King Class Away: ทำยังไงไม่ให้ติดห้องคิง (18+) ตอนพิเศษ 5: 29 ตค.64 จบบริบูรณ์
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: King Class Away: ทำยังไงไม่ให้ติดห้องคิง (18+) ตอนพิเศษ 5: 29 ตค.64 จบบริบูรณ์  (อ่าน 21256 ครั้ง)

ออฟไลน์ Sorrowkung

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
King Class Away: Special 1 แข่งบาสครั้งแรก

4 เดือนต่อมา
เดือนพฤศจิกายน ต้นเทอม 2
ณ งานกีฬาสีเชื่อมสัมพันธ์ในเครือโรงเรียน เสียงเพลงเชียร์และเสียงเคาะไม้ดังเซ็งแซ่ทั้งอาคารกีฬา

“เหลืออีก 4 นาทีจะจบควอเตอร์ที่ 2 พับสนามบุกเลย ไหวมั้ยทุกคน?” พี่แจ๊คม. 6 กัปตันทีมส่งสัญญาณ
“พี่ ผมเหนื่อย ขอเปลี่ยนตัวครับ” พี่ปายรุ่นพี่ม.5 โบกมือ
“มีใครอยากเปลี่ยนตัวอีกไหม?”
“ผมยังไหวครับ” บอมพูดอย่างแข็งขัน
“ผมก็ยังไหว เครื่องกำลังร้อนเลย” สนตอบ
พี่แจ๊คส่งสัญญาณมือให้โค้ช โค้ชโบกมือเรียกตัวสำรองที่อุ่นเครื่องยืดเส้นรออยู่ข้างสนามแล้ว “ขอเปลี่ยนตัว!”
“มาแล้ว!” บอมยิ้มกว้าง
“มาละเว้ยไอ้ตัวป่วน!!”

“ทีมสีแดงเปลี่ยนตัวเบอร์ 16 นนทภัทร วงศ์ประสาน ลงสนาม!”
ตื่นเต้นชิบเป๋งเลยเว้ย! ที่ซ้อมมาตลอดครึ่งปีจะได้ใช้จริงวันนี้แหละ! ดีที่อุ่นเครื่องเยอะมากจนสั่นแค่นิด ๆ  ผมวิ่งเข้าประจำตำแหน่งทันที

“พัตลงสนามแล้ว!” ตี้ที่นั่งดูอยู่บนอัฒจันทร์สะกิดเอสที่กำลังดื่มน้ำขวด
“เออ ๆๆ ต้องรีบถ่ายละ” เอสรีบวางขวดลงแล้วคว้ามือถือขึ้นมาอย่างเร่งด่วน
ตี้มองมือถือของเพื่อนสนิท ชั่วเสี้ยววินาทีนั้นที่ภาพหน้าจอของเอสแว่บขึ้นมาก่อนจะเข้าแอพกล้องถ่ายรูป...ภาพเอสกับเขากอดคอกันริมทะเลที่มีนกบินว่อน ร่างสูงเห็นก็อมยิ้มดีใจ ...เอสก็มีใจให้เขาใช่มั้ยวะ...มีใจแน่ ๆ ไม่งั้นจะตั้งเป็นรูปหน้าจอเหรอ
"ก้มตัวลงหน่อยดิ" เอสวางมือลงบนไหล่ตี้
"ทำไมเหรอ?"
"ขอยืมเป็นขาตั้งกล้องแป๊บ มือถือจะได้นิ่ง ๆ" เอสวางมือและโทรศัพท์มือถือบนไหล่ขวาของตี้ คางเกยบนไหล่ ตัวก็นาบติดกับหลังซีกขวาของตี้
"อยู่นิ่ง ๆ นะ" คำพูดง่าย ๆ ของเพื่อนสนิทแต่มันทำยากเหลือเกินเมื่อหัวใจของร่างสูงเต้นโครมคราม เวลาเอสขยับตัวนั้นทั้งจั๊กจี้และอุ่นดี
...ค่อย ๆ ไปทีละนิด… ใกล้ชิดกันมากขึ้นทุกวัน...
...ตอนนี้เขาเป็นภาพหน้าจอในมือถือของเอสแล้ว...
...สักวันเอสต้องมีใจให้เขาแน่…

ผมเข้าสกัดฝ่ายตรงข้ามที่ครองบอลแต่โดนเขาใช้แขนผลักออก แต่แค่นั้นก็ทำให้ฝ่ายตรงข้ามชะงักแล้ว ฝ่ายโน้นชู้ตไม่ลง รุ่นพี่ได้บอลคืนมาแล้วบุกกลับทันที ผมวิ่งตามไปด้วย บอมเข้ามาตบบ่าให้กำลังใจผมแว่บหนึ่ง บอมคนที่คอยดูแลอยู่ข้าง ๆ ผมตลอดมาไม่เคยห่างไปไหนไกล คนที่ฝึกบาสให้ผมตั้งแต่วันเปิดเทอมที่เล่นไม่เป็นเลย จนผ่านคัดตัวสำรอง มาถึงวันนี้...วันที่ผมได้ลงสนามจริงแข่งพร้อมกับบอม

ในวันที่ผมทุกข์ใจเมื่อต้องเข้าห้องคิงที่แสนเกลียด เขาพาเพื่อน ๆ ทำภารกิจลับสุดยอดสร้างคลิปแฉเรื่องแย่ ๆ ของห้องคิงไปทั้งประเทศจนโรงเรียนเลิกให้การบ้านโหด ๆ และยกเลิกการลงโทษทั้งหมด เหลือแค่การสอนเนื้อหาเข้มข้นซึ่งผมก็โอเคนะไม่งั้นจะเป็นห้องคิงไปทำไมล่ะ ผมเองก็ได้เรียนเยอะ ๆ เพื่อมาสอนเพื่อน ๆ ต่ออีกที

...ผมมองไปที่อัฒจันทร์ ดิม เอส ตี้...กลุ่มของพวกเรา...เพื่อน ๆ ของผม

เกมดำเนินไปจนจบควอเตอร์ 3 ผมได้ออกมานั่งพัก และลงสนามอีกครั้งตอนใกล้จบเกมเพราะโค้ชบอกว่ายังไงคะแนนทีมเราก็เหนือกว่า ให้ผมลงไปเก็บฝึกให้ชินสนามอีกหน่อย

“พัต! ไปหลัง!” สนตะโกนเมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามที่ครองบอลถูกทีมเราเข้าสกัด ผมวิ่งพุ่งไปสุดตัว เพราะผมเป็นไอ้อ่อนที่สุดในทีมขนาดมองมาจาก 500 เมตรยังดูออก ฝ่ายตรงข้ามคงคิดว่าส่งบอลกลับแนวหลังให้คนอื่นในทีมที่อยู่ใกล้ผมน่าจะปลอดภัยสุดสินะ! ผมตบแย่งบอลได้หวุดหวิดแล้วรีบเลี้ยงต่อไปแป้นฝ่ายโน้น มือแขนแข้งขาตรูพันกันวิ่งไม่ถูกเลย! ตื่นเต้นจนหัวใจเต้นโครม ๆ แล้วว้อย! รุ่นพี่ไปถึงหน้าแป้นแล้ว! ผมส่งบอลเตี้ย ๆ ไปให้บอมที่วิ่งตามมาข้างสนาม บอมชู้ตจากนอกเขตโทษ บอลกระเด้งขอบห่วงแล้วรุ่นพี่โดดขึ้นคว้าแล้วรีบาวด์ซ้ำ เสียงนกหวีดเป่าจบเกม!!

ผมทรุดลงนั่งกับพื้นสนามในขณะที่เสียงกองเชียร์ตะโกนลั่นฟังไม่ได้ศัพท์ ทีมเราชนะแล้ว! ทั้งเหนื่อยทั้งดีใจจนอยากร้องไห้ บาสสนุกแบบนี้นี่เอง
“เจ๋งสาดอ่ะมึง! สมกับเป็นลูกศิษย์กู!” สนเข้ามาช่วยดึงผมขึ้นยืน
“พวกเราทำได้แล้ว!” บอมเข้ามากอดคอผมกับสน

โค้ชพาพวกเราจับมือกับทีมฝ่ายตรงข้าม ขอบคุณกันและบอกว่าปีหน้าเจอกันใหม่ เป็นบรรยากาศที่รู้สึกดีชะมัด ตามด้วยการขึ้นแท่นรับเหรียญรางวัล
“แท่นนิดเดียวจะขึ้นไปยืนยังไงหมดล่ะ?”
“เค้าให้กัปตันทีมยืนน่ะ ส่วนพวกเรายืนข้างล่าง” สนตอบ
“ดีใจด้วยนะ พัตเก่งขึ้นเยอะเลย” ตี้เอสดิมมาถ่ายรูปให้พวกผมด้วย
“ขอบใจนะดิม” ผมตอบ
“รถทัวร์ของทีมบาสจะออกแล้วนะ พวกเธอจะกลับไปโรงเรียนด้วยกันเลยมั้ย?” โค้ชเอ่ยถาม
“พวกผมว่าจะเดินดูโรงเรียนนี้หน่อยครับ นาน ๆ ได้มาโรงเรียนอื่นบ้าง” ดิมพูดพร้อมส่งกระเป๋าให้สนที่เปลี่ยนชุดแล้ว
“ตอนนี้บ่ายสามกว่า ผมก็ว่าจะไปดูกีฬาอื่นต่อครับ ช่วยพี่ ๆ ถ่ายรูปทำข่าวด้วย” ตี้กระชับเป้ขึ้นหลัง
“เราไปด้วยดิ” เอสหันไปพูดกับตี้
“เออดี ๆ จะไปกลับบ้านทางเดียวกัน”

“พัต” บอมโอบไหล่ผมระหว่างที่ทุกคนกำลังแยกย้าย
“หืม?”
“อาบน้ำกัน”
“ห...หา!?”
บอมไม่รอฟังคำตอบ เขาคว้าเป้ของผมกับของเขาพร้อมดึงแขนผมเข้าห้องอาบน้ำด้านหลังโรงยิม เดี๋ยวก่อนดิบอม! ตอนนี้หัวใจผมเต้นยิ่งกว่าตอนแข่งซะอีก อาบน้ำกับบอมท่ามกลางคนเยอะแยะเนี่ยนะ?

พอเข้ามาในห้องอาบน้ำของอาคารกีฬา โถงส่วนกลางมีม้านั่ง 4-5 ตัว ด้านในเป็นห้องอาบน้ำแยกเป็นห้อง ๆ เอ่อ...บอมคงหมายความว่าผมกับบอมเข้าอาบคนละห้องล่ะมั้ง ผมวางเป้ที่ม้านั่งทั้งที่ใจยังเต้นรัวคิดไปคนละอย่างกับความคิดในสมอง ผมหยิบผ้าเช็ดตัว แชมพู สบู่ เดินไปที่ห้องอาบน้ำ แต่เหมือนผมจะเข้าใจผิด (หรือตอนแรกผมเข้าใจถูกแล้ว) เมื่อบอมดึงผมเข้าห้องเดียวกับเขาแล้วปิดประตูทันที
“บ...บอม!”
หนุ่มนักบาสยักคิ้วพลางยกนิ้วแตะปากผมเบา ๆ บอมจ้องหน้าผมแล้วยิ้มมุมปาก ตรงข้ามกับผมที่รู้สึกร้อนวาบหน้าชาตัวเกร็งจนไม่รู้ว่าตอนนี้ทำหน้ายังไง เราสองคนมองกันอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไร ขัดกับข้างนอกที่มีเสียงคนและเสียงเชียร์ดังแว่วมา จะ...จะทำที่นี่จริง ๆ เหรอ!? ถึงประตูจะปิดล็อกก็เถอะแต่ด้านบนเปิดโล่งโจ้งเลยนะ

ใจผมเต้นตึกตักตอนตัวเขาเข้ามาชิด ผิวที่ชุ่มเหงื่อทั้งบอมและผมถูกัน มันอาจเป็นเพราะฮอร์โมน เพราะความต่างถิ่น หรือหน้าหล่อของบอมและเส้นผมที่ชุ่มเหงื่อของเขาทำให้ผมก็คุมตัวเองไม่ได้เหมือนกัน บอมถอดเสื้อบาสออก กล้ามอกกล้ามไหล่กล้ามท้องเปียกเหงื่อเป็นเงามันวับ โอเคตรูหยุดไม่อยู่แล้ว
“รู้มั้ยตอนพัตอยู่ในสนาม พัตตั้งใจมาก หน้าตาจริงจังสุด ๆ” เขาพาดเสื้อบาสกับขอบกำแพง
“เราอยากเล่นบาสกับพัต ลงสนามด้วยกัน อยากชนะไปด้วยกัน” เขากระซิบที่ข้างหู
“บอม...คนเยอะแยะเลยนะ”
“แต่ในห้องนี้มีแค่เราสองคน” เขาพูดด้วยเสียงกระซิบข้างหูผม “นายน่ารักมากรู้มั้ย”

คงเพราะความคึกความตื่นเต้นที่ยังค้างมาจากการแข่งที่เพิ่งจบไปหมาด ๆ ผมถึงกล้าไปกับบอมด้วย ผมถอดเสื้อออกเช่นกัน เขาซุกหน้าลงมาที่ซอกคอ ตัวล่ำ ๆ ที่ยังเปียกเหงื่อชุ่มของบอมถูบดตัวผมเข้าติดกับกำแพงที่เย็นเยือกจนผมสะดุ้งโหยง บอมเหมือนจะรู้เลยใช้สองแขนลูบแผ่นหลังผมให้อบอุ่นขึ้นก่อนบดตัวเข้ามาอีกครั้ง สองมือซนของเขาลูบไปที่ขอบกางเกงของผมแล้วรูดลงช้า ๆ
“บ..บอ..” ผมสะดุ้งจะเรียกชื่อเขาแต่โดนดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นจ้องอย่างอ่อนโยนจนผมไม่อยากเอ่ยขัดขืน
“ตอนพัตอยู่ในสนาม ทำหน้าขึงขังน่าฟัดมากเลย” ปากบอมกึ่งจูบกึ่งพูดเสียงกระเส่าบรรยายความรู้สึกในขณะที่มือเขาจัดการเสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายของผมกับเขาออก

ผมเองก็รู้สึกไม่ต่างกับเขา บอมเท่มาก ๆ ตลอดการแข่ง...ตลอดเวลาที่เราสองคนอยู่ด้วยกัน…ทุกช่วงเหตุการณ์ คนเท่ที่สุดที่คอยปกป้องผม...ตอนนี้อยู่แนบชิดตรงหน้า ช่างชวนให้ลิ้มรสทุกอย่างของเขาเหลือเกิน...แต่นี่ในโรงเรียนนะว้อย! โรงเรียนอื่นด้วย! แล้วข้างนอกนั่นก็คนเยอะแยะเลยว้อยบอมมมม! หื่นให้ถูกเวลาหน่อยดิว้อยยย!
บอมเปิดน้ำฝักบัวรดลงบนตัวที่เปลือยเปล่าของเราสองคน เขาบีบแชมพูจากขวดแล้วโปะลงบนหัวผม บอมสระผมให้ผมเบา ๆ “พัตอยู่กับบอมนะ”
“อืม” ฟองแชมพูไหลลงหน้าผม ผมหลับตาคลำสะเปะสะปะกอบเอาฟองฟอดนั้นโปะลงบนหัวบอมบ้าง เสียงหัวเราะคิกคักของเขาอยู่ใกล้ ๆ ตรงหน้า
“ล้างแชมพูละนะ” เสียงบอมเปิดน้ำฝักบัวอีกครั้งล้างแชมพูออกไปทำให้ผมลืมตาได้อีกครั้ง
“หนาวมั้ย?”
“ไม่ละ”

หน้าของบอมอยู่ใกล้มาก ตัวเราแนบกันทุกส่วน...เขาหยิบขวดสบู่เหลวขึ้นมา ผมกลืนน้ำลายเอื๊อกจินตนาการตอนนี้พุ่งไปไกลสุดขอบจักรวาลแล้ว บอมเทราดสบู่เหลวให้ไหลลงบนตัวผม มือของเขาลูบฟอกสบู่ไปตามตัวผมแล้วแนบกายเปลือยเปล่าเข้ามาบดถูฟอกตัวไปพร้อมกัน ผมไม่เคยอาบน้ำกับใครอย่างนี้มาก่อนเลย ตอนไปเข้าค่ายลูกเสือตอนม.ต้นก็แค่รีบ ๆ ตักน้ำราดตัวเพราะความเขินกันทุกคน แต่นี่...ตัวแนบตัว มือปลาหมึกของบอมลูบฟองสบู่ไปตามตัวผม ใจเต้นระทึกกับทุกสัมผัส ผมกำลังเป็นของบอมทุกส่วน
“บอม...ที่นี่โรงเรียนนะ”
“อือ”
ไอ้อือนี่แปลว่าอะไรวะ เหมือนจะเข้าใจที่ผมพูดแต่มือเขาทำตรงกันข้ามเลย มือของบอมฟอกขยี้ลูบต่ำลงไปเรื่อย ๆ ต้นขาก็เบียดแทรกเข้ามาที่หว่างขาผมช้า ๆ อีกมือก็ลูบถูด้านหลังผมไล่ลงมาเรื่อย ๆ ถึงช่วงล่าง
“บอมอยากเล่นกับพัต อยากอาบน้ำให้พัตอย่างนี้มานานแล้ว” 
อยากเล่นนี่คืออะไรฟระ ...เขาจะทำที่นี่จริง ๆ เหรอ…ใจบอกว่าไม่ แต่มือตรูนี่ลูบตัวบอมไปทั่ว ทั้งกล้ามแข็งทั้งส่วนนูนส่วนเว้าแต่ละที่โคตรเร้าใจเลย

“ยังมีใครอยู่มั้ยคะ!? แข่งเสร็จแล้วเดี๋ยวจะปิดโรงยิมแล้วนะค้า!!” เสียงคุณป้าภารโรงตะโกนอยู่หน้าห้องน้ำทำผมกับบอมสะดุ้งโหยง ฉิบหายแล้ว!
“ครับ! เดี๋ยวรีบอาบครับ!” บอมตะโกนตอบไปแล้วหันมาทำหน้าทะเล้นใส่ผม
พวกเรารีบล้างสบู่ออก เช็ดตัวให้กันแล้วแง้มประตูดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครในห้อง ทางโล่งแล้วผมกับบอมก็นุ่งผ้าเช็ดตัวออกมาหยิบเสื้อผ้าจากกระเป๋าเป้มาแต่งตัว ใจยังเต้นโครมครามไม่หยุดเลย
“พัตหน้าแดงน่ะ” บอมเปรยเสียงขำ
“ก็เพราะใครเล่า?”
“แค่อาบน้ำเอง พัตน่ะคิดไปถึงไหน?”
“คิดไปถึงดาวพลูโตแล้ว” ยังจะแซวอีก อีกนิดนึงตรูจะเอาท์ดอร์แล้ว ตกลงเขาแค่อยากอาบน้ำกับผมจริง ๆ หรอกเรอะ ชิ! ...แต่นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งที่ผมชอบเขา เวลาอยู่กับบอมมีอะไรให้ประหลาดใจเสมอ

เราสองคนเดินไปดูการแข่งกีฬาอื่น ๆ จนถึงการแข่งฟุตบอลที่เป็นการแข่งรายการสุดท้าย (แต่โรงเรียนเราตกรอบไปตั้งแต่บ่าย ได้รางวัลที่ 4 เลยไม่ได้เชียร์เค้า)
“พัตกินสายไหมมั้ย?”
“ดีเลย เรากำลังหิวมากอ่ะบอม”
บอมซื้อสายไหมก้อนใหญ่มาแบ่งกันกินสองคน เส้นไหมนุ่ม ๆ พอกัดเข้าปากก็ละลายเป็นน้ำตาลหวาน ๆ
“ตอนเด็ก ๆ ที่งานวัดแถวบ้านเรามีเครื่องให้ทำสายไหมเองด้วยล่ะ เอาไม้แหย่เข้าไปแล้วมันค่อย ๆ กลายเป็นเส้นพันรอบไม้ให้เราหมุน ๆ เอง” บอมบอก
“เหรอ? เราไม่เคยทำเลย”
“ไม่รู้สมัยนี้ยังมีมั้ย เดี๋ยวถ้าเค้ามีงานวัดเราจะชวนพัตมานะ”
“อืม”

...เวลาบอมอยู่ด้วย ฟังเขาเล่าเรื่องต่าง ๆ เหมือนโลกของผมขยายออก มีความสุขทุกวินาทีที่อยู่ด้วยกัน
...คนอบอุ่น เข้มแข็ง ใจดี คนที่บอกกันเสมอว่าเราสองคนจะอยู่ด้วยกัน

“พัต คืนนี้ค้างบ้านเรามั้ย?” บอมพูดตาแป๋ว
“ไม่ได้บอกแม่ไว้ก่อนน่ะ” คือตรูปฏิเสธแบบเปิดทาง (จริง ๆ ก็อยากไป)
“นะพัตนะ ไปติวอังกฤษให้เราหน่อย”
“อืม ขอโทรบอกแม่ก่อนนะ”
หลังจากเหตุการณ์ห้องคิง พ่อก็เปิดไฟเขียวแทบทุกเรื่อง เวลาจะขอไปค้างบ้านเพื่อนเลยให้แม่เป็นคนตัดสินใจแทน ซึ่งแม่ก็ไม่ขัดหรอกเพราะพรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ด้วย แต่ยังไงก็ต้องบอกพ่อแม่ก่อนเค้าจะได้ไม่เป็นห่วง

พวกเรานั่งรถเมล์จากป้ายหน้าโรงเรียนไปขึ้นรถไฟฟ้า พอได้ที่นั่งบวกกับแอร์เย็น ๆ ผมก็เริ่มง่วงด้วยความเพลียจากการแข่งบาส ขอเอาหัวฝากวางบนไหล่บอมแป๊บนึงละกัน

“พัต ใกล้ถึงแล้ว” เขาเอ่ยปลุกผมเบา ๆ
“เอ่อ...นี่เราหลับไปจริง ๆ เลยเหรอ? ถึงไหนแล้วเนี่ย?”
“หลับเหมือนเด็กตัวน้อยเลย นี่ถึงสถานีอ่อนนุชแล้ว” บอมหัวเราะพลางแบกกระเป๋าทั้งของเขาและของผมขึ้นบ่าสองข้างพาเดินเข้าถนนอ่อนนุชเพื่อไปต่อรถสองแถวเข้าบ้านบอม ตอนนี้เริ่มจะมืดแล้วผู้คนเดินกันขวักไขว่
“เราถือเองก็ได้”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพัตเหนื่อย เราดูแลนายได้สบายมาก”

พอลงรถสองแถวก็เดินเข้าซอยอ่อนนุช 17 อีกนิดมาถึงบ้านบอม เขาเปิดประตูเดินนำเข้าไป
“สวัสดีครับคุณแม่ ขอรบกวนค้างคืนนึงนะครับ” ผมกล่าวทักทายคุณแม่ของบอม...เอ๋...ทำไมบ้านเงียบจัง ไฟในบ้านก็ไม่เปิดสักดวง?
“หึ ๆๆๆๆ” บอมยืนหันหลังและหัวเราะอย่างมีเลศนัยอยู่ในความมืด
“บอม...”
“นายติดกับแล้วพัต” เขาเอ่ยเสียงเย็น ๆ “แม่เราไปเที่ยวต่างจังหวัดกับคุณลุงคุณป้า กลับพรุ่งนี้เย็น ๆ”
บอมหันมายักคิ้วยิ้มมุมปาก ถึงจะมืดสลัวแต่ดวงตาของเขาฉายแวววูบวาบ
“เอ๋?”
“ทีนี้เข้าใจยังว่าทำไมเราแค่อาบน้ำกับนายที่โรงเรียน เพราะยังไงคืนนี้นายก็เสร็จเราแน่!” บอมหันมาพูดพร้อมเปิดไฟฉายส่องใต้คางตัวเอง
“เราไม่กลัวผีน่ะบอม” ผมหยิกแก้มเขาเบา ๆ คนอะไรตลกชะมัด
“ก็อยากเปลี่ยนบรรยากาศให้พัตตกใจบ้างน่ะ” หนุ่มนักบาสพูดเสียงงอน ๆ แล้วกดเปิดไฟในบ้าน โถ...คงติดเชื้อวางแผนแป๊กจากผมไปแล้ว

มืออุ่นของบอมจับมือผมพาเดินขึ้นชั้นสอง อันนี้น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าหนังผี คืนแรกของเราสองคนที่จะได้อยู่กันตามลำพัง ไม่ได้เตรียมใจว่าจะเป็นแบบนี้นี่ว้อย ยิ่งใกล้ถึงห้องนอนจินตนาการยิ่งทะลุไปพ้นสุริยจักรวาล -///- บอมเปิดไฟเปิดประตูห้อง ผมก้าวเข้าไปและ…ทั้งห้องมีรูปแปะเต็มไปหมด น...นี่บอมทำไว้เหรอ
“เราเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืนก่อนไปแข่ง” ร่างสูงกอดผมจากข้างหลังแล้วเอ่ยที่ข้างหู “กะว่าถ้าทีมเราชนะเราจะพาพัตมาฉลองที่นี่ แต่ถ้าแพ้ เราก็จะพาพัตมาปลอบใจ”
“บอม”
“เรารู้ว่าถ้าแพ้ในการแข่งจริงครั้งแรกในชีวิตจะรู้สึกแย่แค่ไหน เราจะอยู่กับพัตเสมอนะ” 
“อืม เราก็จะอยู่กับบอม” ผมหันข้างไปหาเขา คนเดียวที่อยู่ใกล้หัวใจผมคนนี้เขาคิดทุกอย่างเผื่อผมไว้หมดเลย

“รูปนี้พัตจำได้มั้ย?” เขาชี้รูปที่ผนังใกล้ประตูห้อง
“จำได้ ผังที่นั่งตอนสอบเข้า” ผมเองก็ถ่ายเก็บไว้เหมือนกัน กระดาษใบแรกที่มีชื่อผมกับบอม จุดเริ่มต้นที่ให้ความกล้าบ้าบิ่นให้ผมกล้ากาเอาคะแนนปานกลางเพื่อหนีห้องคิง “ตอนนั้นบอมรู้มั้ย เราฝันว่าเราจะได้อยู่ห้องเดียวกับบอม”
“เราก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน” บอมยิ้มแล้วชี้รูปถัดไป คือรูปหมู่พวกเราสามคน ผม บอม สน ที่เขาถ่ายตอนวันประกาศผลสอบบนอัฒจันทร์ ตอนนี้ที่บอมขอให้ผมเข้าชมรมบาส
“พอรู้ว่าเราไม่ได้อยู่ห้องเดียวกับพัต เราเลยตื๊อให้นายเข้าชมรมบาสจะได้มีโอกาสอยู่ด้วยกัน”
“ถ้าตอนนั้นเราไม่เข้าชมรมบาสล่ะ?”
“เราก็จะกอดให้แน่นขึ้นอีก ยังไงก็ไม่ยอมปล่อยน้องชายคนนี้หลุดมือไปแน่”
...เออ แฟนตรูเอาชนะทุกอุปสรรคด้วยมือปลาหมึก

“ตอนนั้นเรากลัวมากเลยนะบอม”
“พัตกลัวอะไรเหรอ?”
“เรากลัวว่าถ้าเข้าชมรมบาสแล้วเล่นไม่เป็นเลยเดี๋ยวบอมจะเกลียดเรา” คือห่วยขนาดเพื่อนไม่ให้ร่วมทีมด้วยเลยสักเทอม


บอมจ้องตาผมระหว่างฟังผมพูดความหวาดหวั่นในใจ เขาเขี่ยเส้นผมของผมเบา ๆ แล้วแปะริมฝีปากบนแก้มผม “บอมเองก็กลัวนะ กลัวเอาพัตมาลำบากแล้วนายจะเบื่อบาสเบื่อเรา”
“เราสองคนนี่ชอบคิดไปเองเนอะ ฮะ ๆๆ”

บนหัวเตียงมีรูปผมตอนซ้อมบาสไว้เยอะเลย ผมไม่รู้ตัวเลยแฮะว่าเขาถ่ายรูปผม
“ตอนแรกเรารู้สึกเหมือนพัตเป็นน้องตัวเล็ก ๆ เราอยากดูแล อยากสอนบาส เราเลยถ่ายรูปถ่ายวิดีโอพัตไว้ดูว่าต้องสอนอะไรปรับปรุงตรงไหน แต่พอพัตกลับบ้านไป ใจเราโหวง ๆ เราไม่เข้าใจว่าทำไม จนวันนั้นที่พัตมาค้างที่นี่ เราอยากเล่นกับพัตเลยแกล้งตั้งเยอะจนพัตนอนไม่หลับ แต่พัตไม่โกรธเราเลย”
...จะโกรธยังไงเล่า ตอนนั้นบอมถอดโชว์อยู่เรื่อย อยากจับกดจนเก็บไปฝันเลย…

“ตั้งแต่คืนนั้นเราก็เริ่มรู้สึกดีกับพัต” บอมดึงผมลงนั่งบนขอบเตียงกับเขา บอมหยิบรูปหมู่พวกเรา 6 คนตอนกินพิซซ่าที่ใส่ในกรอบร้านสเวนเซนส์ส่งให้ผม วันนั้นมีเรื่องอะไร ๆ เกิดขึ้นเยอะมาก
“วันนั้นเราดีใจมาก ๆ เลย ทั้งขำทั้งดีใจที่พัตนึกว่าเป็นวันเกิดเรา”
“วันนั้นเราหน้าแตกสุด ๆ อ่ะ”
“ตอนไอติมวันเกิดมาอยู่บนโต๊ะ” บอมนอนลงหนุนตักผม “พัตรู้มั้ย...พัตได้ใจเราไปแล้ว”
“บอม” ผมจ้องตาเขา ตาสีน้ำตาลคู่นั้นมองขึ้นมาที่ผม
“พัตพยายามช่วยทุกคนทำการบ้านให้เสร็จจะได้จัดงานวันเกิดให้เรา พอรู้ว่านายสั่งไอติมวันเกิดให้ด้วย ...ตอนนั้น...เราถึงรู้ว่าเรารักพัต”
บอมเอื้อมมือมาลูบแก้มผม สัมผัสอบอุ่นนั้นมีแรงดึงดูดให้ผมโน้มหัวลงไปจูบความสุขของผม ผมเอ่ยกระซิบคำที่เขารอฟังมานาน “มาต่อจากคราวที่แล้วกันนะบอม”

บอมยิ้มเขินแล้วดันตัวขึ้นช้า ๆ และเอนตัวผมลงกับเตียง หน้าเกลี้ยงเกลากับนัยน์ตาสีน้ำตาลเคลื่อนไปทั่ว ผิวเนื้อเราสัมผัสกันทีละส่วนจนไม่เหลืออะไรกั้น บอมใช้มือกับส่วนนั้นของผม เริ่มจากลูบเบา ๆ แล้วค่อย ๆ แรงขึ้นพร้อมกับดูดเม้มที่หน้าอกจนผมทนไม่ไหวพลิกตัวหนีแต่ก็ไม่รอดมือปลาหมึกของหนุ่มร่างสูงตามกอดกวัดเคลื่อนตัวทาบทับ แกนเนื้อร้อนนาบลงด้านหลัง บอมจูบที่หลังคอและเลื่อนมากระซิบที่หู ร่างอุ่นทั้งตัวก็เบียดถูไปมากับหลังผมด้วย ยอมแล้วว้อยยย
“เรารักบอม”
บอมยิ้มกว้างพลิกตัวผมไปหาเขา ริมฝีปากกดลงมา ลิ้นสากควานเข้ามาดูดดื่มรุนแรงจนผมไม่กล้าลืมตา ได้ยินเสียงฉีกซอง บอมขยับขลุกขลักแล้วบางอย่างก็สอดเข้ามา
“อ...โอ๊ย!”
“แค่นิ้วนะพัต” บอมกอดป้องกันผมดิ้นและพูดเสียงอ่อน หน้าบอมตอนนี้รู้เลยว่าทั้งอยากทั้งกลัวผมเจ็บ 
“เรา...กลัวน่ะบอม” ผมกลัวมากเพราะเคยได้ยินว่ามันเจ็บสุด ๆ แต่ผมก็อยากมีอะไรกับคนที่ผมรัก
“เราก็กลัว จะทำเบา ๆ นะ พัตอย่าเกร็งนะ” บอมถอนนิ้วออก บางอย่างที่ใหญ่กว่ากดเข้ามาช้า ๆ พยายามไม่เกร็ง มันคือส่วนหนึ่งของบอม ๆๆ แต่ผมก็กลั้นเสียงไม่ไหว ใบหน้าของบอมตอนนี้แดงก่ำคิ้วขมวด
“พัตเจ็บเหรอ?”
“อื้ม-”
พูดไม่ทันสิ้นเสียง บอมก็ประโคมจูบพรมลงทั่วหน้าผมและซอกคอ เจอความอบอุ่นของบอมทำให้ผมคลายความเจ็บ ผมกอดรัดเขาไว้...บอมของผม… เช่นเดียวกับที่เขารุกล้ำทั้งข้างบนข้างล่างเข้ามาเป็นเจ้าของทุกอย่างในตัวผม บอมเคลื่อนไหวช่วงล่างช้าเนิบนาบเพราะกลัวผมเจ็บ
“ชอบพัต ตัวขาวน่ากินจัง” บอมกระซิบเสียงกระเส่าพลางกัดใบหูผมเบา ๆ “ตอนเราแกล้งให้พัตเปลี่ยนเสื้อที่สนามบาสอ่ะ เราใจเต้นมากเลย”
“ชอบช้าจัง เราน่ะชอบบอมตั้งแต่วันแรกแล้ว!”
เขายิ้มกว้างทั้งที่หน้าแดงก่ำ แล้วเริ่มขยับเอวกระแทกกระทั้นเข้ามาแรงขึ้น ๆ บอมครางเสียงสั่น ภาพหนุ่มนักบาสในมุมนี้มีผมคนเดียวเท่านั้นที่ได้เห็น ไม่ใช่แค่ภาพอ่ะ ผมลูบจับลูบล้วงทุกส่วนของบอมเอาให้หนำใจ ผิวอุ่นและกล้ามแข็งทั้งตัวเร้าใจชะมัด เขายิ้มและเร่งแรงขึ้น จนในที่สุดเราสองคนก็เป็นของกันและกัน บอมฟุบลงนอนหอบบนตัวผม ลมหายใจอุ่น ๆ รดที่ต้นคอ ผมมองตาสีน้ำตาลของบอมที่อยู่ห่างแค่ปลายจมูก ไม่มีคำพูดอะไรจะสื่อความรู้สึกในตอนนี้ได้

“พัต...” บอมลูบหัวผมเบา ๆ “ดีใจจังที่ได้ฝึกบาสให้พัต”
“ดีใจยังไงอ่ะ?”
“ก็อึดดีไง”
“บ้า!” ผมทั้งอายทั้งขำ คือวินาทีนี้น่าจะพูดอะไรซึ้ง ๆ ดิว้อย! ผมแต่งตัวลวก ๆ จะไปล้างตัวในห้องน้ำ
“ฮื้อ อย่าเพิ่งไปดิ๊ ต่ออีกยกก่อน” บอมหยอกเสียงขำ
ไม่คุยด้วยแล้ว ผมเดินไปห้องน้ำเลย ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงบอมเดินไปลงล้างตัวที่ห้องน้ำชั้นล่าง พอกลับมาที่ห้อง บอมยังไม่มาผมเลยล้มนอนลงบนเตียง...จะอีกยกจริงเปล่าวะ? ยังเจ็บอยู่เลยนะ ผมกดปิดไฟรีบหลับเลยดีกว่า

ผมลืมตาอีกทีตอนได้ยินเสียงประตูเปิด แกล้งหลับ ๆ ว้อย
“พัต...พัตโกรธเราเหรอ?” เสียงบอมกล่าวในความมืดสลัว
“หืม? ใครโกรธ? โกรธอะไร?”
“ก็พัตปิดไฟนอนเลยอ่ะ พัตโกรธเราเมื่อกี้เหรอ?” บอมนั่งลงบนเตียง หน้านิ่วหงอเลย
“เปล่า แค่ง่วงน่ะ คิดว่ายังไงเดี๋ยวบอมเข้ามาก็คงนอนเลย เราเลยปิดไฟ” ผมลุกขึ้นมานั่ง ชักไม่ดีเลยวุ้ย ผมแค่แกล้งหลับเพราะกลัวเขาจะต่อยกที่สองแค่นั้น แต่เหมือนบอมจะคิดมากไปไกลเลย
“พัตหายโกรธเราแล้วนะ?” บอมทำหน้าหงอย ๆ โอ๊ย! น่ารักชะมัด
“ไม่ได้โกรธจริง ๆ” ผมแตะริมฝีปากที่แก้มเขาให้คลายความกังวล “แค่แกล้งหลับจะได้ไม่เจอยกที่สอง ฮะ ๆๆ”
บอมคลี่ยิ้ม เขากอดผมเบา ๆ ประคองเราทั้งสองคนลงนอน แววตาสีน้ำตาลจ้องผมในแสงสลัวจากหน้าต่างที่ลอดผ่านม่าน
“เรากลัวพัตหายไป” บอมเอ่ยเสียงเบาราวกับกลัวคำนั้นจะเป็นจริง “ตอนม.2 เราสนิทกับรุ่นน้องม.1 คนนึง เค้าชอบเล่นบาสมาก อยู่ฝึกกับเราและสนหลังเลิกเรียนแทบทุกวัน”
“แล้วยังไงต่อเหรอ?”
“วันนึงเค้าให้เราสอนรีบาวด์ พอเค้าทำได้ก็ชอบมากฝึกกันจนลืมเวลา วันนั้นเค้ากลับบ้านดึก...พอวันรุ่งขึ้น...เค้าบอกว่าพ่อแม่ให้ลาออกจากชมรมเพราะเสียการเรียน”
“บอม...”
“เรารู้สึกผิดมาตลอด” บอมกอดผมซุกอก “โค้ชก็บอกนะว่าความผิดพลาดมีไว้ปรับปรุง แต่เราก็ลืมไม่ได้...ลึก ๆ เราอยากมีน้องที่เล่นกับเราได้ตลอดเวลา อยู่ด้วยกันตลอดไม่หายไป”

ในหัวบอมเห็นภาพที่พ่อของเขากลับบ้านมาไม่กี่วันแล้วก็ไปอยู่แท่นเจาะน้ำมันอีก ไม่รู้กี่เดือนถึงจะกลับบ้านอีกครั้ง เขาอยากมีใครสักคนที่อยู่กับเขาทุกวันไม่จากไปไหน แต่เขารู้ว่ามันเป็นความคิดบ้า ๆ
 
“จนวันประกาศผล...ที่พัตตกลงเข้าชมรมบาส” วันนั้นที่เด็กเรียนตัวบางตอบตกลงเข้าชมรมบาสกับเขา ความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายได้ก็ก่อขึ้นมาในใจทีละน้อย เขาหวงพัต เพื่อนและน้องในจินตนาการอย่างที่เขาฝันมาตลอด

“มิน่าบอมใจดีกับเราจัง” ตรูเข้าใจละว่าทำไมบอมใส่ใจและสอนผมสุด ๆ ขนาดนั้น แต่ไม่เคยขอให้ผมอยู่เกินเวลาเลย ตอนเลิกก็เดินมาส่งที่ประตูโรงเรียนแทบทุกวัน

บอมคลุกหน้ากับเส้นผมของผมฟัดไปมา ผมดีใจที่เขาเล่าเรื่องที่เก็บงำไว้คนเดียวมาตลอดให้ผมฟัง ผมจะเป็นคนลบความทุกข์ใจของบอมเอง
“เราจะอยู่กับบอม ไม่มีทางหายไปไหนนะ ไม่ต้องกลัวอีกแล้วนะ”
“อื้ม” เขาตอบเบา ๆ น้ำเสียงดีใจ

ก่อนที่ผมจะหลับไปในอ้อมกอดเขา บอมเอ่ยขึ้นมา “พรุ่งนี้วันเสาร์ สนกับดิมจะไปเที่ยวท้องฟ้าจำลอง แล้วพัตอยากไปไหน?”
“ตอนเช้าไปเล่นบาสที่เดิมกันมั้ย? ตอนบ่ายเรามีเรียนพิเศษน่ะ”
“อื้ม”


เช้าวันเสาร์
ณ ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพฯ

ผมลงรถไฟฟ้าที่สถานีเอกมัยแล้วเดินเข้าไปในท้องฟ้าจำลอง ตอนแรกผมบอกสนว่าจะไปรับเขาที่บ้านแต่เขาบอกให้ผมนั่งรถไฟฟ้าตรงจากสำโรงไปเอกมัยเลยไม่ต้องเดินทางเข้าอ่อนนุชย้อนไปมาให้ลำบาก เอาเถอะ! ไม่ได้เจอกันแค่แป๊บเดียวไม่เป็นอะไรหรอกน่า

ผมมองอาคารสีขาวที่มีช่องกระจกทะแยงมุมแปลกตาและสระน้ำใหญ่ด้านหน้าอาคาร ผมชอบมาที่นี่ตั้งแต่เด็ก ๆ ชอบทั้งส่วนพิพิธภัณฑ์ในอาคารนี้และส่วนดูดาวในอาคารด้านหลัง ทุกครั้งที่มาก็เห็นภาพที่พ่อชี้มือให้ดูกระสวยอวกาศในอาคารและถามว่าผมอยากไปอวกาศไหม ต้องเรียนเก่ง ๆ นะจะได้ทำงานนาซ่า

ผมมองจากภายนอกผ่านช่องกระจกเข้าไปในอาคารใหญ่พลางนึกถึงเรื่องที่พ่อเคยบอกความหมายของชื่อจริงและชื่อเล่นผม ตอนนั้นความทรงจำหนึ่งก็ย้อนผุดขึ้นมา

“แล้วชื่อนายแปลว่าอะไรเหรอ?”
“Dim ตัวย่อของ Dimension มิติ พ่อเราอยากให้เราเป็นนักวิทยาศาสตร์นาซ่า”


ตอนนี้คนนั้นสบายดีไหมนะ คงยังชอบเล่นกีตาร์เหมือนเคย สาย ๆ แบบนี้ผมนึกภาพเขาคงกำลังนั่งฝึกเพลงโปรดอยู่ในห้องตัวเอง...และเราคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว…

ผมเดินตรงไปอาคารด้านหลังเพื่อซื้อบัตร เมื่อวานผมโทรสอบถามแล้วว่าวันนี้ไม่มีโรงเรียนใดมาทัศนศึกษาจึงโล่งไม่ค่อยมีคน ผมแวะดูเนื้อหาของการแสดงเดือนนี้ กลับไปดวงจันทร์กันเถอะ เป็นเรื่องแบบไหนกันนะ ผมหวังว่าจะสนุกสำหรับสน นี่เป็นการพาเขามาท้องฟ้าจำลองครั้งแรกผมอยากให้เขาประทับใจที่สุด ผมเดินไปที่ช่องจำหน่ายตั๋วเพื่อจะซื้อตั๋วสองใบสำหรับผมกับสน

“ดิม”

เสียงหนึ่งกล่าวทัก เสียงที่คุ้นเคยแต่ไม่ใช่เสียงของสน เสียงที่ทำให้ความทรงจำย้อนกลับมา

...เราอยากกินบิงซู แล้วก็อยากไปท้องฟ้าจำลองด้วย...
...สมกับเป็นโปรแกรมเมอร์นาซ่า แต่อันนั้นไกลมาก อยู่เอกมัยเลยนะ...


ผมมองคนตรงหน้า คนที่เคยพูดประโยคนี้กับผม คนที่เคยสัญญาจะมาเที่ยวที่นี่ด้วยกัน
“ปิง”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-06-2021 02:16:06 โดย Sorrowkung »

ออฟไลน์ Sorrowkung

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
เนื้อหาตอนต่อไปจะเกี่ยวกับนิยายสั้นเรื่อง Vector Space เป็นเรื่องของดิมกับเพ่อนสนิทชื่อปิงสมัยม.3 ที่โรงเรียนเก่านะครับ
อ่านได้ที่นี่ครับ https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72432.0#gsc.tab=0

ออฟไลน์ Sorrowkung

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
King Class Away: Special 2 กลับไปดวงจันทร์กันเถอะ

“ปิง” ผมเรียกชื่อเขาออกไปโดยไม่รู้ตัว แม้ผมเขาจะยาวขึ้นแต่ผมไม่เคยลืมร่างผอมโปร่งกับใบหน้าเกลี้ยงเกลานั้น เขาอยู่ตรงหน้าผมแล้วจริง ๆ
“บังเอิญจัง เราก็มาเที่ยวท้องฟ้าจำลองเหมือนกัน” ปิงเดินเข้ามาพร้อมด้วยรอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา เป็นปิงจริง ๆ
“เหรอ เอ่อ...แล้วจอยมาด้วยมั้ย?” ผมเลือกคำถามสนทนาอย่างยากลำบาก ผมไม่คิดว่าจะเจอปิงที่นี่ ที่ที่เราสองคนเคยสัญญาว่าจะมาเที่ยวด้วยกัน...แต่ตอนนี้ผมไม่รู้จะวางตัวยังไง

ไม่ใช่แค่ตอนนี้...ผมทำตัวไม่เคยถูกมาตั้งแต่วันนั้นที่ความสัมพันธ์เราเปลี่ยนไป
 
“เรามาคนเดียวน่ะ ดิมสบายดีมั้ย?” เขาตอบยิ้ม ๆ
“เราสบายดี แล้วนายเป็นไงมั่ง? ยังเล่นกีตาร์อยู่หรือเปล่า?”
“อืม แต่ก็ไม่ค่อยมีเวลาน่ะ การบ้านเยอะ”
“เอ่อ...แล้วปิงซื้อบัตรยัง?”
“ยังเลย ไปซื้อพร้อมกันเถอะ”
ผมผงกหัวแล้วออกเดินนำ ปิงเดินข้างผม ทำตัวไม่ถูกเลย แม้จะเว้นระยะห่างผมยังรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นเหมือนเขาเป็นพระอาทิตย์อย่างที่เคยเป็นมา ความรู้สึกครั้งที่เคยนั่งเรียนข้างกันหลายเดือน ทั้งที่ผมไม่ควรจะรู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว หัวใจผมเต้นแรง ผมเกลียดตัวเองตอนนี้

ปิงเดินเข้าไปช่องขายบัตรและบอกพี่พนักงาน “สวัสดีครับ เอาบัตร 2 ใบครับ”
“ส...สามใบครับ” ผมรีบพูด และคำนั้นทำให้ปิงหันมาหาผมด้วยแววตาสงสัย รอยยิ้มบาง ๆ ของปิงหายไปทันที ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร พี่พนักงานก็พูดทัก
“วันนี้มีเพื่อน ๆ มาด้วยเหรอคะ? ดีจังเลย น้องคงชอบดูดาวมากเลยนะคะเห็นมาแทบทุกสัปดาห์ เดี๋ยวพี่แถมแผนที่ดาวให้ด้วยน้า”

ปิงรับบัตรและแผนที่ดาวที่เป็นแผ่นวงกลมขนาดประมาณสองฝ่ามือจากพี่พนักงานแล้วเดินช้า ๆ กลับมาหาผม สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยคำถาม ผมเองก็เช่นกัน
“ปิงมาบ่อยแทบทุกสัปดาห์เลยเหรอ?”
“เอ่อ...ก็ใช่” เขาเกาหัวยิ้มแห้ง ๆ “เรามารอดิมน่ะ”
“รอเรา?”
“ก็พวกเราเคยสัญญา...สัญญาว่าจะมาเที่ยวที่นี่ด้วยกัน” ปิงตอบพร้อมมองผมด้วยแววตาอ่อนโยนแต่เจ็บปวด คำตอบของเขาทำให้ผมหูอื้อไปชั่วขณะ...คำสัญญาที่ผมเคยคิดว่ามันไม่มีค่าอะไรอีกแล้ว ปิงมารอผมที่นี่แทบทุกสัปดาห์ตลอดครึ่งปีที่ผมย้ายโรงเรียนไป...
“แล้วทำไมนายไม่เคยโทรบอกเราล่ะว่ามารออยู่?”
“เราจะกล้าโทรได้ยังไง ก็เราทำกับดิมแบบนั้น”

ทั้งผมทั้งเขายืนนิ่งมองตากัน ...ปิงเลือกจอยแล้วนะ...ผมบอกตัวเองอย่างที่เคยทำเสมอ ผมไม่ควรรู้สึกอะไรกับเขาอีกแล้วนอกจากความเป็นเพื่อน...เราเป็น soul mate กัน เป็นเพื่อนสนิท เรื่องที่ผมกับเขามีความสัมพันธ์กันคืนนั้นก็แค่ความคึกคะนองชั่วครู่หนึ่ง ผมบอกตัวเองอย่างนั้นเสมอ

เช้าวันถัดมาหลังจากคืนนั้นปิงบอกคุณครูและเพื่อน ๆ ว่าไม่สบายเลยกลับบ้านไปก่อน จากนั้นเราสองคนก็ทำตัวเป็นเพื่อนกันปกติเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น พวกเราไม่เคยพูดเรื่องนั้นกันอีกเลย ไม่เคยไปเที่ยวบ้านอีกฝ่ายแล้ว อย่างเดียวที่ทำคือผมยังนั่งข้างปิงในห้องเรียนเหมือนเดิม...แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว ไม่กี่วันต่อมาปิงก็คบกับจอยอีกครั้ง ผมแสร้งปั้นหน้าเฉย ๆ ทั้งที่ทำยากมาก ในใจผมคิดอย่างเดียวคือผมต้องสอบม.4 ให้ติดโรงเรียนอื่นให้ได้เพื่อผมจะไม่ต้องเห็นภาพอย่างนี้อีก...และดูเหมือนคนที่แสร้งทำตัวปกติจะไม่ได้มีแค่ผมคนเดียว…

“แล้วบัตรอีกใบนี่คือ...เฟิร์สมาด้วยเหรอ?” ปิงถามเบา ๆ
“เราเลิกกับเค้าแล้ว” ผมกลั้นใจตอบ
“หา?” ปิงเลิกคิ้วด้วยสีหน้าประหลาดใจ และนั่นก็ทำให้ผมประหลาดใจเช่นกันที่เฟิร์สไม่ได้เล่าให้ใครฟังแม้แต่กลุ่มเพื่อนเค้า ก็แหงล่ะผมบอกเลิกเฟิร์สแบบไม่มีอะไรเป็นลางล่วงหน้าให้เค้าเตรียมใจเลย
“ดิม งั้นบัตรนี้คือ...” ปิงถามต่อ
“ดิม! กูมาแล้ว! โทษทีรถในซอยอ่อนนุชติดชิบเป๋งเลย!” เสียงตะโกนของร่างสูงเจ้าของบัตรใบที่สามวิ่งกระหืดกระหอบมาแต่ไกล ทำไมต้องเป็นเวลานี้ด้วย
“หวัดดีสน ไม่ต้องรีบ ยังมีเวลาอีก 10 นาทีจะฉายน่ะ”

สนเหงื่อแตกพลั่กเลย คงรีบวิ่งลงมาจากสถานีรถไฟฟ้าเอกมัยสินะ
“แฮ่ก ๆ กูนึกว่าจะมาไม่ทันแล้วนะเนี่ย กูตะโกนบอกคนขับรถไฟฟ้าให้รีบขับด้วยนะ” เขาหยุดยืนหอบตรงหน้าพลางมองผมกับปิงแบบงง ๆ
“สน นี่ปิงเพื่อนเราที่โรงเรียนเก่า”
“หวัดดีครับปิง” สนยิ้มกล่าวทักแบบงง ๆ คงสงสัยว่าผมชวนเพื่อนมาด้วยเหรอ
“หวัดดีครับสน ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
“ปิง นี่สน เรียนโรงเรียนเดียวกับเรา” ผมกลั้นใจครู่หนึ่ง “สนเป็นแฟนเรา”
ผมต้องทำทุกอย่างให้ชัดเจน ผมได้บทเรียนแล้วว่าความคลุมเครือจะทำทุกอย่างพัง แต่มันก็พูดออกไปยากเหลือเกินเมื่ออยู่ต่อหน้าปิง

เขาชะงักไปแว่บหนึ่งก่อนจะยิ้มบาง ๆ “ดีใจที่ได้รู้จักนะครับสน”
“อืม นายพาเพื่อนมาด้วยเหรอ ดีเลยเที่ยวด้วยกันสามคนคงสนุกดีนะ เข้าไปดูดาวกันเลยมั้ย?”
“บังเอิญเจอกันน่ะ วันนี้เรามาคนเดียวแล้วเจอดิมเมื่อกี๊”
“เออ ยังไงรีบเข้ากันเหอะหนังจะฉายแล้ว” สนดันผมกับปิงเข้าอาคาร “แล้วค่าตั๋วเท่าไหร่อ่ะดิม?”
“ปิงจ่ายน่ะ” ผมตอบแบบตั้งสติไม่ทัน ใครจะนึกว่าสถานการณ์จะเป็นแบบนี้
“เท่าไหร่เหรอนาย?”
“ไม่เป็นไรหรอก เราได้แผนที่ดาวเป็นของแถม แค่นี้ก็คุ้มแล้ว”
“เฮ้ย! ปิง นายนี่ใจดีว่ะ เดี๋ยวตอนเที่ยงเราเลี้ยงข้าวนายละกัน” สนกอดคอปิงหัวเราะอารมณ์ดี

...ผมทำตัวไม่ถูกในสถานการณ์ตอนนี้เลย ปิงยิ้มแห้ง ๆ มองผม ผมก็ได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ กลับไป

“ปิงเป็นเพื่อนโรงเรียนเก่าของดิม งี้ก็เด็กสมุทรปราการเหมือนกันอ่ะดิ?” สนชวนปิงคุยระหว่างเดินเข้าที่นั่งใต้โดมดูดาว
“ใช่ บ้านเราอยู่แถวบางพลี”
“ตอนม.ต้นเราก็เรียนที่สมุทรปราการนะ โรงเรียนเราข้ามเขตกรุงเทพมาหน่อยนึง”
“อ๋อ โรงเรียนนั้นเราก็รู้จัก”
“เราชอบไปเล่นบาสตรงสนามข้างแฟลตน่ะ ที่มีร้านผัดไทยข้างหน้า” สนชวนคุยระหว่างเดินเข้าอาคารดูดาว
“เมื่อก่อนเราก็เคยไปเล่นกีตาร์ที่ห้องดนตรีแถวนั้น”
“เฮ้ย! นี่เราอาจเคยเจอกันเปล่าวะ?”
สนคุยกับปิงอย่างสนุกสนาน เขาเข้ากับคนอื่นง่ายจังแฮะ ปิงก็เริ่มผ่อนคลายจากตอนแรกที่รู้สึกเกร็ง ๆ

“ดิมเข้าไปข้างในเลย เดี๋ยวให้ปิงนั่งตรงกลาง กูจะได้คุยกับเขา”
“เอ่อ พวกนายนั่งด้วยกันสองคนเถอะ ตั้งใจมาเดทไม่ใช่เหรอ?” ปิงหันรีหันขวางทำตัวไม่ถูก
“เออ นายนั่งตรงกลางแหละดีแล้วจะได้คุยกับเรากับดิมได้ไง”
“เราว่าอย่าดีกว่า พวกนายนั่งติดกันเหอะ”
“ไม่เอา ๆ เดี๋ยวกูโดนไอ้ดิมทวนความรู้วิชาดาราศาสตร์ นายรู้มั้ยเรื่องเรียนนี่ดิมแม่งโคตรดุเลย”
“ฮะ ๆๆ เออเรารู้ เราก็โดน” ปิงหัวเราะขำ
“นี่จะเผากันระยะประชิดเลยเหรอ”

ผมมองสองคนนั้นคุยกันสนุกสนาน ถ้าสนรู้ว่าผมกับปิงไม่ใช่แค่เพื่อนกันเขาจะทำหน้ายังไงล่ะเนี่ย ยังไม่ทันจะคิดหาวิธีอธิบายไฟก็หรี่ลงจนมืดสนิท
กลับไปดวงจันทร์กันเถอะ ชื่อการแสดงวันนี้ค่อย ๆ ปรากฎขึ้นบนภาพอวกาศ พวกเรานั่งเงียบมองภาพแสงดาวและดวงจันทร์ที่ฉายขึ้นใต้โดมยักษ์เสมือนกำลังดูจักรวาลจริง ๆ
...ปิงหันมามองผมที่นั่งติดกัน สีหน้าเขาสดใส...
...พวกเราทำตามสัญญาแล้ว และตอนนี้ใจผมไม่เต้นรัวอย่างเมื่อครู่แล้ว…
...เพียงแค่สนมาก็เปลี่ยนบรรยากาศน่าอึดอัดให้ผ่อนคลายสนุกสนานเป็นกันเองไปทันที…

ตอนนี้ขอปล่อยความคิดลอยไปดวงจันทร์ก่อนละกัน...
--------------------------------------------------

“สนุกดีนะ ได้ความรู้มากเลย เราเคยมาที่นี่ครั้งนึงตอนป.6 โรงเรียนพามาทัศนศึกษา” สนพูดพลางบิดขี้เกียจ รู้เลยว่าหลับ
“ทำไมพระจันทร์หันด้านกระต่ายมาที่โลกตลอด?” ผมหันไปลองถามเขา
สนนิ่งทำหน้าเลิกลั่กแล้วขยับไปดันปิงมาชิดผมแทน “กูหลับ กูเหนื่อยแข่งบาสเมื่อวานไง ฮะ ๆๆ พวกนายไม่ได้เจอกันนานคงอยากคุยกันเยอะ ๆ เนอะ คุยกันไปเลย”
แขนอุ่นของปิงโดนดันมาแนบชิดกับตัวผม โว้ย! พยายามจะไม่รู้สึกอะไรแล้วนะ
“เพิ่งสิบเอ็ดโมงเอง พวกเราเดินเล่นในพิพิธภัณฑ์ก่อนมั้ย?” ปิงเสนอ
“เออ ดีเหมือนกัน หนังที่จองไว้จะฉายตอนบ่ายครึ่ง นายไปดูด้วยกันมั้ยปิงเดี๋ยวเรากดจองเพิ่ม?”
“ไม่เป็นไรหรอกสน เดี๋ยวเราต้องไปเรียนพิเศษตอนบ่ายน่ะ” ปิงพูดแล้วเดินปลีกตัวไปในพิพิธภัณฑ์

“ปิงเค้าเด็กเรียนเหมือนมึงเหรอดิม? ตอนบ่ายเรียนพิเศษด้วย”
“อ...อืม” ผมรู้ดีว่าทำไมปิงถึงเดินแยกไปคนเดียว
“แล้วตกลงทำไมพระจันทร์หันด้านกระต่ายมาที่โลกตลอดวะ?” สนถามระหว่างเดินดูในอาคารด้วยกัน
“เพราะดวงจันทร์หมุนรอบตัวเองใช้เวลาเท่ากับที่โคจรรอบโลก เราเลยเห็นแค่ด้านเดียวของพระจันทร์ตลอดน่ะ” ผมทำมืออธิบาย
“ดูมึงชอบอวกาศมากเลยนะ”
“เหรอ?”
“ก็ตอนมึงอธิบาย มึงดูมีความสุขแล้วก็ยิ้มด้วยน่ะ”
“พ่อเราอยากให้เราทำงานนาซ่าน่ะ”
ผมพูดตอนมายืนเกาะรั้วอยู่หน้ายานสำรวจดวงจันทร์ “ชื่อเล่นดิมเป็นตัวย่อของ dimension น่ะ ชื่อจริงก็มาจากคำว่ามิติ พ่อจะให้ชื่อมิติวัตแต่แม่บอกว่าฟังแล้วเหมือนอยู่ในวัด”
ผมพูดสิ่งที่เคยบอกกับคนคนหนึ่ง สิ่งที่ผมรู้สึกมีค่าและผูกพัน
“ก็เคยเป็นมิธิวัตแทนสินะ?”
“อืม”
“แล้วมึงชอบมั้ย?”
“อืม ตอนเด็ก ๆ เราดูหนังไซไฟแล้วก็อยากรู้ว่าในอวกาศมีอะไร ก็เลยอยากไปนาซ่า”
“ดีเนอะมีความฝันใหญ่ ๆ” เขากอดผมจากด้านหลัง วางคางเกยลงบนบ่าผม
“ชื่อใบสนมีความหมายยังไงเหรอ?” ผมหันไปถามเขาบ้าง
“แม่บอกอยากให้กูตัวสูง ๆ เลี้ยงง่าย เป็นคนอดทน อายุยืนจะได้ดูแลพ่อแม่ มึงว่ามีอะไรตรงกับกูบ้างวะ?” เขาจบประโยคแบบติดตลก
“ทั้งหมดเลย”
“ดูแลมึงได้ด้วยนะ” พูดจบสัมผัสเย็น ๆ ก็แตะมาที่หูผม
“สน!” เล่นงับหูเลยเหรอ!
“เออ กูหมั่นไส้ เห็นมึงซึม ๆ เลยอยากแกล้งอ่ะ” คนแกล้งยังยิ้มกวนใส่ก่อนจะเดินไปดูเครื่องเล่นวิทยาศาสตร์รอบ ๆ  ใจเต้นรัวเลย ถึงในตึกพิพิธภัณฑ์จะไม่ค่อยมีคนก็เถอะ

ผมมองขึ้นไปเห็นปิงตรงนิทรรศการบนชั้นลอย ...บางทีโลกนี้อาจไม่มีความบังเอิญ...ถึงเวลาที่ผมต้องทำอะไรให้ชัดเจน...ผมก้าวเดินขึ้นบันไดไป...ถึงเวลาที่ผมต้องทำเพื่อปิง…

เด็กหนุ่มกำลังยืนอยู่หน้า ‘จานกระซิบ’ อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ที่เป็นจานโลหะวงกลมสีเงินขนาดใหญ่กว่าตัวคน และที่สุดฟากระเบียงอีกข้างของชั้นลอยก็มีเครื่องแบบเดียวกันนี้หันหน้าเข้าหากัน

“ถ้ามีคนพูดใส่จานอีกอันที่อยู่ห่างออกไป เราจะได้ยินเสียงสะท้อนออกมา” ปิงอ่านคำอธิบายบนแท่นข้าง ๆ แต่ถ้าไม่มีคนเล่นด้วยก็ทำการทดลองนี้ไม่ได้สินะ คิดอย่างนั้นเด็กหนุ่มจึงผละไปดูนิทรรศการอื่น

“ปิง”
เขาชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อแว่วออกมาจากจานวงกลมขนาดใหญ่นั้น

“ปิง นายได้ยินเรามั้ย?”
เขากลับหลังหันมองมาที่อีกฟากระเบียง เขาได้ยินผมแล้ว

“เราได้ยินเสียงนายแล้วดิม”
ปิงตอบกลับมา จากนั้นก็ไม่มีคำอื่นใด ทั้งผมและเขามองกันจากระยะห่าง...มันเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว...และจะเป็นแบบนี้ไปตลอดกาล...เราอยู่ไกลกัน

“ปิง”
“หืม?”
“เราเป็นเพื่อนกันเถอะนะ”

เขานิ่งเงียบไปนานก่อนจะตอบกลับมา “อืม เราเข้าใจ”
“นายดูแลจอยให้ดีนะ”
“ขอบใจนะดิม”
“แล้วก็...”
“อะไรเหรอดิม?”

ผมกลั้นใจพูดแต่ละคำที่แสนยากลำบากใส่จานรับเสียง “เรา...เราดีใจนะที่นายจำเรื่องที่เราเคยคุยกัน ต่อไปไม่ต้องมารอเราที่นี่แล้วนะ”

“ข...เข้าใจแล้ว ขอโทษที่ทำให้ลำบากใจ”
“อยาก...อยากมาเที่ยวเมื่อไหร่ก็โทรมา เราเพื่อนกัน”
“ดิมยังโกรธเรามั้ย?”
“เราไม่เคยโกรธนายนะ”
ปิงนิ่งเงียบไปนานก่อนจะส่งเสียงเบา ๆ มาอีกครั้ง “สนเขานิสัยดีนะ”
“อืม”
“เดี๋ยวเราต้องไปแล้ว ดีใจนะที่เจอดิมอีก”
“เรียนพิเศษตอนบ่ายจริงเหรอ?”
“จริงดิ ตัวท็อปของห้องย้ายไปโรงเรียนอื่น ไม่มีใครช่วยติวก็ต้องขยันเรียนเองแล้ว”
“ต๊อบกับโจ้สบายดีมั้ย?”
“ทุกคนสบายดี”
ผมก็คิดถึงเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนเก่านะ แต่เพราะผมไม่อยากเจอปิงก็เลยพลอยขาดการติดต่อเพื่อน ๆ คนอื่นไปด้วย

“ดิม เล่นอะไรอยู่วะ?” จู่ ๆ สนก็โผล่มาข้าง ๆ ผม
“เอ่อ...เล่นจานเสียงกระซิบน่ะ”
“คืออะไรวะ?” สนถามแบบงง ๆ แล้วมองไปเห็นปิงที่อยู่หน้าจานวงกลมอีกอันเขาก็เข้าใจการทำงานทันที
“คือกูพูดใส่อันนี้แล้วปิงเพื่อนมึงจะได้ยินเหรอ? ไกลขนาดนั้นน่ะนะ?”
“ใช่ ๆ”

...สนได้ยินอะไรที่ผมคุยกับปิงบ้างเนี่ย...

“งั้นลองหน่อย ฮัลโหล ๆ ปิงได้ยินเรามั้ย?”
“เราได้ยินนายแล้วสน” อีกฝ่ายตอบกลับมา
“จะเที่ยงแล้วไปกินข้าวที่เมเจอร์กัน”
“เราต้องไปเรียนพิเศษแล้วน่ะ”
“อ้าวเหรอ? เรายังไม่ได้เลี้ยงคืนค่าบัตรเลย”
“ไม่เป็นไรหรอก ...เอ้อ! สน!”
“อะไรเหรอ?”
“ฝากดูแลดิมนะ”

ปิงพูดประโยคสุดท้ายแล้วยกมือบอกลาผมและสนจากระยะไกล มือที่ทำนิ้วแบบท่าทักทายของชาววัลแคน เขาโบกมือ ยิ้มแล้วเดินจากไป...ปิงไปแล้ว…

“ดิม ได้ยินกูมั้ย?” สนจับไหล่ผมบนสะพานลอยที่เดินข้ามถนนสุขุมวิทไปห้างเมเจอร์ฝั่งตรงข้ามกับท้องฟ้าจำลอง
“ได้ยิน มีอะไรเหรอ?”
“กูถามว่าจะกินร้านไหนก่อนหนังฉายน่ะ?”
“ร้านไหนก็ได้”
“เป็นอะไรวะ? มึงดูเหม่อ ๆ”
“เปล่านะ” ผมใจลอยเรื่องปิงจนดูออกขนาดนั้นเลยเหรอ
“คิดถึงเพื่อนเก่าโรงเรียนเก่าเหรอ? มึงมาเข้าที่นี่คนเดียวเลยคงเหงาล่ะสิ?”
“ตอนแรกก็นิดหน่อยน่ะ แต่ตอนนี้ชินแล้ว”

ผมควรเล่าเรื่องปิงให้สนรู้ไหม ผมทำตัวไม่ถูกจริง ๆ ถ้าเขาโมโหแล้วไปทำร้ายปิงล่ะ แต่จะปิดแบบนี้ก็รู้สึกเหมือนซ่อนบางอย่างจากเขา ผมไม่อยากอยู่กับความรู้สึกแบบนี้
“ดิม”
“หืม?”
“มึงดูแปลก ๆ ซึม ๆ นะ มีอะไรรึเปล่า? บอกกูเหอะ” สนทำหน้าจริงจัง คืออาการของผมนี่ปิดไม่อยู่แล้วสินะ แต่ผมควรพูดไปดีไหม?
“คือ...”

...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราจะพูดทุกอย่างกันตามตรง...เราสองคนตกลงกันแบบนั้นนี่นา...

“คือ…” ผมกำมือเขาโดยไม่รู้ตัว “ปิงกับเราไม่ใช่แค่เพื่อนน่ะสน” เขาขมวดคิ้วเมื่อได้ยินอย่างนั้น
“พวกเราเคยคบกัน”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-08-2021 21:58:12 โดย Sorrowkung »

ออฟไลน์ Sorrowkung

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
King Class Away: Special 3

“เรากับปิงเคยคบกัน” ผมกลั้นใจพูดออกไป “ตอนม.3 เป็นช่วงสั้น ๆ ก่อนสิ้นปีที่แล้ว”
สนยืนนิ่งมองผม...ผมไม่รู้จะทำตัวยังไงแล้ว ทำได้แค่ปล่อยมือเขา

“ม.3? ตอนนั้นมึงก็คบกับเฟิร์สอยู่นี่ แล้วกับปิงนี่คือยังไงวะ?” เขาถามเบา ๆ
ผมหลบตาสน ไม่รู้จะอธิบายเรื่องทั้งหมดยังไง ผมไม่เคยรู้ว่ามันเริ่มยังไง จบยังไง ผมแค่หนีออกมาจากปัญหาด้วยการสอบเข้าโรงเรียนใหม่ให้ได้ วันที่ประกาศผลสอบผมก็คิดว่ามันคงจบแล้ว...มันจบตั้งแต่ที่ปิงบอกว่าเขายังลืมจอยไม่ได้...ตั้งแต่ตอนที่ผมบอกเขาว่าเราเป็นเพื่อนกันและให้เขากลับไปคบกับจอย...แต่ไม่ใช่อย่างนั้นเลย ปิงยังรอผมมาตลอด

“ดิม มองกู” เขาแตะไหล่ผมทั้งสองข้าง เอ่ยเสียงเบาแต่สายตาแน่วแน่มองตรงมาที่ผม “เหี้ย มึงอย่าร้องไห้ดิ”
“ม...ไม่ได้ร้อง”
“มา ๆ หาที่เงียบ ๆ คุยกัน” สนจูงมือผมไปหลังห้าง “ดิม กูเชื่อใจนะว่ามึงไม่ใช่คนเจ้าชู้ กูว่ามึงมีเรื่องอะไรแน่ ๆ”
“ช่างมันเถอะ”
“ไม่ได้เว้ย กูจำได้นะตั้งแต่วันแรกที่กูเจอมึง กูเห็นมึงเครียดทะเลาะกับเฟิร์ส และจริง ๆ มึงก็เครียดตั้งแต่วันจันทร์เปิดเทอมที่ชมรมสแครบเบิ้ลแล้วที่มึงลาออกเดินตามกูมาอ่ะ กูเป็นแฟนมึงนะ มีเรื่องอะไรมึงอย่าเก็บไว้คนเดียวสิ”

พวกเรามายืนอยู่ที่ลานจอดรถหลังห้าง ตอนนี้ไม่มีใครสนใจเรื่องหนังแล้ว
“สน สัญญาก่อนนะจะไม่โมโห”
“เออ เกี่ยวก้อยเลย” เขาพยายามปั้นหน้ายิ้มให้บรรยากาศคลายเครียดลง
“คือเรื่องมันเริ่มตอนม.3 ต้นเดือนธันวาปีที่แล้ว คุณครูบอกว่าจะให้แข่งประกวดร้องเพลงภาษาอังกฤษ”
ผมเล่าทุกอย่างให้สนฟัง งานประกวดที่เป็นจุดเริ่มต้นเรื่องทั้งหมด เรื่องที่ผมไม่เคยลืมแม้จะผ่านมาเกือบปีแล้ว แม้ผมจะพาตัวเองออกห่างจากเขามาไกลแล้ว

“คือไอ้ปิงมันชอบมึงเลยมาเนียนชวนมึงให้แกล้งเป็นแฟนมัน” คนตัวสูงสรุปใจความทั้งหมดออกมาเหลือประโยคเดียว
“ก็...ประมาณนั้น” สนจะเกลียดผมไหมนะ ขนาดผมยังเกลียดตัวเองเลยที่ปล่อยให้เรื่องเป็นอย่างนั้น เกลียดตัวเองที่ดันไปชอบปิงแต่ก็ยังเก็บเฟิร์สไว้ เกลียดที่ผมจูบเขาโดยไม่รู้ว่าปิงยังชอบจอยอยู่ ...และเกลียดตัวเองที่สุดตอนที่เห็นเขาเมื่อเช้าผมก็ยังรู้สึกอย่างเดิม

“มึงก็ไม่ได้ทำอะไรผิดนี่”
“แต่เรา..” ผมพูดยังไม่ทันจบเขาก็ดึงผมเข้าไปกอด
“ดิม ผิดไม่ผิดก็ช่างหัวมันดิวะ ใครก็เคยผิดเคยพลาดทั้งนั้นแหละ”
“นายไม่โกรธปิงใช่มั้ย?”
“.......” สนนิ่งไม่พูดอะไรตอบกลับมา “มึงไม่อยากให้กูโกรธมันเหรอ?”
“อืม”
“เออ งั้นกูก็ไม่โกรธมัน เฮ้อ! มึงนี่เจอแต่ความรักแปลก ๆ เนอะ” เขาพูดทั้งที่ยังกอดผมแน่นจนหน้าผมชนอยู่กับอกเขา “ที่ตอนนั้นมึงบอกว่าขอลองคบ 3 สัปดาห์น่ะ...เพราะตอนปิงทำให้มึงชอบเขาก็ใช้เวลา 3 สัปดาห์ใช่มั้ย?”
“อืม”
เขานิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ เขาจะรู้สึกยังไงเมื่อรู้ความจริงว่าทุกอย่างที่ผมทำนั้นมันคล้ายกับที่ปิงทำ ก็ผมคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าทำยังไงถึงจะสนิทกับเขาได้
“ดิม มึงรู้สึกดีขึ้นยัง?”
“อืม”
“ยังไปดูหนังทันอยู่นะ เข้าสายไปแค่ 15 นาทีน่าจะเพิ่งฉายหนังตัวอย่างจบมั้ง”

ตอนนี้ผมไม่ได้สนใจเรื่องหนังเลย แต่ไม่อยากให้สนพลาดหนังที่เขาอยากดู พวกเราเลยเดินขึ้นบันไดเลื่อนไปที่โรงหนัง ตอนนี้ภาพยนตร์เริ่มฉายไปหน่อยแล้ว สนจูงมือผมขอโทษและเดินผ่านผู้ชมคนอื่นเข้าไปยังที่นั่งแต่ผมดูหนังแทบไม่รู้เรื่องเลย สนเขานั่งเงียบไม่พูดอะไร ได้แต่นั่งจับมือกันเงียบ ๆ ไปทั้งเรื่อง (ซึ่งจริง ๆ เวลาดูหนังก็ไม่ควรพูดอะไร แต่การเงียบจังหวะนี้ทำผมเริ่มคิดมากว่าเขารู้สึกยังไง)
พอหนังเลิกตอนบ่ายสามเขาก็เอ่ยถามช่วงเดินออกจากโรง
“ดิม คืนนี้ไปค้างบ้านกูได้มั้ย? มาติวเลขให้กูหน่อย”
“ได้สิ”
“ไปรถเมล์กัน ไม่รีบอะไรไปรถเมล์ถูกกว่า” สนบอกอย่างนั้นและพาผมลงรถที่ป้ายพระโขนงเพื่อเดินต่อไปอ่อนนุชกลางแดดตอนบ่ายของวันเสาร์ ตอนแรกผมไม่เข้าใจว่าทำไมลงเร็วจังแต่ก็เดินตามเขาไป สนชี้มือไปย่านร้านค้าข้างทาง
“ตอนกูเด็ก ๆ ตรงนี้เคยมีโรงหนังโป๊ด้วยนะ กูมายืนหน้าโรงอยากรู้ว่าข้างในมีอะไรแต่ก็ไม่เคยเข้าไปสักทีจนเขาเลิกกิจการไป อ้อ! แล้วร้านตรงนั้นกูเคยเกือบหลงซื้อเครื่องเพลย์ราคาพันสอง ดีนะที่ไปถามพี่กูก่อน พี่บอกว่ามันเป็นเครื่องแฟมิคอมทำเลียนแบบเหมือนเครื่องเพลย์”
“ฮะ ๆๆ มีที่ไหนเนอะเครื่องเพลย์ราคาถูกขนาดนั้น สงสารใครที่หลงกลจัง”

พวกเราเดินข้ามสะพานพระโขนง สนชี้มือที่ลานกว้างริมแม่น้ำข้างหน้าที่มีรถบัสและรถสองแถวจอดเรียงราย “ทางทีก็มีพวกมาแสดงกลตรงนี้นะ กูเคยเห็นเขาเล่นอับดุลถามอะไรตอบได้หมด แล้วเขาเอาผ้าคลุมอับดุลแล้วเอางูปล่อยเข้าไปใต้ผ้าด้วย ตกใจฉิบเป๋ง”
“แล้วคนใต้ผ้าไม่สะดุ้งเลยเหรอ?”
“ไม่เลย เขานอนเฉย ๆ พอเปิดผ้าขึ้นเขาจับงูไว้ในมืออ่ะ ไม่รู้ทำได้ไงเนอะ แล้วตรงนั้นก็มีร้านขายสัตว์เลี้ยงนะ มีกระต่ายมีนกมีปลา ไอ้นกขุนทองตัวที่พ่อกูเลี้ยงหลังบ้านก็ซื้อจากร้านนี้แหละ”

พอเดินเลี้ยวเข้าถนนอ่อนนุชเขาก็คุยอีก “เมื่อก่อนตรงนี้มีร้านเกมตู้ด้วยนะ ตอนประถมวันไหนไม่มีซ้อมบาสหลังเลิกเรียนตอนเย็นกูกับไอ้บอมจะนั่งรถเลยมาเล่นเกมกันแล้วแวะร้านเช่าการ์ตูนค่อยกลับบ้าน แต่พอมีห้างฟากตรงข้ามคนก็ไม่ค่อยมาเดินตลาดฟากนี้ ร้านรวงก็ค่อย ๆ ปิดไป”
“แย่เลยเนอะ”
“อือ...เอ้อ ตรงที่พวกเราไปรอรถสองแถวมีร้านเต้าฮวยน้ำขิงอร่อยมาก ร้านเก่าแก่เลยนะ เก่าขนาดพ่อกูกินตั้งแต่วัยรุ่นเลย ไปกินกันก่อนขึ้นรถกลับบ้านนะ”

สนสั่งเต้าฮวยน้ำขิงและบัวลอยเฉาก๊วยมาแบ่งกันกิน น้ำขิงรสเผ็ดเข้ากับรสหวานจากน้ำตาลแดงมาก ผมกินพลางมองเข้าไปในตลาดที่ตอนนี้ส่วนใหญ่กลายเป็นที่ร้างว่างเปล่า ผมเห็นภาพชีวิตร่าเริงของเด็กประถมตัวสูงกับเพื่อนสนิทนั่งเล่นเกมตู้ด้วยกัน ยืนเลือกการ์ตูนเช่า นั่งกินเต้าฮวยน้ำขิง  เห็นอดีตของสนตามที่เขาเล่า จินตนาการตัวผมตอนประถมและม.ต้นกำลังสนิทกับเขาย้อนไปถึงวัยเด็ก
“คิดอะไรอยู่วะ?” สนถามเพราะคงเห็นผมนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง
“กำลังนึกภาพว่าถ้าเราสนิทกับสนตั้งแต่เด็ก ๆ คงสนุกดี”
“กูเล่าเรื่องของกูให้มึงฟังจะได้มีมึงในชีวิตกู มีกูในชีวิตมึง แล้ววันหลังมึงพาเที่ยวแถวบ้านมึงบ้าง ทุกที่ที่มึงชอบไป” เขาพูดพลางจับมือผมข้างชามเฉาก๊วย
“อืม ขอบใจนะสน”

พอมาถึงบ้านก็ขึ้นห้องนอนเพื่อไปติววิชาเลข
“จะติวเลยดีหรือจะ-” ผมหันไปถามสน แต่สิ่งที่ผมไม่คาดคิดคือเขาแบกตัวผมยกขึ้นบ่าโดยไม่ทันตั้งตัว “เฮ้ย! สนเล่นอะไร!?” 
ผมป่ายแขนพยายามจับตัวเขาไว้เพราะกลัวตก เขาไม่ตอบแต่เดินแบกผมเดินเข้าไปในห้องนอน เขาจะทำอะไรเนี่ย?

สนยืนหันไปมาครู่หนึ่งแล้วประคองหย่อนตัวผมลงบนเตียงแล้วขึ้นคร่อมบนตัวผม หน้าอยู่ใกล้มาก...หรือว่าเขาจะ…
“ดิม คือกู...”
หน้าเขาแดงก่ำ ไม่รู้เพราะจู่ ๆ ออกแรงแบกผมมาที่เตียง...หรือเพราะ…
ผมแตะใบหน้าของเขา หน้าที่บางครั้งก็ดูเข้มแข็ง บางครั้งก็หัวเราะ หน้าที่เคยคุ้นตาว่าชุ่มเหงื่อเวลาซ้อมบาส ตอนนี้ดูแตกต่างไม่เหมือนภาพอะไรที่ผมเคยจำได้ ผมสัมผัสหลังคอเขา ใบหน้านั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้พร้อมลมหายใจอุ่นร้อน ริมฝีปากแตะลงมาช้า ๆ เหมือนกังวลใจ ชั่วแวบหนึ่งผมรู้สึกผิดและเสียใจที่ไม่มีจูบแรกจะให้เขา

ผิดไม่ผิดก็ช่างหัวมันดิวะ ใครก็เคยผิดเคยพลาดทั้งนั้นแหละ

คำพูดของสนแว่วในหัว แม้ไม่ใช่จูบแรกแต่ผมก็มีความสุขที่สุด ความสุขที่ไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรในภายหลัง ริมฝีปากอ่อนนุ่มประกบช้า ๆ แล้วบดเข้ามาแรงขึ้นก่อนจะเคลื่อนไปที่หู สัมผัสแบบเดียวกับตอนอยู่ที่พิพิธภัณฑ์แต่อบอุ่นกว่า
“มึง...คือกู...กูทำไม่เป็น อย่าว่ากูนะ” เขากระซิบ คนอะไรทำหน้าเขินได้น่ารักผิดจังหวะมาก ๆ
“ทำเถอะ” ผมตอบได้แค่สั้น ๆ ผมเองก็ไม่ไหวแล้ว ผมจับชายเสื้อเขาถกขึ้นช้า ๆ เพียงแค่นั้นใบหน้าเขาก็ซุกไซ้ลงที่ซอกคอ มือลูบสะเปะสะปะไปตามตัวผมแล้วลอดเข้ามาใต้เสื้อผม เนื้ออุ่นของเราสองคนแลกสัมผัสกันมากขึ้นเมื่อเสื้อผ้าถูกถอดออกอย่างเคอะเขิน ร่างกำยำกอดและถูไถผิวอุ่นและเปลือยเปล่าไปทั่วทั้งตัวผม

“อ...อาา!” ท่อนเนื้อถูไถกับหน้าท้องผมแล้วเคลื่อนต่ำลงไปเรื่อย ๆ รู้สึกถึงความร้อนผ่าวและเปียกฉ่ำ ปากประกบปิดเสียงครางของผมไม่ให้ทัดทานเขาได้อีก ผมแค่ขอเวลาเตรียมใจแป๊บเดียวแต่เหมือนเขาจะรอไม่ได้อีกแล้ว ยิ่งดิ้นเพราะความกลัวเขากลับยิ่งกอดรัดและเคลื่อนหน้าไซ้ตั้งแต่คางมาที่ซอกคอและหน้าอก เจลเย็น ๆ ถูกป้ายที่ตรงนั้น ไม่ได้เตรียมใจเลยนะ ถึงช่วงหลายเดือนที่คบกันมาผมก็หวังว่าเขาจะทำเรื่องนี้สักทีแต่ก็มีแค่กอดกับหอมแก้ม แต่ไม่นึกว่าจะเป็นวันนี้

ใบหน้าคมเข้มของสนเคลื่อนมาจ่อชิดหน้าผมอีกครั้ง “ดิม...กู...ช่วยกูหน่อยนะ”
“อือ” ผมโน้มหน้าเขามาจะจูบ พวกเรากำลังจะไปถึงขั้นสุดท้ายแล้ว แต่เขายิ้มแหย ๆ “เปล่า คือหมายถึงช่วยใส่ถุงให้กูหน่อย กูพยายามแล้วแต่มันไม่ได้ว่ะ”
มือสนสั่นเบา ๆ ตอนยื่นทั้งสองอย่างมาให้ หน้าเขาแดงเป็นลูกตำลึงแล้ว “นายรูดลงผิดด้านน่ะ”
“กูไม่เคย” เขาพูดเบา ๆ
“เราก็ไม่เคยเหมือนกัน” เพิ่งเคยจับของคนอื่นครั้งแรกนี่แหละ มือไม้ก็สั่นไม่แพ้เขาหรอก
“อ้าว แล้วที่มึงบอกว่าคบกับปิงคือ...”
“แค่จูบกันครั้งเดียว จูบคืนนั้นแล้วก็เลิกคืนนั้นเลย”

สนยิ้มร่าทำหน้าโล่งใจ คือเขากังวลมาตลอดบ่ายเพราะคิดว่าผมเคยมีอะไรมาก่อนเหรอ
เขาเคลื่อนส่วนนั้นเข้ามาทีละนิด ทีละช้า ๆ จนเข้ามาแนบกันทุกส่วน เขาขยับตัวเบา ๆ  สนกระซิบเสียงกระเส่า
“เจ็บมั้ยวะ?”
“ม...ไม่เจ็บ”
“มึงอย่าโกหกดิ”
...ก็ถ้าบอกว่าเจ็บเดี๋ยวเขาก็ประหม่าอีก…

สนยิ้มจ้องตาผม ใบหน้าคมเข้มที่ทำผมใจเต้นอุ่นร้อนผ่าวในอกทุกครั้งที่ได้มองตอนนี้คลุกนัวเนียตามหน้าตามตัวผม ผมก็แตะปากจูบทุกส่วนบนตัวเขาที่ไม่เคยได้สัมผัส ความสุขมาจากทั้งสองด้านกับแรงเขาที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดจนเราเสร็จทั้งคู่ ผมกอดเขานอนอยู่เงียบ ๆ บนเตียงที่มีหมอนหลายใบอยู่รอบหัวเตียง มีแต่เสียงลมหายใจหอบถี่
“สน...ทำไมเป็นวันนี้ล่ะ?” ผมเอ่ยถามกับอกกว้าง
“ดิม กูมีอะไรจะบอกมึง”สนชันตัวขึ้นเกาหัวและยิ้มแห้ง ๆ
“อะไรเหรอ?”
“คือกู...ตอนแรกกูไม่ได้คิดจะมีอย่างว่ากับมึงนะ” เขาพูดอ้อมแอ้มแล้วก็หน้าแดง

“ที่กูแบกมึงขึ้นนั่นกูจะเล่นมวยปล้ำทุ่มมึงลงบนเตียง คิดว่าเล่นแบบนี้แล้วมึงน่าจะหายเครียดน่ะ กูกับไอ้บอมเล่นแบบนี้กันบ่อย ๆ”

เข้าใจละที่เตียงสนมีหมอนเยอะมากเพราะเอาไว้แทนเบาะรองเวลาเล่นมวยปล้ำนี่เอง  มือของสนขยี้หัวผมเบา ๆ “ก็ไอ้บอมเคยบอกว่ารู้สึกยังไงก็ให้ทำออกไปแบบนั้นน่ะ แต่พอจะทุ่มจริง ๆ กูกลัวมึงเจ็บ ก็ตัวมึงเบานิดเดียว ไม่ค่อยเล่นกีฬาออกกำลังอะไรเลย เดี๋ยวทุ่มลงกระดูกกระเดี้ยวหัก กูเลยเปลี่ยนใจวางมึงลง”
“อ้าว ก็นึกว่าอยาก” ผมเล่นตอบสนองให้ซะเลย
“มึงจูบมา กูก็เลยตามเลย” เขาหัวเราะเสียงสดใส “ขอโทษนะ กูแม่งไม่มีอะไรพร้อมสักอย่าง”
“ไม่หรอก นายน่ะมีพร้อมมาก ๆ เลยตะหาก”

ผมกอดร่างอุ่นนั้นไว้ คนตัวสูงที่มีพลังล้นเหลือ ยิ้มหัวเราะกับทุกอย่าง เวลาอยู่ใกล้เขาผมมีความสุขและมีมากขึ้นทุกวัน จากวันแรกที่ชมรมสแครบเบิ้ลที่เขาโมโหคนเล่นโกงแล้วลาออกทันที ...เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมจ้องมองเขา จนเดินตามเขาออกจากห้องชมรม…
...บ่ายวันรุ่งขึ้นที่หลังตึก ที่เขาบอกว่ากำลังกลุ้มเรื่องการเรียนแต่กลับหัวเราะร่า...
...เหมือนลูกโป่งที่หลุดมือแต่ยิ้มดีใจกับท้องฟ้ากว้างและแสงอาทิตย์…
...ผมรู้สึกว่าผมอยากสนิทกับเขา ทุกอย่างเริ่มมาจากวันนั้น...
จากวันนั้นผมก็มีสนเข้ามายืนอยู่ข้าง ๆ ในทุกวัน คนที่ไม่เคยทำอะไรหวาน ๆ แต่คอยอยู่ข้างกันตลอดตามที่เขาพูดประจำ ดูแลมึงคนเดียวน่ะไม่ยากหรอก ผมก็ตั้งใจจะดูแลเขาให้ดีเช่นกัน

“สน”
“หืม?”
“ติวเลข”
“........” ไม่มีสัญญาณตอบกลับใด ๆ “กูง่วง กูเหนื่อย มึงไม่เหนื่อยเหรอวะ?”
“ไหนบอกว่าจะให้ติวไง”
“ฮะ ๆๆ อันนั้นกูหลอกมึงมาเล่นมวยปล้ำเฉย ๆ” ร่างสูงหัวเราะร่วนพร้อมหยิบผ้านวมโปะทับผมก่อนจะมุดตามเข้ามาด้วย แบบนี้ไม่ได้ติวแน่ ๆ

-----------------------------------------------------------

วันจันทร์ ช่วงพัก 30 นาทีก่อนคาบ 7

ตี้กำลังยืนใช้หลอดดูดจิ้มเกลือขึ้นมาจากโถหน้าร้านขายน้ำข้างโรงอาหารแล้วจิ้มลงไปในขวดน้ำอัดลมให้ฟองฟู่ขึ้น
“ตี้ ใกล้คาบ 7 แล้วนะ ไปเข้าเรียนกัน” บอยสะกิดเขา
“เออ ๆ” ตี้ตอบอย่างหงุดหงิด

ตั้งแต่ขึ้นเทอมสอง คาบ 7 วันจันทร์กลายเป็นคาบวิชาเลือกสายอาชีพแล้วต่อด้วยคาบ 8 วิชาสันทนาการ สำหรับนักเรียนคนอื่นนี่เป็นสองคาบที่แสนบันเทิง เพื่อนที่สนิทกันก็มักเลือกวิชาเดียวกันได้ทำกิจกรรมและเล่นสนุกด้วยกันนอกเหนือจากการจับเจ่าเรียนหนังสือ แต่มันไม่ใช่สำหรับตี้

เพราะไอ้เอสดันไปลงวิชาความถนัดทางศิลปะ!

“บอย ถ้ากูอยากเปลี่ยนไปลงวิชาวาดรูป มึงว่าอาจารย์จะให้กูเปลี่ยนไหมวะ?”
บอยหยุดดูดไวตามิลค์แล้วหันมามองเพื่อนตัวโย่ง
“คือ...กูว่า...กูไม่ถนัดวิชาถ่ายภาพอ่ะ” ตี้พูดเสริมแบบอ้อมแอ้ม ไม่อยากให้เพื่อนซี้จับได้ว่าเขาอยากย้ายตามเอส
“ถนัดไม่ถนัดนี่กูไม่รู้นะ ที่แน่ ๆ มึงวาดนารูโตะแต่กูนึกว่ามึงวาดบาร์ท ซิมส์สันน่ะ”
“ไอ้เหี้ยยยย!”

บอยหัวเราะสะใจที่หยอกจุดอ่อนของตัวท็อปของห้องได้แล้วรีบวิ่งหนีไปทางตึก 1 โดยตะโกนให้ตี้รีบตามไปเข้าวิชาถ่ายภาพ ทิ้งตี้ยืนเซ็งอยู่คนเดียวระหว่างรีบดูดน้ำอัดลมให้หมดขวดก่อนกริ่งคาบ 7 จะเริ่ม

“เอส นายจะเลือกวิชาอะไรเหรอ?” ตี้ยื่นกระดาษสำหรับลงชื่อวิชาเลือกให้เพื่อนซี้ดูแล้วถือโอกาสเนียนยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ ระหว่างที่เอสกำลังง่วนก้มดูกระดาษใบนั้น แค่ได้โดนผมนุ่ม ๆ ของเอสเขาก็มีความสุขมากแล้ว เอสเลือกวิชาอะไรเขาก็จะเลือกอันนั้นแหละจะได้อยู่ด้วยกันนาน ๆ
“เราจะลงวิชาความถนัดทางศิลปะน่ะ เราจะเอ็นคณะสถาปัตย์”
“เหรอ งั้นเราลงด้วย”
“เอาจริงเหรอ? วิชาสังคมนายวาดแผนที่โลกเรานึกว่าใบ้หวย”
“ก็จะได้ฝึกวาดรูปไง” ตี้ยังพยายามไม่ลดละ
“เราว่านายลงวิชาถ่ายภาพดีกว่า เหมาะกับอาชีพนักข่าวนะ”

และนั่นทำให้ตี้ต้องจำใจลงวิชาถ่ายภาพ...เอาวะ! อย่างน้อยห้องเรียนของสองวิชานี้ก็อยู่ใกล้กัน ห้องโฟโต้อยู่ใต้ตึก 1 ส่วนห้องศิลปะอยู่ใต้ตึก 7 ซึ่งก็ห่างกันไม่กี่ก้าว แต่เอาเข้าจริงต่างคนต่างก็มีกิจกรรมในคาบเยอะจนแทบไม่ได้เจอกัน พอจบคาบ 7 ก็เป็นคาบสันทนาการ ตี้ต้องไปห้องโสต ส่วนเอสไปห้องสมุด

ยิ่งกว่านั้น พอเอสมีเวลาว่างก็หยิบสมุดสเก็ตไปนั่งฝึกวาดรูปคนเดียว เขาจะตามไปนั่งเล่นด้วยเอสก็ไม่ยอม บอกว่าเสียสมาธิ
“นายวาดอะไรอ่ะ?”
“อาจารย์บอกให้ฝึกวาดรูปคนสัตว์รถบ่อย ๆ”
“ขอดูหน่อยดิ”
“ไม่ได้ ยังวาดไม่สวย”

...อย่างน้อยเอสก็จำความฝันของเขาได้ และเขาก็เลือกวิชาถ่ายภาพตามที่เอสเคยบอกว่าเขาควรมีงานอดิเรกถ่ายรูป เล่นดนตรี เล่นกีฬา ร่างสูงได้แต่ปลอบใจตัวเอง แต่ทำไมยิ่งนานวันเขาเหมือนโดนกีดกันออกห่างจากไอ้น่ารักวะ

ได้อยู่ใกล้แค่ช่วงนั่งเรียนไม่หนำใจเลย เขาอยากอยู่กับเอสให้นานกว่านี้ อยากอยู่ใกล้ให้ใจเต้นกว่านี้ อยากให้เอสดูแลใส่ใจเขาทุกวัน เผื่อสักวันความใกล้ชิดจะทำให้เพื่อนคนนี้เปิดใจให้เขาบ้าง...ตั้งแต่เหตุการณ์ทำคลิปแฉห้องคิงครั้งนั้นเขาก็ไม่กล้าพูดความในใจอีกเลย ทำไมมันต้องมีอะไรมาขัดจังหวะทุกครั้งอย่างกับโดนฟ้ากลั่นแกล้ง

“อ้าว! ตี้ยังไม่ไปห้องโฟโต้อีกเหรอ?” เสียงบอมกับสนทัก
“เออ กำลังจะไปละ” คือจริง ๆ ไม่ค่อยมีกะใจจะไปเรียนเท่าไหร่
“ตี้ กูถามอะไรหน่อยสิ” บอมหันมองซ้ายมองขวาเหมือนจะชวนคุยอะไรสักอย่างที่เป็นความลับแล้วกอดคอตี้พาเดินไปหลังซุ้มขายน้ำ
“มีอะไรเหรอวะบอม?”
“คือมึง...”
“มึงยังจีบเอสอยู่ป่าววะ?” สนช่วยพูดเพราะเห็นบอมอ้ำอึ้ง ประโยคนั้นทำร่างสูงแทบสำลัก

“ดูออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอวะ?” ตี้ก้มหน้าถาม
“กูมองจากปากซอยโรงเรียนยังดูออก” บอมตอบทันควัน
“กูมองจากดาวอังคารก็ยังรู้อ่ะ” สนเสริม

“คือที่พวกกูถามเนี่ยเพราะ...” บอมเว้นช่วงพลางหันมองสนเพื่อนซี้ประมาณว่ากูพูดดีไหมวะ
“กูเห็นเอสนั่งกับน้องผู้หญิงม.3 มาสักพักนึงแล้ว”

คราวนี้ร่างสูงสำลักน้ำจริง ๆ พ่นเป็นสายรุ้งเลย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-07-2021 01:47:27 โดย Sorrowkung »

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
นิยายสนุกมากเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ :3123: :pig4:

ออฟไลน์ Sorrowkung

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
King Class Away: Special 4
คาบ 7 ณ ม้านั่งหินข้างตึก 1 ใกล้สนามฟุตบอล

“นั่นไง เอสกำลังนั่งกับน้องคนนั้น” บอมชะโงกโผล่หัวออกมามองจากมุมโรงพละ

“เฮ้ย! บอมอย่าชะโงกไปเยอะ เดี๋ยวไอ้เอสเห็น” ตี้โผล่ออกมาแต่ลูกตา พยายามดึงตัวบอมหลบกลับเข้าหลังกำแพง

“คุยกันด้วยว่ะ” สนชะโงกดูบ้าง สามหนุ่มโผล่หัวเรียงกันตามแนวตั้ง มองไปยังเป้าหมาย

คนตัวสูงหน้าเสีย ตอนแรกเขาคิดว่าสองสหายนักบาสอาจตาฝาด พยายามคิดเข้าข้างตัวเองต่าง ๆ นานาว่าเอสไม่มีทางนั่งคุยกับน้องผู้หญิงตามลำพังอย่างนั้นหรอก ยังไงไอ้น่ารักก็มีใจให้เขาคนเดียว ก็นั่งเรียนข้างกันมาจะครึ่งปีแล้ว ลง IG คู่กันทุกสัปดาห์ เพื่อนในห้องล้อจนเลิกล้อไปแล้ว แถมเอสก็ไม่เคยแสดงออกว่าชอบพอใคร ไอ้น่ารักต้องชอบเขาแน่ ๆ เพียงแต่ไม่กล้าแสดงออก เขาเองก็ไม่กล้าพูดชัด ๆ เลยทำแค่ได้อยู่ใกล้เอสไปเรื่อย ๆ ให้มันคลุมเครืออบอุ่นหัวใจอยู่อย่างนี้ก็พอ

แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่พอเสียแล้วเพราะภาพตรงหน้าทำให้หัวใจเขาเจ็บจี๊ด...ที่ผ่านมาคือ friend zone ตรูคิดไปเองข้างเดียวเหรอฟระ… เมื่อเขาเห็นกับตาว่าเอสนั่งวาดรูป ส่วนน้องผู้หญิงม.3 ก็นั่งวาดรูปอีกด้านของโต๊ะพลางคุยอะไรกับเอสไปด้วยท่าทางสนิทสนม

“เดี๋ยวกูลองเข้าไปใกล้ ๆ อยากรู้เขาคุยอะไรกัน” สนขยับตัวจะเดินเข้าไปหาเป้าหมาย

“เฮ้ย! อย่า! เดี๋ยวเอสมันรู้ว่าพวกเราแอบดูอยู่” ตี้รีบดึงเสื้อสนไว้

“ถ้างั้นเราย้ายไปโต๊ะอีกตัวที่อยู่ใกล้ ๆ มั้ย? มันมีต้นไม้กั้นอยู่ เอสไม่เห็นพวกเราหรอก” บอมเสนอ

“แต่มีน้องม.ต้นนั่งอยู่หลายคนเลยนะ” มองปราดเดียวเห็นผมสั้นและหน้าอกไม่มีเข็มโรงเรียนก็รู้ว่าม.ต้น อาจเป็นห้องเดียวกับน้องผู้หญิงคนนั้นด้วย

“งั้นกูไปไล่พวกแม่งเอง” สนทำหน้าเหี้ยมเกรียมแต่บอมปรามเพื่อนรักด้วยการเบิ๊ดกระโหลก

“มึงจะบ้าเหรอ เดี๋ยวเอะอะเสียงดัง เป้าหมายก็ไหวตัวกันพอดี มาวางแผนกันสามคนก่อน”

“สน บอม พวกนายกลับไปเรียนช็อปเหล็กเหอะ!” ตี้ตัดบท ถึงหลายหัวจะดีกว่าหัวเดียวก็เถอะ แต่ดูท่าจะไม่มีทางเข้าไปใกล้เอสได้เลย ยิ่งช่วยยิ่งยุ่ง มัวแต่ยุกยิก ๆ กันอยู่มุมตึกแบบนี้ถ้าเอสจับได้ว่าพวกเขากำลังแอบดูอยู่มีหวังโมโหแน่

“ถ้าทำให้น้อง ๆ กลุ่มนั้นลุกไปได้ก็โอเคใช่มั้ยบอม? งั้นเรากับดิมจัดการเอง”

“เยี่ยมเลยพัต ฝากด้วยนะ...ฮ...เฮ้ย! พวกนายมาได้ยังไง?!”

“เรามองเห็นพวกนายจากหน้าต่างห้องคอมที่ชั้น 3 ตึก 5 น่ะ คิดว่ากำลังทำอะไรกันก็เลยเดินมาดู” พัตตอบหน้าตายพร้อมพยักเพยิดกับดิม แล้วสองคนก็เดินเฉียดเข้าไปใกล้กลุ่มน้องม.ต้นที่นั่งรอบโต๊ะม้าหินใกล้ ๆ เอส

“เฮ้ย! นายจับ Abra ไชนี่ได้เหรอ?”

“ใช่ เราจับได้ตะกี้แถวหน้าโรงเรียนน่ะ” พัตตอบเบา ๆ พร้อมยื่นหน้าจอเกม Pokemon Go ให้ดิมดู

“น่าอิจฉาจัง! ตัวนี้หายากมาก แถมเป็นไชนี่อีก”

น้อง ๆ ที่นั่งก็หูผึ่งรีบลุกมาขอดูมือถือพัตทันที “จริงเหรอพี่?”

“จริงสิ ดูเนี่ยครับ รีบไปจับนะเดี๋ยวมันหายไปก่อน” พัตยื่นหน้าจอให้รุ่นน้องดู เท่านั้นแหละกลุ่มเด็กม.ต้นที่นั่งรอบโต๊ะก็รีบลุกวิ่งพรวดไปทั้งกลุ่ม

“นายนี่ฉลาดจริง ๆ สมกับเป็น Elite5” ดิมพูดพลางเข้ายึดโต๊ะได้โดยละม่อมแล้วส่งสัญญาณเรียกเพื่อนทั้งสามให้ย่องตามมานั่งด้วยกัน ตี้พยายามเงี่ยหูฟังแต่ก็กลัวเอสรู้ตัวเลยแกล้งนอนฟุบกับโต๊ะ อีกสี่คนก็หยิบสมุดหนังสือมานั่งอ่านเนียน ๆ ซึ่งก็ไม่รู้จะเนียนได้แค่ไหนเพราะในคาบนี้สองคนต้องไปเรียนช็อปเหล็ก อีกสองคนเพิ่งโดดวิชาโปรแกรมคอมพิวเตอร์พื้นฐานมา

“พี่เอสวาดรูปเก่งจัง ขอหนูดูได้ไหมคะ?”

“อย่าเลย ยังวาดไม่ค่อยสวย”

ตี้ใจชื้นขึ้นมานิด เอาวะ! อย่างน้อยเอสก็ไม่ให้น้องคนนั้นดูสมุดวาดเขียนเหมือนที่ไม่ยอมให้เขาดูเช่นกัน

“ฮื้อออ!” เด็กรุ่นน้องส่งเสียงบ่งบอกว่าโดนขัดใจแต่ก็ยังพยายามชวนคุยไม่เลิก “พี่จะเข้ามหาลัยไหนเหรอคะ?”

“สถาปัตย์มหาลัย XXX น่ะครับ”

ร่างสูงแอบดีใจได้ไม่กี่วินาทีก็หน้าสลดอีกครั้ง เอสเลือกที่มหาลัยชื่อยาวเป็นรถไฟและมีรถไฟแล่นผ่านจริง ๆ ซะด้วย...แต่นั่นไม่ใช่มหาลัยที่เขาเลือกจะสอบเข้า นั่นแปลว่าเวลาของเขากำลังหมดลงทีละช้า ๆ!! ที่สถาบันนั้นไม่มีคณะนิเทศซะด้วยสิ...เดี๋ยวนะ...หรือว่ามีฟระ? ตี้หยิบมือถือขึ้นมาค้นเน็ตทันที มีคณะนิเทศศาสตร์เกษตร คืออะไรเนี่ย? จบไปทำงานอะไรนะ? แต่ตอนนี้สนใจเรื่องไอ้คนข้าง ๆ ที่นั่งอยู่หลังรั้วต้นไม้นี่ก่อนเหอะ

“เย็นนี้พี่เอสเดินไปส่งหนูที่รถโรงเรียนได้ไหมคะ?”

อะไรนะ!!! ตี้สะดุ้งโหยงทำตาโต อีกสี่คนก็หูผึ่งมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

“คงไม่ได้นะ พี่มีกิจกรรมชมรมห้องสมุดหลังคาบ 8 น่ะครับ”

“นะ ๆๆ เพื่อนหนูชอบแกล้งอ่ะ พี่เดินไปส่งหนูหน่อยนะ”

“ถ้าว่างนะ” เสียงเอสตอบทำทั้งห้าคนรอบโต๊ะได้แต่มองหน้ากันด้วยความอึ้งไม่รู้จะพูดยังไงดี

“ใกล้หมดคาบ 7 แล้วพวกเราไปก่อนนะตี้” สมาชิกคนอื่น ๆ ลุกไปอย่างเงียบ ๆ ไม่ให้เอสรู้ตัว ส่วนตี้เดินเคว้งเสียศูนย์ไปห้องชมรมโสตทัศน์ ตลอดทั้งคาบเขาเรียนไม่รู้เรื่องเลย เขาควรทำยังไงดีฟระ?

เริ่มรักน้ำ-รักปลา-รักต้นไม้-รักโลก-รักการเกษตรตั้งแต่วันนี้เลยดีไหมจะได้สอบเข้าคณะนิเทศเกษตรมหาลัยเดียวกับเอส? แต่ต้นไม้ชนิดเดียวที่เขาเคยปลูกแล้วไม่ตายคือคุณนายตื่นสายนะ ที่เหลือตายเรียบ ไม่แห้งตายก็เฉาตาย ว่าแต่จบไปจะทำอาชีพอะไรเนี่ย? แล้วเขาจะหาเลี้ยงพ่อแม่กับไอ้เอสได้ไหมฟระ? ลำพังการเรียนได้คะแนนดีอย่างเดียวอาจไม่พอที่จะตามไอ้เอสไปได้ มันมีเรื่องทักษะและอะไรอีกมากมาย ไหนจะคณะที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนนี่จะปรึกษาใครได้นะ? แต่ตอนนี้ควรห่วงเรื่องเอสคิดยังไงกับน้องคนนั้นก่อนคิดเรื่องปลูกต้นไม้ไหม?

ตี้นั่งตัดต่อวิดีโอผลงานใหม่ของเขาอย่างมีสติครึ่งไม่มีสติครึ่ง การทำงานในห้องโสตเป็นสิ่งที่เขาทำหลังจบกิจกรรมชมรม ทุกทีเอสก็จะแวะมาหลังจัดหนังสือในห้องสมุดเสร็จเพื่อกลับบ้านพร้อมกัน บางครั้งก็แวะหาอะไรกินก่อนที่ปากซอยโรงเรียน ถ้ายังไม่เย็นมากก็ไปกินแถวห้าง MaxValu ตรงสี่แยกใกล้โรงเรียน
 พวกเขาสองคนทำอย่างนี้เป็นกิจวัตรมาแต่ไหนแต่ไร...แต่ตอนนี้เขาได้แต่นั่งอยู่คนเดียวไม่รู้ว่าคอยอะไร ป่านนี้เอสคงเดินไปส่งน้องคนนั้นที่รถโรงเรียน แค่คิดใจก็เจ็บแปลบขึ้นมาทันที อกหักใช่ไหมอย่างนี้

“ยังไม่เสร็จงานอีกเหรอ?” เสียงคุ้นเคยทักเบา ๆ

“เอส!? ทำไมอยู่นี่ล่ะ?” ตี้ทักอย่างงุนงงระคนความดีใจ เขานึกว่าไอ้น่ารักไปกับน้องคนนั้นแล้วเสียอีก

“ถามแปลก ๆ เราก็มาตามปกติน่ะ ตัดต่ออีกนานไหมกว่าจะเสร็จ?”

“ไม่ ๆๆ เดี๋ยวทำวันหลังก็ได้ กลับบ้านกันเถอะ” คนตัวสูงยิ้มดีใจลิงโลดเก็บอารมณ์ไม่อยู่ แต่เอสกลับบอกให้เขาทำงานต่อไป ก่อนนั่งลงที่เก้าอี้หล้งห้องโสตทัศน์ วางเป้บนตัก รูดซิปหยิบสมุดวาดเขียนขึ้นมา

“ไม่รีบน่ะนายทำงานไปเหอะตี้ เราก็อยากฝึกวาดรูปเหมือนกัน”

สองหนุ่มต่างทำงานของตัวเองไปเงียบ ๆ ซึ่งทุกทีก็เป็นอย่างนี้มานานแล้ว แต่วันนี้ตี้รู้สึกอึดอัดเหลือเกินเลยพยายามชวนคุย แต่พยายามระวังไม่พลาดคุยเรื่องน้องคนนั้นให้เอสรู้ว่าเขาแอบฟังหมดแล้ว “เราว่าเราสนใจคณะนิเทศศาสตร์เกษตรนะ”

เอสเงยหน้าขึ้นมา “คณะอะไรนะ?”

“นิเทศศาสตร์เกษตร ประมาณว่าเป็นคณะนิเทศที่สนับสนุนภาคการเกษตรของประเทศน่ะ แต่ก็ไปทำงานสายนิเทศอื่น ๆ ได้ด้วยนะ”

“ฟังดูน่าสนใจนะ มีที่มหาลัยไหนเหรอ?”

“มหาลัย XXX”

“บังเอิญจัง เราก็ว่าจะสอบเข้าคณะสถาปัตย์มหาลัยนี้เหมือนกัน ตี้นายชอบด้านนี้เหรอไม่เคยรู้?”

“ใช่ ๆๆ ไม่เคยบอกใครเลยนะ” เพิ่งรู้จักคณะนี้เมื่อ 1 ชั่วโมงที่แล้วนี่แหละ

“แล้วที่บอกว่าอยากเป็นนักข่าวที่ผดุงความยุติธรรมล่ะ?”

“อ...อันนั้นก็อยากเป็นอยู่ แล้วก็ผดุงการเกษตรด้วย” ไม่รู้จะไหลจะแถไปยังไงแล้ว ไอ้เอสดันจำความฝันที่เขาเคยพูดได้ด้วย ทั้งเขิน ทั้งดีใจ ทั้งตกใจ

“งั้น...เราเล่าเรื่องพิลึกของเราให้นายฟังบ้างดีกว่า” เอสเดินมาข้างหลังตี้ ก่อนที่ร่างสูงจะหันกลับไปดู เอสก็วางแขนทั้งสองบนบ่าเขาจากด้านหลัง “ดูนี่สิ”

เอสยกมือถือของเขาอยู่ตรงหน้าตี้ เป็นคลิปยูทิวป์ชื่อว่า Thunderbirds 1 Launch Sequence เป็นอนิเมชั่นที่ดูเก่าโบราณมากน่าจะยุค 60 ตี้ไม่เข้าใจว่าเอสต้องการให้เขาดูอะไร ผู้ชายคนหนึ่งอยู่ในคฤหาสน์ จากนั้นเขาก็...ใช้ประตูลับที่ผนังห้องหมุนเข้าไปเป็นฐานทัพลับใต้ดิน เขาเดินเข้าไปในจรวดลำใหญ่ จากนั้นสระว่ายน้ำกลางแจ้งด้านหน้าคฤหาสน์ก็ค่อย ๆ เลื่อนออกกลายเป็นแท่นปล่อยจรวด

“เฮ้ย! เจ๋งสาดดดด นายจะเรียนด้านอนิเมชั่นเหรอ?”

“เปล่า” เอสพูดอยู่ข้างหลังหัวของตี้แต่ตี้ก็ยังไม่เข้าใจ “เราจะเป็นสถาปนิกที่มีชื่อเสียงอันดับหนึ่งด้านการสร้างทางลับ กลไกห้องลับ ฐานทัพใต้ดิน เราชอบอะไรแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ ละ จนคุยกับนายเราเลยนึกขึ้นได้ว่าเราทำความชอบความฝันให้เป็นอาชีพก็น่าจะได้นี่”

“เฮ้ย! ไอเดียดีมากเลย”

“นึกว่านายจะแซวว่าติงต๊องซะอีก”

“ไม่หรอก เท่ชะมัดเลย” ตี้หันไปคุยกับเอสที่ยืนด้านหลัง ตอนนี้หน้าเขาอยู่ใกล้กันมาก บวกกับการเล่าแลกเปลี่ยนความฝันกันอย่างนี้ยิ่งทำให้หัวใจเขาพองโตราวกับได้ใกล้ชิดกันขึ้นไปอีกขั้น ความสนิทที่มีเฉพาะคนรู้ใจที่ไว้ใจกันเท่านั้น...แต่พอภาพน้องม.ต้นคนนั้นวนกลับเข้ามาในหัวเขาก็วนลูปกลับมาไม่มั่นใจ จิตใจสับสนสั่นไหวปนเปกันไปมาจนทำงานแทบไม่มีสติแล้ว

“เริ่มมืดแล้วกลับบ้านกันเถอะ” ตี้เซฟงานแล้วเริ่มเก็บของ เอสก็เก็บสมุดวาดเขียนเข้าเป้

“แล้วเรื่องการสร้างห้องลับนี่มหาลัยมีสอนไหมนะ?” ตี้ชวนคุยระหว่างเดินออกจากโรงเรียนไปทางปากซอย

“นั่นสิ ห้องลับน่ะก็ไม่ค่อยมีใครเอาผลงานมาเปิดเผยเนอะ จะหาความรู้คงยาก” เอสตอบ “เออ แล้ววิชาถ่ายรูปวันนี้เรียนอะไรเหรอ?”

“เอ่อ...คือ...” ฉิบหายล่ะ! วกมาคุยเรื่องนี้ทำไมฟระก็ตรูไม่ได้เข้าเรียนเพราะมัวแต่แอบฟังนายนั่งคุยกับน้องคนนั้นนี่แหละ ถ้าตอบมั่ว ๆ แล้วพรุ่งนี้เอสไปถามไอ้บอยมีหวังความลับแตกแน่ ๆ “เราหลับน่ะ”

“เฮ้ย! พอเราไม่ได้ไปนั่งเรียนด้วยก็นอนในคาบอีกแล้วนะ พรุ่งนี้ไปตามจดเล็คเชอร์จากไอ้บอยด้วยนะเว้ย” เอสเอ็ดเบา ๆ และหัวเราะตาม ตี้ก็หัวเราะเช่นกันพลางคิดในใจว่ามาเรียนด้วยกันทุกคาบได้ก็ดี เขาอยากให้เพื่อนสนิทคนนี้คอยดูแลอย่างนี้ตลอดเวลา

พอกลับถึงบ้านตี้ก็รีบกินข้าว อาบน้ำ ทำการบ้าน อ่านทบทวนเนื้อหาที่เรียนวันนี้แล้วจัดกระเป๋าให้เสร็จก่อนสามทุ่มครึ่งแล้วก็นั่งรอโทรศัพท์

กริ๊ง! ตรงเวลามาก ตี้กดรับทันทีและเสียงปลายสายอีกฝั่งก็พูดประโยคเดิมที่คุ้นเคย

“ทำการบ้านเสร็จยัง?”

“เสร็จแล้ว จะลอกป่ะ?”

“ตลกละ! อย่านอนดึกนะเว้ย!”

“เตรียมตัวนอนแล้วเนี่ย แล้วนายล่ะเอสทำการบ้านเสร็จยัง?”

“เสร็จละ นี่อ่านวิชาของพรุ่งนี้เสร็จแล้ว ราตรีสวัสดิ์นะ”

เนี่ย ๆๆๆ ตั้งแต่จบเรื่องห้องควีนห้องคิงนั่นเอสก็ยังโทรมาบอกราตรีสวัสดิ์เขาเหมือนเดิมแทบทุกคืน แล้วแบบนี้จะให้เขาไม่คิดได้ไง! เพื่อนที่ไหนเขาจะทำแบบนี้กันฟระ? เอสพูดประโยคนี้ทีไรทำเขาใจเต้นทุกที...โดยเฉพาะคืนนี้ที่ความรู้สึกมากมายประดังประเดเข้ามา เขาไม่อยากให้น้องคนนั้นมาแย่งเอสไป ความรู้สึกมันออกมาเป็นประโยคนี้

“คิดถึงนายว่ะเอส”

อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่ง ตี้นึกว่าเอสพูดว่า “อะไรนะได้ยินไม่ชัด” เหมือนทุกทีที่มักมีอะไรมาขัดขวางเสมอจนเขาอยากซื้อมือถือใหม่ให้รู้แล้วรู้รอด แต่เงียบไปแบบนี้คือคนที่ปลายสายได้ยินชัดเจนใช่มั้ยฟระ! ร่างสูงใจเต้นระรัวว่าเอสจะตอบยังไง โอ๊ย! ขอให้ตอบรับทีเถอะ!

“เออ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เจอกันแล้ว”

เอสพูดจบก็วางสายไป ทิ้งตี้นอนคิดมากคนเดียวว่าตกลงเอสเข้าใจว่ายังไงฟระ ทำไมตอบกลับน้ำเสียงราบเรียบจัง? หรือไม่คิดอะไรเลย? หรือเห็นเราเป็นแค่เพื่อนฟระ? หรือประโยคนั้นมันสื่อความหมายไม่ชัดเจน? หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำจนนอนไม่หลับเลย ตอนช่วงเปิดเทอมแรก ๆ เขาพูดล้อเรียกเอสว่าคุณแฟนได้ขำ ๆ แบบไม่รู้สึกอะไรเลยแท้ ๆ

ตี้ยกมือถือมาเปิดดูข้อความทั้งใน IG, Facebook และ Line ไม่มีใครทักเรื่องงานใด ๆ มาเลย เมื่อช่วงเปิดเทอมใหม่ ๆ ยังได้งานถ่ายแบบรีวิวสินค้าอะไรบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ แต่ตอนนี้เงียบกริบ หรือเศรษฐกิจจะไม่ดีฟระ? เขาอยากมีรายได้ให้เอสเห็นว่าเขาเลี้ยงดูไอ้น่ารักได้...แต่ชีวิตมันไม่ได้ง่ายแบบนิยายแฮะ

ตี้ถอนหายใจพลางโยนมือถือไว้ข้างเตียงแล้วลุกไปแปรงฟันเตรียมตัวเข้านอน แต่เสียงเตือนข้อความไลน์ก็ดังตะดึ๊งขึ้น ตี้หยิบอ่านเผื่อจะเป็นข้อความจากเอส...แต่กลับมาจากเพื่อนสนิทอีกคนคือบอย

บอย: แหม ๆๆ พวกมึงนี่หวานกันจังนะ

ร่างสูงขยี้ตาอ่านอีกที ใครหวาน? ไอ้บอยส่งผิดคนหรือเปล่าเนี่ย?

Ty_Tweetie: อะไรหวาน?
บอย: อ้าว นี่ยังไม่รู้จริง ๆ เหรอ?
Ty_Tweetie: เรื่องอะไร?
บอย: งั้นกูบอกให้ละกัน 18 43 57 16 16
Ty_Tweetie: อะไรวะ? ใบ้หวยเหรอ?
บอย: สม ไม่ตั้งใจเรียนก็งี้แหละ


อะไรฟระ? ท็อปห้องนะเฟ้ย! ถึงบางวิชาจะไม่ค่อยตั้งใจบ้าง หลับในห้องบ้างก็เถอะ

บอย: อ่ะสงสารคนกำลังมีความรัก กูใบ้ให้หน่อยนึงละกัน 1-118 รีบไปดูละกันเดี๋ยวเค้างอน แล้วไม่ต้องโทรมานะ กูเด็กดีตอนแต่หัวค่ำ

หลังจากบอยทิ้งปริศนาตัวเลขให้ก็ปิดเครื่องไปเลย ทิ้งให้ตี้ยืนงงคาบแปรงสีฟันค้างไว้แบบนั้น เรื่องอะไรก็ไม่รู้แต่มันต้องเกี่ยวกับไอ้เอสแน่ ๆ เรื่องเดียวที่ไอ้บอยชอบแซวก็คือเรื่องนี้แหละ พอคิดแบบนี้แล้วยิ่งอยากรู้ว้อย! ตี้ลองถอดรหัสแบบต่าง ๆ ทั้งบวกลบคูณหาร การเพิ่มแบบมีเงื่อนไข เซ็ตสมการและวิธีอื่น ๆ อีกล้านแปดแต่ก็ไม่ได้อะไรนอกจากความปวดหัว

ไอ้บอยมึงนอนหัวค่ำแต่ตอนนี้ตรูนอนไม่หลับแล้ว!


รุ่งสางวันอังคารเด็กหนุ่มตื่นขึ้นมาด้วยอาการสะโหลสะเหลเพราะนอนคิดเรื่องปริศนาที่บอยให้จนหลับไปตอนไหนไม่รู้ ที่แน่ ๆ เลยเที่ยงคืน เตียงก็ดูดวิญญาณเสียเหลือเกินแต่กระนั้นก็ต้องตื่นให้ได้ไม่งั้นเอสโมโหแน่ ระหว่างขึ้นรถเมล์มาโรงเรียนก็ยังคิดวนเวียนเรื่องนี้ แต่ถึงยังไงก็คิดไม่ออก เห็นทีต้องพึ่งคนอื่นละ ตี้หยิบมือถือโทรไลน์หาคนที่น่าจะช่วยเขาได้ที่สุด สุดยอด Elite5 ของกลุ่ม

“หวัดดีพัต ว่างอยู่ไหม?”

“อืม นี่อยู่บนรถไฟฟ้ากำลังไปโรงเรียน มีอะไรเหรอตี้?”

“ช่วยแก้ปริศนานี้ให้หน่อยสิ 18 43 57 16 16”

“หืม?”

“คำใบ้คือ 1-118 เราคิดไม่ออกเลย มันก็คือติดลบ 117 แล้วยังไงต่อ?”

“คือให้หาเลขลำดับถัดไปเหรอ?”

“เปล่า น่าจะเป็นสถานที่นะ ไอ้บอยเพื่อนเราบอกให้รีบไปดู”

“ให้รีบไปดู แปลว่าต้องเป็นสถานที่ในโรงเรียนล่ะมั้ง พอมีคำใบ้อะไรมากกว่านี้ไหม?”

ตี้แคปหน้าจอไลน์ที่คุยกับไอ้บอยเพื่อนรักตัวแสบเผื่อมีคำใบ้ไหนที่เขาตกหล่นไปแล้วส่งให้พัต
“ไอ้บอยมันพิมพ์มาด้วยว่า สม ไม่ตั้งใจเรียนก็งี้แหละ”

“มีวิชาไหนที่นายไม่ตั้งใจเรียนเหรอ?”

“โห ถามตรงว่ะนายยยยย” ตี้ตอบพลางหัวเราะขำ

“มันคือคำใบ้น่ะอย่าคิดมาก”

“ถ่ายรูป สุขศึกษา เคมี”

“คำใบ้ 1-118 อาจไม่ใช่โจทย์คณิตศาสตร์”

“งั้นคืออะไรเหรอ?

“ของที่มีทั้งหมด 118 ตัว อาจจะเป็นตารางธาตุนะ”

โห! ไอ้บอยมึงเล่นของยากที่แท้ทรู ตรูเคยท่องจำตารางธาตุซะที่ไหนเล่า จำได้แค่ธาตุหลัก ๆ ที่ใช้ในการบ้านเท่านั้นแหละ ถึงเทอมที่แล้วตอนประกวดสิ่งประดิษฐ์วิทยาศาสตร์จะทำแบบจำลองโมเลกุลก็เถอะ ตี้พยายามหยิบตำราวิชาเคมีออกมาจากกระเป๋าอย่างทุลักทุเลบนรถเมล์



“ลำดับที่ 18 คือ Ar ธาตุ Argon”
“ลำดับที่ 43 Tc ธาตุ Technetium”
“ลำดับที่ 57 อยู่ไหนเนี่ย? เอ๊า! ทำไมมันกระโดดข้ามไป 71 เลยล่ะ?”

“ธาตุลำดับที่ 57 อยู่แถวล่างน่ะ ธาตุกลุ่ม Lanthanide มีคุณสมบัติไม่เหมือนธาตุตัวอื่น ๆ ในตารางหลักเลยแยกออกไปอีกแถว” พัตตอบกลับเหมือนรู้ว่าตี้ต้องงงตรงนี้แน่ ๆ

“อ๋อ เจอแล้วลำดับที่ 57 คือ La ธาตุ Lanthanum ส่วนลำดับที่ 16 คือ S ธาตุ Sulfur กำมะถัน” ธาตุที่มักใช้ในโจทย์วิชาเคมีบ่อย ๆ เขาเลยจำชื่อได้...แล้วไงต่อล่ะ? ตี้ลงรถเมล์ที่หน้าโรงเรียนแล้วหยิบปากกาขึ้นมาเขียนใส่สมุด Argon Technetium Lanthanum Sulfur Sulfur ไม่เห็นมีความหมายอะไรเลย? ไม่ได้ใกล้เคียงสถานที่ใด ๆ ในโรงเรียน เหมือนจะเป็นคาถาอัญเชิญเทพมากกว่าเสียด้วยซ้ำ นี่เขามาถูกทางหรือเปล่าหว่า?

เดี๋ยวนะ… Ar Tc La S S

“รู้แล้ว! ขอบใจมากพัต!” ตี้พูดพลางรีบเก็บสมุดปากกาตำราเคมีลงกระเป๋าแล้ววิ่งไปสถานที่ปริศนาที่บอยบอก Ar Tc La S S ถ้าเขียนติดกันแล้วเว้นวรรคใหม่จะกลายเป็น ArT cLaSS ห้องเรียนวิชาศิลปะ! ไอ้นี่แน่ ๆ!

ตี้วิ่งเหยาะ ๆ ตั้งแต่ปากซอยเข้าประตูโรงเรียนมาถึงห้องเรียนวิชาศิลปะที่ว่า เขาย่างเท้าเข้าไปโดยไม่แน่ใจว่าต้องมองหาอะไรกันแน่ ของที่ไอ้บอยบอกให้รีบมาดูก่อนเอสจะงอน ตี้มองไปรอบห้องจนเห็นกระดานติดผลงานนักเรียนที่ฝาห้องด้านหนึ่ง เด็กหนุ่มมอง 3 ภาพบนกระดานนั้น ภาพที่ทำให้เขาลืมความเหนื่อยไปในบัดดล
ภาพตัวเขาเอง กับชื่อผู้วาด นายเอกยุทธ ชั้นม.4/3
...เอสวาดภาพเขา...

*ภาพจาก https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/2/2e/Simple_Periodic_Table_Chart-en.svg/1200px-Simple_Periodic_Table_Chart-en.svg.png
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-09-2021 10:22:42 โดย Sorrowkung »

ออฟไลน์ Sorrowkung

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
King Class Away: Special 5

ภาพนั้นเป็นภาพตัวผมนั่งทำงานในห้องโสตทัศน์ท่ามกลางอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่แสนรกมากมาย ภาพถูกวาดด้วยดินสอ ลงแสงเงาและเก็บรายละเอียดอย่างตั้งใจจนอาจารย์เลือกมาติดกระดานแสดงผลงานนักเรียนในห้องวิชาศิลปะ

ช่วงเวลาเดียวที่จะวาดได้คือตอนหลังเลิกเรียนที่เอสมานั่งเป็นเพื่อนระหว่างรอเขาตัดต่อวิดีโอ กว่าจะวาดได้น่าจะใช้เวลาหลายสัปดาห์โดยที่ผมไม่รู้ตัวเลยว่ามีสายตาไอ้น่ารักมองจากด้านหลังเช่นนั้นมานานแค่ไหนแล้ว ผู้ชายที่ไหนจะทนใช้เวลานั่งมองเพื่อนผู้ชายสัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่าซ้ำ ๆ อย่างนี้

คิดได้อย่างเดียวคือเอสมีใจให้ผม...ใช่ไหม?

ตั้งแต่ช่วงเข้าแถวหน้าเสาธงจนเดินเข้าห้องประจำชั้นม.4/3 ผมพยายามหาประโยคคุยกับเอส...แต่ก็ไม่รู้จะพูดว่ายังไงดี ไม่รู้จะเรียบเรียงความรู้สึกในใจออกมาเป็นคำพูดยังไง

เราเห็นรูปเราที่นายวาดแล้วนะเอส สวยดี ขอบใจนะ
โอ๊ย! ธรรมดาไป ไอ้เอสอุตส่าห์ตั้งใจวาด มันต้องพูดอะไรที่พิเศษกว่านี้สิฟะ

นายคิดไงวะวาดรูปเรา?
ฟังดูเหมือนไม่พอใจอ่ะ พูดแบบนี้จบข่าวเลย

เอสนายชอบเราป่ะเนี่ยถึงวาดรูปเรา?
ห่าน! เกิดเอสมันบอกว่าก็ไม่รู้จะวาดใคร อันนี้จบเห่แหง

เอส คือเราชอบนาย
อันนี้แหละตรงสุดแล้ว...แต่จะพูดตอนกำลังเรียนอยู่เนี่ยนะ?

“จบโฮมรูมแล้ว เริ่มเรียนวิชาคณิตศาสตร์กันนะคะ เปิดไปบทภาคตัดกรวยค่ะ” เสียงอาจารย์พูดหน้าชั้นเรียนแล้วเริ่มเขียนเนื้อหาบนกระดาน ฉิบหายแล้ว เริ่มเรียนแล้วก็หมดโอกาสคุยสิ ถ้าคุยกันตอนนี้แล้วโดนอาจารย์ดุมีหวังอารมณ์โรแมนติกพังยับเยินเกินจะฟื้นแหง ๆ เอาไว้หลังจบคาบแรกค่อยหาโอกาส ยังไงผมต้องเป็นคนแรกที่บอกไอ้น่ารักว่าผมได้เห็นภาพนั้นให้ได้ (ถึงจริง ๆ แล้วคนที่เห็นคนแรกคือไอ้บอยต่างหาก)

เอสใช้เวลาช่วงที่นั่งรอเขาวาดรูปนั้นมานานเท่าไหร่แล้วนะ ทำไมเขาถึงไม่เคยรู้ตัวเลยว่าช่วงเวลาตอนนั้นช่างมีความหมายเหลือเกิน ยามเย็นหลังเลิกเรียน ช่วงเวลาสั้น ๆ ที่อยู่กันตามลำพังสองต่อสอง ช่วงเวลาที่สายตาของไอ้น่ารักจับจ้องที่ผม เก็บรายละเอียดทั้งหมดของห้องโสตทัศน์ที่แสนรกรุงรังถ่ายทอดออกมาผ่านดินสอและกระดาษ ผมคิดเข้าข้างตัวเองว่าเอสต้องรู้สึกพิเศษกับผมแน่นอน ต้องบอกให้ไอ้น่ารักรู้ว่าผมก็คิดแบบเดียวกัน ไม่มีโอกาสไหนดีไปกว่านี้แล้ว

บอยหันมาหาผมแล้วกระซิบถาม “ตี้มึงเห็นยัง?”

“เออ เห็นแล้ว” ผมตอบเบา ๆ มึงอย่าหันมาคุยดิเดี๋ยวอาจารย์ว่าหรอก

“เอส กูเห็นรูปที่มึงวาดแล้วนะ สวยดีว่ะ” บอยพูดกับเอสแล้วหันกลับไปเรียนต่อ ขอบใจมากไอ้เพื่อนเวร หมดกันโอกาสบอกเอสว่าเขาเห็นภาพนั้นเป็นคนแรก

“ขอบใจนะ” เอสเอื้อมมือไปแตะบ่าไอ้บอยที่นั่งข้างหน้าพลางตอบสั้น ๆ

แม่งเอ๊ย! มือนั้นควรแตะบ่าตรูต่างหาก ผมดึงฝาปากกาออกมาแล้วดีดก้านกระเด็นไปใส่หัวไอ้เพื่อนเวรที่ทำลายบรรยากาศป่นปี้แล้วก้มหน้าอ่านหนังสือก่อนที่ไอ้บอยจะทันหันมาหาว่าใครเป็นมือสังหารดีดปลอกปากกาใส่หัวมัน

“ตี้ เราจดไม่ทันน่ะที่อาจารย์บอกว่าไฮเปอร์โบลาต่างจากพาราโบลายังไง” เอสหันมาถามหลังจบคาบแรก มาแล้วเวลาที่ตรูจะได้แสดงความสามารถที่อุตส่าห์อ่านล่วงหน้าและดูสรุปในยูทิวป์มาก่อนตั้งหลายวัน ตามที่พัตแนะนำ

“ไฮเปอร์โบลาจะมีจุดโฟกัส 2 จุดน่ะ” ผมวาดภาพอธิบายในสมุดที่วางลงตรงกลางระหว่างโต๊ะของเราสองคนพร้อมเขียนองค์ประกอบแบบกราฟทำให้เอสเขยิบหัวเข้ามาดู ผมเองก็เอียงหน้าไปหา ได้ใกล้ชิดขึ้นอีกนิดหน่อยตรูก็เอาหมดแหละ

“เอส เราเห็นรูปเราที่นายวาดแล้ว เราชอบมากเลย ขอบใจนะ สวยจนอาจารย์เอาขึ้นกระดานเลย” ผมพูดไปเบา ๆ

“อืม ขอบใจนะที่เป็นแบบให้ แต่ไม่มีค่าตัวให้นะเว้ย” เอสหัวเราะร่าเริง ผมมองหน้าเกลี้ยงที่มีไรขนอ่อน ๆ คนนี้ที่โทรมาบอกราตรีสวัสดิ์ไล่ผมไปนอนแต่หัวค่ำทุกคืน เอาใจใส่ผมตลอดเวลา

ผมตัดสินใจแล้ว เที่ยงนี้แหละผมต้องพูดออกไปให้ได้!



และแล้วก็ถึงเวลาพักเที่ยง กลุ่มพวกเรา 6 คนมานั่งกินข้าวด้วยกันตามเคย แต่ที่ไม่ปกติคือ 4 คนนั่นมองมาด้วยสายตาแปลก ๆ เดาว่าทุกคนคงเห็นรูปที่เอสวาดผมในห้องศิลปะแล้วแน่ ๆ (พัตน่าจะไขปริศนาได้ตั้งแต่ตอนที่ผมเล่าให้ฟังแล้วล่ะ) แต่คนในโรงอาหารก็เยอะเหลือเกิน บรรยากาศมันเป็นใจตรงไหนวะเนี่ย? หรือผมรอคุยตอนเย็นหลังเลิกเรียนที่น่าจะโรแมนติกกว่า? แต่อีกใจก็คิดว่าถ้าเกิดน้องผู้หญิงม.ต้นคนนั้นมาสารภาพรักกับไอ้เอสล่ะ จังหวะซิตคอมแบบนั้นมันอาจเกิดขึ้นได้นี่หว่า ที่ผ่านมาก็มีอุบัติเหตุอาเพศลมพัดกลบเสียงอะไร ๆ ก็มีมาหมดแล้วเหมือนฟ้าจงใจ ผมเขี่ยผัดฟักทองในจานไปมารวบรวมความกล้าจนมันแทบจะกลายเป็นแยมฟักทองไปแล้ว

“เอ่อ...เอส เรามีเรื่องอยากคุยด้วยน่ะ” ผมเงยหน้าพูดเบา ๆ กับเอสที่นั่งตรงข้าม มันเป็นคำสั้น ๆ แต่เป็นก้าวแรกที่อาจจะเปลี่ยนความสัมพันธ์ของผมกับเอสไปตลอดกาล

“อืม” ไอ้น่ารักตอบกลับมาเบา ๆ ไม่เหมือนทุกที ตามปกติมันมักจะถามทันทีว่าเรื่องอะไร พอสังเกตดูดี ๆ มันก็เขี่ยไข่ต้มในจานไปมาเหมือนกัน

หรือว่าเราใจตรงกัน? บอมหันมาสบตากับผมเหมือนจะส่งสัญญาณแล้วชวนพัตลุกไปซื้อขนมทันที “พัต เราอยากกินสาหร่ายน่ะ ไปซื้อด้วยกันนะ”

“อือ อยากกินบัวลอยด้วย” พัตตอบแล้วลุกไปโดยยังปล่อยจานอาหารไว้บนโต๊ะ ส่วนดิมก็สะกิดสนว่าไปหาขนมกินกัน แป๊บเดียวโต๊ะตรงนั้นก็เหลือแค่ผมกับเอสตามลำพัง แถมจานที่ทั้งสี่คนวางไว้บนโต๊ะกลายเป็นปราการป้องกันไม่ให้คนอื่นมานั่งร่วมโต๊ะด้วย ขอบใจมากนะพวกนาย! ตอนนั้นอยู่กันแค่สองคนแล้ว เป็นไงเป็นกัน!

“เอส...คือเมื่อคืนที่เรา เอ่อ...บอกว่าคิดถึงนายน่ะ คือเราคิดถึงจริง ๆ นะเว้ย ไม่ได้เล่นมุก”

“อืม” เอสตอบสั้น ๆ จนผมไปต่อไม่เป็นเลย ผมก้มหน้าเขี่ยข้าวกินข้าวไปต่อ ไม่ได้แล้วบรรยากาศ dead air แบบนี้ ผมคิดถึงประโยคหนึ่งที่เคยได้ยินน้าเน็กพูดตอนไลฟ์ ...เวลาเราชอบใคร เราจะตัวเล็ก…

ผมจะตัวเล็กไม่ได้! ไม่งั้นผมจะดูแลไอ้เอสได้ไงวะ!

ผมมองคนตรงหน้า...ไอ้คนที่คุยเรื่องเกมเสียงดังวันแรกตอนเจอกันในที่เรียนพิเศษ
คนที่กล้ายอมรับผิด ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าที่ผมคิด
คนที่บ่นว่าไม่ชอบให้ถ่ายรูปแต่ก็ยอมให้ถ่ายลง IG สัปดาห์ละ 3 ครั้ง
คนที่กัดกันทุกวันแต่ดูแลผมเรื่องอาหาร การเรียน เข้านอน โทรปลุก
คนที่สนับสนุนให้กำลังใจผมมาตลอด มานั่งเป็นเพื่อนที่ห้องโสตหลังเลิกเรียนประจำ
คนที่โคตรน่าแกล้ง แต่ตอนนี้อยากอยู่ด้วยทุกวัน
ความสนิทสนมทั้งที่โรงเรียนและที่เรียนพิเศษ ช่วงเวลาดี ๆ ที่นั่งรถไฟฟ้ากลับบ้านด้วยกันหลังเรียนพิเศษ ตัวอุ่น ๆ ที่ผมเคยแบกบนหลัง

ความรู้สึกในใจมันมากมายมหาศาลบานตะไท แต่ปากก็ยังหนักไม่กล้าพูดอยู่ดี! ก็มันกลัวนี่โว้ย! ถ้าไอ้เอสปฎิเสธผมล่ะ ตอนนี้อยากมีตัวช่วยอะไรสักอย่าง…

“ตี้! มึงก็บอกไปดิว่ามึงชอบเอสน่ะ! กูแดกสาหร่ายไปหลายซองจนคอแห้งแล้วเนี่ย!” สนโผล่หัวขึ้นมาตะโกนจากขอบรั้วโรงอาหารด้านที่ติดกับสนามบาสจนผมสะดุ้งโหยง

“เหี้ย! นี่นายแอบฟังเหรอวะ?”

“เออ ก็กูรอเก็บจานอ่ะ งั้นกูฝากเก็บละกันนะ ไปละ!” ไอ้เพื่อนตัวสูงตัวแสบฉีกยิ้มกว้างแล้วเผ่นแน่บไปหลังจากหย่อนระเบิดลูกใหญ่ ผมพุ่งไปขอบรั้วโรงอาหาร ดูที่สนามบาสว่ายังมีใครอีกไหม พอหันกลับมาก็เจอไอ้เอสจ้องหน้าแล้ว

“คือ...” ผมสูดหายใจลึก ๆ หลังความช่วยเหลือจากเพื่อนมาแบบไม่คาดคิด “เราชอบนายนะเอส”

ไอ้น่ารักนิ่งไปแป๊บนึงจนผมใจแป้ว

“จริงเหรอ?” เอสพูดเบา ๆ

“เวลานายอยู่กับเรา เวลานั่งเรียนข้างกันน่ะเรารู้สึกดีมากเลยนะ นายคิดยังไงกับเราบ้างล่ะเอส?”

“ก็สนุกดีอ่ะ” เอสตอบสั้น ๆ แล้วเงียบไปครู่หนึ่ง มันเป็นช่วงไม่กี่วินาทีที่ใจผมถูกโยนขึ้นสูงลิ่วและตกฮวบลงเหวสลับไปมา

“แต่มันจะเป็นไปได้เหรอวะ?”

“แล้วนายคิดยังไงกับเราล่ะ?” ผมนั่งลงข้างเอส ประโยคเดิมถูกพูดซ้ำ ความรู้สึกในใจมันกำลังพรั่งพรูออกมา “เราชอบนายจริง ๆ นะ ไม่รู้ว่ามันเริ่มเมื่อไหร่ เวลานั่งรถไฟฟ้ากลับบ้านหลังเรียนพิเศษเรารู้สึกดีมาก ๆ ตอนแรกคิดว่าเราดีใจที่มีเพื่อนกลับบ้านพร้อมกัน แต่มันมากกว่านั้น มากขึ้นทุกวัน ยิ่งพอนายย้ายมานั่งข้างเรา คุมเราทั้งเรื่องเรียน เรื่องอาหาร เรื่องเข้านอนตื่นนอน เรารอโทรศัพท์นายทุกวัน”

“ตอนนั้นเราทำแบบนั้นเพราะอยากให้นายโดนย้ายไปห้องควีน” เอสตอบเสียงเบาเมื่อนึกย้อนไปถึงเรื่องครั้งนั้น

“แต่สุดท้ายนายก็บอกพัตให้เปลี่ยนใจไม่ใช่เหรอ? ถ้านายเกลียดเราจริงนายคงไม่ทำแบบนั้นใช่มั้ย”

“ก็ไม่ได้เกลียดแล้ว พอได้สนิทกันเราว่านายก็เป็นคนดีอ่ะ”

“ดีก็รักสิ” ผมหยอดไปแรง ๆ รวบรัดตัดความ ผมคาดหวังว่าไอ้เอสจะตอบอะไรสักอย่าง...แต่เขากลับมองผมนิ่ง ๆ

เอสมองเพื่อนสนิทตัวสูงที่นั่งตรงข้าม สีหน้าที่ทั้งมีความสุขและกลุ้มกังวลใจ สีหน้าที่ตี้ไม่เคยแสดงออกกับใครยกเว้นเขา สีหน้าที่เขาเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่ง ณ สถานที่เดียวกันนี้...พร้อมรู้สึกที่บอกไม่ถูก



ครั้งนั้นตอนเทอม 1 ช่วงพักเที่ยงที่เขาทำการบ้านยังไม่เสร็จ คนอื่น ๆ ในห้องลงไปกินข้าวกันหมดแล้ว เหลือเขาคนเดียวกำลังปั่นการบ้านรีบให้เสร็จก่อนคาบห้า ใจมันร้อนรนเหลือเกิน หิวก็หิว รีบก็รีบ

“ที่แท้ทำการบ้านไม่เสร็จ เตี้ยเอ๊ยให้เราช่วยไหมล่ะ?” เพื่อนคนเดียวที่ยังเหลือในห้องให้พออุ่นใจบ้าง แต่ปากหมาแบบนี้มึงรีบไปกินข้าวเหอะ

“ไม่ต้องว้อย การบ้านเค้าให้ทำเอง” ผมตอบ ขอเวลาตรูมีสมาธิได้ไหมวะ การบ้านจะไม่เสร็จแล้วเนี่ย

ตี้ชะโงกหน้ามาดู “ก้อนในวงเล็บทางซ้ายมีค่าเท่ากับก้อนด้านขวานะ ตัดมันทิ้งทั้งสองฝั่งเลยไม่ต้องคิด”

“ห้ะ! จริงเหรอ?”

“เนี่ยดูสิ ฟากนี้มีรูปสมการ (X-Y)² อีกฟากมี X² -2XY +Y² โจทย์จงใจใส่มาให้เราตัดทิ้ง”

เชร้ด! ไม่ทันดูเลยนะเนี่ย ถึงตี้มันจะชอบกัดผมบ่อย ๆ แต่ก็มีน้ำใจนะเนี่ย แต่หลังจากนั้นไอ้โย่งก็พูดกวนประสาทตลอดจนผมต้องไล่มันไปกินข้าวไม่งั้นนอกจากการบ้านจะไม่เสร็จแล้วยังอารมณ์เสียด้วย

“จะทิ้งนายไว้คนเดียวได้ไง” มันตอบ โห! คำพูดหล่อ ๆ แบบนี้ออกมาจากปากนายได้ไงวะ

“เราไม่มีสมาธิว้อยนายนั่งมองเราแบบนี้”

“ทำไม่ทันก็อย่าพาลดิว้อย ไปกินข้าวก็ได้ นายจะเอาอะไร”

“บอกว่าอย่ากวนไง”

“ก็อยากรู้ว่านายชอบกินอะไร จะซื้อไว้ให้”

“ข้าวไข่เจียวผัดผักบุ้ง”

“ก็แค่นั้นแหละ ข้อนี้ติดตัวหารไว้นะไม่ต้องไปคำนวน เดี๋ยวตอนจบมันจะตัดกันหมดไปเอง” มันพูดพร้อมขยี้หัวผม

“ไอ้สาด” ผมหยิบยางลบปามันแต่มันหลบได้และวิ่งหนีไป

จากนั้นไม่นานผมก็ทำการบ้านเสร็จเอาไปวางบนโต๊ะอาจารย์ทันเวลาพอดี เหลือเวลาพักเที่ยงอีก 15 นาทีแค่ซื้อข้าวก็ยังไม่ทันเลยมั้ง ผมรีบวิ่งลงตึกไปถึงโรงอาหาร ใจนึงก็นึกเสียใจที่ด่าไอ้ตี้แรงไปหน่อย (แถมเอายางลบปามันด้วย)


“เอส! ทางนี้!” เสียงเดิมตะโกนเรียก ผมหันไปเห็นมันโบกมือแล้วชูจานข้าว นี่ตี้มันซื้อข้าวให้ผมไว้จริง ๆ เหรอ? ผมเดินขึ้นบันไดโรงอาหารตรงไปหาเพื่อนร่วมห้องร่างสูงที่นั่งคนเดียวเพราะตอนนี้คนอื่นกินข้าวเสร็จลุกไปหมดแล้ว ข้าวไข่เจียวผัดผักบุ้งถูกวางลงตรงหน้า ผมนึกว่ามันแซวเล่นเสียอีก นี่ซื้อข้าวไว้ให้จริง ๆ

“นึกว่านายทำการบ้านไม่เสร็จ นี่กำลังกังวลว่าจะแดกข้าวสองจานยังไงให้หมด” ตี้พูดแซว สีหน้าทั้งดีใจและกังวลใจ

“ขอบใจนะตี้” ผมตอบเสียงแผ่ว รู้สึกผิดเลยที่ด่าและเอายางลบปามัน

พอมีตี้นั่งรอด้วยให้ผมกินข้าวจนเสร็จทันเริ่มคาบ 5 ผมก็รู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาด คนอินดี้ที่ความคิดผิดแผกชาวบ้านอย่างมันกลับมีมุมที่ผมไม่เคยเห็น และจากนั้นผมก็เริ่มรู้สึกดีกับเพื่อนคนนี้อย่างบอกไม่ถูก

แต่เมื่อแผนการส่งตี้เข้าห้องควีนดำเนินไป ตี้เริ่มเรียนดีขึ้นเรื่อย ๆ ผมยิ่งรู้สึกผิด และอีกความรู้สึกที่ก่อตัวมากขึ้นทุกวันคือ...ไม่อยากให้ตี้ย้ายห้องไป...อยากให้อยู่ด้วยกันแบบนี้ไปเรื่อย ๆ




“ดีก็รักสิ” ตี้พูดด้วยสีหน้าขึงขัง

“เอางั้นเลยเหรอ?”

“เออ บอมกับพัตยังเป็นแฟนกันได้เลย สนกับดิมก็ด้วย ให้โอกาสเราหน่อยเราดูแลนายได้” ผมจ้องตาเอสลุ้นคำตอบจนใจเต้นรัว

“คบเฉย ๆ ก็พอ ไม่ต้องดูแลว้อย หาเลี้ยงตัวเองได้” เอสพูดเสียงขำพร้อมหน้าแดงระเรื่อ ประโยคนั้นทำผมอึ้งและหูอื้อ แปลความหมายไม่ออก

“คือ...คือตกลงเหรอวะ?” ผมถามย้ำอีกที ตอนนี้สมองผมประมวลผลไม่ทันแล้ว

“อืม รีบกินข้าวเหอะจะหมดพักเที่ยงแล้ว” ไอ้น่ารักตอบพร้อมอมยิ้ม ทำให้ผมรีบกลับมานั่งฟาดอาหารที่เหลือทันทีโดนความลิงโลด จริงเหรอวะเนี่ย เอสตกลงเป็นแฟนผมแล้ว ผมมองคนตรงหน้าที่ตอนนี้ดูน่ารักขึ้นหลายเท่า

“คนบ้าอะไรวะ ขอเป็นแฟนเลย ไม่จีบสักนิด” เอสพึมพำ

“จีบแล้วว้อย จีบนานแล้วด้วย นั่งซบไหล่บนรถไฟฟ้าก็ไม่รู้สึกตัว ให้พี่ฮาร์ตช่วยจัดฉากถ่ายรูปคู่ด้วย” ไอ้ที่ผมชมในใจตะกี้ขอถอนคำพูด มันไม่ได้น่ารักแต่กวนตีนน่าฟัดมากกว่า

“อ๋อ! นั่นคือนายวางแผน”

...ฉิบหายล่ะพลั้งปากพูดไปแล้ว...

“เออ แต่ถ้าจีบแล้วมีรายได้แบบนี้ก็ดี ฮะ ๆๆ” ไอ้น่ารักหัวเราะขำ ตรงนี้แหละที่ผมชอบมันที่สุด เอสเป็นคนใจเย็นเป็นผู้ใหญ่ผิดกับรูปร่างเยอะเลย

“ขอถ่ายรูปคู่หน่อยนะเอส” ผมดีใจจนเนื้อเต้น เห่อสุด ๆ แล้วตอนนี้

“ตามสบายเหอะ ก็ถ่ายงี้ประจำอยู่แล้วนี่”

“มันไม่เหมือนกัน ตอนนี้เป็นแฟ..” ผมยกกล้องขึ้นเตรียมเซลฟี่คู่กับเอส แต่เหลือบเห็นเงาตะคุ่ม ๆ แถวขอบรั้วโรงอาหารในหน้าจอ ผมหันขวับไปทันที “เฮ้ย! นี่พวกนายยังแอบฟังอยู่อีกเหรอวะ!?”

“ฉิบหายแล้ว ไอ้ตี้รู้ตัวแล้วโว้ย เผ่น!” สนตะโกนแล้ววิ่งหนีไปพร้อมกับแก๊งอีก 3 คน

ผมวิ่งไล่ไปเตะก้นพวกมัน แล้ว 15 นาทีสุดท้ายของช่วงพักเที่ยงก็กลายเป็นการวิ่งไล่จับไปทั่วลานกลางโรงเรียน

หลังเลิกเรียน ทั้งหกคนก็มานั่งติวกันที่ม้าหินข้างสนาม
จากนั้นก็เล่นบาสจนเย็นแล้วแยกย้ายกันสามคู่กลับบ้านตอนพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าเพื่อกลับมาพบกันอีกในวันรุ่งขึ้น

ชีวิตม.ปลายเพิ่งจะเริ่ม...และมันก็ดูมีความสุขดีนะ

=== จบบริบูรณ์ ===
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-10-2021 16:00:09 โดย Sorrowkung »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด