King Class Away: ทำยังไงไม่ให้ติดห้องคิง (18+) ตอนพิเศษ 5: 29 ตค.64 จบบริบูรณ์
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: King Class Away: ทำยังไงไม่ให้ติดห้องคิง (18+) ตอนพิเศษ 5: 29 ตค.64 จบบริบูรณ์  (อ่าน 21245 ครั้ง)

ออฟไลน์ Sorrowkung

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
King Class Away Ep.33
Dreams are my reality


เช้ามืดวันอังคาร

ผมตื่นมาแล้วกดดูแอพบันทึกเสียง ไม่มีอะไรผิดปกติ ...เฮ้อ...ถ้ามันปกติแบบนี้ตอนค้างบ้านบอมคืนนั้นก็คงดี แต่ใครจะบังคับความฝันได้เล่า

ผมเข้าห้องน้ำ ถอดฟันยาง แปรงฟันอาบน้ำแต่งตัวแล้วลงมาทานข้าวเช้าบนโต๊ะ พ่อกับแม่ไปทำงานหมดแล้วเพราะที่จอดรถว่างเปล่า

ตอนช่วงย้ายโรงเรียนใหม่ถึงอะไร ๆ จะแย่ไปหมด แม้พ่อจะดุแต่ลึก ๆ ก็ดีใจที่พ่ออยู่ใกล้ ๆ ไปรับส่งทุกวัน ได้ทานข้าวเช้าพร้อมพ่อ ฟังเพลงที่พ่อชอบระหว่างนั่งบนรถ ตอนเย็นก็ฟังพ่อเล่าอะไร ๆ ช่วงขับรถกลับบ้าน ...แต่ตอนนี้กิจวัตรตอนเช้ากลับมาเงียบเหงา ต่างคนต่างไปเหมือนสมัยม.ต้นอีกครั้งแล้ว

"พ่อครับ คุณครูให้เลื่อยไม้อัดเป็นตุ๊กตา ผมเลื่อยทีไรใบก็หักตลอดเลย"
"มาพ่อช่วยดูให้นะพัต"


...เอ่อ คือจะนึกถึงช่วงดี ๆ นี่ตรูต้องย้อนไปนึกเรื่องตอนป.5 เลยเหรอวะ?

ช่างเถอะ ผมพยายามคิดเรื่องกิจกรรมวันนี้ให้สนุก เที่ยงนี้พวกเราจะประกอบหุ่นและทำสิ่งประดิษฐ์วิทยาศาสตร์ให้เสร็จ ตอนเย็นไม่ต้องซ้อมบาสก็ติวกับบอมแทน ผมเดินขึ้นบันไดสถานี airport link เพื่อขึ้นรถไปโรงเรียน ระหว่างรอรถ ผมเปิดตารางสอบกลางภาคขึ้นมา สอบ 3 วัน พุธ, พฤหัส, ศุกร์ วันละ 4 วิชา

“เริ่มอ่านจากวิชาสุดท้ายไล่ย้อนขึ้นมาถึงวิชาแรก ความรู้จะสดใหม่พร้อมเข้าห้องสอบ พอสอบวิชาแรกเสร็จก็อ่านสมุดสรุปของวิชาถัดไป” เทคนิคที่ครูประจำชั้นเคยบอกไว้ อยากช่วยจัดตารางอ่านหนังสือให้บอมจัง อยากเจอเขาเร็ว ๆ

“พัตทายหน่อยนี่ใคร? อย่าหันมาน้า” ใครบางคนมาเกาะข้างหลังผม
“บอม! นายมาได้ไง!?”
“พัตอ่ะ นายต้องค่อย ๆ เดาสิจะได้สนุก ฮ่า ๆๆ”
ผมหันกลับไปหาบอม “เช้าขนาดนี้บอมมาอยู่ที่นี่ได้ไง!?”
“เมื่อคืนเรานอนคิดว่าจะช่วยพัตยังไงดี ก็เลยคิดว่าถ้าเราอยู่กับพัตทุกที่ที่พัตเคยรู้สึกไม่ดี เวลานายฝันเห็นที่นั่นนายก็อาจเห็นเราด้วย นี่เราเลยนั่งรถเมล์มาแต่เช้ามืดมาดักรอพัต”
“ข...ขอบใจนะบอม”

ระหว่างที่ยืนกันไปในรถไฟฟ้า บอมยืนชิดพลางยิ้ม
“ยิ้มอะไรอ่ะ?”
“พัตแหละยิ้มก่อน”
ก็แค่คิดว่าอยากให้บอมอยู่ตรงนี้ เขาก็มาอยู่จริง ๆ จะไม่ให้ดีใจได้ไง

บอมยกมือมาปิดตาผม
“พัตทายหน่อยนี่ใคร?”
“เล่นอีกเหรอ?”
“พัตจะได้มีเราในความทรงจำไง เวลาฝันว่าเดินทางคนเดียว คราวนี้พัตก็จะเห็นเรามาด้วย”
“อ่า...งั้น...บอมใช่มั้ย?”
“พัตต้องค่อย ๆ เดาดิ”
“เอ่อ...ตัวสูงใช่มั้ย?”
“ใช่”
“ตาสีน้ำตาลใช่มั้ย?”
“ใช่”
“นักว่ายน้ำหรือเปล่า?”
“ไม่ใช่ เป็นนักบาส”
“ก็ถอดโชว์บ่อยจนนึกว่าเป็นนักว่ายน้ำ”
“ฮึ! เดี๋ยวเหอะ!”
“อยู่ห้อง 4/2 ใช่มั้ย?”
“ใช่”
“ทีมโปรด Miami Heat”
“เก่งมาก”
“หมายถึงเรา?”
“หมายถึงทีม Miami Heat น่ะเก่งมาก”

มือบอมที่ปิดตาผมยังมีกลิ่นโคโลญจ์นอยู่เลย
“ใช้โคโลญจ์นทรอส สูตรสีเขียวใช่มั้ย?”
“ใช่ นี่พัตจำกลิ่นได้เหรอ?”
“จำได้ตั้งแต่วันแรกที่เจอกันน่ะ”
“ทายต่อดิ”
“ชอบดูหนังจีน”
“ใช่”
“บอมใช่มั้ย?”
“ใช่”

บอมเปิดตาแล้วจับมือผมแทน “ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ นะ สักวันพัตจะฝันเห็นเราอยู่ด้วย”
“อืม”
หนุ่มนักบาสคิ้วเข้มตาสีน้ำตาลยิ้ม ดูท่าเกมของเขาจะลบความเครียดสะสมของผมไปได้จริง ๆ เพราะตอนนี้รู้สึกดีมาก ขนาดความรู้สึกหดหู่ที่ทานข้าวเช้าคนเดียวเมื่อกี๊ก็หายไปเลย (อันที่จริงผมก็เคยเห็นเขาในฝันแล้วนะคืนแรกที่ไปค้างบ้านเขา เป็นฝันติดเรทมากด้วย เหอ ๆๆ)

“แล้วบอมฝันเรื่องอะไรบ่อยสุดล่ะ?”
“ก็เรื่องแข่งบาสนี่แหละ”
“งั้นเราจะเป็นตัวสำรองให้ได้ เราจะได้ไปแข่งในสนามกับบอม ต่อไปบอมอาจฝันเห็นเราด้วย”
“อืม พัตสู้ ๆ นะ”

“ครูเราสอนว่าเวลาอ่านหนังสือเตรียมสอบให้อ่านจากวิชาสุดท้ายมาถึงวิชาแรก เราทำแล้วก็ได้ผลดีนะ”
“ระดับ Elite5 บอกแบบนี้ต้องเชื่อแล้วล่ะ”
“ตอนอ่านก็ให้เขียนสรุปย่อไว้ด้วย แล้วพออ่านวิชาแรกเสร็จก็เอาสรุปย่อวิชาที่สองมาอ่านต่อ ทำแบบนี้ไล่ไปทีละวิชา”
“ทำไมต้องเขียนสรุปย่ออีกล่ะ สมุดเรียนก็มีอยู่แล้วนี่?”
“จดอีกทีจะจำแม่นขึ้นน่ะ เลือกจดแค่ keyword สั้น ๆ แบบนี้” ผมเปิดกระเป๋าเอาสมุดจดสรุปเนื้อหาสำคัญมาให้บอมดูเป็นตัวอย่าง
“อันนี้เราทำตอนอ่านทบทวนของม.4”
“อืม งั้นเดี๋ยวเราทำบ้าง”


12:00น.
พักเที่ยง ณ โรงอาหาร

ผมกับบอมไปเอาฐานไม้จากห้องพักอาจารย์ช็อปไม้มาที่โรงอาหาร ดิมกำลังเปิดกล่องพัสดุพอดี
“โอ้โห! ของจริงออกมาดูดีมากเลย” ดิมกล่าวชมงานฝีมือของผมกับบอม
“เจ๋งนี่หว่า แต่ของกลุ่มเราก็ไม่แพ้กันนะ” กลุ่มตี้เอสก็มาทำสิ่งประดิษฐ์ที่โรงอาหารเหมือนกัน
“นี่! ซื้อทอดมันกับลูกชิ้นปิ้งมาเพียบเลย กินไปทำงานไปนะ” สนมาพร้อมกับอาหาร 2 จานใหญ่
“เราก็สั่งแพนเค็กกับไส้กรอกมาด้วย” มุกกับบอยเพื่อนห้อง 3 ก็มีขนมมาเหมือนกัน
“เยี่ยมเลย ปาร์ตี้สิ่งประดิษฐ์วิทยาศาสตร์ เด็กเรียนแท้ ๆ"

ดิมแกะห่อส่วนประกอบหุ่นยนต์ออกมา เพื่อน ๆ เข้ามามุงด้วยความตื่นเต้น
“เหมือนหุ่น Zoid เลย”
“มาช่วยกันประกอบนะ” ดิมกล่าว
“ขาหายไปไหนข้างนึงวะ?”
“เฮ้ย! อย่าประกอบผิดนะเว้ยมีตัวเดียว” สนพูดเรียกเสียงฮาทั้งโต๊ะ

“แล้วอ๊อกซิเจนมันรู้ได้ไงว่าจะจับกันเป็น O2 กับ O3 ในเมื่อมันก็สามารถประกอบได้เหมือนกัน?
บอยถามพลางหยิบโมเดลอ๊อกซิเจน 3 ก้อนมาต่อกันด้วยแรงแม่เหล็ก
“O3 เกิดจาก O2 1 โมเลกุล ไปจับตัวกับอ๊อกซิเจนอิสระที่แตกตัวออกมาจากโมเลกุล O2 อีกก้อนเพราะโดนรังสีอุลตราไวโอเล็ต C กระตุ้น มันก็เลยไม่เกิดขึ้นบนผิวโลกแต่เกิดในชั้นบรรยากาศเท่านั้น” ตี้ตอบ
“เชร้ดดดด!” ทุกคนอุทาน
“เป็นไงล่ะ กะแล้วต้องมีคนถามเราเลยอ่านมาก่อนละ” ตี้กล่าวอย่างภาคภูมิใจ
“ทำสิ่งประดิษฐ์แล้วได้ความรู้แบบนี้สนุกดีเนอะ”
“สนุกสุดตอนแย่งกินขนมกลุ่มอื่นนี่แหละ” สนกล่าวแล้วจิ้มไส้กรอกกลุ่มโน้นกิน
“เฮ้ย! ฮ่า ๆๆ” ทุกคนหัวเราะร่วน

พอประกอบเสร็จสนกับดิมวิ่งไปลงโปรแกรมที่ห้องคอมแป๊บนึงก็กลับมาพร้อมหุ่นที่สมบูรณ์ ผมกับบอมลองวาดเส้นทางซับซ้อนบนกระดาษในฐานไม้ ดิมเปิดเครื่องแล้วหุ่นก็เดินเลี้ยวไปมาพยายามหาทางไปสุดเส้นจนได้
“สำเร็จแล้ว!”
“โหย งานกลุ่มนี้เจ๋งเป็นบ้า” เอสพูด
“ของกลุ่มนายก็ไอเดียดีเหมือนกัน ดูแล้วเข้าใจการจับกันเป็นโมเลกุลได้ง่ายดี”
“แล้วเจอกันตอนประกวดนะ”

ทุกคนช่วยกันทำความสะอาดโต๊ะแล้วล้อมวงทานมื้อเที่ยงต่อจนหมดคาบ
ความเป็นเพื่อนก็ต่อกันขยายออกไปเหมือนโมเลกุลหลายอันเชื่อมโครงสร้างกัน
ผมมองป้ายชื่อสมาชิกที่ติดบนสิ่งประดิษฐ์

ศรุต, นนทภัทร, มิธิวัต, ใบสน
ผมมีเพื่อนหลายคนแล้ว ผมไม่กลับไปเหมือนเดิมแล้ว


คาบ 8
ห้องม.4/3

ตี้เปิดมือถืออ่านข้อความใต้โต๊ะในระหว่างคาบสุดท้าย เพราะวันนี้เป็นวันถ่ายแบบเสื้อ
“เอส พวกพี่ ๆ เค้าไลน์มาบอกว่าทำเรื่องกับฝ่ายธุรการเสร็จแล้ว เซ็ตสถานที่เรียบร้อย เดี๋ยวเลิกเรียนก็ลงไปถ่ายแบบกันได้เลย”
“อืม” ผมขานรับ ตอนแรกก็ไม่คิดอะไร มันก็แค่ใส่เสื้อยืดถ่ายแบบง่าย ๆ มั้ง (นอกจากไอ้ 2 ท่าที่หวาดเสียวจะโดนเพื่อนแซวหน่อย) แต่พอเลิกเรียนปุ๊บถึงได้รู้ว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น

“น้องตี้น้องเอสไปเปลี่ยนเสื้อแล้วมาแต่งหน้าจ้า”
“หา? ต้องแต่งหน้าด้วยเหรอครับ?”
“ใช่จ้ะ หน้าสดเวลาถ่ายมาแล้วจะดูหมอง ๆ จืด ๆ”

ผมกับตี้ไปเปลี่ยนเสื้อนักเรียนในห้องแต่งตัวของโรงพละเป็นเสื้อยืดคู่ที่เค้าเตรียมไว้ให้
“เป็นไรวะตี้ ทำไมหน้าแดง?”
“ก็...ก็นายน่ะถอดโต้ง ๆ เลย ไม่หันหลังหน่อยวะ”
“อายทำไม ตอนวิชาพละก็เปลี่ยนชุดพร้อมกันตลอด”
“อันนั้นมีหลายคน”
อะไรของไอ้โย่งมันวะ? เปลี่ยนแค่เสื้อ ไม่ได้ถอดกางเกงสักหน่อย
พอแต่งหน้าเสร็จก็เริ่มถ่ายตรงลานกลางโรงเรียนบ้าง ใต้แป้นบาสบ้าง ตรงที่กดน้ำดื่มบ้าง
ความยากเริ่มเกิดตรงที่คนเริ่มมุงนี่แหละ ตรูอายนะเฟร้ย

“ยืนชิดกันหน่อยจ้าให้ลายเสื้อต่อกันนะ”
คราวนี้ยากเลย ก็ไอ้ตี้มันโย่งเกินมาตรฐาน ตอนนั่งน่ะยังไม่เท่าไหร่ แต่พอยืนลายเสื้อเหลื่อมกันเป็นคืบ
“เอส”
“หืม?”
“เพื่อ 6,000 นะ” พูดจบมันก็เอาแขนโอบใต้วงแขนยกผมขึ้นเลย
“เฮ้ย!”
“ลายต่อกันยังครับพี่?”
“สูงอีกนิด โอเค นิ่งไว้นะจ๊าาาาา”

ในตอนนี้ผมทำอะไรไม่ได้ ได้แค่ยิ้มให้ถ่ายแบบเสร็จ ๆ หวังว่าเพื่อน ๆ ตรูจะกลับบ้านไปหมดแล้วนะ แต่ทันใดนั้นรุ่นน้องที่เคยมาถามพวกผมเรื่องรูปหัวพิงกันใน IG ก็ผ่านมาพอดี
“กรี๊ดดด! พี่ตี้พี่เอสสสส!”
แล้วน้องก็หยิบมือถือมาถ่ายรัว ๆ ผมหันไปหาไอ้โย่งไอ้ตัวการ ยังจะยิ้มหน้าระรื่นอีก

“ต่อไปฉากวัดไข้นะคะ ทุกคนเตรียมตัว”
พวกผมไปเปลี่ยนเสื้ออีกครั้ง คราวนี้ถ่ายที่ม้าหินข้างสนามบอล ตี้อมปรอทวัดไข้และทำตาปรือ ๆ เงยหน้าให้ผมแตะหน้าผากวัดไข้
“พี่ครับ”
“ค้าาา?”
“ถ้าไอ้ตี้มันมีเทอร์โมมิเตอร์แล้วทำไมผมต้องใช้มือแตะหน้าผากวัดไข้มันอีกล่ะครับ?”
“ปะออดอันอีไอ๊อื่อว่าเอ็นอวัด ไม่อั๊นคงอูไอ้อู๊เอื้อง”
“นายแหละพูดไม่รู้เรื่อง เอาเทอร์โมมิเตอร์ออกจากปากก่อนดิว้อย”
“ปรอทมันมีไว้สื่อว่าเป็นหวัด ไม่งั้นคนดูไม่-”
ผมยัดเทอร์โมมิเตอร์เข้าปากมันคืน “โอเคเข้าใจละ”

ผมนั่งอีกฟากของโต๊ะ ยื่นหลังมือไปแตะหน้าผากมัน ถึงตอนเรียนจะนั่งติดกันก็เถอะแต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมแตะหน้ามัน รู้สึกอุ่น เขิน ๆ ยังไงไม่รู้
“ตี้ นายอย่าจ้องดิวะ ขนลุก”
“อีอนอาอ่วงอาวัดไอ้ อะไม่ใอ้อองได้ไอ”
“นายก็รู้ว่าพูดตอนคาบของในปากน่ะฟังไม่รู้เรื่อง”
“เอาออกใอ้หน่อยอิ”
“มือก็มี?”
เสียงชัตเตอร์ดังขึ้น โอเค เสร็จจากท่านี้ซะที
“น้องเอสค้าาา ช่วยย้ายไปนั่งติดกับน้องตี้ได้มั้ยค้าาา?”
“ก็ได้ครับ ทำไมเหรอครับ?”
“พี่อยากถ่ายช็อตนี้ 2 แบบจ้า ไว้ให้แฟนคลับกดโหวตว่าชอบแบบนั่งตรงข้ามหรือนั่งติดกัน เรียก engagement ได้ดีมากเลยค่าาา”

ผมเลยต้องมานั่งติดกับมัน (ใครเขาให้นั่งติดกับคนเป็นไข้ฟระ? เดี๋ยวก็ป่วยด้วยหรอก) เวลายกมือไปแตะหน้าผากตี้ หน้าผมเลยใกล้หน้ามันไปด้วย
“ทำตาซึ้ง ๆ ด้วยนะค้าาา”
“ทำไม่เป็นอ่ะพี่” ผมบ่น
“ไม่อ้องห่วง” ตี้พูดแล้วหันมาหาผม
“เอส”
“หืม?”
ตี้มันทำตาจริงจัง ชักแปลก ๆ แล้วแฮะ คือแอคติ้งมันโคตรได้
“เราขอโทษนะ ตอนเจอกันครั้งแรกเราพูดไม่ดีกับนาย”
“...เอ่อ...”
“ยกโทษให้เราได้มั้ยเอส?” ตี้พูดสีหน้าจริงจัง ขัดกับเทอร์โมมิเตอร์ที่คาบอยู่
“ก็...จริง ๆ ก็ไม่ได้โมโหหรอก เราเองก็ผิดที่คุยในห้องเรียน”
ไอ้ตี้ยังมองไม่เลิก อย่าทำตาซึ้งดิว้อยทำตัวไม่ถูกแล้ว

เสียงชัตเตอร์ลั่นเรียกสติผมกลับมา
“โอเคค่าาา สีหน้าแววตาดีมากทั้งสองคนเลย เยี่ยมมากเลยค่าาาา เก็บของย้ายไปจุดถัดไปกันเลยค่าาา”
“จ...จริง ๆ นายก็พูดชัดได้นี่หว่า” ผมดึงเทอร์โมมิเตอร์ออกจากปากมัน

“ฉากสุดท้ายแล้วนะค้าาา น้องเอสกับน้องตี้จะขี่หลังกันที่สนามฟุตบอล ด้านหลังเป็นพระอาทิตย์ตกดินนะค้าาาา เตรียมรีเฟลกซ์เตรียมไฟให้พร้อมนะค้าต้องถ่ายย้อนแสง”

ผมก็เล่นขี่หลังเพื่อนบ่อย ๆ แต่ทำไมครั้งนี้มันใจเต้นจังวะ เพราะไอ้ประโยคแปลก ๆ ของตี้นั่นแหละผมทำตัวไม่ถูกเลย
“น้องตี้แบกไหวไหมค้าาา?”
“สบายมากครับ ผมฝึกมาแล้ว”
ตี้ย่อตัวลงแล้วเอี้ยวหน้ามาหาผม “ขึ้นมาดิ”
“เรากระโดดขึ้นเองก็ได้”
“เออ ๆ เดี๋ยวคราวหน้าให้กระโดดขึ้นเอง”
“ไม่มีคราวหน้าแล้ว” ผมบ่นอุบพลางกอดคอ ตี้ช้อนใต้ขาผมแล้วลุกขึ้น
“น้องตี้หันมาเหมือนคุยกับน้องเอสนะคะ”
เชร้ดด้ง! หน้าแทบจะชนกันเลย ในท่านี้ผมจะขยับหนีก็ไม่ได้ด้วย
“ทำหน้าซึ้ง ๆ นะค้าาา เอาแบบเมื่อกี๊เลยค่าาา”

“เอส”
“หืม?” เอาดิ ‪ท่าไม้ตายเดิมน่ะ ใช้กับเซนต์ไม่ได้เป็นครั้งที่ 2 หรอก
“เราขอบใจนายนะที่ช่วยดูแลเรา”
“ห้ะ!”
“เราไม่รู้นายคิดยังไงย้ายมานั่งข้างเรา นายช่วยให้เราไม่โดนครูยึดมือถือ อยู่ชมรมเป็นเพื่อนเรา ชวนเราทำการบ้าน อ่านล่วงหน้าเป็นเพื่อนเรา”

“เลือกอาหารให้เรา ทานข้าวกับเราทุกมื้อ โทรเตือนเราให้รีบเข้านอน โทรมาปลุกทุกเช้า”
ทำไมนายต้องทำหน้ามีความสุขขนาดนั้นด้วยวะ ตรูรู้สึกผิดเต็ม ๆ

“บางทีเราเห็นนายในฝันเลยนะรู้มั้ย”
“คือเราหลอนขนาดนั้นเลยเหรอ?” ผมพยายามเบรคบรรยากาศอะไร ๆ นี่ด้วยมุกตลกแต่ดูจะไม่ได้ผล มันยังทำตาซึ้งเหมือนเดิม

“เราถามนายอย่างสิ?”
“อ...อะไรเหรอ?”
“ทำไมนายดีกับเราจัง?”
“เอ่อ...ก็”
“บอกเราไม่ได้เหรอ?”
“คือ...เรา...เอ่อ” จะให้ผมบอกยังไงว่าที่ทำทั้งหมดนี่เพื่อให้นายโดนย้ายไปห้อง 7

“จริง ๆ เราก็มีสองเรื่องอยากบอกนาย”
“อะไรเหรอตี้?”
“ถ้าเราสอบได้ 90% เราจะขอพ่ออยากเป็นนักข่าว”
“ฮึ! ยากนะว้อย”
“ก็เลยต้องพิสูจน์ตัวเองไง”
“อ...เอาจริงเหรอวะ?”
“จริงดิ เอาใจช่วยเราด้วยนะ”

...ผมไม่รู้จะบอกตี้ยังไงดี ถ้ามันทำคะแนนได้ขนาดนั้นมันเข้าห้องควีนแน่ เรียนหนักแบบนั้นแล้วตี้จะยังมีเวลาทำกิจกรรมที่ชอบอีกเหรอ?

“แล้วอีกเรื่องล่ะ?”
“ไว้ประกาศผลสอบเราค่อยบอกนาย สัญญานะว่าจะฟังจนจบ?”
"บอกเราเหรอ? งั้นก็บอกตอนนี้เลยสิ"
"มันต้องพยายามก่อนสิวะ แบบในหนังไงพระเอกต้องมุมานะบากบั่นฟันฝ่าถึงจะขลัง ถ้าบอกตอนนี้ง่าย ๆ ได้เลยเราก็บอกไปแล้วดิ!" มันออกจากโหมดซึ้ง เข้าโหมดปากหมาชั่วคราว
“อะไรวะ? ฟังดูน่ากลัว”
“เหอะน่า เอาเป็นว่าสัญญาแล้วนะ”
“เฮ้ย! เดี๋ยว!”

“น้องตี้น้องเอสค้าาา ถ่ายเสร็จนานแล้วค่าาา จะขี่หลังกันอีกนานมั้ยค้าาาา ขอบัตรประชาชนกับเลขที่บัญชีจ้าพี่จะทำเรื่องจ่ายค่าตัวให้น้าาา”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-08-2021 01:20:53 โดย Sorrowkung »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Sorrowkung

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
King Class Away Ep.34
By Your Side


16:45น.

เย็นวันพุธ หลังเลิกเรียนผมกับดิมมานั่งรอพี่ยุทธติวการบ้านที่ม้านั่งหลังตึก 10 แต่นี่เลิกเรียนมา 15 นาทีแล้วไอ้พี่ขี้หลีก็ยังไม่มา
“อาจารย์อาจสอนเพิ่มน่ะ งั้นเราติวของสนก่อนละกัน มีตรงไหนที่อยากรู้เพิ่มไหม?” ดิมตอบพลางเปิดตำราวิชาภาษาอังกฤษขึ้นมา
“กูงงเรื่อง verb agreement น่ะ ดูยังไงว่าอันไหนใช้ is หรือ are”
“ต้องดูให้ออกว่าประธานเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ เช่น a number of people แปลว่าคนจำนวนมาก ต้องใช้พหูพจน์”
“แล้วกูจะรู้ได้ไง ก็มันมี a นำหน้า”
“ต้องท่อง collective noun บ่อย ๆ น่ะ คำที่โจทย์มักใช้บ่อย ๆ ก็เช่น a number of, a majority of, a crowd of, a class of”

ดิมเขียนมุกที่ข้อสอบชอบออกลงในสมุดผม ผมชอบดูหน้ามันเวลาใช้สมาธิไอ้ดิมเหมือนกลายเป็นอีกคน มีความมั่นใจ ดูดีกว่าหน้าอมทุกข์ที่มันทำประจำก่อนหน้านี้
“มีคำพิเศษที่ทำให้เรางงเช่น neither แปลว่าไม่ใช่ทั้งสอง ถือว่าประธานเป็น no one ต้องใช้กริยาเอกพจน์”
“อืม”
“อีกคำคือ either แปลว่าอันใดอันหนึ่ง ถ้าประธานเป็นเอกพจน์ทั้งคู่จะใช้กริยาเอกพจน์ แต่ถ้าประธานอันใดคนหนึ่งเป็นพหูพจน์จะใช้กริยาพหูพจน์”

ว่าแต่ทำไมหน้ามันเริ่มแดงวะ? ผมก้มลงมองบนโต๊ะ เห็นมือขวาผมกับมือซ้ายมันแตะกันอยู่นิดนึง
โอ๊ย! มึงเขินง่ายขนาดนี้เลยเหรอวะ แค่นิ้วแตะกันเนี่ย (มันไม่ขยับมือออกด้วยนะ เนียนนะมึงทำเป็นนั่งนิ่ง ๆ) ไหนลองแกล้งมันดูหน่อย

“ช่วยอธิบายข้อนี้หน่อยสิ The council ________ of 250 members. ใช้ consist หรือ concists วะ?”
“Council แปลว่าสภา Consist แปลว่าประกอบด้วย ทีนี้เราต้องมาดูบริ- เอ่อ ดูที่บริบท คือ”
ผมขยับมือไปเกยมือมันนิดนึง แค่นั้นแหละมันแผ่นเสียงตกร่องทันที

“สภาประกอบด้วย...เอ่อ...สมาชิก...จำนวน 250 คน” ดิมอธิบายต่อ ผมก็ขยับมือไปวางบนมือมันเพิ่มอีก

“คือประธานที่เป็น collective noun ส...สามารถเป็นได้ทั้งเอกพจน์หรือพหูพจน์ ขึ้นอยู่กับ...”
ผมแกล้งกุมมือมันเบา ๆ แค่นี้มันก็พูดตะกุกตะกักแล้ว หน้าก็แดงขึ้น ๆ มึงนี่แกล้งง่ายชิบเป๋ง

“ข...ขึ้นอยู่กับกริยาที่กระทำ เป็นการกระทำที่รวมใจเป็นหนึ่ง หรือบุคคลแต่ละคน เอ่อ...กระทำแยกกัน”
ผมกุมมือมันแน่นขึ้น ผมเริ่มเข้าใจแล้วที่บอมบอกว่ายิ่งเห็นพัตเขินก็ยิ่งอยากแกล้ง เพราะตอนนี้ผมอยากแกล้งไอ้แว่นตรงหน้านี่เยอะ ๆ เลย
“อธิบายยังไงวะของมึงวะ กูไม่เข้าใจ”
“นายแกล้งเราอ่ะ” ดิมพูดเบา ๆ
“อะไร ใครแกล้งมึ๊งงงง?”
“ก็...นายจับมือเราน่ะ สมาธิหายหมดเลย” ไอ้แว่นเบี่ยงหน้าไปพูดกับตำราเรียน
“อ่ะ ๆๆ ไม่แกล้งก็ได้” ผมปล่อยมือมันออก แกล้งมากกว่านี้สงสัยไม่ได้ติวแหง แต่ดิมกลับจับมือผมไว้แทน
“เราแค่บอกว่านายแกล้งเรา ไม่ได้บอกให้ปล่อยมือซะหน่อย”

“โทษทีห้องพี่เพิ่งเลิก” พี่ยุทธเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะ ไอดิม! มือน่ะมือ! มึงยังไม่ปล่อยมือกู!
“ครับพี่ อันนี้การบ้านเลขที่ผมไม่เข้าใจครับ” ดิมเปิดสมุดด้วยมือขวา แต่มือซ้ายมันยังกำมือผมไม่ปล่อย ใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ คือมันอยากให้ผมสบายใจว่ามันไม่คิดอะไรกับพี่ยุทธแน่ ๆ สินะ ส่วนพี่ยุทธก็ตั้งสมาธิสอนการบ้านไม่ได้สนใจสองมือที่อยู่บนโต๊ะเลย จนพี่เงยหน้ามาหาผม
“น้องสนจดตามทันไหมครับ?”
“ผ...ผมไม่ได้ทำการบ้านแบบดิมครับ ผมอยู่ห้อง 4/8 ครับพี่”
“หืม?” พี่ยุทธหันมามองผมแบบงง ๆ
“ผมนั่งเป็นเพื่อนดิมครับ” รุ่นพี่ยังทำหน้างง แต่พอเห็นมือดิมกำมือผม พี่ก็อมยิ้ม “ครับ นั่งเป็นเพื่อนเนาะ”
ไอ้ดิมอมยิ้มทั้งที่ยังหน้าแดงระเรื่อ จากตอนแรกกะจะแกล้งดิมให้มันเขินมาก ๆ แต่กลายเป็นผมที่โดนมันเล่นงาน หนอย! เดี๋ยวติวเสร็จก่อนเหอะมึงเจอท่าไม้ตายกูแน่

“อันนี้หนังสือเรียนม.4 ที่พี่ใช้ปีที่แล้ว พี่มีโน้ตไว้บ้างตรงจุดที่เข้าใจยาก เผื่อจะมีประโยชน์กับดิม”
“ขอบคุณครับพี่ ผมกำลังสงสัยตรงเรื่องตรรกศาสตร์เลยครับ” ดิมปล่อยมือผมไปรับหนังสือเรียนจากพี่ยุทธ แล้วพี่ยุทธก็ติวต่อจนการบ้านของดิมเสร็จ
“เดี๋ยวพรุ่งนี้มาติวกันต่อละกันครับน้องดิมน้องสน” พี่ยุทธยิ้มให้ก่อนจะลุกไป ผมกับดิมยกมือไหว้ขอบคุณ ตอนนี้ก็สบายใจละว่าพี่ยุทธไม่จีบไอ้ดิมแน่ ๆ แต่กูนี่แหละทั้งอายทั้งใจเต้น
“ดิม”
“หืม?”
“คืนนี้มึงติวให้กูได้มั้ย?”
“คืนนี้เหรอ?”
“อืม ค้างบ้านกูนะ”
“ได้จริงเหรอ?” ไอ้แว่นหน้าระรื่นขึ้นมาเลย
“ก็มึงเคยพูดไม่ใช่เหรอว่าอยากให้กูไปนั่งเล่นบ้านมึง มึงมานั่งเล่นบ้านกู ดูหนังดูโทรทัศน์ด้วยกัน”
“ได้ ๆ สัปดาห์นี้พี่เรากลับมาดูหนังสืออยู่บ้าน มีคนอยู่เป็นเพื่อนพ่อแม่ เราขอโทรบอกแม่ก่อนนะ”

ระหว่างที่ดิมโทรบอกแม่ ผมก็โทรบอกบอม
“บอม คืนนี้ดิมจะไปค้างติวให้กูที่บ้านน่ะ นี่กำลังจะกลับบ้านกันแล้ว มึงกับพัตจะกลับพร้อมกันเลยมั้ย”
“เออ รอพวกกูที่หน้าประตูโรงเรียนนะ เดี๋ยวตามไป”
รอแป๊บเดียวพัตกับบอมก็เดินมา “ป่ะ ไปขึ้นรถเมล์หน้าโรงเรียนกัน”
“ดิมเป็นไงบ้าง การบ้านยากมั้ย?” พัตเอ่ยถาม
“มีรุ่นพี่ม.5 มาสอนให้น่ะ ตอนนี้ก็เริ่มเข้าใ-” จังหวะนี้แหละผมจับมือไอ้ดิมเลย พูดไม่ออกเลยเป็นไงล่ะมึง
“ชื่อพี่ยุทธน่ะเป็นรุ่นพี่ห้องควีนมาสอนให้ โคตรใจดีเลยเนอะดิม?”
“อืม” ไอ้แว่นตอบสั้น ๆ หน้าแดงแล้วมึง สม! แกล้งกูดีนัก
“เอ่อ...พัต เราจะไปส่งพัตที่พญาไทนะ” บอมยักคิ้วให้พัต
“อืม ไปกันเถอะ” พัตตอบทั้งที่ตายังมองเขม็งที่มือผมกับดิม
“งั้นพวกกูไปก่อนนะ ว่าจะไปหาอะไรกินแถวอ่อนนุชก่อนเข้าบ้าน”

ผมกับดิมนั่งรถเมล์มาลงอ่อนนุชแถวหน้าบ้านผม ย่านนี้ตอนค่ำเป็นร้านอาหารที่ผมทานตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ มีหลายร้านที่ผมทานประจำ
“มึงอยากกินอะไรล่ะดิม?”
“อะไรก็ได้”
“ไม่มีว้อยอะไรก็ได้ มีก๋วยเตี๋ยว ข้าวหมูแดง กระเพาะปลา ข้าวต้มปลา อร่อยมาก กูกินตั้งแต่เด็ก”
“ฮะ ๆๆ งั้นข้าวต้มปลาละกัน”

ข้าวต้มปลาเป็นร้านในตึกแถว ดีหน่อยไม่ต้องนั่งข้างถนน ดิมดูตื่น ๆ เพราะไม่เคยทานแถวนี้ มันนั่งยิ้มพลางหันมองรอบ ๆ ข้าง คิดถูกที่พามันมาค้างด้วย ดิมดูตื่นเต้นไม่ทำหน้าอมทุกข์แบบที่มันชอบทำเวลาออกจากห้องเรียน
“ร้านนี้เนื้อปลาชิ้นใหญ่ แต่ยังไงก็ระวังก้างหน่อยนะ” ผมบอกตอนพนักงานยกข้าวต้ม 2 ชามมาวางตรงหน้า
“อืม” ดิมตอบสั้น ๆ แล้วใช้ช้อนพลิกชิ้นเนื้อปลาไปมา
“อ่ะ ชิ้นนี้กูดูแน่ละไม่มีก้าง”

ผมตักชิ้นเนื้อปลายื่นไปตรงหน้าดิม นี่แหละไม้ตายของผม ไอ้แว่นเขินตกใจแต่ก็ยอมงับไปจากช้อนผม หน้ามันแดงแปร๊ดน่าจะเลเวลสูงสุดแล้วมั้ง แดงไปถึงหูเลย ใจผมเต้นตอนดิมทานเนื้อปลาที่ผมป้อน รู้สึกดีชะมัดเวลาทำให้มันมีความสุข อยากดูแลมัน อยากแกล้งมัน อยากเห็นมันเขินมากกว่านี้
“สน”
“หืม?”
“ตะกี้ตอนคุยกับบอมน่ะ”
“ทำไมเหรอ?”
“คือให้บอมกับพัตรู้ได้แล้วใช่มั้ยว่าเราคบกัน?”
“เออ พวกมันก็เป็นแฟนกัน บอกไปเลยมึงก็จะได้สบายใจด้วยไง แล้วมึงจะห่วงอะไรตอนนี้? ทีตอนอยู่หน้าพี่ยุทธมึงยังจับมือกูเลยนี่หว่า”
“ก็ตอนนั้นไม่ทันคิด เราเห็นนายระแวงพี่เค้า เราก็เลยคิดว่าทำแบบนี้จะได้ชัดเจนไปเลย”
“มึงนี่ก็นะ ใจกล้ากับเรื่องที่กูนึกไม่ถึงเรื่อยเลย”

ผมกับดิมก้มหน้ากินข้าวต้มปลาต่อจนเสร็จแล้วเดินข้ามถนนเข้าซอยบ้านผม
“แม่ครับ ผมกลับมาแล้วครับ”
“ทำไมมาดึกจังล่ะลูก?” แม่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ที่โซฟา
“ขอโทษครับ วันนี้ติวกับรุ่นพี่นานหน่อยน่ะครับ วันพุธหน้าจะสอบกลางภาคแล้ว”
“สวัสดีครับคุณป้า ผมชื่อดิมครับ ขอรบกวนค้างคืนนึงนะครับ”
“สวัสดีจ้ะ นี่เพื่อนลูกมาค้างเหรอ?”
“ครับแม่ นี่ดิมเพื่อนผม คนที่ติวให้ผมน่ะครับแม่ คืนนี้ก็มาติวให้ด้วย”
“นี่ไปรบกวนเค้าไม่ให้กลับบ้านกลับช่องได้ไง! แล้วทานอะไรมาหรือยัง ให้แม่อุ่นกับข้าวมั้ย?”
“ไม่รบกวนหรอกแม่ ดิมเขาชอบ พวกผมทานข้าวต้มปลาปากซอยมาแล้วแม่”
“ลูกแม่ไปข่มขู่หนูให้ติวให้เค้ารึเปล่าจ๊ะดิม” แม่ผุดลุกขึ้นมาจับแขนดิม
“แม่! ใครจะทำอะไรแบบนั้น!”
“อย่ามา ๆ! ตอนป.3 ลูกบังคับเพื่อนให้ทำการบ้านให้”
“นั่นมันนานมาแล้วววว นี่ม.4 แล้วนะ สนไม่ทำแบบนั้นแล้วแม่อ่ะ”

“แล้วเตรียมเสื้อผ้ามามั้ยหนู?” แม่พูดเสียงหวานกับดิม
“เอ่อ...ไม่ได้ครับ แต่ไม่เป็นไรนะครับผมใส่ตัวเดิมได้” ดิมรีบพูด
“นี่ไง! ลูกบังคับเพื่อนมาแน่ ๆ เขาถึงไม่ได้เตรียมตัว” แม่หันมาพูดเสียง 2 กับผม
“ไม่ได้บังคับ ชวนเฉย ๆ” แม่ใจร้าย ทำไมดีกับดิมมากกว่าลูก
“ไม่ได้บังคับจริง ๆ นะครับ ผมก็อยากมาเที่ยวบ้านสนด้วยแหละครับ”
“เดี๋ยวดิมใส่เสื้อผมนอนก็ได้แม่”
“ดูขนาดตัวลูกกับเพื่อนสิ จะใส่ได้ไงหลวมโพรก ไป ๆ พาเพื่อนไปอาบน้ำ เดี๋ยวแม่หาชุดเก่าของลูกให้”

ระหว่างที่ดิมไปอาบน้ำผมก็รีบจัดห้องนอนให้เป็นระเบียบ ปกติเวลาบอมมามันไม่แคร์หรอกว่าห้องผมจะรกขนาดไหน แต่คนอื่นคงรับสภาพไม่ได้แน่ ผมมองหมอนสารพัดขนาดบนเตียง ถ้าไอ้ดิมเห็นมันจะล้อเปล่าวะ เอาผ้าห่มคลุมไว้ก่อนมั้ย แต่ถึงยังไงตอนนอนมันก็ต้องเห็นอยู่ดี

ดิมเปิดประตูห้องเข้ามาในชุดเก่าสมัยผมอยู่ม.ต้น มันชี้มือที่อกพร้อมอมยิ้ม “อ๊อพติมัสไพรม์”
“เออ ก็ตอนนั้นหนังทรานสฟอร์เมอร์มันดังไง กูเลยซื้อ”
“แล้วป.3 บังคับเพื่อนให้ทำการบ้าน โอ๊ย ฮ่า ๆๆ”
“กูต้องปิดปากมึงละ ห้ามบอกคนอื่นนะโว้ย!” ผมกอดฟัดมันลงบนเตียง
“ไม่บอก ๆ!!” ดิมพูดไปหัวเราะไป

“วันนี้มึงสนุกมั้ย?” ผมถามมัน
“อืม สนุกดี เราเคยนั่งรถผ่านแถวนี้แต่ไม่นึกเลยว่าเราเคยผ่านซอยบ้านนายหลายครั้งแล้ว”
“แล้วมันยังไงเหรอ?”
“ก็เหมือน” ดิมมองจ้องมา

“เหมือนตามหาพิกัดหนึ่งบนแกนสามมิติจนเจอ พิกัดเดียวที่เป็นคำตอบ ในจักรวาลที่เวิ้งว้าง”

“คำอธิบายของมึงนี่สมกับเป็นเด็กเรียนจริง ๆ”
“เราไม่นึกเลยว่าเราจะได้เจอสน...ไม่นึกว่าจะมีโอกาสได้อยู่ใกล้...ไม่นึกว่าเราจะบ้าขนาดขออะไรแบบนั้น...และก็...ไม่นึกว่านายจะตกลง”
“กูก็ไม่นึกเลยว่าจะเจอคนที่ทั้งทุ่มเท ทั้งกล้าทั้งบ้าแบบมึง”

บรรยากาศมันเริ่มเป็นใจ ตัวดิมในอ้อมกอดมันอุ่นดีจัง อยากลองฟัดมันจังจะรู้สึกเหมือนเวลาเล่นมวยปล้ำกับเพื่อนผู้ชายมั้ย อยากกอดแน่น ๆ ดูมันจะทำไง...อยากทำมากกว่ากอด...มันจะไปถึงขั้นไหนวะ...

ผู้ชายกับผู้ชายมันจะทำไงวะ...ลองดีมั้ย...แต่คืนนี้ต้องติวนะว้อย พุธหน้าจะสอบแล้วนะ
“กูไปอาบน้ำก่อนนะ มึงนอนเล่นไปก่อนละกันเดี๋ยวค่อยมาติว”
“อืม”

ผมอาบน้ำเสร็จเดินกลับมาที่ห้อง พบว่าไอ้ดิมนอนหลับกอดหมอนข้างซุกตัวในดงหมอนบนเตียงผมไปเรียบร้อยแล้ว มือถือก็เปิดเพลงฝรั่งเบา ๆ ด้วย จะนอนทั้งทีก็ยังฟังเพลงฝรั่งสมกับเป็นเด็กเรียนจริง ๆ

Sweet dreams, I'm dreaming til sunbeams find you
Keep dreaming Gotta keep dreaming
Leave the worries behind you
But in your dreams whatever they be


ตอนแรกอยากจะแกล้งปลุกมันขึ้นมาติว หรือฟัดมันสักที? แต่พอเห็นมันนอนยิ้มบาง ๆ ก็อ่อนใจ “คงเรียนเหนื่อยมาทั้งวันแล้วสินะ”
ยิ่งใกล้สอบมันคงเครียด ถึงมันจะไม่แสดงออกแต่เป็นใครก็คงรู้สึกแหละ ขนาดการบ้านประจำวันของมันยังยากพอ ๆ กับแข่งโอลิมปิกวิชาการอย่างนี้ตอนสอบจะขนาดไหน ผมเสียบสายชาร์จมือถือให้มันกับปลั๊กไฟบนหัวเตียง คลี่ผ้าห่มคลุมตัวมันเบา ๆ แล้วปิดไฟนอนมองดิมในความมืด ก็รู้สึกดีนะที่มีใครสักคนรักผมมากขนาดทุ่มเทได้อย่างนี้

You've gotta make me a promise
Promise to me
You'll dream
Dream a little dream of me
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-02-2021 17:02:46 โดย Sorrowkung »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Sorrowkung

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
King Class Away Ep.35
นั่งกับเราไปเรื่อย ๆ ได้มั้ย


เช้ามืดวันพฤหัส

ผมลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า อ้าว! ไอ้ดิมไปไหนฟระ หรือมันไปอาบน้ำอยู่ ผมเดินงัวเงียจะไปดูที่ห้องน้ำก็ได้ยินเสียงคนคุยกันพร้อมเสียงทำอาหารที่ชั้นล่างเลยเดินลงไปดู
“นอนกินบ้านกินเมืองนะเรา ดูลูกดิมนี่มาช่วยแม่ทำอาหารเช้า”
“สน โทษทีเมื่อคืนเราหลับไปเลย”
“เนี่ยเอาเพื่อนมาลำบากเค้าเหนื่อยเลยหลับไ-” ผมไม่รอฟังแม่บ่น จัดการอุ้มแม่ไปห้องนอนที่ชั้นล่างเลย “รักแม่ที่สุดเล้ย แม่ไปพักน้าเดี๋ยวสนกับดิมทำอาหารเช้าเองคร้าบ!”
“ว้าย! เล่นแบบนี้เรื่อยเลย แม่อายเค้า!”

ผมเดินกลับมาที่ห้องครัว ไอ้ตัวดีในเสื้ออ๊อพติมัสกำลังง่วนผัดถั่วลันเตาอยู่ กูโดนแม่เขี่ยตกกระป๋องเพราะมึงเนี่ยแหละ “สุกยังมึง?”
“เราไม่แน่ใจน่ะ เราไม่เคยผัดแบบฝักเม็ดใหญ่”
“ขอบใจมากนะช่วยแม่กูทำอาหาร มากูจัดการต่อเอง มึงไปอาบน้ำแต่งตัวเถอะ”
ดิมหันมายิ้ม แม่งผัดจนหน้ามันย่องเหงื่อแตกเลย อยากแซวมันว่าผัดไม่เป็นก็อย่าทำเดี๋ยวแดกไม่ได้ แต่เห็นมันตั้งใจและตื่นเช้ากว่าผมเลยพูดดี ๆ กับมันดีกว่า มันยื่นตะหลิวให้ผมแล้วกระเถิบไปยืนมองข้าง ๆ
“ไปอาบน้ำดิวะ หรือต้องให้กูอุ้มไปแบบแม่กูอีกคน ฮะ ๆๆ”
“ก็อยากดูว่าผัดถึงขนาดไหนคือสุกอ่ะ” นี่ก็ตั้งใจไปซะทุกเรื่อง ผมเลยต้องผัดให้มันดูจนเสร็จเทลงจาน ดิมผงกหัวหงึก ๆ แล้วขึ้นชั้นบนไปอาบน้ำแต่งตัวลงมาระหว่างที่ผมจัดกับข้าวทั้งหมดวางบนโต๊ะกินข้าว

“แม่ ผมทำอาหารเสร็จแล้วนะ แม่กินกับดิมไปก่อนเลยนะผมจะไปอาบน้ำละ”
“จ้า ๆ มาลูกดิม มากินข้าวกัน” จ๊ะ เรียกเป็นลูกไปโดยสมบูรณ์แบบแล้ว

พอมาถึงโรงเรียน พวกเราก็เดินขึ้นตึกตรงไปเข้าห้องประจำชั้น
“ดิม”
“หืม?”
“ช่วงสอบน่ะมึงมาค้างบ้านกูมั้ย? จะได้ไม่ต้องเดินทางไกล ตอนเช้าจะได้ไปสอบสบาย ๆ มึงไปกลับบ้านที่สำโรงต้องนั่งรถไปอีกเป็นชั่วโมง”
“ได้ ๆ ดีเลย คืนแรกก็ติวเบา ๆ กันอีกรอบก่อนสอบเนอะ”
“อืม มึงเอาแค่ชุดนักเรียนมาก็พอนะ ตอนอยู่บ้านใส่ชุดกู จะได้ไม่ต้องหอบอะไรมาเยอะ”
ถึงผมจะช่วยมันเรื่องการสอบไม่ได้ แต่ผมก็ช่วยมันประหยัดเวลาเดินทางไปได้อย่างน้อยวันละ 2 ชม.คงช่วยลดความเหนื่อยมันได้บ้าง

หลังจากดิมแยกเข้าห้องประจำชั้นไปผมก็เดินเข้าห้องตัวเองบ้าง เหลือเวลาอีก 6 วัน ดิมเขียนลำดับการอ่านทบทวนวิชาต่าง ๆ ให้แล้ว
“สน เพื่อนมึงมาน่ะ” ไอ้โบ้สะกิด
ผมเงยหน้าจากกองตำรามองไปที่ประตูก็เจอบอม “ไงวะมึง”
ไอ้บอมไม่ตอบแต่ยิ้มกรุ้มกริ่ม “ยังไง ๆ” มาละไอ้ท่าทางสอดรู้สอดเห็นของมัน
“อะไรวะ ยังไง ๆ?”
“ก็ยังไง ๆ ไงล่ะครับคุณใบสน”
“พูดอะไรวะ ยังไง ๆ” ผมเดินนำมันลงบันไดไปหลังอัฒจันทร์เพราะรู้ว่ามันอยากคุยเรื่องอะไร พอได้ที่ลับตาบอมก็ถามเลย

“ยังไงวะมึงกับดิม?”
“ก็อย่างนั้นแหล้ะ”
“อย่างนั้นน่ะอย่างไหนนนนนน?”
ผมกอดคอมันมากระซิบ “ไอ้ห่า! จับมือกันนี่มึงต้องถามอีกเหรอ?”
“ก็กูอยากรู้ชัด ๆ”
“ก็อย่างนั้นแหล้ะ”
“เหรี้ย! ชาตินี้จะคุยกันรู้เรื่องมั้ยมึง!!!!!” แล้วมันกับผมก็กอดคอตีเข่ากันพัลวันจนเหนื่อยต้องนั่งพัก

“จริงเหรอวะสน?”
“เออ”
“เชรี่ยย! นี่มึงอยากได้คนติวฟรีขนาดจีบดิมเลยเหรอ?”
“มึงจะบ้าเหรอ ดิมมันของลองคบกับกูน่ะ”
“คืออะไรวะขอลองคบ?”
“กูจะรู้มั้ยมึง กูยังงง ๆ อยู่เลย แต่เห็นมันทุ่มเทอ่านวิชาที่ตัวเองไม่ได้เรียนเพื่อมาติวกู กูก็เลยตกลง”
“เออแต่ที่กูเห็นนี่ไม่เรียกลองคบละม้างงงง”
“ก็ไม่ละ คือ...”

ผมเอนตัวลงนอนบนหญ้า “ตอนแรกมันก็แปลก ๆ นะ แต่อยู่กับมันก็สนุกดีอ่ะ ชวนไปไหนมันก็ไป ชวนกินอะไรมันก็กิน ชวนมาเล่นบาสมันก็มา จะดูแลเทคแคร์มันก็บอกว่าดูแลตัวเองได้ เมื่อเช้ามันก็ช่วยแม่กูทำอาหารด้วย”
“แล้วมึงชอบดิมป่ะ?” บอมเอนตัวลงนอนข้าง ๆ
“ก็ชอบนะ”
“แบบแฟน?”
“บอกไม่ถูกว่ะ แต่กูชอบเห็นเวลามันมีความสุขน่ะ”
มันกระเถิบเข้ามา “แล้วเมื่อคืนนนนน?” อย่าดิเว้ยกูก็เขินเป็นนะมึง
“ยังไม่มีอะไรว้อย มันอาบน้ำเสร็จก็ผลอยหลับไปเลย"
"แค่นั้น? ทีกูล่ะมึงบอกให้เล่าให้ละเอียด"
"ก็มันมีแค่นั้นน่ะ ว่าแต่มึงกับพัตเหอะ ยังไง ๆ”
“ก็นิดนึง”
“ยังไง ๆ”
“ก็นิดนึงแหล้ะ”
“เหรี้ย! ชาตินี้จะคุยกันรู้เรื่องมั้ยมึง!!!!” อย่างนี้ต้องตีเข่า!!!
“แล้วพัตล่ะ ไม่มาด้วยกันเหรอ?”
“ถ้ากูพาพัตมาด้วยมึงจะเล่าละเอียดมั้ยล่ะ?”

“งั้นดีเลย คือกูก็อยากคุยกับมึงแบบซีเรียสนะบอม” ผมกระเถิบเข้าไปนั่งพิงมัน “ทำยังไงวะ?”
“คืออะไรวะสน? ทำยังไงเนี่ย?”
“ก็อย่างว่าน่ะ กูไม่รู้เค้าทำยังไง”
“เชรี่ย! เรื่องแบบนี้ใครเค้าถามกันล่ะ!”
“ทีมึงยังปรึกษากูเลย เรื่องนี้กูก็อยากปรึกษามึงบ้างอ่ะ”

ไอ้บอมเริ่มหน้าแดง “ม...มึงก็ดูในอินเตอร์เน็ตก็ได้นี่หว่า”
“มึงก็รู้เน็ตกูกาก แค่เปิดยูทิวป์ยังอืดเลย”
“ก็...มึงอยากทำอะไรมึงก็ทำ แบบที่มึงชอบพูดน่ะ ทำไปตามความรู้สึกนั่นแหละ”
“งั้นเล่าไอ้ ‘นิดนึง’ ของมึงให้กูฟังก็ได้”
“ไม่เอาละ กูไม่คุยแล้ว” พูดจบมันก็ลุกขึ้นปัดเศษหญ้าตามตัวแล้ววิ่งแจ้นหนีไปเลย
“ทำตามความรู้สึกเหรอวะ? ก็กูหมั่นเขี้ยวอยากทุ่มไอ้ดิมเหมือนเล่นมวยปล้ำอ่ะ ได้เหรอวะ?” ผมบ่นกับตัวเอง


พักเที่ยง

วันนี้หิวข้าวมากเพราะใช้สมองมาตั้งแต่คาบแรก ทุกวิชาอาจารย์สอนทวนพร้อมให้ทำโจทย์เตรียมความพร้อมสำหรับการสอบกลางภาค หิวไส้กิ่วแล้วเนี่ย ผมได้ข้าวราดหมูผัดผักรวมมิตรและไม่ลืมสั่งไข่ต้ม 2 ฟอง ฟองนึงของผม อีกฟองสำหรับตี้เผื่ออาหารของมันมีโปรตีนน้อย ตามที่พัตบอกว่าไข่ต้มให้คอเรสเตอรอลดีและวิตามินบำรุงสมอง
“ตี้ นายจะไปไหนน่ะ? โต๊ะพวกพัตอยู่ทางโน้นนะ” ผมร้องเตือนเมื่อเห็นไอ้ตี้เดินไปอีกฟากของโรงอาหาร
“ไม่อ่ะ วันนี้อยากนั่งตรงนี้” มันพูดแล้วนั่งตรงบริเวณที่ไม่คุ้นเคยเพราะแถวนี้เป็นพวกพี่ม.5 ม.6
“เป็นอะไรของนายน่ะ?”

ผมพูดพร้อมตักไข่ต้มให้ตี้ 1 ฟองตามปกติ แต่วันนี้โย่งดูท่าทางไม่ปกติ ตี้ไม่ตอบแต่ชี้มือไปที่โทรทัศน์ในโรงอาหารที่กำลังฉายรายการสารคดี
“วันนี้ขอเชิญรับชมรายการพิเศษ ผลงานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 นายธวัชตรี มงคลเวชอุทิศ”
“เฮ้ย! ชื่อนายนี่!”

“สวัสดีครับ วันนี้ผมตี้ ธวัชตรี มงคลเวชอุทิศ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/3 จะพารีวิว 10 สถานที่กวดวิชายอดนิยมของเด็กม.ปลาย” ไอตี้ในชุดสูทแจ๊กเก็ตยืนพูดอยู่ในจอโทรทัศน์

“เฮ้ย! นี่เทปที่นายเคยให้เราช่วยดูนี่นา” ตอนที่ผมดูนั้นยังมีแค่ภาพ ไม่นึกว่าจะมีไอ้ตี้เป็นคนพูดบรรยายด้วย
“อืม เพิ่งได้คิวฉาย” ตี้ตอบแล้วก้มหน้างุด ๆ พุ้ยข้าวเข้าปาก
“แต่ตอนนั้นเราไม่เห็นฉากที่นายยืนพูดเลยนี่?”
“ตัดต่อเข้าไปทีหลังน่ะ”
“ดูดีมากเลยนะเนี่ย” ผมรู้สึกปลื้มแทนมันนิด ๆ และอิจฉาหน่อย ๆ ที่ผลงานชมรมมันโคตรเป็นชิ้นเป็นอันได้ฉายทั่วโรงเรียน

“ไม่อ่ะ” มันก้มหน้ากินข้าวเหมือนจงใจไม่อยากให้ใครเห็นหน้า
“เป็นไรวะ ก้มหน้าก้มตายังกะกลัวใครจำได้”
“เราอาย เสียงเราเหมือนเป็ดเลย”
“ไม่นะ เสียงนายก็เหมือนปกติแหละ”
“ไม่อ่ะ เสียงน่าเกลียด เราพูดตั้งหลายทีแต่ก็ไม่ดีสักที ยืนก็เก้ ๆ กัง ๆ อายว่ะ”

ตอนแรกผมนึกว่ามันเล่นมุก แต่เห็นอาการมันแล้วคืออายจริง ๆ ไม่อยากเชื่อเลยไอ้โย่งที่โคตรอินดี้ดันอายเสียงตัวเอง
“ตี้ เสียงนายปกติจริง ๆ นะ ก็เหมือนเวลาคุยกับเราทุกทีนั่นแหละ”
ตี้ยังก้มหน้า โอ๊ย! ที่วันนี้นายไม่ไปนั่งกับเพื่อน ๆ เพราะอายผลงานตัวเองเหรอวะ ผมไม่ชอบเลยที่เห็นมันเป็นแบบนี้

“ตี้ ฟังเรานะ อันนี้เราอ่านหนังสือมา เค้าบอกว่าคนเราได้ยินเสียงตัวเอง 2 ทางคือทางหูกับการสั่นสะเทือนผ่านเนื้อเยื่อและกระดูกในกระโหลกศีรษะ ทำให้เราได้ยินเสียงตัวเองในโทนที่ทุ้มกว่า แต่พอฟังเสียงตัวเองที่อัดและเล่นผ่านเครื่องจะรู้สึกว่าเสียงแห้งไม่คุ้น” ผมตบบ่ามัน
“จริงเหรอ?”
“จริงดิ เรานี่หนอนหนังสือของชมรมห้องสมุดนะเฟ้ย”
“คือเสียงเราเป็นเป็ดแบบนี้ตลอดเลยเหรอวะ?”
โอ๊ย! แทนที่คำอธิบายของผมจะทำให้มันรู้สึกดีขึ้น ดันเหมือนจะแย่ลงกว่าเดิมอีก
“เสียงหล่อ เชื่อเรา”
“อะไรนะ?”
“เราบอกว่าเสียงนายหล่อดี ทั้งเสียงตัวจริงกับเสียงในเทปรายการนั่นแหละ”
“แล้วเอสชอบมั้ย?”
“ก็เสียงดีอ่ะ”
หน้ามันฝาดแดงระเรื่อ อารมณ์ดีขึ้นทันตาเห็น อะไรของมันวะ แต่เห็นตี้มีความมั่นใจมากขึ้นผมก็รู้สึกดีนะ

“นายชอบเป็นนักข่าวจริง ๆ เนอะ”
“อืม”
“ชอบอะไรที่สุดในการเป็นนักข่าวเหรอ?”
“ผดุงความยุติธรรม”
“ห้ะ! อะไรนะ? เดี๋ยวนะนี่นักข่าวหรือขบวนการเซนไต?”

“นักข่าวไม่ใช่แค่รายงานข่าวนะ แต่ช่วยแฉเรื่องแย่ ๆ ในสังคมด้วย บางครั้งก็สร้างกระแสขนาดทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงได้เลย จำได้มั้ยหลายปีก่อนมีข่าวครูทำร้ายเด็กประถมในโรงเรียนน่ะ”
“อ๋อ จำได้”
“นั่นน่ะ เรื่องมันเกิดมาหลายครั้งแล้วแต่คนที่เกี่ยวข้องพยายามปกปิด จนมีนักข่าวทำสารคดีแฉเรื่องนี้จนครูโดนไล่ออก ผู้บริหารก็โดนเพ่งเล็งจนต้องปรับปรุงโรงเรียนครั้งใหญ่ ไม่ใช่แค่ในโรงเรียนนั้นที่เดียวนะ โรงเรียนทั่วประเทศต้องใส่ใจเรื่องพวกนี้มากขึ้น เราอยากเป็นนักข่าวที่ช่วยสังคมด้วยงานของเราแบบนั้น”

ตาของตี้เป็นประกาย ความฝันของเขาเท่ชะมัด
“ตอนเราเห็นเรื่องนั้นเราอยากเก่งแบบนั้นบ้าง พอถึงวันเด็กเราเลยบอกแม่ว่าอยากไปดูสถานีโทรทัศน์ ตอนนั้นคิดว่าถ้าเดินเข้าไปแล้วจะได้เป็นนักข่าวเลยนะ ฮ่า ๆๆ แล้วเมื่อวันก่อนเราก็คุยกับพัตว่าเราก็เรียนสายวิทย์ใช่มะ เราอาจเป็นนักข่าวสายวิทยาศาสตร์อันดับหนึ่งของประเทศก็ได้ คิดดูว่าถ้าเราได้ทำข่าวพวกยาปลอม อาหารเสริมปลอม เราอาจช่วยชีวิตคนได้เป็นร้อยเป็นพัน”

“ความฝันนายใหญ่ดีนะ แบบนี้นายควรเข้าคณะนิเทศของมหาลัยดัง ๆ นะ จะได้เป็นนักข่าวเก่ง ๆ”
“ก็คิดอยู่เหมือนกัน แต่คะแนนสูงน่ะ”
“งั้น...ถ้าสมมุติว่ามีที่ ๆ หนึ่งที่นายเข้าไปอยู่แล้วจะเรียนเก่งขึ้น ได้คะแนนดีขึ้นเอาไปสอบเข้ามหาลัยดัง ๆ ที่นายอยากได้ นายว่าจะดีมั้ย?”
“แบบห้องฝึกพลังแรงโน้มถ่วงสูงเหมือนในเรื่องดราก้อนบอลอะไรงี้เหรอ?”
“ก็...ประมาณนั้นแหละ นายอยากเข้าไปมั้ย?”
“เสียเงินหรือเปล่าวะ?”
“เอ่อ...ไม่นะ ฟรี คือสมมุติว่าฟรีเลย นายเข้าไปมั้ย?” ห้องควีนไงห้องควีน
“ของดีแบบนั้นมันต้องจ่ายด้วยอะไรสักอย่างแน่ ๆ”
“ไม่เสียเงินนะ เข้าได้เลย”
“การจ่ายไม่ใช่แค่เงินเสมอไป อาจจ่ายด้วยอย่างอื่นเช่นเวลา”
“จ่ายด้วยเวลาเหรอ?”
“ห้องอะไรเนี่ยเราจะใช้เวลาฝึกเหมือนคนทั่วไปหรือต้องอยู่นานกว่าคนปกติ?”

ผมนึกเปรียบเทียบเรื่องที่ดิมจบคาบ 4 ก็แทบจะหมดเวลากินข้าวเที่ยงแล้ว “ก็อาจต้องอยู่นานกว่าคนปกติ”
“แล้วเราสามารถเข้าออกได้ทุกเมื่อหรือยกเลิกได้มั้ย?”
“ม...ไม่ได้ เข้าแล้วเข้าเลย”
“งั้นแปลว่าต้องจ่ายด้วยเวลาและอิสรภาพ แบบนั้นเราไม่เอาอ่ะ”
“อ้าวเหรอ? ทำไมล่ะ?”
“เอส นายรู้จักเรื่อง 8-8-8 ไหม?”
“ที่เป็นหนังผีน่ะเหรอ?”
“อันนั้นเรื่อง 6:66 ตายไม่ได้ตาย”
“แล้ว 8-8-8 คืออะไรเหรอ?”

“คนทุกคนมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมง เราใช้เรียน 8 ชั่วโมง นายสังเกตมั้ยว่าพวกเราเริ่มเรียน 8:30 จบ 16:30”
“เออ จริงด้วยแฮะ 8 ชั่วโมงเป๊ะเลย”
“และเราก็นอนพักผ่อน 8 ชั่วโมงและเหลือเวลาส่วนตัวอีก 8 ชั่วโมงนี่แหละที่คนเราจะใช้พัฒนาชีวิต”
“ห้องนั้นอาจเอาเวลาไปมากกว่า 8 ชั่วโมงแต่นายก็เก่งขึ้นนะ”
“เราเลือกเรียนเฉพาะวิชาที่เราอยากเรียนได้ไหมล่ะ?”
“ม...ไม่ได้”
“งั้นนั่นก็ไม่เรียกว่าทำให้เราเก่งกว่าคนอื่น แต่เก่งได้แค่เท่ากับคนอื่นที่เก่งที่สุดเท่านั้น”
“คืออะไรวะ? คุยกับนายเรางงขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว”
“คือสรุปง่าย ๆ ว่าเราเรียนในโรงเรียนวันละ 8 ชั่วโมงนี่เราก็พอใจแล้ว เราจะเอาอีก 8 ชั่วโมงที่เหลือไปหาความรู้หาประสบการณ์อะไร ๆ ที่เราเลือกเอง”
“เราฟังแล้วก็ยังงง ๆ นะ แต่นายดูโคตรเหมือนผู้ใหญ่มีความคิดเลย”

“ก่อนหน้านี้เราไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้หรอกเพราะคะแนนเราก็ยังแค่คาบเส้น 80% นิด ๆ แค่กังวลเรื่องคะแนนเก็บ Onet กับ Admission เราก็กลุ้มไม่รู้จะทำอะไรเพิ่มแล้ว จนนายมานั่งข้างเรานี่แหละ”
“เราเหรอ?”
“นายช่วยให้เราเลิกติดเกม ชวนเราอ่านหนังสือ พอคะแนนเราดีขึ้นเราเลยคิดอะไรได้มากขึ้น”
“เอ่อ...”
“นั่งกับเราไปเรื่อย ๆ ได้มั้ยเอส?”
“พูดอะไรแปลก ๆ ก็นั่งข้างกันตลอดอยู่แล้วนี่”
“ก็จู่ ๆ นายย้ายที่กับบอยมานั่งข้างเรา...เราก็เลยกลัวว่าวันดีคืนดีนายอาจอยากย้ายไปนั่งที่อื่นอีก”

ผมน่ะไม่ย้ายหรอก แต่คนที่จะย้ายน่ะ...นายต่างหาก

สายตาของตี้จับจ้องไปที่จอโทรทัศน์ดูผลงานสารคดีชิ้นแรกของตัวเองที่ได้ฉายในโรงเรียน
นี่คือคนปากหมาที่ผมเคยพยายามวางแผนให้มันโดนย้ายไปห้องควีน ...แต่ตอนนี้...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-03-2021 20:20:10 โดย Sorrowkung »

ออฟไลน์ tiger2006

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 334
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ Sorrowkung

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
King Class Away Ep.36
Before the final countdown


16:30น. เย็นวันอังคารก่อนวันสอบกลางภาค

เสียงกริ่งจบคาบ 8 ดังขึ้น ตามปกติทุกคนจะดีใจที่จะได้กลับบ้าน แต่วันนี้แต่ละคนดูตึงเครียดไม่คุยเล่นสนุกอย่างเคยเพราะพรุ่งนี้จะเป็นวันแรกของการสอบกลางภาคที่ยาวนาน 3 วัน แต่ผมค่อยไม่กังวลเพราะอ่านทบทวนตามที่ดิมแนะนำและมีพี่ยุทธช่วยสอนบางวิชาให้ด้วย พวกเราสองคนลองทำข้อสอบเก่าได้เยอะอยู่ผมเลยค่อนข้างมั่นใจ คืนนี้ก็ติวอีกนิดหน่อยแล้วรีบเข้านอนดีกว่าจะได้ตื่นมาหัวปลอดโปร่งมาสอบ

ผมยืนมองผ่านประตูห้อง 7 เข้าไป โชคดีที่ห้องของไอ้ดิมก็กำลังเลิกเรียนเหมือนกัน (บางทีไอ้ห้องควีนนรกนี่ก็ชอบสอนเกินเวลา) แต่มองกวาดไปทั่วห้องก็ไม่เห็นไอ้แว่นแฮะ มันหายไปไหนวะ ตอนพักเบรคช่วงบ่ายก็ยังคุยกันอยู่เลย กระเป๋ามันก็ยังวางอยู่ตรงเก้าอี้

“สน! เรามาละ” ไอ้ดิมโผล่มาข้างหลังผม
“มึงไปไหนมาวะ? อ้าว! แล้วทำไมเหงื่อซึมขนาดนั้น! มึงโดนสั่งไปวิ่งรอบสนามบอลอีกเหรอ!?”
“เปล่า ๆ เราไปซื้อขนมที่โรงอาหาร กินป๊อกกี้ไหม?” ดิมล้วงขนมออกมาจากถุงที่มันถือในมือ
“อารมณ์ไหนวะวิ่งไปซื้อป๊อกกี้ที่โรงอาหารตอนเวลานี้? มึงก็ซื้อตอนเดินออกโรงเรียนก็ได้ มีร้านขนมปากซอยมีเยอะแยะ”

วันนี้มันทำตัวแปลก ๆ แฮะ อยากกินป๊อกกี้ขนาดนั้นเลยเหรอวะ เออ! จะจำไว้ เดี๋ยววันหลังกูซื้อให้มึงกินบ่อย ๆ ละกัน ผมเดินเข้าห้องไปหยิบกระเป๋ากับถุงเสื้อนักเรียนของมันออกมา
“กูถือให้ มึงพักให้หายเหนื่อยก่อนเถอะเดี๋ยวเป็นลมอีก”
“เราไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นน่า ที่วันนั้นเป็นลมตอนวิ่งเพราะอดนอนอ่านหนังสือเฉย ๆ แต่ช่วงที่ไปเล่นบาสกับนายบ่อย ๆ เราก็ว่าเราแข็งแรงขึ้นนะ” มันทำท่าเบ่งกล้าม
หึ! กล้ามมีกระจ๊อยนึงทำเบ่ง เดี๋ยวกูเล่นมวยปล้ำทุ่มมึงลงเตียงแน่คืนนี้ ตามคำแนะนำของไอ้บอมว่าทำตวามความรู้สึกไปเลย

“เออ ๆ เดินไปหาพวกบอมที่ห้องมันจะได้กลับบ้านไปติวเตรียมสอบกัน”
“กินป๊อกกี้มั้ย? เดี๋ยวเปิดเลย”
“เออ เอาดิ ป้อนด้วยนะ มือกูเต็ม” ตอนนี้ผมถือทั้งกระเป๋ตัวเองและกระเป๋ากับถุงเสื้อของดิมเต็มสองมือ
“อ่ะ” ไอ้แว่นยื่นแท่งป๊อกกี้ยื่นมา ผมอ้าปากคาบไว้

“ดิม วันนั้นที่พัตแบ่งป๊อกกี้ให้พวกเรากิน แล้วกูคาบยื่นไปชวนมึงกินน่ะ จำได้มั้ย?”
“จ...จำได้”
“มึงหน้าแดงด้วย”
“อ...อืม”
“เอาอีกมั้ย?” ผมคาบป๊อกกี้ยื่นไปใกล้หน้ามัน
ไอ้ดิมก้มหน้าไม่ตอบ แล้วมันก็หยิบป๊อกกี้จากถุงกินแทน โอ๊ย! แกล้งมึงนี่สนุกเป็นบ้า

ผมเห็นไอ้บอมละ มันยืนอยู่หน้าห้อง “ไงวะบอม จะกลับบ้านกันยัง?”
“กูรอพัตน่ะ เค้าบอกไปทำธุระแป๊บนึง เดี๋ยวมา”
แต่ตามันมองมาที่ถุงเสื้อดิมกับกระเป๋าดิมในมือผม สายตาส่งกระแสจิต ถุงอะไรวะ?

“เหรอ? ให้พวกกูรอเป็นเพื่อนป่ะ?”
ผมตอบกระแสจิตกลับไป ถุงเสื้อนักเรียนดิม เค้าจะค้างบ้านกูช่วงสอบจะได้ไม่ต้องเดินทางไกล

“มึงกับดิมไปก่อนเลยก็ได้นะ”
ตามันเป็นประกาย เบา ๆ นะมึง พรุ่งนี้สอบ

“อืม งั้นพรุ่งนี้เจอกันตอนเช้านะ”
ผมบอกลามันพลางขยับปากแบบไร้เสียง เบาพ่องงงงง กูจะทำอะไรวะ กูไม่หื่นเหมือนมึงนะว้อย

“โชคดีสน โชคดีนะดิม พรุ่งนี้เจอกัน”
มันโบกมือลาพร้อมยักคิ้วเป็นกระแสจิต พ่อกูอยู่แท่นขุดน้ำมันที่สงขลา มึงด่าไม่ถึงหรอกกกกก

บอมนั่งรอพัตต่อไป อยู่ว่าง ๆ เอาสมุดจดมาอ่านทบทวนดีกว่า บอมเปิดกระเป๋าควานหาสมุดแต่เจอปากกาที่ไม่คุ้นอยู่ในกระเป๋า “เฮ้ย! นี่ปากกาของอาจารย์เวิร์คช็อปนี่”

ตอนบอมกับพัตทำฐานไม้สิ่งประดิษฐ์วิทยาศาสตร์ อาจารย์มาช่วยแนะนำการใช้เครื่องมือและยื่นปากกาให้บอมใช้ขีดเส้นบนเนื้อไม้ส่วนที่จะตัด ช่วงนั้นยุ่ง ๆ เพราะรีบทำให้เสร็จทันพักเที่ยง เขาคงบังเอิญหยิบปากกาของอาจารย์ติดมือมาด้วย



16:35น.

ผมเดินไปจุดที่นัดกับเอสตามข้อความที่เอสส่งมาให้เมื่อตอนบ่าย

เอส: พัตเรามีเรื่องอยากคุยด้วย เจอกันที่เดิมหลังเลิกเรียนนะ

ไม่รู้เอสมีอะไรอยากคุยกับเขาแต่คงสำคัญมาก ผมเลยบอกบอมรอที่ห้องเรียนก่อน หวังว่าจะใช้เวลาไม่นานนะเพราะผมอยากกลับบ้านเร็ว ๆ ไปอ่านเตรียมสอบสำหรับพรุ่งนี้
“หวัดดีเอส มีเรื่องอะไรเหรอ?”
“หวัดดีพัต คือเรามีเรื่องอยากปรึกษาน่ะ” สีหน้าของเอสดูกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“มีอะไรเหรอ?”
“คือ...เรื่องห้องควีนของตี้น่ะ”
“ครับเอส”

“ยกเลิกได้มั้ยพัต?” คำพูดสั้น ๆ ของเอสทำให้ผมตัวชา

“คือเรารู้นะว่าพัตไม่อยากอยู่ห้องคิงห้องควีนขนาดไหน แต่...แต่เราก็ไม่อยากให้ตี้ย้ายไปน่ะ”
“...เอส”
“เราไม่เกลียดไอ้ตี้แล้วน่ะพัต เราขอโทษนะที่บอกนายกะทันหัน พรุ่งนี้ก็จะเริ่มสอบแล้ว แต่ตอนนี้เราไม่อยากให้ตี้โดนย้ายแล้วน่ะ คือพอสนิทกับมันแล้วมันก็นิสัยดีนะ แล้วตี้มันก็ชอบทำกิจกรรม เรากลัวว่าถ้าไปอยู่ห้องควีนแล้วมันจะไม่ได้ทำตามฝันของตัวเอง ตี้มันไม่อยากบ้าเรียนอะไรขนาดนั้น”

“พัตบอกครูบิ๊วไปหาคนอื่นได้มั้ย? เราไม่อยาก-”
“เอส นายสบายใจได้ เราจัดการเอง”
ผมจับบ่าเพื่อนสนิทที่กำลังรู้สึกแย่ เป็นความรู้สึกแย่จากเรื่องที่ผมก่อขึ้นมาเองทั้งนั้น

“พัต นายจะทำยังไงเหรอ?”
“เรามีวิธีละกัน นายไม่ต้องห่วง ตี้จะไม่โดนย้ายไปห้องควีนแน่นอน”
“จริงนะ? คือตอนนี้ตี้มันก็เรียนเก่งขึ้นเยอะเลย เรากลัวว่ะพัต เรากลัวโรงเรียนจะเลือกมัน”
“ไม่ต้องห่วง เราจัดการให้เอง จะไม่มีใครมาแยกตี้ไปจากนาย”
“เดี๋ยว ๆๆ นะพัต ทำไมประโยคนายฟังดูแปลก ๆ วะ?”
“เอ่อ...เรานึกว่า...”
“ไม่ใช่ว้อย! เราไม่ได้ชอบมันแบบนั้น! ก็แค่อยู่กับมันแล้วสนุกดี” เอสหน้าแดงพูดละล่ำละลัก
“อ๋อ ๆๆ ยังไงเอสก็ไม่ต้องกังวลนะ เราจัดการทุกอย่างให้เอง”
“ขอบใจนะพัต”
“ไม่ต้องหรอก เราต่างหากต้องขอโทษเอสที่ให้นายทำอะไรให้เราตั้งเยอะ”
“อืม งั้นเราไปก่อนนะ”

เอสเดินไปแล้ว เหลือผมยืนอยู่คนเดียวในตรอกข้างหลังอาคารเวิร์คช็อป สมองผมปั่นป่วนไปหมด
เหมือนทุกครั้ง เวลาผมทำอะไรอย่างที่อยากทำ ผลลัพธ์มันจะแย่ลงเสมอ และครั้งนี้ดูจะแย่ที่สุด ผมหลอกใช้เพื่อนสนิท และเขาก็กำลังเสียใจกับสิ่งที่เขาทำลงไป
...ผมจะทำยังไงดี…
...ไม่สิ…
...ผมตัดสินใจไปแล้วต่างหาก…
...ตี้จะต้องไม่โดนย้ายไปห้องควีน…
...และทางเดียวที่จะทำแบบนั้นได้ก็คือ…

“พัต”

เสียงเรียกเบา ๆ จากร่างสูงที่ยืนอยู่หน้าตรอก ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นมองมาที่ผม สีหน้าของความผิดหวังแสดงออกชัดเจนว่าเขาได้ยินสิ่งที่ผมพูดกับเอสหมดแล้ว

สิ่งสุดท้ายที่ผมไม่อยากให้เกิดคือบอมรู้เรื่องนี้ ผมพยายามปิดเขามาตลอด
...ผมไม่รู้บอมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง…
…แต่ผมก็ไม่แปลกใจ กฎของเมอร์ฟี่เป็นจริงเสมอ...
...Anything that can go wrong will go wrong...

“พัต ห้องควีนของตี้คืออะไรน่ะ?” เขาเดินเข้ามาช้า ๆ
“เด็กห้องคิงคนนึงได้ทุนไปเรียนต่อที่อเมริกา เขาจะไปหลังสอบกลางภาค โรงเรียนเลยจะคัดเด็กห้องควีนไปนั่งแทน แล้วคัดนักเรียนหนึ่งคนจากห้องธรรมดาไปอยู่ห้องควีน...ครูบิ๊วบอกว่าโรงเรียนจะเลือกเรา”
ผมเอนตัวพิงหลังกับกำแพงถอนหายใจ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ผมเหนื่อยกับเรื่องนี้แล้ว ผมแค่ต้องทนยืนตอบบอมให้หมดทุกเรื่อง เวลานี้เขาควรรู้ทุกอย่างเสียที

“พัต...”
“ครูเค้าพยายามช่วยแล้ว โรงเรียนเลยมีตัวเลือกอันดับสองที่ทำคะแนนสูงอีกคน ถ้าผลสอบกลางภาคของใครได้สูงกว่าก็จะเข้าห้องควีน”
“แล้วคนนั้นก็คือตี้งั้นเหรอ?”
“ใช่” ผมพยายามตอบนิ่ง ๆ แม้จะสั่นไปทั้งตัว ไม่รู้ว่ากลัวหรือเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป

“พัตรู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” บอมถามเสียงสั่น
“ตั้งแต่วันที่พวกเราไปกินพิซซ่า ที่ครูบิ๊วขับรถไปส่งพวกเราทุกคน พอส่งดิมเสร็จครูก็บอกเรา” ผมตอบโดยไม่กล้าเงยหน้าไปสบตาเขา ผมมันเลว ผมมันตัวแสบกว่าที่นายคิด

“ที่พัตไปติวกับตี้กับเอสบ่อย ๆ เรานึกว่า...นึกว่านายอยากช่วยเพื่อน”

“เราพยายามทำให้ตี้เรียนเก่งขึ้น โรงเรียนจะได้เลือกเขา ไม่ใช่แค่ติวนะ เราบอกเอสให้ช่วยประกบเขาให้นอนเร็ว ตื่นเช้า เลือกอาหารดี เลือกตำราดี ๆ ให้อ่าน ชวนเค้าอ่านล่วงหน้า อ่านทบทวน ชวนเค้าเล่นกีฬาเบา ๆ เพิ่มพัฒนาการทั้งร่างกายและสมอง เราปลูกฝังความคิดให้เขาอยากเรียนเก่งขึ้นด้วยความตั้งใจของดัวเอง...เราทำทุกทางที่ทำให้ตี้เรียนเก่งขึ้นได้ ...ทริคพัฒนาการเรียนทุกอย่างที่เราเคยเจอมาสมัยอยู่ห้องคิง เราเอามาใช้กับตี้ทั้งหมด”

...ภาพห้องผ่าตัดมนุษย์ดัดแปลงขององค์กรช็อคเกอร์ผุดขึ้นในหัวผม ผมมันเลวประมาณนั้นแหละ…

บอมกำหมัดแน่น ผมควรโดนต่อย บอมคงผิดหวังมาก
...คนที่นายชอบ ดันเป็นตัวชั่วที่วางแผนหลอกใช้เพื่อนทุกคนได้หน้าตาเฉยมาตลอด…
...ผมใช้โต้งแฮ็กมือถือนาย ลบไลน์แชทของเราสองคน ทำให้นายเสียใจ…
...ผมใช้ดิมสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ ให้ตี้สนุกกับการเรียน…
...ใช้ความเป็นเพื่อนให้เอสประกบคุมปรับปรุงพฤติกรรมของตี้ทุกอย่าง…
...ผมใช้ชมรมบาส ใช้นายกับสนชวนให้ตี้อยากออกกำลัง เพิ่มพัฒนาการสมอง…
...เบื้องหน้าที่เหมือนคนใจดีอยากติวให้เพื่อน อยากช่วยเหลือ อยากแบ่งปัน ทุกอย่างเพื่อตัวผมเอง…

มือของบอมเคลื่อนเข้ามากอดผมไว้

“บอมขอโทษนะพัต...ที่เราเห็นพัตทำหน้าเครียดตลอดเวลา ฮึก ๆๆ...เรานึกว่านายแค่กังวลเรื่องที่ปิดบังพ่อ เราพยายามทำให้พัตขำ เราอยากให้พัตหัวเราะ ชวนพัตเล่นกีฬาให้สนุก แต่จริง ๆ เราเป็นไอ้โง่ที่ไม่รู้เลยว่านายเก็บเรื่องอะไรไว้คนเดียวมาตลอด เรามัวแต่...เรามัวแต่...ฮึก ๆๆ เราช่วยอะไรนายไม่ได้เลย”

“ไม่ใช่ความผิดของบอมหรอก ฮึก ๆๆ เวลานายอยู่กับเรา...เราก็มีความสุขมาก”
“ถึงตอนนี้พัตบอกเราทุกเรื่อง เราก็ยังช่วยนายไม่ได้อยู่ดี! แล้วพัตจะทำยังไง นายบอกว่าจะจัดการทุกอย่างเอง”
“ใช่ เราจะจบปัญหานี้เอง ตี้จะไม่มีทางโดนย้ายไปห้องควีน”

“พัตคิดจะทำอะไร?” บอมจ้องตาผม ดวงตาสีน้ำตาลตอนนี้ร้องไห้จนแดง
“ก็ทำสิ่งที่เราถนัดที่สุด สิ่งที่เราควรทำตั้งนานแล้ว”

ออฟไลน์ Sorrowkung

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ใกล้จบแล้วนะครับ เหลืออีกไม่กี่ตอน

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
เราว่าพัตหนีไม่พ้นหรอก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
โห จะจบแล้วหรือครับเนี่ย อุตส่าห์คิดว่ามันยังมีอีกหลายฉากที่เป็นไปได้และน่าสนใจมากๆเลยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์หลังจากดราม่าการเข้าห้องควีน ที่ตี้กับเอสต้องผ่าน หรือความหวานๆในช่วงถัดไปอีกสามปีของสนกับดิม และเรื่องราวต่อไปของบอมกับพัตในช่วงมัธยมปลายหลังจากเข้าห้องควีน

ซึ่งเอาจริงๆจากการที่เคมีตัวละครเข้ากันได้ดีมาก และเนื้อเรื่อง Centralize เป็นเส้นตรงไปยังเป้าหมายของเนื้อหาในมัธยมปลาย (การสอบ, เรียนจบ) มันเปิดศักยภาพของตัวละครมากๆเลยนะครับ เพราะถ้าสังเกต หลังจากที่จบ Climax ของการเข้าห้องควีน ซึ่งก็สัมพันธ์กับชื่อเรื่องที่ว่า King Class Away ซึ่งตรงนี้ผมมองว่าเป็น Prequel ที่ทำได้ดีมากๆเลยนะครับ เพราะทำให้คนอ่านรู้จักกันตัวละครแต่ละตัวได้อย่างครบถ้วน รู้จักนิสัยและเรื่องราวการปูการสนิทสนมและการเริ่มต้นชอบกัน แต่ว่าเส้นทางจริงๆที่นวนิยายโรแมนติกมักจะเน้นให้คนอ่าน คือพัฒนาการความลึกซึ้งด้านความสัมพันธ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่รักชอบกันแล้ว อุปสรรคที่ต้องฟันฝ่า ความแนบแน่นหรือความหวือหวาในชีวิตที่อาจเป็นสิ่งบ่งบอกการจบสุดท้ายแบบสุขนิยม ซึ่งตรงนี้จริงๆมันสามารถทำเป็นอีก Ark นึงเลยก็ได้ตอนเข้ามหาวิทยาลัย หรือตอนทำงาน เพราะว่าพวกนี้มันคือแก่นของการเดินเรื่องนวนิยายโรแมนติกเลยครับ อย่างเรื่อง Once Love Story ณ กาลครั้ง รัก ของคุณจิบุ จิบุ ก็เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจและน่าตามอ่านครับ

ออฟไลน์ Sorrowkung

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
King Class Away Ep.37
Enter The Exam


หลังจากแยกกับบอม ผมกับดิมก็นั่งรถเมล์มาต่อรถสองแถวลงที่ปากซอยอ่อนนุช 10 เหมือนเคย แต่ไอ้แว่นดูจะตื่น ๆ ลน ๆ กว่าคราวที่แล้ว มันคงเหมือนมาเข้าค่ายมั้งเพราะมันจะมานอนบ้านผม 3 คืนรวดเลยระหว่างสอบกลางภาค

“ดิม กินอะไรดีเย็นนี้?”
“ที่บ้านสนมีข้าวเย็นมั้ย?”
“บางทีก็มี แต่คงต้องอุ่นเองน่ะเพราะแม่กูกินตั้งแต่ห้าโมงเย็นแล้วเหลือจะเอาแช่ตู้เย็นไว้ กูขี้เกียจอุ่น”
“งั้นไปกินที่บ้านนายละกัน”
“บอกว่ากูขี้เกียจอุ่น”
“เราทำเอง”

พอเข้าบ้านดิมยกมือไหว้สวัสดีแม่ทันที
“สวัสดีครับคุณป้า ขอรบกวนค้างหลายคืนช่วงสอบนะครับ”
“จ้า ลูกสนบอกกับแม่แล้ว ลูกดิมมาเลย พักให้สบายจะได้สอบเก่ง ๆ นะ”
“ขอบคุณครับคุณป้า”
“แม่ครับมีกับข้าวเหลือมั้ยครับ?”
“มีผัดผักบุ้งกับหมูพะโล้น่ะ เดี๋ยวแม่อุ่นให้นะ” แม่พูดพลางยันตัวขึ้นจากโซฟาหน้าโทรทัศน์
“ผมทำให้เองครับ คุณป้านั่งพักผ่อนเถอะครับ” ไอ้ดิมพูดแล้วถือถุงเดินเข้าครัวไปเลย เออ! ตกลงใครเป็นลูกบ้านนี้วะ? ขยันทำคะแนนเอาใจแม่กูชิบเป๋ง

“แม่จ๋า สนนวดให้น้า” ผมรีบนั่งลงนวดขาให้แม่ทันทีเพราะรู้ว่าแม่จะด่าผมเปรียบเทียบกับไอ้แว่นแน่นอน
“ฮิ ๆๆ อะไรเนี่ย คนนั้นคนนี้ก็มาเอาใจแม่กันใหญ่ รีบไปอุ่นกับข้าวกินเถอะจะได้อาบน้ำเข้านอน พรุ่งนี้จะสอบแล้ว”

ผมเดินเข้าครัวไปดูว่าไอ้ดิมอุ่นกับข้าวเป็นไหม มึงนี่ก็หาเรื่องให้ตัวเองลำบากเรื่อย แทนที่จะกินนอกบ้านจะได้ไม่เหนื่อย เดี๋ยวก็หลับเร็วไม่ได้ติวอีกหรอก

“มีกับข้าวแค่ 2 อย่างน่ะพอกินมั้ยมึง?”
แต่สิ่งที่ผมเห็นตรงหน้าคือมันเพิ่งจัดอกไก่อบชานอ้อยใส่จานเตรียมเข้าไมโครเวฟ อกไก่มาจากไหนวะ? ซากห่อฟลอยด์ยังอยู่บนโต๊ะ หลักฐานคาหนังคาเขาว่ามึงเพิ่งแกะออกมาเมื่อกี้
“มึ๊งงงงง”
“ครับสน” ไอ้ดิมยิ้มร่า
“อกไก่อบชานอ้อยมาไงวะ? ตอนนั่งรถมาด้วยกันก็ไม่ได้แวะร้านไหนซักหน่อย”
“เราฝากพี่แม่ครัวที่โรงอาหารเมื่อตอนเที่ยงให้ซื้อเตรียมไว้” มันยิ้มตอบแห้ง ๆ
“คือไอ้ถุงที่มึงถือมานั่นใช่มั้ย? กรูบอกมึงกี่ครั้งแล้วว่ามึงน่ะชอบทำตัวเองลำบาก ที่มึงวิ่งไปตอนเลิกเรียนคือไปเอาไอ้นี่มาใช่มั้ย?”
“ฮะ ๆๆ ใช่”
คือที่มึงไม่ยอมทานข้าวข้างนอกก่อนเข้าบ้านเพราะอย่างนี้เอง

“กูชวนมึงมาค้างบ้านกูช่วงสอบเพราะอยากให้มึงสบายไม่ต้องเดินทางไกลไปถึงบ้านมึงที่สำโรง แต่มึงดันหาเรื่องให้ตัวเองเหนื่อยเพิ่มซะงั้น ถ้ามึงทำสอบไม่ได้กูก็แย่สิ”
ไอ้แว่นหน้าจ๋อย โอ๊ย! อยากจะด่ามันมากกว่านี้แต่เดี๋ยวจะพาลหมดอารมณ์ติวกันทั้งคู่
“คือมึงอยากทำอาหารให้กูกับแม่เหรอ?”
ดิมผงกหัวหงึก ๆ “มาค้างหลายวัน เราเกรงใจ”
“กูขอบใจ แต่มึงต้องโฟกัสนะตอนนี้อะไรสำคัญสุด”
“การสอบ”
เสียงไมโครเวฟทำงานเสร็จดังติ๊งเป็นระฆังช่วยชีวิตมัน ดิมยกจานออกมาทั้งที่หน้ายังเหลือความสลดนิดนึง อกไก่อบชานอ้อยส่งกลิ่นหอมกรุ่นจนผมลืมโมโหมันเลย
“โชคดีนะดิมที่กูชอบกินอันนี้ กูยกโทษให้” ผมกอดคอมันให้อารมณ์ดีขึ้น

ผมกับดิมช่วยกันอุ่นกับข้าวอีก 2 อย่าง ผมคดข้าวที่เหลือในหม้อแบ่ง 2 จานแล้วลงมือทานจนอิ่ม
“ลูกเอาจานแช่น้ำในอ่างเลยนะ เดี๋ยวแม่ล้างเอง รีบไปอาบน้ำอ่านหนังสือแล้วรีบนอนเถอะ”
“ครับแม่”

พอดิมไปอาบน้ำเสร็จผมก็คว้าผ้าเช็ดตัวไปอาบน้ำบ้าง พอกลับมาที่ห้องนอนมันก็กางโต๊ะเตรียมตำราพร้อมละ
“มาติววิชาที่จะสอบวันแรกกันนะ”
“อืม”
“เราขอข้อสอบเก่าจากอาจารย์ของห้องควีนกับของสายศิลป์มาด้วย ข้อสอบมี 50 ข้อแต่เราเลือกแค่ 10 ข้อของแต่ละวิชามาฝึกทำนะจะได้ไม่ดึกมาก”
ดิมเข้าโหมดจริงจัง ผมชอบเวลามันกลับเข้าร่างเด็กเรียนอีกครั้งทำให้ผมลืมความอ้อนตีนที่มันลำบากลำบนหาอกไก่อบชานอ้อยมาเป็นมื้อเย็นให้ผม
“มองอะไรอ่ะ ตั้งใจทำข้อสอบสิ” แม่งดุชิบเป๋ง กูไม่ชอบโหมดเด็กเรียนของมึงละ อยากจับมันทุ่มลงเตียงโว้ย ถ้าไม่ติดว่าพรุ่งนี้สอบนะมึงโดนแน่

ติวเสร็จเกือบสี่ทุ่ม ดิมพับแว่นใส่กล่อง ได้เวลาเข้านอนพอดี ผมปิดไฟแล้วห่มผ้าห่มคลุมตัวเราสองคน
“ดิม”
“หืม?”
“สอบเสร็จอยากไปเที่ยวไหน?”
“อยากไปท้องฟ้าจำลอง แล้วนายล่ะสน?”
“กูอยากไปดูหนัง”
“อืม ฝั่งตรงข้ามมีเมเจอร์ ไปเที่ยวทีเดียวได้สองที่เลยนะ”
“เออ รีบนอนนะ ราตรีสวัสดิ์”

...ในแสงไฟสลัวที่ส่องมาจากเสาไฟข้างถนนนอกรั้วบ้าน ไอ้ดิมนอนหลับแต่อมยิ้มนิด ๆ…
...หลับให้จริงนะมึงไม่ใช่แกล้งนอนยิ้ม...


เช้ามืดวันพุธ วันสอบกลางภาควันที่ 1

ผมงัวเงียตื่นมาด้วยเสียงมือถือที่ตั้งปลุก ป่ายแขนไปข้างตัว...ไอ้ดิมไม่อยู่ หรือมันไปอาบน้ำแล้ว แต่พอเดินไปดูที่ห้องน้ำพื้นยังแห้งอยู่เลย คงตื่นไปช่วยทำครัวตามเคย ผมควรจะหงุดหงิดมันมั้ยเนี่ย ขนาดเมื่อคืนพูดไปตั้งเยอะแล้ว
...นับ 1 ถึง 10...มันคงอยากเอาใจผม เอาใจแม่…
...เอาน่า คุยกับมันอีกรอบ ถ้ายังดื้อจะเขกกระโหลกให้…
...ไม่สิเดี๋ยวความรู้มันหาย ดีดติ่งหูแม่งดีกว่า...

ผมเดินลงมากะว่าถ้าเจอไอ้ดิมจะรีบไล่มันไปอาบน้ำเตรียมตัว แต่ได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่คุ้นเคยฟุ้งไปทั่วบ้าน
“แม่ครับ ทำแกงจืดดอกขจรหมูสับเหรอ?”
“ใช่จ้า” แม่กับลูกชายคนใหม่ของแม่ยืนอยู่หน้าเตา กับหม้อที่ไม่ต้องเดาว่ากำลังต้มอะไร
“ดอกขจรเนี่ยสุกง่าย ตอนจะใส่ให้ปิดแก๊สเลยนะ พอคนเข้ากันก็จะสุกกำลังดี ดอกยังกรอบนิด ๆ ไม่น่วม”
ไอ้ดิมผงกหัวหงึก ๆ ตั้งใจเรียนมากจนผมไม่อยากเข้าไปห้ามว่ามึงมาเตรียมตัวสอบกลางภาค ไม่ใช่สอบยอดกุ๊กแดนมังกร

พอมันตักแกงจืดใส่ชามเสร็จก็บอกขอบคุณแม่แล้วหันมาอมยิ้มให้ผมทีนึงก่อนจะขึ้นชั้นสองไปอาบน้ำโดยผมไม่ต้องเอ่ยปาก เหลือผมยืนช่วยแม่จัดกับข้าวที่เหลือ
“สน มานี่ ๆ” แม่กวักมือเดินนำไปหลังบ้าน
“มีอะไรครับแม่?”
“ยังไง ๆ?”
“อะไรครับแม่? ยังไง ๆ เนี่ย?”
“ก็ยังไง ๆ ไงล่ะ?” แม่พูดยิ้ม ๆ ผมเห็นภาพเดจาวูที่ไอ้บอมยืนยิ้มกรุ้มกริ่มเมื่อวาน ชักสยองแล้วแฮะ
“อ่า...คืออะไรเหรอแม่?”
“ลูกดิมเนี่ย แฟนเหรอ?”
“.........” หัวใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ! ผมจะตอบแม่ยังไงดีวะ! บอกความจริงไปแม่จะหัวใจวายมั้ย? แต่ผมก็ไม่อยากโกหกพ่อแม่นะ!

“ท...ทำไม...แม่ถามแบบนั้นล่ะครับ?” ขอให้แม่แค่แซวผมเล่น ๆ ทีเถอะ
“ก็คราวที่แล้วที่ดิมมาค้างแล้วเค้าช่วยแม่ทำอาหารตอนเช้า เค้าถามว่า...”
“ถามว่า...” ผมล่ะลุ้นกับคำพูดของแม่เหลือเกิน
“เค้าถามว่าสนชอบกินอะไร”
“โธ่เอ๊ย! นึกว่าอะไร แล้วแม่บอกมันว่ายังไงล่ะ?” ถ้าถามแค่นี้ก็ไม่ต้องกลัวความแตกหรอก
“แม่บอกก็ชอบกินผัดถั่วลันเตาที่แม่กำลังผัดนี่แหละ ลูกคนนี้เรื่องมาก ไม่เอาถั่วลันเตาฝักอ่อนนะ ต้องแบบที่เม็ดข้างในใหญ่ ๆ ด้วย”
“แล้วดิมว่าไงต่อเหรอครับ?”
“เค้าบอกงั้นขอเค้าผัดเอง”
“...เอ่อ...ดิมเค้าชอบลองทำอาหารน่ะแม่...” โอ๊ย! มึงนี่ก็แสดงออกชัดฉิบหาย
“ยังไม่หมดแค่นั้นนะ”
“มีอะไรอีกเหรอครับ?”
“ตอนผัดไปเค้าก็ถามแม่ไปว่ามีอะไรที่สนชอบกินอีกมั้ย?”
“แล้วแม่ตอบว่าไงเหรอ?”

แม่มองไปที่โต๊ะกินข้าวแล้วมองค้อนช้อนเป็นมุม 60 องศากลับมายิ้มกรุ้มกริ่ม “อกไก่อบชานอ้อยกับแกงจืดดอกขจรหมูสับ”
“ห...เหรอ? บังเอิญจังเลย วันนี้แม่ก็ทำแกงจืดนั้นพอดี”
“บังเอิญจังเลยเมื่อคืนลูกดิมก็ซื้ออกไก่อบชานอ้อยมา ดอกขจรที่ทำแกงนั้นเค้าก็เตรียมมาให้ตั้งแต่เมื่อวาน ถุงที่เค้าถือมาจากโรงเรียนน่ะ มาถึงเค้าก็เอาใส่ตู้เย็นเลย เมื่อเช้าแม่เปิดมาเจอ เค้าก็ลงมาบอกแม่ว่าสอนต้มแกงจืดหน่อย”

ไอ้ดิม!! มึ้งงง!!! แม่กูไม่ต้องเดา 20 คำถามแล้ว มึงแสดงออกชัดขนาดนี้พากูไปจดทะเบียนเลยมั้ย!
“แม่อย่าช็อกนะ...แม่รับได้ไหมอ่ะ? คือสน...”
“แม่ไม่ว่าอะไรหรอก ลูกอยากคบใครก็คบเถอะ ขอแค่เป็นคนดีก็พอ”
เฮ้ย! นี่แม่ผมหรือเนี่ย!? ผมกะพริบตาถี่ ๆ เผื่อว่าคนตรงหน้าจริง ๆ คือพี่อ้อยพี่ฉอด

“แม่น่ะยังวัยรุ่นนะ เวลารีดผ้าไปแม่ก็ดูแอพทีวีไป ละครวายเยอะแยะ ยุคนี้แล้วแม่เข้าใจได้” แม่พูดพลางชูมือถือจอแตกโบกหยอย ๆ
“แม่...”
“ลูกรักใครแล้วมีความสุขก็รักไปเถอะนะ” แม่กอดผมแน่น
“พ่อรู้ยัง?”
“ยัง ขานั้นออกไปทำงานตั้งแต่เช้ามืด ไม่ต้องรีบนะลูกอยากบอกเมื่อไหร่ก็ค่อยบอก ชวนดิมมาบ่อย ๆ แม่ว่าเดี๋ยวพ่อเค้าก็ชอบดิมไปเองแหละนิสัยดีขยันเรียบร้อยแถมเรียนเก่งแล้วช่วยติวให้สนขนาดนี้ แต่ถ้าพ่อเค้ารับไม่ได้ ลูกก็ให้เวลาเค้าหน่อย” แม่พูดราวกับท่องบทมาจากละครวายสักเรื่อง

หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จแม่ก็ให้ศีลให้พรก่อนเดินทางไปโรงเรียน
“ขอให้จิตใจสงบ พระคุ้มครอง สอบเก่ง ๆ ได้คะแนนเยอะ ๆ นะลูกดิมลูกสน”
“ขอบคุณครับแม่”
“ขอบคุณครับคุณป้า”
“เรียกแม่เถอะลูก” แม่พูดพลางลูบหัวไอ้แว่น ซึ้งมาก ถ้าไอ้ดิมเข้าใจว่าแม่หมายถึงอะไรแม่งจะทำหน้ายังไงวะ

พวกผมเดินข้ามถนนมารอรถสองแถว ไอ้ดัวดียังไม่รู้ว่ามันทำวีรกรรมอะไรด้วยอกไก่อบชานอ้อยเมื่อคืนกับแกงจืดดอกขจรหมูสับเมื่อเช้า
...ผมควรบอกมันมั้ยวะ? ผมกลัวมันจะเสียสมาธิจนทำสอบไม่ได้…
...แล้วตัวผมเองล่ะ...ตอนนี้ดีใจ โล่งใจ หรือรู้สึกเป็นทุกข์?
...ผมว่าผมมีความสุขและโล่งใจที่ไม่ต้องปิดบังแม่อีกแล้ว…
...ดิมเองก็คงจะรู้สึกแบบเดียวกันถ้าได้รู้…

“ดิม”
“หืม?”
“แม่กูรู้แล้วนะ”
“...เหรอ? แล้วเรา...” มันหน้าสลดทันที

“แม่กูบอกโอเค คบได้” ผมตอบแต่หันหน้าหนีมัน กูก็เขินเป็นนะว้อย
“จริงเหรอ!”
“เออ”
มันยิ้มอย่างมีความสุข อยากเขกกระโหลกมันที่เมื่อเช้าดื้อจะทำแกงจืดดอกขจรแต่ก็กลัวความรู้มันหาย จะดีดติ่งหูก็กลัวมันเจ็บ ถ้าดีดมะกอกเดี๋ยวมันจับดินสอไม่ได้ ผมกอดคอแม่งนี่แหละ
“มึงอย่าเสียเวลาไปทำอาหารอีก ตั้งใจสอบเข้าใจมั้ย?
“เข้าใจแล้ว”
“ไม่ทำแล้วนะมึง จนกว่าจะสอบเสร็จ”
“........” ไอ้แว่นไม่ตอบแต่ทำตาหลุกหลิก
“อย่าบอกนะว่าเมื่อวานมึงก็สั่งพี่แม่ครัวเตรียมของอะไรให้มึงวันนี้อีก?”
“ก็มีกุ้ง, มะระ, กระเทียม, โหระพา, สาระแหน่, ผักชี, น้ำตาลปี๊บ, มะนาว”
“มึงกะจะทำอะไรวะ! ส่วนผสมคุ้น ๆ แบบนี้”
“กุ้งแช่น้ำปลา แม่บอกของชอบของสน”
“มึงจะบ้าเรอะ! ทำของดิบตอนช่วงสอบแบบนี้เดี๋ยวท้องร่วงท้องเสียอาหารเป็นพิษ ปรึกษากูบ้าง!”
“แต่สั่งให้พี่เค้าเตรียมของให้แล้วอ่ะ”
“เดี๋ยวเย็นนี้กูให้แม่ทำต้มยำกุ้งให้แทน”

เห็นหูขาว ๆ ของมึงนี่โคตรอยากดีดให้เข็ด โชคดีของไอ้แว่นที่ไอ้บอมเดินมาพอดี
“หวัดดีบอม”
“หวัดดีดิม หวัดดีสน”
“เป็นไง เตรียมตัวมาสอบเต็มที่เลยสิมึง?”
“อืม” มันตอบแบบไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่
“เป็นอะไรวะมึง ดูแปลก ๆ”
“ไม่มีอะไรหรอก” มันตอบแล้วไม่พูดอะไรต่อ

พอดีรถสองแถวมาพวกเราเลยขึ้นรถไปต่อรถเมล์เพื่อเดินทางไปโรงเรียน เดินเข้าซอยโรงเรียนก็เจอพัตนั่งอ่านหนังสือรอหน้าร้านน้ำหน้าโรงเรียน
“หวัดดีพัต”
“หวัดดีทุกคน” พัตเงยหน้ามาตอบแล้วเก็บหนังสือลงกระเป๋า “ป่ะ ไปสอบกัน”

วันนี้พัตดูแปลกมาก ทุกทีพอเจอบอมมันจะยิ้มกว้าง แต่วันนี้มันขรึม ๆ ยิ้มแค่ประมาณครึ่งเดียว พัตอาจกำลังทำสมาธิเตรียมตัวสอบมั้ง แต่ตอนวันที่สอบเข้าก็ไม่เห็นมันจะมีอาการถึงขนาดนี้

“พัตเป็นไงบ้าง?” บอมเอ่ยถามตอนเดินคู่กัน
“จะตั้งใจให้เต็มที่”
พัตตอบสั้น ๆ แล้วมือไอ้บอมก็ยื่นไปจับมือพัตไว้

ผมกระซิบกับไอ้แว่น “ดิม กูว่าพวกเราแยกไปเหอะ” ไอ้บอมตั้งใจหวานขนาดนี้ อย่าอยู่เป็นก้างมันเลย
“อืม”



ผมเก็บกระเป๋าที่ห้องประจำชั้นแล้วนั่งสมาธิ การสอบกำลังจะเริ่มแล้ว อาจารย์เดินแจกแผ่นกระดาษคำตอบและสมุดคำถามที่วางแบบคว่ำหน้า

อย่าเพิ่งเขียนชื่อลงในกระดาษคำตอบเพราะสามารถใช้เป็นข้ออ้างขอต่อเวลาอีกนิดเมื่อหมดเวลาสอบ
ผมงัดทุกกลเม็ดที่เคยเรียนรู้สมัยเอาตัวรอดในห้องคิงตลอด 4 ปี

“วิชาคณิตศาสตร์มีเวลา 90 นาที หมดเวลาสอบตอน 10:00น. เปิดสมุดคำถามและลงมือทำข้อสอบได้” อาจารย์ประกาศ

อ่านกติกาเงื่อนไขให้ละเอียด กวาดตาอ่านคำถามทุกข้อ
ข้อสอบแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก 45 ข้อเป็นปรนัย
ส่วนที่สองเป็นอัตนัย มี 5 ข้อ คำตอบมีได้ 4 หลัก หลักไหนไม่ใช้ให้วงเลข 0

ประเมินว่าข้อไหนยาก จัดเวลา จงทำข้อง่ายก่อน
45 ข้อแรกต้องจบใน 40 นาที
อัตนัย 5 ข้อ ง่าย 2 ข้อ, ยาก 3 ข้อ ข้อง่ายให้เวลา 5 นาที ข้อยากให้เวลา 10 นาที (รวม 40 นาที)
เหลือเวลาทวนอีก 10 นาที

เสียงเพื่อนในห้องบ่นอื้ออึงเมื่อเห็นข้อสอบอัตนัยสุดโหด แต่ผมเพ่งสมาธิกับข้อสอบตรงหน้าเท่านั้น

ตามปกติผมจะบริหารความคุ้มค่า ข้อไหนที่ยากหรือกินเวลาเกินไปจะเก็บไว้ทำตอนท้ายหรือไม่ก็ยอมทิ้งเลย...แต่ไม่ใช่ในการสอบครั้งนี้

ตี้จะไม่โดนย้ายไปห้องควีน ผมไม่รู้ว่าตี้จะทำข้อสอบได้เท่าไหร่ ไม่มีใครรู้อนาคต แต่ถ้าผมทำให้ถูกทุกข้อทุกวิชา ตี้จะไม่มีทางแซงผมได้

ได้เวลาเปิด TRANS-AM MODE
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-03-2021 19:22:48 โดย Sorrowkung »

ออฟไลน์ tiger2006

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 334
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Sorrowkung

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
King Class Away Ep.38
Sour เปรี้ยว, Bitter ขม


สอบวิชาเลขเสร็จ 10:00น. จบไปวิชานึงละ มีเวลาพัก 30 นาที ผมเดินออกมาที่ระเบียงตึกเจอบอมกำลังนั่งอ่านหนังสือกับเพื่อน ๆ บอมเงยหน้ามาโบกมือและขยับปากว่าจบวิชาที่สองแล้วไปกินข้าวกันนะ ผมผงกหัวตอบ บอมต้องใช้เวลาให้คุ้มที่สุด ผมลงไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าแล้วกลับมานั่งสมาธิในห้อง

การสอบวิชาที่สองภาษาอังกฤษจบลงที่เวลา 12:00น. ผมเขียนชื่อและเลขที่ระหว่างที่อาจารย์กำลังเดินเก็บข้อสอบ ใช้ทุกนาทีแบบสุด ๆ แล้ว ถึงจะเป็นวิชาถนัดที่สุดของผม แต่ส่วน reading ก็ต้องตีความให้ถี่ถ้วน โดยเฉพาะคำถามประเภทจงตั้งชื่อเรื่องให้เหมาะสม ตัวเลือกแต่ละอันที่ให้มาไม่เห็นจะเหมาะกับเนื้อหาเลย เครียดสุดแล้วกับการเดาใจคนออกข้อสอบ

ตอนบ่ายจะเป็นวิชาภาษาไทยกับสังคม วิชาสุดท้ายนี่แหละที่ผมกังวลแม้ว่าจะเคยเรียนมาแล้วก็ตาม ผมไม่ถนัดวิชาท่องจำ ไอ้การทำสอบให้ถูกทุกข้อทุกวิชานี่มันเครียดจริง ๆ 12 วิชา วิชาละ 50 ข้อ รวมเป็น 600 ข้อต้องไม่พลาดแม้แต่ข้อเดียว

พอเดินออกจากห้องสอบเจอบอมเดินมาก็หายเหนื่อยเลย
“พัตเป็นไงบ้าง?”
“พอไหวน่ะ แล้วบอมเป็นไง?”
“ยากมาก ดีนะที่พัตช่วยติวให้ ได้ใช้เยอะเลย ข้อ 35 พัตตอบอะไรเหรอ?”
“เรื่องคุยข้อสอบย้อนหลังไว้คุยหลังสอบเสร็จดีกว่านะ ตอนนี้หาอะไรกินแล้วตั้งใจอ่านสมุดย่อของวิชาภาษาไทยก่อน”
“ดีจัง มีแฟนเรียนเก่งเนี่ยให้คำแนะนำเยี่ยมตลอด” หนุ่มนักบาสยิ้มหยอกโดยไม่สนใจว่าเพื่อนอยู่หน้าห้องเต็มไปหมด
“ป...ไปหาสนกับดิมกันดีกว่า”

ระหว่างที่เดินไปตามระเบียงอาคาร ผมก็คิดถึงเรื่องที่คุยกับบอมเมื่อวาน
“พัตคิดจะทำอะไร?”
“ก็ทำสิ่งที่เราถนัดที่สุด สิ่งที่เราควรทำตั้งนานแล้ว”
“นายหมายความว่า...”
“เราจะเข้าห้องควีนเอง”
“พัต...นายตัดสินใจดีแล้วเหรอ? ก็นายไม่ชอบ...”
“อืม” ผมตอบ “แต่เราไม่ชอบทำร้ายเพื่อนมากกว่า”

“บอมอย่าทำหน้าแบบนั้นสิ เราไม่ได้ไปตายซะหน่อย”
“ไม่เอา พัตอย่าพูดคำนี้” ดวงตาสีน้ำตาลมองมาอย่างกังวลใจ
“เราว่าเราโตพอ เราคงไม่เครียดกับการเรียนแล้วล่ะ และที่โรงเรียนนี้ก็ไม่มีต้นบอระเพ็ดนะ เราเดินดูทั่วละ ฮ่า ๆๆ”
“พัต...”
“เราจะอยู่กับบอม ต่อให้เราอยู่ห้องควีนเราก็จะอยู่กับนายเหมือนที่ผ่านมา เราจะขอพ่อเล่นบาสเพิ่มด้วย”
“ไหวเหรอ?”
“หึ ๆๆ ที่บอมเห็นเราทุกวันเนี่ยเป็นแค่ร่าง 50% ของเรานะ”
“คือจริง ๆ ตัวใหญ่กว่านี้?” บอมเอื้อมมือขึ้นสูง ๆ
“ไม่ได้หมายความอย่างนั้นซะหน่อย”


“เป็นไงวะสน ทำสอบได้ปาววะ?” บอมตะโกนทักเพื่อนที่ยืนหน้าห้อง 7 ของดิม
“กูน่ะทำได้ แต่...”
ดิมหันมาหน้าเหนื่อย ๆ “เราทำได้แค่ 2 ใน 3 เอง ยากกว่าข้อสอบปีที่แล้วที่เราเอามาลองทำอีก”

พวกเราสามคนได้แต่มองหน้ากัน “อ...เอาน่าดิม นี่แค่สอบกลางภาค” สนพูด
“อืม พัต reading เรื่องแผลติดเชื้อสมัยสงครามโลก นายตอบอะไรบ้างเหรอ?”
“เอ๋? ข้อสอบของเราไม่มีเรื่องนี้นะ”
“เราก็ไม่มีนะดิม” บอมตอบ
“กูก็ไม่มีนะ” สนด้วย

ดิมเขียนทวนเท่าที่จำได้ลงในสมุดให้ผมดูตอนกินมื้อเที่ยง ผมถึงกับอุทานเหี้ยในใจว่าข้อสอบ reading ของห้องควีนใช้คำศัพท์การแพทย์ยากระดับมหาลัยเลยมั้ง ไม่มีในหนังสือเรียนด้วยใครจะรู้เรื่องฟระ

สมัยม.3 ที่อยู่ดลปัญญา ผมก็เคยบ่นกับอาจารย์เรื่องประมาณนี้ว่าข้อสอบ reading ใช้ศัพท์ที่ไม่เคยเรียนและยากมาก แต่อาจารย์ตอบกลับมาว่า “ในชีวิตจริงเราเลือกไม่ได้หรอกว่าบทความหรือการสนทนาต่าง ๆ ที่ต้องเจอจะยากหรือใช้ศัพท์แสงระดับไหน คุณควรฝึกตัวเองให้พร้อมรับมือได้ทุกกรณี นนทภัทร ผมแนะนำให้คุณอ่านเรื่องรากศัพท์, prefix, suffix, และศัพท์ละตินให้มาก ๆ จะช่วยเดาความหมายได้”

ผมดูข้อสอบของดิมก็พอเห็นอนาคตอีก 3 ปีของตรูลอยมาเลย ที่นี่แม่งเป็นดลปัญญานุกูลสาขา 2 รึไงวะ
“เดี๋ยวหลังสอบเสร็จเราช่วยให้ตำราที่เหมาะ ๆ ให้นะดิม ตอนสอบปลายภาคต้องทำได้ดีขึ้นแน่”
“เราเกรงใจน่ะพัต”
“เราเพื่อนกันน่า” อยากจะบอกว่าอีกเดี๋ยวเราจะได้อยู่ห้องเดียวกันน่า



หลังสอบสังคมวิชาสุดท้ายของวันแรกเสร็จ สนกับดิมก็แยกกลับบ้านก่อน บอกว่าสั่งกุ้งเอาไว้ต้องรีบเอากลับไปทำอาหาร
“ดีเนอะ ได้ทำอาหารด้วยกันคลายเครียดหลังสอบวันแรก” บอมกล่าว
“ดิมไปสั่งพี่แม่ครัวให้เตรียมของไว้น่ะ เนี่ยตอนแรกกะจะทำเป็นกุ้งแช่น้ำปลาด้วยนะ ทำเป็นเหรอมึง?”
“ก็ดูยูทิวป์เอาน่ะ”
“งั้นให้แม่กูทำต้มยำ จบ ไม่งั้นได้ท้องเสียกันทั้งบ้าน” มุกตลกของสนสร้างเสียงหัวเราะที่ช่วยลบความเครียดในวันนี้ได้
“แล้วคุณแม่สนทำกุ้งแช่น้ำปลาเป็นมั้ยอ่ะ?” ดิมก็ยังพยายาม
“ทำเป็น”
“งั้นหลังสอบ ให้คุณแม่สอนเราที”
“กูก็ทำเป็น”
“ให้แม่สอนดีกว่า นายดุ” ประโยคซื่อ ๆ ของดิมทำทุกคนหัวเราะครืน

หลังจากส่งดิมกับสนขึ้นรถเมล์ บอมก็เดินไปส่งผมที่สถานี airport link หัวหมาก เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เราสองคนได้อยู่ด้วยกันระหว่างเดินผ่านย่านร้านค้าที่เราเคยมากินพิซซ่าวันนั้น
“พัตเหนื่อยมั้ย?”
“ก็นิดนึงน่ะ”
ผมบอกบอมไปตามจริง ไม่ได้เปิดโหมดเต็มพลังในการสอบแบบนี้มาจะครึ่งปีแล้วนับตั้งแต่สอบไล่ม.3 ที่ดลปัญญาเพื่อทำคะแนนสูงสุดให้รักษาตำแหน่งเข้าห้องคิงม.4...ที่สุดท้ายจบด้วยการลาออกตามคำสั่งของพ่อ

“เราช่วยอะไรพัตได้บ้าง?” บอมจับมือผมเดินไปด้วยกัน
“เอ่อ...ก็มีนะ”
“เหรอ? ให้เราช่วยอะไรพัตดี? เราทำเต็มที่เลย”
“บอม...เราอยาก...” ผมหันไปมองเขา คนที่ผมชอบตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน คนที่อยู่ด้วยกันมาตลอด
“พัต...” บอมบีบมือผมแน่น นิ้วค่อย ๆ สอดประสานนิ้ว
“เราอยากกินไอติม”
“เรานึกว่านายจะพูดอะไร! ไอติมน่ะนะ!”
เมื่อกี้บอมเขานึกว่าผมจะพูดอะไรวะ -///-

“ก็วันนี้ใช้สมองเยอะนี่นา อยากกินอะไรหวาน ๆ อยู่ที่บ้านเรากินขนมหวานไม่ได้นี่”
“ได้ ๆๆ งั้นแวะสเวนเซนส์กัน”

“สวัสดีค่ะ มาสองท่านนะคะ เดี๋ยวหยิบเมนูให้นะคะ” พนักงานต้อนรับกล่าวทักเมื่อพาพวกผมนั่งที่โต๊ะ
“เฮอริเคนครับ ขอเลือกไอติมเองนะครับ มะนาวเชอร์เบต, ร็อคกี้โร้ด, มิ้นต์ช็อกโกแลตชิพ, ชาเขียว, แอปเปิ้ล แครนเบอรรี่ ชอร์เบต์”
บอมอ้าปากค้าง “พัตไม่ต้องใช้เมนูเลยเหรอ?”
“เรากินแบบนี้ทุกทีน่ะ บอมจะสั่งอะไรดี?”
“ร...เราว่าเรากินกับพัตก็น่าจะอิ่มแล้ว”

อันที่จริงผมไม่ได้อยากกินไอติมขนาดนั้นหรอก ผมแค่อยากอยู่กับบอมให้นานขึ้นอีกนิดก่อนจะไม่มีเวลาอยู่ใกล้กันนาน ๆ ได้แบบนี้อีก สักพักพี่พนักงานก็ยกไอติมมาชามใหญ่ เฮอริเคนคือไอติม 5 ลูก
“รสที่เราเลือกมีแต่เปรี้ยว ๆ กับขม ๆ นะ บอมกินได้มั้ย?”
“เรากินได้น่า ดีจะได้ชิมว่าพัตชอบกินอะไร”
“ตอนเด็ก ๆ เราไม่สบาย หมอให้กินวิตามินซีแต่เราไม่ชอบ มันเปรี้ยวแสบลิ้น แม่เลยพาไปกินไอติมมะนาวแทน จากนั้นเราก็ชอบไอติมรสเปรี้ยว ๆ มาตลอด แล้วบอมชอบรสไหนเหรอ?”
“เราชอบช็อกโกแลต”
“งั้นลองชิมร็อคกี้โร้ด” ผมตักป้อนให้

“เห็นข้อสอบของดิมแล้ว มันไม่ยุติธรรมเลยนะ เอาเรื่องที่ไม่อยู่ในตำรามาสอบแบบนี้”
“เดี๋ยวตอนม.6 เจอข้อสอบ O-net กับ 9 วิชาสามัญก็ออกนอกตำรายาก ๆ แบบนี้แหละ”
“จริงเหรอ?”
“อืม” ผมเปิดตัวอย่างข้อสอบ 9 สามัญปีก่อน ๆ ให้บอมดู
“ศัพท์อะไรเนี่ย smouldering?”
“ระอุ ไหม้คุกรุ่นแบบไม่มีเปลวไฟแล้ว แต่ยังร้อนอยู่”
“ใครจะไปรู้ว้า!”
“เราว่าคนออกข้อสอบเล่นเกม Dark Souls สังเกตว่าชุดคำศัพท์ในปีนั้นตรงกับในเกมนี้หลายคำเลย”
“นี่เราต้องเล่นเกมด้วยมั้ยเนี่ยถึงจะมีความรอบรู้ไปสอบ ฮ่า ๆๆ”
“ถ้าบอมติดเกมตระกูล Souls คงไม่มีเวลาอ่านหนังสือแน่ ตอนเราสู้บอสนี่บางตัวเล่นทั้งคืนเลย แอบเล่นนะไม่งั้นพ่อโมโหตาย”
“ตอนแรกที่เจอพัต เรานึกว่านายเป็นเด็กเรียนตลอดเวลาซะอีก” บอมตักไอติมยื่นป้อนมาตรงหน้า ผมหัวเราะแล้วงับไอติมมะนาวของโปรด
“เรียนก็เล่นเกมได้ถ้าเรารู้จักหาสิ่งดี ๆ ในนั้น แค่ไม่เสียการเรียนก็พอ แต่ตอนนี้ก็แทบไม่มีเวลาเล่นละนะ” ผมตักไอติมป้อนบอมอีก ได้ยื่นมือไปใกล้หน้าหล่อ ๆ ของบอมนี่รู้สึกดีจัง ไรขนอ่อน ๆ บนหน้าบอมน่าลูบชะมัด

“บอมไม่ต้องห่วงเรื่องการเรียน เดี๋ยวเราติวให้โหด ๆ เลย ฮ่า ๆๆ”
“งั้นเราฝึกบาสให้พัตนะ แลกกัน”
“อืม ช่วยฝึกเราให้เป็นตัวสำรองให้ได้เลยนะ”

มองไปนอกหน้าต่างในยามเย็น บริเวณสี่แยกนี้มีนักเรียนมากมายทั้งโรงเรียนเราและโรงเรียนอื่น พวกเราไม่รู้เลยว่าตอนสอบเข้ามหาลัยจะเจออะไรยากขนาดไหน หลายคนอาจไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าต้องเตรียมตัวรับมืออะไรบ้าง คิดดูแล้วการเข้าห้องควีนก็ไม่เลวนะ ผมจะได้กลับเข้าบรรยากาศการตั้งใจเรียน ผมจะติวบอมได้ ...เราสองคนจะอยู่ด้วยกัน ผมจะอยู่กับบอมและทำให้ได้ดีที่สุดในทุกเรื่อง
“เราอยากอยู่กับบอม”
“เราก็อยากอยู่กับพัต ถ้าพัตไปอยู่ห้อง 7 ห้องควีนเราคงอยู่ไกลกันมาก แต่ยังไงเราก็อยู่ด้วยกันนะ”
“อืม”



ผมกลับมาถึงบ้านตอนหกโมงครึ่ง เอ๋? รถพ่อกับแม่จอดอยู่แล้ว ปกติวันธรรมดาแบบนี้พ่อกับแม่ไม่กลับมาเร็วนี่นา
“เป็นไงบ้างพัต สอบวันนี้ยากมั้ยลูก?” แม่กับพ่อนั่งรอที่โต๊ะอาหารแล้ว
“ไม่ยากครับแม่”
“ทำไมวันนี้มาช้าจัง พรุ่งนี้มีสอบอีกไม่ใช่เหรอ?”
“ผ...ผมติวกับเพื่อนน่ะครับพ่อ” ขืนบอกตามจริงว่าไปกินไอติมมีหวังโดนด่าเละ
“รีบไปอาบน้ำแล้วลงมากินข้าวนะ”
“ครับพ่อ” ผมรีบขึ้นห้องไปเก็บเป้ อาบน้ำแต่งตัวลงมาที่โต๊ะอาหารอีกครั้ง...แต่พ่อไม่อยู่แล้ว
“ตะกี้บริษัทเรียกประชุมด่วนน่ะพัต พ่อไปโทรประชุมที่ห้อง” แม่ยกชามที่เพิ่งอุ่นเสร็จออกมาจากเตาไมโครเวฟ
“ครับ”
“พ่อดุไปงั้นแหละ นี่พ่อเค้าซื้อราเม็งของโปรดลูกมาให้”
“ขอบคุณครับแม่”
“แล้วสอบเป็นไงบ้าง? ยากเหมือนที่โรงเรียนเก่ามั้ยลูก?”
“ไม่ยากครับ” ...แต่อีกเดี๋ยวน่าจะยากพอ ๆ กันละครับเมื่อผมเข้าห้องควีน ผมคิดในใจ

“พัตมีอะไรหรือเปล่า? บอกแม่ได้นะ” แม่คงเห็นบางอย่างในสีหน้าผม คำพูดอ่อนโยนของแม่ทำให้ผมอยากบอกบางอย่างออกไป อยากบอกเรื่องห้องควีน อยากบอกเรื่องบอม แต่ประโยคที่พูดออกไปคือสิ่งที่ผมอยากพูดจริง ๆ
“ผมอยากกินข้าวกับพ่อแม่ครับ”
“งั้นเดี๋ยวสอบเสร็จเราไปฉลองกันนะ”
“ครับแม่”
“พัตทานให้อิ่มเลยนะจะได้มีแรงสอบ เดี๋ยวแม่ไปทำงานต่อละ” แม่ยิ้มแล้วลุกจากโต๊ะไป
“ครับแม่”
...ที่ผมบอกว่าอยากกินข้าวกับพ่อแม่ ผมหมายถึงตอนนี้เลยต่างหาก ผมอยากกินข้าวพร้อมหน้ากันตอนนี้เลย ...อุตส่าห์ดีใจที่วันนี้พ่อกับแม่กลับบ้านมาเร็วแท้ ๆ

ผมล้างชามเสร็จก็ขึ้นห้อง เอาสมุดโน้ตวิชาที่จะสอบพรุ่งนี้มาเตรียมอ่าน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“หวัดดีโต้ง”
“หวัดดีพัต เป็นไงวะแผนส่งตัวเต็งอันดับสองเข้าห้องควีนแทนมึงน่ะ?”
“อืม...” ผมล้มตัวลงนอนบนเตียง
“ไอ้อืมมมมของมึงคือไม่อืมมมมใช่มั้ย? ฟังจากน้ำเสียง”
“ใช่ ไม่อืมมมม”
“คือคนนั้นเรียนไม่เก่ง เข็นไม่ขึ้นเหรอวะ?”
“ไม่อ่ะ เรียกว่ามีพรสวรรค์เลย พอช่วยติวให้ เค้ายิ่งเก่งขึ้นอีก”
“แล้วมันไม่อืมมมมตรงไหนวะ?”
“ตรงที่เขาเป็นเพื่อนเราเองนี่แหละ ชื่อตี้ แล้วเขาก็ชอบทำกิจกรรมมาก”

โต้งนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “มึงเลยสงสารเค้า ไม่อยากให้เขาเข้าด้านมืดแบบพวกเราเพราะห้องพวกนี้เรียนกันเป็นบ้าเป็นหลังไม่มีเวลาทำกิจกรรม?”
“ใช่”
“มึงก็อย่างเนี้ยทุกที วางแผนกันมาตั้งนาน สุดท้ายมึงเข้าห้องควีนซะเอง”
“อืม”
“ยังไงก็เป็นคนใจดีเหมือนเดิม มึงน่ะเป็นจอมมารไม่ได้หรอก แล้วมึงไหวป่าววะ?”
“ก็เคยอยู่มาแล้ว จะอยู่อีกคงไม่เท่าไหร่มั้ง มันเหนื่อยหน่อยตรงที่ติวตี้จนเก่งขนาดนี้ น่าจะทำสอบกลางภาคได้เกิน 90%”
“มึงเลยต้องพยายามทำคะแนนให้ได้มากกว่าตี้?”
“ช่ายยย ไม่น่าเลยเนอะ ตอนแรกก็เป็นตัวเต็งนอนมาสบาย ๆ ดันหาเรื่องให้ตัวเอง”
“ฮ่า ๆๆ ต้องสู้ให้ชนะลูกศิษย์ตัวเองซะงั้น พิลึกฉิบหาย กูบอกแล้วมึงน่ะวาง-”
“วางแผนอะไรก็แป๊กทุกที” ผมพูดให้แทนเลย แล้วโต้งกับผมก็หัวเราะพร้อมกัน ทั้งที่ไม่เห็นมีอะไรขำ
“ยังไงก็มีกูกับเอ็มอยู่ห้องคิงเป็นเพื่อนมึงนะ ถึงจะอยู่คนละโรงเรียนก็เถอะ”
“ขอบใจนะโต้ง นายเองก็จะสอบสัปดาห์หน้าแล้วใช่มั้ย?”
“ใช่ งั้นกูไปอ่านหนังสือต่อละ ไว้สอบเสร็จไปเที่ยวกันนะ”

ผมหยิบสมุดโน้ตวิชาที่จะสอบพรุ่งนี้มาอ่านทบทวนอีกที แต่สามทุ่มก็เริ่มปวดหัว ขอนอนเลยละกัน



ผมกับดิมยืนในรถสองแถวที่แล่นตุเลง ๆ บนถนนอ่อนนุชมุ่งหน้ากลับบ้านผม ช่วงเย็นคนเยอะมากผมเลยให้ดิมยืนอยู่ด้านในสุดของรถมันจะได้ไม่โดนคนเบียดเข้าเบียดออกบ่อย ๆ แล้วผมยืนด้านหลังดิมอีกที
“ดิม วิชาที่สอบตอนบ่ายยากมั้ยวะ?”
“ก็ยากเหมือนกัน”
ผมไม่รู้จะช่วยมันเรื่องนี้ได้ยังไงเลย ทำได้แค่เอาแขนที่ถือกระเป๋ากอดมันไว้

“สน การสอบไม่มีใครช่วยคนอื่นได้หรอก แต่ตอนนี้เรารู้แนวข้อสอบละ ต่อไปก็จะตั้งใจเรียนมากขึ้น”
ดิมคงรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่
“เออ มีสอบกลางภาคมันก็ดีเนอะ ทำให้รู้ว่าต้องปรับปรุงตรงไหน”
“อืม”
“ดิม กูดุเหรอวะ?”
“ก็...คือเรารู้นะว่านายห่วงเรา”

ไอ้ดิมถือถุงวัตถุดิบสำหรับทำกุ้งแช่น้ำปลาที่โดนผมเบรคให้ทำต้มยำกุ้งแทนเพราะไม่อยากเกิดโศกนาฎกรรมขี้แตกกันทั้งบ้าน...รู้แหละว่ามันอยากเอาใจผม บางทีถ้าได้ทำอาหารด้วยกันอาจจะคลายเครียดอย่างที่บอมบอก
“คือถ้าช่วยกันทำต้มยำกุ้ง เดี๋ยวกูแกะกุ้ง มึงต้มน้ำ แป๊บเดียวก็น่าจะเสร็จอ่ะ แบบนี้ดีมั้ย?”
“ได้เลย”
ผมซบหน้าเข้ากระซิบข้างหูดิม “ถ้ากูดุเกินไปมึงบอกกูได้นะ มึงไม่ต้องเงียบ กูแค่ห่วงมึงน่ะ”
“อืม แล้วหลังสอบเสร็จนายสอนเราทำกุ้งแช่น้ำปลาด้วยนะ”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-03-2021 21:13:00 โดย Sorrowkung »

ออฟไลน์ Sorrowkung

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
King Class Away Ep.39
เซตว่าง (Ø)


วันอังคาร
วันที่สองของการสอบกลางภาค

ตอนเช้าเป็นชีวะกับเคมี สองวิชาหลักของสายวิทย์มาติดกันทำผมปวดหัวขึ้นเรื่อย ๆ ผมพยายามทำหน้านิ่ง ๆ ไม่อยากให้บอมกังวล
“บอมเป็นไงบ้าง?”
“เราว่าเราทำได้เกิน 85% นะ บ่ายนี้สอบพละด้วย วิชาโปรดเราเลย” 
“ขอบใจนะบอมที่ช่วยสอนบาสให้ ตอนม.ต้นวิชาพละเราเกรดแย่ทุกที ปีนี้แหละได้เต็มแน่”

จุดด่างพร้อยอย่างเดียวในใบเกรดตรูทุกเทอมคือวิชาพละนี่แหละ คะแนนภาคทฤษฎีน่ะได้เต็ม แต่ภาคปฎิบัติตรูโหลยโท่ยมาก มีเทอมนี้แหละที่บอมช่วยฝึกบาสให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นเลยทำสอบปฎิบัติวิชาปิงปองได้ไปด้วย
“เรื่องออกแรงน่ะเราถนัด เดี๋ยวสอนให้พัตเยอะ ๆ เลยหลังสอบเสร็จ” บอมพูดพร้อมโอบเอว

หน้าหล่อคิ้วเข้มกับวงแขนแข็งแรงที่โอบเข้ามาทำให้ผมใจเต้นแรง ...เคยได้ยินว่าเวลาคนเรามีความเครียดสูง จิตใต้สำนึกรู้สึกว่าชีวิตไม่ปลอดภัยจะกระตุ้นให้เกิดอารมณ์อย่างว่าเพื่อพยายามสืบเผ่าพันธุ์...ตอนนี้ผมเห็นด้วยอย่างมาก...

“อะแฮ่ม! พรุ่งนี้สอบอีกวันนะมึง” เสียงสนตะโกนแซวมาจากข้างหลัง
“เพื่อนสนครับ มาใกล้ ๆ ผมหน่อยครับ มีอะไรจะบอก” บอมฉีกยิ้ม
“เพื่อนบอมมีอะไรเหรอครับ?” ร่างสูงแสยะยิ้มเดินเข้ามาใกล้แล้วกระโดดหลบลูกเตะของเพื่อนรัก
“เหี้ย! อย่าหลบดิวะ”
“มึงใช้มุกนี้มา 6 ปีละ ถ้ากูหลงกลก็ควายแล้ว” แล้วบอมกับสนก็วิ่งไล่จับกันไปบนลานกว้างใต้หลังคากลางโรงเรียน

“แล้ววันนี้ข้อสอบดิมเป็นไงบ้าง?”
“เรื่องพันธะโควาเลนด์ยากมาก ออกหลายข้อด้วย แล้วของพัตล่ะ?”
“ก็พอทำได้น่ะ”
ผมอยากลืมเรื่องเครียด ๆ แล้ววิ่งเล่นไล่จับกันได้แบบบอมกับสนจัง แต่ตอนนี้อาการปวดหัวผมมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ผมเลือกกินโจ๊ก น่าจะช่วยบรรเทาอาการได้บ้าง

“พัตไม่สบายเหรอ?” บอมถามทันทีที่เห็นมื้อเที่ยงของผม
“เปล่าหรอก อยากกินอะไรเบา ๆ บ้างน่ะ”
“ไหนตอนวันสอบเข้ามึงบอกว่าไม่อยากเดินถืออาหารเหลวเพราะกลัวโดนชนแล้วหกใส่เสื้อจะสอบตอนบ่ายลำบากไง”
“อ...เอ่อ พอดีเห็นร้านนี้น่ากินดีน่ะ”



วันศุกร์
วันสุดท้ายของการสอบกลางภาค

วันสุดท้ายเปิดฉากมาด้วยวิชาฟิสิกส์ วิชาที่โจทย์ออกได้พิสดาร ต้องใช้ทั้งจินตนาการเพื่อแปลค่าโจทย์ออกมาเป็นพลังงานให้ถูกต้อง ไหนจะมีตรีโกณมิติมาผสมด้วย ถ้าแปลค่าทิศทางพลังงานผิดก็จบเห่ ผมทำข้อยากสุดเสร็จในช่วงนาทีสุดท้าย เหลืออีกแค่ 3 วิชาเท่านั้น เกษตร, สุขศึกษา, อังกฤษเสริม ไม่น่ายากแล้วแต่ผมปวดหัวมาก คลื่นไส้ด้วย ยิ่งเหลือแค่ไม่กี่วิชาผมก็ยิ่งเครียด

ช่วงพัก 30 นาทีก่อนสอบวิชาที่สองผมเดินลงตึกไปห้องน้ำ ถ้าล้างหน้าอาจจะรู้สึกดีขึ้น
“พัตเป็นอะไรรึเปล่า?” บอมตามผมมาที่ห้องน้ำ
“เราปวดหัวนิดหน่อยน่ะ” ผมตอบตามจริงเพราะหน้าตาผมคงฟ้องชัดขนาดบอมสังเกตเห็นจนตามผมมา
“เราช่วยดูให้นะ” มือของบอมแตะที่หน้าผากและลำคอ
“ตัวไม่ร้อน เราว่าคงเป็นความเครียดน่ะ”
“อืม” ผมอยากตอบยาวกว่านี้แต่ปวดหัวมาก
“พัต นายทำเท่าที่ทำได้ก็พอมั้ง เราว่าอีก 3 วิชานายทำสบาย ๆ ยังไงคะแนนก็น่าจะเกินตี้นะ”
“เราชะล่าใจแบบนั้นไม่ได้หรอกบอม ทุกคะแนนมีความหมาย เราสัญญากับเอสแล้ว”

ตาสีน้ำตาลจ้องมองผมอย่างอ่อนโยน “งั้นพัตตามเรามา”

บอมจูงมือผมไปม้านั่งใต้ต้นไม้หลังโรงเรียน แถวนี้ไม่มีคนเพราะนักเรียนทุกคนตอนนี้นั่งอ่านกันหน้าห้องสอบมากกว่า
“บอม ใกล้ถึงเวลาสอบวิชาที่สองแล้วนะ พวกเราไปรอหน้าห้องดีกว่ามั้ย?”
บอมไม่ตอบอะไรแต่อมยิ้มอย่างใจเย็นแล้วนั่งลงบนม้านั่ง...เออ ผมเริ่มรู้สึกตัวว่าร้อนรนเกินไปทั้งที่ตอนสอบเข้าผมแนะบอมกับสนให้นั่งสมาธิแท้ ๆ
 
“เดี๋ยวเราช่วยให้พัตรู้สึกดีขึ้น ใช้เวลาไม่นานหรอก พัตเอนหลังมาพิงตัวเรานะ”
“อ...อืม” ต่อให้ใจร้อนเข้าห้องสอบทั้งที่ปวดหัวคลื่นไส้แบบนี้ก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น นั่งพักกับบอมสักแป๊บอาจดีกว่า

“พัตคงเครียด เราเองก็เคยเป็นตอนไปแข่งบาสระดับจังหวัดครั้งแรก” บอมจับมือผมแล้วนวดคลึงเบา ๆ
“ตอนนั้นโค้ชก็ช่วยเราแบบนี้ พัตหลับตาแล้วทำใจให้ว่างนะ นึกว่ากำลังนอนอยู่ชายทะเลนะ”
“อืม”
“แดดร้อน ลมเย็น อากาศดีมาก” บอมกล่าวด้วยเสียงหล่อที่แผ่วเบาและนวดไหล่กับต้นคอ
“พัตเดินลงทะเลช้า ๆ น้ำทะเลเย็น ๆ ซัดมาถึงเท้าของนาย รู้สึกมั้ยว่าทรายใต้เท้าโดนดูดลงไปตามคลื่น”
“อืม รู้สึก”

“พัตเดินลงไปเรื่อย ๆ ตอนนี้น้ำถึงหัวเข่า เปียกมาถึงกางเกง น้ำเย็นสบายมากจนอยากลงไปแช่ทั้งตัว แล้วน้ำทะเลก็เปล่งแสงเป็นสีที่พัตชอบ”
“เราชอบสีฟ้า” ผมตอบทั้งที่หลับตา
“สีฟ้านั้นซึมเข้าตัวพัต พัตรู้สึกสดชื่นมีพลังอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน” บอมกอดผมเบา ๆ “พัตมีพลังเต็มร้อยอีกครั้งนะ”
“อืม เรารู้สึกดีขึ้นเยอะเลย ขอบใจนะบอม” ผมหันข้างไปกระซิบบอกเขา

“พอประกาศผลสอบเสร็จ เราไปทะเลกัน” บอมพูดตอบ
“ไปบางปูก็ได้ ไม่ไกลมาก เราน่ะเจ้าถิ่นสมุทรปราการนะ”
“ได้ แล้วไปเที่ยวบางปูกัน”

มือเราสองคนกุมกันไว้ คนสำคัญที่อยู่กับผมในเวลาที่ผมมีความทุกข์ที่สุด คนที่สัญญากันว่าจะอยู่ด้วยกัน ผมจะไปที่ไหนก็ตามที่มีบอมอยู่ด้วย
“เราจะอยู่กับพัตนะ”
“อืม เราก็จะอยู่กับบอม” ประโยคที่พวกเราชอบบอกกัน ฟังกี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อ

ยังเหลือเวลาอีก 7 นาทีก่อนสอบวิชาที่สอง ผมเดินจับมือกับบอมเดินขึ้นตึกกลับไปห้องสอบ ผมรู้สึกดีขึ้นมากเลย ทำข้อสอบวิชาเกษตรได้โดยอาการปวดหัวคลื่นไส้หายไปเยอะแล้ว



“เพลินนัยน์ตาในเวลาเย็นเย็น มองแลเห็นท้องทะเลระรื่น” บอมฮัมเพลงพลางวางข้าวผัดกะเพรากุ้งบนโต๊ะ
“บ...บอม ข้อสอบเกษตรมันโหดจนมึงเพี้ยนเลยเหรอวะ?” สนทำหน้าตกตะลึงพรึงเพริด
“เปล่า กูคิดถึงบางปู” บอมหันมาทางผม ทำผมขำกลั้นหัวเราะแทบไม่อยู่ (ว่าแต่มันคือที่ไหนหว่า)
“กูเชื่อแล้วว่าข้อสอบโหดจริง ๆ”
“แล้วเมื่อวันนั้นได้ทำต้มยำกุ้งไหมดิม?” ผมถามเปลี่ยนเรื่อง
“ได้ทำ พวกเราช่วยกันทำน่ะ” ดิมตอบพลางยิ้มให้สน
“ตอนแรกกูจะให้แม่ทำ แต่ไหน ๆ ดิมอุตส่าห์หาของมากูเลยช่วยกันทำ กูแกะกุ้งแล้วดิมต้มแกง เอ้อ! เดี๋ยวพรุ่งนี้กูกับดิมจะไปเที่ยวท้องฟ้าจำลองกันนะ ไปด้วยกันมั้ยพัตบอม?”
“ก็ดีนะ พัตไปด้วยกันมั้ย?”
“ได้ ๆ เราก็ไม่ได้ไปท้องฟ้าจำลองนานแล้ว”
ผมตอบตกลง ตอนนั้นเองคุณครูบิ๊วเดินผ่านมาและมองมาที่ผมแว่บหนึ่ง

...ทำไมคุณครูมองมาแล้วทำหน้าแปลก ๆ เหมือนมีอะไรอยากบอกผม…

“งั้นพวกเราไปกันสี่คนนะพัต”
“เอ่อ...เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเรามีธุระน่ะ”

ผมลองเปิดมือถือก็ไม่มีข้อความอะไรจากคุณครู...แต่ต้องมีอะไรบางอย่างแน่…



16:30น.

สัญญาณกริ่งหมดเวลาสอบวิชาสุดท้ายดังขึ้น ผมวางดินสอลงด้วยความรู้สึกขุ่นมัว ถึงผมจะโล่งใจที่ตอบวิชาอังกฤษเสริมได้ถูกทุกข้อ รีดเค้นพลังกันสุด ๆ ทำ 12 วิชา 600 ข้อแต่นั่นแปลว่าผมกำลังจะเข้าห้องควีน...นอกจากนั้นมันก็มีอะไรบางอย่างที่กวนใจผม

...เป็นเพราะสายตาที่คุณครูบิ๊วมองมาที่ผมตอนพักเที่ยงบนโรงอาหารนั่น...มันอาจไม่มีอะไรก็ได้ ครูอาจแค่เป็นห่วงว่าผมจะโดนคัดเข้าห้องควีน ก็แค่นั้นแหละ

“เป็นไงบ้างพัต?” บอมเดินเข้ามาหา พวกเราเตรียมตัวกลับบ้านกัน
“สบายมาก” ผมปรับโหมดอารมณ์เพื่อซ่อนความกังวล มันอาจเป็นแค่เรื่องงี่เง่า ผมไม่อยากให้บอมคิดมากตามผมไปด้วย
“พรุ่งนี้พัตติดธุระจริง ๆ เหรอ?”
“อืม”
“เสียดายจัง จะได้เที่ยวด้วยกันสี่คนครั้งแรกซะหน่อย งั้นเย็นนี้ไปดูหนังกันมั้ย?”
“เอ่อ...เรายังปวดหัวนิด ๆ ขอกลับบ้านละกันนะ”
“อืม พัตนอนพักเยอะ ๆ นะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราโทรหานะ”
ขอโทษนะบอม ผมรู้ว่านายอยากคลายเครียดหลังสอบเสร็จ แต่ตอนนี้ผมยังรู้สึกกังวลแปลก ๆ

ระหว่างที่นั่งรถไฟฟ้า airport link กลับบ้านผมก็คิดไปเรื่อยเปื่อย แผนการของผมสมบูรณ์แบบหรือเปล่า ตี้ต้องไม่โดนเลือกเข้าห้องควีนแน่ ๆ

พูดถึงตี้...วันนั้นเขาถามผมว่าความรู้เรื่องพาวเวอร์เซ็ตมีไว้ทำอะไร อืม...ผมยังไม่ได้ตอบเขาเรื่องนี้เลยแฮะ ผมลองนึกคำอธิบายที่เข้าใจง่ายที่สุด

พาวเวอร์เซ็ตคือการหาคำตอบว่าจะสามารถเอาสมาชิกทั้งหมดของเซ็ตนั้นมาทำเป็นสับเซ็ตได้กี่แบบ
ถ้า A มีจำนวนสมาชิกเท่ากับ a จะได้ว่า P(A) จะมีจำนวนสมาชิกเท่ากับ 2ª
โดยต้องมีเซตว่าง (Ø) ด้วยเสมอ เพราะเซตว่างเป็นสับเซตของทุกเซต


ทำไมคิ้วผมกระตุกแปลก ๆ เมื่อนึกถึงประโยคนี้หว่า? ... เซตว่างเป็นสับเซตของทุกเซต...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-03-2021 22:22:28 โดย Sorrowkung »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Sorrowkung

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
King Class Away Ep.40
Stairway To Heaven


วันเสาร์อาทิตย์ผมนอนอย่างเดียว การใช้พลัง Trans-Am Mode ติดกัน 3 วัน 12 วิชา 600 ข้อทำผมปวดหัวยาวเลย

เช้าวันจันทร์การเรียนกลับมาเป็นปกติอีกครั้งหลังสอบกลางภาคเสร็จ เพื่อน ๆ ในห้องยังถามกันเรื่องข้อนั้นข้อนี้ตอบอะไร แต่พอใกล้พักเที่ยงความสนใจเรื่องการสอบก็หมดไป ผมไม่แน่ใจโรงเรียนนี้จะประกาศผลสอบเมื่อไหร่และยังไง จบคาบ 6 ก็ยังไม่มีอะไร รอถึงคาบ 7 วิชาภาษาไทยของอ.วิชชุดาดำเนินไปจนใกล้จบคาบก็ยังไร้วี่แวว อีกเดี๋ยวก็คาบ 8 สันทนาการผมก็จะได้เวลาไปเล่นบาสกับบอมแล้ว ได้ออกแรงบ้างคงช่วยให้ลืมการเฝ้ารอที่ไม่รู้จะมาเมื่อไหร่

“ขอโทษนะครับอาจารย์วิชชุดา” นักเรียนทั้งห้องหันไปที่ต้นเสียง คุณครูบิ๊วมายืนหน้าประตูห้อง...พร้อมซองเอกสารหนาปึ๊ก
“เชิญค่ะอาจารย์พิพัฒน์ ผลสอบกลางภาคใช่ไหมคะ?”
“ใช่ครับ รบกวนอาจารย์แจกนักเรียนด้วยนะครับ”
“ขอบคุณค่ะอาจารย์พิพัฒน์ เดี๋ยวพี่จัดการให้เองค่ะ”

ผลสอบมาแล้ว! เสียงเพื่อน ๆ ในห้องอื้ออึงด้วยความตื่นเต้นแต่ผมไม่ได้ยินอะไรเลยเพราะสายตาที่คุณครูบิ๊วมองมาแว่บหนึ่งก่อนจะโค้งหัวให้อาจารย์วิชชุดาแล้วเดินหอบเอกสารไปยังห้องถัดไป สายตานั้นฟ้องชัดว่าคุณครูไม่สบายใจ
“เดี๋ยวนักเรียนออกมารับผลสอบตามลำดับเลขที่เลยนะคะ ไม่ต้องให้ขานชื่อนะต่อแถวกันมาเลยจะได้เสร็จเร็ว ๆ ถ้าไม่มีสมุดของใครก็บอกครูนะ”
“ตื่นเต้นชะมัดเลยนะพัต” ตุลย์พูด
“อ...อืม” ผมก็ตื่นเต้นระคนวิตกไม่แพ้กันก่อนจะก้าวออกไปต่อแถวตามลำดับเลขที่ แถวเขยิบใกล้เข้าไปทุกที ผลสอบของผมอยู่ตรงหน้าแล้ว เพื่อน ๆ ต้นแถวที่ได้รับผลสอบแล้วเดินไปนั่งประจำโต๊ะ มันเป็นสมุดเล่มบางที่มีตราโรงเรียนและรูปถ่ายหน้าตรงของนักเรียนแต่ละคนบนปก ผลสอบจะอยู่ในนั้นสินะ

“สมุดนี้บันทึกผลสอบ, คะแนนเก็บ ,และจิตพิสัยทุกเทอมจนเรียนจบ เป็นเอกสารนี้สำคัญมากนะพวกเธอต้องใช้ไปจนจบม.6 ถ้าทำหายต้องทำเรื่องให้พิมพ์ใหม่ เพราะฉะนั้นเก็บให้ดี วันนี้เอากลับบ้านไปให้ผู้ปกครองดูแล้วพรุ่งนี้เอามาคืนบนโต๊ะครูนะ หรือดูเสร็จแล้วจะคืนอาจารย์ตอนนี้เลยก็ได้นะ”

“เลขที่ 18 นายโสรัตน์”
“ครับ” อาจารย์เปิดดูในสมุด คงตรวจให้แน่ใจว่าทุกอย่างถูกต้องก่อนจะยื่นให้นักเรียน
“ขอบคุณครับอาจารย์”

“เลขที่ 19 นายนนทภัทร”
“ครับ” ผมเดินมาถึงโต๊ะอาจารย์ ถึงตาผมแล้ว ...แต่อาจารย์กลับชะงักเมื่อเปิดดูข้างใน สายตาอาจารย์จ้องอยู่ที่ผลสอบแล้วช้อนขึ้นมามองผมก่อนจะยื่นส่งมาให้
“ขอบคุณครับอาจารย์” ผมรับสมุดแล้วเดินกลับมาที่โต๊ะ ถึงจะมั่นใจว่าคะแนนจะออกมายังไงแต่ก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้ แต่เมื่อเปิดออกมา มันเป็นกระดาษโน้ตใบหนึ่งแปะอยู่…

นายนนทภัทร วงศ์ประสาน มาที่ห้องปกครองหลังจบคาบ 7


คาบ 7
ห้องม. 4/3

ขณะที่ผมกำลังนั่งเรียนคาบ 7 วิชาสังคมอยู่ จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงดังโขมงโฉงเฉงมาจากห้องข้าง ๆ
“เกิดอะไรวะ?” เสียงมาจากห้อง 4 ของพัตนี่หว่า
“แจกผลสอบล่ะมั้ง” บอยหันมาตอบ
“เหรอ!? ออกเร็วขนาดนี้เลยเหรอ? เพิ่งสอบเสร็จไปเมื่อวันศุกร์เองนะ”
“ใช่ กูอยู่โรงเรียนนี้มาตั้งแต่ม.1 บางทีก็ออกเร็วมาก บางทีก็ช้าไปสามสี่วัน”

แล้วอาจารย์บิ๊วก็มายืนหน้าห้องพร้อมซองเอกสารหนาเตอะ อาจารย์วิชาติเดินไปรับเอกสารแล้วหอบมาวางที่โต๊ะ
“ผลสอบกลางภาคออกแล้วนะ เดี๋ยวนักเรียนตั้งแถวตามเลขที่มารับเลย สมุดผลสอบนี้จะใช้จนจบม.6 เลยนะเพราะฉะนั้นเก็บรักษาดี ๆ ถ้าใครอยากเอากลับไปให้ผู้ปกครองดูก็เอามาคืนพรุ่งนี้ หรือดูเสร็จแล้วจะถ่ายด้วยมือถือแล้วส่งคืนอาจารย์เลยก็ได้”
ผมรับสมุดเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ สภาพห้องตอนนี้อลหม่าน คนนั้นคนนี้ลุกไปดูสมุดเพื่อนบ้าง บางคนก็เสียงดังแบบดูออกเลยว่าเกรดต่ำ ในสภาพที่วุ่นวายผมเห็นไอ้ตี้ยังยืนต่อแถวอยู่เลยเพราะมันเป็นเลขที่ท้าย ๆ ของห้อง ตี้ก็มองมาทำปากบุ้ยใบ้ประมาณว่าอยากรู้เร็ว ๆ จัง หน้าตามันทั้งตื่นเต้นและกังวล

...ผมเห็นภาพซ้อน ภาพไอ้ตี้เป็นนักข่าวกำลังชุลมุนทำข่าวในที่เกิดเหตุท่ามกลางตำรวจเยอะแยะเดินไปมา เสียงไซเรนหวอ ๆๆ และเสียงไอ้ตี้รายงานสดต่อหน้ากล้อง เสียงที่มันชอบบ่นว่าแหบเหมือนเป็ด…

“ได้เท่าไหร่วะเอส?” บอยนั่งลงตรงที่ของตี้ชั่วคราวเพราะเจ้าตัวยังอยู่ในแถวรอรับสมุดผลสอบ
“ยังไม่ได้เปิดดูเลย” ผมหยิบสมุดขึ้นมาแต่ไอ้บอยตะปบมือผมไว้
“แหม่ ๆๆๆๆๆ”
“แหม่อะไรของนายวะ เป็นแพะเรอะ?”
“ห่วงแฟนจนลืมดูเกรดตัวเองเลยน้า”
“แฟนบ้าอะไรเล่า!”
ผมไม่ดูเกรดตัวเองเพราะรู้คร่าว ๆ อยู่แล้วตั้งแต่ตอนทำสอบแต่ละวิชาเสร็จ ผมได้ประมาณ 82% ถ้าจะมากกว่านั้นก็ได้จากการเดามั่วข้อที่ไม่รู้คำตอบ ซึ่งถึงได้คะแนนเพิ่มจากจุดนั้นผมก็ไม่ดีใจเท่าไหร่หรอก นิสัยผมเป็นแบบนี้แหละ
“แฟนบ้าอะไรที่ไปนั่งกินข้าวกันสองคนแล้วชมกันว่าเสียงหล่ออออไง”
“เฮ้ย! เข้าใจผิดแล้ว ว่าแต่นายเห็นด้วยเรอะ!?”
“ก็กูเห็นตี้ในโทรทัศน์ที่โรงอาหารแต่ไม่เห็นพวกมึงสองคน นึกว่ายังซื้อข้าวไม่เสร็จ กูกลัวไอ้ตี้จะไม่ได้ดูผลงานตัวเองเลยเดินหา ดันไปเจอฉากสวีตซะงั้น”
“ไม่ใช่ว้อย! คือไอ้ตี้มัน-”

“เฮ้ยยยยย!!!” เสียงร้องของไอ้โย่งดังลั่นห้องจนทุกคนตกใจ

ผมกับบอยรีบหันไปดู ไอ้โย่งยิ้มแบบหลุดโลกมาก
“นายธวัชตรีเงียบหน่อย ยังเรียนอยู่นะ” อาจารย์วิชาติเอ็ด แต่เหมือนไอ้ตี้จะไม่ฟังแล้ว มันเดินตรงมาที่ผม
“เอส มากับเราหน่อยสิ!”
“ไปไหนเหรอ?”
“ห้องน้ำ!”
“ห้ะ?” ผมอุทานแต่ไอ้ตี้ดึงมือผมให้วิ่งตามมันไปเลย
“มันเห็นเกรดแล้วปวดฉี่กะทันหันเลยเหรอ? แล้วมันจะชวนไอ้เอสไปด้วยทำไมวะ?” บอยพูดกับตัวเองแบบงง ๆ



“เฮ้ยตี้จะไปไหนวะ!?”
“ตามมาเหอะ!”
“ไหนว่าไปห้องน้ำ แล้วทำไมวิ่งขึ้นตึกล่ะ!”
ห้องน้ำบนตึกไม่อนุญาตให้นักเรียนใช้ มีแต่อาจารย์ใช้ได้เท่านั้น และทางที่มันพาผมวิ่งไปก็ไม่ได้มุ่งหน้าไปห้องน้ำไหนเลยแต่กลับเป็นบันไดสำหรับขึ้นไปโรงยิมที่ชั้น 4



แต่มันก็ไม่ได้พาผมเข้าไปในโรงยิมแต่กลับวิ่งขึ้นไปอีกชั้น นี่คือชั้นบนสุดของโถงบันไดสำหรับขึ้นดาดฟ้า เป็นที่เงียบมากและมองไปเห็นสนามบอลกับพระอาทิตย์ที่กำลังคล้อยลงทางทิศตะวันตก
“ตรงนี้แหละ” ไอ้ตี้หันมายิ้มร่า
“เล่นบ้าอะไรของนาย โดดคาบ 7 แล้วนะเนี่ย”
“เอส ดูคะแนนของเราสิ” ตี้ยื่นสมุดของมันให้ผม คือถึงไม่เปิดดูแต่เห็นมันยิ้มซะขนาดนี้ผมก็พอเดาได้แล้วว่าคง…
“เฮ้ย!!”
“ทำได้แล้วโว้ย เราทำได้แล้ว”
“เชรี่ยยย! 93%” ที่ตี้เคยบอกว่าจะทำให้ถึง 90% ผมก็ว่ายากแล้ว แต่นี่มันทำได้ยิ่งกว่านั้นอีก

“เพราะนายช่วยเราแหละเอส” ตี้ดีใจจนเนื้อเต้น ตลอดช่วงม.ต้นที่ผ่านมาเกรดของเขาไม่เคยถึง 90% เลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่วันนี้มันเกิดขึ้นแล้ว เพราะเพื่อนคนนี้ช่วยเหลือเขาทุกอย่างแบบที่เขาไม่เคยเจอใครใส่ใจเขาขนาดนี้
“เอส?”
“เหอ?”
“อยู่กับเราได้มั้ย?” ...คำพูดของตี้แปลว่าอะไรวะ ทำไมมันทำผมใจเต้นระรัวไปวูบหนึ่ง...

“นายอยู่กับเราแป๊บได้มั้ย? จำได้มั้ยที่เราบอกว่าถ้าได้คะแนนถึง 90% จะบอกพ่อว่าอยากเป็นนักข่าว”
“จำได้ ต้องบอกพ่อตอนนี้เลยเหรอ?”
ตี้หลุบตามองลง “พ่อบอกเรามาตลอดว่าอยากให้เราเป็นหมอฟัน พ่อบอกว่าบ้านนี้ยังไม่มีหมอฟันเลย”
“เฮ้ย! นี่พ่อนายเลือกอาชีพให้ลูกแบบนี้เหรอวะ? อยากได้คนอาชีพไหนก็ส่งลูกไปเรียนงั้นเหรอ?”
“อืม พี่เราทุกคนก็เป็นแบบนี้”
มีแบบนี้ในโลกด้วยเหรอวะ? แค่อยากประหยัดค่าทำฟันก็บังคับให้ลูกเรียนหมอฟันงี้เหรอ? หรือจะมองว่ามันเป็นอาชีพรายได้ดีมั่นคงก็ใช่อยู่หรอก แต่ไม่ถามเลยเหรอว่าลูกชอบมั้ย
“นายไม่เคยบอกเราเลย”
“ก็เมื่อก่อนเราคิดว่าเชื่อพ่อคงดีที่สุด...แต่ตอนนี้...เราขอเลือกทางเองว่ะ” ประโยคสุดท้ายมันพูดเสียงแผ่วพลางกดโทรศัพท์
“พ่อ”
“ตี้เหรอลูก?”
“ครับ นี่ผมเอง เกรดออกแล้วเลยโทรมา”
“เอ้อ ได้เท่าไหร่เหรอ?”
“93% ครับพ่อ”
“เก่งมาก ๆ แล้วบอกแม่ยัง?”
“เดี๋ยวบอกครับ”
“ดี ๆ แม่เค้าจะได้ดีใจนะ ลูกพ่อเก่งมากเหมือนพี่ ๆ เลย แล้วเย็นนี้มาฉลองกัน อยากกินอะไรเหรอ?”
“พ่อ...คือ...”
“มีอะไรเหรอ?”

เอิ่ม...ครอบครัวคุยกันแบบนี้ผมควรอยู่ด้วยไหมวะ ตอนที่ผมคิดว่าตรูถอยฉากออกไปดีไหม ตี้ก็คว้ามือผม
หน้ามันแดงก่ำ “พ่อ...ผมจะเป็นนักข่าว”
“อ้าว! ไม่เข้าทันตะเหรอ?”
“ผมอยากเป็นนักข่าว...ได้มั้ยครับพ่อ?” ตี้พูดกับพ่อพลางบีบมือผมแน่น มันสั่นไปทั้งตัว

มันคงอัดอั้นมาก ผมไม่รู้มันโดนพ่อกล่อมความคิดฝังหัวเรื่องอาชีพทันตแพทย์มานานแค่ไหนแล้ว แต่คงนานมากหรือไม่ก็เข้มงวดมากจนมันไม่เคยกล้าพูดความฝันของตัวเองให้พ่อฟังเลย ไอ้โย่งที่อินดี้ความคิดก้าวหน้าสุดโต่ง จริง ๆ แล้วมันขาดความมั่นใจในตัวเอง...ไม่สิ การฝืนคำสั่งพ่อต่อให้เป็นใครก็คงกลัวทั้งนั้น มันคงอยากได้กำลังใจมาก ๆ
...ตี้จะรู้ไหมว่าเพื่อนที่นายเลือกให้อยู่เป็นกำลังใจ ดันเป็นคนที่คิดร้ายกับนายที่สุด...
“ก...ก็กลับบ้านมาคุยกันละกันนะ”
“ครับพ่อ”

พอวางสายเสร็จตี้ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ปล่อยมือผมแล้วนั่งลงบนพื้นโถงบันได หลังพิงกำแพง ตี้นิ่งเงียบไปพักใหญ่คงพยายามคุมอารมณ์ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างโล่งอก ส่วนผมยืนดูฉากดราม่าของครอบครัวมันแบบไม่รู้จะเอาตัวเองไปอยู่ตรงไหนดี
“โทษทีนะเอส เราซ้อมคุยคนเดียวหลายครั้งแล้วกะว่าคุยสบายแน่ แต่เอาเข้าจริงก็...”
“เราพอเข้าใจนายนะตี้” ผมนั่งลงข้างมัน ไม่รู้จะช่วยมันยังไง ทำได้แค่เป็นเพื่อนอยู่ข้าง ๆ (ช่างหัวคาบ 7 คาบ 8 ละ)

“ไม่นึกเลยว่านายเจอเรื่องแบบนี้มาตลอดนะ” ผมปลอบใจมัน
“อือ...ตอนนี้โล่งละ ไม่เคยคิดเลยว่าเราจะกล้าพูด” ตี้มองไปที่สนามบอล มันเลือกจุดคุยเปิดใจกับพ่อได้ดีมากนะตรงนี้เงียบสงบ ลมเย็นและทิวทัศน์ดีมาก ถ้านั่งอีกสักพักคงได้เห็นภาพอาทิตย์ตกดินลับแนวต้นไม้ทางทิศตะวันตกด้วย

“ขอบใจนายมากนะเอส”
...เอ่อ...ถ้านายรู้ว่าคะแนนสูงลิ่ว 93% นี่อาจจะพานายไปไหน นายอาจไม่ขอบใจเราก็ได้…

ผมหยิบมือถือมาดู ยังไม่มีข้อความอะไรจากพัต ยังไงดีวะเนี่ย? ลองโทรหาเลยละกัน อ้าว! พัตปิดมือถือซะงั้น! ทำยังไงดีวะ? แล้วผมจะรู้มั้ยว่าพัตยกเลิกเรื่องห้องควีนของตี้ได้จริง ๆ

ตี้หันหน้ามามองผม “เรามีอีกเรื่องอยากบอกนายด้วยน่ะเอส”
“จำได้ ที่วันนั้นนายบอกตอนถ่ายแบบกัน”
“สัญญาแล้วนะว่าจะฟังจนจบ” ตี้ทำหน้าจริงจัง คือเย็นนี้มันดราม่ามากจนผมดูตามยังเหนื่อยแทน ไม่รู้ว่าตี้จะบอกผมเรื่องอะไร แต่ที่สำคัญสุดตอนนี้คือพัตแก้ปัญหาได้หรือยัง? ถ้าพัตแก้ได้ผมก็ไม่จำเป็นต้องเล่าเรื่องแผนการส่งนายเข้าห้องควีน แต่ถ้าแก้ไม่ได้ผมก็ควรรีบบอกตี้ให้เตรียมใจ คะแนนก็ออกแล้ว คำตัดสินอาจมาได้ทุกเวลา

ไม่สิ...ถึงเขาจะเป็นคนเริ่มความคิดปั้นตี้เข้าห้องควีน แต่สุดท้ายโรงเรียนเป็นฝ่ายตัดสินใจ ก็ไม่แน่ว่าพัตจะแก้ไขเรื่องนี้ได้ด้วยตัวคนเดียว

และเรื่องทั้งหมดก็ไม่ใช่ความรับผิดชอบที่พัตต้องแบกคนเดียวนี่นา ถึงเขาจะเป็นคนเริ่มชวนผม แต่ถ้าตอนนั้นผมปฏิเสธ พัตที่อยู่คนละห้องคงไม่มีทางเปลี่ยนแปลงตี้จนมาถึงขั้นนี้ได้ ...เรื่องมันมาถึงจุดนี้เพราะผมเองตั้งใจให้มันเกิด ผมก็ต้องกล้ายอมรับการกระทำของผม

“อันที่จริง...เราก็มีเรื่องอยากบอกนายเหมือนกันนะตี้ นายสัญญาได้มั้ยว่าจะฟังให้จบ?”
“เรื่องอะไรเหรอเอส?”
“สัญญาก่อนดิ”
“ก็ได้เราสัญญา นายพูดมาเลยเอส”
“เอ่อ...เราว่านายพูดก่อนดีกว่าตี้”
ผมไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะสะเทือนใจมันขนาดไหนถ้ามันรู้ว่าความฝันอาชีพนักข่าวที่พ่อมันเพิ่งจะอนุญาตอาจดับวูบในอีกไม่กี่วินาทีหลังจากนี้เพราะผมนี่แหละเป็นคนวางแผน แล้วดูตัวมันนะสูงเป็นเสาไฟฟ้าขนาดนี้ หมัดกับตีนมันจะขนาดไหน ที่เปลี่ยวสูงขนาดนี้ผมจะรอดมั้ย

“คือ...เรา...แบบว่า เอส นายก็เป็นเพื่อนเรามานาน นายอย่าเกลียดเรานะ คือถึงตอนแรกเรา...โอ๊ย! นายพูดก่อนเถอะเอส!”
มันเป็นเรื่องอะไรที่ผมฟังแล้วจะเกลียดมันเลยเหรอวะ?
“งั้นเรามาพูดพร้อมกันมั้ยตี้?” ถ้าพูดพร้อมกัน มันอาจเกลียดผมและผมอาจเกลียดมัน หักล้างสองข้างสมการแล้วผมอาจจะรอดก็ได้
“อ่ะ เอางั้นก็ได้”

“เอส เราชอบนา-”
“ตี้ เราขอโทษ”

ตี้ทำหน้างง “ขอโทษ? ขอโทษอะไรเหรอเอส?”
“เราขอโทษ เราตั้งใจทำให้นายโดนย้ายไปห้องควีน”
“อะไรนะ?”
“คือเรา...เอ่อ...บังเอิญรู้ว่าเด็กห้องคิงคนนึงจะไปเรียนต่ออเมริกาเร็ว ๆ นี้ โรงเรียนเลยจะย้ายเด็กห้องควีนไปแทนที่ แล้วคัดเด็กจากห้องธรรมดา 1 คนไปอยู่ห้องควีน...คือ...โรงเรียนเค้าเล็งนายไว้อยู่น่ะตี้”

ไอ้ตี้อ้าปากค้าง เวลานี้รีบเล่าให้จบเลยดีกว่า
“เราเลยช่วยให้นายเรียนเก่งขึ้นเยอะ ๆ โรงเรียนจะได้เลือกนายไปเข้าห้องควีน”
“ท...ที่จู่ ๆ นายย้ายมานั่งข้างเรา ชวนเราอ่านหนังสือ ทำการบ้าน”
“เออ นั่นแหละ” เรื่องที่พูดยากในตอนแรก แต่พอกล้าพูด คำต่อ ๆ มาก็ง่าย บอกไปให้จบ ๆ เลย
“ที่ดุเราเรื่องข้าวเหนียวหมูปิ้ง ให้เรากินข้าวกับนายทุกมื้อนั่นก็ด้วยเหรอ?”
“ใช่ กินอาหารดี ๆ บำรุงสมองไง”

“เอส บอกเราที ที่นายโทรมาบอกราตรีสวัสดิ์ให้เรารีบเข้านอน ที่โทรปลุกทุกเช้านั่นก็ด้วยเหรอ?”
“อือ เราขอโทษ”
“เอส...นายทำแบบนี้ทำไม?”
“ก็ตอนแรกไงที่นายชอบแกล้งเราน่ะ นายชอบพูดว่าเราเตี้ย เราไม่ชอบนะโว้ย”

ตี้นิ่งเงียบไป สำนึกผิดกับความปากพล่อยไม่ทันคิด ผมเองก็รู้สึกผิดในความคิดบ้า ๆ ของตัวเองเหมือนกัน เราสองคนนั่งจ๋อยอยู่บนพื้นปูนชั้นบนสุดของโถงบันได “เรา...เราไม่เตี้ยซะหน่อย”
“เราขอโทษนะเอส”
“เออ...” ผมขานรับเสียงอ่อย ๆ
“เอส นายเกลียดเราขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ต...ตอนแรกก็เกลียดขี้หน้านายน่ะ”
“แล้วตอนนี้นายยังเกลียดเรามั้ย?”
“ไม่แล้วล่ะ พออยู่กับนายบ่อย ๆ เราว่านายก็นิสัยดี” ผมยังพูดไม่จบตี้ก็ดึงผมไปกอด แต่ตัวมันสูงกว่าผม หน้าผมเลยไปอยู่ที่อกมันแทน
“แค่นั้นก็พอแล้ว แค่นายไม่เกลียดเราก็พอแล้ว”

ตี้หายโมโหผมแล้วเหรอ? ทำไมมันหายง่ายจังวะ เออ...แต่ก็โล่งใจซะที ผมถอนหายใจทั้งที่โดนมันจับกอดซุกอกมันอยู่
“ไม่โกรธเราแล้วแน่นะ?” ผมถามให้ชัวร์ เคลียร์กันให้ชัดเลยนะ
“ไม่โกรธแล้ว”
“ไม่โกรธแล้วก็ปล่อยดิวะ”

ไอ้ตี้ไม่ตอบและไม่ปล่อยตัวผมด้วย ฮัลโหล ๆๆ
“เราจะโดนย้ายไปห้องควีนเหรอเอส? เราไม่อยากย้ายนะ โรงเรียนจะเลือกเราไหมอ่ะ?”
“พัตกำลังหาทางช่วยอยู่”
“พัต?”
“คือเรื่องมันยาวน่ะ”

กริ๊ง ๆๆ เสียงมือถือผมดังขึ้น พัตโทรมาแล้ว! จะได้รู้ละเว้ยว่าชะตาไอ้ตี้จะเป็นยังไง!
“หวัดดีพัต เรื่องห้องควีนตกลงว่าไงเหรอ?”
“หวัดดีเอส นายสบายใจได้แล้วนะ ตี้ไม่ต้องย้ายไปห้องควีนแล้ว”
“เหรอ นายทำได้ยังไงน่ะ?”

“เราไปเอง รองผอ.เพิ่งเรียกเราไปคุยเมื่อกี๊ เราไปห้องควีนเอง”

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ Sorrowkung

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
King Class Away Ep.41
แอร์ห้องปกครองหนาวมาก


เช้าวันอังคารนี้ไม่เหมือนทุกเช้าที่ผ่านมา เป็นเช้าแรกตั้งแต่เข้าเรียนที่นี่ที่ทุกอย่างผิดปกติไปหมด
เป็นเช้าแรกที่คุณพ่อผมมาโรงเรียนด้วย
เช้าแรกที่ผมไม่ได้รอบอมกับสนเหมือนทุกวัน
เช้าแรกที่ผมไม่ได้ยืนเคารพธงชาติแต่อยู่ในห้องปกครอง นั่งอยู่ในห้องรองผู้อำนวยการและมีคุณพ่ออยู่ด้วย ด้านข้างมีคุณครูบิ๊วกับอาจารย์อีก 1 คนที่ผมไม่เคยเรียนด้วยมาก่อน บรรยากาศแสนอึดอัดนี่ท้องไส้ผมปั่นป่วนผิดปกติไปหมดแล้ว

“สวัสดีครับคุณบรรพต คุณพ่อของน้องนนทภัทรนะครับ”
“ครับ สวัสดีครับท่านรองผู้อำนวยการ”
“ผมรู้สึกยินดีมากที่ได้พบคุณพ่อ น้องนนทภัทรได้แจ้งแล้วใช่ไหมครับว่าผมเชิญคุณพ่อมาด้วยเรื่องอะไรครับ?”
“ครับ ลูกชายผมบอกว่าโรงเรียนเลือกเขาเข้าห้องควีน” พ่อยิ้มอย่างภาคภูมิใจ

รองผอ.ยิ้มและนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “คุณพ่อรู้จักห้องควีนว่ายังไงครับ?”
“เป็นห้องที่รวมเด็กเรียนเก่ง และมีระบบการเรียนการสอนพิเศษเพื่อกระตุ้นศักยภาพนักเรียนมากขึ้น”
“ถูกต้องเลยครับ” รองผอ.กล่าวแล้วผายมือไปที่อาจารย์อีกคนที่ยืนอยู่ “อาจารย์วรเชษฐ์จะอธิบายเพิ่มเติมเรื่องระบบห้องคิงห้องควีนของโรงเรียนเรานะครับ”

ม่านหน้าต่างปิดลง ทำให้ห้องที่มีบรรยากาศน่าอึดอัดยิ่งมืดทะมึนขึ้นไปอีก แล้วเครื่องฉายโปรเจคเตอร์ก็ทำงานฉายภาพบนจอ

“ระบบห้องเรียนพิเศษของโรงเรียนมี 2 ห้องคือห้องคิงและห้องควีน ด้วยการสอนอย่างมีคุณภาพตลอด 3 ปีส่งเสริมและพัฒนาให้นักเรียนทุกคนสอบเข้าสถาบันการศึกษาชั้นนำตั้งแต่ระบบ Entrance จนถึงระบบ TCAS และการสอบตรงรวมทั้งการสอบสัมภาษณ์พิเศษของมหาวิทยาลัยชื่อดังจำนวนมากแทบจะยกห้องมาตลอดกว่า 30 ปี จากสถิตินักเรียนในห้องควีนสอบติดสถาบันชั้นนำ 10 อันดับแรกของประเทศถึง 87% และนักเรียนห้องคิงสอบติดถึง 95%”


ภาพนักเรียนม.6 ที่สอบเข้ามหาลัยดังหลายสิบคนฉายขึ้นมาเรื่อย ๆ แบบเดียวกับที่โรงเรียนต่าง ๆ ชอบพิมพ์ติดรอบกำแพงโรงเรียน...แค่เลือกตรูเข้าห้องควีนทำไมต้องอารัมภบทกันยืดยาวขนาดนี้

...ก็เพราะมันไม่ใช่แค่ vdo.แนะนำไง แต่มันคือการล้างสมองผู้ปกครองแบบเนียน ๆ ให้ยินดีร่วมมือบีบบังคับลูกตัวเองโดยไม่รู้ตัว...คล้ายกับที่เคยดูตอนเข้าห้องคิงตอนป.6 ที่ดลปัญญานุกูล แล้วพ่อแม่ผมก็เปลี่ยนไปเลย...

“ทางโรงเรียนได้คัดเลือกจากคะแนนเก็บและคะแนนสอบกลางภาค ซึ่งนนทภัทรเก่งมากได้ 100 คะแนนเต็มทุกวิชา เรียกว่าเป็นคะแนนสูงสุดในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมาเลย คุณพ่อว่าถ้าน้องนนทภัทรได้โอกาสทางการศึกษาในห้องเรียนพิเศษนี้ตลอด 3 ปีและเข้าสถาบันชื่อดังแบบเดียวกับรุ่นพี่รุ่นก่อน ๆ จะดีไหมครับ?”
“ก็ดีนะครับ พัตดีใจมั้ยจะได้อยู่ห้องควีนแล้วนะ” พ่อหันมายิ้มและตบไหล่ผม
“อันที่จริงแล้ว...” รองผอ.พูด

นั่นเป็นวลีสั้น ๆ แต่ทำให้ห้วงเวลาทั้งห้องนี้บิดเบือนไป ...หมายความว่าไงวะไอ้ ‘อันที่จริงแล้ว’ เนี่ย…
ผมหันไปมองคุณครูบิ๊ว ครูก็มองผมมาด้วยสายตาแปลก ๆ แบบเดียวกับเมื่อตอนวันศุกร์

เพราะเซตว่างเป็นสับเซตของทุกเซต

ผมทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยความเร็ว 0.05 วินาที เท่าตอนเกียบันแปลงร่าง
เรื่องเริ่มด้วยเด็กห้องคิงคนหนึ่งไปเรียนต่อเมืองนอกจึงเกิดที่ว่างในห้องคิง 1 ที่
โรงเรียนย้ายเด็ก 1 คนจากห้องควีนไปแทนที่
แล้วคัดเด็ก 1 คนจากห้องปกติมาแทนที่ว่างในห้องควีน
แปลว่าเซตห้องควีน intersection กับเซตห้องคิง การที่ผมพยายามเข้าไปเป็นสมาชิกแทนที่ว่างในเซตห้องควีนก็มีโอกาสที่ผมจะเป็นสมาชิกในอีกเซ็ตไปด้วย

แปลง่าย ๆ เดิมทีไอ้ที่ว่างนั้นจริง ๆ แล้วไม่ได้เกิดในห้องควีนแต่มันคือที่ว่างในห้องคิงนี่หว่า...หรือว่า...

“น้องนนทภัทรจะได้เข้าห้องคิงครับ”
ฉิบหายแล้ว!!! เวรแล้วตรู! ลืมคิดเรื่องนี้ไปสนิทเลย ถ้าตรูทำได้อภิมหาเต็ม 100 ทุกวิชา โรงเรียนคงไม่ใช่แค่เลือกตรูเข้าห้องควีนหรอก จับยัดห้องคิงเลยดีกว่า!

“น้องนนทภัทรจะได้เรียนในระบบห้องคิงที่พัฒนาศักยภาพให้สูงขึ้นกว่านี้ครับคุณพ่อ ซึ่งเดิมทีตอนสอบเข้า เขาก็ทำคะแนนได้ดีมากอยู่แล้ว” รองผอ.ผายมือมาทางคุณครูบิ๊ว

“ตอนสอบเข้านนทภัทรทำคะแนนได้สูงมากเกือบเต็มทุกวิชา...มีแค่วิชาเดียวที่ได้คะแนนน้อย” คุณครูบิ๊วอ่านรายงานในมือด้วยสีหน้าไม่เต็มใจพร้อมมองมาที่คุณพ่อและผม...ไม่นะ คุณครูบิ๊ว อย่า!!!...
“วิชาภาษาอังกฤษได้ 17 เต็ม 50”

ฉิบหาย x2 แล้วทีนี้! แบบนี้พ่อก็รู้หมดสิว่าผมจงใจกาผิดตอนสอบเข้า เพราะพ่อรู้ดีว่าผมถนัดวิชาภาษาอังกฤษขนาดสอบ TOEIC ได้ 815 ไม่มีทางทำสอบวิชานี้ได้ต่ำขนาดนี้

“แต่ในการสอบกลางภาค น้องทำวิชาภาษาอังกฤษได้ 100 คะแนนเต็มและอีก 11 วิชาก็ด้วย ผมเห็นว่าในช่วงสองเดือนเขามีความมุ่งมั่นที่จะเพิ่มความสามารถ เมื่อได้อยู่ห้องคิงเขาจะไปได้ไกลกว่านี้มากครับ”

พ่อจ้องคุณครูบิ๊วตาเขม็ง ก็แหงล่ะ ครูเป็นคนช่วยปกปิดให้ผมด้วยการโกหกพ่อนี่นาว่าผมทำสอบวิชาสังคมได้น้อย...พังหมดแล้วแผนการทุกอย่างที่ผมทำมา ตอนนี้จำนนด้วยหลักฐานกลางห้องรองผอ.ต่อหน้าพ่อผมเลย

“แอร์หนาวเหรอ? น้องนนทภัทรตัวสั่นเลย อาจารย์วรเชษฐ์ช่วยหรี่แอร์ลงหน่อยนะ”
ผมพยายามคุมตัวเองไม่ให้สั่นแต่ทำไม่ได้ พ่อต้องโกรธแน่ ๆ ภาพวันนั้นวนมาในหัว วันที่พ่อพาผมไปลาออกจากดลปัญญา

“คุณพ่อเซ็นชื่อในเอกสารนี้แล้วพรุ่งนี้น้องนนทภัทรจะได้เข้าเรียนห้องคิงนะครับ” รองผอ.ยื่นกระดาษกับปากกามาตรงหน้า พ่อวางมือบนไหล่ผม...พ่ออย่าให้ผมลาออกอีกนะ ผมไม่อยากจากบอม สน ดิม เอส ตี้ ...ผมไม่อยากย้ายโรงเรียนอีกแล้ว ผมได้แต่ตะโกนในใจแต่ปากมันแข็งจนพูดไม่ออก

“ผมคิดว่า...” พ่อนั่งนิ่งในท่าเดิมและหันมามองผม “ให้ลูกพัตตัดสินใจเองดีกว่า”
“ผ...ผมเหรอครับ?”
“ใช่ พ่อว่าพัตโตแล้ว พัตเลือกเองละกันนะจะอยู่ห้องเดิมก็ได้ จะไปห้องคิงก็ได้” มือและแขนของพ่อโอบไหล่ผมอย่างอ่อนโยน
“ให้ผมเลือกเองจริงเหรอพ่อ?”
“จริง ลูกเลือกเองได้”
...ผมจะได้เลือกห้องเรียนเองเหรอ? ครั้งแรกในชีวิตที่พ่อไม่ออกคำสั่ง...แต่ผมจำเป็นต้องเลือกห้องคิงเพื่อช่วยตี้...ผมทำร้ายเพื่อนไม่ได้

“ผมจะไปห้องคิงครับ”
“ลูกแน่ใจนะ? พ่อแม่ไม่บังคับจริง ๆ นะลูก”
“ครับ ผมแน่ใจ”

จากนั้นผมก็จำอะไรไม่ค่อยได้ มันเบลอ ๆ ไปหมด จำได้แต่พ่อเซ็นเอกสารแกรก ๆ แล้วครูบอกเลขที่ห้องประจำชั้น พอเสร็จแล้วพ่อกับผมก็เดินออกมานอกห้องปกครอง ตอนนี้กี่โมงแล้วนะ โรงเรียนเงียบสนิทต่างจากตอนเริ่มเข้าห้องรองผอ.ที่มีนักเรียนนั่งเต็มสนาม ตอนนี้คือคาบอะไร ผมต้องไปเรียนห้องไหน หัวผมเคว้งไปหมดเหมือนใกล้จะตาย
“พัต” พ่อแตะไหล่ผม
“ครับพ่อ”
“มากับพ่อหน่อย”
...ตอนนี้อาจยังไม่ตาย แต่อีกเดี๋ยวตายแน่…

ผมเดินตามไปที่รถพ่อที่จอดหน้าโรงเรียน ตอนแรกผมนึกว่าพ่อแค่อยากคุยอะไรสักอย่างกับผมระหว่างเดินมาที่รถแต่พ่อกลับเปิดประตูฝั่งคนนั่งแล้วให้ผมขึ้นรถ ...คงจะเรียกไปด่าบนรถไม่ให้ใครเห็นสินะ… ผมกลัวมากแต่ก็จำใจขึ้นนั่งและปิดประตูตามคำสั่งพ่อ วางเป้ที่พื้นข้างขา พ่อสตาร์ตรถแต่นั่งนิ่งไม่ขับไปไหน เราสองคนนั่งเงียบกันอยู่นาน ตอนนี้คาบไหนก็ช่างมันเถอะยังไงผมก็คงตายบนรถนี่แหละ

“ตอนสอบเข้าทำวิชาภาษาอังกฤษได้ 17 เต็ม 50 เหรอ?”
“ค...ครับ” ผมตอบทั้งที่หลับตาปี๋
“ตั้งใจให้คะแนนน้อย ๆ จะได้ไม่ติดห้องคิงห้องควีนเหรอลูก?”
“ครับ” มาถึงขั้นนี้แล้วพ่อเดาออกทุกอย่าง ผมก็ไม่ต้องโกหกอีกแล้ว ลาก่อนเครื่อง Switch แกโดนพ่อโยนทิ้งไปนอกบ้านเหมือนเครื่องเพลย์สี่แน่ ๆ หวังว่าจะมีคนใจดีเก็บแกไปเล่นต่อนะ

“พัตรู้มั้ย ตอนเด็ก ๆ ตอนพ่อสอบไล่ป.6 เสร็จ...” พ่อพูดทั้งที่ตาลอยมองไปนอกกระจกรถ
“พ่ออยากไปเที่ยวปิดเทอมแล้ว แต่โรงเรียนบอกว่าจะจัดสอนพิเศษ 2 วันจะได้สอบติดโรงเรียนมัธยมเยอะ ๆ เป็นชื่อเสียงให้โรงเรียน พัตรู้มั้ยพ่อทำยังไง?”
“พ่อก็ตั้งใจเรียนพิเศษใช่มั้ยครับ?”
“เปล่า พ่อเอายาถ่ายของปู่มากินให้ป่วย”
“หา!”
“พ่อคิดว่าถ้าท้องเสียนิดหน่อยก็ไม่ต้องเรียนพิเศษ พ่อจะไปเที่ยวได้”
“แล้วพ่อเป็นยังไงครับ?”
“สงสัยกินเยอะเกิน พ่อปวดท้องจนตัวบิดเข้าโรงพยาบาลเลย หมอถามว่ากินอะไรเข้าไป ตอนนั้นพ่อคิดอย่างเดียวเลยว่าตายแน่ พ่อไม่อยากตายก็เลยบอกหมดว่ากินยาถ่าย ปู่โกรธจนร้องไห้เลย”

พ่อยกมือมาลูบหัวผม “พ่อไม่อยากให้ลูกเหลวไหลแบบพ่อ ก็เลยเคี่ยวกรำลูกให้ตั้งใจเรียน”
หยาดน้ำตาค่อย ๆ ไหลลงบนหน้าพ่อ “แต่ยังไงพัตก็ได้เชื้อพ่อมาจริง ๆ เจ้าเล่ห์พอกันเลย”
“พ่อ...ฮึก ๆๆ ผมไม่อยากอยู่ห้องคิง ผมไม่อยากโดนลงโทษแบบที่โรงเรียนเก่าอีกแล้ว” ผมพูดทุกอย่างในใจออกมา สี่ปีแล้วที่ผมอยากพูดอย่างนี้ สี่ปีแล้ว
“แล้วทำไมคราวนี้ลูกถึงเลือกเข้าห้องคิงเองล่ะ?”
“ผมไม่อยากทำร้ายเพื่อน ฮึก ๆๆ ตอนแรกผมติวเพื่อนชื่อตี้ให้เรียนเก่ง เขาจะได้เข้าห้องควีนแทนผม แต่ผมมารู้ทีหลังว่าเขาชอบทำกิจกรรมมาก เขาไม่อยากอยู่ห้องควีน ผมเลย...ผมเลยต้องเข้าเอง” ผมเล่าเรื่องทุกอย่างให้พ่อฟังจนจบ

“พ่ออย่าโกรธครูบิ๊วนะครับ”
“พ่อไม่โกรธหรอกลูก ครูเค้าช่วยเหลือพัตมากจริง ๆ”
ผมนั่งสงบอารมณ์จนแน่ใจว่าหยุดร้องไห้ได้แล้ว “ถ้าพัตอยากออกจากห้องคิงเมื่อไหร่ก็บอกพ่อแม่ได้เลยนะลูก พ่อจะไม่บังคับลูกอีกแล้ว”
“ครับพ่อ”
พ่อลูบหัว ลูบแขนผมเบา ๆ “ผมยาวแล้ว ลูกโตเร็วจริง ๆ”
“พ่อครับ ถ้าผมขอเล่นบาสด้วยจะได้ไหมครับ?”
“ได้สิ”
“ผมหมายถึงเล่นจริง ๆ ลงแข่งจริง ได้ไหมครับ?”
“ลูกอาจบาดเจ็บก็ได้ รู้มั้ย?”
“ผมรู้ครับ”

บรรพตจ้องลูกชาย เด็กตัวน้อยที่เรียกให้พ่ออุ้มไม่รู้เบื่อ เด็กตัวน้อยที่ชอบแอบเล่นเกมตอนดึก เด็กประหลาดที่ชอบนอนห้อยหัวอ่านการ์ตูนบนโซฟาหมุนไปมา พอรู้ตัวอีกพักหนึ่งกลายเป็นเด็กม.ต้นที่เงียบขรึม เขาพยายามออกแบบชีวิตลูกจนลูกเครียดนอนกัดฟันร้าวทั้งปากแต่เขาก็แค่ให้ใส่ฟันยาง บรรพตถามตัวเองมาตลอดว่าเขาเลี้ยงลูกผิดยังไง...วันนี้เขารู้แล้วว่าสิ่งหนึ่งที่ผิดคือเขาไม่เคยปล่อยมือให้ลูกหัดเดินเอง เขาพยายามสร้างอนาคตที่ดีให้ลูก แม้แต่การตระเตรียมให้ลูกมีเพื่อนที่เรียนเก่งบ้านรวยเป็น connection ที่ดีสำหรับอนาคตของพัต...แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ลูกอยากได้ พัตไม่มีความสุข

“ถ้าพัตจัดเวลาได้พ่อก็ไม่ว่าอะไร”
“ขอบคุณครับพ่อ งั้นผมกลับไปเรีย-” ผมยังพูดไม่จบพ่อก็ขับรถไปทั้งที่ผมยังอยู่บนรถ
“พ่อ!”
“ตาแดงขนาดนั้น กลับไปเรียนไม่ได้หรอก”
“แล้วพ่อจะพาผมไปไหนครับ?”
“ดูหนัง”
“หา!”
พ่อหันมายิ้มแว่บหนึ่ง “พรุ่งนี้พัตจะเข้าห้องคิง ต่อไปคงเรียนเยอะแน่ งั้นโดดเรียนก่อนหนึ่งวันเลย พวกเรากินบุฟเฟต์ที่ลูกชอบ ดูหนัง กินไอติม แล้วแต่ลูกเลย”
“โดดเรียนได้เหรอพ่อ?”
“พ่อก็โดดงานวันนึงเหมือนกัน ขอโทษนะที่พ่อโหดกับลูกมากไป วันนี้จะให้เที่ยวหนึ่งวันเต็มเลยนะ”

เฮ้ยยย! พ่อลักพาตัวผมโดดเรียนนนนน! เจ๋งเป็นบ้า!!



12:00น.
โรงอาหาร

“บอม แล้วพัตล่ะ?” สนทักที่เห็นบอมนั่งอยู่คนเดียว
“เค้าลาเรียนไปกับพ่อน่ะ”
“บอมมึงเป็นอะไรวะนั่งซึมกระทือ?” สนถามที่เห็นเพื่อนนั่งนิ่งสีหน้าไม่ดี ไม่มีอาหารบนโต๊ะด้วยซ้ำ
“คือ...พัตโดนย้ายไปห้องคิงแล้ว” บอมตอบเสียงเบา
“เฮ้ย! ยังไงนะ?” สนกับดิมอุทาน

บอมเล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อน ๆ ฟัง
“ไอ้พัตเอ๊ย! ที่ผ่านมามึงมีปัญหาแบบนี้เหรอวะ! ทำไมไม่บอกกู?” สนพูด
"เค้ากลัวพวกเราโกรธไงที่หลอกใช้ชมรมบาสทำให้ตี้เรียนเก่ง"
"กูไม่สนหรอกใครจะมาเล่นบาสเพราะอะไร เล่นก็คือเล่นน่ะ มาเยอะ ๆ ยิ่งดี พัตแม่งคิดมากชิบเป๋ง ถ้าบอกกูแต่แรกนะ-"
“พูดยังกะบอกแล้วพวกเราจะช่วยได้งั้นแหละ ขนาดกูรู้ก็ยังทำอะไรไม่ได้เลย ถ้าทำได้กูยอมเข้าห้องคิงแทนพัตดีกว่า”
“เออ ก็จริงว่ะ เกรดเราสองคนได้แค่เนี้ยเอง” สนพูดเพราะรู้ว่าเกรดเพื่อนรักกับเขาก็สูสีกัน
“ถ้าเรื่องกีฬา เรื่องใช้แรงชกต่อยอะไรกูไม่กลัวหรอก แต่นี่ดันเป็นเรื่องเกรด ทำอะไรไม่ได้เลย”
“ห้องคิงนี่เรียนโหดกว่าห้องเราอีกนะ”

ดิมพูดอย่างจนปัญญา พัตเซ็นเข้าห้องคิงไปแล้ว มันไม่มีทางเปลี่ยนอะไรได้อีกแล้ว
“ห่วงแต่โรคเครียดของพัตนี่แหละ ถึงเค้าจะบอกว่าไม่ต้องกังวลก็เถอะ”
“พัตแม่งช่วยพวกเราตั้งเยอะ แต่พวกเราทำอะไรได้บ้างวะเนี่ย?” สนพูด

“ถ้าทำได้ พวกนายกล้าเสี่ยงมั้ยล่ะ?” เสียงหนึ่งพูดมาจากด้านหลัง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-03-2021 11:05:36 โดย Sorrowkung »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Sorrowkung

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
King Class Away Ep.42
Beginning Of The End


เช้าวันพุธ วันแรกของการกลับเป็นเด็กห้องคิง ผมมาโรงเรียนเช้าเป็นพิเศษตามที่อาจารย์บอกเพื่อเตรียมตัวเข้าเรียนห้องใหม่ ผมเดินเข้าซอยโรงเรียนด้วยความรู้สึกแปลก ๆ เหมือนกลับสู่ดลปัญญานุกูลอีกครั้ง...อย่างน้อยก็ไม่มีต้นบอระเพ็ดละวะ...ในหัวผมนึกถึงฉากในการ์ตูนเรื่องต่าง ๆ ที่เด็กใหม่ย้ายมาเข้าห้องเรียนตอนกลางภาค...ซึ่งไม่เคยมีวันแรกดี ๆ สักเรื่อง ถึงพ่อจะบอกว่าเรียนไม่ไหวก็บอกพ่อเดี๋ยวพ่อจะคุยกับโรงเรียนให้กลับไปห้องปกติอีกครั้งแต่ผมไม่อยากให้พ่อผิดหวัง

เมื่อวานพ่อพาผมโดดเรียนหนึ่งวันไปเที่ยวห้าง กินบุฟเฟต์ ดูหนังแล้วมากินขนม เป็นครั้งแรกตั้งแต่เข้าเรียนจากอนุบาลถึงม.ปลายที่ผมโดดเรียน...โดยพ่อเป็นคนนำ! ตอนเย็นพอกลับถึงบ้านพร้อมถังป๊อบคอร์นและแก้วน้ำลายการ์ตูน แม่ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้วหัวเราะอยู่ตั้งนาน “ตกลงพ่อหรือลูกที่แสบกว่ากันนะเนี่ย?”

ถึงมันจะเป็นวันแห่งความสุขแต่ผมลอบมองพ่อหลายครั้ง พ่อมีผมหงอกสีดอกเลาแซมไปทั่ว พ่อกับแม่อายุมากขึ้น ทำงานเหนื่อยเพื่อสร้างอนาคตให้ผม ผมเองก็ต้องตั้งใจเรียนตั้งใจให้พ่อแม่สบายใจเช่นกัน การวนเวียนคิดจะอยากมีความสุขเหมือนตอนเด็กมันไม่ได้แล้ว

ผมเดินมาถึงร้านน้ำหน้าโรงเรียน เอ๋...บอมกับสนไม่อยู่แฮะ ผมนั่งรอสักพักก็ยังไม่เจอใคร ทุกทีถ้านั่งตรงนี้ตอนเช้ามักเจอเพื่อน ๆ สักคนเดินผ่านมาบ้างแต่ทำไมวันนี้แปลกจัง ลองโทรหาบอมดีกว่า
“หวัดดีพัต”
“หวัดดีบอม ใกล้มาถึงโรงเรียนยัง?”
“เราไปทำธุระของชมรมน่ะ พัตรออยู่หน้าร้านน้ำเหรอ?”
“อืม”
“โทษทีนะเราคงไปสายหน่อยน่ะ พัตเข้าโรงเรียนไปก่อนเลยนะ”
“อ...อืม แล้วเจอกันตอนเที่ยงนะ” ทำไมบอมต้องมีธุระวันนี้ด้วยนะ...ผมอยากเจอบอมนี่นา
“พัต วันนี้เข้าห้องคิงใช่มั้ย?”
“อือ ห้องประจำชั้นเราอยู่ชั้น 4 ตึก 7 นะ”
“อืม พัตสู้ ๆ นะ เดี๋ยวตอนพักเที่ยงเราไปหาที่หน้าห้องนะ”
ผมพยายามคุยกับบอมด้วยน้ำเสียงปกติทั้งที่ในใจผมอยากเจอบอม สน ดิม ก่อนเข้าห้องคิง ตรูเคว้งคว้างนะเฟร้ย!

ผมเดินขึ้นตึก 7 ตามปกติพวกผมจะไม่ได้เดินผ่านตึกนี้เท่าไหร่เพราะเป็นตึกรวมห้องประจำชั้นของพี่ม.6 แม้ว่าจะมีทางเดินเชื่อมกับตึก 10 ที่เป็นห้องประจำชั้นม.4 ก็ตาม มันเหมือนมีออร่าความเคร่งเครียดในการเรียนและความเป็นรุ่นพี่สูงมากจนไม่อยากเฉียดเข้าเท่าไหร่...แต่วันนี้ผมเป็นส่วนหนึ่งของตึกนี้แล้ว  ผมมองขึ้นไปตามโถงบันได ตามที่คุณครูบิ๊วบอกชั้นบนสุดของตึกนี้มี 5 ห้อง ห้องประจำชั้นใหม่ของผมห้องคิงม.4/1 ถัดไปคือห้องม.5/1 และ ม.5/7 ตามด้วยห้องม.6/1 และม.6/7

...เพราะตัวเราจะเปลี่ยนตามคนรอบข้าง...เลยเอาห้องคิงและห้องควีนเกือบทั้งหมดมารวมกระจุกกันเพื่อสร้างสังคมเด็กเรียนซะเลยสินะ? ซึ่งบรรยากาศก็กดดันจริง ๆ ไม่ค่อยมีใครมานั่งเล่นหน้าห้องแบบห้องปกติเลย เครียดตั้งแต่วินาทีแรกที่เหยียบขึ้นมาชั้นนี้เลยตรู ถ้าผมได้ห้องควีนอย่างน้อยก็ได้อยู่กับดิมและมีสนอยู่ห้องติดกัน แต่นี่เหมือนตรูโดนเอามาทิ้งบนเกาะร้างกลางทะเลเลย

ผมเดินมาถึงหน้าห้องประจำชั้นใหม่ เฮ้ย! ทำไมทุกคนนั่งกันเป็นระเบียบเต็มห้องเลยวะ ยังไม่ได้เข้าแถวหน้าเสาธงเลยนะ? อาจารย์ประจำชั้นที่ยืนอยู่หน้าห้องหันมาพอดีและเรียกชื่อผม
“นายนนทภัทร เข้ามายืนหน้าห้องเลยครับ”
ผมเดินไปหน้าชั้น เอาแล้วตรู นี่มันฉากแนะนำเด็กใหม่ที่ย้ายมากะทันหันตามการ์ตูนเป๊ะ!

“วันนี้เรามีเพื่อนใหม่ย้ายจากห้อง 4/4 มาเรียนกับพวกเรานะ แนะนำตัวเองได้เลยครับ”
“สวัสดีครับ ผมชื่อนนทภัทร วงศ์ประสาน ชื่อเล่นชื่อพัตนะครับ”
“นนทภัทรเป็นคนเดียวที่สอบกลางภาคได้ 100 คะแนนเต็มทุกวิชา เก่งมากครับ”
อาจารย์อย่าสร้างศัตรูให้ผมสิว้อย! สายตาแต่ละคนที่จ้องมาที่ตรูตอนนี้สัญลักษณ์ PVP เด้งขึ้นมาเพียบเลย...เดี๋ยวนะ ในห้องนี้น่าจะมีคนที่สนเคยมีเรื่องด้วยตอนเล่นสแครบเบิ้ลนี่หว่า คนไหนวะ? ถ้าเค้ารู้ว่าผมเป็นเพื่อนสนนี่ชีวิตตรูบรรลัยแน่
“เธอนั่งตรงที่ว่างหลังห้องติดกับปรวิทย์นะ”

ผมเดินมาวางเป้แล้วนั่งลงพร้อมกล่าวทักทายเพื่อนใหม่ “สวัสดีครับปรวิทย์”
“หวัดดีพัต เราชื่อป้อนะ”
“หวัดดีครับป้อ”
เพื่อนใหม่ยิ้มทักทาย เอาวะอย่างน้อยก็น่าจะเป็นมิตร “เดี๋ยวจะมีสมอลโฮมรูมก่อนไปเข้าแถวตอนเช้านะ”
“อืม ขอบใจนะครับ”

อาจารย์เคาะกระดานเพื่อเริ่มโฮมรูม “ผลสอบกลางภาคของพวกเธอส่วนใหญ่ทำคะแนนได้น้อยนะ เดี๋ยวสัปดาห์นี้หลังจบคาบ 4 จะมีการเฉลยข้อสอบ 20 นาทีทุกวันแล้วค่อยไปพักเที่ยง”
เอาแล้วไง นรกชัด ๆ!... ชีวิตตรูโดนริดรอนช่วงพักเที่ยงตั้งแต่วันแรกเลย แล้วผมจะได้เจอบอมมั้ยเนี่ย?

พอโฮมรูมจบพวกเราก็เดินลงไปเข้าแถวหน้าเสาธง แถวห้องผมอยู่หน้าแถวห้อง 2 ของบอม อย่างน้อยผมก็เจอเขาแว่บนึงแม้จะไม่ได้คุยกัน บอมยิ้มให้ผม รอยยิ้มที่ให้กำลังใจผมแม้ไม่ได้พูดคุยกัน ระหว่างนั่งหน้าเสาธงผมหันไปมองบอมเมื่อไหร่ก็เห็นเขามองมาที่ผมเสมอ...เราสองคนสื่อสารกันได้แค่นี้ ผมอยากบอกบอมว่าเที่ยงนี้ผมต้องทนหิวฟังเฉลยข้อสอบอีก 20 นาที บอมไม่ต้องรอผม แต่ผมก็ได้แค่ส่งสายตาบอกที่เขาคงไม่เข้าใจ

ผมมองเลยไปแถวห้อง 3 หาเอสกับตี้ เอ๋? พวกเขาไม่อยู่ที่แถวแฮะ แปลกจังหายไปทั้งคู่เลย?

บอมทำปากบุ้ยใบ้พยายามบอกอะไรผมสักอย่างแต่อาจารย์เข้ามาสะกิดไม่ให้ผมหันไปมองข้างหลัง ตรูซวยอีกโดนอาจารย์ประจำชั้นเพ่งเล็งละทีนี้ผมเลยได้แต่นั่งนิ่ง ๆ สงสัยกับเรื่องแปลก ๆ ของเพื่อน ๆ ที่เกิดขึ้นเช้านี้



แล้วคาบเรียนของห้องคิงก็เริ่มขึ้น หนังสือเรียนน่ะใช่ชุดเดียวกับที่ผมมี แต่แบบฝึกหัดที่เขียนขึ้นกระดานน่ะยากโดดไปหลายขุมเลย เหมือนสอนเล่นมาริโอ้แต่แบบฝึกหัดเป็น Bloodborne ยังดีที่ผมเคยผ่านอะไรแบบนี้มาแล้วที่ดลปัญญานุกูลเลยรับมือไหว
“จบเนื้อหาแล้วนักเรียนทุกคนเปิดสมุดจดการบ้านตามที่อาจารย์เขียนนะ”
“พัตจดเร็ว ๆ นะ อาจารย์คนนี้เขียนเสร็จแล้วจะลบเลย”
“ครับป้อ”
“เอ้อ นายรู้มั้ยว่าถ้าทำการบ้านไม่เสร็จหรือทำผิดต้องไปวิ่งรอบสนามบอลตามจำนวนข้อนะ”
“ครับ” ...อันนั้นรู้จากดิมแล้ว...

จนมาถึงช่วงเฉลยข้อสอบที่กินเวลาพักเที่ยง (ตรูหิวข้าวแล้วนะ T_T) ผมมองผ่านหน้าต่างไปนอกห้องสักพักบอมก็ชะเง้อหน้ามาจากขอบกำแพง ผมได้แต่ยกมือทำเลข 20 ให้บอมรู้ว่าเรียนต่ออีก 20 นาที บอมทำหน้าเศร้า ผงกหัวแล้วเดินไป ขอโทษนะบอมเรารู้ว่านายอยากกินข้าวพร้อมกัน ผมก็อยากอยู่กับบอมมาก ๆ เลย อยากระบายให้เขาฟังว่าวันแรกผมก็อ่วมแล้ว

“ในวิชาภาษาอังกฤษ พาร์ตที่พวกเธอส่วนใหญ่ทำคะแนนได้น้อยสุดคือพาร์ต reading วันนี้อาจารย์จะให้นนทภัทรแนะนำเทคนิคทำยังไงให้ได้คะแนนเต็ม 100 นะ” อาจารย์เรียกผม อย่ามายุ่งกับตรู แค่นี้ตรูก็มีศัตรูเยอะแล้ววววว

ผมลุกขึ้นตอบ “เอ่อ...ผมอ่านคร่าว ๆ ก่อนหนึ่งรอบเพื่อจับใจความสำคัญครับ ถ้ามีส่วนไหนหรือศัพท์คำไหนไม่เข้าใจจะข้ามไปก่อน เดี๋ยวพอเข้าใจเนื้อหาของเรื่องก็อาจเดาส่วนที่ติดได้ครับ”
“มีเทคนิคจับใจความสำคัญไหม?”
“ครับ เนื้อหาสำคัญมักมีคำที่เป็น negative เช่น but, however, nevertheless, on the other hand”
“เยี่ยมมากครับนนทภัทร นั่งลงได้”
“เทคนิคของพัตดีมากเลย” ป้อยิ้มให้กำลังใจ
“ขอบคุณครับ”
“ไม่ต้องพูดครับหรอก เราเพื่อนกัน”
“อืม” ป้อเป็นคนใจดีแฮะ แนะนำหลายเรื่องเลย
“พัตทนหิวนิดนึงนะ”
“อืม ขอบใจนะป้อ”
“อ้อ นายรู้ยังว่าทุกเย็นหลังเลิกเรียนจะมีทำแบบฝึกหัดด้วย”
“หา!” ภาพการเล่นคณิตคิดไวหลังเลิกเรียนเหมือนสมัยอยู่ห้องคิงที่ดลปัญญาผุดขึ้นมาในหัวผมเลย แบบนี้จะได้ไปเล่นบาสหลังเลิกเรียนมั้ยเนี่ย?

ถึงช่วงพักเที่ยง ผมมีเวลาแค่ 30 นาที ผมรีบซื้อข้าวแล้วเดินไปโต๊ะประจำ ผมเจอเอสกับตี้กำลังเก็บจานพอดี
“หวัดดีเอสตี้”
สองคนหันมามองผมแว่บนึงแล้วเดินไปเลย อะไรกันน่ะ…ทำไมพวกเค้าทำเหมือนไม่อยากมองหน้าผมแบบนั้น

ก็ผมหลอกใช้เอส หลอกใช้ตี้ ผมก็ควรโดนเพื่อนเกลียดแล้วนี่ ผมทำตัวเองก็ต้องรับผลการกระทำ

“พัต” บอมเดินมาแตะไหล่
“บอม กินข้าวเสร็จแล้วเหรอ?”
“อือ พัตเรียนเพิ่มตอนเที่ยงด้วยใช่มั้ย?”
“ใช่ ห้องเราเฉลยข้อสอบ 20 นาทีนี่เพิ่งเสร็จ จะเป็นแบบนี้ทั้งสัปดาห์เลย”
“หา?” บอมทำหน้าตกใจเมื่อรู้ความโหดของห้องคิง “งั้นพัตรีบมานั่งกินข้าวเถอะ เรานั่งเป็นเพื่อนพัตนะ”

ตอนนี้โต๊ะประจำของพวกเราไม่มีใครอยู่เลย มีแค่ผมกับบอม เขานั่งดูผมที่รีบกินข้าวให้เสร็จทันเวลา
“พัต เพื่อน ๆ เขากินข้าวเสร็จไปก่อนแล้วน่ะ”
“อือ”
“พัต เมื่อกี้นายเจอเอสกับตี้ใช่มั้ย?”
“อ...อือ” ผมก้มหน้ากินข้าวต่อ ผมรู้ว่าบอมจะพูดอะไร มันไม่ใช่ความผิดของพวกเขาหรอกที่ไม่อยากเจอผม ผมเองแหละเป็นฝ่ายผิด
“พัต” บอมกุมมือผม “นายเชื่อใจเพื่อนมั้ย?”
“ช...เชื่อสิ”
“เอสกับตี้ไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้นนะ”
“อืม” ผมขานรับทั้งที่ไม่เข้าใจเลย ทำไมผมต้องเจอเรื่องแบบนี้
“บอม ตอนคาบ 8 คาบสันทนาการเราจะมาเล่นบาสด้วยนะ แต่เสร็จแล้วอาจารย์ให้กลับไปทำแบบฝึกหัดที่ห้องอีก จะมีแบบนี้ทุกเย็นเลย เราไม่รู้จะเลิกกี่โมงแต่ยังไงเราจะมาเล่นบาสหลังเลิกเรียนด้วยนะ”
“อืม เรารอนะพัต”
--------------------------------------------

พอถึงคาบ 8 ผมรีบวิ่งลงมาที่สนามบาส บอมยืดเส้นอุ่นเครื่องรออยู่ก่อนแล้ว
“คิดถึงพัตจัง เรียนเหนื่อยมั้ย?”
“เหอ ๆๆ เหนื่อยมาก ทั้งแบบฝึกหัดทั้งการบ้านโหดกว่าห้องปกติเยอะเลย เราน่ะไหวเพราะตอนม.3 ที่ดลปัญญาเราเรียนเนื้อหาม.4 หมดแล้ว ห่วงแต่เพื่อนคนอื่นมากกว่า”
“พัตน่ะห่วงคนอื่นทุกที” บอมขยี้หัวผม “แล้วเมื่อวานพัตคุยกับรองผอ.เสร็จก็ลาเรียนไปกับคุณพ่อเหรอ?”
“ช่าย พ่อน่ะพาเราโดดเรียน ฮ่า ๆๆ”

ผมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้บอมฟัง และเรื่องที่พ่อลักพาตัวผมโดดเรียนไปเที่ยวห้างด้วย
“เราดีใจด้วยนะคุณพ่อเข้าใจพัตซะที ตอนแรกเรานึกว่าพ่อนายดุมาก แต่จริง ๆ ท่านเป็นพ่อที่ใจดีมากเลยนะ”
“อือ ว่าแต่สนยังไม่มาเหรอ?” ผมมองไปรอบ ๆ ไม่เห็นเขาเลย
“วันนี้เขาลาไปทำธุระที่บ้านน่ะ”

พอใกล้หมดคาบ 8 ผมลาอาจารย์ชมรมบาสก่อนเวลา 10 นาที ผมอยากแวะไปคุยกับดิมที่ห้องชมรมคอมพิวเตอร์ อยากระบายความบ้าบอของห้องคิงกับดิม เขาน่าจะเข้าใจผมที่สุด ผมขึ้นไปชั้น 3 ของตึก 5 ที่เป็นห้องคอมพิวเตอร์ ตอนนี้ยังเป็นคาบสันทนาการมีคนอยู่เต็มห้องผมเลยได้แต่มองจากด้านนอก ดิมอยู่ไหนหว่า?
“น้องมาหาเพื่อนเหรอครับ?” รุ่นพี่เดินออกมาถาม
“ครับพี่ ดิมอยู่ไหมครับ? มิธิวัตน่ะครับ”
“พี่ก็ไม่เห็นดิมนะ มีอะไรมั้ยครับ?”
“ไม่มีอะไรครับพี่ ขอบคุณครับ”

...ทำไมวันนี้เพื่อน ๆ ทุกคนดูแปลก ๆ หว่า? ตอนเช้าบอมไปธุระ เอสกับตี้ก็ไม่อยู่ตอนเช้าเหมือนกัน นี่สนกับดิมก็หายไปพร้อมกันอีก ผมเดินกลับห้องคนเดียวเพื่อไปเรียนรอบเย็น เป็นโจทย์เลขที่ยากพอสมควรเลย จากนั้นอาจารย์ก็แจกสมุดการบ้านคืนให้ทุกคน ซึ่งยังไม่มีของผมเพราะเพิ่งมาเรียนวันแรก ป้อเปิดดูแล้วปิดสมุดยัดใส่กระเป๋าด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก เขาไม่พูดอะไรอีกเลย เดาได้เลยว่าเรื่องอะไร บรรยากาศอึดอัดจัง ผมไม่รู้จะชวนป้อหรือเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ พูดยังไงดี

พอเลิกเรียนตอนห้าโมงเย็น หลายคนไม่ได้ไปทางออกประตูโรงเรียนแต่เดินไปทางสนามบอล ป้อก็ด้วย ผมสงสารเขาจัง ใจหนึ่งก็อยากไปวิ่งเป็นเพื่อนเขาแต่ก็ไม่รู้เพื่อน ๆ จะคิดว่าผมล้อเลียนเค้ามั้ย อีกใจก็อยากไปหาบอมเพราะผมเหลือเวลาเล่นบาสได้อีกแป๊บเดียว...เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ถ้าผมทำการบ้านผิดก็จะไปวิ่งด้วยละกัน…

ผมเดินไปที่สนามบาสเห็นบอมกำลังเล่นกับพวกรุ่นพี่อยู่
“พัตเพิ่งเลิกเรียนเหรอ?”
“ฮะ ๆๆ ช่าย” ผมหัวเราะแห้ง ๆ ไม่อยากให้บอมเครียดเมื่อรู้ว่าผมแทบไม่มีเวลาว่างเลย
“พัตไหวมั้ยเรียนเยอะขนาดนี้”
นั่นสิ ผมอุตส่าห์ขอพ่อเล่นบาสได้แล้ว แต่กลับไม่มีเวลามาฝึกซ้อมแล้วผมจะได้รับคัดเลือกเป็นตัวสำรองเหรอ ดูเหมือนสิ่งที่ผมฝันมันเริ่มไกลออกไปเรื่อย ๆ โดยผมแทบทำอะไรไม่ได้เลย
“สงสัยต้องให้บอมติวพิเศษให้แล้วล่ะ”
“ได้สิ ยังไงเสาร์นี้เราไปเที่ยวบางปูกันนะ แล้ววันอาทิตย์เราติวบาสให้ถ้าพัตไหว”
“อืม ขอบใจนะบอม”



วันพฤหัสบดี
วันที่ 2 ของการอยู่ห้องคิง
การเรียนก็ยังโหดเหมือนเดิม ช่วงพักเที่ยงที่แสนน้อยนิดผมรีบลงมาที่โรงอาหาร บางร้านน่าจะขายหมดแล้วจะเหลืออะไรให้ตรูกินบ้างเนี่ย
“พัต เราซื้อก๋วยเตี๋ยวไว้ให้แล้ว” บอมโบกมือเรียกผม บนโต๊ะมีก๋วยเตี๋ยว 1 ชามกับเกาเหลาใส่เนื้อกับผักเยอะ ๆ และไข่ต้มอีก 1 ฟอง
“เราเตรียมอาหารให้ครบโภชนาการตามที่พัตเคยสอนเราไง”
“ขอบใจนะบอม”
ผมก้มหน้าก้มตากินเพราะมีเวลาพักไม่นาน บอมนั่งยิ้มอยู่ข้าง ๆ เป็นเพื่อนผมด้วย เขาอุตส่าห์ซื้อข้าวเที่ยงไว้รอผมทั้งที่เพื่อนคนอื่นกินเสร็จและกลับขึ้นห้องไปหมดแล้ว
“บอม หมดสัปดาห์นี้เราก็คงไม่มีเรียนตอนเที่ยงแล้วล่ะ สัปดาห์หน้าเราจะมากินข้าวพร้อมกับทุกคนนะ”
“พัต”
“หืม?”
“เรารักพัตนะ”
“เอ่อ...เราก็รักบอม” ผมแทบสำลักที่จู่ ๆ บอมพูดโพล่งขึ้นมากลางโรงอาหาร ถึงจะพูดเบา ๆ ก็เถอะ
“คือเราก็อยากอยู่กับพัตตลอดเวลานะ แต่ตอนนี้พัตอยู่ห้องใหม่ นายควรใช้เวลาอยู่กับเพื่อน ๆ ด้วย” บอมพูดช้า ๆ พร้อมกุมมือผม
“อ...อืม”

ผมเข้าใจนะว่าบอมพยายามจะบอกผมแบบไม่ให้ผมเข้าใจผิดหรือระแวง ผมลืมคิดไปสนิทเลยว่าการเข้าไปอยู่ห้องคิงแต่ไม่กินข้าวไม่คุยไม่คบเพื่อนในห้องเลยนั้นไม่ช้าต้องเป็นปัญหาแน่ แต่ตอนเย็นผมก็แทบไม่มีเวลามาเล่นบาสกับบอม ถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ บอมจะยัง…
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราก็ยังรู้สึกกับพัตเหมือนเดิม ถึงจะเจอกันน้อยลงเราก็ยังรักพัตเหมือนเดิม” บอมอ่านความคิดผมได้หรือไงเนี่ย ดวงตาสีน้ำตาลที่จ้องมาทำผมหน้าร้อนผ่าว
“พัตอดทนนิดนึงนะ ทุกคนกำลังช่วยนายอยู่”
“หือ?”
“ร...เราหมายความว่าเพื่อน ๆ ทุกคนยังเป็นเพื่อนพัตเหมือนเดิมนะ”
“ไม่ ๆๆ ไอ้ประโยคหลังมันต่างจากประโยคแรกนะ”
“ม...ไม่ต่างหรอก”

ต่างแน่ ๆ! บอมทำหน้ามีพิรุธด้วย ไหนจะเรื่องที่เพื่อน ๆ หายไปพร้อมกันอีก แต่ผมก็ไม่อยากซักไซ้ต่อเพราะหน้าเลิ่กลั่กของบอมน่ารักผิดคาด นายเป็นคนโกหกไม่เก่งเลยนะเนี่ย เอาเถอะถ้าบอมอยากให้ผมเชื่อใจผมก็จะเชื่อใจบอม
“เอ้อบอม บางปูนี่อยู่สมุทรปราการใช่มั้ย?”
“ใช่แล้ว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อเลย”
“แล้วพวกเราจะไปเที่ยวจนเย็น พอวันอาทิตย์บอมจะติวบาสให้เราใช่มั้ย?”
“อื้อ”
“งั้นเราไปค้างบ้านบอมตอนคืนวันเสาร์ดีมั้ย? เช้าวันอาทิตย์จะได้ไปซ้อมบาสกันที่สนามใกล้บ้านบอมไง”
“ได้เลย” บอมยิ้มโดยไม่รู้ว่าคืนนั้นจะเจออะไร หี ๆๆ

ยิ้มเข้าไป ปิดบังเข้าไป เดี๋ยววันเสาร์ผมจะฟัดบอมเอาคืนให้เต็มที่เลย



วันศุกร์
วันที่ 3 ของการอยู่ห้องคิง

ช่วงการเรียนที่น่าเบื่อดำเนินมาถึงคาบ 4 วิชาสังคมของอาจารย์วิชาติ
“ป้อ เราถามอะไรหน่อยสิ มันจะไม่มีการเรียนวันเสาร์อาทิตย์ใช่มั้ย?” ผมกระซิบถามป้อที่นั่งติดกัน
“ไม่มีนะ”
โอเค อย่างน้อยการเที่ยวเสาร์อาทิตย์นี้ของผมก็ไม่น่ามีอะไรมาขัดแล้ว เมื่อคืนผมค้นในอินเตอร์เน็ต ดูเหมือนบางปูจะเป็นหาดเลนคงลงเล่นน้ำไม่ได้ เสียดายชะมัดที่อดเห็นบอมในชุดว่ายน้ำ ...แต่ไม่เป็นไรยังไงตอนค่ำผมกับบอมจะอยู่ตามลำพัง ผมก็จะ-
“ขออนุญาตครับอาจารย์วิชาติ”  เสียงหนึ่งดังขึ้นมาขัดจินตนาการสายดาร์คของผม ทุกคนหันไปที่ประตู อาจารย์วรเชษฐ์ยืนอยู่หน้าห้อง คนที่ผมเคยเจอตอนวันอังคารที่พ่อมาเซ็นชื่อ
“ครับอาจารย์วรเชษฐ์ มีธุระอะไรเหรอครับ?”

อาจารย์วรเชษฐ์ยืนนิ่งไม่พูดอะไร อาจารย์สังคมเลยเดินเข้าไปคุยกันกระซิบกระซาบที่หน้าห้อง เกิดอะไรขึ้นหว่า? สักพักอาจารย์วรเชษฐ์ก็เดินจากไปอย่างร้อนรน ส่วนอาจารย์วิชาติก็ทำหน้าลนลานไม่แพ้กัน
“อาจารย์จะไปธุระสักครู่ พวกเธออ่านหนังสือไปก่อนนะ วันนี้จะไม่มีเฉลยข้อสอบหลังคาบ 4 นะ ไปพักเที่ยงตามปกติได้เลย”

เสียงเฮดังลั่นทั่วห้อง อาจารย์ขยับปากจะดุแต่ก็เปลี่ยนใจแล้วรีบเดินออกไป
“เกิดอะไรขึ้นน่ะป้อ?”
“เราก็ไม่รู้แฮะ” พวกเราสองคนมองหน้ากันแบบงง ๆ คนอื่นในห้องก็สงสัยระคนดีใจเหมือนกัน
“อาจารย์สั่งให้อ่านหนังสือกันเองนะ ทุกคนทำตามคำสั่งเถอะเดี๋ยว’จารย์กลับมาเร็วพวกเราจะแย่” หัวหน้าห้องเอ่ยปากเตือนเพื่อน ๆ ทุกคน

10 นาทีแรกทุกคนก็ยอมอ่านหนังสือกันเงียบ ๆ แต่ไม่นานหลายคนก็เริ่มลุกไปคุยกับเพื่อน
“เฮ้ย! นี่มันนานเกินละนะ ปาไปจะครึ่งคาบแล้ว กูว่า’จารย์ไม่มาแล้วมั้ง”
“เออ ไปกินข้าวกันเลยเหอะ”
ระหว่างที่เพื่อน ๆ กำลังถกเถียงกันก็ได้ยินเสียงขยับเก้าอี้จากห้องพี่ม.5/1 ที่อยู่ติดกัน แปลว่าห้องพี่เค้าก็คงเจอแบบเดียวกันและตัดสินใจไปกินข้าวกันแล้ว
“เฮ้ย! พวกพี่เค้าไปกันแล้วว่ะ”
“งั้นพวกเราก็ไปด้วยสิ กูหิวมาสองวันจะตายห่าแล้ว”
“เอาไงดีพัต?” ป้อหันมาถาม
“เราก็ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าพวกเราไปแล้วอาจารย์กลับมาก็ไม่ได้จดการบ้านน่ะสิ มีหวังได้วิ่งรอบสนามแน่”

“พัต” ดิมมายืนเรียกผมอยู่หน้าห้อง
“อ้าว! ดิม ห้องนายก็ไม่มีอาจารย์เหมือนกันเหรอ?” ผมเดินออกไปหาดิมพร้อมกับเพื่อน ๆ ห้องคิงเริ่มทยอยกันโดดคาบ 4 ไปโรงอาหาร
“อือ อาจารย์บอกไปธุระแป๊บนึงแต่ไม่กลับมาซักที เนี่ยเพื่อนห้องเราเลยไปกินข้าวกันหมดแล้ว”
ผมมองจากระเบียงชั้น 4 ลงไป ตอนนี้ข้างล่างนั่นเด็กม.ปลายเดินกันเยอะแยะเลย แปลว่าไม่ใช่แค่ห้องคิงกับห้องควีนสินะ อาจารย์ม.ปลายทุกคนจู่ ๆ ก็ไปธุระด่วนกันหมดเลย!?
“พัตไปกินข้าวกับเราเหอะ ยังไงก็มีคนโดดคาบ 4 เยอะแยะแล้ว อาจารย์ไม่กล้าเอาเรื่องแน่”
“อืม”

“ว่าแต่นายลากิจเหรอ? ตอนวันพุธกับพฤหัสเราไม่เห็นดิมเลย” ผมถามดิมระหว่างที่พวกเราเดินลงบันได ดิมไม่ตอบแต่เม้มปากแล้วหันมายิ้ม
“ดิม นายดูแปลก ๆ นะ”
“เดี๋ยวนายก็รู้” ดิมพูดเป็นปริศนาเหมือนผมกำลังอยู่ในหนังเขย่าขวัญ

พอผมกับดิมซื้ออาหารเสร็จก็เดินถือมาที่โต๊ะเจอบอมในชุดพละนั่งรออยู่แล้ว
“ทำไมบอมมาเร็วจัง?”
บอมไม่ตอบแต่สบตากับดิม เขาเม้มปากแล้วยิ้ม
“บอม นายดูแปลก ๆ นะ”
“เหรอ?”
“แล้วสน เอส ตี้ ล่ะ?”
“เดี๋ยวนายก็รู้” บอมพูดเนิบ ๆ ประโยคเดียวกับดิม...เชรี่ยละนี่มันหนังเขย่าขวัญแน่ ๆ
ผมนั่งร่วมโต๊ะกับทั้งสองคนแบบหวาด ๆ พวกนายเป็นเอเลี่ยนที่สะกดจิตอาจารย์ทั้งโรงเรียนให้ทิ้งการสอนไปสินะ...บ้าละ นิยายมันไม่แหกแนวได้ขนาดนั้นหรอก!

ตะดึ๊ง! เสียงข้อความเข้าดังขึ้นจากมือถือของผม เป็นข้อความในกรุ๊ปไลน์ของทั้งห้องคิงของผม 4/1 และห้องเก่าของผม 4/4 มันเป็นลิ้งค์ Youtube อันเดียวกันเลย

https://youtu.be/vqIxCqa….

ผมกดดู มันเป็นห้องมืด ๆ มีชายคนหนึ่งนั่งอยู่โดยมีแสงสาดมาจากข้างหลังทำให้เห็นเขาเป็นเงาดำ ในห้องนั้นยังมีโคมไฟดวงเล็กที่สาดแสงลงมาโดนตัวเล็กน้อยให้พอเห็นเสื้อขาวกับกางเกงขาสั้นสีดำ ชุดนักเรียนนั่นเอง

เขาเริ่มพูดบางอย่าง...บางอย่างที่ทำให้ผมตะลึง จังหวะนั้นโคมไฟที่แกว่งเล็กน้อยให้แสงพาดสูงขึ้นส่องกระทบวัตถุเล็ก ๆ ที่อกเป็นประกายสีทอง ถึงจะเป็นแค่ชั่วครู่และไม่ชัดเจนแต่ผมก็ดูออกทันที มันเป็นเข็มโรงเรียนแบบเดียวกับที่ผมใช้

ผมมั่นใจแล้วว่านี่คือสาเหตุที่อาจารย์ทุกคนผละจากการสอนไปทันที
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-04-2021 10:48:38 โดย Sorrowkung »

ออฟไลน์ Sorrowkung

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
King Class Away Ep.43
In The End


เช้าวันเสาร์ ผมนั่งรถไฟฟ้าแล้วไปต่อรถแท็กซี่ไปยังสถานที่ที่นัดกับบอมไว้ ‘บางปู’ เขาบอกว่าเป็นที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัดสมุทรปราการ แต่ตอนนี้จิตใจผมไม่ได้อยู่กับเรื่องเที่ยวเลยแม้แต่น้อย

ตั้งแต่เที่ยงเมื่อวานที่คาบ 4 ของระดับชั้นม.ปลายถูกยกเลิกโดยปริยายเพราะอาจารย์ทุกคนไปประชุมด่วน จากนั้นไม่ถึงชั่วโมงก็มีคลิปวิดีโอปริศนาที่เพื่อน ๆ ส่งต่อกันมาในกลุ่มไลน์ มันส่งผลบางอย่างที่รุนแรงต่อโรงเรียนแน่ ๆ เพราะตลอดช่วงบ่ายอาจารย์ทุกคนยกเลิกการบ้าน มีแต่การสอนตามปกติเท่านั้น ที่สำคัญคือ…
“วันนี้ใครที่ทำการบ้านไม่ทันหรือตอบผิดไม่ต้องไปวิ่งรอบสนามฟุตบอลนะ การทำแบบฝึกหัดหลังคาบ 8 ก็ไม่มีนะ ใครที่สงสัยการบ้านหรือไม่เข้าใจเนื้อหาตรงไหนให้มาถามอาจารย์ได้หลังเลิกเรียนหรือไปพบที่ห้องพักครูก็ได้ อาจารย์จะช่วยอธิบายให้” สิ้นเสียงของอาจารย์ เพื่อน ๆ ทุกคนก็เฮลั่น

พอเปิดดูคลิปในยูทิวป์อันนั้นผมก็เข้าใจในทันทีว่าเนื้อหาของมันทำให้โรงเรียนระส่ำระสายได้ยังไง
Die hartseer storie van genie klaskamer ‘Koning Klas’
https://youtu.be/vqIxCqa….

ชื่อคลิปเป็นภาษาที่ผมไม่รู้จัก แต่ทุกคำพูดในคลิปเป็นภาษาไทย ผมเสียบหูฟังและกดดูมันเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ภาพนักเรียนในความมืดที่ผมไม่รู้ว่าคือใคร แต่เรื่องราวที่เขาพูดมานั้นทำให้ใจผมเต้นจนไม่กล้าให้ใครได้ยิน

“ผมเคยเป็นนักเรียนในห้องคิงครับ มันอาจเป็นชั้นเรียนที่เด็ก ๆ หลายคนฝันจะได้อยู่ แต่ความจริงแล้วรู้มั้ยว่ามันไม่เหมือนที่ใคร ๆ คิดเลย พวกผมเรียนหนักมาก มีการบ้านที่ยากเกินเนื้อหาที่เรียนให้ทำทุกวัน ถ้าตอบผิดก็จะโดนลงโทษ” เสียงแปร่งที่ฟังก็รู้ว่าใช้ซอฟต์แวร์แปลงเสียงเพื่อปกปิดตัวตน

“ลงโทษยังไงครับ?” เสียงลึกลับอีกเสียงทำหน้าที่พิธีกรสัมภาษณ์
“ให้วิ่งรอบตึกครับ”
“คุณพ่อคุณแม่รู้ไหมครับ?”
“รู้ครับ แต่พ่อแม่บอกให้ทนไปจะได้เข้ามหาลัยดี ๆ”

“แล้วเรื่องอะไรที่ไม่ชอบที่สุดครับ?”
“ผมไม่ชอบห้องซาวแล็บ”
“ทำไมเหรอครับ?”
“ห้องอื่นเค้าพูดศัพท์ซ้ำแค่ 4-5 รอบ แต่กับพวกผมอาจารย์ให้พูดศัพท์ซ้ำเป็นสิบรอบไม่จบไม่สิ้น อาจารย์บอกว่าต้องพูดจนกว่าจะออกเสียงถูกต้องทุกคน สามปีที่เจอแบบนั้นจนผมเป็นโรคมิโซโฟเนีย”
“คือโรคอะไรเหรอครับ?”
“โรคเกลียดเสียง เวลาใครมาพูดคำเดิมซ้ำหลายครั้งใกล้ ๆ ผมจะโมโห”
“มันส่งผลเสียกับชีวิตเรายังไงครับ?”
“ตอนอยู่มหาลัย มีวันนึงเพื่อนผมตะโกนเรียกเพื่อนอีกคนชื่อไก่ มันเรียกไอ้ไก่ แต่เขาไม่ได้ยินเพื่อนผมก็ตะโกนเรียกอีก ไอ้ไก่ เขาก็ยังไม่ได้ยิน เพื่อนก็ตะโกนเรียกไอ้ไก่ ๆ ไอ้ไก่ ๆ ผมสติขาดตะคอกใส่เพื่อน มึงจะเรียกซ้ำ ๆ ทำเหี้ยอะไร! เดินไปหามันสิโว้ย!”
“เราเสียใจไหมครับที่ทำแบบนั้นไป?”
“เสียใจครับ ...ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมคุมตัวเองไม่ได้ เพื่อน...กูขอโทษ”

ภาพตัดมาเป็นนักเรียนหญิงอีกคนในเงามืดเช่นกัน คนนี้น่าจะอยู่โรงเรียนอื่นเพราะไม่มีเข็มกลัด
“คุณเป็นนักเรียนห้องคิงใช่ไหมครับ?”
“ใช่ค่ะ ตั้งแต่ม.4 ถึงม.6”
“ที่มาวันนี้มีอะไรอยากเล่าครับ?”
“หนูอยู่กับคุณแม่และคุณยาย แม่หนูขายของที่ตลาดตั้งแต่เที่ยงถึงค่ำ ยายหนูแก่แล้วเดินไม่ได้ ทุกเย็นหนูต้องกลับบ้านไปดูแลช่วยอาบน้ำยาย แต่พออยู่ห้องคิงอาจารย์สั่งให้อยู่เรียนพิเศษทุกเย็น ยายปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำก็ต้องรอหนูหรือไม่ก็ตะกายไปห้องน้ำเอง”
“ชีวิตลำบากไหมครับ?”
“ลำบากที่สุดตอนขึ้นม.6 อาจารย์เค้าสอนพิเศษถึง 4 ทุ่ม”
“4 ทุ่มเลยเหรอ?”
“ค่ะ หนูเลยยิ่งไม่มีเวลาดูแลยาย แม่ต้องเก็บร้านเร็ว ๆ มาดูยาย แล้วตอนค่ำก็ขี่รถมารอรับหนูหน้าโรงเรียน แม่บอกดึกมากกลับคนเดียวอันตราย”


“น้องครับ ถึงที่แล้วครับ” คุณลุงคนขับหยุดรถตรงวนเวียนหน้าสะพานและหันมาบอกผม
“ขอบคุณครับคุณลุง” ผมจ่ายเงินค่าโดยสาร ก้าวลงจากรถแล้วเดินไปตามแนวสะพาน ลมพัดมาปะทะตัวผมทันทีพร้อมด้วยเสียงนกร้องไปทั่ว แสงแดดแรงจนแสบผิวกับลมทะเลเย็น ๆ ช่วยดึงผมออกจากความหม่นหมองในบทสัมภาษณ์ของนักเรียนทั้ง 4 คนในคลิปนั้นได้บ้าง



ชายหนุ่มที่กำลังยืนให้อาหารนกอยู่บนสะพานหันมา ถึงจะมีคนอยู่ตรงนั้นมากมายแต่เขาก็เด่นที่สุดและเป็นแบบนั้นเสมอตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอเขา เขายิ้มและเดินตรงมาที่ผม
“ดีใจจังพัตมาแล้ว” บอมเดินมารับผม “ไปเดินเล่นกันเถอะ พัตเคยให้อาหารนกแบบนี้มั้ย?” บอมโยนอาหารขึ้นแล้วนกก็บินมาคาบไปกลางอากาศ
“ไม่เคยน่ะ”
“พัตอยากลองมั้ย?”
ผมล้วงอาหารนกออกมาจากถังแล้วโยนขึ้นตามที่บอมทำ นกนางนวลฝูงใหญ่ก็บินมาคาบไป มันน่ากลัวนะแต่ก็สนุกดี บอมกอดผมจากข้างหลัง “สนุกมั้ยพัต?”
“ฮะ ๆๆ สนุกดี”
บอมกอดผมไว้อย่างนั้น เราสองคนมองชมทิวทัศน์รับลมทะเล

“บอม เรื่องคลิปนั้นน่ะ”
“อืม” บอมเอ่ยกระซิบที่ข้างหูผม
“นายเป็นคนทำงั้นเหรอ?”
“พัตคิดว่าไงล่ะ?” เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเอ่ยพร้อมอมยิ้มเจ้าเล่ห์
“มันบังเอิญกับช่วงเวลามาก”
“ใช่ เราทำเองแหละ ไม่ใช่เราคนเดียวหรอกนะ” เขากระซิบเบา ๆ
“หา!! มีคนอื่นด้วยเหรอ? นายรู้มั้ยว่ามันเสี่ยงขนาดไหน! ถ้าเกิดโรงเรียนเอาเรื่องแล้วตามหาคนทำ นายอาจโดนไล่ออกเลยนะ!”
“อะแฮ่ม! พวกมึงสวีตกันยังกะโลกนี้มีแค่สองเราเลยน้า”
“สน! ดิม!” ผมหันไปดูสองคนที่คุ้นตาเดินเข้ามา
“หวัดดีพัต” ดิมยืนยิ้มพร้อมโอบเอวสน
“บอกแล้วเราไม่ได้ทำคนเดียว”
“พวกกูโทรหารุ่นพี่ห้องคิงห้องควีนรุ่นก่อน ๆ ที่เรียนจบมหาลัยไปแล้วให้เขามาช่วยแฉ ดีนะที่ดิมอยู่ห้องควีน พอเล่าเรื่องที่ดิมกับนายเจอให้รุ่นพี่ฟัง พวกพี่เขาเห็นใจรุ่นน้องเพราะเขาก็เคยเจอแบบนี้ กูเนี่ยต้องวิ่งหาชุดนักเรียนมาให้พี่เค้าใส่ให้สมจริง จะได้ดูไม่ออกด้วยว่าจริง ๆ พวกเค้าเรียนจบไปแล้ว” สนอธิบาย

“พวกพี่ส่วนใหญ่ไม่กล้าพูดน่ะ เราก็เข้าใจ เราขอร้องพวกพี่ว่ายังไงก็ปิดเป็นความลับ พี่ ๆ บอกว่าถ้าทำคลิปเสร็จจะช่วยแชร์ให้ละกันมันเลยแพร่เร็วมาก ตอนนี้แฮชแท็ก #saveเด็กห้องคิง ขึ้นเทรนด์หลายเว็บบอร์ดและในทวิตเตอร์กับอินสตาแกรมแล้ว” ดิมพูดอย่างตื่นเต้น

“พัตเดาซิว่าใครเป็นคนต้นคิดเรื่องนี้?”
“นายเหรอบอม?”
“ไม่ใช่เราหรอก พัตปิดตาดิเดี๋ยวเราเฉลย”
ผมหลับตา บอมสนดิมเอามือมาปิดตาผมอีกทีพร้อมหัวเราะคิกคัก “กูว่ามึงช็อกแน่พัต”

“สวัสดีคุณ Elite 5” เสียงคุ้น ๆ พร้อมเสียงเดินบนสะพานใกล้เข้ามา ทุกคนปล่อยมือออกจากหน้าผม คนตรงหน้าคือ...
“ตี้! เอส!”
“เออ! เซอร์ไพรซ์มั้ยล่ะ!” ตี้พูดพร้อมหัวเราะเบา ๆ และใช้วงแขนโอบไหล่เอสที่ยิ้มแห้ง ๆ ไว้ตรงหน้า
“ตี้ เอส เราขอโทษนะที่เรา...”
“พัต นายไม่ต้องขอโทษหรอก นายแม่งสุดยอดเลยนะเอาความคิดบ้าเรียนใส่หัวเราได้เหมือนหนังเรื่อง Inception ช่วยติวเราแล้วยังส่งเอสมาประกบเราตลอดจนเกรดเราถึงระดับห้องควีนได้” ร่างสูงหัวเราะอารมณ์ดีพร้อมขยี้ผมของเพื่อนสนิท
“ว้อย! อย่าดิเดี๋ยวผมเสียทรง” เอสท้วง
“ลมแรงขนาดนี้ยังจะห่วงทรงผมอีก” คู่กัดเริ่มปะทะคารมกันเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคน

“ตอนแรกที่เอสเล่าเรื่องทั้งหมดให้เราฟัง เราโคตรโมโหเลยนะ” พวกเราเดินไปที่ปลายสะพานระหว่างตี้เล่าเรื่อง
“โมโหหรือน้อยใจ? เอาดี ๆ” เอสแซว
“เออ น้อยใจก็ได้” คนที่สูงที่สุดในกลุ่มเกาหัวพลางพูดเบา ๆ “แต่พอรู้จากบอมว่านายยอมเข้าห้องคิงแทนเราทั้งที่นายเกลียดมาก เราก็คิดว่า...” ตี้หันมาทำหน้าจริงจังขัดกับไอติมในลูกมะพร้าวที่ถืออยู่ “เพื่อนยังไงก็คือเพื่อน นายก็ช่วยเราตั้งเยอะ ตอนนี้นายลำบากเราก็อยากช่วยนาย”

“ตี้เสนอว่าไม่มีทางไปขอร้องโรงเรียนให้เลิกสอนโหด ๆ ได้แน่ ต้องใช้กระแสสังคมกดดัน” สนพูดแล้วหันไปหาดิม “กูเองก็ไม่พอใจที่ไอ้ดิมต้องเรียนเยอะแยะบ้าบอคอแตก ทั้งการบ้านทั้งการสอบโหดฉิบหาย”

“พวกนายเลยทำคลิปแฉเรื่องห้องคิงซะเลย? โคตรบ้าบิ่นเลย ถ้าเกิดโรงเรียนรู้เนี่ยโดนไล่ออกเลยนะ!”
“ใช่ ถ้ามีแต่คนของโรงเรียนเรามีหวังโดนจับได้ง่าย ๆ แน่ เราเลยเสนอว่าต้องมีเด็กห้องคิงโรงเรียนอื่นด้วย จะซ่อนใบไม้ต้องซ่อนในป่า” บอมพูด
“นี่ก็บ้าหนังจีนตลอด” เพื่อนสนิทของบอมพูดแซว
“เอสค้นชื่อกับเบอร์โทรรุ่นพี่ 6 ปีก่อน พวกเค้าเรียนจบแล้วน่าจะกล้าพูด ส่วนพวกเราหาคนโรงเรียนอื่นที่เขาบ่นเรื่องห้องคิงในทวิตเตอร์ ตี้หาสตูดิโอ้ที่ให้พวกเราใช้ถ่ายรายการจะได้คุมแสงเงาให้เป๊ะจะได้ปิดบังตัวตนของคนที่มาให้สัมภาษณ์”

“โดยเฉพาะช็อตเด็ดที่เราขยับโคมไฟนิด ๆ เห็นเข็มสีทองที่หน้าอกพี่เค้าแวบนึง ใครรู้ก็ดูออกแน่ว่าเป็นเครือโรงเรียนนี้ แต่มันมีโรงเรียนในเครือตั้งหลายสิบโรง หาตัวพวกเราไม่เจอหรอก ฮ่า ๆๆ อัพโหลดคลิปไปตอนเที่ยงคืน พอคาบ 4 คนก็ส่งต่อกันเยอะแยะจนอาจารย์เรียกประชุมด่วนเลย การบ้านโดนยกเลิกหมด ไม่ต้องวิ่งรอบสนามแล้วด้วย”

“นักข่าวต้องผดุงความยุติธรรมในสังคม นี่รีบทำให้เสร็จใน 2 วันเพื่อช่วยนายนะพัต ถ้ามีเวลาอีกหน่อยคุณภาพงานออกมาอลังการกว่านี้อีก” ตี้แอ่นอกพูด ส่วนเพื่อน ๆ ร้องโห
“โรงเรียนต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงแน่ พวกเราทุกคนตั้งใจช่วยนายนะ” บอมโอบไหล่ผม
“พัต วันนั้นที่เจอกันในโรงอาหาร พวกเราเดินหนีเพราะช่วงนี้ไม่อยากให้ใครเห็นว่าพวกเราสนิทกับนาย เราต้องป้องกันไว้ก่อนน่ะเผื่อเลวร้ายจริง ๆ อาจารย์จับได้ขึ้นมานายจะได้ไม่เกี่ยวข้องด้วย” ตี้ยิ้มแหย ๆ

“พวกนาย...” ผมมองทุกคน บอม สน ดิม เอส ตี้
เพื่อน ๆ ของผม ทั้งที่ผมทำกับพวกนายอย่างนั้นแต่ทุกคนกลับดีกับผมขนาดนี้

“เฮ้ย! ออกข่าวตอนเที่ยงแล้ว!” เอสชูโทรศัพท์ขึ้นมา
“จริงเหรอ? ไหน ๆ”
ทั้งหกคนสุมหัวมุงเข้ามาดู มันไม่ใช่แค่การเปิดคลิปออกอากาศเท่านั้น แต่ถึงขั้นโทรสัมภาษณ์สดผู้อำนวยการโรงเรียนต่าง ๆ ว่ามีระบบการสอนตามนั้นหรือไม่ คลิปปริศนาของพวกเขาส่งผลไปไกลมาก ดีไม่ดีทุกโรงเรียนในประเทศอาจต้องปรับการสอนครั้งใหญ่

“เฮ้ย! อย่าร้องไห้ดิ!” ...หมายถึงผมเหรอ เปล่าหรอก สนต่างหากที่ร้อง
“ไอ้สนมึงจะร้องทำเหี้ยอะไร ช็อตนี้พัตต่างหากที่ควรร้อง” บอมกระทุ้งไหล่เพื่อนรัก
“ก็กูซึ้งอ่ะ พวกเรายังกะขบวนการห้าสีพิทักษ์โลก แม่งไม่ใช่แค่โรงเรียนเราแล้วนะ ตอนนี้เรื่องใหญ่ไปทั้งประเทศเลย พวกมึงว่านี่เราช่วยเด็กห้องคิงได้กี่คนวะ”

ทุกคนมองหน้ากัน สีหน้าแต่ละคนมีทั้งความดีใจ ความตื่นเต้นและความหวั่นวิตกผสมกัน ใครจะรู้ว่าเรื่องจะใหญ่กันไปขนาดนี้แล้ว
“ยังไงพวกเราก็ป้องกันไว้หลายชั้นแล้ว โรงเรียนไม่มีทางรู้แน่ว่าใครเป็นคนทำคลิปนี้” ตี้พูดเบา ๆ ตอนมองทุกคนที่ยืนรอบ ๆ รั้วสะพานเสมือนเป็นห้องประชุมลับสุดยอด

“ที่ชื่อคลิปเป็นภาษาแปลก ๆ นี่ด้วยใช่มั้ย?” ผมตรวจด้วย google translate มันเป็นภาษาอัฟริกัน
Die hartseer storie van genie klaskamer ‘Koning Klas’
The sad story of genius classroom ‘King Class’ ชีวิตน่าเศร้าของเด็กห้องคิง

และเจ้าของคลิปก็เป็นคนอัฟริกาใต้ ในช่องของเขาเคยอัพคลิปลง 2 ครั้งเมื่อ 1 ปีที่แล้ว แปลว่านี่ไม่ใช่ account ที่เพิ่งสร้าง
“ใช่ ถ้าเจ้าของคลิปเป็นคนต่างประเทศ ใครก็คงไม่อยากตามไปสืบหาตัวจริง” บอมตอบ
“แล้วพวกนายได้ account นี้มาได้ยังไงน่ะ?” ผมถามไปแต่ทุกคนก็อมยิ้ม
“พัตเดาซิว่าใครเป็นคนทำแบบนี้ได้?”
“ดิมเหรอ?” ผมหันไปถามดิม คนที่น่าจะเชี่ยวชาญเรื่องคอมพิวเตอร์แต่เขายิ้มและส่ายหัวไม่พูดอะไร
“โอเค เราต้องปิดตาอีกแล้วใช่มั้ย?” =_=

แล้วฝ่ามือจากห้าคนก็มาโปะบนหน้าผม วันนี้มีเซอร์ไพรซ์เยอะจัง มือทุกคนอบอุ่นดีจนผมไม่อยากให้เฉลยเลย
ตึก...ตึก...ตึก เสียงฝีเท้าคนเดินมาบนสะพาน ใครนะ…
“กูบอกมึงแล้ว มึงน่ะเป็นจอมมารไม่ได้หรอก”
“เฮ้ย! เสียงนั่น”
“วางแผนอะไรก็แป๊กทุกที เรื่องชั่ว ๆ ต้องให้กูเนี่ยถึงจะถูกคน”

ฝ่ามือของทุกคนยกออกไป เผยให้เห็นคนตรงหน้าที่ยืนยิ้มมาดเต๊ะจุ๊ยกวนลูกตาที่สุด
“โต้ง!”
“เออ กูเอง กูทำ account แบบนี้ตุนไว้หลายปีแล้ว จะเป็นสายมืดมันต้องเตรียมตัวล่วงหน้านาน ๆ เพื่อความเนียน"

พวกเราย้ายไปร้านกาแฟริมบึงที่อยู่ไม่ไกล ตรงนี้ทุ่งดอกไม้และมีสะพานไม้ไผ่พาดไปกลางบึงให้เดินเล่นได้ด้วย พวกเราเลือกนั่งโต๊ะยาวที่อยู่ห่างจากตัวร้านจะได้คุยกันสะดวก



"ไม่ใช่แค่ account เป็นคนอัฟริกาใต้นะ ip address ตอนอัพก็อยู่ที่เมืองพริโทเรียประเทศอัฟริกาใต้จริง ๆ ถึงกูจะไม่เคยไปก็เถอะ คนที่มาเม้นต์แรก ๆ ก็เป็นคนประเทศนั้นจริง ๆ มีกูดูแลเรื่องพวกนี้ยังไงก็ไม่มีทางสืบมาถึงตัวพวกนายได้หรอก” โต้งอธิบายอย่างภาคภูมิใจ
“แล้วไปไงมาไงโต้งถึงมาอยู่พวกบอมได้น่ะ?”
“เพื่อนมึงทักเฟสกูมา เค้าบอกมึงกำลังต้องการความช่วยเหลือ กูก็เลยเข้าร่วมขบวนการด้วย”

“เราคิดว่าถ้ามีเพื่อนของพัตมาช่วยคิดแผนก็น่าจะรอบคอบขึ้น เราเลยส่องเฟสนายจนเจอว่าโต้งเค้าสนิทกับพัตที่สุด แถมดูในฟีดแล้วเก่งโปรแกรมเมอร์ด้วย” บอมเฉลยว่าเพื่อนรักของผมมาเอี่ยวด้วยได้ยังไง
“ขอบใจมากนะโต้ง”
“บอกแล้วไงกูเป็นเพื่อนมึงเสมอแหละ”

ผมมองทุกคน ท่ามกลางบึงน้ำที่ล้อมรอบ ลมแรงและฝูงนกที่บินว่อนบนฟ้า ตรงหน้าผมคือกลุ่มเพื่อนที่ทำถึงขนาดนี้เพื่อผม บอมกับสนวิ่งหยอกล้อกันบนสะพาน ดิมกับโต้งยืนคุยกันเรื่องคอมพิวเตอร์อะไรสักอย่าง เอสกับตี้ชวนกันถ่ายรูปลง IG นี่คือพวกเราที่สร้างเรื่องใหญ่ระดับประเทศไปแล้ว และมันกำลังส่งแรงกระเพื่อมในสังคม ห้องคิงห้องควีนทั้งประเทศจะต้องเปลี่ยนแปลงบ้างแหละ

“เอส” ตี้เอ่ยขึ้นมาระหว่างกอดคอเพื่อนสนิทแอ็คท่าถ่ายรูปคู่กันเพื่อลง IG
“หืม?” เอสแหงนหน้าถามกลับ
“คือถึงจบเรื่องห้องควีนไปแล้ว…"
เด็กหนุ่มตัวสูงกระชับอ้อมแขน บรรยากาศดี ๆ แบบนี้มันต้องโรแมนติกล่ะน่า เอาเว้ย! กลั้นใจนับ 3..2..1 พูดออกไปเลย

"นายช่วยคบกับเราได้มั้ย?”
“อือ เราว่านั่งตรงนั้นก็เห็นกระดานชัดดีอ่ะ”
“เปล่า ไม่ได้หมายถึงที่นั่งในห้องเรียน”
“อ้าว! ตกลงตะกี้นายพูดว่าอะไรเหรอ ลมมันแรงได้ยินไม่ชัด”

โว้ย! ไอ้ลมทะเลบ้า! ตี้ตะโกนด่าในใจ

“จะเป็นไปได้มั้ยถ้า...”
“ถ้า?” เอสนิ่งจ้องหน้าเพื่อนร่างสูง
“นะ” ตี้จ้องตาและพูดสั้น ๆ
“อะไรวะ นะของนายเนี่ย?”
“เฮ้! เอสตี้ ได้เวลาแล้วเว้ย” สนสะกิดทั้งสองคน

ทุกคนยืนซุบซิบกัน อะไรกันน่ะ...แล้วทำไมทุกคนถอดรองเท้ากับพับขากางเกงขึ้น? ลางสังหรณ์ของผมบอกว่า…
"พัต" บอมหันมายิ้มประหลาด
"บอม นายคงไม่…"
"พัต ต่อให้มึงเป็นเสือติดปีกก็หนีไม่รอด" สนแสยะยิ้มพร้อมเดินตีวงปิดทางหนี
"สน นายคงไม่คิดจะโยนเราลงน้ำอะไรงั้นใช่มั้ย?"
"เราว่าได้เวลาล้างแค้นนายที่เกือบส่งเราเข้าห้องควีนละ หึ ๆๆ"
"ตี้ ไหนนายว่านายไม่โกรธไง! อย่านะเว้ย!" ผมกระเถิบหนีแต่มันสุดสะพานแล้วน่ะสิ
โต้งยิ้มเหี้ยมเกรียมเดินตรงเข้ามา
"อย่านะโต้ง เราไม่ได้เอาชุดมาเปลี่ยน"
"กูเตรียมมา บอกแล้วกูอ่ะจอมมาร"
“ดิม ช่วยเราด้วย” ผมตะโกนเรียกคนที่น่าจะใจดีสุดในกลุ่ม แต่ดิมยิ้มอ่อนพร้อมหยิบกล้องขึ้นเตรียมถ่าย
“เดี๋ยวเราอาบน้ำเป็นเพื่อนพัตเอง” บอมถอดเสื้อออก
“ด...เดี๋ยวสิบอม!” กล้ามอกกล้ามท้องนั่นทำให้ผมชะงักไปชั่วครู่ บอมฉวยโอกาสอุ้มผมขึ้นทันที
"เหี้ยแล้ว! อย่า!!!!"

===จบบริบูรณ์===
เดี๋ยวอีก 2-3 วันมาต่อตอนพิเศษนะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-04-2021 13:33:44 โดย Sorrowkung »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
จบแล้ว สนุกดีนะคะ ทำให้รู้ว่าเด็กสมัยนี่เรียนโหดมาก ฮ่าๆ

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ pogpax

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด