานเท่าไหร่เพราะทันทีที่คล้อยหลังพี่แพทไปไอ้ยักษ์ก็รีบเฉลยให้ฟัง

"นางมีกุญแจและคีย์การ์ดของห้องนี้ทั้งชุด" ไอ้ยักษ์กระซิบเบา ขณะพี่แพทเดินยิ้มออกจากห้องไป "ไม่ว่าจะเปลี่ยนกี่ครั้ง พี่แกก็แอบปั๊มสำเร็จทุกรอบ ดีนะที่แอบติดกล้องไว้ วันนี้เลยไหวตัวทัน ไม่อย่างนั้นซวยแน่..."

หลัง ๆ เริ่มออกอาการบ่นพี่สาวกลาย ๆ แต่จะดีกว่านี้มาก ถ้ามันจะเลิกเนียนนอนกอดผมไม่เลิกแบบนี้ กูไม่เคลิ้มด้วยหรอกนะเว้ย! ว่าแล้วก็ตาเขียวใส่มันซะหน่อย

"เสร็จธุระยัง?" ค้อนจนตาแทบคว่ำมันยังไม่สะท้าน เลยต้องออกปากเตือนสติสักหน่อย

จนในที่สุดมันก็รู้ตัว แล้วผละออกจากตัวผมได้เสียที

“มองไร? ไม่ต้องไล่ทางสายตาเลย ฉันต้องออกไปพร้อมนาย ไปล้างหน้าแปรงฟันไป อ่อ เปลี่ยนชุดด้วยนะ ใส่หน้าอกเข้าไปด้วย”

“รู้แล้ว ยืนเงียบ ๆ ไปสิ” ผมบ่นกลับ จริงอยู่ผมจ้องมันเหมือนจะไล่ออกไปให้พ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำแบบนั้นจริง ๆ เสียหน่อย พี่แพทอยู่ข้างนอกไม่ว่ายังไงผมกับมันก็ต้องเดินตระกองกันออกไปโชว์หวาน เรื่องนั้นผมย่อมเข้าใจ แต่ที่ยืนตาขวางใส่มันอยู่เนี่ย ก็แค่ความไม่พอใจส่วนตัวเท่านั้นแหละ เฮ้อ ว่าแล้วก็ไปแปรงฟันดีกว่า ไม่สนใจแม่งมันแล้ว (-*-)



+

+

+



“เฮ้ย! ทำอะไรน่ะ?”

ผมถึงกับร้องเสียงหลง เมื่อล้างหน้าแปรงฟันได้ไม่ถึงสิบนาที ออกมาอีกทีก็เจอไอ้ยักษ์ห่ากำลังรื้อตู้เสื้อผ้าผมอย่างเมามัน ทำเอาถลาไปห้ามแทบไม่ทัน ขณะมันกำลังพินิจพิจารณาเสื้อชั้นในตัวจ้อยของผมอยู่ ∑ (o///o) >

“ก็หาชุดให้นายอยู่ไงล่ะ จะได้ไม่เสียเวลา ว่าแต่ซิลิโคนนายอยู่ไหน?” มันตอบหน้าตาเฉย แถมยังก้มหน้าก้มตารื้อกองสุมทุมชุดสาวแตกของผมต่ออย่างหน้าไม่อาย

“ผมทำเองเป็นน่า! เลิกวุ่นวายเสียที!! ออกไปให้ไกลเลย!” ผมตวาดออกไปไม่ดังมากพร้อมกระชากทุกอย่างออกจากมือมันด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะไล่มันให้ออกห่างจากตู้เสื้อผ้าแบบไม่ไว้หน้า

“ช่วยแต่งจะได้เร็วขึ้น” แน่ะ ไล่แล้วยังหน้ามึน

“ขอล่ะ ผมทำเองเร็วกว่า” ในเมื่อผมสู้ความหน้าด้านหน้าทนของมันไม่ไหว สุดท้าย เลยต้องหอบทุกอย่างไปแต่งตัวในห้องน้ำ โว้ย โคตรน่ารำคาญ!

“ชุดนี้ไม่ผ่าน เปลี่ยนเลย” แถมพอแต่งออกมาเสร็จเรียบร้อย ด้วยชุดเรียบง่าย ชุดวอร์มที่พี่ฝ้ายซื้อให้ตั้งแต่ไปพัทยา ก็ยังโดนมันชี้หน้าว่าให้รีบเปลี่ยนอีก จะเถียงมันก็ไม่ยอม แล้วผมต้องยอมมันไหม?

“เอาเสื้อตัวนี้ไป แล้วใส่แค่ขาสั้นข้างในพอ” กำลังจะอ้าปากเถียงด้วยความหงุดหงิด แต่ยังไม่ทันจะได้กระดกลิ้นไก่ออกเสียงตัวแรก มันก็เอาเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวหนึ่งเหวี่ยงมากระแทกหน้าผม โดยที่ตัวมันยังคงก้ม ๆ เงย ๆ คุ้ยกองเสื้อผ้าผมต่อ ก่อนจะคว้ากางเกงขาสั้นกุดขึ้นมาให้ผมอีกตัว...ว่าแต่ ผมมีไอ้ชุดพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ

“เอ้า อย่าเอาแต่มองสิ หรือจะให้ช่วยแต่ง” เห็นผมมัวแต่พินิจพิเคราะห์ชุดในมือที่ถูกยื่นให้ มันเลยกระตุ้นผมด้วยการเอื้อมมือมาจับชายเสื้อผมตรงเอว ทำท่าจะช่วยถอด

“เฮ้ย!” แต่ผมก็สะบัดตัวหลบมือมารของมันออกมาได้อย่างฉิวเฉียด ก่อนจะถามมันออกไปอย่างไม่เข้าใจเกี่ยวกับชุดที่มันใช้หัวแม่เท้าเลือกให้ใส่ “ชุดบ้าอะไรเนี่ย กางเกงมันสั้นจนจะเห็นแก้มก้นได้อยู่แล้ว ให้ใส่แบบนี้เดินออกไปไข่โผล่ทำไง!?” อย่าหาว่าผมเยอะเลยครับท่านผู้อ่าน สาบานให้ไอ้พิงไข่กุดเลย กางเกงตัวจิ๋ว มันสั้นจริง ๆ นะ ขืนใส่ออกไปข้าวหลามหนองมนของผมต้องแลบออกมาแน่นอน!

“เชื่อฉันเถอะน่า แต่งแบบนี้แหละ ถึงจะหลอกตาพี่แพทได้ ใส่วอร์มออกไปทั้งตัวขนาดนั้น เดี๋ยวก็ได้โดนซักฟอกเอาหรอก” ไอ้ยักษ์พยายามให้เหตุผล พร้อมเท้าสะเอวยืนจังก้าเป็นท่าประกอบ

“ก็ผมเป็นสาวหวาน แต่งมิดชิดน่ะถูกแล้ว”

“แต่คู่ข้าวใหม่ปลามัน เขาก็แต่งตัวแบบนี้กันทั้งนั้น”

“เอาตัวอย่างมาจากไหนวะ? ดูหนังมากไปล่ะสิ”

“มันก็ดูโรแมนติกดีไม่ใช่เหรอ พี่แพทเขาชอบแนวนั้น”

“เอาธรรมดาเถอะ แบบนี้มันเฟคจนน่าแหวะเกิน”

“เราก็เฟคกันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? ไหน ๆ แล้วก็เฟคให้มันสุดไปเลย”

มันจบประโยคปิดท้ายได้เจ็บแสบจนผมอดอึ้งแดกไม่ได้ สับสนกับตัวเองเล็ก ๆ ครับว่าทำไมต้องรู้สึกติดใจกับคำว่า ‘เฟค’ ของมันด้วย เพราะที่มันพูดมาทั้งหมด ล้วนแต่เป็นความสัตย์จริงในความสัมพันธ์ของผมและมัน…

เฟค…

แต่มึงเสือกเอากูจริง ๆ เนี่ยนะ!?

ใช่…ผมรู้สึกติดค้าง แต่ไม่ใช่เพราะอยากให้มันมารับผิดชอบหรืออะไรหรอกนะ แค่รู้สึกติดค้างเท่านั้นจริง ๆ เอาเข้าจริงตอนนี้ผมไม่เข้าใจตัวเองเลยสักนิดว่ากำลังรู้สึกอะไรอยู่กันแน่

ใช่…เฟค

ในที่สุดผมก็ทำใจยอมรับได้ โยนทุกอย่างที่มันยัดเยียดให้กลับคืนแก่มัน แล้วเดินออกจากห้องมาทั้งอย่างนั้น ไม่สนใจแล้วว่ามันจะว่ายังไง เพราะทันทีที่เปิดประตูห้องออกมาได้ ผมก็ตอแหลเต็มที่ ให้สมบทบาท ‘เฟค’ ดังที่ไอ้ยักษ์ห่ามันว่าไว้

เฟค…ให้สมกับที่มันตั้งใจ!!

“พี่แพทขา…พึ่งขอโทษจริง ๆ นะคะที่ต้องให้รอ” ผมดัดเสียงแหลมเต็มที่ พร้อมสะดิ้งตัวบิดไปส่ายมา ถลาเข้าหาพี่แพทที่กำลังนั่งดูทีวีอยู่ตรงโซฟาห้องรับแขก ชุดวอร์มเต็มยศไม่เป็นอุปสรรคต่อการสาวแตกของผม

“ตายจริง พี่ต่างหากล่ะที่ต้องขอโทษ…แหม เคยตัวน่ะ เลยเผลอไปขัดจังหวะข้าวใหม่ปลามันเข้า” พี่แพทว่าอย่างอารมณ์ดี ขณะคว้าตัวผมโน้มลงไปกอดทักทาย

“มาทำไม” ก่อนที่เสียงห้วนคล้ายไม่พอใจอย่างแรงของไอ้ยักษ์จะดังตามหลังมา

“แหม ตาพอล พอพาเจ้าสาวเข้ามากกในรังรักด้วยกันแล้วนี่ พี่เพ่อห้ามเหยียบเข้ามาเยี่ยมเลยหรือไงยะ” พี่แพทว่ากลับไปแบบถึงพริกถึงขิงไม่ต่าง ขณะขยับให้ผมนั่งลงข้างกัน

วันนี้เจ๊แกก็ยังคงคอนเซปต์นุ่งสั้นคว้านลึกเช่นเดิม

อาหารตายามเช้าของผม ระหว่างรอสองพี่น้องโต้เถียงกันให้เสร็จ

“แหม...ใส่ชุดวอร์มเต็มตัวเชียวนะ ไม่ร้อนหรือไงพึ่ง?” หลังสาดน้ำลายใส่กันเสร็จ คล้ายว่าพี่แพทคงเป็นฝ่ายชนะ จึงหันกลับมาคุยกับผมที่นั่งจ้องนม (เจ๊แก) อยู่ข้างกันอย่างอารมณ์ดี

“เอ่อ...ไม่ร้อนหรอกค่ะ แอร์เย็นจะแย่...” ผมตอบออกไปแกน ๆ สองพี่น้องนี่มีอะไรกับชุดวอร์มของผมกันนักนะ

“หืม...พี่อยากเห็นพึ่งในชุดนอนเซ็กซี่ ๆ อย่างเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งกับแพนตี้ตัวจิ๋วแท้ ๆ หุหุ พี่ชอบอ่ะ โรแมนติกดี” พี่แพทพูดพลางทำหน้าชวนฝัน ทำเอาผมต้องรีบหันไปมองหน้าไอ้ยักษ์แบบอัตโนมัติ ตอนนั้นผมคิดว่าแม่งพี่น้องรู้ใจกันโคตร แต่มารู้ที่หลังว่าไม่ใช่รู้ใจ แต่เป็นเพราะพี่แพทมักเพ้อให้ไอ้ยักษ์กับน้องมันฟังบ่อย ๆ เพราะเจ๊แกชอบความโรแมนติก ยิ่งช่วงนี้ห่างจากสามีที่เป็นนักธุรกิจชาวต่างชาตินาน พี่แพทเลยยิ่งเพ้อหนักนั่นเอง...

เราคุยสัพเพเหระกันอยู่นิดหน่อย ก่อนที่พี่แพทจะลากเข้าเรื่องสำคัญที่ทำให้พี่แกต้องพาตัวมาอยู่ในห้องของน้องชาย

"ตาพอล แกเตรียมของขวัญให้ท่านย่าหรือยัง?"

ผมไม่รู้ว่าพี่แพทแกหมายถึงอะไร รู้แต่ไอ้ยักษ์พอลถึงกับแตกตื่น "เฮ้ย! จริงด้วย เย็นนี้แล้วนี่หว่า โหพี่ ทำไมไม่มาเตือนให้เร็วกว่านี้ล่ะ เหลือแค่ครึ่งวัน ผมหาของขวัญให้ท่านย่าไม่ทันแน่" ไอ้ยักษ์บ่นโอด พร้อมหน้าซีดหน้าสั่น

"ไม่ต้องมาโทษกันเลยไอ้น้องไม่รักดี ฉันมาเตือนแกก่อนนี่ก็บุญแค่ไหนแล้ว ไอ้เด็กบ้า ลืมได้ทุกปีเชียว" แล้วทันทีที่โดนน้องชายโอดครวญใส่ พี่แพทก็ด่ากลับไปตามระเบียบ ก่อนจะเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วหัวเราะขึ้นมาเบาๆ "หึหึ ฉันก็กะเอาไว้อยู่แล้วว่าไอ้เด็กเวรอย่างแกต้องลืม ฉันเลยเตรียมเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว โน่นตั้งอยู่ตรงหน้าประตู ไปยกเอาเองแล้วกัน มันหนัก" พูดเสร็จพี่แพทก็ยืดตัวขึ้นน้อย ๆ ด้วยท่วงท่าราวกับนางฟ้าผู้ทรงความเมตตา

"โห! พี่แพท ผมรักพี่!" แต่ยังไม่ทันจะได้วางมาด ก็โดนน้องชายตัวยักษ์กระโดดกอดเข้าเต็มรัก ให้พอเสียหลัก แล้วก็ทิ้งไปยกกล่องของขวัญที่ว่า

อาการดีใจระคนโล่งใจเกินเหตุของไอ้ยักษ์ ทำผมอดสงสัยไม่ได้ว่า มันคือเรื่องอะไรกัน ที่ทำให้ไอ้ยักษ์หลุดมาดคุณชายได้ขนาดนี้ต่อหน้าคนนอกอย่างผม...

"อุ๊ยตายจริง สงสัยสินะจ๊ะพึ่ง" ดูเหมือนหน้าตาที่แสดงความสงสัยอย่างโจ่งแจ้งของผม จะไปกระแทกตาของพี่แพทเข้า พี่สาวแสนสวยเลยหันมาตั้งหน้าตั้งตาอธิบายให้ผมได้กระจ่าง

"คืองี้จ๊ะ วันนี้น่ะ เป็นวันเกิดของท่านหญิงย่าแพรพรรณราย พึ่งเคยพบท่านครั้งหนึ่งแล้วนี่ใช่ไหม?" ผมพยักหน้าหงึกหงักไปกับเรื่องที่พี่แพทพูดถึง วันเกิดท่านหญิงย่าแพรพรรณราย สุภาพสตรีผู้มีอำนาจสูงสุด ขลังสุดของตระกูลเทวินทร์วงศ์ ผู้ซึ่งผมเคยพบหน้าท่านอยู่สองสามครั้งนับตั้งแต่แต่งเข้าตระกูลมา ดูแล้วท่านแสนจะใจดีมีเมตตา เป็นที่รักของลูกหลานวงศ์วานมาก ๆ วันพรุ่งนี้คือวันเกิดท่านผู้นั้นนี่เอง ถึงว่าไอ้ยักษ์ถึงได้ดูร้อนรนนัก ที่ดันลืมเตรียมของขวัญแก่คนสำคัญ

"โดยปกติ ทุกปีจะมีการจัดงานเลี้ยงตอนเย็นเนื่องในวันคล้ายวันเกิดของท่านย่าอยู่แล้ว แล้วเราบรรดาหลาน ๆ ก็จะต้องมีของขวัญเล็กน้อยให้ท่านเพื่อเป็นเป็นการแสดงความรักและการเอาใจใส่ เรียกได้ว่าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติเลยแหละ ลูกหลานทุกคนทั้งในสายตรง และสายอื่น ๆ จะต้องมารวมกันที่คฤหาสน์อย่างพร้อมเพรียง เพื่ออวยพรวันเกิดให้ท่าน ซึ่งถือได้ว่าเป็นวันรวมตระกูลเลยก็ว่าได้จ้ะ แน่นอนว่างานปาร์ตี้วันเกิดท่านหญิงย่าเย็นนี้ก็คงจะคึกคักดังเช่นทุกปีที่ผ่านมา" พี่แพทอธิบายให้ฟังอย่างใจดี "ตลอดมาไม่เคยมีลูกหลานคนไหนที่จะลืมวันเกิดของท่านหญิงย่าเลย เว้นไอ้น้องไม่เอาไหนของพี่คนเดียวนี่แหละ" พร้อมมีด่ากระทบชิ่งไปทางไอ้น้องยักษ์ของพี่แกด้วย

“...แย่แล้ว พึ่งต้องรีบหาของขวัญด้วยสินะคะ เย็นนี้แล้วด้วยสิ” นี่ผมจริงจังเลยนะ แต่ตังค์ไม่มี จะเอายังไงดีนะ...

ร้อนรนกระวนกระวายอยู่ไม่ถึงอึดใจ พี่แพทคนสวยก็ยื่นมือมาช่วยเหลือผมไว้อย่างกับนางฟ้า “จุ๊ จุ๊ จุ๊ อย่าได้กังวลไปสาวน้อยของพี่” โดยการใช้เรียวนิ้วสวยมาทาบปิดปากผมไว้เบา ๆ แล้วกระซิบเสียงหวาน “ของน้องพึ่ง พี่ก็เตรียมไว้ให้แล้วจ้ะ”

นางฟ้ามาโปรด ชัด ๆ ผมยิ้มแก้มยกเมื่อพี่แพทหยิบกล่องข้างตัวขึ้นมาสองกล่อง แล้วยื่นให้ผม กล่องหนึ่งเป็นเพียงกล่องเล็ก ๆ ทว่าผูกริบบิ้นสวยงาม ส่วนอีกกล่องที่ใหญ่กว่า ลายข้างกล่องสวยงามไม่ต่างกัน

“นี่ของขวัญของท่านหญิงย่าจ๊ะ” พี่แพทอธิบายถึงกล่องเล็กที่ซ้อนอยู่ด้านบนก่อนจะยื่นมันมาให้ผม พร้อมบรรยายสรรพคุณของกล่องใหญ่ต่อ “ส่วนกล่องนี้ของพึ่ง”

“…ของพึ่ง?” ผมชี้หน้าตัวเองอย่างงง ๆ เมื่อได้ยินว่ามีส่วนของผมด้วย

“จ๊ะ ท่านหญิงย่าฝากมาให้” และคำเฉลยของพี่แพทคนสวยทำเอาผมถึงกับต้องรีบขอกล่องใหญ่ใบสวยในมือพี่แกมาดูว่าข้างในคืออะไร ท่านผู้หญิงแพรพรรณรายผู้นั้น ใจดีฝากอะไรมาให้ผมกันแน่นะ ทั้งดีใจ ทั้งสงสัย ปนเป กระทั่งได้เห็นเต็มสองตาเมื่อเปิดฝากล่อง

…ชุดราตรีสีชมพูอ่อน กระโปรงสั้นแค่เข่า บานพลิ้ว…

“ต้องใส่ชุดนี้มาเท่านั้นนะพึ่ง ท่านหญิงย่าอุตส่าห์เลือกให้พึ่งเองกับมือเลยนะ” สิ้นคำพี่แพท ผมก็ได้แต่มองชุดในมือ สลับกับหน้าของพี่แพทเป็นเชิงถามกลาย ๆ ว่า ‘จริงดิ!?’



+++++++++++++++++



ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า


หลังจากที่พี่แพทกลับไป ผมก็ไม่ได้คุยอะไรกับไอ้ยักษ์อีก แม้มันจะทำหน้าเหมือนอยากสนทนาพาเพลินกับมากแค่ไหนก็ตาม เก็บตัวนอนดูทีวีฉ่ำอุราอยู่ในห้อง รอเวลาอาบน้ำแต่งตัวไปร่วมงานวันเกิดท่านผู้หญิงแพรพรรณรายตอน 5 โมงเย็น

ตอนแรกกะว่ามันคงตื้อจนผมหงุดหงิดอีกแน่ ผิดคาดเล็กน้อยตรงที่มันเองก็หายหัวไปเลยเหมือนกัน

ชิ…ช่างแม่ง ผมไม่สนใจมันหรอก

ผมหมกตัวอยู่ในห้องแบบนั้นตลอด ไม่ดอดออกไปไหนเด็ดขาดนอกจากออกหาข้าวกินตอนกลางวัน ซึ่งก็เดิม ๆ คือมีอาหารตั้งเตรียมเอาไว้ให้อย่างเก่า โอ๊ะ ๆ อย่าเพิ่งคิดว่าไอ้ยักษ์มันทำให้ผมนะ แม่บ้านต่างหากที่ทำขึ้นมาส่งให้ตามเวลาน่ะ

ช่วงแรกผมปฏิเสธทุกอย่าง ทุกความปรารถนาดีของไอ้ยักษ์มัน ซึ่งตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ครับ ผมไม่รับอะไรจากมันมากเกินความจำเป็นอยู่แล้ว แต่เรื่องอาหาร ผมจำใจยอมรับจากมันอย่างเสียไม่ได้

…ก็แหม จะให้เหลือทิ้งทุกวันก็กระไรอยู่ แถมอาหารแต่ละมือก็ชวนน้ำลายสอทั้งนั้น ดีกว่าไปเสียตังค์เอาข้างนอกล่ะนะ

นับจากตอนสายที่ผมกับมันถูกพี่แพทกักตัวไว้จนสิบโมง ผมก็ไม่ได้เจอมันอีก ในห้องสี่เหลี่ยมขนาดไม่เท่าไหร่นี่แหละ แต่แทบไม่เห็นหน้าค่าตากัน ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะผมมันหลบเก่งอยู่แล้ว ไม่อยากเจอสักอย่าง อะไรก็รั้งผมไม่ได้

ผมนอนเปื่อยอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งสี่โมงเย็น หลับบ้างตื่นบ้าง อ่านการ์ตูนบ้าง ดูทีวีบ้าง หายใจทิ้งไปอย่างเปล่าประโยชน์ ก็แค่วันนี้เท่านั้นแหละ เพราะหลังจากนี้ ผมจะเริ่มทำงานที่ร้าน ทั้งอีกไม่นานก็เปิดภาคเรียน ชีวิตผมคงกลับไปยุ่ง จนลืมความรู้สึกประหลาด ๆ ในช่วงนี้ไปได้เอง

เพราะความว่าง เลยทำให้ผมมีแต่ความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก โกรธไม่สุดอยู่อย่างทุกวันนี้ ผมสัญญากับตัวเองเบา ๆ ก่อนที่จะลุกไปอาบน้ำว่า อีกไม่นานผมต้องกลับมาเป็นปกติให้ได้ จะไม่หวั่นไหวเพียงแค่ไอ้ยักษ์มาทำดีด้วยอีก



+

+

+



หวื่ออออออ....หวื่ออออออ

ผมยืนหาวไปเป่าผมไปอยู่หน้ากระจกอยู่ครู่ใหญ่ อาบน้ำเสร็จ ก็เริ่มกระบวนการทำผม ก่อนจะแต่งหน้าแล้วใส่เสื้อผ้าเป็นอย่างสุดท้าย หึหึ...ตอนนี้ผมโปรมากบอกเลย ออกจากห้องน้ำมาด้วยผ้าขนหนูพันตัวผืนเดียว เป่าผมเปียก ๆ ของตัวเองให้พอหมาด ก่อนเริ่มไดร์ให้เข้าทรง วันนี้ผมจะเกล้าผมมวยสูง แล้วคาดด้วยที่คาดผมรูปโบว์สีมุขเล็ก ๆ จุ๋มจิ๋มน่ารัก เข้ากับชุดเดรสทรงวนิดาฟูฟ่องสีชมพูอ่อน

ทำผมเสร็จก็มาต่อกันที่การแต่งหน้า คอนเซปต์สวยหวาน คืองานประจำตัว ดังนั้นผมไม่จำเป็นต้องแต่งหน้าจัดจ้าน เพียงแค่แต่งคิ้วให้เข้ารูป โดยวาดหางคิ้วให้ต่ำลงมาหน่อยเพื่อจะได้ดูบ๊องแบ๊ว ตาดำผมโตอยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องใส่คอนเทคเลนส์ ขนตาเองก็ยาวสมตัวจึงไม่จำเป็นต้องต่อขนตาให้ลำบาก คิดไปคิดมาไอ้ผมเองก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองก็หน้าตาสวยอยู่เหมือนกันนะเนี่ย คางเรียว แก้มป่อง ต้นคอเล็ก ระหง (ถึงจะมีกระเดือกให้ขัดตานิดหน่อยก็ไม่ได้ทำให้ความสวยหวานน่อยลง) ผมกรีดอายไลน์เนอร์ขั้นเทพ แต่งตาด้วยอายชาโดว์สีเดียวกับชุด ปัดแก้มบาง ๆ ตบท้ายด้วยลิปสติกสีชมพูอ่อนเคลือบกลอสมันวาว

อืม...นางฟ้าชัด ๆ

เช็กความเรียบร้อยแล้วเห็นสมควรว่าผ่านทุกกระเบียด ผมก็ลุกขึ้นมาเตรียมร่างกายของตัวเองต่อ เปิดตู้เสื้อผ้ารื้อกองเสื้อชั้นใน หาเกาะอกตัวจ้อย พร้อมซิลิโคนคู่ชีพขึ้นมาแต่งองค์ให้สมหญิงมากขึ้น ชุดที่คุณผู้หญิงแพรพรรณรายเป็นชุดที่ช่วยพรางก้นปอด ๆ ของผมได้อย่างดี ชุดกระโปรงบานนี่แหละ สมหญิงสุด สบายสุด เพราะไม่ต้องเสริมตูด และไม่ต้องแต๊บไข่ให้ทรมาน อิอิ

เมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพ เสร็จสิ้น ผมก็เดินเฉิบมาคว้าชุดราตรีสีชมพูหวานขึ้นมาสวมใส่อย่างอารมณ์ดี...

ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีไม่มีปัญหาจนกระทั่ง...

เวรละ!! ซิปหลังรูดไม่ขึ้น!

และมันไม่ใช่รูดไม่ขึ้นเพราะซิปเสีย! แต่มันเป็นเพราะ…

สึด! อย่าบอกนะ ว่ากูอ้วนขึ้น!?

ถึงกับตื่นตระหนกสิครับ ด้วยเพราะไม่มีอันจะกิน ตัวผมผอมบางคงน้ำหนักห้าสิบต้น ๆ มาหลายขวบปีนักแล เสื้อผ้าอาภรณ์ตัวจ้อย ไซซ์เสื้อผ้าไม่เคยเกินไซซ์เอ็มด้วยซ้ำตั้งแต่แตกเนื้อหนุ่มมาจนถึงปัจจุบัน

หรือว่าชุดที่พี่แพทเอามาให้จะเล็กเกินไป?

คิดได้ผมก็รีบรื้อสมบัติเก่าออกมาผึ่งเต็มเตียง ชุดผู้หญิงสมัยย้ายเข้าบ้านเทวิทร์วงศ์ ผมคว้าเดรสสีชมพูอ่อนตัวหนึ่งขึ้นมาใส่โดยไม่ต้องคิด...

ผลคือ...

เชี่ยเอ๊ย...คับติ้ว!!

เอาไงดีวะ? ถึงกับเครียดเหงื่อแตก 'ต้องใส่ชุดนี้มาเท่านั้นนะพึ่ง ท่านหญิงย่าอุตส่าห์เลือกให้พึ่งเองกับมือเลยนะ' เสียงสั่งเสียของพี่แพทยังลั่นอยู่ในหู สะเทือนไปทั้งค้อน ทั่ง โกลน ผมหันไปมองชุดที่ท่านหญิงย่า (อุตส่าห์) เลือกมาให้อีกครั้ง พร้อมถอนหายใจหนัก ๆ กับภาระที่บ่าเล็ก ๆ ของผมต้องแบกรับ...

ยัดตัวเข้าไปยังลำบากเลย จะให้ใส่ไปได้ยังไงเนี่ย? ว่าแล้วก็ลองเอามือน้อย ๆ ของตัวเองบีบหน้าท้องตัวเองเบา ๆ 

อา...นี่ผมมาถึงจุดจุดนี้ได้ยังไงนะ จุดที่เริ่มมีห่วงยางเป็นของตัวเอง ไม่น่าเลยตรู ไม่น่าขี้เกียจตัวเป็นขน ไม่น่าเป็นคนนิ่งหลับ ขยับแดก แยกหลง งงเสียตัวเลยตรู (เอ่อ...ไอ้สองอันหลังดูเหมือนจะไม่เกี่ยวกับชีวิตเท่าไหร่แฮะ)

ว่าแล้วก็หันมองสารรูปตัวเองในกระจกอีกครั้ง อืม...หน้าตาอวบอิ่มขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ดูสิ...แก้มยุ้ยน่ารักเชียว กิจกรรมกินนอนของผมดูท่าจะทำพิษเข้าซะแล้ว แต่ในเมื่อมันไม่มีทางเลือกอื่นใด ผมก็จำเป็นต้องยัดร่างที่มีน้ำมีนวลขึ้นของตัวเองเข้าไปในชุดน้อย ๆ นี่ให้ได้ กระโปรงทรงสุ่มบานไม่มีปัญหากับสะโพกผายของผมสักเท่าไหร่ แต่ตั้งแต่ช่วงเอวขึ้นมาถึงไหล่นี้แหละ แม่งรูดซิปไม่ได้ ผมพยายามกับมันอยู่นานจนหน้าเริ่มมืด เห็นว่าหมดทางแล้ว มุมปากผมเริ่มกระตุกยิ้มอ่อน พร้อมกับที่แรงใจหดหายเฉียบพลัน ทั้งร่างจึงร่วงลงไปกองแหมะอยู่บนพื้น อา...ไม่อยากกระดิกตัวไปไหนอีกแล้ว...

แกร๊ก...

"นี่ไปกันได้แล้วนะ เดี๋ยวรถติด...อ้าว...ลงไปนั่งทำอะไรน่ะ?"

นั่งร้องไห้ด้วยใจห่อเหี่ยวอยู่ได้เพียงครู่ จู่ ๆ ไอ้ยักษ์ห่าบรรลัยก็เปิดประตูพรวดเข้ามาโดยไม่ขออนุญาต จากเศร้า ๆ เลยกลายเป็นลากเข้าอารมณ์หงุดหงิดงุ่นง่านพลุ่งพล่านแทน

“เคยบอกแล้วใช่ไหมว่าห้ามเข้าห้องผมโดยไม่ได้รับอนุญาต!” เสียงผมเหี้ยมเกรียมขึ้นทันที ตวัดตามองแสดงความไม่พอใจออกไปเต็มที่

"ก็เคาะประตูจนมือจะหงิก ไม่เห็นเปิดสักที นึกว่ายังไม่ตื่น เลยกะจะปลุกไง" แต่แทนที่มันจะสำเหนียก มันกลับยืนกอดอกพิงกรอบประตูอธิบายพลิ้ว ไม่สนใจสายตาค้อนคว่ำค้อนหงายของผมเลยสักนิดเห็นแล้วยิ่งหงุดหงิดทวีคูณ ตอแหล...เคาะจนมือจะหงิกอะไร? ห้องกูเล็กแค่นี้ มึงใช้นิ้วดีดกูยังได้ยินเลย!

“รีบนักก็ไปก่อนเลยไป เดี๋ยวผมนั่งแท็กซี่ตามไปเอง” ผมไล่มันออกไปตรง ๆ เพราะไม่อยากมานั่งเถียงอะไรกับมันให้มากนัก เพราะแค่เรื่องที่แบกอยู่ตอนนี้ก็ลำบากมากพอแล้ว

“จะไปได้ยังไงล่ะ ลุกขึ้นเร็วเข้า แต่งตัวเสร็จแล้วไม่ใช่เหรอ? เล่นอะไรอยู่เนี่ย?” ประชดกลับไปไม่ทันไรโดนมันบ่นสวนกลับมาเฉย นี่มึงไม่ยี่หระกับบรรยากาศมาคุที่กูแผ่ออกมาบ้างเลยหรือไง? มองหน้ามันไป มันก็ทำเป็นหน้ามึนใส่

จะออกไปได้ยังไงวะ ซิปหลังอ้าเป็นวาขนาดนี้ แต่ผมก็พอเข้าใจที่มันเร่งอยู่หรอก เพราะมันไม่เห็นว่าหลังผมกำลังเปิดอ้าซ่า เนื่องจากผมนั่งหันหน้าเข้าหามัน คิดแล้วก็ถอนหายใจละเหี่ย หมดอารมณ์จะโกรธ เพราะไม่อยากให้มันมาบั่นทอนจิตใจของผมมากไปกว่านี้ สุดท้ายผมเลยบอกมันออกไปตรง ๆ ว่า “ซิปรูดไม่ได้”

“เหรอ? แล้วทำไมไม่รีบบอกล่ะ ลุกขึ้นมาสิเดี๋ยวช่วยรูดให้” มันว่าพร้อมยื่นมือมาจับต้นแขนผมไว้เบา ๆ เพื่อช่วยพยุง เสียงทุ้มฟังดูเป็นมิตร คล้ายสะกดจิตกลาย ๆ ให้ผมยืนขึ้นตามแรงฉุดรั้งของมัน น่าแปลกที่ผมไม่โวยวาย ร้องแรกแหกกระเชอ ทั้งที่ปกติ แค่มันเข้าใกล้ ผมก็ด่าดักเอาไว้ก่อนแล้ว

เพราะผมปลงได้แล้วหรือยังไงกันนะ...

ถึงได้นึกรังเกียจมือของมันน้อยลง...

หรือว่า...ผมแค่เหนื่อย เลยไม่ค่อยอยากออกอิทธิฤทธิ์สักเท่าไหร่...

แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ตอนนี้ผมก็ยืนหันหลังให้มันช่วยไปเรียบร้อยแล้วล่ะ...แหม ก็มันทำเองไม่ได้จริง ๆ นี่

“อ้วนขึ้นหรือไง? หรือชุดของท่านย่าไซซ์เล็กกว่าปกติ?” มันถามขึ้น ทันทีที่ได้เห็นว่าตรงช่วงเอวของชุดมันตึงเปรี๊ยะ (ขนาดยังไม่รูดซิป...)

“ไม่ได้อ้วน แค่เพาะกล้ามอยู่เฉย ๆ” ผมตอบเซ็ง ๆ บอกตรง ๆ ว่าเสียหน้ามาก “รีบ ๆ เข้าสิ เหม่ออะไรอยู่?” จึงได้แต่ออกปากเร่งให้มันรีบรูดซิปให้เสร็จ เพราะผมเริ่มทนสภาพที่เป็นอยู่ไม่ไหวแล้ว

“รอเดี๋ยวสิ ซิปมันติดอยู่ นายไปฝืนมันเยอะล่ะสิ มันถึงได้กินตะเข็บผ้าเข้าไปด้วย เลยรูดไม่ขึ้นไงล่ะ” ไอ้ยักษ์อธิบาย ผมรู้สึกได้ว่าสองมือของมันกำลังง่วนอยู่กับการแกะซิปให้ผมอยู่ จากคำเฉลยของมันทำเอาผมเซ็งเล็ก ๆ ไอ้ซิปเวรตะไล เสือกแดกริมผ้าเข้าไปด้วยนี่เอง ทำมือกูแทบเคล็ดแค่เพราะพยายามรูดมึงนี่แหละ!

ผมไม่ได้ตอบอะไรมันไป ได้แต่ยืนนิ่ง ๆ ให้มันจัดการกับซิปเจ้าปัญหาไปเงียบ ๆ พยายามไม่สนใจความรู้สึกร้อนแปลก ๆ ที่เกิดตรงแผ่นหลัง ไม่แยแสกับบรรยากาศที่เคลือบแฝงไปด้วยอะไรบางอย่างที่ผมไม่อยากจินตนาการถึง

เตือนตัวเองเอาไว้ ถึงวันนี้มันจะใจดีกับผมมากแค่ไหน ผมก็จะไม่มีวันลืมความใจร้ายในวันเก่า ๆ ของมันเด็ดขาด

ทั้งหมดที่มันทำ ก็แค่การรับผิดชอบ เพื่อให้ตัวมันเองรู้สึกสบายใจ ไม่ใช่เพราะมันแคร์ผม

ท่องไว้ ท่องไว้ นะโม สังโฆ...

"ฉันคิดมาทั้งคืน..."

จู่ ๆ ไอ้ยักษ์มันก็พูดขึ้น ขณะที่กำลังช่วยผมรูดซิปเสื้อที่หลังให้ ไอ้ห่า! กูกำลังตั้งสติอยู่!!

“ที่นายถามฉันว่า ฉันห่วงนายในฐานะอะไร...ในฐานะของคนที่อยู่ด้วยกัน คนที่มีพันธสัญญากัน หรือว่า...ในฐานะของคนที่เคยนอนด้วยกัน ตอนนี้ฉันมีคำตอบให้นายแล้ว” มันเกริ่นจบ พร้อมกับที่รูดซิปให้ผมได้จนสุดพอดี เสียงทุ้มของมันที่ดังอยู่หลังศีรษะ ทำเอาผมเกร็งจนไม่กล้าหันไปเผชิญหน้ามันเลยทีเดียว ซึ่งผมรู้ตัวดีเลยว่าผมกำลังกลัวอะไร

ผมไม่ได้กลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับไอ้ยักษ์ แต่ผมกลัวสิ่งที่ซ่อนอยู่ในดวงตาของมันต่างหาก การกระทำของมัน ทำให้ผมรู้สึกได้ อะไรบางอย่างระหว่างมันกับผมกำลังจะเปลี่ยนไป

และผมยังไม่พร้อมที่จะยอมรับมัน

"ช้าไปแล้วเหอะ ผมไม่อยากฟังอะไรอีกแล้ว ขอบคุณที่ช่วยแล้วกัน" ผมปฏิเสธที่จะฟัง ไม่ว่าสิ่งที่มันจะพูดหลังจากนี้จะเป็นอะไรก็ตาม แล้วตั้งใจจะรีบเดินออกไปจากระยะที่ใกล้เกินไประหว่างผมกับมัน เพื่อรักษาระดับการเต้นของหัวใจตัวเอง ที่ดูเหมือนจะเต้นแรงขึ้นทุกขณะ

ไม่...ไม่ใช่เพราะไอ้ยักษ์เด็ดขาด เพราะชุดมันแน่นจนหายใจลำบากต่างหากล่ะ

“ฉันขอโทษจริง ๆ นะกับเรื่องที่เกิดขึ้น”

ทั้งที่คิดจะเดินหนีไป แต่ขาผมกลับไม่ยอมขยับ มันยังคงยืนนิ่งอยู่ที่ด้านหลังของผม ใกล้...ชนิดที่ผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจของมันที่รดอยู่ตรงหลังกระหม่อม คำขอโทษของมันที่ผมได้ยินมาไม่รู้สักกี่ครั้งตั้งแต่วันที่เกิดเรื่อง ยังทำอะไรผมไม่ได้เท่ากับคำขอโทษของมันวันนี้ เสียงทุ้มพร่าที่แฝงความรู้สึกผิดและวิงวอนอย่างชัดเจน มันดาเมจเสียจนหัวใจผมถึงกับเต้นรัวเป็นกลองศึก

ผมยังคงนิ่งเป็นนายใบ้ พยายามข่มใจ ท่องคำเดิมซ้ำ ๆ

‘ทั้งหมดที่มันทำ ก็แค่การรับผิดชอบ เพื่อให้ตัวมันเองรู้สึกสบายใจ ไม่ใช่เพราะมันแคร์ผม’

“ที่เคยบอกไปว่าไม่ได้คิดจะรับผิดชอบน่ะ ฉันโกหก…แต่มันไม่ได้หมายความว่าฉันคิดจะรับผิดชอบนายเหมือนผู้หญิงหรอกนะ ฉันรู้ว่านายไม่ชอบ...” คงเพราะเห็นผมเงียบทื่อ มันจึงพูดต่อ ไม่รู้ผมอนุมานไปเองหรือเปล่า แต่ผมรู้สึกว่าเสียงของมันเข้าใกล้หูผมขึ้นเรื่อย ๆ และสิ่งที่มันพูดออกมาก็สะกิดใจของผมได้พอสมควร ในที่สุด มันก็ยอมรับ ว่าทำไปเพื่อรับผิดชอบ

ผมเองก็ไม่รู้หรอกนะว่าคำว่ารับผิดชอบของมัน มันไม่ดีตรงไหน ผมก็แค่รู้สึกแย่และรังเกียจที่จะรับมันไว้เท่านั้นเอง

หรืออีกอย่างคือ ผมรู้สึกว่าสิ่งที่มันทำกับผมไว้น่ะ มันลบล้างไม่ได้ง่าย ๆ แค่คำว่ารับผิดชอบ!

ยิ่งเป็นการรับผิดชอบ เพื่อให้ตัวมันเองรู้สึกสบายใจด้วยแล้ว ผมยิ่งรับไม่ได้เข้าไปใหญ่...

ไม่มีวันยอมรับหรอก! (ฮึ่ย! กูปม!!)

“ฉันแค่อยากให้นายรู้สึกดีขึ้น ฉันรู้ว่ามันไม่อาจลบล้าง แต่…อย่างน้อยก็อยากให้นายไม่ฝังใจในเรื่องที่มันเลวร้าย…” ไอ้ยักษ์ยังคงพูดต่อ เรื่องที่มันพยายามปั้นแต่งจนสวยหรูแล้วพูดเป่าหูผมปาว ๆ เนี่ย ถ้าเป็นคนอื่นอาจเคลิ้มตาม อาจยินยอมให้มันเข้ามารับผิดชอบชีวิต...ก็ใช่ว่าผมตอนนี้จะไม่เคลิ้มนะ ก็แค่ยังทำใจยอมรับไม่ได้เท่านั้นแหละ

“…หึ…ง่ายไปหรือเปล่า? แบบนี้มันตบหัวแล้วลูบหลังนี่ ถ้าลืมกันง่ายขนาดนั้น จะมีตำรวจเอาไว้บูชาหรือไง?” ว่าแล้วก็เลยจัดเสียหน่อย เดี๋ยวมันจะนึกว่าผมยืนนิ่งเป็นใบ้ สมยอมกับการรับผิดชอบของมันไปเสียก่อน

“ไม่ได้หมายความว่าจะให้ลืมสักหน่อย…” เสียงไอ้ยักษ์ถอนหายใจเหนื่อยหน่ายที่ด้านหลัง ทำเอาผมต้องรีบหันกลับไปมองหน้ามันเพื่อสานต่อสงครามน้ำลาย

“ก็เออไง ผมไม่มีวันลืมหรอก”

“เพราะแบบนั้นไง ฉันถึงต้องรับผิดชอบ…”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่จำเป็น!”

ผมว่าผมกับมันเริ่มคุยกันไม่รู้เรื่อง ประมาณว่าเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง แล้วห้ำหั่นใส่กันแบบไม่มีใครยอมใคร ในจังหวะที่ผมกำลังจะอ้าปากยุติ มันก็โพล่งขึ้นมาเสียก่อน “ถ้าเป็นนายล่ะ!?”

มันพูดขึ้นพร้อมสองมือของมันที่กระชับเข้าตรึงไหล่ของผมไว้อย่างลืมตัว “ถ้าเกิดนายไปทำแบบนั้นกับใครเข้า นายจะไม่รับผิดชอบเขาหรือไง?” พร้อมตั้งคำถาม ที่ทำให้หมัดของผมร้อนขึ้น ขนาดอยากต่อยปากใครสักคนให้แตกได้เลย

“ไม่จำเป็น” ผมตอบสั้นๆ พร้อมปัดมือของมันออกจากไหล่ ก่อนค่อนแคะมันออกไปด้วยถ้อยคำที่ผมมั่นใจว่าโคตรแสลงหูมัน “เพราะผมคงไม่เลวพอจะทำเรื่องระยำแบบนั้นกับใครแน่”

มันเงียบไปทันทีหลังผมพูดจบ จ้องตาผมมาด้วยความรู้สึกที่ผมไม่อาจอธิบายได้ ไม่ใช่ความโกรธหรือไม่พอใจ แต่มันคือความเจ็บปวด...ดวงตาของมันแฝงความเจ็บปวด เมื่อโดนผมด่า

ก็ถูกแล้วที่มันจะเจ็บ แต่ทำไมต้องทำให้ผมรู้สึกแย่ไปด้วยแบบนี้วะ

ช่างแม่งแล้ว...

ผมตัดสินใจหันหลังให้มันอีกครั้ง ตั้งใจจะเดินออกจากห้องไปรอมันข้างนอก หรือไม่ก็ลงไปขึ้นแท็กซี่ไปที่งานของคุณหญิงย่าเลย โดยที่ไม่รอมันอีก ผมหมดอารมณ์จะสุงสิง หรือพูดคุยอะไรกับมันอีกต่อไปแล้ว

แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ก้าวเท้าพ้นธรณีประตูห้อง ไอ้ยักษ์ห่า ก็พึมพำบางอย่างขึ้นมาอีก

“ขอโทษที่ฉันทำแบบนั้น ฉันพูดได้แค่ว่าที่ทำอยู่นี่ฉันไม่ได้คิดจะรับผิดชอบเพียงแค่เพราะเราเคยนอนด้วยกัน ฉันอาจเห็นแก่ตัวอย่างที่นายว่าจริง ๆ นั่นแหละ ที่...อยากจะรั้งตัวนายไว้ด้วยการรับผิดชอบ...”

อะไรบางอย่าง ที่บังอาจมาสัมผัสหัวใจผมเข้าอย่างจัง...

“จริงอยู่ ว่าฉันอาจทำเพื่อให้ตัวเองรู้สึกผิดน้อยลง แต่ยิ่งกว่าสิ่งนั้น คือฉันแคร์นาย...”

“…” ผมไม่ได้ตอบโต้อะไรออกไป บอกตรง ๆ ว่าสมองไม่สั่งงานเท่าไหร่นัก เพราะกำลังประมวลคำพูดก่อนหน้านี้ของมัน เพื่อแปลสารให้ตัวเองเข้าใจอยู่

“ฉันสัญญาว่าจะดีกับนายให้มาก…ไม่ว่านายจะยอมรับมันหรือไม่ ฉันก็จะไม่เปลี่ยนแน่นอน”

และเพราะตอนนี้ผมยังไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่มันพยายามจะสื่อ ผมเลยตัดใจที่จะเปิดประเด็นกับมันในเรื่องนี้ต่อ

“หึหึ…เอาเวลาไปดูแลแฟนคนสวยของตัวเองดีกว่ามั้ย”

ผมจึงเลือกตัดบทด้วยคำประชดประชันเพียงสั้น ๆ แล้วออกเดินไปจากจุดนั้น

“พึ่ง…เคยบอกแล้วไงว่าเกลกับฉันไม่ได้เป็นแบบนั้น ฉันกับเขาแค่...”

“เออ ๆ ผมไม่อยากฟังแล้ว เลิกงี่เง่า แล้วไปกันแล้ว เสียเวลา ไหนว่ารถติดไง?”

มันกำลังจะอธิบาย ผมจึงรีบตัดบท ไม่หยุดฟัง เพราะคำพูดของมันอาจกวนใจผมให้ยุ่งเหยิงอีก...

เหอะ! ไม่เกี่ยวกัน แต่ดิ้นรนจะปล้นสมบัติตระกูลเอาไปประเคนให้ ไม่ใช่แฟน ก็เมียแล้วล่ะ! ฮึ่ย! ว่าจะไม่คิดแล้วเชียว!!

ผมอุตส่าห์เปลี่ยนเรื่องคุยแล้วนะ

“ต่อให้นายจะดื้อยังไง ฉันก็ไม่เปลี่ยนใจหรอกนะ”

แต่มันก็ยังอุตส่าห์จะตื๊อ

“เฮ้อ…ตามใจคุณเถอะ เพราะผมเองก็ยังต้องทำตามสัญญาให้ดีที่สุดเหมือนกัน”

ผมไม่หันกลับไปมองมันอีก แต่เพราะรู้ว่ามันกำลังเดินตามหลังมาต้อยๆ ผมจึงอธิบายเหตุผลอันสมควร ในส่วนของผมบ้าง

“เอาเป็นว่า ตราบเท่าที่ยังอยู่ในพันธสัญญา คุณจะทำอะไรก็เรื่องของคุณแล้วกัน...เพราะทันทีที่มันสิ้นสุดลง เราก็คงไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันอีก”

“พึ่ง...” มันพยายามจะรั้งผมไว้ แต่ผมไม่เปิดโอกาสอีก

“อยากดูแลผมก็เอาให้เต็มที่เลยครับ เอาที่สบายใจเลย ผมล่วงหน้าไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวจะสาย”



++++++++++++++++

ไอ้พึ่งเล่นตัวเก่ง พี่พอลต้องพยายามอีกนิดนะ น้องเป็นคนความจำดี เจ็บแล้วจำเก่งมาก 555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า


21 คุณหญิงย่า [PART 2]



...ครั่นครื้น ดั่งเพลง สวรรค์

วิมานคนธรรพ์หลั่นฟ้ามาใกล้

เทพบุตรนางฟ้าไทย โอบกอดกันพลิ้วไป

พลิ้วไปพร้อมกับเสียงเพลง

สุขคร้านผ่านฟลอร์เฟื่องฟ้า

ร้อนแรงลีลาที่ล้าและเร่ง

ปลื้มดื่มด่ำตามเสียงเพลง

สนุกกันครื้นเครง

เพราะรสปะเลงปลุกใจ




เสียงเพลงสุนทราภรณ์บรรเลงครื้นเครงประกอบปาร์ตี้สุดหรู งานวันเกิดท่านหญิงย่า สุภาพสตรีที่มีอำนาจที่สุดในตระกูล เทวินทร์วงศ์ ในปัจจุบัน แน่นอนว่ายิ่งใหญ่อลังการจนผมยังต้องอึ้ง งานวันเกิดของคนแก่อายุ 70 ปีที่มีคนร่วมงานเกือบพันนี่ เล่นเอาผมหายใจหายคอไม่ทั่วท้องเอาเสียเลย...

โดยเฉพาะตอนนี้ ที่กำลังโดนบรรดาสาวใหญ่รุ่นดึกดำบรรพ์ เพื่อนร่วมรุ่นท่านหญิงย่ารุมทึ้งซ้ายทึ้งขวาอยู่

"ต๊าย หน้าตาน่าเอ็นดู สมแล้วที่เป็นลูกหลานหมื่นพิทักษ์" คุณหญิงอะไรสักอย่างที่นั่งอยู่บนโซฟาด้านขวาของผมเอ่ยขึ้น ก่อนเอื้อมมือมาหยิกแก้มย้วย ๆ ของผมเบา ๆ ราวกับมันเขี้ยวมานาน

"ใช่ ๆ ฉันยังจำได้เลยนะ ตอนยังเด็กเคยเห็นท่านพจนันท์อยู่บ่อย ๆ เลย ถึงจะอายุเยอะ แต่ก็เป็นคนที่รูปงามมากเลยล่ะ หน้าตาดีกันทั้งตระกูลเลย"

"นั่นสิ นี่ถ้าท่านไม่โดนโกงนะ ป่านนี้คงยิ่งใหญ่ไม่แพ้เทวินทร์วงศ์แน่ ๆ"

เสียงสั่นพร่าตามวัย แข่งกันทักทายโอภาปราศรัยไม่ขาดระยะ เล่นเอาผมที่เป็นฝ่ายถูกกระหน่ำถึงกับหน้าเป็นตะคริว (เพราะต้องยิ้มคอนทินิวจนหุบไม่ได้) หลังจากงานเริ่มตอนหกโมงเย็น อวยพร เป่าเค้ก มอบของขวัญ จากนั้นก็เหมือนงานรื่นเริงทั่วไป คือการทานอาหาร ฟังเพลงคลอเบา ๆ แล้วเม้าท์กันในวงญาติที่ห่างหายกันไปนาน

เช่นเดียวกับท่านหญิงย่า ที่จูงมือกับเหล่าเพื่อสาวคนสนิทสี่ห้านาง มานั่งคุยถึงเรื่องวันวานยังหวานอยู่ ประจวบเหมาะกับที่เวลานั้นไอ้ยักษ์ดันพาผมเข้ามามอบของขวัญวันเกิดให้ท่านหญิงย่าอย่างถูกจังหวะ เราทั้งคู่จึงหมดโอกาสปลีกตัวออกจากพื้นที่ส่วนตัวของเหล่าสาวๆ ตั้งแต่วินาทีนั้น

“น่ายินดีจังเลยนะแพรพรรณราย น่ายินดีจริง ๆ ที่ตามหาหนูพึ่งมาจนเจอได้ สมเจตนารมณ์ของคุณท่านภาสกรท่านเลยว่าให้เกี่ยวดองกับทางหมื่นพิทักษ์เท่านั้น” เสียงแหลมสั่นของท่านผู้หญิงวนิดา ยิ่งสูงขึ้นเมื่อเอ่ยถึงเจ้าคุณเทียดของเทวินทร์วงศ์ ถึงอย่างนั้นก็ยังก็ยังไม่ยอมละมือจากแก้มย้วย ๆ ของผม

นึกโกรธไอ้ยักษ์ขึ้นมาครามครัน แหมมันพามาถูกที่ถูกเวลาจริงเชียว รับขวัญหลานสะใภ้กันเพลิดเพลินเลยทีเดียว

“ใช่แล้วล่ะ กว่าจะหากันได้เสียเวลาไปก็นานโข แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้วล่ะ ที่ได้ตัวมาเป็นสะใภ้ของตระกูลในที่สุด เพียงเท่านี้ ดิฉันก็ตายตาหลับ สามารถไปพบท่านเจ้าคุณปู่ภาสกรได้แล้ว” ท่านหญิงย่าเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่แสดงความปีติแจ่มชัด...

ถึงตรงนี้ หัวใจของผมก็เจ็บแปลบ

ผม...กำลังหลอกลวงท่านหญิงย่าอยู่

หลอกลวงให้ท่านยินดีปรีดา หยิบยื่นความชื่นมื่นจอมปลอมให้กับท่านหญิงย่าอย่างหน้าด้าน ๆ เพียงเพื่อเงิน

ยิ่งเห็นท่านหญิงย่ายิ้มแย้มเปรมปรีดิ์ ใจผมก็ยิ่งปวดร้าว คำขอโทษที่จุกคาอยู่ตรงอกขยายใหญ่ขึ้นทุกวัน ทุกวัน ความเมตตาที่ท่านหญิงย่ามอบให้ผมมันช่างยิ่งใหญ่ มากมายจนเกินบ่าเล็กๆ ของโจรกระจอกอย่างผมจะแบกรับเอาไว้ได้ไหว

“ขอบใจนะพึ่ง ที่หนูช่วยทำให้ความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ของย่าสัมฤทธิผล ขอบใจนะที่ยอมเข้ามาเป็นสะใภ้ของเทวินทร์วงศ์”

น้ำตาผมไหล ทันทีที่ฝ่ามืออ่อนนิ่มอวบอูมของท่านหญิงย่าจรดลงข้างแก้มซ้าย คำขอบใจและคำปลอบโยนที่ตามมาหลังจากนั้นทำเอาผมไม่สามารถกลั้นก้อนสะอื้นได้ ผมรู้สึกผิดจริง ๆ รู้สึกผิดจนไม่อาจปิดบังเอาไว้ แต่ภายนอกคงเห็นเป็นเพียงหญิงสาวอ่อนไหวง่าย ที่ปลาบปลื้มไปกับท่านหญิงย่าเท่านั้น

ผมไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง จะเปิดเผยความจริงก็ไม่ได้

แต่จะยิ้ม ก็ยิ้มไม่ออก

หมับ...

ในขณะที่ผมกำลังสับสน คนข้างตัวคงต้องการช่วยปลอบ โดยการเอื้อมมือมาตบหลังผมเบา ๆ ขณะที่ยังนั่งเคียงกัน สภาพนั้นเรียกเสียงหัวร่อต่อกระซิกของเหล่าท่านผู้หญิงรอบกาย ที่เห็นว่าเราทั้งคู่ช่างน่าเอ็นดู

'มันไม่ใช่ความผิดของนายหรอก'

คือเสียงกระซิบแผ่ว ๆ ข้างกกหู ที่ทำให้ผมกลืนก้อนสะอื้นลงกระเพาะได้สำเร็จ

'ฉันจะรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดเอง'

และอีกคำก่อนที่มันจะผละออกไป คำที่ทำให้ผมหันไปจ้องหน้านิ่ง ๆ ของมันชัด ๆ เป็นครั้งแรกของวัน หน้านิ่ง ๆ ของไอ้พอล...

“ขอบใจมากนะสำหรับของขวัญวันเกิด ย่าชอบมากเลย” แต่ก็แค่เพียงครู่ เพราะถูกท่านหญิงย่าเรียกสติกันไว้ด้วยสีหน้าระรื่นเสียก่อน พร้อมกับอะไรบางอย่างที่ท่านกำลังจะมอบให้เราทั้งคู่

“ย่าเองก็มีของขวัญแต่งงานจะให้หลานด้วยนะ”



+

+

+



งานวันเกิดของท่านผู้หญิงแพรพรรณราย เป็นงานเลี้ยงใหญ่ประจำปีของตระกูลเทวินทร์วงศ์ ที่นอกจากจะรวมเหล่าเครือญาติร่วมแสดงความยินดีแล้ว ยังมีเหล่าบุคคลสำคัญตบเท้าเข้าร่วมงานนี้อย่างคับคั่ง เนื่องด้วยตระกูลเทวินทร์วงศ์คือตระกูลที่มีชื่อเสียงกระฉ่อนทั่วในเรื่องสินทรัพย์บารมี ธุรกิจและการเมือง

ดังนั้น จึงไม่แปลกเลยที่ทุกการเคลื่อนไหวของคนในตระกูลหลัก จะถูกจับตามองในทุกการเคลื่อนไหว อย่างเช่นตอนที่หลานชายคนโตของตระกูลอย่าง ภาคี เทวินทร์วงศ์ ประกาศตามหาเจ้าสาวที่มาจากตระกูลคู่ขวัญที่เคยหายสาบสูญอย่างหมื่นพิทักษ์ จนได้พบและครองคู่รักกันมาได้หลายเดือนจนตอนนี้ เอาเข้าจริงกระแสของทั้งสองหนุ่มสาวยังคงอวลอายอยู่ในสังคมหลายระดับ โดยเฉพาะสื่อมวลชน ที่พยายามเกาะติดชีวประวัติของเจ้าสาวคนงามที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น โชคร้ายของเหล่านักข่าว ที่บารมีของเทวินทร์วงศ์ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะแหย่จมูกเข้ามาได้ง่าย ๆ ดังนั้นเรื่องประวัติความเป็นมาของหลานสะใภ้คนงามที่ทางเทวินทร์วงศ์ไม่ปรารถนาจะให้ใครล่วงรู้ จึงไม่มีใครสามารถถือดีเข้ามาข้องแวะ ในท้ายที่สุดแล้ว กระจิบ กระจอกข่าวเหล่านั้นจึงต้องล่าถอยกันไปเอง ตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอด

ซึ่งนั่น ถือเป็นโชคดีของ พจน ไม่น้อยเลยทีเดียว

แต่แม้ในเวลาปกติจะห้ามวุ่นวาย ก็ใช่ว่าในเวลาพิเศษจะไม่สามารถทำข่าวได้ โดยเฉพาะช่วงเวลาพิเศษ ๆ อย่างงานเลี้ยงวันเกิดของท่านผู้หญิงแพรพรรณราย นายหญิงใหญ่แห่งตระกูลเทวินทร์วงศ์ ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่ทุกความเคลื่อนไหวของทุกคนในบ้านจะถูกจับตามองอย่างละเอียดลออ

โดยเฉพาะตอนนี้ ที่แทบทั้งงาน พุ่งความสนใจมายังจุด ๆ เดียว

นั่นคือ ภาส เทวินทร์วงศ์ ที่กำลังควงคู่อยู่กับชายหนุ่มปริศนาดวงหน้าหวานหยด

"ทำไมยืนนิ่งอย่างนั้นล่ะ อาหารไม่ถูกปากเหรอ นี่ผมให้เชฟฝีมือดีที่สุดทำให้เลยนะ" เสียงทุ้มทรงเสน่ห์ตามวัยที่เอ่ยถามระยะใกล้ ทำให้พจน์ผินหน้าไปมองเล็กน้อย ก่อนจะก้มหลบสายตา พลางส่ายหน้าน้อย ๆ

"อ๋อ คือ...ผมแค่ตื่นเต้นน่ะครับ ไม่เคยร่วมงานใหญ่ขนาดนี้มาก่อน เลยค่อนข้างประหม่า กลัวว่าจะทำให้เรื่องขายหน้าเอา" เสียงหวานปฏิเสธแผ่ว ใบหน้าละมุนตาฉายแววกังวลจนสองข้างแก้มขึ้นสีแดงระเรื่อ เพราะรู้สึกเคอะเขินกับความบ้านนอกเข้ากรุงของตน

เห็นแบบนั้นภาสก็ลอบยิ้มให้คนข้างกาย พลางเอื้อมมือแกร่งเข้าโอบรอบเอวผอมบางไว้เบา ๆ แทนการปลอบประโลมใจให้ได้คลายความประหม่า "อย่ากังวลไปเลย คุณไม่ทำอะไรน่าอายหรอก ทำตัวตามสบายเถอะครับ ยิ้มหน่อยสิ เราไปหาอะไรรองท้องกันทางนั้นดีกว่า" จากนั้นก็ชี้ชวนทานอาหารละลานตาที่อยู่เบื้องหน้า เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจให้คลายกังวล หยิบโน่นนิด นี่หน่อย ค่อยบรรจงป้อนใส่ปากเล็ก ๆ ของเพื่อนใหม่ตัวเล็กไม่ขาด โดยไม่สนใจเลยว่าจะเป็นเป้าสายตาของคนในงานขนาดไหน

โดยเฉพาะ

ในสายตาลูกชายคนเล็กอย่าง 'พิง'

"หน็อย...ไอ้ลุงคิดไม่ซื่อนั่น ปล่อยมือออกจากเอวพ่อพจน์เดี๋ยวนี้เลยนะ!!" พิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ลำพัง ขณะกำลังด้อมมอง ซุ่มอยู่ไม่ไกลจากพ่อของตนนัก

ในสายตาของพึ่งและพิงที่ทั้งรักและหวงพ่อพจน์ของตนราวไข่ในหินนั้น ภาส เทวินทร์วงศ์ คือศัตรูทางธรรมชาติ หากเปรียบพจน์เป็นดอกไม้ดอกงามแล้วล่ะก็ ภาสก็คือตัวเพลี้ยดี ๆ นี่เอง เจ้าเพลี้ยตัวร้ายที่หมายจะดูดกินน้ำหวานของดอกตูมจนตาย เพราะฉะนั้นจึงเป็นหน้าที่ของลูกชายหน่วยพิทักษ์พันธุ์ไม้งามอย่างพวกเขาที่ต้องปกป้องพ่อพจน์ด้วยชีวิตที่มี

ก่อนหน้านี้ก็มีพี่พึ่งคอยมาช่วยสกัดล่ะนะ แต่เพราะวันนี้พี่พึ่งของไอ้พิงมีภาระหน้าที่ต้องไปโชว์ตัว ในฐานะหลานสะใภ้ (กำมะลอ) ดังนั้น ณ สมรภูมินี้จึงเหลือเพียงพิงที่ต้องรักษาการแทน โดยยึดอำนาจการตัดสินใจแบบเบ็ดเสร็จ และตอนนี้ พิงก็กำลังใช้อำนาจนั้น ในการตัดสินใจกระทำการบางอย่าง

เขาต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อแยกคุณลุง (เพลี้ย) ภาส ออกจากพ่อพจน์คนงามของตน

แล้ว...จะทำอะไรดีล่ะ?

จะทำยังไง ให้แยกสองคนนั้นออกจากกันอย่างเนียน ๆ ได้...

จะทำยังไงดีนะ? ทำยังไงดี...

"เฮ้ย! มานั่งซุ่มเป็นโจรกระจอกอะไรแถวนี้วะ? คิดจะปล้นบ้านกูรึไง?"

น้ำเสียงระคายหู ที่ดังอยู่ในระยะเผาขน ทำเอาพิงต้องหันขวับกลับไปจ้องมองเจ้าของเสียงกวนโอ๊ย ที่ยืนประชิดอยู่ด้านหลังทันที พลางส่งสายตาพยาบาทพร้อมเข่นเขี้ยวขัดใจ ที่โดนคนที่ไม่อยากเจอที่สุดเข้ามาวุ่นวายในตอนที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม!

...ไอ้เชี่ยเพิร์ท คู่เวรคู่กรรมของไอ้พิง!!

“กูก็เห็นใจมึงอยู่หรอกนะ ที่คงไม่ชินกับงานใหญ่ ๆ แบบนี้ แต่ขอเถอะ อย่าทำตัวบ้านนอกให้มันมากนัก ขืนใครรู้เข้าว่ากูกับมึงเกี่ยวดองกัน กูอายเขา” คำพูดเหยียดหยัน ค่อนขอด ที่เพิร์ทกระทำต่อพิงนั้นช่างเป็นเรื่องปกติที่พิงไม่คิดจะเอามาใส่ใจให้รกสมอง แม้แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้เข้าหูสักเท่าไหร่ พิงเลยไม่คิดต่อปากคำแล้วหันไปหาทางช่วยเหลือพ่อพจน์อันเป็นที่รักของตนต่อ

แต่มันคงไม่ราบรื่นนัก เมื่อฝ่ายที่ถลาเข้ามาทักไม่ยักจะยอมถอย

“ผีเจาะปากมารึไงวะ น่ารำคาญชะมัด” อันนี้พิงไม่ได้ตั้งใจด่าว่าออกไปแบบเจาะจง เพียงแค่ต้องการบ่นเพื่อระบายความขุ่นข้องรำคาญใจเท่านั้น แต่มันก็ไม่ได้เบาจนเพิร์ทไม่ได้ยิน นั่นยิ่งจุดประเด็นเดือด ให้ไอ้เด็กหนุ่มตัวโตได้ออกแรงข่มขู่คู่อาฆาตเพิ่มขึ้นอีกระดับ

หมับ!!

โดยการกระชากตัวของคนตัวเล็กกว่าให้ได้ลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากันตรง ๆ แน่นอนว่าเพิร์ทรู้ซึ้งถึงฝีไม้ลายมือของพิงดีว่าอีกฝ่ายมีศิลปะป้องกันตัวระดับที่เหนือกว่าตนอยู่ แต่ในเมื่อตัวเพิร์ทเองก็ไปซุ่มร่ำเรียนพากเพียรฝึกซ้อมมาไม่ต่างกัน ดังนั้นจึงมั่นใจมาก บอกเลยว่าอย่างน้อย ๆ ก็ไม่โดนจับทุ่มได้ง่าย ๆ เหมือนอย่างแต่ก่อนแน่

ด้วยความทะนงในความเก่งกล้าสามารถของตน ทันทีที่ดึงร่างผอมบางของพิงขึ้นมาเสมอตนได้ เพิร์ทก็แผ่รังสีข่มขวัญเป็นไจแอนท์ขู่โนบิตะออกมา

“เฮ้อ...ขอร้องล่ะ มึงเลิกยุ่งกับกูเสียทีได้ไหม? กูกำลังทำงานสำคัญอยู่” แต่แน่นอนว่าความอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมานั้น ไม่ได้ทำให้พิงรู้สึกหวาดประหวั่นได้เลยสักนิด กลับยิ่งทำให้รู้สึกรำคาญเสียมากกว่า เลยอดไม่ได้ที่จะแขวะกลับไปอย่างใจเย็น “ว่างมาก ก็ไปหาอะไรกิน หรือไม่ก็ไปกินนมนอนไป จะได้ไม่เกะกะคนอื่นเขา”

“หน็อย...ไอ้ระยำนี่...!!”

“เฮ้ย!!”

พอถูกตอกหน้ากลับมาด้วยวาจาเชือดเฉือน เพิร์ทก็อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป ชายหนุ่มอารมณ์เดือดพุ่งปรี๊ด สมองกำลังประมวลหาวิธีตอบโต้ให้ถึงพริกถึงขิง ทว่ายังไม่ทันจะได้ทำอะไร คนที่ยังถูกตนกักตัวไว้ ก็ร้องโพล่งขึ้นมาเสียก่อน

“หน็อย! ไอ้ตาลุงฉวยโอกาส!!”

"ฮะ!?"

ทั้งยังไม่ทันจะได้ตั้งสติ ก็ถูกคนตัวเล็กกว่าลากพรืด ๆ ให้ตามไปในทิศทางที่ตนยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ตั้งใจมาหาเรื่อง แล้วก็ได้เรื่องจริง ๆ

“เดี๋ยวๆๆๆ!! จะพากูไปไหน!? กูเจ้าของบ้านนะ! จะเอากูไปฆ่าหมกห้องน้ำหลังบ้านไม่ได้นะเว้ย!!” เพิร์ทแหกปาก เพราะเริ่มหวาดหวั่นกับปฏิกิริยาของพิงที่ทั้งใบหน้าแดงก่ำเพราะเดือดจัด ทั้งพละกำลังมหาศาลที่ลากคนตัวยักษ์อย่างเพิร์ทให้เดินตามต้อย ๆ เป็นลูกหมา พลังที่แฝงเร้นในร่างเล็ก ๆ นั่นมันน่าสะพรึงเกินไปแล้ว

“หุบปากแล้วแหกตาดูซะ ไอ้เปรตนี่!!” และในขณะที่กำลังจะดิ้นรนหนีเงื้อมมือยมราช เพิร์ทก็ถูกเจ้าของความน่ากลัวนั้นคว้าคอเข้าให้ก่อน พร้อมชี้ชวนให้ดูอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจกว่าที่จะจินตนาการถึง!

ภาพของภาสพ่อของตน กับพจน์พ่อของพิง...

กำลัง...เปลื้องผ้ากันอยู่ในห้องน้ำชั้นล่าง!!?

“พ่อมึงจะแดกพ่อกูอยู่แล้ว! ยังมัวมาหาเรื่องกูอยู่ได้ รีบหาทางแยกสองคนนั้นออกจากกันเดี๋ยวนี้เลย!!”

"เอ๋!!?"





“เป็นยังไงบ้างครับ แสบมากหรือเปล่า? ดูสิ แดงไปหมดเลย”

เสียงทุ้มเอ่ยถามเป็นระยะ ขณะมือแกร่งข้างหนึ่งยังคงสาละวนฉีดน้ำเบา ๆ ลงบนแผ่นอกขาวผ่อง ส่วนอีกข้างก็กำลังปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวให้แบะออกช้า ๆ

“ดีขึ้นแล้วครับ ผมนี่มันซุ่มซ่ามจริง ๆ เลย” เสียงหวานตอบกลับด้วยท่าทีเคอะเขินกับความไม่ระมัดระวังของตน ถือกาแฟร้อนแก้วเขื่องเอาไว้ในมือแท้ ๆ ยังเดินไปชนนู่นชนนี่จนกาแฟหก เคราะห์ดีที่น้ำกาแฟร้อน ๆ นั่นราดลวกลงบนอกของตน หากไปโดนคนอื่นเข้าล่ะก็ คงไม่รู้จะเอาปัญญาที่ไหนไปรับผิดชอบ (เศรษฐีทั้งนั้น) ไพล่นึกไปแล้วก็เจ็บใจตัวเองขึ้นมาว่าไม่น่าเกิดอยากดื่มกาแฟร้อนขึ้นมาเลย ยังดีว่ามีคุณภาสยืนเคียงอยู่ใกล้ ทันทีที่ถูกกาแฟเจ้ากรรมหกรด ก็ถูกอุ้มพามาห้องน้ำโดยไว ก่อนจะทันได้รู้สึกแสบร้อนเสียอีก

“อย่าโทษตัวเองเลยครับ โทษความสะเพร่าของผมดีกว่า ที่ดูแลคุณได้ไม่ดีพอ” ภาสเอ่ยขัด ก่อนจะยกความผิดมาเป็นของตนทั้งหมด ร่างสูงใหญ่สบประสานสายตากับเจ้าของดวงตากลมเศร้า ก่อนจะค่อยๆ หลุบลงมองต่ำ อย่างรู้สึกสงสารกับผิวขาวผาดที่เพิ่งขึ้นรอยแดงจางๆ แม้กาแฟร้อนจะไม่ได้ลวกผิวโดยตรง แต่กว่าจะได้ทันถอดเสื้อที่อุ้มความร้อนเอาไว้ออกได้นั้น ผิวเนื้ออ่อนก็ถูกไอร้อนแผดเผาไปพอสมควร

แต่ขณะที่ภาสกำลังลุ้นอยู่ในใจว่าจะเกิดอาการพุพองหรือไม่อยู่นั้น สายตาก็บังเอิญเหลือบไปพบกับอะไรบางอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่ใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวบางที่ยิ่งแนบเนื้อเพราะเปียกชุ่มไปด้วยน้ำเย็น...

ยอดปทุมสีชมพูอ่อน เมื่อโดนน้ำเย็นจัดก็หดเกร็งตั้งเต่งจนนูนผ่านเนื้อผ้าเปียกชื้น เพราะกระดุมเสื้อโดนปลดไปจนหมด รอยแยกที่แบะออกจากกัน จึงไปปิดบังเอาไว้หมิ่นเหม่ ข้างหนึ่งชูชันอยู่ใต้ผ้าบาง ส่วนอีกข้าง...ปานเนื้อสีอ่อนเผยออกมาให้ได้เห็นรำไร

เพียงเท่านี้ สายตาของภาสก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไป จากความห่วงใย เป็นอะไรบางอย่างที่ร้อนแรงกว่านั้น รุ่มร้อนขนาดที่ทำให้คนถูกมองอย่างพจน์ถึงกับหัวใจเต้นผิดจังหวะไปกับสายตาที่ราวกับแซ่สวาทฟาดฟัดไปทั่วร่าง แค่เป็นชายฉกรรจ์วัย 45 ที่อวลอายไปด้วยเสน่ห์เหลือร้ายของชายที่โตเต็มวัยหนุ่มใหญ่ก็ว่าแย่แล้ว คนคนนี้ยังเป็นถึงภาส เทวินทร์วงศ์ หนุ่มหล่อพ่อหม้ายลูกติด ที่มีเสน่ห์และเป็นที่นิยมในหมู่สาวน้อยสาวใหญ่ไฮโซมากที่สุดอันดับต้น ๆ ของประเทศอีกด้วย จึงไม่แปลกเลยที่แค่เพียงสายตาของฝ่ายนั้นก็มีพลังทำลายล้างขนาดทำให้พจน์แทบหลอมละลายทั้งที่เป็นผู้ชายด้วยกัน

“ไม่หรอกครับ...อือ...อยะ...อย่าจ้องแบบนั้นสิครับ ผมอายนะ” สายตาที่ว่าร้าย ยังไม่เท่าใบหน้าที่เคลื่อนเข้าใกล้จนลมหายใจร้อนผ่าวรินรดแผ่นอกบาง เห็นว่าช่างอันตรายแก่หัวใจที่รัวแรงในทรวงอกเล็ก พจน์จึงร้องปรามออกไป พร้อมถอยห่างออกจากร่างสูงใหญ่ของผู้ให้ความช่วยเหลือ ทว่าน้ำเสียงสั่นเครือเช่นนั้น คงไม่สามารถหยุดยั้งภาสให้สงบลงได้

กลับยิ่งยวนเย้าให้ยิ่งอยากร้ายกว่าเก่าเท่านั้น

“ขอโทษนะครับ ผมก็แค่อยากดูให้ชัด ๆ ว่ามีแผลตรงไหนหรือเปล่า แต่ผมแก่แล้ว สายตาเลยฝ้าฟาง ถ้าอยากเห็นชัด ๆ เลยต้องมองให้ใกล้หน่อยเท่านั้นเอง” ภาสอธิบายพร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์ พลางกระชับแขนขวาเข้าโอบเอวบางของพจน์ไว้ไม่ให้ถอยห่างจากตัวให้มากนัก ออกแรงเพียงนิดก็สามารถดึงคนตัวจ้อยเข้ามาอยู่ในวงแขนได้อย่างง่ายดาย

“ต...แต่ผมอาย” แม้จะคล้อยตามที่ภาสว่า แต่พจน์ก็ยังรู้สึกเคอะเขินไปกับสภาพที่เป็นอยู่ ตัวเล็กจึงพยายามเบี่ยงกายหลบลี้ ซึ่งแน่นอนว่าภาสเองก็ไม่ยอมปล่อยง่าย ๆ

“นิดเดียวเองครับ หลับตาเสียก็ได้” ภาสพยายามกล่อม “เมื่อไม่เห็น ก็ไม่ต้องอาย แค่แป๊บเดียวผมสัญญา” กล่อมจนกระทั่งพจน์ยอมโอนอ่อน

เมื่อเห็นแล้วว่าคนในอ้อมแขนหลับตาพริ้ม ยินยอมให้ทำการสำรวจตรวจตรา มือข้างที่ว่างจึงไม่รอช้าที่จะแหวกสาบเสื้อเชิ้ตตัวบาง สิ่งกีดขวางสุดท้ายให้พ้นจากจุดที่ภาสต้องการตรวจเช็ก

หัวนมสีอ่อน แข็งขึ้นเป็นไตชูช่อ ทั้งที่ไม่มีเต้ากลมหรือหนั่นเนินเหมือนของผู้หญิง แต่กลับเป็นหน้าอกแบน ๆ ที่ส่งเสน่ห์ยั่วยวนออกมาไม่ขาด ไม่สิ...หน้าอกที่คล้ายจะแบน มันยังมีเนินเนื้อในแบบผู้ชายนูนเด่นอยู่บ้าง ทว่าแบบนั้นยิ่งอันตราย เพราะการที่มีหัวนมชมพูประดับอยู่บนยอด ยิ่งขับงำทำให้จินตนาการเตลิดเปิดเปิง

หยาดน้ำที่ยังคงเกาะพราวอยู่บนแผ่นอกน้อย ค่อย ๆ ไหลรวมเป็นหยดกลม กลิ้งไล้ไปมาอยู่บนผิวเนียนเรียบ หยดหนึ่งไหลผ่านยอดอกอ่อนไหว แต่แทนที่มันจะผ่านไป ดันค้างเติ่งอยู่บนนั้น

เนิ่นนาน จนคนที่จ้องมองไม่วางตาอยากจะแลบเลียด้วยปลายลิ้น...

ภาสถึงกับสะดุ้งในใจเบา ๆ ราวกับถูกอะไรสักอย่างฟาดเข้าที่ท้ายทอยจนร้อนวาบ ใจเต้นแรงไปกับความคิดไม่บังควรของตนที่เกิดขึ้นมาในชั่วแล่น มันไม่ใช่แค่อยากช่วยเลียหยดน้ำ แต่มันมากกว่านั้น...ถึงขั้นอยากลองดูดกัด ภาสถึงกับต้องรีบเรียกสติตัวเอง สมองประมวลผลทันทีว่าเพราะอะไร ทำไม เขาถึงมีอาการเช่นนี้ขึ้นมาได้ หรือเพราะสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าช่างท้าทายสายตา ถึงขั้นที่เรียกได้ว่า แค่ได้เห็นสัญชาตญาณนักล่าที่สงบนิ่งมานานปีก็ดูราวจะตื่นตัวขึ้น

ตั้งแต่ภรรยาจากไปในวัยหนุ่ม ในช่วงปีแรก ๆ แม้ภาสจะไม่ยอมแตะต้องผู้หญิงที่ไหนเลยก็ตาม แต่ระยะหลังมาก็อาจมีฉาบฉวยเข้ามาบ้าง แต่ก็เพียงส่วนน้อย เพราะโดยส่วนตัวเขาไม่ใช่คนมักมากในเรื่องกามารมณ์ ทั้งยังยุ่งอยู่กับการบริหารธุรกิจในมืออีกนับสิบ จึงแทบไม่ค่อยมีเวลาว่างพอจะหาเศษหาเลย แค่ได้พักบ้างก็เรียกได้ว่าแทบไม่เหลือเวลา

แต่นั่นก็คงไม่ใช่เหตุผลที่หนุ่มใหญ่วัย 45 จะมาตื่นเต้นเพียงแค่เห็นยอดอกของผู้ชายวัยเดียวกันจริงหรือไม่?

แล้วทำไม ตอนนี้หัวใจที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานาน ผ่านประสบการณ์มาไม่น้อยของเขาถึงได้เต้นไม่เป็นจังหวะ ราวกับเด็กวัยรุ่นวัยคะนองอย่างนี้เล่า ถึงตรงนี้ ภาสถึงกับต้องลอบกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ กับคำถามที่ถูกตั้งขึ้นในหัวใจ แย่แล้ว...เขากำลังจะหน้ามืด

ไม่ใช่หน้ามืด ในความหมายว่าจะเป็นลมล้มพับเพราะความดันขึ้นหรอกนะ

แต่หน้ามืด เพราะรู้สึกอยากจับผู้ชายด้วยกัน ‘กด’ เป็นครั้งแรกนี่แหละ!!

“พจน์ครับ...เราขึ้นห้องกันเถอะ”



++++++++++++++++++

คิดว่าพ่อพจน์จะรอดไหมคะ คึคึคึ


ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า


21 คุณหญิงย่า [PART 3]

“อื้อ!!”

“งื้อ!! อู้ววววว!!!!”

ในระหว่างที่ภาสจูงมือของพจน์ให้ตามขึ้นห้องไปด้วยกัน ขณะนั้นมีอีกสองสิ่งมีชีวิตที่กำลังเฝ้ามองอยู่ในที่ที่ไม่ไกลกันนัก แต่ก็ไม่เชิงว่าจะเป็นการซุ่มมองเพียงอย่างเดียว เพราะตอนนี้พิงกำลังดิ้นอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อจะให้หลุดออกจากวงแขนแข็งแรงของเพิร์ทที่ล็อกตัวเขาไว้จากด้านหลัง ทั้งยังปิดปากเอาไว้อย่างแน่นหนาอีกด้วย จนเห็นว่าภาสพาพจน์เข้าห้องไปแล้วนั่นแหละ เพิร์ทถึงได้ยอมปล่อย

“ไอ้เชี่ย! ปล่อยกูเดี๋ยวนี้นะ กูจะไปช่วยพ่อกู!!” เมื่อปากเป็นอิสระได้ พิงก็ผรุสวาทใส่เพิร์ททันที กะว่าถ้าหลุดออกจากเพิร์ทได้จะเตะให้หลับก่อนตามไปช่วยพ่อตน

“ใจเย็นก่อนดิเฮ้ย มึงจะสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปจับพ่อกูทุ่มไม่ได้นะ กูไม่ยอมหรอก!”

“แล้วมึงไม่เห็นหรือไง ว่าพ่อมึงกำลังลวนลามพ่อกูอยู่น่ะ!!”

“อ...เออ! แต่มึงเข้าใจผิดหรือเปล่าวะ พ่อกูเป็นผู้ชายนะเว้ย แล้วพ่อมึงก็ผู้ชาย...ถึงนุ่มนิ่ม เอ๊ย! ผู้ชายด้วยกันมันเป็นไปไม่ได้หรอก มึงอ่ะคิดมาก!”

“เห็นขนาดนั้น ยังกล้าว่ากูคิดมากอีกเรอะ!?”

“ก็มันอาจเป็นแค่สกินชิฟของลูกผู้ชายด้วยกันก็ได้มั้ง กูกับเพื่อน ๆ ก็ถึงเนื้อถึงตัวกันแบบนี้ทั้งนั้น”

“แล้วมึงเคยจ้องหัวนมเพื่อนมึงในระยะประชิด ด้วยสายตาหื่นแบบพ่อมึงไหมล่ะ!?”

“หยุดว่าพ่อกูซะที! ตราบใดที่มึงยังหาหลักฐานมายันไม่ได้ มึงไม่มีสิทธิ์!!”

“คาตาขนาดนี้ ยังจะเถียงนะมึง!”

“เอ้า! พ่อมึงมึงยังปกป้อง พ่อกูกูก็ต้องปกป้อง จริงป่ะล่ะ!”

“เออ! งั้นไปพิสูจน์กันเลย! ที่ห้องพ่อมึงตอนนี้!!”

การโต้เถียงด้วยเสียงกระซิบกระซาบเป็นไปอย่างออกรส หากมองจากข้างนอกเข้าไป จะเห็นเป็นสองเงาตะคุ่มนั่งซุ่มหลบอยู่ตรงเงามืด

หลังตกลงกันได้เสร็จสรรพแล้วนั่นแหละ ถึงยอมโผล่แพลมสู่แสงสว่าง ส่องซ้ายแลขวาว่าปลอดคน แล้วย่องดอดตามไปพิสูจน์ข้อครหาที่พิงได้ปรามาสวาดความใส่ร้ายลุงภาสว่าช่างโหดหื่น หมายขืนใจพ่อพจน์ของตนให้ต้องมลทิน

ในรั้วแห่งเทวินทร์วงศ์นี้ มีอยู่ 2 คฤหาสน์ใหญ่ หนึ่งคือคฤหาสน์จันทน์หอม ที่เป็นคฤหาสน์หลักที่พำนักของท่านผู้หญิงแพรพรรณราย ผู้หญิงที่มีอำนาจที่สุดในตระกูลเทวินทร์วงศ์นี้ ส่วนอีกหลังที่สร้างใหม่ขึ้นมาไว้ตรงหน้าคฤหาสน์หลังเก่าคือ คฤหาสน์เทวินทร์วงศ์ หรือก็คือคฤหาสน์ของภาส ผู้เป็นบุตรชาย และเนื่องจากวันนี้คืองานวันฉลองวันเกิดของท่านผู้หญิงแพรพรรณราย ปาร์ตี้จึงจัดที่สวนหน้าคฤหาสน์จันทน์หอมที่มีเนื้อที่เหลือเฟือที่จะรองรับแขกจำนวนมาก ขนาดที่ว่าคฤหาสน์เทวินทร์วงศ์ของภาสไม่จำเป็นต้องเปิดรับรองแขกเพิ่มเติมเลย

นั่นจึงทำให้ภายในคฤหาสน์เทวินทร์วงศ์เงียบสงัดไร้ร้างซึ่งผู้คน เว้นแต่ตอนนี้ ที่มีมนุษย์ในบ้านแล้วสี่คน นั่นคือภาสที่อุตส่าห์ลากพจน์มาดูแลไกลถึงบ้านตน และเพิร์ทกับพิงที่วิ่งตามมาสอดส่องป้องกันเรื่องอันไม่สมควรที่อาจเกิดขึ้น หากยังปล่อยให้สองหนุ่มรุ่นใหญ่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันเพียงสองต่อสอง...

อะไรจะอันตรายกว่าวัยรุ่นหนุ่มสาวได้ขนาดนี้นะ!?

“กูไม่เข้าใจเลยว่าพ่อมึงจะพาพ่อกูถ่อมาถึงนี่เพื่ออะไร ถ้าไม่ได้คิดอกุศล” พิงเปรยบ่น ขณะย่องขึ้นบันได ตามก้นเพิร์ทไปติด ๆ

“หุบปากแล้วตามมาเงียบ ๆ เหอะมึง” เพิร์ทหันมาเอ็ดใส่พิงเบา ๆ พร้อมกำชับเสียงแข็ง “จำไว้เลยนะ ถ้าพิสูจน์แล้วพ่อกูบริสุทธิ์ใจ กูจะทวงความเป็นธรรมให้พ่อกูจากมึงให้สาหัสเลยทีเดียว!”

“เหอะ! กูเอาหัวเป็นประกัน!” กระนั้นพิงเองก็ไม่ได้ลดละทิฐิ

สองหนุ่มกระซิบเถียงกันไปมาจนถึงหน้าห้องของภาสในที่สุด แน่นอนว่าห้องใหญ่ของผู้เป็นเจ้าบ้านย่อมเป็นห้องเก็บเสียง และนั่นคือภาระอันใหญ่ยิ่งที่พิงและเพิร์ทต้องฝ่าฟัน หากยังต้องการสืบหาความจริง ในความสัมพันธ์อันคลุมเครือของบรรดาพ่อ ๆ ของตน

ว่าแล้วก็แนบหูชิดประตูบานเขื่อง...

อ๊ะ...คุณภาส...ตรงนั้นอย่าครับ

อย่าเกร็งสิครับพจน์

โอ๊ย...เจ็บจังครับ

ผ่อนคลายนะครับ ไม่เกร็งนะ

อยะ...อย่างนี้เหรอครับ

ดีมากครับ ขยับสะโพกหน่อยครับ อย่างนั้นแหละ

โอ๊ย คุณภาส ได้โปรดครับ ผมเจ็บจริง ๆ

อดทนอีกนิดนะครับ แรก ๆ อาจเจ็บหน่อย เดี๋ยวก็ดีเอง

เพราะแนบหูฟังและตั้งสมาธิอย่างเอาเป็นเอาตาย ทำให้เพิร์ทและพิงสามารถจับใจความ ความเคลื่อนไหวในห้องได้บ้าง

และมันก็เป็นความเคลื่อนไหว ที่น่าหวั่นใจไม่น้อยเลยทีเดียว

เสียงพูดคุยตอบโต้ในห้องนั้น แค่ได้ฟัง ทั้งพิงและเพิร์ทถึงกับต้องหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก อะไรคือเจ็บ อะไรคือไม่ให้เกร็ง อะไรคือให้ขยับสะโพก แล้วอะไรคือเดี๋ยวจะดีเอง!?

สองหนุ่มน้อยพยักหน้าให้กันโดยไม่ต้องนัดหมาย สองใจตรงกันเป็นครั้งแรก ไม่ว่าในห้องนั้นจะทำอะไรกันอยู่ พิงกับเพิร์ทตัดสินใจแล้วว่า มันคือการกระทำที่ควรได้รับการขัดขวางอย่างสุดกำลัง!

ว่าแล้วก็ตัดสินใจเคาะประตูกันอย่างบ้าคลั่ง พลางตะโกนเรียกนามบิดาของตนกันอลหม่าน

“พ่อ! อย่าเพิ่งหน้ามืดนะพ่อ!!”

“พ่อยังปลอดภัยอยู่ไหม!?”

ปึง ปึง ปึง ปึง ปึง!! (ระดมเคาะกันจนมือแทบแตก)

แกร๊ก... และในที่สุดประตูบานเขื่องก็เปิดต้อนรับเหล่าเด็กหนุ่มผู้กำลังสับสนในหนทางชีวิต ทั้งพิงและเพิร์ทที่กำลังพยายามอ้อนวอนต่อพระพุทธเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก ว่าขอให้คนที่มาเปิดประตูให้นั้นยังคงสวมเครื่องแต่งกายเต็มยศ ขอให้สิ่งที่ได้ยินเป็นเพียงเรื่องที่จินตนาการอันเลิศล้ำของพวกตนแค่มโนเป็นตุเป็นตะไปเอง ขอให้มันเป็นเพียงแค่ความ...เข้าใจ...ผิ..ด...

“ว่าไงเด็ก ๆ ทำไมเอะอะมะเทิ่งกันนักล่ะลูก?” ภาสเป็นผู้เดินมาเปิดประตู และนั่นทำให้ทั้งพิงและเพิร์ทถึงกับตัวแข็งทื่อไปเพราะความสะอึกอึ้ง...

พ่อภาสของเพิร์ทที่เป็นผู้เปิดประตูนั้น อยู่ในสภาพเปลือยท่อนบน กางเกงสเลคเองก็ถูกรูดซิปเปิดไว้หมิ่นเหม่ แม้หน้าตาจะยังคงเรียบเฉย แต่น้ำเสียงที่ติดจะสั่นพร่าเล็ก ๆ ตอนตั้งคำถามกับพวกตนนั้น ก็ทำเอาความคิดของเพิร์ทพลันเตลิดเปิดเปิง และยิ่งพอส่งสายตาผ่านวงแขนบิดา ลอดมองไปถึงอีกบุคคลที่นอนคุดคู้อยู่บนเตียงกว้างของบิดา ด้วยสภาพที่มีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวปิดกาย ใบหน้าแดงระเรื่อ ซ้ำดวงตากลมโตนั่นก็ชื้นฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำตา...

ถึงตรงนี้...เพิร์ทก็ถึงกับเข่าอ่อน

แต่ก่อนที่สติสุดท้ายของเพิร์ทจะขาดช่วงไป สิ่งเดียวที่แว่วเข้าในห้วงความคิดคือ...

คุณแม่ครับ ไม่ต้องห่วงพวกเราแล้วนะ...เราจะมีแม่ใหม่กันแล้ว



+

+

+



“ก็พอพ่อทำกาแฟหกราดตัวแล้วคุณภาสก็พาพ่อไปปฐมพยาบาลกับน้ำเย็นในห้องน้ำ พอเริ่มดีขึ้นหน่อยคุณภาสก็พาพ่อมาเปลี่ยนเสื้อผ้ากัน เพราะชุดเราทั้งคู่เปียกไปหมด” เสียงหวานของพ่อพจน์อธิบายเจื้อยแจ้ว สีหน้าท่าทีปกติ ไร้ท่าทีเคอะเขินหรือพิรุธอื่นใด

แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้พิงปักใจเชื่อ ในเมื่อภาพที่เขาเห็น เสียงที่เขาได้ยิน มันฟ้องชัดเสียขนาดนั้น “แล้วทำไมพ่อถึงไปนอนอยู่บนเตียงในสภาพโป๊แบบนั้นด้วยล่ะ?” พิงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง มากถึงมากที่สุด

“พอดีพ่อดันล้มตอนออกจากห้องน้ำจนขาแพลง คุณภาสเลยช่วยนวดให้ มันเจ็บมากเลยนะ พ่อเผลอร้องไม่หยุดเป็นเด็กเลย...อายจัง” เล่ามาถึงตอนที่น่าอาย พจน์ก็ก้มหน้าเขินหน่อย ๆ แก้มใสขึ้นริ้วแดงระเรื่อ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของตนเวลาเขินจัด ๆ จริง ๆ และคงเพราะตอนนี้มีกันเพียงสองคนพ่อลูก เพราะภาสหอบเพิร์ทที่ลมจับล้มพับไปปฐมพยาบาลอยู่ พจน์เลยสามารถเผยตัวตนต่อหน้าลูกชายคนเล็กได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องมาคอยเก๊กเหมือนอย่างตอนที่มีคนอื่นอยู่ด้วย

“ตกลงไม่ได้มีอะไรกันจริง ๆ ใช่ไหม? พ่ออ่ะ พิงเป็นห่วงจะแย่แล้วเนี่ย เมื่อกี้ตอนที่เห็นสภาพนั้นนะ พิงเกือบกระโดดต่อยหน้าไอ้ตาลุงนั่นไปแล้ว” พิงบ่นอุบ ก่อนจะสวมกอดพ่อของตนด้วยความห่วงใย และแสนหวงแหน

“คุณภาสเขาไม่ทำอะไรพ่อหรอก อย่ากังวลนักเลย” พจน์เองก็กอดตอบลูกชายด้วยความรักและเอ็นดู พลางอธิบายให้ลูกชายได้ฟังด้วยว่าแท้จริงแล้วระหว่างตนกับภาส ก็ไม่ได้น่าเป็นห่วงเท่าไหร่

“พ่อไว้ใจตาลุงนั่นเกินไปแล้วนะ” แต่ถึงยังไงพิงก็ยังคงไม่เห็นด้วย เพราะยังคงจำติดตรึงในมโนสำนึกว่าสายตาที่อีกฝ่ายใช้จับจ้องพ่อของตนนั้น ราวกับหมาป่าจ้องล่าลูกแกะน้อยขนาดไหน

“เชื่อเถอะพิง...ถ้าเขาจะทำอะไรพ่อจริง ๆ คงทำไปตั้งนานแล้วล่ะ”



++++++++++++++++++++




ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า


กว่าที่ท่านหญิงย่าจะยอมปล่อยตัวภาคีและพจนออกมา เวลาก็ปาไปจนเกือบงานเลิก

“ไงพอล โดนท่านหญิงย่าเอ็นดูซะเพลินเลยนะ”

ทันทีที่ออกมาด้านนอกได้ ชีตาร์ก็ตะโกนแซวออกไปแบบตรงจุด และก็โดนภาคีตบกะโหลกเรียกสัมมาคารวะไปไม่เบานัก “มึงลามปามท่านย่ากูอีกที โดนกูเหยียบแน่” นั่นแหละเจ้าตัวเล็กถึงได้ยอมสงบปากสงบคำไป

งานสำคัญระดับงานวันเกิดของท่านหญิงย่าของเพื่อนรักทั้งที แน่นอนว่าทั้งบอมพ์ คริสต์ ชีตาร์ และฝ้าย ย่อมมาร่วมงานกันอย่างพร้อมเพรียง หลังร่วมอวยพรวันพร้อมมอบของขวัญแล้ว ทั้งสี่ก็นั่งรอเพื่อนรักที่ต้องเข้าไปพูดคุยกับท่านหญิงอยู่ภายในงานปาร์ตี้ กระทั่งภาคีเดินออกมาตอนเกือบจะสี่ทุ่ม

“แล้วเจ้าสาวมึงหายไปไหนซะแล้วล่ะ นึกว่าจะได้ทักทายเสียหน่อย” บอมพ์ถามขึ้นเมื่อเห็นว่าข้างกายเพื่อนร่างโล่งสนิท รอยยิ้มบาง ๆ ที่ปรากฏบนใบหน้านั้นแฝงแววเย้าแหย่อยู่ในที

“เออ นั่นดิ ไม่ได้เจอน้องน้ำผึ้งคนสวยตั้งนาน อุตส่าห์อยู่รอเจอเลยนะเนี่ย” คริสต์เสริมต่อ โดยมีชีตาร์พยักหน้ายิก ๆ อยู่ข้าง ๆ

“เขารีบไปดูพ่อเขาน่ะ เห็นว่าหกล้มขาเจ็บ” ภาคีตอบเสียงเรียบ

“อ้าว? แล้วมึงไม่ตามไปดูแลพ่อตามึงหน่อยเหรอวะ? ทำตัวเป็นลูกเขยที่ดีหน่อยสิ” ชีตาร์ว่าขึ้นทันที โดยมีคริสต์นั่งพยักหน้ายิก ๆ อยู่ข้าง ๆ

“เออ ก็กำลังจะไปอยู่นี่แหละ กูเลยมาบอกพวกมึงไว้ก่อนว่ากลับกันไปได้เลย เดี๋ยวกูคงต้องออกไปส่งทางนั้นเขาเลย คงไม่ได้มาคุยกับพวกมึงแล้ว” ภาคีอธิบายยาวเหยียด กะจะเอ่ยคำล่ำลาก็พอดีกับที่ฝ้ายลุกขึ้นเสียก่อน

“ขอไปห้องน้ำเดี๋ยวนะ พวกมึงกลับไปก่อนได้เลย” ฝ้ายทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น ก่อนเดินออกจากกลุ่มไป

ไม่มีใครสนใจในทิศทางที่ฝ้ายเดินจากไปนัก ยกเว้นเจ้าบ้านอย่างภาคี ที่มองตามแผ่นหลังนั้นไป ด้วยสายตาที่ไม่ใคร่พอใจนัก “งั้นกูไปก่อนนะ ขอบใจที่อุตส่าห์มาร่วมงานกัน” ภาคีเอ่ยลาเพื่อน ๆ ก่อนเดินจากออกมาบ้าง ในทิศทางที่แตกต่างออกไปจากฝ้ายเล็กน้อย

ทางลัด…

“จมูกไวจังนะ รู้ได้ยังไงว่าเมียกูอยู่ทางนี้”

ภาคีโผล่มาดักเจอได้แบบฉิวเฉียดตรงทางแยกระหว่างคฤหาสน์สองหลังพอดี แน่นอนฝ้ายย่อมรู้ว่าเจ้าบ้านจะต้องมาดักเจอ ชายหนุ่มยิ้มรับเพื่อนรัก ทั้งยังไม่มีข้อแก้ตัว เพราะจริงดังที่ภาคีว่า เขากำลังจะไปหา ‘พึ่ง’ ภรรยาที่ถูกต้องของเพื่อนสนิทจริง

“ก็แค่อยากแวะไปทักทายสักหน่อยเท่านั้นเอง” ฝ้ายตอบออกไปด้วยท่าทีที่ไม่ได้ยี่หระอะไรมากนัก “ไม่ยักนึกว่ามึงจะหวงถึงขนาดต้องรีบมาดักคอ” ถ้อยคำที่กล่าวออกไปจึงติดอาการกวนอารมณ์คนฟังเล็ก ๆ

“ทั้งที่รู้ว่าพึ่งเป็นผู้ชาย มึงก็ยังจะ…” เพราะถูกกวนประสาท ภาคีจึงเผลอคว้าไหล่ฝ้ายอย่างแรง พร้อมเอ่ยถามด้วยความฉุนเฉียว

“ก็ทั้ง ๆ ที่พึ่งเป็นผู้ชาย มึงก็ยังจะหวงงั้นเหรอ? น่าแปลกเนอะ” แต่เหมือนจะยิ่งทำให้ฝ้ายรู้สึกชอบใจกับปฏิกิริยาของเพื่อนตน “กับสาวคนก่อน ๆ หรือแม้กระทั่งเกล มึงไม่ยักจะพยายามตัดไฟแต่ต้นลมแบบนี้เลยนะ”

สองสายตาสบประสาน หนึ่งออกอาการฉุนโกรธ ส่วนอีกคนกลับรู้สึกขบขันในที

“เฮ้อ…เลิกล้อเล่นเสียทีฝ้าย เรื่องนี้กูไม่ตลกด้วยหรอกนะ” เห็นแบบนั้นภาคีก็ได้แต่ถอนหายใจ และพยายามดับความกรุ่นเกรี้ยวของตนลง อย่างน้อยก็เป็นเพื่อนรักกันมาเนิ่นนาน ภาคีย่อมรู้ดีว่าเพื่อนคนนี้ชอบยั่วยุอารมณ์คนอื่นแค่ไหน

“ใจเย็นเพื่อน ในเมื่อพึ่งเป็นผู้ชาย จะให้กูคิดอะไรกับน้องเขานอกจากการเป็นพี่ชายที่แสนดีกันวะ หึหึ” และก็เป็นดังที่คิด พอเขาเย็นลง ฝ้ายก็จะยอมเลิกกวนประสาทให้เช่นกัน ภาคีพยักหน้ารับทุกคำที่ฝ้ายพูด และยอมให้เพื่อนตบไหล่เบา ๆ เพื่อปลอบใจ แต่แค่เพียงครู่ก็ปัดออกเพราะยังมีเรื่องต้องตกลงกันนิดหน่อยระหว่างกัน

“เออ แต่มึงก็ควรไว้หน้ากูหน่อยไหม?” คราวนี้ไม่มีอารมณ์ร่วมในถ้อยคำเหล่านั้น จะมีก็แต่ความเป็นเหตุเป็นผล “เพราะนอกจากมึงแล้วพึ่งก็คือผู้หญิงและเป็นเมียของกูในสายตาของคนอื่น เขาจะคิดไม่ดีเอาได้ถ้าเห็นมึงมาก้อร่อก้อติก” และมันก็สามารถทำให้ฝ้ายพยักหน้าเห็นด้วยได้โดยง่าย

“จ้า…จะระวังนะ” แต่คำตอบที่ให้ได้ ก็ยังสมกับตัวตนของฝ้ายเช่นเดิม นั่นทำให้พอลได้แต่ถอนหายใจ แล้วโบกมือลาฝ้ายตรงนั้น เป็นอันรู้กันว่าในคืนนี้ฝ้ายหมดโอกาสที่จะได้เจ๊าะแจ๊ะกับพึ่งเป็นที่แน่นอนแล้ว

ลับแผ่นหลังภาคีไป ฝ้ายก็ได้แต่นึกขำ “ร้ายนี่หว่าพึ่ง ทำให้ไอ้พอลออกอาการหวงเป็นเด็ก ๆ ได้นี่ไม่เบาเลยแฮะ หึหึ”

“เรื่องเมื่อกี้หมายความว่ายังไง?”

ระหว่างกำลังเพลิดเพลินกับเรื่องน่าพึงใจที่ได้สัมผัส เสียงหนึ่งก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน และฝ้ายก็สามารถเดาได้โดยไม่ต้องหันไปมอง ว่าเจ้าของเสียงคือใคร

“หมายความว่าไงที่ว่าเมียของไอ้พอลเป็นผู้ชาย!?” โดยไม่รอคำตอบแรก ผู้สงสัยก็ตั้งคำถามต่อไปแบบคาดคั้น ตั้งใจว่าต้องได้ความจริง

‘น่ารำคาญ’ ฝ้ายได้แต่คิด ก่อนจะเปรยออกมา ขณะเดินย้อนสวนหนีจากคนที่รอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อออกมา “โดนตัวยุ่ง รู้เข้าซะแล้ว”

“ไอ้ฝ้าย!” แน่นอนว่าย่อมโดนคว้าตัวเอาไว้ทันที แบบไม่มีความเกรงอกเกรงใจ “ตอบคำถามกูมา!” คำถามคาดคั้นหนัก มือที่คว้าแขนเขาเอาไว้ก็กระชับแน่น ไม่ยอมปล่อยให้หนีไปไหนง่าย ๆ

ฝ้ายหลุบสายตาลงมองคนที่จ้องรอคำตอบนิ่ง ริมฝีปากหยักลึก กระตุกยิ้มเล็กน้อย เมื่อคิดขึ้นได้ว่าแบบนี้ก็น่าสนุกดีเหมือนกัน

“นี่…บอมพ์” ร่างกำยำหันหน้าเผชิญเพื่อนรักอีกคน ส่งยิ้มให้ราวกับกำลังคุยเรื่องสนุกขำขัน เบี่ยงแขนออกจากมืออีกฝ่ายได้อย่างง่ายดายเพราะพละกำลังทางกายที่เหนือกว่า เมื่อได้รับอิสระแล้วก็ตบบ่าเพื่อนเบา ๆ แล้วมอบถ้อยคำที่ทำให้คนรอถึงกับเส้นความอดทนขาดสะบั้น “กูว่า…กูไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะพูดเรื่องนี้กับใครต่อใครนะ ถ้าอยากรู้มึงก็ไปถามเอากับไอ้พอลเองก็แล้วกัน”

ตบท้ายด้วยคำว่า ‘ไปก่อนนะ’ แล้วทิ้งบอมพ์ที่ยืนขบกรามด้วยความหงุดหงิดไว้ตรงนั้น แต่ก่อนที่จะจากไปฝ้ายกลับนึกสนุกที่จะฝากถ้อยคำให้เพื่อนได้หัวเสียหนักขึ้นไปอีกเอาไว้ด้วย

“นี่…ถ้าพึ่งเป็นผู้ชายจริง ๆ แล้วมึงจะทำอะไรเหรอบอมพ์? อยากแทนที่รึไง…หึหึ”

ไม่มีคำตอบในคำถามที่ฝ้ายส่งมา และแน่นอนว่าฝ้ายเองก็ไม่ได้จริงจังที่จะอยู่ฟัง ชายหนุ่มเพียงแค่ยิ้มแล้วเดินจากไป ไม่สนแม้แต่นิดว่าหลังจากนั้นบอมพ์จะมีสีหน้าอย่างไร

งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ในที่สุดเวลาประมาณสี่ทุ่ม ความครึกครื้นของงานปาร์ตี้วันเกิดท่านผู้หญิงแพรพรรณรายก็สิ้นสุดลง แขกเหรื่อต่างทยอยกันกลับทางใครทางมัน แม้แต่เหล่าบรรดาญาติสนิทมิตรสหายก็เริ่มสลายตัวกันไปตามทาง

เช่นเดียวกับสามหนุ่มหมื่นพิทักษ์ที่ต้องกลับเช่นกัน แม้จะถูกเจ้าบ้านอย่างภาสอ้อนวอนให้ค้างคืนอยู่ด้วยแค่ไหน แต่ข้ออ้างที่ว่าพิงมีการบ้านต้องทำ ก็สามารถพาตัวพ่อพจน์คนดีหนีเงื้อมมือพ่อภาสออกมาได้อย่างฉิวเฉียด โชคดีของพิงเป็นที่สุดที่ภาสติดเคลียร์งานไม่สามารถตามไปค้างที่บ้านหมื่นพิทักษ์ได้อย่างที่แล้ว ๆ มา ไม่อย่างนั้นคืนนี้คงเป็นภาระหนักให้พิงต้องอดตาหลับขับตานอนกลายเป็นหมาเฝ้ายามอย่างที่เคยเป็น (ทุกครั้งที่ภาสไปค้างด้วย)

“ไม่ต้องห่วงนะครับพ่อ เดี๋ยวผมไปส่งคุณพ่อพจน์กับน้องพิงที่บ้านเองครับ” ภาคีเอ่ยเมื่อเห็นว่าภาสพ่อตนค่อนข้างกังวลกับสภาพของพจน์ที่ยังคงเดินกะโผลกกะเผลก แท้จริงโดยปกติแล้ววันนี้ภาสคงรับหน้าที่ไปส่งพจน์เองหรือไม่ก็ไปนอนค้างด้วยเป็นแน่ หากไม่ติดว่าต้องเคลียร์งานสำคัญที่คามืออยู่ ใบหน้าหม่นหมองเหมือนเด็กโดนแย่งของเล่นของภาสนั้น ทำเอาภาคีถึงกับถอนหายใจเหนื่อยหน่าย

‘ติดใจพ่อพจน์สุด ๆ เลยสินะคุณพ่อ’

“อืม ฝากด้วยแล้วกันนะตาพอล” ภาสยอมแต่โดยดี ก่อนช่วยพยุงพจน์เข้าไปนั่งรอในรถ โดยมีพิงและพึ่งตามเข้าประกบติด

“บอกเพิร์ทด้วยนะครับว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมมาเยี่ยม” ภาคีทิ้งท้ายไว้เพียงแค่นั้น ก่อนเข้าประจำที่นั่งคนขับ แปลกใจเล็ก ๆ ที่จู่ ๆ น้องชายก็นอนจับไข้ ทั้งที่ตอนหัวค่ำยังเห็นออกจะแข็งแรงสมบูรณ์ ชำเลืองมองไปทางด้านหลัง เห็นว่าผู้โดยสารทั้งสามพร้อมแล้ว สารถีอย่างเขาก็ออกรถ

ไม่นานนักจากคฤหาสน์ใหญ่เทวินทร์วงศ์ ในที่สุดก็มาถึงบ้านหมื่นพิทักษ์ ทั้งที่อยู่ใกล้กันแค่ปลายจมูก แต่กลับไม่เคยรู้จักกัน เนิ่นนานตั้งแต่หลังเจ้าคุณเทียดสิ้น บ้านหมื่นพิทักษ์เล็กกว่าเทวินทร์วงศ์หลายเท่า แต่ก็ถือว่าเป็นบ้านที่โอ่โถง โดยเฉพาะเมื่อถูกจัดการบูรณะซ่อมแซมใหม่ ก็กลายเป็นบ้านร่วมสมัยที่สวยงามไม่แพ้คฤหาสน์เทวินทร์วงศ์

“คืนนี้ผมคงค้างที่นี่เลย ขอบคุณที่มาส่ง” พจนเอ่ยคำขอบคุณแกมคำไล่กลาย ๆ ทันทีที่ลงจากรถ และส่งพ่อพจน์ของตนเข้าบ้านได้ โดยไม่คิดจะเชิญสารถีคนสำคัญดื่มน้ำดื่มท่าก่อนเลยสักนิด

ภาคีเข้าใจดีว่าพจนคงอยากอยู่ดูแลบิดาที่บาดเจ็บอยู่ ตนจึงไม่ได้ห้ามอะไร แม้จะอยากพากลับไปด้วยแค่ไหนก็เถอะ

…อยากพากลับ ภาคีไม่ค่อยแน่ใจตัวเองนักว่ากำลังรู้สึกยังไงกับพจนอยู่กันแน่ ทั้งที่ถ้าอีกฝ่ายจะอยู่ที่บ้านไปเลยไม่ต้องไปวุ่นวายกับตนย่อมเป็นเรื่องน่ายินดีเสียกว่าการกระเตงไปกระเตงมาไม่ใช่หรือ แล้วทำไมใจเขาถึงรู้สึกโหวงนัก เมื่ออีกฝ่ายทำเป็นไม่ไยดี

ตอนแรกก็แค่อยากแสดงความรับผิดชอบในฐานะลูกผู้ชาย ที่ดันใจร้อนวู่วามจนเผลอกระทำย่ามใจร้ายแรงต่อศักดิ์ศรีลูกผู้ชายของพจนลงไป แต่พอนานเข้าความรู้สึกมันดันเปลี่ยนไปเป็นอีกอย่างที่ไม่ใช่แค่รู้สึกรับผิดชอบ…

ภาคีบอกไม่ถูกว่าความรู้สึกนั้นมันคืออะไร แค่อยากให้พจนเห็นความดีของตนบ้าง รับรู้ถึงความห่วงใยบ้าง หัดอ้อนเขาบ้าง…ถ้าแค่พจนยิ้มให้สักครั้ง อยากได้อะไรภาคีคงยอมเทหมดหน้าตัก…มันเป็นความรู้สึกที่อันตราย ความรู้สึกที่ภาคีพยายามหลบเลี่ยงและปฏิเสธ แต่ดันมีคนนอกเข้ามาวุ่นวายดันมีฝ้ายเข้ามาวอแวกับพจนเสียได้ ผู้ชายด้วยกันคงไม่เป็นอะไร มันไม่มีทางเป็นอะไรอยู่แล้วและเขาคงคิดเช่นนั้นถ้าหากเขาเองจะไม่เผลอหน้ามืดปล้ำพจนลงไป และนั่นคือคำตอบที่ว่าต่อให้ผู้ชายด้วยกันก็อันตราย ซึ่งพิสูจน์แล้วด้วยตัวของเขาเอง

เพราะอย่างนั้นเลยยิ่งหวงพจนเข้าไปใหญ่…

ตอนแรกก็แค่ห่วง ไม่รู้เหมือนกันว่าเปลี่ยนเป็นหวงตอนไหน เถียงกับตัวเองเป็นร้อยครั้งว่าผู้ชายด้วยกันมันไม่มีวันเป็นไปได้ แต่ก็เถียงไม่ออก เพราะดันลงมือทำก่อนคิดไปเสียแล้ว จากนี้ไปความตั้งใจที่จะทำต่อคืออะไร แน่นอนว่าไม่ใช่แค่การรับผิดชอบเพียงผิวเผิน อาจดูเห็นแก่ตัวไปหน่อย แต่ภาคีต้องการมากกว่านั้น

และสิ่งที่ท่านหญิงย่ามอบให้เป็นของขวัญแต่งงานนี้ ก็โคตรจะเป็นใบเบิกทางที่เจ๋งสุด ๆ สำหรับภาคีเลยก็ว่าได้

ทั้งสำหรับความสับสนของตัวเขาเอง และการเริ่มต้นความสัมพันธ์ดี ๆ อีกครั้งกับพจน

‘ทริปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์สองต่อสองที่ดินแดนอาทิตย์อุทัย’



“กลับไปเสียทีสิ ผมจะได้ปิดประตู”

เหม่อนานไปหน่อยจนโดนเจ้าบ้านออกปากไล่ นี่ใจคอไม่คิดเชิญเข้าบ้านตามมารยาทเลยสินะ ภาคีก็ได้แต่นึกน้อยใจก่อนจะยอมถอยแต่โดยดี “พรุ่งนี้สาย ๆ ฉันมารับไปทำพาสปอร์ตนะ” ทิ้งท้ายด้วยการทำนัดสำคัญ ซึ่งพจนก็พยักหน้ารับแทนคำตอบ

แต่ใบหน้าเหนื่อยหน่ายแบบนั้นมันไม่เข้าท่าเอาเสียเลยสำหรับภาคี

“นี่…ญาติดีกับฉันหน่อยไม่ได้หรือไง? ทำไมถึงเย็นชานัก?” ถามจบแม้แต่ตัวเองยังตกใจ เพราะแท้จริงภาคีไม่ได้ตั้งใจจะทะลุกลางปล้อง หรือถามตรง ๆ ดื้อ ๆ แบบนี้ ยิ่งเห็นหน้าขมวดคิ้วมุ่นของพจน ภาคียิ่งรู้สึกพลาด

“ไม่เห็นจำเป็นนี่ เราก็ไม่ได้ญาติดีกันมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” และคำตอบที่ได้มันก็เป็นอย่างที่คาดจนใจท้อ เพราะจริงทุกคำตามที่พจนว่ามา แต่เพราะมันจริงนี่แหละเขาถึงได้พยายามจะเปลี่ยนแปลง

“แล้วเราจะเริ่มต้นกันใหม่ไม่ได้รึไง? เริ่มจากเป็นเพื่อน เป็นพี่เป็นน้อง…” ดังนั้น ภาคีจึงลองเสี่ยงดวงอีกครั้ง

“เพื่ออะไร?” แม้จะรู้อยู่แล้วแต่แรกก็ตามว่ามันไม่เป็นผล

ไม่เป็นไร เวลาตั้งสามปี ถึงเขาจะเป็นคนใจร้อน แต่ก็ตั้งใจว่าจะพยายาม

ทว่า…วันนี้เขายังไม่พร้อมจะรุก “ไว้บอกวันหลังแล้วกัน ราตรีสวัสดิ์นะ” จึงขอทิ้งปริศนาเอาไว้ตรงหน้าบ้านหมื่นพิทักษ์ดื้อ ๆ แบบนี้ก่อน กุศโลบายทางการค้าเล็ก ๆ ที่ทำให้ลูกค้าเกิดความกระหายใคร่รู้

“อ้าว เฮ้ย?” จบคำลาภาคีก็หายตัวเข้าไปในรถคันหรูของตน แล้วขับออกไปโดยไม่สนใจว่าพจนจะยังมีคำถามสงสัยอะไรหรือเปล่า เหลือบมองกระจกมองหลัง เห็นพจนยืนเกาะรั้วด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยคำถาม แค่นั้นภาคีก็ยิ้มได้ อย่างน้อย ๆ ฝ่ายนั้นก็ยังให้ความสนใจเขาอยู่บ้าง เป็นอันว่าการโฆษณาของเขาได้ผล

ก็จะให้บอกได้ยังไงล่ะว่าอยากให้ยิ้มให้ อยากถูกอ้อน อยากถูกเอาแต่ใจ อยากถูกงอนแบบน่ารัก ๆ ขืนพูดออกไปมีหวังไม่ต้องมองหน้ากันไปทั้งชีวิตแหง ผู้ชายที่ไหนกันอยากถูกผู้ชายอีกคนคิดแบบนั้นด้วย เป็นเขาเองก็ขนลุกไม่น้อยเถอะ เพราะงั้นจึงไม่กล้าพูดความจริงออกไปในตอนนี้ ทำไมถึงอยากถูกพจนอ้อนอย่างนั้นเหรอ? เปล่านะ เขาไม่ได้ชอบให้ผู้ชายมาอ้อนเสียหน่อย ถึงจะเคยโดนบอมพ์อ้อนบ้าง แต่มันก็คล้ายกับตอนโดนเพิร์ทที่เป็นน้องชายอ้อนขอของเล่น เขาไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไร

แต่เพราะพจนเป็นคนพิเศษ…

ใช่…ถึงจะยอมรับยากไปเสียหน่อย แต่ก็ปฏิเสธไม่ลงว่าเผลอมองว่าอีกฝ่ายพิเศษเหนือคนอื่น ๆ รอบกายไปเสียแล้ว

เทียบเท่ากับเกลไหม?

ไม่…

เพราะสองคนนี้อยู่ในคนละความหมายกัน ถึงอย่างไร ตอนนี้เกลยังคงเป็นที่หนึ่งที่เขาไม่สามารถทอดทิ้งได้ ไม่มีวันทำได้…

ซึ่งแน่นอนว่าพจน แตกต่างออกมาจากความหมายนั้น และอาจเป็นที่หนึ่งในอีกความหมายที่ภาคีกำลังรู้สึกตัวถึงจุดนี้ได้ในไม่ช้า



+++++++++++++++++++++



“อ้าวพึ่ง? ไม่ได้กลับไปกับพอลเขาเหรอลูก?” ทันทีที่เห็นหน้าผม พ่อผมก็ถามขึ้นด้วยความตกใจ เล่นเอาแอบรู้สึกน้อยใจที่พ่อไม่ให้นอนบ้านไปวูบนึงเลย

“ก็อยู่ดูพ่อไง พ่อเจ็บอยู่ จะให้พึ่งไปนอนที่อื่นได้ไงล่ะ” ผมเถียงออกไปแกน ๆ แต่ก็เป็นเหตุผลจริงที่ผมขอนอนบ้านนะ (แม้เหตุผลหลักคือไม่อยากนอนร่วมห้องกับไอ้ยักษ์นั่นก็เถอะ ยิ่งเมื่อกี้มันพูดอะไรแปลก ๆ ออกมาด้วยแล้ว ผมยิ่งรู้สึกอันตราย)

“พ่อแค่ขาแพลงเองพึ่ง เดี๋ยวก็หาย พิงเองก็อยู่ ไม่เห็นต้องลำบากพึ่งนอนเฝ้าเลย” พ่อพจน์อธิบายด้วยเหตุผล ผมก็ฟังด้วยเหตุผลแหละ แต่บังเอิญว่าผมเชื่อเหตุผลของตัวเองมากกว่า

“ก็พึ่งอยากนอนกับพ่อนี่ ทางนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย” ผมก็เถียงไปเรื่อย ขณะกำลังจัดการกับเสื้อผ้าคับติ้วจนตะเข็บแตกของตัวเอง ยังฟังพ่อบ่นอยู่แหละนะ แต่ก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ถ้าเมื่อไหร่ที่พ่อพจน์เข้าข้างคนอื่น ผมไม่ค่อยอยากรับฟังสักเท่าไหร่

“ไม่ได้นะพึ่ง อย่าทำแบบนี้อีกนะ เรารับปากเขามาแล้ว สัญญากับเขาไปแล้ว เราก็ต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดนะรู้ไหม อย่าทิ้งขว้าง…”

“พึ่งเปล่าทิ้งขว้างนะพ่อ พึ่งก็ทำตามสัญญาทุกครั้งน่ะแหละ เจอญาติมัน เอ๊ย…เจอญาติพอลเขาทีไร พึ่งก็เป็นสะใภ้ที่ดีทุกรอบไม่เคยบ่ายเบี่ยง แต่มันก็ต้องมีชีวิตส่วนตัวกันบ้างสิครับ”

“เฮ้อ…พึ่งเอ๊ย” ผมอธิบายเสียยาวเหยียดขนาดนั้น แทนที่พ่อจะฟัง ดันถอนหายใจเหนื่อยหน่ายเสียอีก เล่นเอาน้อยใจจี๊ด ๆ

“ว่าแต่พ่อเถอะ ไอ้พิงมันฟ้องมาว่าพ่อยอมให้ไอ้ลุงภาสจอมหื่นนั่นลวนลามเอาอีกแล้วใช่ไหม? ผมบอกพ่อแล้วไงให้ระวัง ตาลุงนั่นมันไว้ใจไม่ได้” พอโดนบ่นเข้าหน่อย ผมก็หาเรื่องบ่นพ่อคืนบ้าง พ่อชอบหาว่าผมทำตัวกับไอ้ยักษ์ไม่ดี แต่ผมว่าพ่อยอมไอ้ลุงนั่นมากเกินไป และเรื่องนี้เราพ่อลูกต้องคุยกัน!

“คุณภาสเขาไม่ได้ทำอะไรพ่อเสียหน่อย เจ้าพิงก็เวอร์ไป เขาแค่ช่วยดูแลพ่อที่โดนกาแฟลวกเท่านั้นเอง”

“ดูแลอะไรกัน? ถึงต้องขนาดถอดเสื้อส่องนมพ่ออ่ะ พึ่งไม่เชื่อหรอกนะว่าตาลุงนั่นบริสุทธิ์ใจ!”

“ต่อให้เขาทำมากกว่านี้ พ่อก็ยอมได้”

“พ่อ!?”

“เราติดหนี้เขาอยู่ ทั้งยังมีโทษฐานหลอกลวง แม้พอลจะรู้แล้วว่าลูกเป็นผู้ชาย แต่คุณภาสเขายังไม่รู้ กระทั่งคนอื่นก็ด้วย ดังนั้นเรายังคงติดค้างเขาอยู่ โดยเฉพาะพ่อที่พูดได้เต็มปากเลยว่ากำลังหลอกลวงคุณภาสเขา”

“แต่เรื่องนี้มันเป็นความผิดของพึ่ง…”

“จะให้พ่อผลักภาระไว้บนบ่าของลูกคนเดียวได้ยังไง พ่อเองก็ต้องรับผิดชอบ!”

“แต่พ่อ…พึ่งก็ไม่เห็นว่าพ่อจะต้องเปลืองตัวขนาดนั้น…”

“พ่อทำได้ทั้งนั้นแหละ แค่ให้ได้ชดใช้ให้คุณภาสเขา”

“…พ่อ”

“กลับห้องไปนอนได้แล้วพึ่ง พ่อง่วงแล้ว”

หลังการโต้เถียงของเราจบลง พ่อพจน์ไล่ผมออกจากห้องดื้อ ๆ โดยที่ผมไม่เหลือโอกาสจะพูดคุยอะไรต่อ เพราะพ่อเล่นปิดไฟแล้วนอนคลุมโปงหนีผมเฉย ผมไม่รู้ว่าในใจพ่อคิดอะไร แต่มันคงเป็นการรับผิดชอบในแบบผู้ใหญ่ที่ผมเองก็คาดไม่ถึง ผมไม่อยากให้พ่อต้องเสียตัวให้ตาลุงนั่น แต่วิธีไหนล่ะที่ผมจะกันตัวพ่อพจน์ออกจากตาลุงภาสได้

ทำไงดี…ผมควรทำยังไงดี

หรือเรื่องนี้ ผมอาจต้องให้ไอ้ยักษ์ช่วยเสียแล้ว

โดยการเอาตัวผมเข้าแลกแทน!



++++++++++++++



พ่อพจน์ผู้ไม่ได้ไม่รู้ทัน แต่แค่อยากชดเชยแทนลูก หุหุ อนาคตจะมีดราม่าคู่พ่อไหมนะ?

หนูพึ่งเราจะได้ไปฮันนีมูนแน้ววว เย้ๆ จะได้เที่ยวอย่างมีความสุข หรือตีกันจนจุกไปเสียก่อนกันนะ อิอิ

ขอบคุณที่ติดตามมาตลอดนะค๊า ขอบคุณทุกๆ กำลังใจที่มีให้เสมอมาค่ะ

รัก

อนาคี๙๙


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด